pdf pic

บทที่ 16

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

อิสราเอลของพระเจ้า

 

 

คำทักทายของเปาโลที่ผิดจากธรรมดาอย่างมาก

         ผมขอเริ่มด้วยคำทักทายพิเศษกับทุกคน  ขอสันติสุขและพระเมตตาจงมีกับทุกคนที่เป็นอิสราเอลของพระเจ้า  คำที่ผมใช้ว่า “อิสราเอลของพระเจ้า” อาจฟังดูผิดจากธรรมดาและฟังดูแปลกแต่ที่จริงมันมาจากคำทักทายของเปาโลที่มีไปถึงพี่น้องชาวกาลาเทีย  “สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า”[1] (กาลาเทีย 6:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)

          คุณเห็นว่าคำทักทายของผมผิดไปจากธรรมดาไหม?  คุณอาจถามตัวเองว่า “ทำไมเปาโลจึงเรียกเราว่าอิสราเอลของพระเจ้า?  เขาพูดเล่นกับเราหรือว่าเขาเสียสติไปแล้ว?  พวกเราเป็นคนจีน แล้วเราจะเป็นอิสราเอลได้อย่างไร?”  ผมไม่ได้พูดเล่นแล้วผมก็ไม่ได้เสียสติ  ความจริงแล้วพวกคุณส่วนมากเป็นอิสราเอลของพระเจ้า!  ความหมายของคำ “อิสราเอลของพระเจ้า” ที่ไม่ธรรมดานี้คืออะไรหรือ?  ผมตั้งใจจะอธิบายเรื่องนี้กับคุณในบทนี้  ความสำคัญมากของเรื่องนี้อยู่ที่ความเกี่ยวข้องที่แยกจากกันไม่ได้ของการเป็นอิสราเอลของพระเจ้ากับความรอดในพระคัมภีร์ใหม่  แต่ความจริงที่สำคัญนี้ได้สูญหายไปจากคริสตจักรในปัจจุบันนี้

      เมื่อผมเขียนหนังสือเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์เสร็จประมาณสิบเดือนก่อนหน้านี้ ผมคิดว่างานของผมเสร็จแล้ว  ผมจะได้เกษียณอย่างมีความสุขและจะได้หายหน้าไปจากพี่น้องเสียที   เมื่อเฮเลนกับผมกลับมาเอเชียสองสามเดือนที่แล้ว  ผมใจจดใจจ่อที่จะมอบความรับผิดชอบของผมทั้งหมดให้กับผู้ดูแลคนใหม่   ต่อมาไม่นานกลุ่มผู้ดูแลภูมิภาคก็เลือกคนหนึ่งในพวกเขามารับหน้าที่แทนผม  พวกเขาได้เลือกอาจารย์แคลวิน[2]  ผมจึงดีใจมากที่ผมจะได้มอบงานทุกอย่างให้เขาและได้ปลดเกษียณเสียที!

     ที่จริงเราควรจะออกจากฮ่องกงเมื่อเดือนที่แล้วและกลับแคนาดาก่อนวันอีสเตอร์  เรื่องที่จะเปลี่ยนวันเดินทางกลับนั้นทำได้ยากเพราะเราใช้ตั๋วสะสมไมล์ฟรี  แต่ทีมผู้ดูแลภูมิภาคพูดกับผมว่า “อาจารย์จะอยู่ฮ่องกงต่อเพื่อร่วมค่ายอีสเตอร์กับเราได้ไหม?”  ผมคิดในใจว่า “ผมเกษียณแล้ว คุณไม่ต้องการผมหรอก  ผมกลับบ้านได้เลย”  แต่เมื่อผมเข้าเฝ้าพระเจ้า พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแผนทั้งหมด  เราก็เลยได้อยู่ค่ายอีสเตอร์นี้  พระองค์ได้ทรงสำแดงกับผมว่างานของผมยังไม่เสร็จ  เพราะยังมีความจริงที่ต้องอธิบายอีกมาก  แล้วอย่างนั้นผมจะเกษียณได้เมื่อไร?

     เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนหน้านี้ องค์ผู้เป็นเจ้าได้สำแดงให้ผมเห็นถึงความความสำคัญของหลักคำสอนทั้งหมดที่ผมจะอธิบายกับคุณในบทนี้โดยพระคุณของพระเจ้า

 

ประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้กับองค์ผู้เป็นเจ้า

         ก่อนจะอธิบายผมขอเป็นพยานถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  ผมได้รับใช้พระองค์มาตลอดชีวิตคริสเตียนของผม  เหตุผลที่ผมอยู่ในงานนี้ก็เพราะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้ทรงสำแดงพระองค์เองกับผม  ไม่เช่นนั้นผมคงจะไม่อยู่ในงานรับใช้นี้

            ตามปกติแล้วผมจะแบ่งปันแต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่นานเพราะไม่จำเป็นต้องย้อนประสบการณ์กลับไปหลายปี  ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์เมื่อไม่นานมานี้กับคุณ

         ในวันวาเลนไทน์เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ผมตื่นขึ้นและพระเจ้าก็ให้คำของพระองค์จากข้อพระคัมภีร์กับผม  ผมไม่ได้คิดถึงข้อนี้มานาน  ส่วนสุดท้ายของข้อนี้เด่นออกมาและกล่าวถึงพระยาห์เวห์พระบิดาของเราว่า “จะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า”[3]

         พระยาห์เวห์ทรงร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดีหรือ?  คุณร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดีครั้งสุดท้ายเมื่อไร?  ชั่วชีวิตของคนส่วนใหญ่ไม่เคยร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดีเลย  จะมีก็เมื่อพวกเขากำลังดูแข่งฟุตบอลและดูผลคะแนนของทีมนำ คุณได้ยินคนร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดีในคริสตจักรเมื่อไหร่?  ก็คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะร้องเพลงเสียงดังหรอกหรือ?

          แต่ข้อนี้กล่าวว่าพระยาห์เวห์ “จะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า (คืออิสราเอล-ประชากรของพระองค์ที่ทรงเลือกไว้)” มาจากหนังสือที่รู้จักกันน้อยในพระคัมภีร์เดิมชื่อเศฟันยาห์  ตอนท้ายของข้อเศฟันยาห์ 3:17 นี้ได้แปลแตกต่างกันในฉบับต่างๆ  ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระ​องค์​จะ​ทรง​เปรม​ปรีดิ์​เพราะ​เจ้า​ด้วย​ความ​ยินดี และ​ทรง​สงบใน​ความ​รัก​ของ​พระ​องค์ พระ​องค์​จะ​ทรง​เริง​ร่า​เพราะ​เจ้า​ด้วย​การ​ร้อง​เพลง​เสียง​ดัง”[4] เป็นข้อที่เยี่ยมยอด!  พระเจ้าทรงมีความชื่นชมยินดีอย่างมากในตัวเราผู้เป็นประชากรของพระองค์จนพระองค์ทรงร้องเพลงเสียงดัง  นี่เป็นภาพที่น่าแปลกใจของพระเจ้า

         วันวาเลนไทน์ยังเป็นวันเกิดของภรรยาผมอีกด้วย  นั่นหมายความว่าคงไม่มีใครจะลืมวันเกิดของเธอได้เลย! บางครั้งสามีอาจลืมวันเกิดของภรรยาของตัวเอง  แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากที่ผมจะลืมวันเกิดของเฮเลน! และวันวาเลนไทน์นี้เอง ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่พระเจ้าได้ให้ข้อนี้กับผม เราก็ได้รับอีการ์ด[5]  มันน่าสนใจที่ยังมีคนส่งบัตรอวยพรวันวาเลนไทน์ให้ผม ผมเชื่อว่านั่นเป็นการแสดงความรักของพวกเขาในองค์ผู้เป็นเจ้า

         ก่อนจะได้อีการ์ดผมพูดกับเฮเลนหลังตื่นนอนว่า “พระเจ้าทรงให้ข้อนี้กับผม  ผมว่าเป็นข้อสำหรับคุณ”  หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้รับอีการ์ดและคุณรู้ไหมว่ามีอะไรอยู่ในอีการ์ดนั้น?  คุณลองเดาดูสิ ใช่แล้ว เศฟันยาห์ 3:17 นั่นเอง!  วันนั้นผมได้รับการ์ดสองสามใบแต่ใบหนึ่งที่เด่นก็คือใบที่มีข้อนี้  ผมคิดในใจว่าผมนึกไม่ออกเลยว่าเคยได้รับการ์ดที่มีข้อเศฟันยาห์ 3:17 มาก่อน  นี่เป็นเรื่องบังเอิญไปไหมที่ผมได้รับข้อนี้จากพระเจ้าในตอนเช้า  แล้วจากนั้นก็ได้รับอีการ์ดข้อเดียวกันในอีกสองสามชั่วโมงต่อมา?

         สองสามวันถัดมาผมมีประชุมกับผู้ดูแลภูมิภาคต่างๆ และผมแบ่งปันประสบการณ์นี้กับพวกเขา  เราประชุมกันนานในเย็นวันนั้นเพราะมีหลายสิ่งมากที่ต้องหารือเรื่องงานของพระเจ้า

         เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็พักผ่อนบนเก้าอี้นอน แล้วผมก็ตัดสินใจจะลุกขึ้นยืน แต่ขณะที่ผมลุกขึ้นผมรู้สึกว่าเหมือนมีมีดมาแทงเข้าไปในสันหลังช่วงล่างของผม มันปวดรุนแรงมาก! ความปวดร้าวทิ่มแทงเข้าในกระดูกสันหลังของผมแล้วผมก็ทรุดฮวบลงบนเก้าอี้นอนนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาผมพยายามจะลุกขึ้นอีกแต่ความเจ็บปวดยิ่งแย่กว่าเดิม หลังจากที่ทรุดหงายหลังอีกครั้งผมก็พยายามยันพนักเก้าอี้  ผมนึกอยู่ว่าผมจะขยับเขยื้อนได้หรือไม่ ผมจึงพยายามหันตัวไปทางขวา แต่ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงนั้นประดังเข้ามา ผมพยายามจะหันตัวไปทางซ้ายแต่ก็ทำไม่ได้  ผมจึงนอนลงตรงนั้นสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

         เฮเลนมองดูอย่างเป็นทุกข์หนัก  ผมเห็นความเป็นห่วงและความกังวลของเธอ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น  มันเกิดขึ้นมาก่อนระหว่างการอบรมเต็มเวลารุ่นที่ห้า ประมาณสิบเก้าปีมาแล้ว  ผู้ที่จบการอบรมรุ่นที่ห้าคงจำได้ว่าผมไม่สามารถจะขยับตัวได้อยู่สองหรือสามเดือนและต้องพักการอบรมในช่วงเวลานั้น  ดังนั้นผมจึงนอนอยู่ตรงนั้นนึกสงสัยว่า “จะเป็นแบบนี้ไปอีกสองสามเดือนเหมือนคราวก่อนไหม?”

         สถานการณ์เป็นอยู่อย่างนั้นเกือบชั่วโมงผมจึงบอกเฮเลนว่า “คุณอธิษฐานเผื่อและมอบเรื่องทั้งหมดไว้กับพระเจ้าได้ไหม?”  เธอจึงพยายามที่จะอธิษฐาน  แต่หลังจากไม่กี่ประโยคเธอก็สะอึกสะอื้นและอธิษฐานต่อไม่ได้  ขณะที่ผมกำลังนอนอยู่ตรงนั้นผมพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงดูสภาพของเฮเลน  เธอทุกข์ใจอย่างที่สุด”

         ตัวผมเองมีสันติสุขมาก ตลอดชีวิตของผม ผมมักจะถือว่าตัวเองเป็นทหารของพระคริสต์  เมื่อเป็นทหารคุณก็ต้องคาดอยู่แล้วว่าจะต้องบาดเจ็บในสนามรบ  เรากำลังต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแรง  ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ในเอเฟซัสบท 6 ว่าเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด  แต่​ต่อสู้​กับ​เทพ​ผู้​ครอง และ​เหล่า​วิญญาณ​ที่​ชั่ว​ใน​สถาน​ฟ้า​อากาศ​  ศัตรูของเรามีอาวุธที่มีสมรรถภาพสูง  มันเหมือนกับว่าผมถูกกระสุนจริงตรงกลางหลังของผม แต่ผมยอมรับความจริงว่าในการต่อสู้นั้นถ้าคุณไม่ถูกฆ่าตาย คุณก็จะบาดเจ็บสาหัสซึ่งเป็นเรื่องปกติมากในชีวิตของทหาร

         เฮเลนกำลังทุกข์อย่างหนักและสับสน และเธอก็พูดอย่างนั้นในคำอธิษฐานของเธอ  แต่พระเจ้าไม่ได้ให้ข้อเศฟันยาห์ 3:17 กับผมหรือ?  “ด้วยความรักของพระองค์  และจะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า”  แต่ผมก็นอนขยับตัวไม่ได้   แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ “ด้วยความรักของพระองค์  และจะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า”  ผมกำลังคิดอยู่ว่า “ถ้านี่เป็นความรัก พระองค์ก็เก็บเอาไว้เถอะ  ผมสามารถจะจัดการชีวิตได้ดีกว่ามีความรักของพระองค์เสียอีก”

         เมื่อเฮเลนอธิษฐานต่อไปไม่ได้ ผมจึงร้องหาพระยาห์เวห์ องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา “พระองค์เจ้าข้า นี่อะไรหรือ?”  และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ทรงเคลื่อนไหวในผมด้วยฤทธานุภาพและผมรู้สึกได้ข้างใน  ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์มักจะถูกเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  มีการเคลื่อนไหวอย่างมีฤทธิ์และพระองค์ตรัสกับผมว่า “จงขอการรักษาจากเราและเราจะให้กับเจ้า”  พระองค์ต้องตรัสอย่างนี้เพราะมีเหตุผลเฉพาะ  มันเป็นกฎที่ผมจะไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของตัวผมเอง  แต่เพื่อคนอื่นก็ใช่แต่สำหรับตัวผมเองแล้วจะไม่  เราไม่ต้องการให้ตัวเองได้รับประโยชน์ด้วยการใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่มอบไว้กับเรา  ดังนั้นพระองค์จึงต้องออกคำสั่งอย่างเจาะจง “จงขอการรักษาจากเราและเราจะให้กับเจ้า”

         เมื่อเฮเลนไม่สามารถอธิษฐานได้อีกต่อไป  ผมจึงพูดเงียบๆว่า “พระองค์เจ้าข้า พระบิดาพระยาห์เวห์  โปรดประทานการรักษาผมตามชอบพระทัยของพระองค์” มันเป็นคำอธิษฐานสั้นๆ จากนั้นผมก็ลุกขึ้นยืน  เฮเลนมองผมอย่างแปลกใจ “แล้วคุณจะเดินได้ไหม?”  จากนั้นเธอก็มองผมเดินไปรอบห้องโดยไม่เจ็บปวดเลย  ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงอยู่นั้นได้หายเป็นปลิดทิ้ง  มันเป็นช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์  เกือบสองเดือนผ่านมาและก็ไม่เคยเจ็บปวดอีกเลย

 

เมื่อไรที่เราจะอธิษฐานในพระนามของพระเยซู? –ความสัมพันธ์ในแนวตั้ง

                ผมอยากจะใช้บทเรียนจากประสบการณ์นี้เพื่อประโยชน์ของคุณ  สิ่งแรกคุณจะสังเกตได้ว่าเมื่อผมพูดคุยกับพระยาห์เวห์  ผมไม่ได้อธิษฐานในพระนามของพระเยซู  ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?  มันผิดไหมที่จะใช้ “ในพระนามของพระเยซู”? มันก็ไม่ผิด  แต่คุณจะต้องรู้ว่าเมื่อไรจึงจะใช้และเมื่อไรจึงจะไม่ใช้  ไม่เช่นนั้นคุณจะใช้มันอย่างผิดๆ  ถ้าเช่นนั้นคุณจะใช้พระนามของพระเยซูเมื่อไร?  คริสเตียนทุกคนในทุกคริสตจักรอธิษฐานในพระนามของพระเยซูแต่มักจะไม่รู้ถึงความหมาย  เมื่อเร็วๆนี้ผมถามผู้ร่วมงานคนหนึ่งว่ามันหมายถึงอะไรและเขาก็บอกผมไม่ได้

         ในกรณีนี้ทำไมผมจึงพูดคุยกับพระยาห์เวห์ได้โดยตรง? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของผม! เมื่อพูดกับคุณพ่อของผมที่เป็นมนุษย์ผมก็ไม่เห็นจะต้องพูดกับท่านว่า “ผมมาหาคุณพ่อในนามของพี่ชาย” ผมหมายถึงว่าคุณพ่อของคุณเป็นคุณพ่อของคุณหรือเปล่า หรือว่าท่านไม่ใช่คุณพ่อของคุณ? กรณีของผมนั้นผมเป็นลูกคนเดียวผมจึงไม่มีโอกาสที่จะพูดว่า “พ่อครับ ผมมาหาพ่อในนามของพี่ชาย” ผมไม่มีพี่สาว ผมจึงพูดไม่ได้เช่นกันว่า “มาในนามของพี่สาว”

         ถ้าเช่นนั้นเมื่อไรล่ะจึงจะใช้ “ในพระนามของพระเยซู”? ในความสัมพันธ์ในแนวตั้งของเรากับพระเจ้านั้นมีสองสถานการณ์ที่เราสามารถจะใช้ “ในพระนามของพระเยซู” สถานการณ์แรกคือเมื่อคุณไม่รู้จักพระเจ้าเลย เมื่อไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า มันก็เห็นชัดว่าคุณก็ไม่สามารถมาหาพระเจ้าและพูดว่า “พระบิดา” ได้ พระองค์ไม่ได้เป็นพระบิดาของคุณเพราะคุณไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้เป็นไปได้ที่เราจะมาหาพระองค์และมาเป็นบุตรของพระองค์ ข้อความจาก 2 โครินธ์ 5:19[6] เป็นต้นไปกล่าวว่าพระเจ้าพระยาห์เวห์ผู้สถิตอยู่ในพระคริสต์ ทรงทำให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงช่วยคุณให้รอดทางพระคริสต์ กระบวนการช่วยให้รอดของพระองค์ไม่ใช่แค่การยกโทษบาปของคุณเพราะนั่นเป็นเพียงแค่ขั้นแรก แต่ยังทำให้คุณมาเป็นบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์ด้วย

     เมื่อคุณมาหาพระเจ้าเป็นครั้งแรก  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณกลับใจจากความผิดบาปของคุณและอ้างพระโลหิตของพระเยซูเพื่อรับการยกโทษ  และคุณจึงมาหาพระเจ้าในพระนามของพระเยซู  แล้วพระเจ้าก็ให้อภัยคุณเพราะในพระคริสต์นั้นพระเจ้าทรงทำให้คุณกลับคืนดีกับพระองค์  เมื่อคุณกำลังอธิษฐานคำอธิษฐานกลับใจของคุณและถวายตัวคุณกับพระยาห์เวห์ นั่นแหละเป็นเวลาที่คุณจะพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพระองค์มาหาพระองค์ในพระนามของพระเยซู  ข้าพระองค์เป็นคนบาปมาตลอดชีวิต  ข้าพระองค์จึงไม่มีสิทธิอะไรที่จะมาอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์  แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า ลูกแกะเมษโปดกของคุณก็คือพระเยซู”  พระองค์คือลูกแกะเมษโปดกที่รับความผิดบาปของโลกไปเสีย  และเวลานี้ข้าพระองค์มาหาพระองค์ในพระนามของพระเยซู”

         พระเจ้าทรงยอมรับคุณโดยพระนามของพระเยซู  เป็นผลให้คุณอยู่ในพระคริสต์และมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์  ผมได้อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในหนังสือของผมชื่อ “การมาเป็นคนใหม่”[7] คำสอนทั้งหมดนี้ถูกต้องอย่างแน่นอน  แต่ยังมีอย่างอื่นที่สำคัญมากที่ผมจะอธิบายต่อไป

     มีสถานการณ์ที่สองในความสัมพันธ์ในแนวตั้งของเรากับพระเจ้าที่เราใช้ “ในพระนามพระเยซู”  หลังจากที่เรามาเป็นบุตรของพระเจ้า  เรายังต้องการพระเยซูไหม?  เราต้องการพระองค์แน่นอน  เมื่อเป็นผู้เชื่อเรามักจะผิดพลาดใช่ไหม?  1 ยอห์น 1:8 กล่าวว่า “ถ้าเราอ้างว่าไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเองและความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย”[8]  ข้อ 10 มีเพิ่มว่า  “ถ้าเราอ้างว่าไม่ได้ทำบาปก็เท่ากับหาว่าพระองค์เป็นผู้มุสา  และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในชีวิตของเราเลย”[9] (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         เราทำบาปบ่อยกว่าที่เราคิด  แต่เมื่อเราสำนึกบาปเราจะทำอะไรหรือ?  ข้อ 9 กล่าวว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา  พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปของเราและชำระเราให้พ้นจากความอธรรมทั้งสิ้น”  ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าเรามี “ผู้ช่วยทูลขอพระบิดา  คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรม”[10] หลังจากที่คุณทำบาป คุณก็ตระหนักว่ามันยากที่จะกลับมาอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า  แต่ก็มีหนทางซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับมาหาพระบิดา คือทางพระเยซูคริสต์ที่คุณจะกลับมาหาพระบิดาโดยพูดว่า “ข้าพระองค์เสียใจกับความผิดบาปของข้าพระองค์  ข้าพระองค์กลับมาหาพระองค์ในพระนามของพระเยซู”

          เมื่อคุณพูดว่า “ในพระนามพระเยซู” คุณก็ต้องเข้าใจด้วยว่าคุณหมายถึงอะไร  ถ้าคุณพูดว่า “ในพระนามพระเยซู” และ “ในพระนามพระเยซู” อยู่เรื่อยๆมันก็จะไม่มีความหมายอะไร  เมื่อเร็วๆนี้ในประเทศมาเลเซียผมขอให้คนหนึ่งอธิษฐาน และเขาก็จบคำอธิษฐานในพระนามพระเยซูตามปกติวิสัย  ผมถามผู้ร่วมงานคนนั้นว่า “ช่วยบอกได้ไหมว่า ทำไมคุณจึงลงท้ายคำอธิษฐานในพระนามของพระเยซู?” แล้วคุณรู้อะไรไหม? เขาตอบผมไม่ได้แม้เขาจะเป็นผู้นำคนหนึ่งของคริสตจักร  เขานั่งนิ่งไปเลยตรงนั้น คุณเป็นอย่างนั้นด้วยไหม?  ถ้ามีใครที่อาจไม่ใช่ผู้เชื่อถามคุณว่า ทำไมคุณจึงอธิษฐานในพระนามของพระเยซู คุณจะให้คำตอบเขาได้ไหม?    ถ้าคุณไปเยี่ยมคริสตจักรของคริสเตียนที่ไหนก็ได้ในโลก  คุณจะเห็นว่าทุกคนจะจบคำอธิษฐานของเขาในพระนามของพระเยซู  มันเป็นคำพูดตามพิธีกรรมที่ไม่มีความหมาย

         ในความสัมพันธ์ในแนวตั้งของเรากับพระยาห์เวห์ที่ผมได้เอ่ยถึงสองสถานการณ์หลักๆที่คุณสามารถใช้และควรใช้ในพระนามของพระเยซู  แต่ในเวลาอื่นๆเมื่อคุณกำลังเดินกับพระเจ้า คุณไม่จำเป็นต้องพูดในพระนามพระเยซูอยู่ตลอด  มันเปล่าประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้นในเมื่อคุณเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าอยู่แล้ว  เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าพระบิดาของคุณชื่นชมยินดี  คุณไม่ต้องพูดอยู่เรื่อยๆว่า “ข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ในนามของอีกคนหนึ่ง”  ในคำอธิษฐานขององค์ผู้เป็นเจ้านั้น พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์”  โดยไม่ได้บอกให้เราจบคำอธิษฐานในพระนามของพระเยซู  พระเยซูทรงต้องการให้คุณพูดกับพระบิดาของคุณโดยตรง

 

เราจะอธิษฐานในพระนามของพระเยซูเมื่อไร? – ความสัมพันธ์ในแนวราบ

         แต่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแนวราบอาจเป็นสิ่งใหม่กับพวกคุณส่วนมากที่เรามักจะทำสิ่งต่างๆในพระนามของพระเยซู  นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรและทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล  ทุกคนในคริสตจักรคือพระกายของพระคริสต์และทุกคนในราชอาณาจักรนี้จะกระทำสิ่งต่างๆในฤทธิ์อำนาจของพระเยซู ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นจากพระเจ้าพระยาห์เวห์ได้มอบไว้กับพระเยซูเพื่อทำให้พระประสงค์ในการประกาศพระกิตติคุณเรื่องความรอดสำเร็จ  เพราะฉะนั้นถ้าเราจะกระทำสิ่งต่างๆในฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ในแนวราบ  เราจะต้องกระทำผ่านพระเยซูเสมอ

         นี่ไม่ได้เป็นเรื่องของทฤษฎีแต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติ คุณอาจใช้หรือไม่ใช้พระนามของพระเยซูก็ขึ้นกับว่าคุณเป็นใคร คุณอาจใช้พระนามของพระเยซูถ้าเมื่อหมดทั้งชีวิตของคุณได้ดำเนินชีวิตในพระนามของพระเยซู   “ในพระนามของพระเยซู” ไม่ใช่คำพูดที่เราจะพูดไปเรื่อยแต่ว่ามันเป็นวิถีการดำเนินชีวิตตามนั้นจริงๆ  ผมดำเนินชีวิตของผมในพระนามของพระเยซูทุกวัน  ผมดำเนินภายใต้พระยาห์เวห์และถัดจากพระยาห์เวห์ก็คือพระเยซู  เปาโลกล่าวว่าผู้เป็นศีรษะของภรรยาก็คือสามี  ผู้เป็นศีรษะของสามีก็คือพระคริสต์  และผู้เป็นศีรษะของพระคริสต์ก็คือพระยาห์เวห์พระเจ้า (1 โครินธ์ 11:3)[11]  คุณจะเห็นลำดับได้ในข้อนี้

         ในความสัมพันธ์ในแนวราบนั้นรวมถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และการงานของโลก  ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์มาถึงผมทางพระเยซู  ผมต้องดำเนินชีวิตของผมในพระนามของพระเยซู  ซึ่งก็คือภายใต้สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์ที่ได้ให้กับผมทางพระคริสต์  สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์จะต้องมาทางพระคริสต์ ไม่เช่นนั้นผมก็จะอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจที่ผิด  ด้วยเหตุที่ผมดำเนินชีวิตในพระนามของพระเยซู  ผมจึงมีสิทธิที่จะพูดว่า “ในพระนามของพระเยซู” เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้    “ในพระนามพระเยซู” เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า  คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจหลักการพื้นฐานนั้นเลย

         กิจการ 19 บอกกับเราว่า คนในเอเฟซัสเห็นการอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่กระทำโดยเปาโลและอัครทูตคนอื่นๆที่ขับผีนี้ผีนั้นออกในพระนามของพระเยซู มีบางคนและบุตรชายทั้งเจ็ดของเส-วาก็พยายามทำการขับผีเหมือนกันทุกอย่างโดยร้องออกพระนามของพระเยซู  แต่ผีร้ายพูดกับบุตรชายทั้งเจ็ดของเส-วาว่า “พระ​เยซู​นั้น​ข้า​ก็​คุ้น​เคย และ​เปา​โล​นั้น​ข้า​ก็​รู้​จัก แต่​พวก​เจ้า​เป็น​ใคร​กัน?” แล้วคนที่มีผีสิงจึงกระโดดใส่พวกเขาและทำร้ายพวกเขาอย่างน่ากลัว  พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตในพระนามของพระเยซู ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีสิทธิอำนาจที่จะใช้พระนามนั้น

         เมื่อคุณอธิษฐานในพระนามของพระเยซู คุณมีสิทธิ์ที่จะใช้พระนามนั้นไหม?  คุณกำลังดำเนินชีวิตในพระนามของพระเยซูไหม?  ผมหวังว่าคุณคงไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่กับการกลับใจจากบาป  ผมยืนยันกับคุณว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบกับคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตที่พ่ายแพ้อยู่เสมอ พระองค์ได้ประทานหนทางในการดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะให้กับเราแล้ว  ดังนั้นแม้เราอาจล้มเหลวบ้างเป็นบางครั้ง แต่เราก็ไม่มีข้อแก้ตัวที่จะล้มเหลวอยู่เรื่อยไป

 

ขับผีออกในพระนามของพระเยซู-เรื่องจากชีวิตจริง

         ผมขอให้ตัวอย่างในชีวิตจริงที่ผมใช้ “ในพระนามของพระเยซู” ในความสัมพันธ์ในแนวราบ   การถูกผีเข้าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาของสมัยนี้  แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศแคนาดา ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่น้องคริสตจักรอื่นว่า “มีหญิงคนหนึ่งถูกผีเข้า และไม่มีใครขับมันออกได้แม้แต่ผู้ทำงานในคริสตจักร คุณมาช่วยหน่อยได้ไหม?” ผมตอบว่า “งั้นช่วยพาเธอไปที่บ้านนี้และผมจะไปหาคุณที่นั่น”

         ผมพูดถึงบ้านหลังนั้นกับพวกเขาเพราะว่ามันใกล้กับเมืองมอนทรีออลและพวกเขาก็ไม่ต้องเดินทางไกล  ผมไปที่นั่นพร้อมกับเฮเลนแล้วก็พบหญิงคนนี้ในบ้านนั้น  เธอนั่งอยู่บนโซฟาตรงกลางระหว่างสามีกับลูกสาววัยรุ่นของเธอ

         สิ่งแรกที่ผมทำก็คือดูว่าเป็นผีชนิดไหนที่เข้าสิงเธอ  จากนั้นการต่อสู้ที่ยาวนานก็เกิดขึ้น  ขอเล่าย่อๆว่าการต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกราวชั่วโมงกว่า จากนั้นผมก็เริ่มเห็นว่าผีที่เข้าสิงเธอเป็นผีระดับสูง  พวกคุณส่วนมากอาจไม่คุ้นกับโลกของวิญญาณที่ผีมีหลายระดับมาก  ดังที่ผมกล่าวไว้ว่าเรากำลังต่อสู้กับเหล่า​วิญญาณ​ที่​ชั่ว​ใน​สถาน​ฟ้า​อากาศ​ (เอเฟซัส 6)

            หลังจากการต่อสู้อยู่นานพอควร  ในที่สุดผีก็เห็นว่าการต่อสู้กำลังไม่ได้ผลและมันกำลังจะแพ้ จุดนั้นเองหญิงคนนี้ก็ยืนขึ้น แล้วทรุดตัวลงแทบเท้าผมและพยายามกอดเท้าผมขณะที่ผมนั่งอยู่ตรงนั้น  ผมพูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นกลับไปที่เก้าอี้ของคุณเถอะ”

          เราต่อสู้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง  แล้วผมก็สั่งผีในพระนามของพระเยซูให้ออกจากเธอเสีย

         ผีก็ตอบแบบฟังดูแล้วแปลกๆว่า  “ฉันขอร้องสักอย่าง” ผมพูดว่า “ว่ามา” ผีพูดว่า “ฉันขอออกทางประตูหน้า”  ผมหยุดคิดถึงคำขอที่แปลกนี้อยู่ครู่หนึ่ง  มันหมายความว่าอย่างไรหรือ? แล้วผมก็เข้าใจว่านี่เป็นผีระดับสูงและมันกำลังขอความนับถือสักนิดหนึ่ง  ผีมันคงกำลังคิดว่า “ถ้าจะขับมันออก ก็อย่าโยนมันออกทางหน้าต่าง อย่างน้อยก็ขอให้มันออกทางประตูหน้า”  มันน่าขบขันใช่ไหม?   เมื่อมีการพ่ายแพ้ทางทหาร  ผู้บัญชาการของศัตรูจะยอมแพ้และมอบดาบหรือปืนพกให้คุณ แต่เขาก็ขอการคารวะสักนิดหนึ่ง  คือเขาจะวันทยหัตถ์คุณและคุณก็ต้องวันทยหัตถ์เขา  แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต่อสู้กันและกันจนถึงตายได้  มันน่าสนใจมาก

         ผมพูดกับเจ้าของบ้านว่า “ช่วยเปิดประตูหน้าบ้านให้ด้วย”  เมื่อเขาเปิดประตูหน้าบ้าน ผีก็ออกไปและหญิงที่ถูกผีเข้าก็กลับมาเป็นปกติ  ตัวคุณเองต้องอยู่ที่นั่นจึงจะเห็นความแปลกประหลาดนี้

                ผมขับผีออกได้อย่างไรหรือ? ก็ในพระนามของพระเยซู  ในระดับแนวราบของการสู้รบนี้  พระเยซูทรงเป็นผู้บัญชาการและเราก็ทำการภายใต้อำนาจของพระองค์   นายร้อยโรมันเข้าใจสิ่งนี้ได้ดี (มัทธิว 8 และลูกา 7)  เขาเข้าใจหลักการในลักษณะนี้ว่า “เมื่อข้าพระองค์สั่งคนของข้าพระองค์ พวกเขาก็เชื่อฟังข้าพระองค์  ในโลกของฝ่ายวิญญาณแล้วเมื่อคุณออกคำสั่ง  มันก็จะเป็นเช่นนั้นทันที”  ดังนั้นเขาจึงขอให้พระเยซูทรงเมตตาคนรับใช้ของเขา  พระเยซูจึงตรัสสั่งและคนรับใช้ของเขาก็หายโรค

         พวกเราที่ติดตามพระเยซู เรากระทำการในพระนามของพระองค์เพราะเราดำเนินชีวิตในพระนามของพระองค์  ผีจะมีระดับสูงแค่ไหนนั้นไม่สำคัญ เราก็ยังคงขับมันออกในพระนามของพระเยซู  ผู้ทำงานของคริสตจักรนี้ไม่สามารถจะขับผีออกได้ พวกเขาจึงได้ส่งหญิงคนนั้นมาให้ผม  ผมไม่อยากจะคอยจับผิด แต่ก็เห็นชัดว่าถ้าพวกเขาขับผีออกได้  พวกเขาก็คงจะไม่ส่งเธอมาให้ผม  อันที่จริงผมไม่เคยเห็นหญิงคนนี้หรือสามีหรือลูกสาวของเธอมาก่อน  ผมไม่รู้จักพวกเขาเลย  และหลังจากนั้นไม่นานหญิงคนนี้ก็ขอรับบัพติศมาและสามีกับลูกสาวของเธอก็เช่นกัน ทั้งครอบครัวรับบัพติศมา เฮเลนกับผมก็อยู่ในพิธีบัพติศมาด้วย

 

คำทักทายของเปาโลกับ “อิสราเอลของพระเจ้า”

         ก่อนจะไปต่อ  ผมอยากจะพูดอย่างนี้ว่า อย่ายอมรับคำสอนใดที่ผม อิริค ชาง ให้คุณเพียงเพราะผมบอกว่ามันเป็นความจริง  เมื่อเปาโลกับสิลาสสั่งสอนชาวยิวในธรรมศาลาเบโรอา เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรีซ  พวกเขาค้นดูพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อดูว่าสิ่งที่เปาโลกำลังสอนนั้นสอดคล้องกับพระคำของพระเจ้าหรือไม่ (กิจการ 17:10-11)  ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่คำว่า “พระคัมภีร์” หมายถึงพระคัมภีร์เดิมที่เราเรียกกันในปัจจุบันนี้  ผมหวังว่าคุณจะทำตามตัวอย่างที่ดีของชาวเบโรอา  เพราะถ้าคุณค้นดูพระคัมภีร์คุณจะมีความมั่นใจที่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังสอนคุณคือความจริง  อย่าเชื่ออะไรเพียงเพราะว่าผมบอกอย่างนั้น  เช่นเดียวกับที่ชาวยิวในเบโรอาไม่ได้เชื่ออะไรเพียงเพราะว่าอัครทูตเปาโลกล่าวเช่นนั้น  ผมจะขอบอกประเด็นหลักของผม

         ในตอนต้นผมได้ทักทายคุณด้วยคำที่เปาโลทักทาย “อิสราเอลของพระเจ้า[12] (“สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า” กาลาเทีย 6:16) ถ้อยคำว่า “อิสราเอลของพระเจ้า” มีเฉพาะในข้อนี้และไม่มีปรากฏที่อื่นอีกในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม

         สิ่งแรกเราทราบว่านี่เป็นการกล่าวคำอำลาชาวกาลาเทีย  เปาโลกำลังบอกลาเมื่อเขาสรุปจดหมายของเขาถึงชาวกาลาเทีย  แม้กระทั่งทุกวันนี้ชาวยิวก็ทักทายกันและกันด้วยคำ “ชาโลม” (สันติสุข)  พวกเขาทำอย่างนี้เมื่อพบกัน  แต่ก็ทำอย่างเดียวกันด้วยเมื่อพวกเขาบอกลากัน  พวกเขาไม่ได้พูดคำว่า “ลาก่อน”  แต่จะพูดว่า “ชาโลม” (สันติสุข)

         เปาโลก็ทำอย่างเดียวกัน เมื่อขึ้นต้นจดหมายของเขาในกาลาเทีย 1:3[13]  เปาโลทักทายพวกเขาว่า “ชาโลม” ในคำกล่าวว่า “ขอให้พระคุณและสันติสุขดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” และเมื่อลงท้ายจดหมายเขาก็กล่าวว่า “สันติสุข” เมื่อเขาขอสันติสุขและพระเมตตาอยู่กับอิสราเอลของพระเจ้า

         คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นอิสราเอล?  คุณคงไม่รู้  แต่อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าใครที่เป็นของอิสราเอลก็คือคนอิสราเอล  คนอิสราเอลยังถูกเรียกว่าคนยิวด้วย   ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่และที่จริงในพระคัมภีร์ใหม่ก็เรียกชาวอิสราเอลว่าชาวยิว  แต่คุณอาจถามว่า “คุณกำลังจะบอกผมว่าผมเป็นคนยิวอย่างนั้นหรือ?”  ผมคิดว่าผมเป็นคนจีนเสียอีก  แล้วอยู่ดีๆผมจะมาเป็นคนยิวหรือคนอิสราเอลได้อย่างไรกัน?”

         นี่คือความจริงที่สำคัญซึ่งคริสตจักรไม่รู้ มีความหมายมากมายอยู่ในความจริงนี้ที่ผมไม่สามารถจะพูดครอบคลุมได้ทั้งหมดในคำสอนครั้งเดียวนี้ จะต้องมีการอธิบายให้ครบถ้วนมากขึ้นในโอกาสอื่น

 

เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ

         มีบางอย่างที่คุณต้องรู้เพื่อประโยชน์กับความรอดของคุณและเพื่อประโยชน์กับการประกาศพระกิตติคุณ  เมื่อคุณบอกให้คนเชื่อในพระเยซู  คุณกำลังบอกอะไรกับพวกเขาหรือ?  คุณกำลังบอกว่า “จงเชื่อในพระเยซูแล้วคุณจะรอด”  คุณจะประกาศพระกิตติคุณอย่างไรได้อีก?  แต่ตรงนี้มีปัญหา  คุณจะบอกคนเหล่านั้นว่า “จงเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์เพื่อคุณในวันอีสเตอร์อย่างนั้นหรือ”?  คนๆหนึ่งจะรอดเพียงเพราะเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์แค่นั้นหรือ?  แม้หากเขาจะเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อเขาโดยตรงและโดยเฉพาะ แค่นั้นพอที่จะทำให้รอดได้ไหม?  แต่นั่นก็เป็นคำสอนมาตรฐานของคริสตจักรในทุกวันนี้ไม่ใช่หรือ?

         พี่น้องทั้งหลาย มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น  เมื่อมีการปฏิรูปศาสนา มาร์ติน ลูเธอร์ มีคำสอนว่า “เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ” ถ้อยคำนี้หมายความว่าอย่างไร?  คนส่วนใหญ่ไม่ทราบจริงๆว่ามันหมายความว่าอะไร  ดังนั้นนักเทศน์ทุกคนจึงเทศน์ตามที่เขาอยากจะเทศน์ ที่จริงแล้วบรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ได้ศึกษาข้อสงสัยที่มีมานานในเรื่องการเป็นคนชอบธรรม

         ประเด็นพื้นฐานเกี่ยวกับการเป็นคนชอบธรรมอยู่ที่การให้ความหมายนั่นเอง  มีความหมายที่เป็นไปได้สองความหมาย  คือการทำให้ชอบธรรมกับการประกาศว่าชอบธรรม  สองอย่างนี้แตกต่างกันมาก  ถ้าคุณถูกทำให้ชอบธรรม คุณก็มาเป็นคนชอบธรรมจริงๆ  คุณได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นคนใหม่  คุณเคยเป็นคนอธรรมแต่ตอนนี้คุณถูกทำให้ชอบธรรมเพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาในชีวิตของคุณและเปลี่ยนแปลงคุณ

         แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สอนกันในปัจจุบันนี้  ดังที่คุณจะเห็นได้จากคำภาษาจีน  ในสองความหมายที่เป็นไปได้ของ “การเป็นคนชอบธรรม” นั้นพระคัมภีร์ภาษาจีนเลือก “การถูกประกาศว่าชอบธรรม”[14]มากกว่า “การมาเป็นคนชอบธรรม”[15] พระคัมภีร์ภาษาจีนได้ตีความ “การเป็นคนชอบธรรม”  นี่เป็นปัญหาสำคัญอย่างมากของการแปล  มันเป็นการตีความไม่ใช่การแปล  ผมหวังว่าผู้แปลจะยอมรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาได้แปลไว้ในภาษาจีน  อย่างน้อยการแปลของภาษาอังกฤษ (“การเป็นคนชอบธรรม”) ก็ไม่ได้ให้ความหมายเช่นนั้นในทางใดทางหนึ่ง

         ถ้าคุณถูกประกาศว่าชอบธรรม มันก็ไม่ได้หมายความว่าในความเป็นจริงแล้วคุณจะชอบธรรม  มันก็เหมือนกับที่ฆาตกรพ้นผิดในศาลเพราะพยานหลักฐานไม่พอที่จะเอาผิดกับเขาได้   ดังนั้นเขาจึงถูกประกาศว่าไม่มีความผิดทั้งๆที่ตามความเป็นจริงแล้วเขาได้ทำผิด แต่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้วคุณจะหนีการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้ไม่พ้นเพราะพระองค์ทรงรู้ความผิดทุกอย่างของคุณ  ความรอดแบบไหนหรือที่ประกาศให้คนๆหนึ่งเป็นคนชอบธรรมในเมื่อเขายังคงดำเนินชีวิตในบาปอยู่?  พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคุณจะถูกประกาศว่าไม่มีความผิดแม้ว่าคุณยังคงดำเนินในความบาปต่อไปอย่างนั้นหรือ?  แต่นั่นเป็นสิ่งที่สอนกันในปัจจุบันนี้  และนั่นคือเหตุผลที่คริสตจักรในทุกวันนี้จึงอ่อนแอ ขาดฤทธิ์เดช และไม่สามารถจะขับผีได้  ขอโทษด้วยถ้ามันฟังดูว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ แต่นี่คือข้อเท็จจริง  บางครั้งเราจำเป็นต้องพูดความจริงแม้ว่าจะฟังดูไม่ดีหรือไม่สุภาพ

          ในท้ายที่สุด “เป็นคนชอบ​ธรรม​โดย​ความ​เชื่อ” ก็ไม่กระจ่างชัดนักและที่จริงทำให้เกิดความสับสน เว้นแต่ว่าคุณจะให้คำนิยามที่ชัดเจน

         และถ้าการเป็นคนชอบธรรมเป็นปัญหา  ความเชื่อก็เป็นปัญหาเช่นกัน  ความเชื่อคืออะไรกันแน่?  บางคนเข้าใจว่าความเชื่อหมายถึง “ใจของผมเชื่อว่ามีพระเจ้า และมีบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ชื่อพระเยซูคริสต์  ผมเชื่อว่าพระเยซูตายและฟื้นขึ้นมาใหม่  ผมยังเชื่อต่อไปอีกว่าพระองค์ตายเพื่อความบาปของโลกนี้ซึ่งรวมทั้งตัวผม  นั่นคือความเชื่อ! ผมเชื่อจริงๆ!   ที่คุณเพิ่งบอกผมมานั้น  ตอนนี้ผมก็เป็นคนชอบธรรมและรอดแล้ว” ถ้าคุณจะให้คริสตจักรเต็มด้วยคนที่มีความเชื่อแบบนี้คริสตจักรก็จะไปไม่ถึงไหน  มันจะเป็นคริสตจักรที่ตายแล้ว  คุณประกาศและสอนคนมากมายอย่างนั้นไหม?  ที่คุณรอดก็เพราะแค่เชื่อในข้อเท็จจริงหรือ?  คุณรู้ไหมว่านี่ไม่ใช่ความหมายของความเชื่อในพระคัมภีร์?

         ในพระคัมภีร์นั้นสาระสำคัญของความเชื่อก็คือการเชื่อฟัง  เปาโลพูดถึง “การเชื่อฟังซึ่งมาจากความเชื่อ” ในบทแรกและบทสุดท้ายของโรม (โรม 1:5 และ 16:26)[16]  ถ้าคุณมีความเชื่อที่แท้จริง คุณจะเชื่อฟัง  การเชื่อฟังมาจากใจและออกมาเป็นการกระทำ  ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดอยู่แต่ในหัว  คุณอาจจะเชื่ออยู่ในหัวของคุณแต่ไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย  แต่การเชื่อฟังหมายถึงการลุกขึ้นและทำตามคำสั่งนั้น  การดำเนินชีวิตในพระนามของพระเยซูหมายถึงการดำเนินชีวิตภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์และเชื่อฟังพระองค์  ถ้าคุณไม่ได้กำลังทำแบบนี้ คุณก็ไม่ควรจะใช้ “ในพระนามของพระเยซู”

 

การทำสุหนัตทางใจ

         มีอะไรผิดปกติกับคำสอนเรื่องความรอดแบบนี้ไหม?   จากความเกี่ยวข้องกันนี้ทำให้ผมจำเป็นต้องพูดถึงสิ่งที่จะทำให้ขัดหู  แต่มันเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่เกินกว่าจะโต้เถียงได้

         ทำไมคริสตจักรของคริสเตียนในประเทศตะวันตกจึงไม่ชอบให้พูดถึงผู้เชื่อว่าเป็นอิสราเอล หรือเป็นอิสราเอลของพระเจ้า?  เมื่อผมพูดว่าคุณเป็น “อิสราเอลของพระเจ้า”  มันฟังดูไม่คุ้นและแปลกกับคุณไหม?  แต่ในคำสอนของเปาโลและอันที่จริงในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มมีว่า  ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อแท้คุณก็เป็นอิสราเอลแท้  พระเจ้าของอิสราเอลคือพระเจ้าของคุณก็เพราะว่าคุณเป็นชนอิสราเอล  คุณและผมเป็นชนอิสราเอลโดยจิตวิญญาณไม่ใช่จากกายภายนอก

         พี่น้องทั้งหลายนี่เป็นคำสอนที่มีความสำคัญที่สุด  เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็น “พระเจ้าของอิสราเอล” ดังนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือถ้าคุณเป็นชนอิสราเอล พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของคุณ  คำว่า “พระเจ้าของอิสราเอล” มีปรากฏในพระคัมภีร์มากกว่า 200 ครั้ง   พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดถึงอิสราเอล  คุณลองเปิดพระคัมภีร์ของคุณดูแล้วคุณจะพบว่ามีอิสราเอลอยู่ในทุกที่  ชื่อ “อิสราเอล” ปรากฏประมาณ 2,500 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมซึ่งก็คือพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู  คุณเห็นไหมว่ามันสำคัญแค่ไหน?

                เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับความรอดของเราหรือ?  ที่พูดมาโดยตลอดเกี่ยวกับการรอดโดยการเชื่อในพระเยซูและคำสอนในแบบเดียวกันนั้นไม่ได้มีรากฐานในพระคัมภีร์  จากที่ได้ใช้ทั้งชีวิตศึกษาพระคัมภีร์และสั่งสอนพระกิตติคุณ นี่จึงเป็นเรื่องช็อกสำหรับผมที่เห็นว่าเราไม่ได้อธิบายความจริงทั้งหมด  ในหนังสือ “การมาเป็นคนใหม่” ที่ผมได้พยายามอธิบายความจริงไว้ 600 หน้านั้นขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป  แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีรากฐานแน่นจากพระคัมภีร์ ผมก็ยังพลาดพื้นฐานสำคัญไปเพราะในการอบรมทางพระคัมภีร์และทางศาสนศาสตร์ของผมนั้น ผมไม่เคยได้รับการสอนว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมาเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ

            ครั้งแรกที่พระเยซูได้พบกับนาธานาเอล  พระองค์ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “นี่​แหละ ชาว​อิส​รา​เอล​แท้ ใน​ตัว​เขา​ไม่​มี​อุบาย” (ยอห์น 1:47)  ข้อคิดเห็นจากพระเยซูที่ออกจะแปลกสักหน่อยเพราะนาธานาเอลเป็นคน​อิส​รา​เอล​ คือเป็นคนยิวอยู่แล้ว   แต่พระเยซูกำลังสอนถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอิสราเอลแท้กับอิสราเอลที่ไม่ใช่อิสราเอลแท้  เปาโลอธิบายเรื่องนี้ในโรม  2:28-29 ว่า

เพราะ​ว่า​ยิว​แท้ ไม่​ใช่​คน​เป็น​ยิว​แต่​ภาย​นอก​เท่า​นั้น และ​การ​เข้า​สุหนัต​แท้​ก็​ไม่​ใช่​การ​เข้า​สุหนัต​ซึ่ง​ปรา​กฏ​ที่​เนื้อ​หนัง​เท่า​นั้น คน​เป็น​ยิว​แท้ คือ​คน​ที่​เป็น​ยิว​ภาย​ใน และ​การ​เข้า​สุหนัต​แท้​นั้น​เป็น​เรื่อง​ของ​จิต​ใจ ตาม​พระ​วิญ​ญาณ​ไม่​ใช่​ตาม​ตัว​บท​บัญ​ญัติ คน​อย่าง​นั้น​ไม่​ได้​รับ​การ​ยก​ย่อง​จาก​มนุษย์ แต่​ได้​รับ​จาก​พระ​เจ้า (โรม 2:28-29  ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสที่จะรอด  ถ้าคุณไม่ได้ทำสุหนัตในใจคุณจะไม่รอด  ความจริงที่สำคัญมากมีอธิบายไว้หลายที่ในพระคัมภีร์ก็คือคุณจะต้องทำสุหนัตในใจเพื่อจะรอดได้   ความจริงในเรื่องนี้มีให้เห็นทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่  ยกตัวอย่างเช่น เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6 กล่าวว่า พระยาห์เวห์จะทำสุหนัตในใจของคุณและใจลูกหลานของคุณ “เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​รัก​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ด้วย​สุด​จิต​สุด​ใจ​ของ​ท่าน เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ได้”[17] เพื่อคุณจะรอดได้  ถ้าคุณไม่ได้ทำสุหนัตในใจ คุณก็จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของคุณด้วยสุดใจสุดจิตสุดความคิดและสุดกำลังไม่ได้

          ผมหวังว่าคุณจะเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของความจริงข้อนี้  ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ประกาศการลงโทษของพระเจ้าว่า “​เรา​จะ​ลง​โทษ​ทุก​คน​ที่​เข้า​สุหนัต​เพียง​เนื้อ​หนัง​คือ....เพราะ​ทุก​ประ​ชา​ชาติ​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต  และพงศ์​พันธุ์​ทั้ง​สิ้น​ของ​อิส​รา​เอล​ก็​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต​ทาง​ใจ” (เยเรมีย์ 9:25-26  ฉบับมาตรฐาน 2011) อิสราเอลก็ทำสุหนัตทางใจเหมือนกับคนในส่วนอื่นๆของโลก  เปาโลกล่าวในโรม 9:6 ว่า​  ไม่​ใช่​​ทุก​คน​ที่​เกิด​มา​จาก​อิส​รา​เอล​นั้นเป็น​คน​อิส​รา​เอล​แท้   และไม่​ใช่​ทุกคน​ที่เป็นบุตร​ของ​อิสราเอลทางเนื้อ​หนังจะเป็น​บุตรของอิสราเอล​ (ข้อ 8)[18] หรือจะพูดอีกอย่างว่า  ไม่จำเป็นที่ชาวยิวทางเนื้อหนังจะต้องเป็นลูกของอิสราเอล  แต่คนที่ทำสุหนัตในใจโดยพระวิญญาณต่างหากที่เป็นอิสราเอลแท้ของพระเจ้า และเป็นเชื้อสายทางฝ่ายวิญญาณของอับราฮัม (โรม 4:11-12)[19]

         สิ่งที่เปาโลกล่าวในโคโลสี 2:11 ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​รับ​การ​เข้า​สุหนัต​ด้วย​พิธี​เข้า​สุหนัต​ที่​ไม่ได้​ทำ​ด้วย​มือ​มนุษย์” นั้นน่าคิด  เพราะว่าเขากำลังพูดกับคริสตจักรโคโลสีซึ่งมีคนยิวไม่กี่คนแต่ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ  แต่เปาโลก็พูดกับพวกเขาว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​รับ​การ​เข้า​สุหนัต”  สิ่งที่พวกเขาได้รับไม่ใช่การได้เข้าสุหนัตทางกายแต่ได้เข้าสุหนัตทางใจ เปาโลกล่าวกับชาวฟีลิปปีว่า “เพราะ​ว่า​เรา​ต่าง​หาก​ที่​เป็น​พวก​เข้า​สุหนัต” (ฟีลิปปี 3:3)   “พวกเข้าสุหนัต” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวยิว  เปาโลกำลังพูดว่าผู้ที่ได้เข้าสุหนัตทางใจนั้นเป็นยิวแท้  ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าทำไมเปาโลจึงเรียกชาวกาลาเทียว่า “อิสราเอลของพระเจ้า”

         เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์และจดหมายไปถึงชาวโรมอีกครั้ง  ตอนนี้คุณอาจจะอ่านด้วยสายตาใหม่ที่รู้ว่าคุณเป็นยิวแท้  เป็นอิสราเอลแท้เหมือนที่นาธานาเอลเป็น  ที่นาธานาเอลได้รับก็คือการทำสุหนัตทางใจไม่ใช่การทำสุหนัตทางกายซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาเป็นอิสราเอลแท้

 

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของการต่อต้านชาวยิวในคริสตจักรตะวันตก

         ตอนนี้ผมจะพูดถึงสิ่งที่ไม่น่ายินดีแต่เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ทำไมคริสจักรคริสเตียนตะวันตกจึงเก็บงำคำสอนเรื่องที่คริสเตียนเป็นชาวยิวในฝ่ายวิญญาณหรือ?  ผมจะบอกคุณว่าทำไม  มันเป็นเพราะคริสตจักรตะวันตกซึ่งหลักๆแล้วหมายถึงคริสตจักรในยุโรปที่มีประวัติศาสตร์การครอบงำคริสตจักรมากที่สุดและยาวนานที่สุดนั้นมีแนวคิดต่อต้านชาวยิวอย่างรุนแรง

          เราที่อยู่ในเอเชียไม่มีความรู้สึกที่จะต่อต้านชาวยิวเลย  มันอาจเป็นเพราะมีชาวยิวอยู่ไม่มากในแถบนี้ของโลก  เมื่อชาวยิวหนีการถูกข่มเหงในประเทศตะวันตกหลายร้อยปีมาแล้ว  ชาวยิวจำนวนมากหนีมาประเทศจีนโดยรู้กันดีว่าพวกเขาตั้งรกรากอยู่แถบไคฟง[20]ในมณฑลเห-หนาน[21]  ปัจจุบันนี้คุณสามารถจะหาอ่านได้จากหนังสือเกี่ยวกับชาวยิวแห่งไคฟง   ตลอดหลายศตวรรษมานี้พวกเขาแต่งกายแบบจีนและพูดภาษาจีนอย่างคล่องแคล่ว  ไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างคนจีนกับคนยิวให้ได้เห็น

         แต่ประวัติศาสตร์ของชาวยิวในประเทศตะวันตกนั้นต่างกันมาก  ไม่นานมานี้ผมขนลุกซู่เมื่อผมกลับมาอ่านประวัติศาสตร์ของชาวยิวที่เกี่ยวกับคริสตจักรในยุโรป แต่คราวนี้อ่านอย่างถี่ถ้วนขึ้น  พวกเขาถูกข่มเหงมาตลอด

         มันเป็นความจริงที่ชาวยิวส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคริสตจักร (คริสเตียน) กับธรรมศาลา (ชาวยิว)  เรารู้จากหนังสือกิจการว่าเปาโลถูกชาวยิวข่มเหงค่อนข้างรุนแรงเพราะเขาจะเข้าไปในธรรมศาลาของชาวยิวและประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา  เขาถูกปฏิเสธและถูกโบยตีหลายครั้งซึ่งเป็นเกณฑ์การลงโทษในธรรมศาลากับคนที่ถือว่านอกรีต  มันเป็นมาตรการของธรรมศาลาเพื่อปกป้องศาสนาของพวกเขา  การลงโทษตามเกณฑ์คือสี่สิบลบหนึ่งเพื่อเห็นแก่ความเมตตา   เปาโลถูกเฆี่ยนห้าครั้งๆละสามสิบเก้าที[22] และถูกตีด้วยไม้สามครั้ง (2 โครินธ์ 11:24-25)[23] ที่จริงการถูกเฆี่ยนด้วยไม้แข็งนี้จะเจ็บปวดกว่ามาก  เปาโลไม่ได้ถูกชาวยิวเฆี่ยนเท่านั้นแต่เขายังถูกชาวต่างชาติเฆี่ยนด้วย  จึงทำให้มีรอยแผลเป็นและรอยฟกช้ำเต็มไปหมดตามร่างกายของเขาดังที่เขากล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้ามีเครื่องหมายของพระเยซูอยู่บนกายของข้าพเจ้า”(กาลาเทีย 6:17)[24]

         เราจะเห็นว่ามีความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างท่าทีของเปาโลที่มีต่อชาวยิวกับท่าทีของคริสตจักรของคนต่างชาติ  เปาโลรักชาวยิวและจะสั่งสอนพวกเขาก่อนที่จะสั่งสอนคนอื่นๆ  แล้วทำไมเปาโลจึงถูกเฆี่ยนหลายครั้งมาก?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเปาโลกลับไปหาพวกเขาอีกเรื่อยๆนั่นเอง!  ถ้าคุณไม่กลับไปอีกคุณก็คงไม่ถูกเฆี่ยน!  เปาโลต้องการจะสั่งสอนพระกิตติคุณกับพวกเขาอย่างมากจนยอมให้พวกเขาเฆี่ยนตีตามใจชอบและเขาก็ยังคงกลับไปอีก  เปาโลทำตามคำสอนของพระเยซูที่ว่า คน​ที่​ถูก​ข่ม​เหง​เพื่อพระคริสต์ก็​เป็น​สุข (มัทธิว 5:10-12)

         แต่คริสเตียนชาวต่างชาติ (ที่ไม่ใช่ชาวยิว) มีท่าทีที่ต่างกันมากต่อชาวยิวและเป็นความเกลียดชังอย่างสุดๆ  คราวนี้ไม่ใช่พวกเขาที่ถูกชาวยิวเฆี่ยนตี  แต่พวกเขาเป็นคนเฆี่ยนตีชาวยิว  ที่จริงแล้วมันเลวร้ายกว่านั้นมาก

         เมื่อมาถึงศตวรรษที่สี่  ชะตากรรมของชาวยิวก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นเมื่อจักรพรรดิคอนแสตนตินให้การรับรองคริสตจักรขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ  ให้ศาสนาของคริสเตียนสำคัญกว่าศาสนาอื่นๆ  เขาทำแบบนี้เพื่อเหตุผลทางการเมืองไม่ใช่เพื่อศาสนา  จากนั้นสภาสังคายนาไนเซียครั้งแรกในปี ค.. 325 ได้ประกาศให้พระเยซูเป็นพระเจ้าซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้ในหนังสือต่างๆ  และผลที่เกิดขึ้นตามมากับชาวยิวนั้นเลวร้ายมาก  พวกเขาไม่ได้แค่ถูกกล่าวหาว่าปฏิเสธและตรึงพระคริสต์เท่านั้น  พวกเขายังถูกประกาศว่าเป็นผู้ฆ่าพระเจ้า  ภาษาอังกฤษยังได้สร้างคำขึ้นมาว่า “deicide” (การฆ่าพระเจ้า) คำนี้มาจากภาษาลาตินว่า “dei” (พระเจ้า) และ “cida” (จาก caedere คือการโค่น หรือ ฆ่า)  การฆ่าพระเจ้านี้เรียกว่า “deicide”[25]  เช่นเดียวกับการฆ่าคนที่เรียกว่า “homicide”

         ขอพระเจ้าทรงช่วยชาวยิวด้วยเถิด  เพราะตอนนี้พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นฆาตกรฆ่าพระเจ้า  ก่อนศตวรรษที่สี่ก็แย่พออยู่แล้วแต่หลังศตวรรษที่สี่การข่มเหงก็เลวร้ายยิ่งกว่าการเฆี่ยนตี  ตอนนี้ชาวยิวถูกฆ่าและถูกกล่าวหาในทุกเรื่องเท่าที่สามารถจะคิดได้  หลังจากที่คุณถูกกล่าวหาว่าฆ่าพระเจ้า  แล้วจะมีความผิดที่ร้ายแรงอะไรอื่นอีกที่คุณจะไม่ถูกกล่าวหาด้วย?  (พูดอย่างเป็นธรรมแล้ว มีผู้นำคริสตจักรบางคนได้พยายามหยุดยั้งการโจมตีชาวยิว)   คุณสามารถหาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของการกดขี่ชาวยิวจากคริสตจักรก็มีให้อ่านเยอะ  การประกาศว่าชอบธรรมน่ะหรือ?  การทำให้ชอบธรรมน่ะหรือ?  เรากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?  นี่คือความชอบธรรมหรือ?

         เมื่อมาถึงช่วงสงครามครูเสด[26]ในศตวรรษที่ 11 เฉพาะที่แห่งเดียวพวกคริสเตียนก็ได้ฆ่าชาวยิวถึง 10,000 คน  ผู้ทำสงครามครูเสดมีไม้กางเขนที่หน้าอก มีไม้กางเขนที่หัวไหล่ มีไม้กางเขนอยู่ทุกที่ พวกเขาฆ่าชาวยิวเพราะว่าคนเหล่านี้ที่เรียกว่าพวกที่ฆ่าพระเจ้าก็ต้องถูกฆ่า  ดังนั้นผู้ทำสงครามครูเสดจึงไม่ได้ฆ่าแต่ชาวมุสลิมเท่านั้น พวกเขายังฆ่าชาวยิวอีกด้วย  เมื่อพวกคริสเตียนยึดเยรูซาเล็มได้จากพวกมุสลิมในสงครามครูเสดครั้งแรก พวกเขาก็เผาธรรมศาลาที่มีชาวยิวอยู่ข้างใน!  พวกเราที่เป็นคริสเตียนเราไม่ต้องการจะได้ยินเรื่องแบบนี้เพราะเราไม่เชื่อว่าคริสเตียนจะทำเรื่องเช่นนี้ได้  แต่คริสเตียนได้ทำสิ่งนี้จริงๆ  ผมพูดอย่างนี้ด้วยความเศร้าใจ ด้วยความรู้สึกอัปยศกับสิ่งที่เราคริสเตียนได้ทำไป

         พวกเราที่อยู่ในเอเชียไม่มีเรื่องทะเลาะกับชาวยิว    แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนทุกเรื่องที่ชาวยิวกระทำในปัจจุบันในตะวันออกกลาง  ผมไม่สนับสนุน  ผมเห็นใจชาวปาเลสไตน์อย่างมาก  พวกเขาเป็นชาวอาหรับและชาวอาหรับก็มีเชื้อสายมาจากอับราฮัม  ชาวอาหรับก็เหมือนกับชาวยิวที่เป็นลูกของอับราฮัม  พวกเขาเป็นพี่น้องกัน  แต่ดูสิ่งที่พวกเขากระทำต่อกันสิ

         แต่ก่อนที่เราจะคิดว่าเราเป็นฝ่ายถูก  ก็จงดูความโหดร้ายที่พวกคริสเตียนได้ทำ  คุณอาจคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคริสเตียนธรรมดาๆที่ทำไปด้วยความไม่รู้  แต่ในความเป็นจริงแล้วการกระทำที่โหดร้ายเหล่านี้มักจะได้รับการสนับสนุนจากพวกผู้นำคริสตจักร มันเป็นเช่นนั้นจริง แม้แต่มาร์ติน ลูเธอร์เองผู้ที่พูดถึงการเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ  ผมถึงกับช็อกเมื่อผมอ่านคู่มืออธิบายหนังสือโรมของเขา  อันที่จริงแม้แต่คำนำหนังสือโรมของเขาก็จะมีทัศนคติต่อต้านชาวยิวของลูเธอร์ให้เห็นอยู่ทั่วคำนำ จนถึงกับทำให้เมื่อผมอ่านจบ ผมก็ไม่อยากอ่านคู่มือพระคัมภีร์ของเขาอีกต่อไป

         เมื่อเฮเลนและผมไปประเทศเยอรมันประมาณสิบปีที่แล้ว  ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมคริสตจักรที่ลูเธอร์ติดคำประท้วง[27]ของเขาไว้ที่ประตูโบสถ์  เมื่อผมมองไปรอบๆภายในคริสตจักร  ผมเห็นคำขอโทษที่สภาศาสนาของเยอรมันติดเอาไว้อย่างเด่นชัด  มันเป็นคำขอโทษต่อทัศนคติที่ต่อต้านคนยิวของลูเธอร์  นอกจากนี้ยังมีการแจ้งว่ามีคำขอโทษติดอยู่ด้านนอกคริสตจักรด้วย  ผมจึงออกไปดูข้างนอก ตรงทางเข้าด้านนอกมีรูปปั้นหมู  เพราะลูเธอร์ได้เปรียบชาวยิวกับหมูว่าเป็นคนสกปรกที่ฆ่าพระเจ้า

        ผมมีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “การต่อต้านชาวยิว”[28] ที่มีคำบรรยายว่า “ความเกลียดชังที่แสนยาวนาน”[29]เขียนโดยโรเบิร์ต เอส วิสทริช[30]  ลองคิดดูสิ มันเป็นความเกลียดชังที่แสนยาวนาน  ปกด้านในกล่าวว่าวิสทริชได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และมหาวิทยาลัยลอนดอน  และตอนนี้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮีบรูในกรุงเยรูซาเล็ม  หนังสือเล่มนี้เขียนร่วมกับสารคดีของบีบีซีชุดการต่อต้านชาวยิว

         ในหนังสือเล่มนี้มีการอ้างคำพูดอันยืดยาวของลูเธอร์ที่เขาต่อว่าชาวยิว แต่ผมจะไม่ยกมาทั้งหมดเพราะมันไม่น่าสนใจอย่างมาก  คำอ้างอิงนี้มาจากหนังสือเล่มเล็กๆของลูเธอร์ชื่อ “เรื่องเกี่ยวกับชาวยิวและคำโกหกพกลมของพวกเขา”[31] ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1543  ย่อหน้าแรกเริ่มว่า “ประการแรก ธรรมศาลาหรือคริสตจักรของพวกเขาควรจะถูกไฟเผา  และสิ่งที่ไม่ไหม้ก็ควรจะเอาผงเถ้ามากลบให้ทั่ว  จะได้ไม่มีใครได้เห็นเถ้าถ่านหรือเศษดินเศษหินหลงเหลือ  และนี่ควรจะทำเพื่อพระเกียรติของพระเจ้าและคริสต์ศาสนา  เพื่อพระเจ้าจะเห็นว่าเราคือคริสเตียน”

       ผมไม่ต้องการจะอ่านเรื่องนี้ต่อ  ลูเธอร์กล่าวที่อื่นว่าบ้านเรือนของชาวยิวควรจะถูกทำลาย  และพวกเขาควรจะถูกขับออกนอกประเทศ

         เยอรมันช่วงแรกของสมัยยุคกลาง[32] (ลูเธอร์อยู่ในช่วงปลายสมัยยุคกลาง) คริสเตียนกำหนดให้ชาวยิวติดเครื่องหมายสีเหลืองที่เสื้อผ้าของพวกเขา เพื่อพวกคริสเตียนจะได้รู้ว่าเป็นชาวยิวและจะได้หลีกหนีพวกเขาเสีย และหากจำเป็นก็จะทุบตีหรือแม้กระทั่งว่าฆ่าพวกเขาเสีย ผ้าสีเหลืองนี้ทำให้เรานึกถึงนาซีเยอรมันใช่ไหม? เรารู้กันดีว่าพวกนาซีกำหนดให้ชาวยิวทุกคนติดตราสัญลักษณ์สีเหลืองเป็นรูปดาวของดาวิดที่เสื้อผ้า คุณคงรู้ประวัติศาสตร์ส่วนที่เหลือแล้วว่ามีชาวยิวหกล้านคนถูกฆ่าด้วยการรมแก๊สพิษและไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน

         แต่นี่เป็นเพียงจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเกลียดชังชาวยิว  พวกนาซีไม่ได้ทำอย่างนี้โดยไม่มีเหตุ  มันเป็นผลมาจากความเกลียดชังชาวยิวอย่างฝังลึกที่มีมาเป็นเวลาเกือบสองพันปี

         ตอนนี้คุณจะเห็นว่าทำไมคริสตจักรของคริสเตียนตะวันตกจึงไม่ต้องการจะบอกว่าเราเป็นยิวหรืออิสราเอลฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่อยากจะได้ยินเรื่องนี้แม้พวกเขาอาจจะรู้อยู่บ้างว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างนั้น

        พี่น้องทั้งหลาย มันเป็นวันที่น่าเศร้า  เราได้ทนทุกข์มากเกินไปแล้วจากความผิดพลาดของคริสตจักรคริสเตียนตะวันตก  ความผิดพลาดเหล่านี้รวมถึงความผิดพลาดที่มีมานานในความเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์ของคริสเตียนที่ตบตาว่าเป็นความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวซึ่งพระเจ้าถูกประกาศว่าเป็นแก่นสารไม่ใช่บุคคล  ไม่ว่าจะในภาษาใดหรือแม้แต่ภาษาทางเคมี แก่นสารจะหมายถึงสิ่งของ เราพูดได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงเป็นแก่นสาร[33]?  แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพพูดอย่างแน่ใจว่าพระเจ้าเป็นสามบุคคลที่ร่วมแก่นสารเดียวกัน  ผมสงสัยว่านี่จะเทียบเท่ากับการหมิ่นประมาทหรือไม่

         จากข้อมูลเบื้องหลังนี้  ผมหวังว่าคุณจะเห็นว่าทำไมผมจึงทักทายคุณว่าเป็นอิสราเอลของพระเจ้าแม้ว่าคำพูดนี้คุณอาจฟังดูแปลกๆ  แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะข้อผิดพลาดอย่างอื่นที่เรารับจากคริสตจักรของคริสเตียนตะวันตก ซึ่งก็คือความรู้สึกต่อต้านชาวยิวที่รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเรื่องนี้ก็หายเงียบไปและตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงการเกลียดชังต่อชาวยิวอย่างเปิดเผย  แต่ก็ยังคงมีอยู่เหมือนอย่างในชิ้นงานวิชาการของผู้เขียนสารคดีนี้  ในประเทศอเมริกาก็ยังมีกลุ่มชนผิวขาวที่ถือสีผิวใช้เครื่องหมายสวัสดิกะ[34]ของนาซีเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา  ในประเทศเยอรมันก็ยังมีการโจมตีธรรมศาลาต่างๆ   เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะคริสตจักรไม่ยินดีที่จะดูคำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความรอด

 

การเป็นพลเมืองอิสราเอล  เป็นพันธสัญญากับพระเจ้า

            ช่วงท้ายนี้ให้เราดูเอเฟซัส 2:12 “จงระลึกว่าครั้งนั้นท่านแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้เป็นพลเมืองอิสราเอลและเป็นคนต่างด้าวอยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวังและอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         คริสตจักรเอเฟซัสไม่ได้มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวยิวถึงแม้จะมีชาวยิวอยู่บ้าง  เปาโลกำลังบอกชาวเอเฟซัสว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้แยกจากพระคริสต์และขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล  เป็นคนต่างด้าวที่อยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้  ไม่มีความหวังและอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า(พระยาห์เวห์)  แต่เมื่อคุณเป็นอันหนึ่งกับพระคริสต์  สถานการณ์จะกลับกัน  และพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการเหล่านี้ที่คุณไม่มีแต่ตอนนี้คุณจะมี

     ที่ผมพูดว่าผู้ที่เป็นอิสราเอลของพระเจ้าเข้าสุหนัตทางใจนั้น  เปาโลอธิบายว่าการเข้าสุหนัตทางใจหมายความว่าอย่างไรในสองข้อก่อนหน้าที่จะกล่าวถึงอิสราเอลของพระเจ้าว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไรเว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้กางเขนนั้นโลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้วและข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว” (กาลาเทีย 6:14 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ถ้าคุณเข้าสุหนัตทางใจ  คุณก็ถูกตรึงไว้จากโลกและโลกก็ถูกตรึงไว้จากคุณ

         เปาโลพูดต่อเกี่ยวกับการเข้าสุหนัตในข้อต่อมา “เพราะ​ว่า​จะ​เข้า​สุหนัต​หรือ​ไม่​นั้น ไม่​สำ​คัญ​อะไร แต่​การ​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​นั้น​สำ​คัญ” (ข้อ 15)  แล้วก็ข้อ 16  “สันติ​สุข​และ​พระ​เมต​ตา​จง​มี​แก่​ทุก​คน​ที่​ประ​พฤติ​ตาม​กฎ​นี้ และ​แก่​อิส​รา​เอล​ของ​พระ​เจ้า”  เปาโลไม่ได้พูดถึงคนสองกลุ่มที่แยกกัน  คือคนที่ทำตามกฎกับคนที่เป็นอิสราเอลของพระเจ้า  ทั้งสองเป็นกลุ่มเดียวกันและเหมือนกัน  คนที่ดำเนินชีวิตตามกฎนี้ก็เป็นอิสราเอลของพระเจ้า

         สองสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นกับชาวยิว  คือการเข้าสุหนัตและพันธสัญญา  เราได้พูดถึงการเข้าสุหนัตแล้ว  ฉะนั้นให้เรามาพูดถึงแนวคิดที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับพันธสัญญา

         เราได้เห็นในเอเฟซัส 2:12 ว่าเราเป็นคนต่างด้าวอยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้  แต่ตอนนี้เราอยู่ในพันธสัญญา  พันธสัญญานี้คืออะไรหรือ?  มันก็คือพันธสัญญาใหม่

     เมื่อคุณรับพิธีมหาสนิท  คุณตระหนักถึงสิ่งที่พระเยซูทรงสอนเกี่ยวกับพันธสัญญาไหม? คงอาจจะไม่  เพราะคุณอาจไม่รู้ว่าคุณจะต้องเป็นคนยิวและต้องเข้าสุหนัตที่ใจเพื่อจะอยู่ในพันธสัญญานี้  แล้วคุณได้เข้าร่วมรับพิธีมหาสนิทกี่ครั้ง?  คุณคงเคยได้ยินคำของพระเยซูในลูกา 22:20 หลายครั้ง  “ถ้วย​นี้​ที่​เท​ออก​เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลายเป็น​พันธสัญ​ญา​ใหม่ โดย​โล​หิต​ของ​เรา” (กล่าวซ้ำในมัทธิวและมาระโก เปรียบเทียบกับ 1 โครินธ์ 11:25)  คุณเคยทำพันธสัญญากับพระยาห์เวห์พระเจ้าไหม?  ถ้าไม่เคย  แล้วพิธีมหาสนิทจะมีความหมายอะไรกับคุณหรือ?  พระโลหิตของพระเยซูได้หลั่งออกเพื่อคุณกับผมจะเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ คือเป็นอิสราเอลของพระเจ้า  ถ้าคุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญานี้  แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่ในพิธีมหาสนิท?

         ตลอดชีวิตคริสเตียนของผมส่วนมาก ผมไม่ได้เข้าใจความหมายของพันธสัญญาเพราะว่าคริสตจักรคริสเตียนตะวันตกไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับชาวยิว เช่น พันธสัญญา ที่จริงแล้ว “พระคัมภีร์เดิม” และ “พระคัมภีร์ใหม่”[35] ควรจะหมายถึง “พันธสัญญาเดิม” และ “พันธสัญญาใหม่”[36]  คำภาษาอังกฤษว่า “หนังสือพระคัมภีร์”[37]นั้นออกจะคลุมเครือแต่มันควรจะหมายถึง “พันธสัญญา”  แนวคิดเกี่ยวกับพันธสัญญานี้จะเห็นได้ชัดกว่าในการแปลของภาษาจีนว่า “พันธสัญญาเดิม” และ “พันธสัญญาใหม่”[38]

         พี่น้องทั้งหลาย คุณเห็นไหมว่าเราได้หลงทางไปมากแค่ไหน?  เรากำลังพูดถึงเรื่องของความรอด  ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา คุณก็ไม่ได้รอดและไม่ได้รับพระสัญญาแห่งชีวิตที่เปาโลพูดถึงใน 2 ทิโมธี 1:1[39]

         ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจว่าพันธสัญญาในคำสอนของพระคัมภีร์ใหม่คืออะไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคำสอนแต่เป็นเรื่องของชีวิตและความตาย  สิ่งนี้เผาไหม้อยู่ในใจของผม  ขณะกำลังสอนอยู่นี้คุณคงเห็นว่าผมไม่มีเสียงแล้ว  แต่ผมเต็มใจให้เสียงหายไปเลย หรือเสียชีวิตเพื่อความรอดของพวกคุณ

         ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นความรอดจะผูกอยู่กับการเป็นอิสราเอลแท้ของเรา  การเข้าสุหนัตในใจของเราโดยพระวิญญาณของพระเจ้า (พระวิญญาณบริสุทธิ์)   และการที่เราถูกรวมอยู่ในพันธสัญญาใหม่โดยพระโลหิตของพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระยาห์เวห์  พี่น้องทั้งหลาย พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อจุดประสงค์นี้  นี่เป็นเหตุที่พระองค์จึงหยิบถ้วยแห่งพันธสัญญาใหม่  คุณจะไม่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ถ้าคุณไม่ได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า  ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อประชากรของพระองค์เถิด

 

เป็นคริสตจักรเอเชียจริงๆ

         การค้นดูพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะเราจะพบความจริงในนั้น  เราจะต้องหลุดจากความคิดที่ยึดติดกับคริสเตียนตะวันตกซึ่งพื้นหลังของพวกเขาฝังรากกับความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์โดยที่พวกเขาเองไม่เคยหลุดออกมาอย่างแท้จริง  เช่นเดียวกับความรู้สึกต่อต้านชาวยิวที่พวกเขาเองก็ไม่เคยหลุดออกมาอย่างแท้จริง

         ผมเห็นความจำเป็นมากขึ้นที่จะสร้างคริสตจักรเอเชียจริงๆด้วยรากฐานจากเอเชีย  นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมเห็นความจริงเหล่านี้  แม้ว่าผมจะได้รับการศึกษาในประเทศตะวันตกแต่ผมก็มีความเป็นจีนอยู่ลึกๆในจิตสำนึกของผม  ในประเทศจีนโบราณเราจะพูดถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า”  และ “เจ้าแห่งท้องฟ้า”[40]  ในปักกิ่งเรามี “วิหารแห่งสวรรค์”[41] ที่ไม่มีรูปปั้นหรือภาพใดๆมีแต่คำจารึกว่า “พระเจ้า”  ประเทศจีนมีขนบธรรมเนียมที่ยาวนานในการยกย่องนับถือพระจักรพรรดิในสวรรค์และจักรพรรดิบนโลกผู้ที่ถวายสักการะพระจักรพรรดิเบื้องบน  ผมสังเกตเรื่องนี้เมื่อครั้งเยาว์วัยที่ศึกษาอยู่ในประเทศจีน

        พวกเราที่อยู่ในประเทศจีนไม่เคยมีความเกลียดชังชาวยิว และพวกเขาก็ไม่เคยเป็นปัญหากับเรา ผมพูดตามตรงว่านี่ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบชาวยิวเป็นพิเศษ ทั้งนี้ก็เพราะผมมีประสบการณ์ไม่ดีกับพวกเขาที่เซี่ยงไฮ้บ้านเดิมของผม แต่ผมก็จะไม่ยอมให้สิ่งนี้มาครอบงำความคิดของผม

         ตั้งแต่แรกผมก็ค่อนข้างเป็นอิสระจากแนวคิดเหล่านี้ของคริสเตียนตะวันตก ในความเป็นคริสตจักรนั้นเราต้องรักษาคุณลักษณะความเป็นจีนของเรา  ประเทศจีนควรจะถูกพูดถึงความเป็นสังคมนิยมที่เป็นแบบของจีนเอง[42]   บางทีสิ่งที่เราต้องมีก็คือคริสตจักรที่มีความเป็นจีน   ทำไมเราจึงควรทิ้งวัฒนธรรมที่ดีของเรา?   ผมไม่ได้หมายถึงความเป็นชาตินิยมเลย  แต่ว่ามีบางสิ่งที่ดีในวัฒนธรรมของเราที่เราต้องรักษาไว้  ผมปลื้มใจกับพื้นหลังการศึกษาของจีนและความเป็นจีนของผม เพราะในที่สุดมันได้ช่วยผมหลังจากต่อสู้อยู่นานเพื่อจะเห็นข้อผิดพลาดในคริสตจักรตะวันตก

         ผมดีใจที่จะบอกว่าคริสตจักรของเรา ดีไซเปิ้ลส์เชิร์ช[43] ไม่เคยถูกองค์กรคริสเตียนตะวันตกมาควบคุม  เราไม่เคยพึ่งเงินทองขององค์กรตะวันตก  ไม่ว่าจะในด้านเงินทุนหรือผู้นำ หรือการประกาศพระกิตติคุณ  คริสตจักรของเรามีหลายเชื้อชาติ  มีผู้คนจากที่ต่างๆ เช่น จีน แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น และไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของคริสตจักรหรือองค์กรตะวันตกใดๆ  เราไม่ได้มีความเกลียดชังคริสตจักรตะวันตกแต่อย่างใด  มีคนดีๆในคริสตจักรตะวันตกแต่พวกเขาก็เหมือนกับตัวของผมที่ถูกนำไปในทิศทางผิดไม่รู้ว่ากี่ชั่วคนมาแล้ว  มีคนที่ดีหลายคนได้มาประเทศจีนเพื่อมาเป็นมิชชันนารี และบางคนก็ได้สละชีวิตของพวกเขา (น่าเสียดายที่บางคนก็ไม่ดีที่เราก็รู้ๆอยู่)

        เรายังรักษาความเป็นมิตรกับทุกคนที่แสวงหาความจริง  แต่คริสตจักรของเราในฮ่องกงและในประเทศจีนจะต้องคงความเป็นคริสตจักรจีนแท้ๆ  ผมหวังว่าคนจีนทุกคนไม่ว่าจะในฮ่องกงหรือในประเทศจีนจะขอบพระคุณกับการเป็นคนจีน  ผมคิดว่าผมได้เห็นข้อผิดพลาดอย่างมากในคำสอนของคริสตจักรตะวันตกเรื่องความเชื่อในตรีเอกานุภาพและเรื่องความรอดก็เพราะพื้นหลังความเป็นจีนของผม  ผมขอบพระคุณพระเจ้าที่ความเป็นจีนนี้ให้ผลดี

         ให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนจีนเหมือนที่เปาโลรักคนยิวที่เป็นคนร่วมชาติของเขาเอง  และนำคนเหล่านั้นมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิต  ผมคิดว่าประเทศจีนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างน่าอัศจรรย์เพราะเบื้องหลังความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  ผมทราบว่ามีเจ้าและผีและสิ่งแบบนี้[44]มากมายในจีนอย่างแน่นอน  แต่ผมกำลังพูดถึงสิ่งหลักๆที่สืบทอดกันมา

         ผมจะขอจบด้วยข้อพระคัมภีร์จากพระคำของพระเจ้า “แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า[45] เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์” (1 เปโตร 2:9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         เปโตรกล่าวว่าเราเป็นประชากรที่ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็น​ประ​ชา​​กร​อัน​เป็น​กรรม​สิทธิ์​ของ​พระ​เจ้า  เขายกอ้างจากอพยพ 19:5-6[46] ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวยิว  แต่ตอนนี้เขากำลังนำมาใช้โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติที่ได้ทำสุหนัตในใจ  บัดนี้พวกเขาก็ถูกรวมอยู่ในพันธสัญญาใหม่ที่น่าอัศจรรย์กับพระยาห์เวห์ด้วย

         ผมไม่ทราบว่าเมื่อไรที่ผมจะมีโอกาสได้แบ่งปันกับพวกคุณอีก อาจอีกไม่นานหรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกเลยก็ไม่อาจทราบได้ ผมสามารถจะพูดเหมือนอย่างอัครทูตเปาโลว่า ผมได้ต่อสู้จนสุดกำลังและวิ่งแข่งมาถึงเส้นชัยที่มีมงกุฎแห่งความชอบธรรมรออยู่ แต่อนาคตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่นานก่อนที่หนังสือความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวจะเสร็จ วันหนึ่งผมลุกขึ้นยืนและเกือบจะยืนไม่ได้เพราะสะโพกของผมได้รับผลกระทบอย่างมากจากการนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน คุณคงเห็นได้ที่ผมเดินอย่างลำบากมาก  แต่ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิทธิอันพิเศษที่ได้รับใช้พระองค์ในทางนี้ นี่ยังอาจบ่งบอกว่าการวิ่งแข่งของผมเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมอธิษฐานขอพระพรของพระเจ้าจงมีแก่ทุกคน


[1] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “สันติสุขและพระเมตตาคุณจงมีแก่คนทั้งปวงที่ทำตามกฎนี้  คือแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า” (ผู้แปล)

[2] Pastor Calvin Chan

[3] เศฟันยาห์ 3:17 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้า พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยเจ้า พระองค์จะทรงปิติยินดีในตัวเจ้า จะทรงปลอบเจ้าด้วยความรักของพระองค์ และจะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[4] เศฟันยาห์ 3:17 “พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เจ้า​ทรงอยู่​ท่าม​กลาง​เจ้า เป็น​นัก​รบ​ผู้​ทรง​ช่วย​ให้​รอด พระ​องค์​จะ​ทรง​เปรม​ปรีดิ์​เพราะ​เจ้า​ด้วย​ความ​ยินดี และ​ทรง​สงบใน​ความ​รัก​ของ​พระ​องค์ พระ​องค์​จะ​ทรง​เริง​ร่า​เพราะ​เจ้า​ด้วย​การ​ร้อง​เพลง​เสียง​ดัง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[5] e-card (บัตรอวยพรอีเลคทรอนิกส์) -ผู้แปล

[6] 2 โครินธ์ 5:19 “คือพระเจ้าผู้สถิตในองค์พระคริสต์ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์เอง  มิได้ทรงถือโทษในการละเมิดของเขา  และทรงมอบพระวจนะแห่งการคืนดีกันนั้นไว้กับเรา” (จากฉบับไทยคิงเจมส์  ซึ่งแปลตรงกับภาษากรีกมากกว่าภาษาไทยฉบับอื่นๆ) -ผู้แปล

[7] “Becoming a New Person”

[8] 1 ยอห์น 1:8 “ถ้า​เรา​กล่าว​ว่า​เรา​ไม่​มี​บาป เรา​ก็​หลอก​ตัว​เอง และ​สัจจะ​ไม่​ได้​อยู่​ใน​ตัว​เรา​เลย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[9] 1 ยอห์น 1:10 “ถ้า​เรา​กล่าว​ว่า​เรา​ไม่​ได้​ทำ​บาป ก็​เท่า​กับ​เรา​ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​ตรัส​มุสา และ​พระ​ดำ​รัส​ของ​พระ​องค์​ก็​ไม่​ได้​อยู่​ใน​ตัว​เรา​เลย” (ฉบับมาตรฐาน  2011)

[10]1 ยอห์น 2:1 “ลูก​ของ​ข้าพ​เจ้า​เอ๋ย ข้าพ​เจ้า​เขียน​ข้อ​ความ​เหล่า​นี้​ถึง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ไม่​ทำ​บาป และ​ถ้า​ใคร​ทำ​บาป เรา​ก็​มี​ผู้​ช่วย​ทูล​ขอ​พระ​บิดา​เพื่อ​เรา คือ​พระ​เยซู​คริสต์​ผู้​ทรง​เที่ยง​ธรรม​นั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[11] 1 โครินธ์ 11:3 “แต่​ข้าพ​เจ้า​ต้อง​การ​ให้​พวก​ท่าน​เข้า​ใจ​ว่า พระ​คริสต์​ทรง​เป็น​ศีรษะ​ของ​ชาย​ทุก​คน และ​ชาย​เป็น​ศีรษะ​ของ​หญิง และ​พระ​เจ้า​เป็น​พระ​เศียร​ของ​พระ​คริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[12] พระคัมภีร์จีนมี “神的以色列民” (ประชาชนอิสราเอลของพระเจ้า) ที่ “民” (ประชาชน) ไม่มีในต้นฉบับภาษากรีก

[13] กาลาเทีย 1:3 “ขอ​ให้​พระ​คุณ​และ​สันติ​สุข​จาก​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​เรา​และ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ดำ​รง​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เถิด” (ฉบับมาตรฐาน 2011) –ผู้แปล

[14] 称义

[15] 成义

[16] โรม 1:5 “พวกเราได้รับพระคุณและถูกแต่งตั้งให้เป็นอัครทูตโดยทางพระองค์และเพื่อพระนามของพระองค์ เพื่อเรียกผู้คนจากชนต่างชาติทั้งมวลมาสู่ความเชื่อฟังซึ่งมาจากความเชื่อ” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

โรม 16:26 “แต่บัดนี้ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกันผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[17] เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้จิตใจของท่านและของวงศ์วานของท่านเข้าสุหนัต เพื่อท่านจะรักพระองค์สุดจิตสุดใจและมีชีวิตอยู่ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก็จะทรงให้คำสาปแช่งทั้งปวงนี้ตกแก่ศัตรูผู้เกลียด” (อมตธรรมร่วมสมัย)-ผู้แปล

[18] โรม 9:8 หมายความว่าคนที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้นมิใช่บุตรทางเนื้อหนัง  แต่บุตรตามพระสัญญาจึงจะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ (ฉบับ 1971) -ผู้แปล

[19] โรม 4:11-12 “และ​ท่าน​ได้​เข้า​สุหนัตเป็น​เครื่อง​หมาย​สำ​คัญ  เป็น​ตรา​รับ​รอง​ความ​ชอบ​ธรรม  ซึ่ง​เกิด​โดย​ความ​เชื่อ​ที่​ท่าน​ได้​มี​อยู่​เมื่อ​ท่าน​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​เป็น​บิดา​ของ​ทุก​คน​ที่​เชื่อ ทั้ง​ที่​เขา​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต เพื่อ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​ถือ​ว่า​เขา​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม​ด้วย และ​เพื่อ​ท่าน​จะ​เป็น​บิดา​ของ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​เข้า​สุหนัต ซึ่ง​ไม่​ใช่​เพียง​แต่​เข้า​สุหนัต​เท่า​นั้น แต่​มี​ความ​เชื่อ​ตาม​แบบ​ของ​อับ​รา​ฮัม​บิดา​ของ​เราซึ่ง​ท่าน​มี​อยู่​เมื่อ​ท่าน​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[20] Kaifeng

[21] Henan

[22] หรือ “สี่สิบลบหนึ่ง”

[23] 2 โครินธ์ 11:24-25  “พวก​ยิว​เฆี่ยน​ข้าพ​เจ้า​ห้า​ครั้ง ครั้ง​ละ​สาม​สิบ​เก้า​ที  ข้าพ​เจ้า​ถูก​ตี​ด้วย​ไม้​สาม​ครั้ง ถูก​ก้อน​หิน​ขว้าง​ครั้ง​หนึ่ง ข้าพเจ้า​เผชิญ​ภัย​เรือ​แตก​สาม​ครั้ง  ข้าพ​เจ้า​ลอย​อยู่​ใน​ทะเล​วัน​หนึ่ง​กับ​คืน​หนึ่ง” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล

[24] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย หรือฉบับมาตรฐาน 2011 “เพราะ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​มี​รอย​ประ​ทับ​ตรา​ของ​พระ​เยซู​ติด​อยู่​ที่​กาย​ของ​ข้าพ​เจ้า​แล้ว”(ผู้แปล)

[25] หรือแปลว่า “คนที่ฆ่าพระเจ้า”

[26] หรือสงครามศาสนา หรือสงครามไม้กางเขน (ผู้แปล)

[27] หรือข้อโต้แย้ง หรือข้อวินิจฉัย 95 ข้อของมาร์ติน ลูเธอร์ ที่ตอกติดไว้ที่ประตูโบสถ์เมืองวิทเทนเบิร์ก (ผู้แปล)

[28] Anti-Semitism

[29] The Longest Hatred       

[30] Robert S. Wistrich

[31] “Concern­ing the Jews and their Lies”

[32] Middle Ages คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (ผู้แปล)

[33] substance  (หรือสสาร) -ผู้แปล

[34] เครื่องหมาย “卐” ที่เป็นสัญลักษณ์ของนาซี (ผู้แปล)

[35] “Old Testament” และ “New Testament”

[36] “Old Covenant” และ “New Covenant”

[37] “testament”

[38] 旧约 (พันธสัญญาเดิม) และ 新约 (พันธสัญญาใหม่)

[39] 2 ทิโมธี 1:1 “จากเปา​โล ผู้​เป็น​อัคร​ทูต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า เพื่อ​พระ​สัญ​ญา​แห่ง​ชีวิต​ที่​มี​ใน​พระ​เยซู​คริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) – ผู้แปล

[40]上帝 และ 天神 (Shàngdì และ Tiānshén)

[41]天坛 (Tiāntán,  Temple of Heaven) วัดหลวงที่ฮ่องเต้ไปคารวะฟ้าดินทุกปี (ผู้แปล)

[42]社会主义 กับ 中国的特色 (ที่ต่างจากประเทศสังคมนิยมอื่นๆ-ผู้แปล)

[43] Disciples Church

[44]鬼神之类 (พวกผีพวกเจ้า)

[45] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “เป็น​ประ​ชา​​กร​อัน​เป็น​กรรม​สิทธิ์​ของ​พระ​เจ้า” (ผู้แปล)

[46] อพยพ 19:5-6  “ฉะนั้น ถ้า​พวก​เจ้า​ฟัง​เสียง​เรา​จริงๆ และ​รักษา​พันธ​สัญญา​ของ​เรา​ไว้ พวก​เจ้า​จะ​เป็น​ของ​ล้ำ​ค่า​ของ​เรา​ที่​เรา​เลือก​สรร​จากท่าม​กลาง​ชน​ชาติ​ทั้ง​ปวง เพราะ​แผ่น​ดิน​ทั้ง​สิ้น​เป็น​ของ​เรา  พวก​เจ้า​จะ​เป็น​อา​ณา​จักร​ปุโร​หิต และ​เป็น​ชน​ชาติ​บริ​สุทธิ์​สำหรับ​เรา นี่​เป็น​ถ้อย​คำ​ที่​เจ้า​ต้อง​บอก​กับ​คน​อิส​รา​เอล” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล