บทที่ 17
ความสัมพันธ์ในแนวตั้งกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ในแนวราบกับพระคริสต์
คำนำ
ผมอยากจะแบ่งปันสิ่งสำคัญบางอย่างกับคุณในแบบสรุปความ เพราะนี่ไม่ใช่กลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่ต้องให้ข้อพระคัมภีร์หลายๆข้อ ผมหวังว่าพวกคุณที่ได้รับการอบรมพระคัมภีร์มาแล้วจะสามารถรับแนวของพระคัมภีร์ที่ให้กับคุณและพยายามศึกษาต่อไปด้วยตนเอง
ตัวอย่างเช่นคำถามเรื่อง “ในพระนามของพระเยซู” ผมหวังว่าผู้ร่วมงานของเราที่ได้รับการอบรมพระคัมภีร์มาคงไม่ต้องถามความหมายของ “ในพระนามของพระเยซู” นี่เป็นคำถามค่อนข้างง่ายที่ผู้ได้รับการอบรมเต็มเวลาควรตอบได้ คำถามข้อนี้คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้พระคัมภีร์สูงๆ แค่คุณมีคอมพิวเตอร์ คุณพิมพ์คำไม่กี่คำแล้วค้นหาให้ทั่วพระคัมภีร์ และคำตอบก็จะอยู่ตรงหน้าของคุณ ฉะนั้นผมจึงงงเมื่อมีคนถามผมมากกว่าหนึ่งครั้งถึงความหมายของ “ในพระนามของพระเยซู”
แต่วันนี้มีส่วนที่สองที่ผมจะพยายามอธิบาย คุณคงจำได้ที่ผมพูดว่าความสัมพันธ์ของเราในแนวตั้งกับพระเจ้าพระบิดาของเรานั้น “ในพระนามของพระเยซู” ไม่มีบทบาทสำคัญเลยยกเว้นตอนแรกเริ่มเมื่อเราเริ่มมารู้จักพระบิดา แต่แม้อย่างนั้นผมก็ไม่แน่ใจ 100 % ผมกำลังจะอธิบายต่อไป
แต่ในระดับแนวราบคือระดับของมนุษย์และในบริบทของการรับใช้พระเจ้าในโลกนี้ “ในพระนามของพระเยซู” จะมีความสำคัญอย่างมาก ผมได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ในค่ายอิสเตอร์แต่ไม่ได้อธิบายอะไรมากเพราะโดยหลักๆผมกำลังพูดถึงความสัมพันธ์ในแนวตั้ง แต่บทนี้ผมจะพูดถึง “ในพระนามของพระเยซู” มากขึ้นอีกในระดับแนวราบ
เราต้องกล้าเผชิญกับข้อสันนิษฐานของเราที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์
ก่อนอื่นผมอยากจะขอบคุณพระเจ้าที่ทรงสำแดงความจริงกับผมเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ด้วยพระกรุณาของพระองค์ หลายสิ่งที่เข้าใจได้ยากและไม่สอดคล้องกันเมื่อก่อนนั้นตอนนี้เริ่มจะปะติดปะต่อกันและพบคำตอบในข้อสงสัยที่แต่ก่อนผมหาคำตอบไม่ได้
ผมแปลกใจกับคนที่สามารถผ่านการศึกษาพระคัมภีร์มาตลอดชีวิตและก็ทำต่อมาเรื่อยๆโดยที่ยังไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในพระคัมภีร์ ผมเป็นคนที่จะอยู่ไม่สงบถ้าคำถามของผมยังไม่ได้รับคำตอบ เมื่อผมไปกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ครั้งแรกๆ ผมถามหลายคำถามในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์นั้น ผู้นำกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์คงเห็นว่าผมเป็นคนชอบก่อกวนเพราะผมจะถามคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ผู้นำศึกษาพระคัมภีร์คงจะเห็นผมเป็นคนที่น่าสยองขวัญ ผมสังเกตว่าผู้นำศึกษาพระคัมภีร์หลายคนจะกลัวคนที่ชอบถามคำถามที่พวกเขาตอบไม่ได้
ผมจะชอบมากเมื่อมีคนมาศึกษาพระคัมภีร์แล้วถามคำถามยากๆ นั่นเยี่ยมมาก ถามผมมาเถอะ ผมจะได้เอากลับไปคิดทบทวนที่บ้านและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ผมจะบอกพวกเขาว่า “ผมยังไม่มีคำตอบให้คุณในตอนนี้ แต่ขอเวลาคิดสักสองสามวัน ผมจะพยายามอย่างที่สุด” และโดยพระคุณของพระเจ้าผมก็มักจะพบคำตอบ แต่ผู้นำศึกษาพระคัมภีร์หลายคนไม่ชอบความท้าทายแบบนี้ พวกเขาอาจไม่ชอบคิดเยอะหรืออาจจะมีเหตุผลอื่น แต่ประเด็นของผมก็คือว่า หลังจากที่ใช้เวลาศึกษาพระคำของพระเจ้ามาทั้งชีวิต ผมจะไม่เป็นสุขเมื่อผมไม่สามารถจะปะติดปะต่อสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน และเนื่องจากผมกำลังตามความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพผมจึงไม่สามารถจะปะติดปะต่อสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันแม้ผมจะพยายามอย่างสุดๆ
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์หรือ?
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆเมื่อคุณไปเมืองไหนก็ได้ในโลกแล้วลองเปิดสมุดโทรศัพท์ของเมืองนั้น คุณจะเจอคริสตจักรหลายแห่งที่ชื่อ “คริสตจักรของพระคริสต์” หรือในชื่อที่ต่างกันบ้าง ชื่อ “คริสตจักรของพระคริสต์” หรือ “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” เป็นชื่อที่คริสเตียนคุ้นหู พวกเราทุกคนรวมทั้งผมด้วยยอมรับด้วยความยินดีว่ามีคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักรของพระคริสต์อยู่มากมาย แต่ผมก็ต้องแปลกใจเมื่อผมค้นดูจนทั่วพระคัมภีร์ ผมหาคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ไม่เจอแม้แต่คริสตจักรเดียว! คุณลองเช็คดูเองในคอมพิวเตอร์โดยพิมพ์คำว่า “คริสตจักรของพระคริสต์” หรือคำที่คล้ายๆกัน และดูสิว่าคุณจะพบข้ออ้างอิงกี่ข้อ คุณจะไม่พบเลยสักข้อเดียว!
แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” หรือ “บรรดาคริสตจักรของพระเจ้า” คุณจะพบข้ออ้างอิงจำนวนมาก ที่จริงแล้วเปาโลมักจะขึ้นต้นจดหมายของเขาโดยเขียนถึง “คริสตจักรของพระเจ้า”เสมอ ตัวอย่างเช่น “คริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์” (1 โครินธ์ 1:2) เปาโลไม่เคยกล่าวถึง “คริสตจักรของพระคริสต์” นี่แหละที่ทำให้ผมตกตะลึงจริงๆ
แต่ปัญหาก็ลึกขึ้น คือถ้าความจริงคริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ แล้วทำไมคริสตจักรจึงได้ดำเนินการโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์? ทำไมจึงไม่มีใครเห็นปัญหานี้? ถ้าคริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์จริงๆมันก็ควรดำเนินการโดยพระเยซูคริสต์ไม่ใช่หรือ? แต่จงดูในพระคัมภีร์ว่าที่จริงใครเป็นผู้ดำเนินคริสตจักร ข้อความทั้งหมดใน 1 โครินธ์บท 12, 13, 14 พูดถึงของประทานต่างๆของพระวิญญาณในคริสตจักร คนหนึ่งมีของประทานอย่างนี้ อีกคนหนึ่งมีของประทานอย่างนั้น แม้แต่ลำดับสำคัญของของประทานก็ได้ให้ไว้ว่า หนึ่งคืออัครทูต สองคือผู้เผยพระวจนะ สามคืออาจารย์ เป็นต้น (1 โครินธ์ 12:28)[1] ใครเป็นผู้ที่ให้ของประทานเหล่านี้ และใครเป็นผู้ที่ตั้งคนที่จะนำคริสตจักรด้วยของประทานเหล่านี้? ผู้ที่ให้และตั้งก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ “พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” (1 โครินธ์ 12:11 ฉบับมาตรฐาน 2011) ของประทานเหล่านี้ได้ประทานให้ตามชอบพระทัยของพระวิญญาณ ซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่ใครอื่น ดังนั้นมันจึงกลับกลายเป็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ดำเนินคริสตจักร
แต่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรไม่ใช่หรือ? และศีรษะก็ควบคุมร่างกายไม่ใช่หรือ? นี่ทำให้เห็นว่าเราจะต้องทบทวนความเข้าใจของเราเรื่อง “ศีรษะ” เสียใหม่ถ้าเราอยากจะซื่อสัตย์กับพระคัมภีร์
ถ้าคุณดูในหนังสือกิจการซึ่งบันทึกการเริ่มต้นและการขยายของคริสตจักรที่คุณจะเห็นได้ทันทีว่าคริสตจักรดำเนินการโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ ความจริงแล้วคำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” มีปรากฏในกิจการ 40 ครั้งซึ่งมากกว่าเล่มใดในพระคัมภีร์ใหม่ (ลองตรวจสอบจากศัพท์สัมพันธ์หรือใช้โปรแกรมพระคัมภีร์ในคอมพิวเตอร์ของคุณ) เล่มที่มีคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ใกล้เคียงกับกิจการมากที่สุดก็คือลูกาที่มีจำนวน 13 ครั้ง ซึ่งก็ยังตามหลังกิจการอยู่มาก เล่มอื่นๆทั้งหมดก็ยิ่งทิ้งห่างไปอีกเพราะมีคำนี้ปรากฏแค่ห้าครั้งหรือน้อยกว่านั้น ตัวเลขเหล่านั้นจึงเกือบจะหมดความสำคัญไปเลย
หนังสือที่เราเรียกว่ากิจการของอัครทูตซึ่งก็คือกิจการของคริสตจักรด้วยนั้นกลับกลายเป็นกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ที่ให้ฤทธานุภาพคริสตจักรตั้งแต่ต้นเมื่อวันเพ็นเทคอสต์และยังคงนำคริสตจักรต่อมาด้วยฤทธานุภาพ
“สิทธิอำนาจทั้งสิ้นทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” ที่เกี่ยวกับพระวิญญาณ
กลับมาที่พื้นฐานที่เราคุ้นเคย พระเยซูตรัสว่าอย่างไรในตอนท้ายของหนังสือมัทธิว? “สิทธิอำนาจ (หรือฤทธานุภาพ) ทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา...” (มัทธิว 28:18-19 ฉบับมาตรฐาน 2011)
เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ก็จงคิดให้มากๆ จงไตร่ตรองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้มอบไว้กับพระเยซู พระองค์ตรัสเช่นนี้หลังการคืนพระชนม์ของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงมี “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ภายหลังการคืนพระชนม์ของพระองค์ อะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าจากทั้งหมดนี้? พระประสงค์ที่กล่าวไว้ก็คือ คุณและผมจะออกไปและสั่งสอนชนทุกชาติ ไม่ใช่พระเยซู! คุณและผมจะไปยังชนชาติต่างๆแต่พระเยซูจะกลับไปหาพระบิดา
เราเห็นปัญหาตรงนี้ไหม? ฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้มอบให้กับพระเยซูเพื่อให้คุณและผมออกไปและสั่งสอนชนทุกชาติ อะไรคือความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้? “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ที่ได้มอบไว้กับพระเยซูเกี่ยวข้องอะไรกับการออกไปยังชนทุกชาติและการสั่งสอนพระกิตติคุณจนสุดปลายแผ่นดินโลก?
คำถามหนึ่งที่เด็กรวีฯ[2]ก็ตอบได้คือ ในขณะนี้พระเยซูประทับอยู่ที่ไหน? พระองค์ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา แต่ถ้าพระเยซูประทับอยู่บนสวรรค์และเราอยู่ข้างล่างบนโลกนี้ เหตุไฉนพระองค์จึงมีฤทธานุภาพทั้งสิ้นแล้วเราเป็นผู้ที่ดิ้นรนอยู่บนโลกนี้? คุณมี “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” นี้ไหม? มีหรือไม่มีกันแน่? ปัญหาก็คือพระเยซูทรงมีฤทธานุภาพทั้งสิ้นและคุณไม่มีฤทธานุภาพนั้น มันจะมีประโยชน์อะไรกับคุณถ้าพระเยซูทรงมีทุกสิ่งแล้วคุณไม่มีอะไรเลย? แต่ว่าคุณกับผมเป็นผู้ที่จะประกาศข่าวประเสริฐไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ผมพูดถูกไหม?
คุณเข้าใจเรื่องนี้ไหม? คุณจะไม่เข้าใจจนกว่าคุณจะเห็นบางสิ่งปรากฏออกมาจากพระคำของพระเจ้า ผมได้พูดแย้มกับคุณแล้ว สิ่งนั้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ให้ฤทธานุภาพเราตามที่เราเห็นในกิจการ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ที่ได้มอบไว้กับพระเยซูนั้นกลับกลายเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์! พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้ให้ไว้กับพระเยซูผู้เป็นศีรษะของคริสตจักรนั้นก็อยู่บนโลกในขณะนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้อยู่แต่อยู่บนโลกเท่านั้น ถ้าเราเป็นของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ดำเนินอยู่ในคุณและผม เราควรจะมี “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” โดยพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ ผมบอกว่า “ควร” เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วผมไม่เห็นว่าคริสเตียนหลายคนจะมีฤทธานุภาพนี้
หลักการก็คือ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้มอบไว้กับเรา และตอนนี้เรากำลังให้ฤทธานุภาพนี้กับท่านทั้งหลาย” มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่พูดแบบนี้ไหม? ตอนจากพระคัมภีร์ที่ขยายความครอบคลุมในสามบทคือ ยอห์น 14, 15, 16 ที่คริสเตียนมักจะยกมาใช้นอกบริบท เราคุ้นกับพระคัมภีร์ตอนนี้และในพระคัมภีร์ตอนนี้มีหกตัวอย่างที่เป็นการขอในพระนามของพระเยซู พระเยซูตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” (ยอห์น 14:16 ฉบับ มาตรฐาน 2011) คำกรีกว่า “ผู้ช่วย” ตรงนี้ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆได้แปลแตกต่างกันว่า “ผู้ปลอบประโลม” หรือ “ที่ปรึกษา” หรือ “ผู้ทูลขอ”[3] “ผู้ปลอบประโลม” นี้คือใคร? ผู้ปลอบประโลมที่กล่าวถึงนี้ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความจริงแล้วพระคัมภีร์ทั้งสามบทพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นการตอบสิ่งที่ฟิลิปร้องขอในยอห์น 14:8 ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น” การสนทนาทั้งหมดมุ่งไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งยังถูกเรียกอีกว่าพระวิญญาณแห่งความจริง (ยอห์น 14:17, 15:26, 16:13)[4] หรือ “ผู้ปลอบประโลม”
แต่มีบางอย่างในข้อความตอนนี้ที่คริสเตียนชอบยกอ้างอิงคือ “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น” (ยอห์น 14:14) แต่พวกเขาจะยกอ้างอิงออกนอกบริบทและไม่ได้คำนึงถึงหลักพื้นฐานที่สุดของการตีความ พระเยซูกำลังบอกว่า ถ้าคุณขอบ้านในพระนามของพระองค์แล้วคุณจะได้บ้านไหม? หรือคุณขอรถแล้วคุณก็จะได้รถไหม? หรืออยากจะได้อะไรก็ได้ดังใจไหม? พระเยซูทรงหมายความว่า “คุณจะขอสิ่งใดก็ได้” อย่างนั้นหรือ? คำตอบนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ผมหวังว่าเราคงไม่เนื้อหนังจนเกินไปที่จะพูดว่า “ผมอยากได้น้ำอัดลม ผมจะขอพระเยซูสักกระป๋องหนึ่ง ก็พระองค์บอกไว้ว่า ‘อะไรก็ได้’ ยังงั้นก็ขอพระองค์ประทานน้ำอัดลมให้ตอนนี้ด้วย! ผมรู้สึกร้อนมาก แล้วขอไอศครีมให้ผมด้วย” นี่เป็นวิธีที่เราตีความและนำพระคัมภีร์มาใช้หรือ?
คำว่า “สิ่งใด” มีความหมายว่าอะไร? มันก็คือฤทธานุภาพทั้งสิ้นที่ได้มอบไว้กับเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้ทำสิ่งที่ควรทำที่จะนำข่าวประเสริฐไปยังสุดปลายแผ่นดินโลก ในบริบทของ “สิ่งใด” นั้นเกี่ยวข้องทุกอย่างกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ให้ฤทธานุภาพเราทำอะไรก็ตามหรือสิ่งใดก็ตามที่เราควรทำเพื่อให้พันธกิจการประกาศข่าวประเสริฐของเราสำเร็จ เราจะเห็นการขอสิ่งใดเจ็ดครั้งในพระคัมภีร์ตอนนี้ มีสามครั้งในยอห์น 14 มีหนึ่งครั้งในยอห์น 15 และมีสามครั้งในยอห์น 16
“ในพระนามของพระเยซู” กับพระวิญญาณ
พระเยซูไม่เพียงแต่บอกให้สาวกของพระองค์ทูลขอพระบิดาเท่านั้น ตัวพระองค์เองก็จะทูลขอพระบิดา “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน” พระเยซูทรงทำอย่างที่พระองค์ทรงบอกให้เราทำคือทูลขอพระบิดา พระบิดาประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับพระเยซู ประทานฤทธานุภาพทั้งสิ้นให้กับพระองค์ แล้วพระเยซูก็ทรงส่งต่อพระวิญญาณให้กับเรา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ คือหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แต่ก่อนการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ พระเยซูได้บอกเหล่าสาวกของพระองค์ให้คอยรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญา (กิจการ 1:4)[5] พระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียกับแคว้นสะมาเรียจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้นในวันเพ็นเทคอสต์ที่เหล่าสาวกได้รับฤทธานุภาพจากเบื้องบน แผ่นดินสั่นสะเทือนและพระวิญญาณได้ลงมา จากนั้นเป็นต้นมาพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ทำงานอย่างเต็มด้วยฤทธิ์เดชต่อเนื่องตลอดหนังสือกิจการ
“ในพระนามของพระเยซู” มีปรากฏสิบครั้งในกิจการ (2:38, 3:6, 4:10, 4:18, 5:40, 8:12, 9:27, 10:48, 16:18, 26:9) แต่ไม่เคยปรากฏในคำอธิษฐานใดๆ ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว! จงตรวจสอบข้ออ้างอิงด้วยตัวคุณเอง “ในพระนามของพระเยซู” มักจะใช้ในการรักษาโรคหรือการกระทำด้วยฤทธิ์อำนาจซึ่งแน่นอนว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ที่ทำสิ่งที่กระทำการในพระนามของพระเยซูให้สำเร็จลุล่วง พระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำการในนามของพระเยซู นั่นคือขอบเขตบทบาทที่ขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณในงานของพระเยซูซึ่งมีครั้งหรือสองครั้งที่พระวิญญาณถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซู (กิจการ 16:7)[6]
พระวิญญาณเป็นผู้ให้ฤทธานุภาพงานฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้นในการเป็นคนใหม่ พระคริสต์เป็นการสร้างใหม่ ในการสร้างใหม่ผู้สร้างคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาลด้วย (การอ้างถึงพระวิญญาณว่าเป็นบุคคลนั้น ผมไม่ได้พูดถึงพระองค์ว่าเป็นบุคคลที่แยกออกมาจากพระยาห์เวห์ แต่เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์เอง) เมื่อเริ่มต้นการทรงสร้างนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือความไม่มีระเบียบที่มีอยู่ทั่วจักรวาล และพระองค์ทรงจัดให้จักรวาลเป็นระเบียบโดยการสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น (ปฐมกาล 1:2)[7] พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เป็นช่องทางที่พระยาห์เวห์ทรงทำให้มีการสร้างเกิดขึ้น และการสร้างใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างเดียวกันนี้ในพระคัมภีร์ใหม่เพราะแท้ที่จริงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เกิดการสร้างใหม่
การสร้างใหม่สามารถอธิบายได้โดยใช้คำ เช่น “บังเกิดใหม่” หรือ “บังเกิดจากพระวิญญาณ” โปรดสังเกตว่าคำที่เหมาะคือ “บังเกิดจากพระวิญญาณ” ไม่ใช่ “บังเกิดจากพระเยซู” หรือ “บังเกิดจากพระคริสต์” ไม่มีใครบังเกิดจากพระเยซูหรือจากพระคริสต์ เพราะในการสร้างใหม่นั้นการเป็นคนใหม่จะเกิดจากพระวิญญาณ ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่หรือเป็นการสร้างใหม่ (2 โครินธ์ 5:17)[8] เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แบบรายบุคคล เป็นการสร้างใหม่แบบโดยรวม
บทที่แล้วเราได้ดูคำทักทายของเปาโลกับ “อิสราเอลของพระเจ้า” (กาลาเทีย 6:16) สองข้อก่อนหน้านั้นเขาพูดว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไรเว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้กางเขนนั้น โลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้ว และข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว” (กาลาเทีย 6:14 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
คุณได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ไหม? ถ้าผมนั่งอยู่ในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์กับคริสเตียนที่เคร่ง ผมจะถามทุกคนว่า “คุณได้ถูกตรึงกับพระคริสต์ไหม?” ผมอยากจะได้ยินว่าจะตอบกันอย่างไร ถ้าคุณบอกว่าใช่ แล้วคุณได้ถูกตรึงในแง่ไหน? ให้เราพูดกันตรงๆและพูดให้ชัดเจน เปาโลปิติยินดีกับกางเขนเพราะเป็นวิธีที่เขาจะได้ถูกตรึงไว้จากโลกและโลกก็ถูกตรึงไว้จากเขา ความรอดอย่างแท้จริงของเปาโลและของเราขึ้นกับสิ่งนี้ ถ้าคุณยังไม่ได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ คุณก็จะไม่ได้ฟื้นขึ้นกับพระองค์ เราไม่ได้พูดถึงการถูกตรึงจริงๆแต่เป็นการตรึงคนเก่า คนเก่าได้ตายไปและคนใหม่คือการสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นโดยพระวิญญาณ
นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าการเข้าสุหนัตที่ใจ ความจริงแล้วเปาโลพูดถึงการเข้าสุหนัตในข้อถัดมา “เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตก็ไม่มีความหมาย ความสำคัญอยู่ที่การได้รับการทรงสร้างใหม่” (กาลาเทีย 6:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ความเชื่อมโยงกันอยู่ตรงนี้ ผมไม่ได้คิดค้นขึ้น เปาโลพูดถึงกางเขน ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้เห็นความเชื่อมโยงกับการเข้าสุหนัตที่ใจ แต่ตอนนี้คุณเห็นความเชื่อมโยงกัน เปาโลพูดถึงการถูกตรึงกางเขนอยู่ดีๆแล้วต่อมาเขาก็พูดถึงการเข้าสุหนัต ทั้งสองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกัน
ให้เราย้อนกลับไปสักนิดเพื่อจะเข้าใจให้ชัดเจน ฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้มอบไว้กับพระเยซู แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะเราอยู่บนโลกและพระองค์ทรงอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา การที่พระเยซูทรงอยู่ในสวรรค์เกี่ยวข้องอะไรกับเราที่อยู่บนโลก? “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ที่มอบไว้กับพระเยซูก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูได้รับฤทธานุภาพโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้มอบไว้กับพระองค์ แล้วพระเยซูจึงส่งต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเรา (คริสตจักร) ในวันเพ็นเทคอสต์ เราได้รับ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” เพื่อจะออกไปเหมือนที่เราเห็นในหนังสือกิจการที่มีการอ้างอิงถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ 40 ครั้งใน 28 บท ซึ่งเฉลี่ยแล้วแต่ละบทจะมีการอ้างอิงถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่าหนึ่งครั้ง
ผมได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า พระเยซูทรงมีความสำคัญมากในความสัมพันธ์ระดับแนวราบ พระองค์ทรงเป็นหัวปีของการสร้างใหม่[9]ที่เรามาเป็นส่วนหนึ่งของการถูกสร้างใหม่โดยการอยู่ในพระคริสต์ ผมได้อธิบายถึงการอยู่ “ในพระคริสต์” ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากในหนังสือ “การมาเป็นคนใหม่”[10] ดังนั้นผมจะไม่อธิบายซ้ำอีก
เราเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ดำเนินการทุกสิ่งทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่ แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราไม่เคยล่วงรู้ความจริงนี้ สิ่งที่ไม่สอดคล้องกันในความเชื่อตรีเอกานุภาพก็คือ การที่คริสตจักรเป็นของพระเจ้าพระองค์ที่สอง (พระเจ้าพระบุตร) แต่ดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์ที่สาม (พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์) เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมมองเรื่องนี้ไม่ออก แต่ตอนนี้ปัญหาได้หมดไป ความจริงก็คือพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นคือเหตุที่เปาโลพูดถึงคริสตจักรของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักรของพระยาห์เวห์ และไม่เคยพูดถึงคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เราเป็นของคริสตจักรของพระยาห์เวห์ ไม่ได้เป็นของคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เพราะเราจะไม่พบอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่เลย พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทำงานในคริสตจักรตั้งแต่ต้นจนจบ พระองค์กำลังทำการสร้างใหม่โดยมีพระเยซูทรงเป็นศีรษะและโดยที่เราทำการในพระนามของพระเยซู เราเป็นของพระยาห์เวห์ถ้าเราเป็นส่วนของการสร้างใหม่ เราไม่มีชีวิตในฝ่ายวิญญาณที่อยู่นอกคริสตจักรของพระเจ้า หรืออยู่นอกการสร้างใหม่
แต่จะมีความหมายในแง่ว่าคริสตจักรเป็นของพระคริสต์หรือเป็นคริสตจักรของพระคริสต์ไหม? มันไม่ได้มีความหมายในแง่นั้น แต่ผมคิดว่ามีความหมายที่คุณสามารถพูดว่าคริสตจักรเป็นของพระคริสต์ ให้เรานึกภาพคำสนทนาต่อไปนี้กับอาจารย์แอนดรูว์[11]เพื่อจะเห็นสิ่งที่พูดถึงนี้
“คริสตจักรมงก๊กเป็นคริสตจักรของคุณไหม?”
“ไม่หรอก ไม่ได้เป็นคริสตจักรของผม”
“แต่คุณเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรนี้ไม่ใช่หรือ?”
“คุณพูดถูก ว่ากันที่จริงแล้วมันก็เป็นคริสตจักรของผม”
“ไม่ใช่คริสตจักรของพระยาห์เวห์หรอกหรือ?”
“ใช่ ที่จริงมันเป็นคริสตจักรของพระยาห์เวห์”
เราสามารถจะพูดต่อไปได้เรื่อยๆ คริสตจักรนี้เป็นคริสตจักรของพระยาห์เวห์ แต่ก็มีความหมายว่ามันเป็นคริสตจักรของอาจารย์แอนดรูว์ด้วย
ในแง่นี้คริสตจักรก็เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงใหญ่[12]ของคริสตจักร ถ้าเราสามารถพูดได้ว่าคริสตจักรนี้เป็นคริสตจักรของอาจารย์แอนดรูว์ เราก็ต้องพูดได้เหมือนๆกันและพูดได้มากกว่าอีกว่าคริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ผมคิดถึงพระคัมภีร์ได้เพียงตอนเดียวในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มที่มีผลกับเรื่องนี้ “เราบอกท่านว่า ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และประตูแดนมรณาจะเอาชนะคริสตจักรนั้นไม่ได้เลย” (มัทธิว 16:18 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
นั่นเป็นคำกล่าวเดียวที่ผมหาได้จากพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดถึงคริสตจักรว่าเป็นของพระคริสต์ในความหมายเดียวกับที่คริสตจักรมงก๊กเป็นคริสตจักรของอาจารย์แอนดรูว์ พระเยซูกำลังสร้างคริสตจักรทั่วไปเหมือนกับที่อาจารย์แอนดรูว์และผู้ร่วมงานของเขากำลังสร้างคริสตจักรมงก๊ก คุณและผมก็กำลังสร้างคริสตจักรร่วมกัน ดังนั้นในแง่ของการแตกแขนงออกมาและอยู่ในความดูแลแล้ว คริสตจักรนี้ก็เป็นคริสตจักรของคุณและคริสตจักรของผม แต่ภาษาของพระคัมภีร์ไม่ยินยอมให้ระบุว่าเป็น “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์แห่งโครินธ์” เปาโลไม่เคยใช้ภาษาแบบนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขากล่าวถึงคริสตจักรสักแห่ง เขาจะกล่าวว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ได้กล่าวว่าเป็นคริสตจักรของพระคริสต์เพื่อให้ชัดเจนว่าใครเป็นองค์เจ้านายของคริสตจักร
เราจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้เพราะเราได้สับสนกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพจนถึงกับไม่สามารถจะคิดประเด็นใดๆจากพระคัมภีร์อย่างชัดเจนได้ แต่เมื่อผมหลุดพ้นจากความผูกมัดทางความคิดนี้ ภาพทั้งหมดก็เริ่มจะสอดคล้องกัน
เปาโลไม่ค่อยจะพูดถึง “อาณาจักรของพระเจ้า” แต่ความคิดนี้ก็อยู่ในใจของเขาตลอด เขาพูดถึง “พระกายของพระคริสต์” ว่าเป็นกายรวมที่ประกอบด้วยอวัยวะ แล้วใครหรือที่อยู่ในพระกายของพระคริสต์นี้? พระกายของพระคริสต์ที่เราเป็นส่วนของกายนี้คือวิหารของพระเจ้า หรือวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 โครินธ์ 3:16, 6:19)[13] แต่ไม่เคยถูกเรียกว่าวิหารของพระคริสต์ พระยาห์เวห์และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะเป็นผู้ที่ดำเนินงานในคริสตจักรและในตัวของเราเสมอ
ถ้าเรามีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ซึ่งคนส่วนมากไม่มี เราก็จะพรั่งพร้อมด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ถ้าคุณไม่มีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์แล้วทำไมพระวิญญาณพระยาห์เวห์จะทำงานผ่านทางคุณด้วย? มีคนไม่มากที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์เพราะว่าประการแรก คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้เข้าสุหนัตที่ใจ และประการที่สองไม่ได้อยู่ในพันธสัญญากับพระยาห์เวห์ แล้วเช่นนั้นคุณจะมีฤทธิ์อำนาจในฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?
จงถอดแว่นที่เคลือบด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพของคุณและอ่านพระคัมภีร์ใหม่อีกครั้ง แล้วคุณจะเห็นว่ามันจะอ่านแตกต่างไปจากวิธีที่คุณเคยอ่านมาก่อน ในที่สุดเราจะเริ่มเข้าใจ ตอนนี้เราเห็นว่าทำไมคริสตจักรจึงไม่เคยถูกเรียกว่าเป็นวิหารของพระเยซูคริสต์ แต่ถูกเรียกว่าเป็นวิหารของพระยาห์เวห์หรือวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งแบบรายบุคคลหรือแบบโดยรวม
อย่าเสียโอกาสในการติดต่อโดยตรงกับพระยาห์เวห์
เมื่อได้รู้ความจริงนี้แล้ว เราจะต้องไม่เสียโอกาสในการติดต่อโดยตรงกับพระยาห์เวห์ สิ่งเลวร้ายที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือการถูกตัดการเชื่อมต่อของผมกับพระยาห์เวห์ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อ “พระยาห์เวห์” ยังมีอยู่ คริสตจักรของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เคยพูดถึง “พระยาห์เวห์” แม้ว่าชื่อนี้จะมีปรากฏเกือบ 7,000 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมก็ตาม
เมื่อพูดถึง “การติดต่อโดยตรง” กับพระยาห์เวห์ ผมใช้คำ “โดยตรง” แบบไม่ลดความหมาย ถ้าคุณสูญเสียการติดต่อโดยตรงกับพระยาห์เวห์ไป คุณจะไม่เหลืออะไร ถ้าคุณอยากจะยึดติดกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็เชิญทำต่อไป มันเป็นชีวิตของคุณไม่ใช่ของผม มันเป็นชีวิตหลังความตายเป็นนิตย์ของคุณไม่ใช่ของผม แต่ถ้าคุณได้เข้าสุหนัตในใจและอยู่ในพันธสัญญากับพระยาห์เวห์ แล้วทำไมคุณจึงอยากจะสูญเสียการเชื่อมต่อโดยตรงของคุณกับพระยาห์เวห์เสียเล่า?
เมื่อกล่าวถึงชาวต่างชาติซึ่งไม่ใช่ชาวยิว โรม 9:26 กล่าวว่า “และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นที่นั่นเอง ที่ซึ่งเราบอกพวกเขาว่า ‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’ (กล่าวถึงชาวต่างชาติ) พวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’”[14] ช่างเป็นคำกล่าวที่น่าแปลกใจมาก! คุณจะได้ชื่อว่าเป็น “บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
แม้คุณจะไม่รู้ศาสนศาสตร์แต่คุณควรจะรู้ว่าบุตรคืออะไร ในขณะที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพสอนว่าเราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังกล่าวว่าเราไม่มีทางจะมาถึงพระยาห์เวห์พระบิดาของเราได้นอกจากทางพระเยซู และมีเหตุผลชี้แจงต่อไปว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลาง[15] เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงยืนอยู่ระหว่างกลาง ซึ่งเป็นผลให้เรามาถึงพระบิดาได้ในพระนามของพระเยซูเท่านั้นทั้งๆที่ไม่มีข้อใดเลยในพระคัมภีร์ ไม่มีแม้แต่ข้อเดียว ที่พูดถึงการมาหาพระเจ้าในพระนามของพระเยซู แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ขอช่วยชี้ให้ผมเห็นสักข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ที่พูดถึงการอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ในพระนามของพระเยซู คุณจะเห็นว่าไม่มีเลยสักข้อ และในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมาหาพระบิดาในพระนามของพระเยซูหรือโดยสิทธิอำนาจของใครต่อใคร คุณเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ มีเวลาไหนหรือที่บุตรจะมาหาบิดาของเขาโดยต้องผ่านคนอื่น? คุณเป็นบุตรของพระเจ้าไหมหรือว่าไม่คุณไม่ได้เป็น?
นอกจากจะไม่มีคำอธิษฐานต่อพระเจ้าในพระนามของพระเยซูในพระคัมภีร์แล้ว คำอธิษฐานต่อพระเยซูก็ไม่มีในพระคัมภีร์เลย ผมได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในหนังสือของผมเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ถ้าคุณจะพยายามค้นหา คุณก็จะพบเพียงแค่สองกรณีที่เราจะเห็นว่าคล้ายกับคำอธิษฐาน แต่ทั้งสองตัวอย่างนี้ก็ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นคำอธิษฐาน
กรณีแรกคือเมื่อสเทเฟนถูกขว้างด้วยหินให้ตายและเขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” (กิจการ 7:59) เขากำลังมอบจิตวิญญาณของเขาไว้กับพระเยซูเพราะว่าเขาเป็นสาวกของพระองค์เหมือนที่เราเป็น ถ้าเรากำลังจะถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมานเพราะเห็นแก่พระเยซู มันก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะร้องทูลต่อพระเยซู สเทเฟนเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา[16] ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะพูดว่า “พระเยซูเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” คุณจะเรียกว่าเป็นคำอธิษฐานก็ตามแต่ ถ้าผมกำลังจะตายและผมเห็นคุณอยู่ตรงหน้า ผมอาจจะพูดกับคุณว่า “ช่วยเก็บไดอารี่ของผมไว้ด้วย มันเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของผม” คุณจะเรียกว่าเป็นคำอธิษฐานก็ตามแต่ แล้วคำนิยามของการอธิษฐานของคุณคืออะไร?
อีกกรณีหนึ่งที่พบในช่วงท้ายสุดของพระคัมภีร์ สองข้อก่อนสุดท้ายที่คริสตจักรพูดกับพระเยซูว่า “พระเยซูเจ้า[17] เชิญเสด็จมาเถิด”(วิวรณ์ 22:20) นี่เป็นคำอธิษฐานไหม? ถ้าคุณอยากจะเจอกับผม และถ้าคุณพูดว่า “เชิญมาเถอะ มาหาผม” นี่เป็นคำอธิษฐานไหม?
ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มไม่มีคำอธิษฐานต่อพระเยซูสักครั้งเดียว ที่ใกล้เคียงที่สุดที่เรามีก็คือสองคำ[18]ในประโยคเดียวที่กล่าวมานี้ ยิ่งคำอธิษฐานต่อพระบิดาในพระนามของพระเยซูแล้วยิ่งไม่มีเลย
งานของคนกลาง
เรายังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับงานของคนกลาง พระเยซูเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ (1 ทิโมธี 2:5)[19] คนกลางทำหน้าที่อะไรหรือ? เขาจะยืนอยู่กลางระหว่างสองฝ่ายและพูดกับสองฝ่ายว่า “คุณไม่ต้องพูดกับเขาแต่ให้พูดผ่านผม และเขาก็ไม่ต้องพูดกับคุณแต่ให้พูดผ่านผม” อย่างนั้นใช่ไหม? นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนกลางจะทำ หน้าที่ของเขาก็คือนำให้สองฝ่ายเข้าหากัน ไม่ใช่สร้างกำแพงระหว่างสองฝ่าย และเมื่อเขาได้ทำหน้าที่ของเขาแล้วเขาก็จะต้องหลบไป
เมื่อบริษัทเจนเนอรัลมอร์เตอร์ (จีเอ็ม)[20] ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังประสบภาวะทางการเงิน ได้มีข้อพิพาทกับพนักงานเรื่องค่าแรงและชั่วโมงทำงานล่วงเวลา พวกเขาทำอย่างไรหรือ? พวกเขาก็ไปหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย งานของคนกลางก็คือทำให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อพวกเขาจะได้พูดคุยกัน เขาจะเลือกคนกลางจากคนนอกบริษัทจีเอ็มและไม่ได้เป็นส่วนของฝ่ายบริหารจัดการหรือฝ่ายแรงงานของบริษัท ในฐานะของบุคคลที่สามที่เป็นกลาง เขาจะเป็นผู้ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อให้ตกลงกันได้แล้วเขาก็หมดหน้าที่
ในฐานะของคนกลางนั้น พระเยซูไม่ได้ทรงยืนคั่นกลางระหว่างเรากับพระบิดาไปตลอด พระองค์ทรงนำเราไปถึงพระบิดาโดยตรง แล้วจากนั้นพระองค์ก็ออกไปพ้นทาง เปโตรบอกว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อนำเราไปหาใครหรือ? ไปหาพระเยซูเองหรือ? ก็เปล่าเลย พระองค์ทรงนำเราไปหาพระเจ้าต่างหาก “เพราะพระคริสต์ทรงทนทุกข์ครั้งเดียวเป็นพอเพราะบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะนำพวกท่านไปถึงพระเจ้า” (1 เปโตร 3:18 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระเยซูเองทรงสอนเราว่า “พวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์...’” (มัทธิว 6:9) พระเยซูทรงบอกให้เราอธิษฐานโดยตรงกับพระบิดา ไม่ใช่อธิษฐานกับพระเยซูเอง และพระองค์ก็ไม่เคยบอกเราให้จบคำอธิษฐานในพระนามของพระเยซู ความจริงที่โต้เถียงไม่ได้ก็คือพระคัมภีร์ใหม่ไม่มีคำอธิษฐานกับพระเยซูหรือคำอธิษฐานที่จบในพระนามของพระเยซู
ทำไมเราจึงไม่เข้าใจสิ่งง่ายๆเช่นนั้น? เกิดอะไรขึ้นกับเราหรือ? เราได้ถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพวางยาจนเราไม่ได้เข้าใจคำสอนของพระคัมภีร์เลยหรือ?
อย่ายอมให้ใครเอาการติดต่อโดยตรงของคุณไป
ผมขอพูดอีกครั้งว่า อย่ายอมให้ใครหรือคำสอนใดๆมาชิงเอาการติดต่อโดยตรงของคุณกับพระเจ้าไป ไม่มีอะไรจะมีค่าไปกว่าสิทธิพิเศษที่มาถึงพระบิดาได้ทุกวัน ได้ทุกนาที ทุกวินาที และพูดว่า “พระยาห์เวห์ พระบิดา” เพราะเราเป็นบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ขอบพระคุณพระเจ้าที่ผมสามารถจะพูดกับพระบิดาของผมเวลาไหนก็ได้ และไม่มีใครจะเข้ามาแทรกได้ ทำไมคุณจึงยอมให้คนอื่นเข้ามาแทรกในความสัมพันธ์ของคุณกับพระยาห์เวห์ได้ง่ายๆ? นั่นก็เป็นการตัดสินใจของคุณและมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของผม แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงเปิดทางให้คุณได้คืนดีกับพระองค์เองในพระคริสต์ (2 โครินธ์ 5)[21]
ที่ผ่านมาเรารู้จักแต่พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น แต่ตอนนี้เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระคริสต์ของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว พระเยซูทรงต้องการจะนำเราไปถึงพระบิดาโดยตรงเพื่อเราจะพูดคุยกับพระบิดาและอธิษฐานกับพระบิดาได้โดยตรง บัดนี้พระเยซูได้ทรงเปิดทางไปสู่พระบิดา คุณจึงมีสิทธิพิเศษที่จะมีความสัมพันธ์กับพระบิดา อย่ายอมให้ใครเอาสิทธิพิเศษนั้นไปจากคุณ พระเยซูเป็นผู้หนึ่งที่จะไม่ทำอย่างนั้น พระองค์เสด็จมาเพื่อคุณจะได้เป็นบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เมื่อก่อนเรารู้เรื่องนี้ด้วยความเข้าใจที่คลุมเครือ แต่เราไม่รู้ว่าจะทำให้สอดคล้องกันอย่างไรเพราะมีบางอย่างไม่สมเหตุสมผลกัน เราควรจะเป็นบุตรชายและบุตรหญิง แต่ด้วยเหตุอันใดเราจึงคิดว่าเราไม่สามารถจะพูดคุยกับพระบิดาได้โดยตรงแต่จะต้องพูดพูดคุยกับพระบิดาในพระนามของพระเยซูทั้งๆที่ไม่มีข้อพระคัมภีร์กล่าวอย่างนั้นเลย
ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราถูกสอนว่าเรากำลังถูกสร้างบนฐานที่แน่นจากพระคัมภีร์และเราก็ภูมิอกภูมิใจว่าเป็นอย่างนั้นในเมื่อความเป็นจริงแล้วเราไม่มีหลักฐานของพระคัมภีร์มายืนยันในสิ่งที่เราเชื่อ ผมไม่เห็นว่าจะมีใครสักคนพยายามโต้แย้งผมเกี่ยวกับหนังสือความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว หลักฐานนั้นแน่นหนามากจนไม่มีสิ่งใดจะมาโต้แย้งหรือต่อสู้ได้ ผมได้วางหลักฐานให้คุณได้เห็นแล้ว ที่ผมจะขอก็คือให้คุณหาหลักฐานของคุณมาแสดง
สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือการติดต่อกับพระเจ้าของคุณได้โดยตรง แต่มีปัญหาว่าคุณไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะตลอดชีวิตคริสเตียนของคุณได้พูดอยู่กับพระเยซูไม่ใช่กับพระยาห์เวห์ ในความเชื่อตรีของเอกานุภาพนั้นเราไม่รู้ว่าพระบิดาเป็นใคร หรือแม้แต่ว่าพระองค์ชื่ออะไร แต่ตอนนี้เรารู้จักชื่อของพระองค์และได้มาเป็นบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ทุกๆวันเมื่อผมตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ผมจะพูดก็คือ “พระยาห์เวห์ พระบิดา” ผมจะแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ทันที แล้วผมก็อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์และพูดคุยกับพระองค์โดยตรง สิ่งนี้แหละที่ผมอยากจะแบ่งปันกับพวกคุณ ผมหวังว่าพวกคุณจะรู้ถึงสิทธิพิเศษที่คุณมีในพระคริสต์ ไม่ใช่นอกพระคริสต์ โดยที่พระยาห์เวห์ทำให้คุณเป็นคนใหม่ (เป็นส่วนของการสร้างใหม่) และเป็นกายที่มีชีวิตที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่
เมื่อคุณติดต่อกับพระยาห์เวห์โดยตรง พระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทำงานอยู่ในตัวคุณด้วยฤทธานุภาพอย่างเต็มเปี่ยม ผมอยากจะเห็นฤทธานุภาพนี้ในชีวิตของพวกคุณทุกคน ผู้ร่วมงานหลายคนไม่มีฤทธานุภาพซึ่งคุณก็รู้อยู่ในใจลึกๆของคุณ งานของคุณไม่เกิดผลและคำอธิษฐานของคุณก็ไปไม่ถึงไหนเพราะคุณไปผิดทางมาโดยตลอด แต่ตอนนี้คุณรู้ความจริง ฉะนั้นจงจัดการแก้ไขให้ถูกต้องกับพระเจ้าโดยการทำสุหนัตที่ใจและให้ใจของคุณมีความปิติยินดีกับกางเขน
ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า
ให้เราดูอีกสองสามข้อ กาลาเทีย 2:20 เป็นข้อที่คุ้นๆแต่ก็มีไม่กี่คนที่เข้าใจจริงๆ “ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ฉบับนี้ก็เหมือนกับฉบับภาษาอังกฤษส่วนมากที่แปลภาษากรีกผิดไปจากเดิมเมื่อกล่าวว่า “ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า” ภาษากรีกพูดต่างกันคือ “ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อของพระบุตรของพระเจ้า” เราจะเห็นคำแปลแบบนี้ในฉบับคิงเจมส์ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ฉบับที่แปลอย่างถูกต้อง
ฉบับภาษากรีกกล่าวว่า “”[22] คุณไม่จำเป็นต้องรู้ภาษากรีกมากก็จะเห็นว่าคำที่ขีดเส้นใต้นั้นอยู่ในรูปของสัมพันธการกที่แสดงความเป็นเจ้าของ และไม่ได้อยู่ในรูปของกรรมรอง ดังนั้นเปาโลจึงดำเนินชีวิตอยู่ “โดยความเชื่อของพระบุตรของพระเจ้า”[23] (จงเปรียบเทียบการวิเคราะห์ไวยากรณ์ในไบเบิ้ลเวิร์คของข้อนี้) หรือพูดได้อีกอย่างว่า เปาโลดำเนินชีวิตอยู่ด้วย “ความเชื่อของพระบุตรของพระเจ้า” ซึ่งตรงข้ามกับ “ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า” อันหลังอยู่ในรูปของกรรมรองขณะที่ภาษากรีกอยู่ในรูปที่แสดงความเป็นเจ้าของ
สิ่งนี้ทำให้มีคำถามที่สำคัญว่า ถ้าผมเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วใครล่ะที่มีชีวิตอยู่? ผู้ที่มีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสต์ ในเมื่อเป็นพระคริสต์ที่มีชีวิตอยู่ ดังนั้นผมจึงดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้โดยความเชื่อที่ไม่ใช่ความเชื่อของใครอื่นแต่เป็นของพระบุตรของพระเจ้า! ความเชื่อที่พระเยซูมีก็คือความเชื่อที่ผมดำเนินชีวิตอยู่! ชีวิตที่ผมดำเนินอยู่นั้นผมก็ดำเนินอยู่ด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน ด้วยการเชื่อฟังอย่างเดียวกับที่พระเยซูมีต่อพระบิดา พระเยซูเป็นแบบอย่างของชีวิตที่ดำเนินอยู่ด้วยการเชื่อฟังพระบิดาอย่างสมบูรณ์ ความเชื่อก็คือการเชื่อฟังอย่างแท้จริง ดังนั้นเองเปาโลจึงพูดถึง “การเชื่อฟังซึ่งมาจากความเชื่อ” ในโรม 1:5 และ 16:26[24]
ผมจะพูดอะไรบางอย่างที่น่าตกใจยิ่งขึ้นว่า ถ้าหากไม่ใช่ผมที่มีชีวิตอยู่ แล้วใครหรือที่มีชีวิตอยู่? ก็เป็นพระคริสต์ที่มีชีวิตอยู่ แล้วคุณจะเป็นอะไร? สมมุติว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจถามคุณว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณตอบว่า “ผมไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ผมตายแล้วเพราะว่าผมได้ถูกตรึงกับพระคริสต์” เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นใครล่ะที่มีชีวิตอยู่? แล้วคุณเป็นใคร?” คุณตอบว่า “ผมเป็นพระคริสต์” “เป็นพระคริสต์หรือ?” “ใช่แล้ว ผมเป็นพระคริสต์ เพราะว่าพระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในผม ผมได้ตายแล้ว ฉะนั้นผู้ที่คุณกำลังคุยอยู่ด้วยก็คือพระคริสต์!”
คุณอาจถูกส่งตัวเข้าแผนกจิตเวชเพราะพูดจาเหลวไหลแบบนี้ แต่ว่านั่นเป็นความจริงในพระคัมภีร์! ถ้าหากคุณและผมไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเราก็คือพระคริสต์ ไม่ว่าเราจะรับเอาคำกล่าวของเปาโลตามที่ปรากฏหรือจะไม่รับก็ตาม ลองคิดทบทวนดูให้ดี ถ้าหากคุณตายและพระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในคุณ คุณก็เป็นพระคริสต์เพราะไม่ใช่คุณอีกต่อไป! แต่จงสังเกตสิ่งที่เปาโลพูดให้ถี่ถ้วน เปาโลไม่ได้บอกว่าเป็นพระเยซูที่มีชีวิตอยู่ แต่บอกว่าเป็นพระคริสต์ที่มีชีวิตอยู่ พระเยซูกับพระคริสต์นั้นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว พระคริสต์ไม่ได้เป็นอีกชื่อหนึ่งของพระเยซู พระคริสต์หมายถึงพระเมสสิยาห์[25]ผู้ช่วยให้รอดของเรา
เราจะเป็นพระคริสต์ในความสัมพันธ์แนวราบ
ให้เราดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ได้จากฟีลิปปี 1:21 ซึ่งเป็นอีกข้อหนึ่งที่รู้จักกันดี “เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร”[26] (“For to me, to live is Christ and to die is gain”) คำว่า “ก็”(is)[27] ทั้งสองครั้งในประโยคนี้ในภาษากรีกไม่มี ภาษากรีกของข้อนี้กล่าวว่า “ (For me to live Christ, to die gain)” การที่ไม่มีคำ
(“is” ก็เพื่อ) นั้นหมายความว่าการแปลตรงตัวมีเพียงว่า “เพราะสำหรับข้าพเจ้ามีชีวิตพระคริสต์ การตายกำไร” ส่วนฉบับคิงเจมส์เข้าใจถูกต้องโดยพิมพ์คำ “is” เป็นตัวอักษรเอนไว้ “เพราะสำหรับข้าพเจ้ามีชีวิตก็เพื่อพระคริสต์ การตายก็ได้กำไร” (“For to me to live is Christ, and to die is gain”)[28] การพิมพ์ตัวเอนจะบอกเราว่าคำ “is” (ก็เพื่อ) นั้นไม่ได้มีอยู่ในภาษากรีก
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆจำเป็นต้องใส่ “is”(ก็เพื่อ)เข้าไป เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ภาษาอังกฤษไม่เป็นตามกฎของภาษาและไม่สามารถจะอ่านได้ แต่การไม่มี “is (ก็เพื่อ)” ในภาษากรีกก็ทำให้ไม่สามารถอ่านได้เช่นกัน การไม่มีคำ “” ในภาษากรีกยิ่งทำให้ไม่สามารถอ่านได้ แต่เปาโลก็เลือกที่จะเขียนอย่างนั้นเพื่อให้เข้าใจความคิดของเขา
เปาโลกำลังจะบอกว่าชีวิตของเขาเทียบเท่ากับพระคริสต์ อันที่จริงแล้วเปาโลก็คือพระคริสต์! คุณเห็นภาพที่น่าตกใจนี้ไหม? เรานึกถึงคำสนทนาต่อไปนี้ในยอห์น 14:8-9
ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?’”
ฟีลิปขอให้พระเยซูสำแดงพระบิดาให้เขาเห็น แต่พระเยซูตรัสว่า “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” ดังนั้นเราอาจจะถามพระเยซูว่า “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ทรงเป็นพระบิดาหรือ? ถ้าข้าพระองค์จะได้เห็นพระบิดาทุกครั้งที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ อย่างเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือพระองค์ทรงเป็นพระบิดา” พระเยซูจะบอกเราว่า “ท่านพูดถูกแล้ว เราเป็นพระบิดา”
พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เจ้าไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาอยู่ในเรา?” เพราะพระบิดามีชีวิตอยู่ในพระเยซู เมื่อคุณเห็นพระเยซูคุณก็เห็นพระบิดา
ภารกิจของเราในโลกนี้ก็คือการเป็นพระคริสต์ เปาโลกล่าวว่า “สำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิต-พระคริสต์” แล้วส่วนต่อมาก็มีผลให้ “การตาย-กำไร” ถึงเวลานั้นคุณและผมจะเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เรายังไม่ดีพร้อมเหมือนที่เปาโลกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้ว หรือดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป...” (ฟีลิปปี 3:12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เปาโลบากบั่นมุ่งไปถึงเป้าหมาย คือเป้าหมายในการดีพร้อม ซึ่งก็คือการกลายเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างสมบูรณ์และถึง “ขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:13) เมื่อคนเห็นคุณ พวกเขาจะเห็นพระคริสต์จริงๆ! ถ้าคุณมีขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์ เมื่อคนเห็นคุณ พวกเขาจะเห็นความบริบูรณ์ของพระคริสต์ ถ้าไม่ได้ถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์ อย่างน้อยๆพวกเขาก็ควรจะเห็นพระคริสต์บ้าง
ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้เราเห็น” ใครจะเป็นผู้ที่สำแดงพระบิดาให้พวกเขาเห็นหรือ? พระเยซูตรัสไว้ว่า “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” แต่ตอนนี้เราไม่สามารถจะมองเห็นพระเยซูได้เพราะพระองค์ทรงอยู่ในสวรรค์ แล้วเช่นนั้นเราจะสำแดงพระบิดากับพวกเขาได้อย่างไร? คำตอบก็คือคุณนั่นแหละที่จะสำแดงกับพวกเขา คุณเป็นพระคริสต์! คุณเห็นว่านี่น่าตกใจไหม? คุณมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไหม?
ความมุ่งหมายทั้งหมดของการถูกตรึงก็คือว่า ตอนนี้เราตายแล้วและพระคริสต์ทรงมีชีวิต เรามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นพระคริสต์! นั่นคือจุดสำคัญ! เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะสอนและพูดคำสอนและหลักการของเราไปเรื่อย ถ้ามีใครมองดูคุณและไม่เห็นอะไรนอกจากเห็นตัวคุณ แล้วคุณจะพูดได้อย่างไรว่า “เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์”? มันจะถูกต้องกว่าไหมที่คุณจะพูดว่า “เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อตัวข้าพเจ้าเอง” เพราะเมื่อมีคนมองคุณ เขาไม่เห็นคนอื่น แต่ถ้าวันหนึ่งเขามองคุณและพูดว่า “ผมเห็นพระคริสต์” นั่นแหละคุณกำลังเริ่มต้นปฏิบัติภารกิจของคุณ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ของพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานอยู่ในคุณตอนนี้ เมื่อคุณเทศนาพระคำ ชีวิตของผู้คนจะได้รับการเปลี่ยนแปลง มีอะไรเกิดขึ้นไหมกับคำเทศนาของคุณ? คุณเทศนาในคริสตจักรของคุณมานานเท่าไรแล้ว? มีอะไรเกิดขึ้นไหม? เมื่อคุณออกไปประกาศทุกวันมีอะไรเกิดขึ้นไหม?
สิ่งที่น่าสังเกตจากประสบการณ์ของผมก็คือ ผมไม่จำเป็นต้องเปิดปากของผมเพื่อจะชักนำผู้คนมาหาองค์ผู้เป็นเจ้า คุณจะไม่นึกถึงว่าคุณจะเป็นพระคริสต์หรือว่าพยายามจะเป็นพระคริสต์ คุณไม่ได้กำลังแสดงว่าเป็น เพราะนั่นจะไม่ใช่ของจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในคุณ โดยพระวิญญาณที่อยู่ในตัวคุณ
สองสามสัปดาห์ก่อนผมเจอผู้ร่วมงานจากภาคเหนือของจีนที่ผมไม่ได้เจอมาเก้าปีแล้ว เมื่อผมเจอเขาครั้งแรกหลายปีมาแล้วนั้น เขากำลังง่วนอยู่กับการหาเลี้ยงชีพอยู่บนท้องถนนด้วยการขับสามล้อ ผมพูดกับเขาไม่กี่คำและตอนนี้เขาก็มาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา วันก่อนเขาพูดกับผมว่า “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ตอนนั้นทำไมคุณจึงมาพูดกับผม?” ผมพูดกับเขาไม่กี่คำแล้วมันก็เปลี่ยนทั้งชีวิตของเขา ความจริงของเรื่องนี้ก็คือเขาไม่ได้วิ่งมาหาผม เขาวิ่งมาหาพระคริสต์แต่เขาไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เปาโลหมายถึง “ข้าพเจ้ามีชีวิต-พระคริสต์”
ชีวิตคริสเตียนควรจะเป็นเช่นนั้น ผมรู้สึกเศร้าใจกับผู้ร่วมงานที่ใช้เวลาทั้งชีวิตของพวกเขาในการสอนตามกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์อย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็งแต่ก็ไม่ก้าวหน้าไปไหน คุณไม่ได้สร้างคริสตจักรด้วยการศึกษาพระคัมภีร์ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือชีวิตของคุณมีคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณที่คนอื่นจะมองเห็นได้ เมื่อคนทั้งหลายมองดูคุณ พวกเขาจะไม่คอยดูผมที่ยุ่งเหยิงของคุณเมื่อถูกลมพัด ผมของพระเยซูอาจจะปลิวว่อนเมื่อพระองค์เจอพายุเมื่ออยู่บนเรือ สิ่งที่พวกสาวกสังเกตเห็นนั้นไม่ใช่ผมของพระองค์ แต่เป็นฤทธานุภาพที่พระองค์ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าได้รับจากพระบิดาของพระองค์ พวกเขาถามกันและกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครกันหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังพระองค์!” (มัทธิว 8:27 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อพระเยซูทรงยืนหยัดอยู่ในความสัมพันธ์พิเศษกับพระยาห์เวห์ ดังนั้นคุณก็ยืนหยัดอยู่ในความสัมพันธ์พิเศษกับพระยาห์เวห์ด้วย แน่นอนที่พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าในแง่ที่ทรงเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน เราก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย แต่พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฏในพระกายของพระองค์ พระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกในพระกายของพระเยซู “เพราะในพระคริสต์พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า (ของพระยาห์เวห์) ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์” (โคโลสี 2:9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) “พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา”[29] (ยอห์น 1:14 ฉบับไทยคิงเจมส์)
เราเป็นรูปเหมือนของพระคริสต์
ผมได้ให้สิ่งสำคัญสองสามอย่างกับคุณไปคิด เพราะเราได้ตายแล้ว เราจึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวของเราเองแต่ทำหน้าที่เป็นพระคริสต์ ถ้าเราไม่ต้องการจะทำหน้าที่เป็นพระคริสต์แล้วจะมีเหตุอะไรหรือที่จะอยู่ในพระกายของพระคริสต์ซึ่งก็คือคริสตจักร? พระกายของพระคริสต์คือกายรวมของผู้มีชีวิตที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายใน พระวิญญาณเดียวกันนี้ที่เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นรูปเหมือนของพระคริสต์
ในหนังสือ “การมาเป็นคนใหม่” ผมได้พูดอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับการเป็นรูปเหมือนซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญของคำสอนในพระคัมภีร์ รูปเหมือนหรือพระฉายาคืออะไร? มันคือสิ่งที่คุณมองแล้วคุณจะเห็นบุคคลที่รูปนั้นกำลังแสดงให้เห็น พระเยซูบอกให้ฟาริสีเอาเหรียญมาให้พระองค์ พวกเขาจึงนำเหรียญมาให้พระองค์ (มัทธิว 22:19) แล้วพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” คำว่า “รูป” นี้คือคำเดียวกับ “ฉายา” ที่พระคัมภีร์ใช้พูดถึงการที่เราเป็น “พระฉายาของพระเจ้า” เมื่อฟาริสีกล่าวว่าเหรียญเป็นรูปของซีซาร์ พระเยซูทรงบอกพวกเขาให้ถวายของที่เป็นของซีซาร์เพราะรูปของซีซาร์อยู่บนเหรียญนั้น หากคุณอยากจะรู้ว่าซีซาร์หน้าตาเป็นอย่างไรก็ให้ดูที่เหรียญ ถ้าคุณอยากรู้ว่าพระราชินีอลิซาเบ็ธมีพระพักตร์เป็นอย่างไร ก็ให้ดูที่เหรียญของประเทศแคนาดา
พระคริสต์คือรูปเหมือนของพระเจ้า[30] (2 โครินธ์ 4:4) เมื่อพระเยซูทรงอยู่บนโลก พระองค์ตรัสว่า “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” แต่ตอนนี้พระองค์ทรงอยู่ในสวรรค์ แล้วใครจะเป็นผู้สำแดงพระเจ้าให้โลกนี้ได้เห็น? เมื่อผู้คนมองคุณ พวกเขาจะเห็นใคร? พวกเขาเห็นพระคริสต์ไหม? ภารกิจของเราก็คือสำแดงพระคริสต์! ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็จะมีฤทธานุภาพอย่างสมบูรณ์ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” ฤทธานุภาพทั้งสิ้นนั้นเพื่อพระองค์เองหรือ? ไม่ใช่เลย เพื่อพวกคุณต่างหาก! พระเยซูทรงไม่ต้องการ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” ในเมื่อพระองค์ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา แต่เราต้องการฤทธานุภาพทั้งสิ้นนั้นเพื่อที่ว่าเมื่อคนมองเรา พวกเขาจะได้เห็นสิ่งที่งดงาม มนุษย์เป็น “พระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:7)[31] ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นรูปเหมือนของพระเจ้าแต่ยังเป็นสง่าราศีของพระเจ้าด้วย!
ผมหวังว่าผมให้คุณคิดพอแล้วเกี่ยวกับพันธกิจของคริสตจักรในระดับแนวราบ “ในพระนามของพระเยซู” เป็นวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงาน ทุกสิ่งที่ได้กระทำในพระนามของพระเยซูในหนังสือกิจการนั้นเป็นผลมาจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์สร้างคนใหม่ขึ้นในรูปเหมือนของพระคริสต์ ถ้าคุณเป็นคนใหม่ คุณก็ควรจะสำแดงสง่าราศีของพระเจ้าที่สำแดงในพระคริสต์ผู้เป็นรูปเหมือนของพระเจ้าด้วย การทำหน้าที่ทุกอย่างของพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ก็จะเหมือนกับเราทุกอย่าง ในเมื่อพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือน เราก็เป็นรูปเหมือน งานใดที่พระเยซูทรงทำ เราก็ทำเหมือนกัน สิ่งที่พระองค์ทรงทำในโลก เราก็ทำเหมือนกัน พันธกิจของเราก็คือสำแดงพระสิริของพระเจ้าเหมือนที่สำแดงโดยพระเยซู นั่นคือเคล็ดลับของฤทธานุภาพ
ผมเดือดร้อนใจที่ผู้ร่วมงานหลายคนเกิดผลเพียงเล็กน้อยอยู่อย่างนั้นกับการลงแรงไปมาก คุณยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อองค์ผู้เป็นเจ้า แม้แต่อาชีพของคุณและการศึกษาสาขาวิชาชีพของคุณ มันคุ้มค่าไหม? มันจะไม่คุ้มค่าเว้นแต่คุณจะทำให้พระประสงค์ของพระยาห์เวห์เพื่อคริสตจักรของพระองค์สำเร็จ ซึ่งก็คือการสำแดงพระสิริของพระองค์อย่างที่พระเยซูได้ทรงกระทำ และดำเนินชีวิตที่ไม่ธรรมดาจนคนประหลาดใจที่คุณแตกต่างจากคนอื่น และเมื่อพวกเขาถามคุณ คุณก็จะบอกเรื่องราวที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา (1 เปโตร 3) เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา
ตัวอย่างชีวิตจริง
เมื่อผมอายุ 21 ปี ผมเดินทางทางเรือที่ยาวนานจากฮ่องกงไปยุโรป ผมได้แบ่งปันในคำพยานของผมว่า องค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเงินให้ผมอย่างอัศจรรย์ในการเดินทางไปยุโรปทั้งๆผมไม่มีเงินเลย เพื่อนผู้ร่วมทางของผมคนหนึ่งที่เป็นหมอชาวออสเตรียเป็นชายร่างใหญ่ ใหญ่กว่าผมราวสี่เท่าในเวลานั้น เขาชอบกินอาหารแบบกินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม เมื่ออยู่ที่โต๊ะอาหารเขาก็กินอย่างมูมมามและตะกละตะกลามกับทุกสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขา ผมพูดกับตัวเองว่า ชายคนนี้เป็นหมอ เขาน่าจะรู้ว่าเขากำลังฆ่าตัวเองชัดๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาวิตก เขายังคงซัดอาหารเข้าไปโดยไม่คิดอะไรมาก
บนเรือบรรทุกสินค้าลำนี้มีผู้โดยสารราวสิบคนเท่านั้น เราทุกคนก็เลยต้องนั่งโต๊ะเดียวกันรวมทั้งหมอและภรรยาของเขาที่อายุน้อยกว่าเขาครึ่งหนึ่งเห็นจะได้ เขาใช้ภาษาที่หยาบคายและสกปรกที่สุด ทุกครั้งที่เปิดปากก็จะมีแต่ภาษาลามกและโอ้อวดการกระทำที่น่าละอายของเขา เขาเป็นคนเจนจัดกับโลกมากอย่างเรื่องที่มาอวดกับผมถึงวิธีฉ้อโกงคนไข้ของเขา คุณนึกภาพออกไหม? คุณอาจคิดว่าคงไม่มีหมอคนไหนจะกล้าพูดแบบนี้ แต่เขาก็อวดถึงวิธีโกงคนไข้โง่ๆคนนี้ คนไข้โง่ๆคนโน้น และรีดเงินจำนวนมากจากพวกเขา ผมคิดในใจว่า ชายคนนี้เป็นคนยังไงกัน?
ในช่วงท้ายของการเดินทางของเราจากฮ่องกงไปยุโรปหลังจากอยู่บนเรือมากว่าหนึ่งเดือน มีวันหนึ่งผมกำลังยืนอยู่บนหอบังคับการเรือ หอบังคับการเรือเป็นจุดที่สูงที่สุดของเรือและตรงนั้นมีแต่ลูกกรงหรือราวบันได มีห้องคนนำร่องอยู่ด้านล่าง ผมกำลังยืนอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของเรือเพื่อดูเรือแล่นฝ่าผิวน้ำไปในทะเล
ทันใดนั้นหมอคนนี้ก็ขึ้นมายืนอยู่ข้างๆผม เขาพูดกับผมว่า “อีริค ผมมีบางอย่างจะบอกคุณ” “บอกมาได้เลย” “เดือนที่ผ่านมาผมสังเกตว่ามีบางอย่างที่คุณแตกต่างจากคนอื่น แต่ผมก็บอกเจาะจงลงไปไม่ได้ อะไรทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นหรือ”?
ผมพูดว่า “ถ้าคุณอยากรู้ ผมก็จะแบ่งปันให้คุณฟังสักเรื่องสองเรื่อง” ผมบอกเขาว่าผมมารู้จักองค์ผู้เป็นเจ้าอย่างไรและพระองค์สามารถเปลี่ยนชีวิตของผมอย่างไร ต่อจากนั้นผมก็บอกเขาว่า “หากคุณอยากจะรู้มากขึ้น ผมจะให้พระกิตติคุณเล่มเล็กๆนี้ให้คุณไปอ่าน และผมจะให้ที่อยู่ให้คุณเขียนถึงผมได้”
ตลอดการเดินทางผมไม่เคยแสร้งทำหรือพยายามจะแสดงให้เห็นว่าเป็นคนเคร่งศาสนา ผมก็เป็นแค่คนหนุ่มคนหนึ่งเหมือนคนอื่นๆและใช้ชีวิตเต็มที่ แต่ชายผู้นี้เป็นคนแข็งกระด้างที่สุดในโลกจนผมคิดว่าคงจะไม่มีอะไรสามารถแตะใจของเขาได้ และเมื่อพิจารณาขนาดตัวของเขาแล้ว เขาคงต้องพยายามอย่างมากที่จะไต่ขึ้นไปถึงสองดาดฟ้าเพื่อขึ้นไปหอบังคับการเรือ ทำไมเขาจึงไม่คอยให้ผมลงมาเสียก่อน? ด้วยน้ำหนัก 140 กิโลกรัมที่หนักเอาการ เขาคงต้องตะเกียกตะกายเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปตามราวบันไดเหล่านี้ แล้วยังถูกซี่บันไดครูดไปจนถึงด้านบน ผมสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่รอตอนที่เรานั่งโต๊ะอาหาร แต่เขาอาจไม่อยากถามผมต่อหน้าคนอื่นก็ได้
ฤทธานุภาพของพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ผมไม่เคยประกาศกับใครบนเรือลำนี้เลยหรือจะ “เป็นพยาน” กับใครว่า “คุณเชื่อพระเยซูไหม?” เพียงแค่ให้ชีวิตของคุณเป็นผู้พูดออกมา ถ้าชีวิตของคุณไม่มีอะไรจะพูดกับคนอื่นๆ ก็จงเงียบเสีย
แต่ชายผู้แข็งกระด้างคนนี้ที่โอ้อวดความผิดความบาปแล้วก็อดีตที่น่าละอายของเขาได้เดินขึ้นมาหาผม เขาดูมีอายุแล้วคงราวๆหกสิบ น่าจะเป็นปู่ของผมได้ แต่เขาก็เป็นฝ่ายเข้ามาหาผมและถามผมว่า “อะไรทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่น?” คุณลองนึกดูสิว่าเขาต้องถ่อมตนแค่ไหนที่จะทำเช่นนั้น?
เมื่อผมยื่นหนังสือพระกิตติคุณให้เขา เขาก็รับมันอย่างนอบน้อมและซึ้งใจโดยไม่มีพฤติกรรมที่หยิ่งยโสให้เห็นบนโต๊ะอาหาร เขาเปลี่ยนไปจากเดิม ผมมีแค่พระกิตติคุณยอห์นปกสีแดง ผมไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะให้เขา เขารับหนังสือไปและพูดว่า “ขอบคุณ ผมจะไปอ่านดู” และเขาก็เดินออกไป
มีบางอย่างเกิดขึ้นในการเดินทาง ช่วงแรกของการเดินทางจากฮ่องกงไปสิงคโปร์ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสี่วัน ผมอยู่ร่วมห้องกับเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ก่อนจะถึงฝั่งสิงคโปร์เขาถามผมว่า “คุณมาเชื่อได้อย่างไร?” ผมพูดว่า “ถ้าคุณอยากเชื่อ คุณก็คุกเข่าลงในห้องนี้ได้เลยและมอบชีวิตของคุณให้กับองค์ผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเขาก็ยินดีทำ! สี่วันที่เราอยู่ร่วมห้องกัน ผมไม่เคยพูดประกาศกับเขาเลยสักครั้ง เพราะว่าสำหรับผมนั้นมีชีวิต-พระคริสต์ ชายหนุ่มผู้นี้คงได้เห็นอะไรบางอย่างในผมที่ทำให้เขาหันมาหาพระคริสต์
ตลอดชีวิตของผม ผมได้เห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เราได้รับ “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น” เพื่อเปลี่ยนผู้คน แม้แต่การที่ทำให้ใจของคนแข็งกระด้างที่เจนโลกต้องเชื่อฟัง ในชีวิตของผม ผมได้เห็นคนมากมายที่เจนจัดกับโลก แต่ไม่เคยเห็นคนอย่างหมอคนนี้ที่คุยโวโอ้อวดความบาปและความชั่วของเขา แต่ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปหมดภายในเดือนกว่าๆ ผมไม่ได้เป็นหมอแต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นานก่อนที่ภาวะหัวใจวายจะคร่าชีวิตของเขาไป ผมไม่รู้ว่าในที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมกำลังจะไปยุโรป ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าเขาจะติดต่อกับผมได้อย่างไรแม้จะมีที่อยู่ที่ผมให้เขาไว้
เราได้รับสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบอย่างมากที่จะเป็นพระคริสต์ในโลกนี้ คนทั้งหลายควรมองเห็นพระบิดาเมื่อพวกเขาเห็นเรา เหมือนที่พวกเขาเห็นพระบิดาเมื่อพวกเขาเห็นพระเยซู พวกเขาไม่มีทางที่จะเห็นหรือรู้จักพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา นั่นเป็นสิทธิพิเศษที่เราได้รับการทรงเรียก เราไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำหน้าที่ตามที่ทรงเรียกเราเพราะมีฤทธานุภาพโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา
ถึงแม้คุณจะไม่ได้นึกถึงมัน ฤทธานุภาพนั้นก็ทำงานอยู่ในคุณโดยที่เหล่าวิญญาณชั่วก็รู้ว่าคุณเป็นใคร ผมได้แบ่งปันมาก่อนหน้านี้ว่า ผมเคยพบผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคนทรง เธอพูดกับผมว่า “ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร”
ผมพูดว่า “จริงๆหรือ? ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร”
“แต่ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร”
“รู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นใคร?”
“ฉันฝึกฝนเรื่องทางวิญญาณ”
“จริงหรือ? คุณรับการฝึกฝนมาจากไหน?”
เธอได้ไปเยี่ยมพระทิเบตผู้เป็นปรมาจารย์ทางวิญญาณในภูเขาแถวทิเบต เธอรู้จักผมและบอกถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตของผมได้แม้ว่าผมจะไม่เคยพบเธอมาก่อนเลย ผมพูดกับเธอว่า “นั่นก็ดี แต่คุณควรมารู้จักความจริง เพราะปรมาจารย์ทางวิญญาณของคุณจะไม่นำคุณไปถึงความจริงและถึงพระเจ้าเที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ เธอฟังอย่างตั้งใจ มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าพวกวิญญาณรู้ว่าคุณเป็นใคร
ในสองบทก่อนผมได้แบ่งปันเรื่องหญิงผู้หนึ่งที่มีผีชั้นสูงเข้าสิง เราทุกคนกำลังนั่งกันอยู่ในห้องเมื่อเธอลุกขึ้นและหมอบอยู่แทบเท้าของผม เธอคว้าเท้าของผมและจับเอาไว้ แต่ผมบอกให้เธอกลับไปนั่งที่นั่งของเธอ วิญญาณนั้นกำลังยอมจำนน “ฉันยอมจำนนอยู่แทบเท้าของท่าน แต่ว่าจะขอร้องอย่างหนึ่งคือ ขอให้ฉันออกไปทางประตู” ผมพูดว่า “เชิญออกทางประตูได้” มันน่าแปลกใจใช่ไหม? คุณคิดว่าตัวของผู้หญิงเองจะมากอดเท้าของผมไหม? ผมไม่เคยพบเธอมาก่อน มันไม่ใช่ตัวเธอเองที่กอดเท้าของผมแต่เป็นผีที่อยู่ข้างในเธอ สิ่งนี้บอกถึงการยอมแพ้ “ฉันยอมแล้ว ฉันไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป ปล่อยฉันไปเถอะ” ผมพูดว่า “ไปได้” แล้ววิญญาณก็ออกไป ทันใดนั้นหญิงคนนี้ก็เปลี่ยนไปเลย ชั่วเวลาหนึ่งเธอเป็นคนแปลกและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ตอนนี้เธอเป็นปกติมีสติสัมปชัญญะ
ตามธรรมดาแล้วเราจะไม่รู้ตัวว่าฤทธานุภาพนี้ทำงานอยู่ในเรา มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราทำเองได้ สำหรับผมแล้วก็เหมือนกับเปาโลคือการมีชีวิตพระคริสต์ ไม่ว่าเปาโลจะไปที่ไหนฤทธานุภาพของพระวิญญาณก็ทำงานผ่านทางเขา
ความมุ่งหมายของผมในวันนี้ก็คือแบ่งปันสองสิ่งนี้กับคุณ สิ่งแรกคือ ถ้าคุณมีทางเข้าถึงพระบิดาพระยาห์เวห์ของคุณได้โดยตรง ก็จงอย่ายอมให้ใครมาคั่นกลางระหว่างคุณกับพระองค์ แต่ถ้าคุณไม่มีทางเข้าถึงพระองค์ คุณก็ควรต้องรีบหามัน ไม่เช่นนั้นคุณจะลงเอยด้วยการไม่ได้อะไรเลย แม้คุณจะยอมทิ้งงานและวิชาชีพของคุณ นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด
ไม่มีอะไรยากในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องง่ายๆของการถูกตรึงกับพระคริสต์ ปล่อยชีวิตเก่าไป ปล่อยตัวเก่าไป ปล่อยคนเก่าไป ปล่อยตัวตนเก่าไป และปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เต็มตัวของคุณ นั่นก็คือการเข้าสุหนัตทางใจ จงตั้งพันธสัญญาของคุณกับพระยาห์เวห์ ไม่ว่าจะเป็นแบบรายบุคคลหรือแบบโดยรวมเหมือนในพิธีศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพันธสัญญาที่ตั้งไว้กับพระยาห์เวห์ พันธสัญญาของเราไม่ได้ตั้งไว้กับพระเยซูแต่กับพระยาห์เวห์ทางพระโลหิตของพระเยซู ดังนั้นคุณจึงเป็นของพระเจ้าและมาเป็นบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์ ไม่เห็นมีอะไรยากเลย ผมไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นปัญหา มันสามารถจัดการได้ในไม่กี่นาที แล้วคุณจะออกไปด้วยฤทธานุภาพที่ตัวของคุณเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเช่นเมื่อคุณเจอคนที่ถูกผีเข้า ผีมารเป็นของอีกฟากหนึ่งของโลกที่สามารถมองเห็นได้ พวกมันจะมองเห็นสิ่งที่มนุษย์เรามองไม่เห็นและรู้ว่าเราเป็นใคร แต่แม้ในฟากโลกของเรา คนจะเห็นสิ่งที่แตกต่างในตัวคุณที่พวกเขาไม่สามารถเจาะจงลงไปได้ แต่มันจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
ประเด็นแรกของผมก็คือการพูดคุยของเราโดยตรงกับพระเจ้า ประเด็นที่สองของผมก็คือในระดับแนวราบนั้น เราเป็นพระคริสต์และทำหน้าที่ในพระนามของพระองค์และในฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณทำการสร้างใหม่โดยที่คุณและผมถูกรวมเข้าในกายเดียวถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่ในคุณจริงๆ ถ้าพระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่ในคุณ คุณก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ (โรม 8:9)[32] พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สร้างคนใหม่ที่เรียกว่าพระคริสต์มากกว่าจะเรียกว่าพระเยซู เพราะว่าพระคริสต์หมายถึงพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ถึงคราวที่คุณจะมาเป็นผู้ที่ช่วยให้รอด ทุกครั้งที่คุณนำคนมาหาพระคริสต์ คุณก็ได้ช่วยบางคนให้รอด
การพูดพระคำของพระเจ้า
ในที่สุดนี้เมื่อคุณเต็มด้วยพระวิญญาณ ทุกสิ่งที่คุณพูดจากปากของคุณจะเป็นพระคำของพระเจ้า ไม่ใช่คำของมนุษย์ ผมเป็นคนพูดเรื่องนี้เองหรือ? เปาโลกล่าวว่า “และเราขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพราะเมื่อท่านรับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างถ้อยคำของมนุษย์ แต่รับไว้ตามที่เป็นจริงคือ เป็นพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกำลังทำกิจอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เมื่อเปาโลพูดกับชาวเธสะโลนิกานั้น พวกเขาไม่ได้รับไว้อย่างเป็นถ้อยคำของมนุษย์ แต่รับไว้ตามที่เป็นคือเป็นพระคำของพระเจ้า เมื่อคุณฟังสิ่งที่ได้พูดวันนี้ คุณรับว่าเป็นคำของมนุษย์หรือเป็นคำของพระเจ้า?
เราจะต้องทำหน้าที่อย่างที่พระเยซูได้ทรงทำหน้าที่ เมื่อพระองค์ตรัส พระองค์ตรัสพระคำของพระเจ้า และเมื่อเราพูด เราก็จะพูดคำของพระเจ้า เรากำลังทำหน้าที่เหมือนที่พระเยซูทรงทำหน้าที่ในโลกนี้ เราทำอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำด้วยข้อยกเว้นที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ เราไม่เคยตายเพื่อความผิดบาปของโลก และเราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น พระเยซูได้ทรงทำสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นผู้ช่วยให้รอดด้วยในแง่ที่ว่า เมื่อไม่มีเราก็จะมีคนในหมู่ผู้ที่ไม่เคยได้ยินพระคำของพระเจ้ารอดได้น้อยมาก เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ (โรม 10:15)[33] ผู้คนจะมาเชื่อได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่ได้ยิน แล้วพวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครนำพระคำของพระเจ้าไปบอกพวกเขา? (โรม 10:17-18)[34] นั่นคือเหตุผลที่เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมาจึงงามจริงๆ พวกเขาเป็นผู้ช่วยให้รอดที่ป่าวประกาศเรื่องความรอด
เราเป็นรูปและสง่าราศีของพระเจ้า เมื่อคนเห็นเรา พวกเขาก็เห็นสง่าราศีของพระยาห์เวห์หรือสง่าราศีของพระเยซู ซึ่งก็เป็นสง่าราศีของพระยาห์เวห์นั่นเอง เมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำที่พูดออกไปจากปากของเรา พวกเขาจะยอมรับว่าเป็นพระคำของพระเจ้า
[1] 1 โครินธ์ 12:28 “พระเจ้าทรงตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง บรรดาอัครทูต สอง บรรดาผู้เผยพระวจนะ สาม บรรดาอาจารย์ ต่อจากนั้น ผู้ทำการด้วยฤทธานุภาพ ต่อจากนั้น ของประทานในการรักษาโรค พวกที่ให้ความช่วยเหลือ พวกผู้นำและพวกที่รู้ภาษาแปลกๆ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[2] “รวีวารศึกษา” คือการเรียนพระวจนะของพระเจ้าในวันอาทิตย์ของคริสตจักรทั่วไป หรือหมายถึงโรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์ (ผู้แปล)
[3] หรือ “ผู้ทูลแก้ต่าง” (1 ยอห์น 2:1 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)- ผู้แปล
[4] ยอห์น 14:17 “คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ยอห์น 15:26 “แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ยอห์น 16:13 “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการแต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[5] กิจการ 1:4 “ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[6] กิจการ 16:7 “เมื่อมาถึงเขตแดนแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะเข้าไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[7]ปฐมกาล 1:2 “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[8] 2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[9] โคโลสี 1:15 “พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[10] Becoming a New Person
[11] Pastor Andrew Chan
[12] ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “Chief Shepherd” ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “และเมื่อพระผู้เลี้ยงใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับมงกุฎแห่งสง่าราศีที่ร่วงโรยไม่ได้เลย” (1 เปโตร 5:4) ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “หัวหน้าของผู้เลี้ยงทั้งปวงทรงปรากฏ” ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมาปรากฏ) (ผู้แปล)
[13] 1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน?”
1 โครินธ์ 6:19 “ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง?” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[14] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
[15] 1 ทิโมธี 2:5 “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) –ผู้แปล
[16] กิจการ 7:55 “ส่วนสเทเฟนเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเขม้นดูสวรรค์เห็นพระรัศมีของพระเจ้า และเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[17] หรือฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด” (ผู้แปล)
[18] “Come, Lord Jesus” (ผู้แปล)
[19] 1 ทิโมธี 2:5 “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) –ผู้แปล
[20] General Motors หรือ GM
[21] 2 โครินธ์ 5:18 “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[22] หรือ “I live by the faith of the Son of God” (King James Version) - ผู้แปล
[23] หรือ “I live by the faith of the Son of God” พระคัมภีร์ฉบับยิวสมบูรณ์ (The Complete Jewish Bible) แปลว่า “โดยไว้วางใจในความสัตย์ซื่อที่เหมือนกับของพระเยซู” (ผูแปล)
[24] โรม 1:5 “โดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครสาวก เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ให้ชนชาติต่างๆเชื่อฟังตามความเชื่อนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
โรม 16:26 “แต่มาบัดนี้ได้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว และโดยพระคัมภีร์ของพวกศาสดาพยากรณ์ ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวรได้ทรงบัญญัติไว้ ได้เปิดเผยออกให้ประชาชาติทั้งปวงเห็นแจ้งเพื่อเขาจะได้เชื่อ” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[25] หมายถึง “ผู้ที่ถูกเจิมไว้” คำว่า “คริสต์” เป็นคำกรีกที่มีความหมายเหมือนคำฮีบรูว่า “เมสสิยาห์” (ผู้แปล)
[26] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
[27] ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือคำ “is” ส่วนพระคัมภีร์ภาษาไทยทุกฉบับแปลคำนี้เป็น “ก็เพื่อ และ ก็ได้” (ผู้แปล)
[28] ฉบับ Young’s Literal Translation แปลตรงตัวเช่นกันว่า “for to me to live is Christ, and to die gain” (Phi 1:21 YLT)-ผู้แปล
[29] ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971 แปลว่า “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา” ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา” (ผู้แปล)
[30] หรือ “ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 4:4 “คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไปเพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า” ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[31] 1 โครินธ์ 11:7 “เพราะการที่ผู้ชายไม่สมควรจะคลุมศีรษะนั้นก็เพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย” (ฉบับไทยคิงเจมส์) -ผู้แปล
[32] โรม 8:9 “ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณ ใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน2011) -ผู้แปล
[33] โรม 10:15 และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[34] โรม 10:17-18 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์ ข้าพเจ้าถามว่า “พวกเขาไม่ได้ยินหรือ?” เขาได้ยินแล้วจริงๆ “เสียงของพวกเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำของเขาประกาศออกไปถึงสุดปลายพิภพ” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล