บทที่ 15
ชีวิตของลูกแกะเมษโปดก
คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว – ช่วงของการเปลี่ยน
เมื่อเราสรุปคำสอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ก็มีคำถามขึ้นว่าเราจะทำอย่างไรกับคำสอนเดิมที่สอนในการประชุมของผู้ดูแลภูมิภาคในปี 2005 ที่บาหลี คำตอบก็คือ เราะจะไม่ใช้คำสอนเดิม แต่จะใช้คำสอนใหม่นี้แทนคำสอนเดิม ผมจะบอกที่มาของเรื่องนี้คร่าวๆ
คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นค่อนข้างแตกต่างจากการสอนครั้งล่าสุดในหลายจุดสำคัญๆ การเปลี่ยนจากการเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผม และผมก็เล็งเห็นว่ามันจะยิ่งยากขนาดไหนกับพวกคุณบางคน การเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นยากและหนักสำหรับผมเพราะผมต้องพิจารณาคำสอนใหม่ในทุกด้านและการนำมาใช้ในฝ่ายวิญญาณ การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคุณแต่คุณไม่รู้หรอกว่ามันยากกับผมมากแค่ไหน ผมเข้าใจความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ดีกว่าใครในพวกคุณ และเข้าใจได้ดีกว่าเกือบทุกคนในโลกนี้เพราะผมได้ทุ่มเททั้งชีวิตของผมในการศึกษาความเชื่อนี้ แต่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์
เราคุ้นกับเรื่องชายตาบอดที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายที่เบธไซดา (มาระโก 8:22-26)[1] พระเยซูทรงพบชายตาบอดผู้นี้และพาเขาออกมานอกหมู่บ้านเพื่อหนีจากฝูงชน แล้วพระองค์ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของเขาและถามเขาว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างหรือไม่?” เขาตอบว่า “ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา” เขามองเห็นคนแต่ยังเห็นไม่ชัด พระเยซูจึงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตาของเขาแล้วชายนั้นก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจน
คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเป็นขั้นตอนแรกในการเปิดตาของผม พระเจ้ากำลังเปิดตาของผมและผมกำลังเห็นความจริงแต่ว่าไม่ชัดเท่าที่ควร เหมือนกับที่พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดในสองขั้นตอน บางทีพระเจ้าก็ทรงทำอย่างเดียวกันนั้นกับเรา ในกรณีของผมนั้นผมคิดว่าพระเจ้าได้ทรงเตรียมการเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวโดยเผยให้เห็นในสองขั้นตอน เพราะผมอาจรับความตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ได้ อาจด้วยเหตุผลคล้ายกันนี้พระเยซูจึงทรงให้ชายตาบอดมีเวลาปรับตัวกับความตกใจที่จะได้เห็นทุกสิ่งอย่างชัดแจ๋วหลังจากที่มีชีวิตอยู่ในความมืดและความบอดมืดมาหลายปี
ในคำสอนเดิมหกบทของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นยังมีความเชื่อในตรีเอกานุภาพติดมากับผม บางครั้งผมก็นำเอาความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมเข้ามาปน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงต้องนำผมออกมาทีละก้าว ในทำนองเดียวกับการเปลี่ยนที่เกิดกับคุณและกับคริสตจักรก็อยู่ในสองขั้นตอนเช่นกัน ผมไม่มีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น ผมแค่ทำตามการทรงนำขององค์ผู้เป็นเจ้าจนมาถึงจุดนั้น ในเมื่อนี่เป็นทางที่พระองค์ทรงสำแดงความจริงกับผม ทางเลือกที่ผมมีก็คือ จะไม่แบ่งปันอะไรเลยกับพวกคุณ หรือว่าจะแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เห็นจากองค์ผู้เป็นเจ้า
ในคำสอนเดิมนั้นผมจะใช้คำของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างเช่น “การบังเกิด ไม่ใช่การถูกสร้าง” ในความพยายามที่จะสานแนวคิดนี้กับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ความจริงแล้วแนวคิดนี้แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ในเวลานั้นผมไม่ได้ทิ้งแนวคิดที่ผมเห็นว่าน่าดึงดูด เพราะสำหรับผมแล้วการที่พระบุตรทรงมาบังเกิดก็ฟังดูดีกว่าที่จะทรงถูกสร้างขึ้น
ถ้าคุณคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของศาสนศาสตร์[2]คุณจะรู้ถึงความสำคัญในการที่ผมสานต่อแนวคิดเรื่อง “การบังเกิด” ในบทต่างๆในบริบทที่รู้จักกันว่า “ต้นกำเนิด” ซึ่งเป็นคำที่มาจากคำสอนของความเชื่อแบบนอสติก[3] คุณอาจไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับความเชื่อแบบนอสติก[4]ฉะนั้นผมจะยังไม่พูดถึงในตอนนี้ ในแนวคิดของต้นกำเนิดก็คือมีสิ่งที่เกิดจากหรือออกมาจากอีกสิ่งหนึ่ง แนวคิดเรื่องโลกอส (Logos)[5] ที่มีต้นกำเนิดจากพระเจ้านั้นรับมาจากปรัชญากรีก ขณะเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมยังคงทำตามแนวของปรัชญากรีกซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของคำสอนในความเชื่อตรีเอกานุภาพ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่สามารถจะเอามาจากพระคัมภีร์ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเอามาจากปรัชญากรีกที่ผ่านกระบวนการคิดของนักคิดเช่นไฟโล[6] ชาวยิวที่หลอมรวมปรัชญากรีกกับความคิดของชาวยิวไว้ด้วยกัน และเบี่ยงเบนว่าโลกอส (Logos) มีต้น กำเนิดจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือปรัชญาของคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า[7] ในที่สุดคริสตจักรต้องต่อสู้กับความเชื่อแบบนอสติกเพราะมันได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อคริสตจักร แต่ความเชื่อแบบนอสติกก็มีพื้นฐานความคิดแบบปรัชญากรีกเช่นเดียวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
แนวคิดปรัชญาเกี่ยวกับโลกอส (Logos) ถูกนำมาใช้กับยอห์นบท 1 ในการตีความเกินตัวบทโดยกระบวนการใส่ความคิดของตนเองเข้าไปในตัวบท[8] โลกอส (Logos) ที่มีต้นกำเนิดจากพระเจ้านั้นบังเกิดจากพระเจ้า เนื่องจากการบังเกิดอยู่ในรูปของการมีต้นกำเนิด ใครๆก็คิดได้ว่าเด็กกำเนิดมาจากมารดาของตน หรือความสว่างกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์ ผมพยายามใช้แนวคิดของ “การบังเกิดจากพระเจ้า” เพื่อรักษาแนวคิดของการที่พระเยซูทรงออกมาจากพระเจ้าซึ่งค้านกับการที่พระเจ้าทรงสร้างพระองค์ขึ้น เมื่อใช้การเปรียบเทียบกับของมนุษย์แล้ว เด็กทารกไม่ได้ถูกแม่สร้างขึ้นแต่จะเกิดมาจากแม่ ผมยังคงพยายามจะรักษาแนวคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องต้นกำเนิดเอาไว้ แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นของกรีกและคนต่างชาติที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและไม่ได้ตามพระคัมภีร์ก็ตาม
แต่แนวคิดเรื่องต้นกำเนิดจะเต็มไปด้วยคำถามทางปรัชญาและทางศาสนศาสตร์ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่คนหนึ่งเกิดมาจากอีกคนหนึ่ง คนที่เกิดมาจะมาทีหลังคนที่เป็นต้นกำเนิด ในแง่ของมนุษย์นั้นแม่จะมีชีวิตอยู่ก่อนทารก เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะยอมรับการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ พระบุตรก็ยังมาเป็นที่สองในแง่ที่ว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา นอกจากนี้ยังมีความหมายว่าพระองค์ไม่ได้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ในความหมายเดียวกับที่พระบิดาทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่ว่าจะทรงบังเกิดหรือจะทรงถูกสร้างขึ้น พระบุตรก็ทรงมีจุดกำเนิด นี่ทำให้เป็นปัญหาที่พระบุตรจะไม่ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาอย่างแท้จริงเพราะการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา แม้ในแง่ของต้นกำเนิด พระบิดาก็ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของพระบุตร
คำพูดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่า “ความสว่างมาจากความสว่าง” หมายถึงความสว่างมีต้นกำเนิดมาจากความสว่างนั้นนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตร แต่มันเป็นคำกล่าวที่ทำลายมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเสียเองในเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ของพระบิดากับพระบุตร เพราะเห็นชัดเจนว่าความสว่างที่ออกมาจากดวงอาทิตย์นั้นไม่เท่าเทียมกับดวงอาทิตย์ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์ที่เป็นต้นกำเนิดของมัน ดังนั้นแม้แต่การเปรียบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองก็ไม่ได้สนับสนุนความเท่าเทียมกันของพระบิดากับพระบุตร เว้นแต่ว่าเราจะพูดในแง่ของเนื้อแท้ที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ในแง่ว่าแสงมีเนื้อแท้ร่วมกับแหล่งกำเนิดแสง เหมือนที่ทารกมีเนื้อแท้ร่วมกับผู้เป็นมารดา
แม้ขณะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็ตระหนักถึงจุดอ่อนในคำกล่าวของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเช่น “พระเจ้าจากพระเจ้า ความสว่างจากความสว่าง”[9] จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าองค์หนึ่งจะมาจากพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง? นี่จะหมายความว่าการดำรงอยู่ขององค์หนึ่งขึ้นกับอีกองค์หนึ่ง แนวคิดของ “การบังเกิด” หมายถึงการอยู่ภายใต้ หรือการพึ่งพา (ซึ่งเป็นรูปแบบของความด้อยกว่า) เพราะองค์หนึ่งพึ่งพาอีกองค์หนึ่งในการดำรงอยู่ของพระองค์ ถ้าแม่ของคุณตัดสินใจไม่ให้คุณเกิด คุณก็จะไม่ได้เกิดและคุณจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้ การเกิดของคุณขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพ่อแม่ของคุณ ยอห์นพูดถึงการเกิดว่า “ไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์” (ยอห์น 1:13) มนุษย์เราเกิดมาจากความประสงค์ของเนื้อหนัง พระบุตรจะไม่สามารถบังเกิดได้เว้นแต่จะมาจากพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งในกรณีนี้พระเยซูไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดาในแง่ของพระประสงค์ คำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เปิดโอกาสให้เราถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมอย่างสมบูรณ์ของพระบุตรกับพระบิดา
ผมอธิบายทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจที่มาของคำสอนเดิม ผมกำลังเริ่มเห็นความจริงโดยพระคุณของพระเจ้า แต่ก็ยังเป็นเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมาเหมือนคน ผมยังคงพยายามรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ถูกดัดแปลง แต่เราต้องเข้าใจว่าการรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพไว้นั้นต้องแลกด้วยความสูญเสียฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราโต้แย้งเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ เราก็จะรับโทษทัณฑ์สูง เพราะมันหมายถึงว่าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เพราะมนุษย์จริงๆจะไม่ดำรงอยู่ก่อนอย่างที่อ้างถึงพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ และถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆหรือไม่ได้เป็นมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นรากฐานของความรอดของเราก็จบลงเพราะ “การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น” (โรม 5:19 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) นั่นเป็นการเชื่อฟังของ “มนุษย์คนเดียว” มากกว่าจะเป็นการเชื่อฟังของพระเจ้า (หรือเป็นการเชื่อฟังของมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า) ที่เป็นรากฐานของความรอดของเรา เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวคืออาดัมทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป[10] ดังนั้นการเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น สิ่งที่ต้องสูญเสียจากการโต้แย้งเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์คือการปล่อยให้ความรอดของเราสูญเปล่า
พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ไม่มีมนุษย์แท้คนไหนที่มีส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้า หรือเป็นทั้งมนุษย์แท้และเป็นพระเจ้าแท้ หรือเป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งและพระเจ้าครึ่งหนึ่ง ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำหนดพระคริสต์แบบนั้น เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เคยยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์จริงๆ และด้วยเหตุนั้นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะมีปัญหากับความรอดของพวกเขาเอง
คุณจะมีสามพระองค์ที่เท่าเทียมกันและดำรงอยู่นิรันดร์เท่าๆกันไม่ได้ถ้าหนึ่งพระองค์ในนั้นเป็นพระบุตรของอีกพระองค์หนึ่ง ถึงแม้คุณจะบอกว่าพระบุตรไม่ได้ทรงถูกสร้าง ความจริงก็ยังคงมีอยู่ว่าความสว่างไม่ได้เท่าเทียมกับแหล่งกำเนิดของความสว่างที่มันออกมาจาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีความเท่าเทียมกันน้อยกว่าอีกเพราะพระองค์ออกมาจากทั้งพระบิดาและพระบุตรตามหลักคำสอนของประเทศตะวันตกหรือเฉพาะพระบิดาตามหลักคำสอนของออร์โธดอกซ์[11] ผมจะไม่คุ้ยหาข้อโต้เถียงที่เหลวไหลเหล่านี้ คุณอาจไม่เชี่ยวชาญในศาสนศาสตร์พอที่จะเข้าใจความสับสนของรากฐานทางปรัชญาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาไม่ใช่บนพื้นฐานของพระคำของพระเจ้า ปัญหาของผมก็คือผมคุ้นกับทั้งสองอย่าง และบางครั้งก็จะสับสนอันหนึ่งกับอีกอันหนึ่ง บางทีถ้าคุณไม่รู้ปรัชญาอะไรเลยก็จะดีกว่า คุณจะได้อ่านพระคัมภีร์และยอมรับพระคัมภีร์อย่างที่ปรากฏ
เหตุผลที่คุณหลงผิด
เราได้ดูมัทธิว 22:29 (จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้)
เยชูวาตอบเขาทั้งหลายว่า “เหตุที่ท่านหลงผิดก็คือว่าท่านไม่รู้ทั้งทานัค[12]และฤทธิ์เดชของพระเจ้า”
(พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[13]
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า”
(ฉบับ 1971)
พระเยซูบอกพวกสะดูสีว่าพวกเขาได้ “หลงผิด” ในพจนานุกรมกรีกมาตรฐานฉบับต่างๆนั้นคำว่า “” (planaō) หมายถึง “นอกลู่นอกทาง” “ไปผิดทาง หรือ หันเหไป” “ซัดเซไป” “สำคัญผิด” หรือ “หลอกตัวเอง” คำแปลว่า “พวกท่านผิดแล้ว”[15] ยังอ่อนไปแต่พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์แปลว่า “ท่านหลงผิด” ที่รักษาความแรงของคำนี้ไว้
พระเยซูยังทรงใช้คำ “รู้” ()[16] ซึ่งพจนานุกรมกรีกอาร์นท์-กิงกริช[17]ให้คำนิยามไว้ว่า “รู้จักอย่างสนิทสนมกับ” “มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ” “เข้าใจ”
ปัญหาของพวกสะดูสีก็คือพวกเขาไม่ “รู้” พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อผมพิจารณาดูบรรดาบรรพบุรุษและบาทหลวง[18]ของคริสตจักรในยุคแรกๆ ผมจึงตระหนักว่ามีไม่กี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ เรามีงานเขียนมากมายของบรรดาบรรพบุรุษก่อนการประชุมแห่งไนเซีย[19] เป็นงานเขียนชุดต่างๆของบรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ก่อนสภาสังคายนาไนเซียครั้งแรก[20]ในปี ค.ศ. 325 นอกจากนี้ก็ยังมีงานเขียนหลังจากสภาสังคายนาไนเซีย[21]ด้วย
งานเขียนทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงจำนวนของผู้เขียนที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขาสอนและความลึกซึ้งในความเข้าใจพระคัมภีร์ของพวกเขา ในบรรดาบาทหลวงสองสามร้อยคนที่อยู่ในการประชุมสภาแห่งไนเซียนั้นมีกี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ?
แม้แต่ออกัสติน[22]ผู้เป็นบาทหลวงแห่งฮิปโปในแอฟริกาเหนือ ที่มาภายหลังการประชุมสภาแห่งไนเซียหนึ่งศตวรรษและเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในคริสตจักร เขาไม่รู้ภาษากรีกเลย ออกัสตินสามารถใช้ภาษาลาตินเพียงภาษาเดียวเท่านั้นซึ่งก็เหมือนๆกับบรรดาบรรพบุรุษลาตินทั้งหลาย คือบรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรที่พูดภาษาลาติน เมื่อต้องมาทำความเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก เขาจึงต้องพึ่งฉบับแปลภาษาลาติน การไม่มีความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ต้นฉบับไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่งานเขียนส่วนใหญ่ของเขาจึงมีลักษณะในทางปรัชญา ผมได้รับประโยชน์จากงานเขียนของเขาบางอย่างโดยเฉพาะ “คำสารภาพ”[23]ของเขาซึ่งมีความคิดที่ดีอยู่บ้าง แต่มีหลายอย่างถูกพัฒนาในกรอบของปรัชญาและไม่ได้อธิบายพระคัมภีร์อย่างแท้จริง
เหล่าบรรพบุรุษกรีกชุ่มโชกในปรัชญากรีก เพราะในยุคนั้นผู้มีการศึกษาทั้งหลายจะได้รับการศึกษาตามหลักวรรณกรรมและปรัชญากรีก บรรดาบรรพบุรุษที่พูดภาษากรีกสามารถจะตรวจสอบพระคัมภีร์ภาษากรีกได้ดีกว่าออกัสติน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเห็นความเข้าใจที่ลึกมากจากงานเขียนมากมายของพวกเขา งานเขียนส่วนมากของพวกเขามาจากสิ่งที่พวกเขาบันทึกหรือคำเทศนาของพวกที่ีถูกเก็บรักษาไว้และบางอย่างก็เป็นตัวอย่างที่ดีของงานเขียน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก ปัญหาที่แท้จริงก็คือในที่ประชุมแห่งไนเซียมีหลายร้อยคนมาร่วมประชุมเพื่อตัดสินใจเรื่องหลักคำสอนของพวกเขาโดยที่พวกเขามีความเข้าใจเพียงแค่พื้นฐานเกี่ยวกับพระคัมภีร์
ความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณต้องใช้เวลาใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า เมื่อผมฟังคำเทศนาของผู้ร่วมงานบางคนผมมักจะเห็นว่าเป็นคำเทศน์ที่ตื้นๆ คุณเข้าใจพระคัมภีร์ตื้นแค่ไหนคำเทศนาของคุณก็จะตื้นเท่านั้น และเกิดผลน้อยในการเสริมสร้างพี่น้อง
ที่ผ่านมามีผู้ร่วมงานคนหนึ่งขอให้ผมฟังเทปคำเทศนาของเขา ผมถามเขาว่าทำไมจะต้องเป็นเทปนี้ด้วย เขาบอกว่า “มันเป็นหนึ่งในคำเทศนาที่ดีที่สุดของผม” ผมฟังคำเทศนานั้นแล้วหัวใจแทบฝ่อ ผมพูดกับตัวเองว่า “โธ่ถัง! นี่หรือผู้ร่วมงานที่ผมได้ฝึกอบรมมา การตีความพระคัมภีร์ของเขาก็ผิดหมด” หลังจากนั้นเขาถามผมว่า “อาจารย์คิดยังไงกับคำเทศนาของผม?” ผมพูดว่า “เมื่อผมมีเวลาแล้วผมจะบอกคุณ” ผมไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไงดีเพราะผมไม่อยากให้เขาต้องผิดหวัง ผมจึงพยายามถ่วงเวลาแต่เขาก็ยังเซ้าซี้ผม ถ้าเขาสังเกตดีๆก็จะรู้ได้จากความลังเลที่ผมไม่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับคำเทศนาของเขาซึ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่มีอะไรจะพูดอีก ถ้ามันเป็นคำเทศนาที่ดีผมก็คงจะพูดไปแล้ว แต่เขากลับตามเซ้าซี้ ผมจึงจำเป็นต้องบอกความจริงกับเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันทำให้เขาหดหู่และท้อแท้ใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะหลีกเลี่ยง ผมจึงต้องคิดวิธีที่จะหนุนใจเขาอีกครั้ง
ปัญหาก็คือว่าเขาไม่ได้รู้พระคัมภีร์แม้หลังจากการฝึกอบรมทั้งหมดนี้แล้ว ที่คำเทศนาของเขาไม่มีพลังอำนาจ (มีไม่กี่ครั้งที่คำเทศนามีพลังอำนาจ) นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาอยู่ที่คำสอนไม่ถูกต้อง เหมือนที่พระเยซูตรัสกับพวกสะดูสีว่า “ท่านหลงผิด” (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[24] หรือ “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว”(ฉบับอิงลิชแสตนดาร์ด)[25] หรือ “พวกท่านสำคัญผิด” (ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด)[26] หรือ “พวกท่านผิดแล้ว” (ฉบับนิวอินเตอร์เนชันแนล)[27] ผู้ร่วมงานท่านนี้หลอกตัวเองที่คิดเอาว่าคำเทศนาของเขาดี หลักการพื้นฐานนั้นผิด ผมจึงต้องอธิบายกับเขาทีละประเด็นว่าเขาพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระคัมภีร์สอน
ไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า
ไม่ใช่ว่าชีวิตของผู้ร่วมงานท่านนี้ไม่ดี เขาเป็นพี่น้องที่ดีมาก แต่เขาไม่มีฤทธิ์เดชเหมือนๆกับพวกสะดูสี คุณอาจเป็นคนดีแต่มันอยู่ที่ว่าคุณมีฤทธิ์เดชไหมนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นคนละอย่างกัน ในโลกนี้มีคนที่ดีอยู่เป็นจำนวนมากและในหมู่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นคริสเตียน พวกเขาดีกว่าและเป็นประโยชน์มากกว่าคริสเตียนส่วนใหญ่ บางครั้งเมื่อผมกำลังนั่งอยู่ริมถนนเพราะหายใจไม่ออกหรือเพราะปวดข้อต่อก็จะมีคนเข้ามาช่วยผม ช่างใจดีอะไรอย่างนี้! มีครั้งหนึ่งในแคนาดา ผมหยุดรถอยู่ข้างถนนแล้วก็มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์หยุดถามผมว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม?” “รถของคุณเสียหรือเปล่า?” ผมตอบพวกเขาว่า “เปล่าครับ ผมอยากจะหยุดพักสักประเดี๋ยว”
การเป็นคริสเตียนหรือผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ได้เป็นเรื่องของการเป็นคนดี การเป็นคนที่มีประโยชน์เป็นสิ่งที่ดีแต่เราจะต้องมีฤทธิ์เดชด้วย เมื่อผมดูคำเทศนาและชีวิตของพี่น้องคนนี้ผมก็เห็นว่าทั้งสองด้านนี้สัมพันธ์กัน คำเทศนาของเขาผิดและชีวิตของเขาไม่มีฤทธิ์เดช
ต่อให้คุณรู้หลักการต่างๆของฤทธิ์เดช คุณก็อาจยังขาดฤทธิ์เดช ผมได้พูดเยอะมากเกี่ยวกับหลักการของฤทธิ์เดชทางความอ่อนแอ ผมได้เทศน์ในเรื่องนี้ หัวข้อนี้ได้ตีพิมพ์เป็นจุลสารเล่มเล็กๆ แต่ที่คุณจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้คุณจะเข้าใจหลักการในการทำงานแบบกลับกัน คือหลักการที่ฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณมาจากความอ่อนแอ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วมันอาจไม่แตกต่างกับคุณมาก ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าใจคำสอนต่างๆได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าคุณได้ออกจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว มันจะหมายความว่าคุณจะได้ฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณโดยอัตโนมัติไหม? ไม่ใช่เลย! การมีคำสอนที่ถูกต้องนั้นสำคัญแต่ก็ยังไม่พอ คริสตจักรของพระคัมภีร์ใหม่เป็นคริสตจักรที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่จงดูปัญหาที่มีสิ ชาวโครินธ์มีปัญหาสารพัดซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความทะนงฝ่ายวิญญาณ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนฝ่ายวิญญาณทั้งๆที่ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาคิดว่าการพูดภาษาแปลกๆทำให้พวกเขาเป็นคริสเตียนที่วิเศษทั้งๆที่ความเป็นจริงมันทำให้พวกเขาทะนงตัวและเพราะฉะนั้นจึงเป็นคริสเตียนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน พวกเขาถูกปัญญาของโลกดึงดูด เปาโลจึงต้องบอกพวกเขาว่าปัญญาเช่นนั้นสำหรับพระเจ้าแล้วเป็นความเขลา เพราะความเขลาของพระเจ้าตามที่ปัญญาของโลกเห็นเช่นนั้นก็ยังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ (1 โครินธ์ 1:25)[28] ภาพของพระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนเป็นเรื่องโง่เขลาในสายตาของมนุษย์ เพราะมันเป็นภาพของความอ่อนแอและการดูแคลนปัญญาของมนุษย์และความคิดของมนุษย์
คริสตจักรทั้งเจ็ดในวิวรณ์บท 2 และ 3 เป็นคริสตจักรที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่ในนั้นมีห้าคริสตจักรที่ใช้การไม่ได้และมีหนึ่งคริสตจักรที่ตายแล้ว การถือรักษาหลักคำสอนว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นไม่ใช่คำตอบของปัญหา เราจำเป็นต้องมีหลักคำสอนที่ถูกต้อง แต่หลักคำสอนที่ถูกต้องก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีชีวิตที่ถูกต้อง
มีชาวมุสลิมมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในโลก และพวกเขาทุกคนก็เป็นผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ขอโทษที่ต้องพูดว่าผมได้เห็นมุสลิมคนหนึ่งที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณจริงๆ การที่จะพบคนฝ่ายวิญญาณสักคนในหมู่ชาวคริสเตียนก็ยากอยู่แล้วแต่ที่จะพบสักคนหนึ่งเช่นนั้นในหมู่ชาวมุสลิมนั้นก็ยากยิ่งกว่า เมื่อผมอ่านหนังสือหรือวรรณกรรมของพวกเขาก็ไม่ค่อยพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณในนั้น ถ้าคุณจะพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณมันคงจะเป็นในหมู่ชนซูฟี[29] ซึ่งเป็นนิกายมุสลิมที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับความเร้นลับและจิตวิญญาณ แต่พวกเขามักจะสับสนกับทั้งสองอย่างและผลสุดท้ายก็ลงเอยด้วยความเชื่อในเรื่องเร้นลับมากกว่าในเรื่องจิตวิญญาณ
การกันพระยาห์เวห์ออกไป
พระเจ้าทรงให้ภาพของลูกแกะเมษโปดกกับเราในวิวรณ์ ผมได้ตั้งข้อสังเกตว่าลูกแกะเมษโปดกเป็นยาแก้พิษของพระเจ้าให้กับความเป็นเนื้อหนัง คราวก่อนเราได้เห็นว่าความเป็นเนื้อหนังสามารถจะทำสิ่งที่ร้ายแรงสุดๆ ความเป็นเนื้อหนังสามารถใช้ถ้อยคำที่ดีเยี่ยมของพระกิตติคุณมาบิดเบือนให้เป็นภัยพิบัติในการให้เชื่อพระเจ้าหลายองค์ มนุษย์เนื้อหนังตีความทุกสิ่งในทางเนื้อหนัง ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้รับเอาพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์และยกพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้า ได้ประกาศให้พระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกด้าน คือทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรายกพระเยซูขึ้นจนเหมือนว่าผลักไสพระบิดาคือพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง เราสร้างพระเจ้าองค์หนึ่งจากพระเยซูผู้ที่เหนือกว่าพระยาห์เวห์ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นในภาษาและคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ใครตายเพื่อเราหรือ? พระเยซูไงล่ะ! ใครกันหรือที่พิสูจน์ให้เห็นว่ารักเรา? ก็พระเยซู! บทบาทสำคัญของพระบิดาก็คือส่งพระบุตรมา แต่พระบุตรทรงสมัครพระทัยมา ดังนั้นที่พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรมาจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย พระเยซูยังทรงเหนือกว่าพระยาห์เวห์ด้วยเหตุผลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแต่พระเยซูทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์ยังให้ภาพที่เห็นว่าทรงเป็นพระเจ้าที่ฉุนเฉียวและพิโรธในขณะที่พระบุตรของพระองค์ทรงช่วยชีวิตเรา พระเยซูทรงลบล้างพระอาชญาให้เราด้วยพระโลหิตของพระองค์ “ลบล้างพระอาชญา” เป็นคำสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์[30]ที่เน้นการระงับพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งในกรณีนี้ระงับโดยพระโลหิตของพระเยซู 1 ยอห์น 2:2 กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย” (ฉบับ 1971)[31] พระคัมภีร์บางฉบับชอบคำ “ไถ่โทษ” ซึ่งเน้นในแง่ของการแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกด้วยวิธีชำระหนี้บาปให้ คุณจะสังเกตว่าผมไม่ได้เทศนาเกี่ยวกับการลบล้างพระอาชญาและพระพิโรธของพระเจ้า
เราเห็นได้ชัดว่าในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบุตรจะดีกว่าพระบิดา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ น่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวในขณะที่พระเยซูทรงอบอุ่น ทรงรักและทรงปกป้อง พระเยซูทรงระงับพระพิโรธของพระเจ้าด้วยพระโลหิตของพระองค์ คุณคงจำคำเทศนาที่มีชื่อเสียง “เหล่าคนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ”[32]ของโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด[33] นักเทศน์ชั้นแนวหน้าของอเมริกาในศตวรรษที่ 18 ได้ เขาเทศน์เกี่ยวกับไฟนรกที่ทำให้คนจำนวนมากหันมาหาพระเจ้าด้วยความตื่นกลัว พวกเขาหนีจากพระพิโรธของพระเจ้ามาหาพระเยซู คำเทศนาแบบนี้เป็นการสร้างความแบ่งแยกระหว่างพระบิดากับพระบุตรด้วยการบอกว่าทั้งสองพระองค์มีพระลักษณะที่ต่างกัน มาร์กิโอน[34] คนนอกศาสนาคนสำคัญของศตวรรษที่สองกล่าวในแบบที่รุนแรงกว่าแต่ก็คล้ายกันว่า พระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมไม่ได้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่ มาร์กิโอนไม่ชอบพระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมที่เขาเห็นว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระเจ้าที่เต็มด้วยความรักของพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์
ในความคิดของเรานั้นผู้ที่ช่วยเราให้รอดไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่จะเป็นพระเยซูทั้งๆที่ความจริงแล้วชื่อ “เยซู” หมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด”[35] ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้สร้างพระเจ้าผู้ที่ดีกว่าพระยาห์เวห์! ผมสะดุ้งเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผมได้สอนไปเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดของผู้ถือนิกายคาลวิน[36]บางคนด้วยคำสอน “เหล่าคนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ” ของพวกเขา เหล่าคนบาปจะมีความฝังใจแบบไหนกับพระเจ้าจากการสอนแบบนี้หรือ? นั่นคงจะทำให้พวกเขาหนีจากพระเจ้าแล้ววิ่งมาหาพระคริสต์! พระเยซูทรงเป็นศิลาของเรา เป็นพระผู้เลี้ยงของเรา เป็นทุกอย่างของเรา เราไม่ต้องการพระยาห์เวห์พระบิดาของเรา เพราะผู้ที่เราต้องการก็คือพระคริสต์ แม้เราจะพูดให้ดูเบาลงเกี่ยวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มันก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่าเราได้สร้างพระเจ้าองค์หนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระยาห์เวห์ ผู้ที่ดีกว่าพระยาห์เวห์ ตรงนี้เราจะเห็นการให้พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นรูปเคารพ เพราะพระองค์ได้มาแทนที่พระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์ โดยมารยาทเราอาจจะให้ตำแหน่งกับพระบิดาในคริสตจักรของเราและในคำสอนของเรา แต่พระองค์ไม่ได้มีบทบาทจริง ไม่มีอะไรเหลือให้พระองค์ทรงกระทำเพราะพระคริสต์ทรงกระทำทุกสิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
พระเยซูและพระที่นั่งในวิวรณ์
แต่วิวรณ์ให้ภาพที่ต่างกันอย่างมาก เมื่อผมอ่านวิวรณ์อย่างถูกต้องผมก็เริ่มเห็นว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็สลายไปทีละอย่างๆ คราวก่อนผมพูดว่าผมได้ศึกษาว่าพระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์หรือไม่ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่สรุปพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และผมก็แปลกใจที่พบว่าพระเยซูไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์ ผมงุนงงพอๆกับความจริงที่ว่าเปาโลไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการอธิษฐานกับพระเยซู และจดหมายฉบับอื่นๆในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นกัน ถ้าไม่พบการนมัสการพระเยซูหรือการอธิษฐานกับพระเยซูในจดหมายฉบับอื่นๆของพระคัมภีร์ใหม่ เราก็จะไม่พบในวิวรณ์แน่นอน อย่างไรก็ตามที่เราพบใกล้เคียงสุดก็คือ “สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้น ก็ทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระเมษโปดก” (วิวรณ์ 5:8 ฉบับมาตรฐาน) ตรงนี้ไม่มีการนมัสการที่เกี่ยวข้องกับพระเมษโปดก มีก็แต่พระเมษโปดกที่ทรงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งใจกลาง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพมาก่อนอย่างผมต้องตะลึง
อีกตัวอย่างหนึ่งที่อยู่ในคำกรีกว่า “พระที่นั่ง” (, thronos)[37] ซึ่งคล้ายกับคำภาษาอังกฤษพอสมควร นี่แหละที่สถิติของพระคัมภีร์จึงมีความสำคัญ (เรามีสองโครงการที่กำลังทำอยู่ ในการรวบรวมสถิติของพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน โครงการหนึ่งโดยเรย์มอนและโรซ่า ซวน[38] และอีกโครงการหนึ่งโดยเจมส์ โฮ[39]กับทีมของเขา) สถิติในพระคัมภีร์มีความสำคัญเพราะมันช่วยให้พระคัมภีร์เป็นผู้พูดเอง ขั้นตอนทางสถิตินั้นเป็นข้อเท็จจริงและลดความเสี่ยงในการตีความตามความเห็นส่วนตัว โดยลดการตีความเกินจากที่มีในตัวบทตามความคิดของเราเอง
ให้เรามาพิจารณาบางสถิติดู คำว่า “thronos” มีปรากฏ 62 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่ง 47 ครั้งอยู่ในวิวรณ์ และ 15 ครั้งอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ส่วนที่เหลือรวมกัน เล่มต่อมาที่ปรากฏบ่อยครั้งที่สุดคือมัทธิวที่มีการอ้างอิงห้าครั้ง เมื่อมองแวบเดียวเราจะเห็นรูปการณ์ของสถิติ ถ้าคุณกำลังใช้โปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์กส์[40] คุณก็สามารถแสดงผลของสถิติออกมาเป็นกราฟ แท่งแผนภูมิจะเป็นเส้นยาวตรงวิวรณ์และเล่มอื่นๆจะเป็นเส้นสั้นๆ สิ่งนี้บอกเราว่าหัวข้อสำคัญของวิวรณ์ก็คือพระที่นั่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจ และอำนาจสูงสุดของพระเจ้าในยุคปัจจุบันและตลอดทุกยุคสมัย พระเจ้าทรงควบคุมอยู่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้
ถ้าคุณค้นดูพระคัมภีร์ใหม่เพื่อหาคำว่า “บนพระที่นั่ง” () ซึ่งมักจะอยู่ในรูป “
” คุณจะพบว่าผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งนั้นก็คือพระเจ้าเสมอ เราจะพบคำอ้างอิงส่วนใหญ่นี้ในวิวรณ์ ถ้าคุณจะค้นหาคำเช่นว่า พระเมษโปดกประทับอยู่บนพระที่นั่งตรงใจกลาง คุณจะหาไม่พบเลย พระเยซูประทับบนพระที่นั่งของพระองค์เอง ไม่ใช่ที่พระที่นั่งใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมี 24 ที่นั่งสำหรับผู้ปกครอง 24 คนซึ่งแต่ละคนมีพื้นที่สิทธิอำนาจของตน แต่สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น –พระองค์ผู้เคย ผู้ทรงเป็น และผู้ที่จะเสด็จมา นั่นเป็นความหมายของชื่อ “ยาห์เวห์” พระนาม “ยาห์เวห์” แต่เดิมเป็นคำบอกลักษณะไม่ใช่ชื่อ ที่สำแดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ดำรงอยู่นิรันดร์ ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น
ในความพยายามที่จะช่วยกู้หลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมจึงค้นหาทุกๆที่ที่กล่าวถึงการประทับบนพระที่นั่งของพระเมษโปดก แต่ก็ไม่พบเลย ที่ผมสามารถหาได้คือหนึ่งตัวอย่างที่พระเมษโปดกถูกกล่าวถึงว่า “ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้น” (วิวรณ์ 7:17)[41] ในตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้และโดยพระคุณของพระเจ้า ผมคิดว่าตอนนี้ผมเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร วลีนี้เป็นไปตามคำกรีก “” (ตรงกลาง)[42] ซึ่งแปลไว้ว่า “อยู่กลาง” ภาษากรีกของคำ “อยู่กลางพระที่นั่ง” คือ
(วิวรณ์ 7:17)
ถ้าคุณดูจากพจนานุกรมกรีกเช่นของอาร์นท์-กิงกริช[43] หรือ ธาเยอร์[44] จะเห็นว่า “” สามารถหมายถึง “อยู่ตรงกลางของ” “ในระหว่าง” “ข้างใน” หรือ “ในหมู่” เราสามารถตัด “ในหมู่” และ “ในระหว่าง” ออกไปได้ เพราะมันไม่ได้ให้ความหมายเข้ากับบริบทของพระที่นั่ง ซึ่งทำให้เราเหลือ “ข้างใน” หรือ “อยู่ตรงกลางของ” ถ้าคุณวาดภาพพระที่นั่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณจะเห็นอะไร? พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่ง หรือเหนือพระที่นั่งอย่างที่บางที่ได้แปลไว้ (ที่จริงมีคำบุพบทอื่นอีกที่บอกถึงแนวคิดเหล่านี้ พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่งหรือเหนือพระที่นั่ง แต่อยู่กลางของพระที่นั่ง หรืออยู่ท่ามกลางพระที่นั่ง นั่นหมายถึงอะไรหรือ?
ถ้าเราเข้าใจว่า “พระที่นั่ง” คือฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจ และการปกครองของพระยาห์เวห์ ถ้าเช่นนั้นพระเมษโปดกก็คือองค์ประกอบหลักของฤทธิ์อำนาจนั้น พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่ดำเนินการหรือผู้กำกับการ หรือเป็นผู้ที่หน่วงเหนี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหลักของฤทธิ์อำนาจนั้น นั่นเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะแก่นแท้ของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็เข้มข้นอยู่ในพระเมษโปดก ผู้เป็นศูนย์ดำเนินงานและหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ พระเมษโปดกเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ฤทธิ์อำนาจ และการปกครองของพระเจ้า สิ่งสำคัญที่จะต้องจำไว้ว่าพระเมษโปดกในที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงลูกแกะธรรมดาแต่เป็นลูกแกะถวายบูชาที่ถูกฆ่า
พระทัยของลูกแกะเมษโปดก
มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังจะไม่สามารถทำงานของพระเจ้าสำเร็จ ที่ผมเป็นห่วงก็คือว่าเราเนื้อหนังเกินไปเพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ เราจะต้องหายาถอนพิษจากความคิดเนื้อหนังที่อยู่ในเราเสีย เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้วเราอาจมีหลักคำสอนที่ถูกต้องแต่ไม่มีอะไรสำเร็จเลยเว้นแต่โดยพระเมตตาของพระเจ้าเราจึงมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ผมขอเน้นอีกครั้งว่าลูกแกะเมษโปดกที่อยู่กลางพระที่นั่งคือหลักการทำงานของฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง ถ้าคุณเอาลูกแกะเมษโปดกกับความเป็นเนื้อหนังไว้ด้วยกัน ทั้งสองอำนาจจะไม่ลงรอยกันเป็นอันขาด หนึ่งในนั้นจะต้องเข้าไปในชีวิตของคุณ พระเจ้าได้ทรงบอกเราด้วยวิธีที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆด้วยพระปัญญาของพระองค์ สิ่งที่ชีวิตของเราต้องการก็คือชีวิตของลูกแกะเมษโปดก หรือเหมือนดังที่เปาโลพูดไว้ว่าพระทัยของพระคริสต์ ซึ่งก็คือความคิดของลูกแกะเมษโปดก
เมื่อผมตรวจสอบพระคัมภีร์ ผมจึงได้ประจักษ์ชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่า พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเป็นคำสอนเกี่ยวกับลูกแกะเมษโปดก (Lamb) แม้แต่ในที่ที่ไม่ได้ใช้คำว่า “ลูกแกะ” (lamb) คำว่า “ลูกแกะ” ถูกนำมาใช้กับพระเยซู 28 ครั้งหรือ 4 x 7 ครั้งในวิวรณ์เพียงเล่มเดียว นอกจากนี้คำว่า “ลูกแกะ” ก็ถูกนำมาใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายที่เลียนแบบลูกแกะเมษโปดก
คุณลองอ่านพระคัมภีร์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบและใคร่ครวญดู คุณจะเห็นความคิดของลูกแกะเมษโปดกในทุกที่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ คุณสามารถเริ่มกับ “ผู้เป็นสุข” ที่องค์ผู้เป็นเจ้าพูดถึงคุณสมบัติ อย่างเช่น ความอ่อนสุภาพและใจบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์นั้นตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง ลูกแกะเมษโปดกจะตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง ถ้าคุณใคร่ครวญคุณสมบัติอื่นๆ เช่น การเป็นคนยากจนฝ่ายวิญญาณ[45] คุณจะเห็นว่าแต่ละอย่างนั้นให้ภาพคุณสมบัติของลูกแกะเมษโปดก
พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านคิดว่าเราเป็นใคร” และเปรโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (มัทธิว 16:15-16) ในพระคัมภีร์ “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นชื่อเรียกของพระคริสต์ผู้เป็นพระเมสสิยาห์ จากสิ่งที่เปโตรรู้เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ พระเยซูจึงบอกเปโตรถึงความหมายที่กว้างไกลของความจริงนี้ที่ครอบคลุมถึงคริสตจักร ราชอาณาจักร แดนคนตาย สวรรค์และโลก แต่หลังจากที่ให้ภาพที่ใหญ่โตของบุตรมนุษย์กับเปโตร ในสองสามข้อถัดมาพระเยซูก็ทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่าพระองค์จะต้อง “ทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” (ข้อ 21 ฉบับ 1971) นี่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับความเข้าใจของชาวยิวเรื่องพระเมสสิยาห์ เปโตรท้วง[46]พระเยซูว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า!” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา” เปโตรไม่เข้าใจว่าพระเยซูคือลูกแกะเมษโปดกและไม่เข้าใจความคิดของลูกแกะเมษโปดก ในความคิดแบบเนื้อหนังนั้นสิ่งร้ายเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นกับพระเยซูเป็นอันขาด แต่มันจะต้องเกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่จะเกิดขึ้นกับลูกแกะทั้งหลาย
คุณลองคิดถึงลูกแกะดู มันมีชีวิตอยู่เพื่อตายแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบูชาบนแท่นบูชา หรือจะเป็นอาหารให้คุณกิน เนื้อหลักของคนในตะวันออกกลางก็คือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะ ไม่ใช่เนื้อวัวหรือเนื้อไก่ นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเที่ยวตะวันออกกลางเจอสิ่งนี้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะกินเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะกันจนเอียน! บางคนจะมองหาเนื้อไก่ แต่ในสมัยของพระคัมภีร์ใหม่จะไม่มีเนื้อไก่หรือเนื้อวัว เนื้อเพียงอย่างเดียวที่กินกันก็คือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะเท่านั้น
คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดกได้ทุกที่ในพระคัมภีร์ใหม่ หลักการของความเป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร เรื่องนี้จะเห็นได้ในคำอุปมาของพระองค์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ถ้าคุณได้รับเชิญให้ไปทานอาหารเย็นก็จงอย่าตรงดิ่งไปยังโต๊ะอันมีเกียรติของแขกสำคัญ (ลูกา 14:7-11) ในประเทศอังกฤษจะมี “โต๊ะของแขกผู้ใหญ่” ในงานเลี้ยงของโรงเรียน ครูใหญ่และบรรดาครูทั้งหลายจะนั่งที่โต๊ะของแขกผู้ใหญ่ จากนั้นก็เป็นโต๊ะของตำแหน่งที่ลดหลั่นลงไป ถัดจากโต๊ะของแขกผู้ใหญ่ก็เป็นโต๊ะของคนระดับสูง แล้วก็ระดับต่ำลงมา คนที่ไม่สำคัญจะนั่งท้ายสุดของห้องงานเลี้ยง พระเยซูบอกเราไม่ให้ตรงรี่ไปที่โต๊ะอันมีเกียรติแม้เราจะคิดว่าเราจะคู่ควรกับที่ตรงนั้นก็ตาม แต่ให้เราตรงไปที่นั่งต่ำสุด[47]
พระเยซูไม่ได้กำลังสอนจรรยามารยาทที่ดีกับเรา แต่กำลังสอนสิ่งที่เกี่ยวกับความคิดของลูกแกะเมษโปดกซึ่งก็คือพระทัยของพระคริสต์ ถ้าคุณสังเกตดูฟีลิปปี 2:5-8 คุณจะไม่เห็นอะไรที่มาจากพันธกิจของพระเยซู ไม่มีการกล่าวถึงคำสอนของพระองค์ การอัศจรรย์ของพระองค์ หรือการรักษาโรคของพระองค์ มีเพียงสิ่งเดียวที่กล่าวถึงก็คือพระองค์ทรงลงไปต่ำลงและต่ำลงด้วยการเชื่อฟังพระบิดาอย่างทั้งหมด และลงไปสุดจนถึงความตายบนกางเขน คุณไม่สามารถจะลงไปต่ำกว่านี้ได้อีก พระเยซูทรงเป็นเหมือนกับน้ำที่ไหลลงไปสู่จุดต่ำสุด พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะนำคุณไปในทิศทางเดียวกันนี้ ถ้าคุณยกตัวเองขึ้น น้ำก็จะไหลไปจากคุณ ถ้าคุณยกย่องตัวเอง พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะหายไปจากคุณ การที่จะมีฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นคุณจะต้องลงไปสู่จุดต่ำสุด
บางทีอาจไม่มีอัครทูตคนใดที่เข้าใจหลักการนี้ได้ดีเท่าเปาโล หลักการของลูกแกะเมษโปดกจะเห็นได้ในจดหมายของเขาทุกฉบับ เปาโลกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” (โรม 8:36 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพระเยซู มันจึงเกิดขึ้นกับเราเช่นเดียวกัน เปาโลตายทุกวัน (1 โครินธ์ 15:31)[48] เราจะต้องมีจิตใจและท่าทีอย่างเดียวกันกับพระคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)[49] เมื่อเราลงไปที่จุดต่ำสุดเหมือนพระเยซู นั่นแหละพระเจ้าก็จะทรงยกคุณขึ้น หากคุณสามารถเข้าใจหลักการนี้ คุณก็จะรู้เคล็ดลับฤทธิ์เดชของลูกแกะเมษโปดก
“เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21) เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมไม่เข้าใจสิ่งที่เปาโลหมายถึงจริงๆ ความหมายเดียวที่ผมคิดได้ด้วยความเข้าใจพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็คือ ทั้งชีวิตของผมมีเพื่อพระคริสต์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลกำลังพูดในบริบทนี้ เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์นั้นจริงแน่นอน แต่ว่าเป็นพระคริสต์แบบไหนหรือ? หากความเข้าใจว่าพระคริสต์ของคุณเป็นพระคริสต์ที่ทรงสิริ เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ และองค์เจ้านายเหนือบรรดาเจ้านายแล้วละก็ นั่นจะเป็นแนวคิดถึงพระคริสต์อย่างผู้พิชิต มันก็เข้ากับความคิดของเราได้ดีเพราะว่าตอนนี้เราสามารถจะมีชีวิตที่เป็นพี่น้องกับกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์! นั่นคือพระคริสต์แบบที่เราพบในหนังสือคริสเตียนทั้งหลายที่แพร่หลายอยู่ในอเมริกาเหนือ เราเป็นพี่น้องของกษัตริย์! มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังจะยึดถือคำกล่าวเช่น “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” และบิดเบือนมันให้เป็นข้อความที่สอดคล้องกับมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง
ฟีลิปปี 2 ไม่ได้ให้ภาพพระเยซูว่าเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ แต่เป็นผู้ที่ถ่อมพระองค์ที่กางเขน ความคิดของคุณที่มีกับพระคริสต์จะควบคุมวิถีที่คุณดำเนินชีวิตและวิธีที่คุณมองชีวิตในฝ่ายวิญญาณ คุณจะเห็นพระองค์ที่ทรงสิริ พระคริสต์ผู้พิชิต หรือไม่ก็จะเห็นพระองค์เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ตรงนี้หลักคำสอนจะมีผลโดยตรงกับวิธีคิดของคุณและวิถีที่คุณดำเนินชีวิต
ผมเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้พิชิตเสียส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อเราอ่านวิวรณ์ เราไม่อยากจะพูดถึงลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าแต่จะพูดถึง “กษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์” ซึ่งเป็นคำที่หาได้ยากในวิวรณ์ (มีปรากฏสองครั้งเมื่อเทียบกับ 28 ครั้งที่พูดถึงพระเยซูว่าเป็น “พระเมษโปดก”) เราไม่ได้เข้าใจถึงสิ่งเกี่ยวข้องกัน พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นลูกแกะเมษโปดก และถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ได้เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ ถ้าพระคริสต์ทรงเป็นเป้าหมายและแรงจูงใจของชีวิตคุณ แต่พระคริสต์แบบไหนหรือที่เรากำลังพูดถึง?
เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” ประเดี๋ยวก่อน ความตายคือกำไรหรือ? ความตายไม่ได้หมายถึงการสูญเสียทุกสิ่งหรอกหรือ? ถ้าคุณเสียแขนหรือขา คุณก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ความตายจะหมายถึงการสูญเสียทุกๆสิ่ง
แต่กับเปาโลแล้วการสูญเสียทุกสิ่งก็คือการได้กำไรล้วนๆ และเปาโลหวังได้กำไรอะไรหรือ? เขาต้องการจะได้พระคริสต์ (ฟีลิปปี 3:8)[50] พระคริสต์กลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของผมที่ผมจะพูดได้ว่า “พระคริสต์ทรงเป็นของผม” เหมือนกับว่าผมมีป้ายชื่อของผมติดอยู่ที่ตัวพระองค์อย่างนั้นหรือ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลหมายความอย่างแน่นอน การได้พระคริสต์ในบริบทของฟีลิปปีก็คือการเป็นเหมือนพระองค์อย่างสมบูรณ์และตายกับพระองค์ เมื่อเราฟื้นขึ้นจากความตาย เราจะเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างสมบูรณ์และเราจะได้พระคริสต์ “เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3:2)
มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังต้องการจะเป็นเจ้าของพระคริสต์เหมือนเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของเขา มันเป็นความรักที่น่ากลัวที่คิดจะครอบครองใครสักคน มีพ่อแม่ชาวจีนมากมายที่เห็นลูกๆเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพวกเขา นี่เป็นความคิดแบบเนื้อหนังที่ไม่ใช่ความคิดของลูกแกะเมษโปดก ลูกแกะเมษโปดกเป็นผู้ที่ให้ตัวเองทั้งหมด เราจะเห็นท่าทีนี้อีกครั้งในคำสอนของพระเยซูในลูกา 14:12-14 เป็นการให้โดยไม่แสวงหาสิ่งใดตอบแทน เมื่อมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังให้นั้นมันจะเป็นการลงทุนเพื่อการได้กำไรในอนาคต แต่คนฝ่ายวิญญาณให้และไม่ได้คิดถึงมัน ไม่ได้ให้มือขวาของเขารู้ว่ามือซ้ายกำลังทำอะไร ความคิดของลูกแกะเมษโปดกจะมีให้เห็นอยู่ทั่วพระคัมภีร์
เมื่อข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้ากลับเข้มแข็ง
พระคริสต์คือรูปเหมือน[51]ของพระเจ้า ทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ ไม่ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรพระเมษโปดกก็เป็นอย่างนั้น นี่แหละที่ศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแก้ไม่ตกเพราะมันเห็นความแตกต่างระหว่างพระเจ้าพระบิดากับพระเจ้าพระบุตร พระบิดาทรงเข้มงวดแต่พระบุตรทรงมีความรัก พระบิดาเป็นผู้ส่งพระบุตรแต่พระบุตรเป็นผู้ที่เสียชีวิต ความจริงในพระคัมภีร์มีอยู่ว่า พระยาห์เวห์พระบิดาทรงเป็นอย่างไรพระบุตรก็ทรงเป็นอย่างนั้น แม้ว่าพระยาห์เวห์จะเป็นผู้ที่ประทับบนพระที่นั่ง แต่คุณก็อาจพูดได้เช่นกันว่าพระเมษโปดกประทับบนพระที่นั่งเพราะทั้งสองพระองค์ทรงร่วมครองลักษณะเดียวกัน พระเมษโปดกจึงทรงครองลักษณะพระยาห์เวห์และพระยาห์เวห์จึงทรงครองลักษณะพระเมษโปดกในแง่นี้เพราะว่าพระลักษณะของทั้งสองพระองค์เหมือนกัน เราไม่จำเป็นจะต้องโต้แย้งเรื่องความเป็นพระเจ้าและการดำรงอยู่ก่อน สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ที่ว่าเราดำรงอยู่ก่อนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเรามีลักษณะเหมือนกับพระเมษโปดกหรือไม่ ดังนั้นเมื่อผมได้พระคริสต์ผมก็ได้พระยาห์เวห์ด้วย เพราะพระคริสต์เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระยาห์เวห์ และเมื่อผมเป็นเหมือนพระคริสต์ผมก็เป็นเหมือนพระยาห์เวห์ คำสอนของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์กับคำสอนของพระคัมภีร์
เราไม่ต้องโต้แย้งกันว่าใครเป็นใหญ่กว่าและใครที่เล็กน้อยที่สุด เพราะในความคิดของลูกแกะเมษโปดกแล้วผู้เล็กน้อยที่สุดก็คือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด และผู้ที่เป็นคนท้ายก็คือผู้ที่เป็นคนต้น นี่นำเรามาถึงหลักปฏิบัติที่สำคัญ เราบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่ที่สุดและเราเป็นผู้เล็กน้อยที่สุด แต่ให้จำไว้ว่าระบบและวิธีคิดของพระเจ้าก็คือผู้เล็กน้อยที่สุดคือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด เพื่อให้คำสอนของพระองค์เองเป็นจริง พระยาห์เวห์จะต้องเป็นผู้เล็กน้อยสุดเพื่อจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่สุด พระเยซูจะต้องเป็นผู้ที่เล็กน้อยที่สุดเพื่อจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด และคนท้ายจะเป็นคนต้น นั่นเป็นเหตุที่พระเยซูจึงทรงเป็น “คนต้นและคนท้าย”[52] (วิวรณ์ 1:17) ที่แตกต่างกัน คนต้นและคนท้ายไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันแต่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน คุณจะเป็นใหญ่ที่สุดเมื่อคุณเป็นคนเล็กน้อยที่สุด ถ้าคุณทำให้ตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด คุณก็จะเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุด
เมื่อคุณเข้าใจหลักการนี้ซึ่งทำงานในพระเยซูเหมือนกับที่ทำงานในพระยาห์เวห์ คุณจะประทับใจที่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดประทับบนพระที่นั่งทรงเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในเวลาเดียวกัน มีการกล่าวถึงสองครั้งว่าพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย แทนที่จะเป็นพระเมษโปดก (วิวรณ์ 7:17, 21:4)[53] พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งทรงใช้เวลาเสด็จมาหาคุณผู้ที่ไม่สำคัญอะไรเพื่อจะทรงเช็ดน้ำตาของคุณ สรรเสริญพระเจ้า! พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งเราเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเรานั้นก็ดำเนินอยู่แล้วในสวรรค์ การดำรงอยู่ก่อนและคำถามอื่นๆเกี่ยวกับการดำรงอยู่นั้นไม่สำคัญเลย คุณและผมไม่ได้ดำรงอยู่ก่อน กระนั้นพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนก็เสด็จมาเช็ดน้ำตาของคุณ
เราจะเห็นหลักการที่ทำงานไปพร้อมๆกันนี้ใน 2 โครินธ์ 12:10 “เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” เปาโลไม่ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยอ่อนแอ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนมาเข้มแข็ง” ตามความคิดแบบเนื้อหนังของเรา เราจะคิดว่าเราสามารถเอาชนะความอ่อนแอของเราได้ด้วยความพยายามอย่างมากของเราและความตั้งใจที่จะเข้มแข็ง แต่หลักการฝ่ายวิญญาณมีอยู่ว่าผมจะเข้มแข็งก็เมื่อผมอ่อนแอ นี่คือหลักการที่ทำงานไปพร้อมๆกัน และยังเป็นจริงในทางกลับกันด้วยคือเมื่อคุณพยายามจะเข้มแข็งคุณก็จะเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการฝ่ายวิญญาณ คุณก็จะชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของคุณเพราะนั่นเป็นเวลาที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะได้ถูกสำแดงให้เห็นในคุณ
เมื่อผมออกไปสอนเหมือนครั้งนี้ บางครั้งผมจะรู้สึกหมดแรงที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากการสอนครั้งก่อน ผมจะขอบคุณพระเจ้าและพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ด้วยความอ่อนแอและเหนื่อยล้า ขอทรงสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เถิด” ผมไม่อยากรอจนกระทั่งผมแข็งแรง สดชื่น และมีสุขภาพดีแล้วจึงค่อยมาสอน ผมยินดีที่จะคลานขึ้นนั่งบนเก้าอี้นี้และพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่นี่แล้ว ขอพระองค์ทรงรับช่วงเถิด” และพระเจ้าก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง พระองค์ได้ทรงสอนหลักการของทำงานไปพร้อมๆกันของความอ่อนแอและฤทธิ์เดชกับผมมาเป็นเวลานาน
ยี่สิบกว่าปีมาแล้วเมื่อผมแข็งแรงกว่านี้มาก ผมรู้สึกอ่อนแอมากช่วงใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะเทศนาในการประชุมขนาดใหญ่ที่มหาวิทยาลัยเวสเทอร์นออนแทริโอ[54] (ในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอ) ผมมีตารางที่แน่นมากจึงเหนื่อยจริงๆจนผมไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ผมพยายามและพยายามแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ผมพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของผม ทีมผู้จัดประชุมได้จัดให้ผมพักที่โรงแรมในมหาวิทยาลัย ช่วงบ่ายผู้นำของนักศึกษามาเยี่ยมผมและพูดคุยกันถึงการประชุมใหญ่ในช่วงค่ำ ทุกคนที่จะมาการประชุมใหญ่นี้ต่างก็คาดหวังว่าผมจะเทศน์ในประชุมนี้ ฉะนั้นทีมผู้จัดประชุมจึงเริ่มเป็นห่วงเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมลุกจากเตียงไม่ได้แม้จะพยายามจนสุดกำลังแล้วก็ตาม พวกเขายืนรอบเตียงของผมและดูว่าจะทำอย่างไรดี การประชุมก็ได้ประกาศไปทั่วแล้วและหลายคนก็กำลังเตรียมจะมากัน ทีมผู้จัดประชุมมีความกังวลแต่ผมพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้จักพระเจ้าของผมดี ขอคุณแค่อธิษฐานเผื่อผม ผมจะไปที่นั่นในตอนค่ำ” พวกเขาดูจะกังขาในเรื่องนี้
เมื่อถึงเวลาประชุม พวกเขาก็มาเยี่ยมผมอีก พวกเขาต่างก็มีสีหน้าวิตกเพราะในนาทีสุดท้ายเช่นนี้พวกเขาจะหานักเทศน์ที่ไหนมาแทนได้ทัน? ผมพูดกับพวกเขาว่า “คุณคอยดูฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน” แล้วตอนนั้นเองพวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อผมยืนขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเดินตรงไปยังห้องประชุมเพื่อเทศนา ผมเทศนาจบได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย อะไรคือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีความมั่นใจหรือ? ด้วยตัวของผมแล้วผมทำอะไรไม่ได้เลยแต่ผมมีความมั่นใจว่าในความอ่อนแอของผมนั้น ฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้าจะถูกสำแดงในเวลาที่เหมาะสม เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ผมนอนอยู่บนเตียงจนถึงเวลาประชุม ด้วยสาเหตุนี้ผมจึงลุกขึ้นไม่ได้ไม่ว่าผมจะพยายามสักแค่ไหน มันเหมือนกับว่าฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้ากำลังหยุดผมไว้และไม่ว่าผมจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็เอาชนะไม่ได้ เรื่องราวทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์เพราะหลังจากเทศนาและเมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมสลบไปเลยและนอนยาวจนถึงเช้า ผมหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างสุดๆจากการเที่ยวตระเวนไปในภาคตะวันตกของแคนาดาที่ยาวนาน แต่การรู้หลักการที่ฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้ามีเต็มขนาดในความอ่อนแอนั้นทำให้ผมมีสันติสุขอย่างแท้จริง ผมไม่สงสัยเลยกับการที่องค์ผู้เป็นเจ้าจะประทานกำลังให้ผมได้ทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้ผมทำเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดกซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญมากของชีวิตได้ทั่วพระคัมภีร์ใหม่ แม้แต่ในที่ที่คุณไม่คาดคิด พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นอาหารของชีวิต (ยอห์น 6:35, 48) แต่พระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา...” (ยอห์น 6:54, 56) อาหารเกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อและเลือดหรือ? ถ้าคุณไม่เห็นลูกแกะเมษโปดกในยอห์นบท 6 คุณก็จะไม่เข้าใจความเชื่อมต่อกันของอาหารและกับเนื้อและเลือด มีหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมต่อกันระหว่างยอห์นบท 6 กับพิธีมหาสนิท ในเทศกาลปัศกาคนจะกินเนื้อของลูกแกะปัศกา และพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าจะทรงให้ชีวิตของพระองค์ “เพื่อชีวิตของโลก” (ยอห์น 6:51)[55] คุณจะเห็นลูกแกะเมษโปดกอยู่ทุกที่ในพระคัมภีร์
ความอ่อนแอและความเข้มแข็งอาจเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่การเชื่อมต่อไม่ได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติในแง่ว่าอันหนึ่งจะไม่ทำให้เกิดอีกอันหนึ่งอย่างอัตโนมัติ ถ้าคุณอ่อนแอคุณก็จะไม่เข้มแข็งอย่างอัตโนมัติ เปาโลกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆวัน” (2 โครินธ์ 4:16 ฉบับมาตรฐาน) สภาพภายในของคุณได้รับการเปลี่ยนใหม่หมายความว่า คุณจะกลายเป็นคนที่แข็งแรงขึ้นในฝ่ายวิญญาณเมื่อคุณกลายเป็นคนที่อ่อนแอลงในฝ่ายร่างกาย แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติในเรื่องนี้ ร่างกายของเราทุกคนจะอ่อนแอลงเมื่อเราแก่ตัวลง กายภายนอกจะเสื่อมโทรมไปแต่กายภายในจะไม่เข้มแข็งขึ้นอย่างอัตโนมัติทุกวัน ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติ เพราะถ้ามีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติทุกคนก็คงจะกลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาหรือเธอแก่ตัวลงเรื่อยๆ ฉะนั้นผู้ที่อายุ 80 ปีในคริสตจักรก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากที่สุดและเราก็คงจะนั่งอยู่แทบเท้าของผู้อาวุโสเหล่านั้นเมื่อพวกเขาอธิบายพระคำของพระเจ้ากับเรา ถ้าการเชื่อมต่อกันเป็นอย่างอัตโนมัติละก็ แม้แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณยิ่งขึ้นๆเมื่อเขาแก่ตัวลง ไม่มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติทั้งกับคริสเตียนหรือกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน
ลูกแกะเมษโปดกอยู่กลางพระที่นั่งตามหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ถ้าความคิดของลูกแกะเมษโปดกรวมถึงชีวิตของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้เป็นจริงในชีวิตของคุณ ประสบการณ์จากความอ่อนแอไปสู่ความเข้มแข็งก็จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ ขณะเมื่อผมกำลังนอนอยู่บนเตียงในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอ ผมรู้ว่าผมจะต้องยอมให้ชีวิตของลูกแกะเมษโปดกเป็นศูนย์กลางของชีวิตผม เพราะสำหรับผมแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก นี่จะต้องเป็นหลักสำคัญในชีวิตของผม เมื่อชีวิตของลูกแกะเมษโปดกทำงานอยู่ในผมทุกสิ่งก็เป็นไปได้ ผู้นำนักศึกษาดูสภาพของผมแล้วเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะฟื้นตัวทันเวลาประชุม ในท้ายที่สุดพวกเขาอาจได้เรียนรู้จากการสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมบนเตียงได้ดีกว่าการได้ยินคำเทศนาของผมหลังจากนั้น เพราะพวกเขาได้เห็นคำเทศนาที่มีชีวิตด้วยตาของพวกเขาเอง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ คือเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องประชุมเพื่อจะเทศนานั้นดูยังกับว่าสุขภาพของผมสมบูรณ์ดี นี่สร้างความแปลกประหลาดใจที่เห็นได้จากสีหน้าของพวกเขา
เมื่อคุณแก่ตัวลงเรื่อยๆ ร่างกายของคุณจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ คุณจะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากขึ้น แต่นั่นจะไม่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ คุณจะต้องดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ นี่คือเหตุที่เราจึงต้องการพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณไม่ใช่อำนาจชักจูงบางอย่างภายนอกแต่เป็นการทรงอยู่ของพระยาห์เวห์เองในชีวิตของเรา
ตัวอย่างชีวิตจริง
ครั้งก่อนที่ผมแบ่งปันกับพวกคุณถึงประสบการณ์ของพวกเราที่ไชเซิลเฮิร์สท์[56]ในมณฑลเค้นท์ ผมไม่ได้บอกพวกคุณว่าหลังจากประสบการณ์นั้นก็ได้เกิดการปะทุฝ่ายวิญญาณขึ้นในคริสตจักร นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระวิญญาณของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของคุณและเข้ามาในคริสตจักรด้วย คริสตจักรเกิดการ “ปะทุ” ในแง่ว่าเราเคยมีสมาชิกราว 60 คนในคริสตจักรซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในการประชุมนี้ เมื่อเรากลับไปที่กรุงลอนดอน ผู้เข้าร่วมประชุมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นแต่ละอาทิตย์จาก 60 เป็น 80 เป็น 100 เป็น 120 ต่อมาไม่นานเราก็ต้องหาห้องประชุมที่ใหญ่ขึ้นเพราะห้องนมัสการเล็กๆของวายเอ็มซีเอที่เราใช้อยู่นั้นแค่ 60 คนก็แน่นห้องแล้ว เราจึงต้องรีบมองหาที่อื่นเพราะมีคนต้องยืนนมัสการอยู่ด้านนอก เราได้ห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในแถวนั้นแต่ไม่นานที่นั่นก็คับแคบลงอีก เพราะในที่สุดเรามีหลายร้อยคน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในสองสามเดือนหลังจากที่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของเราและอยู่ด้วยกับเรา หลังจากนั้นพระองค์ทรงอยู่ด้วยในชีวิตของคนเหล่านั้นเป็นเวลานานมากแค่ไหนหรือ ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้
เคล็ดลับของฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะพบในชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ทำงานโดยพระวิญญาณของพระเจ้า นี่ไม่ได้เป็นทฤษฎีแต่เป็นสิ่งที่ต้องมีประสบการณ์ ถ้าคริสตจักรที่คุณกำลังนำนั้นไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยหรือกำลังจะสูญเปล่า คุณอาจจะพอใจเพียงแค่รักษาสภาพที่เป็นอยู่และก็เกาะติดกับคนที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับคริสตจักรลอนดอนของเราก็คือว่าเราไม่ได้ทำการประกาศ หรือเผยแพร่ หรือแจกใบปลิวเลย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้นแต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย คนใหม่ๆต่างหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักรโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง ทุกวันอาทิตย์คริสตจักรจะแน่นขนัดและยังล้นออกมานอกห้องประชุม ในที่สุดเราก็ได้ห้องประชุมใหญ่ที่สุดที่หาได้แถวนั้นซึ่งสามารถจุที่นั่งได้ถึงสามหรือสี่ร้อยคน เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทำงาน ผู้คนก็จะเข้ามาคริสตจักรโดยที่คุณไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง เราต้องมีชีวิตของพระวิญญาณและชีวิตของลูกแกะเมษโปดก เพราะสำหรับผม การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์
ผมกำลังตริตรองอยู่ว่าผมควรจะแบ่งปันสิ่งต่อไปนี้จากประสบการณ์ของตัวผมเองหรือไม่ แต่ผมได้ตรวจสอบกับองค์ผู้เป็นเจ้าแล้วว่าเป็นสิ่งดีที่จะแบ่งปันเรื่องนี้
ก่อนที่ผมจะมารับใช้ในลิเวอร์พูล ผมได้ทำการประกาศเยอะมาก เคาะประตูตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เพื่อเป็นพยานกับผู้คน เวลาของผมส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการศึกษาพระคำของพระเจ้า ใช้เวลาขลุกอยู่กับพระคำและผมทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปีมาก ผมจะไปหาที่เงียบสงบที่ทินเดลเฮาซ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์[57]ที่เป็นศูนย์ของการค้นคว้าพระคัมภีร์ ที่นี่เองผมได้พบปะกับหลายคนที่ดีเยี่ยมรวมถึง เจมส์ ดันน์[58] และศิษยาภิบาลไดอิทเทอร์[59]ที่กำลังทำปริญญาเอกที่นั่น มันเป็นช่วงเวลาของการสงบนิ่งและการศึกษาพระคำของพระเจ้า
หลังจากนั้นผมก็ไปลิเวอร์พูลเพื่อดูแลคริสตจักรที่นั่นซึ่งสวนกับความชอบของผม ผมไม่ได้อยากจะไปลิเวอร์พูลเลยเพราะมันเป็นเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในชีวิต แล้วองค์ผู้เป็นเจ้าทรงส่งผมมาที่ไหนนี่? มันเป็นเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต! ตอนนี้ลิเวอร์พูลสะอาดขึ้น แต่เมื่อหลายปีก่อนเป็นเมืองที่เต็มด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพของอากาศอย่างที่มีในปัจจุบันนี้ และผมก็ได้โรคหอบหืดมาด้วยเหตุนี้
งานนี้เป็นงานศิษยาภิบาลงานแรกของผมและเป็นการรับใช้คนกลุ่มเล็กๆ คำว่า “กลุ่ม” ก็ไม่ใช่คำที่ถูกนักเพราะมีเพียงแค่ห้าหรือหกคนในคริสตจักร นี่เป็นกระจุกคนที่น่าสงสารที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน มีอย่างเดียวที่พวกเขาเห็นลงรอยกันก็คือการเชิญผมมาที่นั่น พวกเขาเชิญผมมารับใช้ที่นั่นเพราะหมดที่พึ่งแล้วจริงๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีความตกใจหลายอย่างที่รอผมอยู่ในลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขาพาผมไปดูอาคารคริสตจักรที่อยู่ในย่านของคนจีนซึ่งเหมือนกับ “แท่งบางๆ” ในกำแพงในความหมายว่าเป็นตึกทั้งแถว และคริสตจักรพระกิตติคุณ[60](ที่เรียกกัน)ก็เป็นเสี้ยวเล็กๆของตึกแถว เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวคริสตจักรผมก็ต้องตกใจ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนจะสกปรกอย่างนี้เลยในชีวิตและผมก็ไม่ได้พูดเกินความจริงด้วย ผนังควรจะเป็นสีขาวแต่มันกลับเป็นสีเหลืองคล้ำที่เยิ้มด้วยคราบน้ำมันหนาเตอะจากการทำอาหารซึ่งไม่รู้ว่าทำมานานแค่ไหนแล้ว การทำอาหารจีนนั้นต้องใช้กระทะใบใหญ่ๆและน้ำมันเยอะๆ และเมื่อคุณใช้ไฟแรงๆควันก็จะลอยเป็นลำขึ้นไป รอยน้ำมันก็จะไหลย้อยเป็นทางลงมาถึงด้านล่าง ผมคิดว่า “นี่คริสตจักรหรือ?” เราน่าจะประชุมกันบนถนนข้างนอกจะดีกว่าอีก! แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะตามมา ผมไปที่ด้านหลังของคริสตจักรและมองดูห้องน้ำ โอ้โห! ถ้าคุณเห็นว่าห้องน้ำในประเทศจีนที่ว่าแย่แล้ว คุณน่าจะลองอันนี้ดู ผมเกือบจะอาเจียนอยู่แล้ว โถส้วมเหล่านี้เป็นสีเหลืองเขรอะตั้งแต่บนยันล่าง ผมมองดูโถหนึ่งแล้วก็มองดูอันต่อมาแล้วก็อันต่อมา มันเหมือนกันหมดเลย ผนังห้องน้ำก็น่าขยะแขยงพอๆกัน ผมคิดว่า “คริสตจักรแบบไหนกันนี่?” นี่เหละคือสิ่งที่ผมเจอในการเริ่มต้นงานศิษยาภิบาลของผม
ผมพาผู้ร่วมงานจากลอนดอนมาลิเวอร์พูลกับผม เหตุผลเดียวที่ผมพาเขามาด้วยเพื่อเป็นผู้ร่วมงานของผมก็เพราะว่าไม่มีใครต้องการชายที่ยากจนคนนี้ คริสตจักรจีนในลอนดอนปฏิบัติกับเขาในฐานะคนรับใช้ของศิษยาภิบาล เขาถูกใช้ให้ไปทำธุระสารพัด ผมคิดว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างน่าอดสูมากกว่า เมื่อเขาได้ยินว่าผมกำลังจะไปลิเวอร์พูล เขาก็เลยมาถามผม ผมพูดกับเขาว่า “คุณอยากมากับผมไหม?” เขาบอกว่า “อยากสิ!” เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะถูกต้อง ผมจึงต้องพูดภาษาอังกฤษแบบเดียวกับเขาจนสุดท้ายเกือบเป็นผลให้ผมพูดภาษาอังกฤษอย่างไม่ถูกต้องไปด้วย ถ้าผมจะพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง เขาก็จะไม่เข้าใจผม ผมจึงต้องพูดแบบเดียวกับเขา ในท้ายที่สุดเราก็เข้าใจกันได้ดีด้วยภาษาอังกฤษ เขามาจากฮ่องกงและตอนนั้นผมก็พูดภาษากวางตุ้งไม่ได้ แต่เราก็สื่อสารกันรู้เรื่อง เขาเป็นพี่น้องที่ดีและถ่อมใจ เขาเทศนาและนำศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้ ผมจึงถามเขาว่าทำอะไรได้บ้าง? สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ผมไปเยี่ยมเยียนคนได้” ผมบอกเขาว่าได้เลย เขาจะไปเยี่ยมเยียนย่านร้านอาหารจานร้อนของคนจีนและพูดคุยกับผู้คนที่นั่น ดังนั้นมันจึงเป็นพันธกิจที่ดีสำหรับเขา
เรากำลังมองดูสถานที่สกปรกแห่งนี้ในลิเวอร์พูลแล้วมองหน้ากัน โดยนิสัยแล้วพี่น้องคนนี้เป็นคนสะอาด ผมพูดกับเขาว่า “เราจะทำยังไงกันดี?” เขาบอกว่า “ผมว่าเราคงต้องขัดล้างที่นี้” ผมพูดว่า “คุณพูดถูก และดูๆแล้วก็ต้องเป็นคุณกับผมใช่ไหม?” เราไม่อยากจะดึงคนอื่นเข้ามาทำเรื่องนี้ ตอนนั้น เฮเลนต้องอยู่กับบ้านเพื่อดูแลลูกที่ยังเล็ก ผมจึงไม่ได้ให้เธอมาทำด้วย ที่จริงผมไม่ได้เอ่ยอะไรถึงสถานที่ๆสกปรกนี้กับเธอเลยเพราะเกรงว่าจะทำให้เธออยากกลับไปลอนดอน ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะลงมือทำงาน ผมบอกกับพี่น้องผู้นี้ว่า “เจมส์ คุณล้างผนังด้านนอกดีไหม?” ผมจัดให้ตัวเองล้างห้องน้ำซึ่งเป็นงานที่ผมไม่เคยคิดจะทำเลยในช่วงวัยที่ผมมีคนรับใช้สองคนมาคอยดูแลผม ความคิดเรื่องการคุกเข่าทำความสะอาดส้วมที่น่าขยะแขยงนี้ไม่มีอยู่ในหัวของผมเลยในสมัยเยาว์วัย อันที่จริงผมขัดสิ่งสกปรกที่โถส้วมไม่ออกด้วยซ้ำ ผมพยายามใช้น้ำยาหลายอย่างแต่มันก็ไม่ต่างกันนัก จะมีก็แต่ทำให้รอยสกปรกมันจางลงบ้าง มีทางเลือกเดียวก็คือต้องใช้ฝอยขัด นี่แหละคืองานอภิบาลงานแรกของผม ผมคุกเข่าทำความสะอาดโถส้วมสกปรกๆด้วยฝอยขัด แค่ทำความสะอาดโถเดียวก็ใช้เวลาอยู่นานโข เจมส์ถามผมว่า “จะให้ผมช่วยไหม?” ผมบอกว่า “ไม่ต้องหรอก คุณตั้งใจทำความสะอาดผนังด้านนอกก็แล้วกัน”
ที่ผมแบ่งปันสิ่งนี้กับพวกคุณผมไม่ได้ต้องการให้คุณคิดว่าผมเป็นคนดี ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความจริงแล้วผมต้องต่อสู้ในเรื่องนี้ แต่ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ผมเรียนรู้หัวใจของผู้รับใช้ ซึ่งก็คือหัวใจของลูกแกะเมษโปดกที่ “บุตรมนุษย์ที่ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ” (มัทธิว 20:28) นั่นเป็นบทเรียนแรกที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสอนผมว่า “นี่เป็นงานอภิบาลงานแรกของเจ้าใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็จงเริ่มจากตรงนี้ เริ่มกับโถส้วมเหล่านี้แหละ” ผมจำเป็นต้องรับการฝึกฝนในแบบนี้เพื่อจะเรียนรู้หัวใจของลูกแกะเมษโปดก
เมื่อคนมาประชุมที่คริสตจักรพวกเขาก็พูดกันว่า “ที่นี่ดูสว่างขึ้นและสะอาดขึ้นมากเลย!” พวกเขามองในห้องน้ำแล้วคิดว่าเป็นโถส้วมใหม่หมด สถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากเดิมมากภายในอาทิตย์เดียว แต่องค์ผู้เป็นเจ้าก็กำลังให้ถ้อยคำกับพวกเขาว่า “ชีวิตของพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนด้วย” และองค์ผู้เป็นเจ้าก็ทำเช่นนั้นจริงๆ องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาภายในห้าปีกว่า เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในลิเวอร์พูลเหมือนกับที่ได้เห็นในลอนดอนที่ผู้คนเริ่มเข้ามาร่วมประชุมมากขึ้นและไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็เต็ม
สถานที่ประชุมมีขนาดเล็กมาก มีสี่สิบกว่าคนก็แน่นแล้ว และภายในระยะเวลา 18 เดือนกว่า เราก็ต้องมองหาที่ประชุมที่ใหญ่ขึ้น เราเช่าสถานที่ของคริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ล[61]ที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเป็นคริสตจักรแองกลิคัน[62]แบบสมัยใหม่ไม่ใช่แบบโบราณ มีเก้าอี้ที่ย้ายที่ได้ไม่ใช่แบบเป็นม้านั่งยาวๆ มีพรมแดงปูตรงกลางจากประตูทางเข้าไปจนถึงธรรมาสน์โดยมีเก้าอี้อยู่ทั้งสองฟาก คริสตจักรแห่งนี้สามารถบรรจุที่นั่งให้กับคนจำนวนมากและเราก็มีคนเข้ามามากขึ้นๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยฤทธิ์เดชของพระคำของพระเจ้า
วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเทศนาที่คริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ลและมีผู้คนนั่งอยู่ทั้งสองฟากของพรมแดง ผมเห็นคนหนึ่งนั่งอยู่ในแถวที่สองหรือสามที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มีคนใหม่ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงชักนำเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่ในขณะที่ผมกำลังเทศนาอยู่ ทันใดนั้นชายคนนี้ก็พลุ่งจากเก้าอี้เหมือนถูกผลักอย่างแรงแล้วก็ล้มหน้าคว่ำบนพรมแดงที่อยู่ตรงกลาง ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่บ่อยๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? ถ้าคุณจะตกจากเก้าอี้ คุณก็คงจะถลาไปทางเก้าอี้ด้านหน้า แต่เขากลับล้มออกมาตรงพรมแดง เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงาน ชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้ว่าพรมจะบางมาก เขาล้มหน้าคว่ำลงบนพรมโดยไม่ได้เอามือยันไว้เลย เขาล้มลงไป! เขาถูกผลักด้วยพลังแล้วก็พลุ่งลงตรงนั้น เขาแน่นิ่งลงกับพื้นและที่ประชุมก็พากันตกใจ พี่น้องผู้ชายสองสามคนมาช่วยพาเขาออกไปด้านหลังห้องประชุมและพวกเขาก็แจ้งให้ทราบในภายหลังว่าชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลย คุณล้มหน้าคว่ำลงไปด้วยแรงแบบนั้นโดยไม่เจ็บตัวเลยได้อย่างไร? ผมคิดว่าองค์ผู้เป็นเจ้ากำลังสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ ผมไม่รู้ว่าคนนี้มาจากไหนแล้วผมก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย เขาแค่เพียงผ่านมาเยือนลิเวอร์พูล
เมื่อคุณเผลอหลับบนเก้าอี้ หัวของคุณจะผงก เหมือนที่บางคนผงกหัวเมื่อคุณเทศนา! ในที่สุดท้ายก็หยุดผงกและคางจะตกมาเกยกับหน้าอก แต่คุณจะไม่ล้มไปข้างหน้า ผมใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่หลายครั้งว่าพลังอำนาจชนิดไหนหนอที่จะผลักชายกลางคนผู้นี้ให้ตกจากเก้าอี้และหน้าคว่ำลงบนพื้นโดยไม่เจ็บตัวเลย? ผมคิดว่าคริสตจักรเริ่มที่จะเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงานในท่ามกลางพวกเรา โดยไม่ต้องพูดถึงการรักษาโรคและเรื่องทำนองนั้น แต่ประเด็นของผมก็คือว่าทั้งหมดนี้เริ่มต้นด้วยการล้างห้องน้ำ เมื่อคุณเรียนรู้หัวใจและความคิดของลูกแกะเมษโปดก คุณก็จะเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
วันก่อนมีผู้ร่วมงานมาบอกผมว่าพวกเขารู้สึกผิดหวังที่พันธกิจของพวกเขาดูจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย ดูเหมือนพวกเขาไม่มีพลังอำนาจและไม่มีอะไรประสบความสำเร็จ แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักการที่ผมกำลังแบ่งปันกับคุณในบทนี้ คุณก็จะมีประสบการณ์กับเคล็ดลับของฤทธิ์เดชด้วยตัวคุณเอง หลักการนี้ไม่เคยล้มเหลว
ผมอยากจะแบ่งปันหลักการขั้นพื้นฐานบางอย่างในฝ่ายวิญญาณกับคุณในแบบประเด็น ผมจะไม่อธิบายในรายละเอียด เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักการพื้นฐาน คนฝ่ายเนื้อหนังจะไม่สามารถสร้างคริสตจักรของพระเจ้าได้ หากคริสตจักรภายใต้การดูแลของพวกคุณไม่ได้ถูกเสริมสร้างขึ้น คุณควรต้องถามตัวคุณเองว่ามันเป็นเพราะคุณเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังหรือไม่ ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้คุณเห็นความคิดทางเนื้อหนังของคุณด้วยเถิด
คุณสามารถจะดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกได้สำเร็จโดยการสถิตอยู่ของพระวิญญาณไหม? ภาพของลูกแกะเมษโปดกเป็นภาพที่สวยงาม ลูกแกะเมษโปดกเป็นสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เมื่อคุณมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก คนจะเห็นความชอบธรรมของพระเจ้าในคุณไม่ว่าคุณจะเปิดปากของคุณหรือไม่ก็ตาม ที่สำคัญสุดเหล่าวิญญาณชั่วจะดูคุณออก เรื่องนี้สำคัญเพราะเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับเนื้อและเลือด เหตุผลหนึ่งที่ผู้ร่วมประชุมของคุณไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยก็อาจเป็นว่าคุณขาดฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้กับเหล่าอำนาจและศักดิเทพที่ดักซุ่มอยู่ เปาโลกล่าวว่า “เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ” (เอเฟซัส 6:12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คุณจะไม่ชนะการต่อสู้นี้ถ้าคุณไม่ได้มีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก
ผมได้แบ่งปันกับคุณเรื่องที่ผมถูกเรียกให้ไปขับผีเมื่อสองสามปีก่อน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เป็นคริสเตียนถูกผีเข้า คริสเตียนบางคนไม่สามารถจะขับผีได้พวกเขาก็เลยมาหาผม แค่เพียงไม่กี่คำถามผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอถูกผีที่มีฤทธิ์มากเข้าสิง ผมไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่รู้จักผม แต่ว่าผีจำผมได้ทันที ผีรู้ว่าผู้รับใช้ขององค์ผู้เป็นเจ้าคนนี้มีฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้า ในขณะที่คนอื่นๆไม่สามารถขับผีนี้ออกได้ อันที่จริงผีหัวเราะเยาะพวกเขาแต่ผีไม่ได้หัวเราะเมื่อผมเดินเข้าไป สิ่งต่อมาที่ผมรู้ก็คือ หญิงผู้นี้ก้มที่แทบเท้าของผม ที่จริงเป็นผีที่กำลังทำเช่นนี้
เมื่อพวกผีเห็นพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก พวกมันตกใจมากและร้องตะโกนว่า “ท่านผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านจะมายุ่งกับเราทำไม จะมาทรมานเราก่อนเวลาหรือ?” (มัทธิว 8:29) หญิงผู้นี้กำลังหมอบตรงแทบเท้าของผม ผมจึงพูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้เถอะ ผมจะได้พูดคุยกับคุณได้?”
หลักการของฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณ
ในพันธกิจรับใช้ของคุณ คุณกำลังรับมือกับวิญญาณที่มีพลังอำนาจ แต่น่าเสียดายที่ผู้ร่วมงานหลายคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และวิญญาณเหล่านี้สามารถจะรัดพันธกิจรับใช้ของคุณให้ตายได้ คุณจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่คุณไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในคริสตจักรของคุณซึ่งรวมถึงความผิดบาปที่ทำ วิญญาณชั่วกำลังรื่นเริงในความมีชัยอยู่ในคริสตจักรของคุณ แต่เมื่อคุณมีวิญญาณของลูกแกะเมษโปดก ศัตรูก็จะจำคุณได้และถอยหนี ในที่สุดผมก็ขับผีออกจากหญิงผู้นั้นและเป็นผลให้ทั้งครอบครัวของเธอมาสู่ความรอด พวกเขาทุกคนไม่ได้เป็นคริสเตียนรวมทั้งสามีของเธอ แต่เมื่อเธอมาหาองค์ผู้เป็นเจ้า สามีและลูกสาวจึงมาเชื่อด้วย ตอนนี้ลูกสาวก็อยู่กับเราในคริสตจักรมอนทรีออล งานของพระเจ้าจะก้าวหน้าก็เมื่อชีวิตของคุณเป็นช่องทางให้ชีวิตและพลังอำนาจของลูกแกะเมษโปดกทำงานผ่านชีวิตของคุณ
ลูกแกะเมษโปดกทรงมีพลังอำนาจมาก วิวรณ์ 5:6 กล่าวว่าพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกมีเขาเจ็ดเขา เขาเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจของพระเจ้า เขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเขาของสัตว์ตรงตามคำ แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่สมบูรณ์ขององค์ผู้เป็นเจ้า แต่เราได้เห็นว่าความเข้มแข็งและความอ่อนแอจะไปพร้อมกันและไปด้วยกัน วิวรณ์ 5:6[63] ข้อเดียวกันนี้กล่าวว่าลูกแกะเมษโปดกมีตาเจ็ดดวง ดวงตาเหล่านี้ไม่ใช่ดวงตาจริงๆ ดวงตาเหล่านี้หมายถึงว่าพระเยซูทรงมีพระวิญญาณอย่างเต็มบริบูรณ์โดยพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า (วิวรณ์ 3:1)[64] นั่นก็คือพระวิญญาณที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า คุณสามารถจะเข้าใจความคิดว่าอะไรคือพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าก็โดยดูที่อิสยาห์ 11:2[65] ซึ่งพูดถึงพระปัญญา ความเข้าใจ ความรู้ ความยำเกรงพระเจ้าและอื่นๆ ลูกแกะเมษโปดกอาจจะอ่อนแอแต่พระองค์ไม่ได้โง่เขลาแต่ทรงพร้อมด้วยพระปัญญาและฤทธิ์เดชทั้งสิ้นของพระเจ้า
หลักการของชีวิตฝ่ายวิญญาณอีกอย่างก็คือ ถ้าคุณมุ่งไปที่การเป็นคนฝ่ายวิญญาณ มันก็จะหนีคุณไป แต่ถ้าคุณมุ่งไปที่ลูกแกะเมษโปดก การเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็จะมาหาคุณ คุณอย่าพยายามทำตัวเป็นคนฝ่ายวิญญาณด้วยตัวคุณเอง ขอเพียงคุณยอมจำนนชีวิตของคุณให้กับชีวิตของลูกแกะเมษโปดก การเป็นคนฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นสิ่งลึกลับที่คุณได้มาด้วยการหายใจลึกๆและการใคร่ครวญภาวนา คุณอย่าให้การเป็นคนฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย ถ้าคุณพยายามจะทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ แต่เมื่อคุณมุ่งไปที่ลูกแกะเมษโปดก คุณจะกลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณโดยแทบไม่รู้ตัว
สิ่งนี้นำเรามาถึงจุดที่สำคัญคือ คนฝ่ายวิญญาณจะไม่นึกถึงว่าเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ให้การเป็นคนฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย มันยังหมายความอีกว่าหากคุณคิดว่าคุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณนั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณไม่ได้เป็น เราจะเห็นหลักการของการกลับกันนี้อีกครั้ง คนฝ่ายวิญญาณจะจดจ่ออยู่กับลูกแกะเมษโปดกและลืมนึกถึงตัวของเขาเองเพราะสำหรับเขาแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ สำหรับคุณแล้วถ้าการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ความจดจ่อของคุณก็จะอยู่ที่พระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก ความจดจ่อไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ สิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากก็คือการใคร่ครวญถึงตัวเองอย่างไม่จบสิ้นเกี่ยวกับ “ฉัน ของฉัน และตัวฉัน” และตลอดถึงการต่อสู้ภายใน การใคร่ครวญถึงตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้นนั้นไม่ได้ส่งเสริมให้เป็นคนฝ่ายวิญญาณ ขอให้เราลืมนึกถึงตัวเองและจดจ่อที่ลูกแกะเมษโปดก “โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์” (ฮีบรู 12:2)
ความคิดของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้เสาะหาให้ใครมารับใช้คุณแต่ให้คุณได้รับใช้ คุณสามารถถามตัวคุณเองทุกวันว่า “วันนี้ฉันจะรับใช้ใครได้บ้าง? วันนี้มีอะไรที่ฉันจะทำให้ใครสักคนได้บ้าง?” ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ตัวคุณออกมาจากความน่าเวทนาที่เอาแต่คิดถึงตัวเองได้ดีเท่ากับการเสาะหาโอกาสที่จะรับใช้ ที่จะให้บางอย่าง ที่จะทำอะไรบางอย่างให้คนอื่น คุณจะต้องคิด ใคร่ครวญและอธิษฐานที่องค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงนำคุณให้ไปหาคนที่ต้องการ อาจเป็นใครสักคนที่คุณสามารถจะโทรหาและพูดคุยกับเขา หรือใครสักคนที่คุณสามารถจะช่วยเหลือและหนุนน้ำใจ คริสตจักรจะรับการเสริมสร้างขึ้นด้วยความรักและความห่วงใยต่อกัน คริสตจักรของคุณจะไม่หยุดอยู่กับที่ถ้าคุณเป็นตัวอย่างในการเอาใจใส่ต่อกันและกัน ผู้คนจะเข้ามาและเห็นสิ่งที่คริสตจักรของคุณแตกต่างจากที่อื่นเหมือนที่มีคนมากมายพูดถึงคริสตจักรมอนทรีออลหลายปีมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรมอนทรีออลไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ผมขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้ ในอดีตจะมีผู้คนมาเยี่ยมเราและเห็นสิ่งที่แตกต่างจากที่นี่ว่า “เป็นได้อย่างไรที่ทุกคนจะดูแลเอาใจใส่อย่างนั้นและกระตือรือร้นที่จะรับใช้คนที่พวกเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ” นั่นคือความคิดของลูกแกะเมษโปดก พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของพระองค์กับคนจำนวนมาก
หัวใจสำคัญของการเป็นคนฝ่ายวิญญาณสรุปได้ในลูกแกะเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ ทุกหลักการของฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณมีจุดรวมอยู่ที่ความเข้าใจและการปฏิบัติตามชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ ผมไม่มีเคล็ดลับของพลังอำนาจอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ สำหรับผมแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ซึ่งก็คือมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นคนดี คริสเตียนหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคริสเตียนที่ดีเพราะพวกเขาเป็นคนดี คนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นคนดีด้วยโดยเฉพาะถ้าเขามีและเขามักจะมีก็คือแรงจูงใจแฝงที่จะเป็นคนดี ถ้าเขาต้องการจะได้บางสิ่งบางอย่างจากคุณ เขาก็รู้วิธีที่จะดีกับคุณจนคุณไม่เห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของเขาเหมือนอย่างคนที่มีสองบุคลิก[66] ลูกแกะเมษโปดกเป็นสัญลักษณ์และหัวใจสำคัญของความบริสุทธิ์ซึ่งตรงข้ามกันเลยกับความเป็นเนื้อหนัง
วิวรณ์ 6:16 พูดถึง “ความโกรธกริ้วของลูกแกะเมษโปดก”[67] ลูกแกะเมษโปดกโกรธกริ้วต่อบาป เมื่อพระเยซูโกรธกริ้วพระองค์อาจจะไม่เป็นคนดี พระองค์ทรงไล่พ่อค้าออกจากพระวิหารและคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน (ยอห์น 2:13-16 มัทธิว 21:12-13) ในมัทธิว 23 พระองค์ตรัสย้ำว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด!” ลูกแกะเมษโปดกไม่ได้กลัวที่จะพูดความจริงเมื่อพระองค์จะต้องพูด จงอย่าเป็นคนที่อะลุ้มอล่วยกับความอธรรม จงพูดความจริงเมื่อคุณต้องพูด แต่ให้พูดด้วยความรักเสมอตามที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเสริมกำลังให้คุณทำได้
เราดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ได้ขนาดไหน ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็จะถูกสำแดงในเราได้ขนาดนั้น ถ้าคุณนำมาปฏิบัติน้อย คุณก็จะได้พลังน้อย ยิ่งลูกแกะเมษโปดกทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตคุณมากเท่าใด พระองค์ก็จะควบคุมชีวิตคุณและฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ที่จะถูกสำแดงมากเท่านั้น ไม่มีขีดจำกัดอย่างใดในเรื่องนี้เลย ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้กับคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักการชีวิตของลูกแกะเมษโปดก ไม่มีความท้าทายใดที่ใหญ่เกินไป เมื่อผมเจอกับความท้าทายที่จะอธิษฐานรักษาโรค ผมจะทำถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ผมทำ นี่ไม่ใช่เรื่องที่บางครั้งก็สำเร็จหรือบางครั้งก็ไม่สำเร็จ ถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงสั่งผมให้ทำก็จะไม่มีสักกรณีที่คนที่ผมอธิษฐานรักษาโรคจะไม่หาย ผมจะไม่กล้าทำในสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงอนุญาตให้ผมทำ แต่ผมจะทำสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้ผมทำโดยไม่สงสัย ผมพูดด้วยความมั่นใจจริงๆว่ามันไม่เคยล้มเหลว
ช่วงท้ายบทนี้ ผมหวังว่าผมได้ให้ข้อสรุปบางประเด็นที่คุณจะสามารถใคร่ครวญได้ ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าเคล็ดลับและหัวใจสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณที่มีหลายประการและซับซ้อนนั้นจะกระจ่างชัดในลูกแกะเมษโปดก นั่นคือเคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงควบคุมทุกๆสิ่งในโลกนี้และพระองค์จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ วิธีการทำงาน[68]ของพระองค์ก็คือทางลูกแกะเมษโปดก ลูกแกะเมษโปดกที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นและมีชัยทุกอย่าง ความอ่อนแอและความเข้มแข็งจะไปด้วยกันเสมอ ไม่ใช่อันหนึ่งตามหลังอีกอันหนึ่งไปแต่ไปด้วยกันเสมอ มันไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ คุณจึงจำเป็นต้องนำมาปฏิบัติอย่างตั้งใจ เมื่อใดที่คุณไม่ได้นำมาปฏิบัติ ความจดจ่อของคุณจะไปที่อื่น ฮีบรู 12:2 กล่าวว่าเราจะต้อง “เพ่งมองที่พระเยซู”[69] นาทีที่คุณไม่จดจ่อ คุณก็จะจมน้ำเหมือนที่เปโตรจมลงเมื่อเขาเดินบนน้ำไปหาพระเยซู มันต้องมีความจดจ่อกับความตั้งใจ เปาโลกล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่รู้[70]เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2) เปาโลต้องการรู้แต่เฉพาะเรื่องลูกแกะเมษโปดกที่ถูกตรึงกางเขน ลูกแกะเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ นั่นคือเคล็ดลับของชีวิตเปาโล
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ ให้คุณจดจ่อกับองค์ผู้เป็นเจ้าเสียใหม่แล้วคุณจะพบพลังอำนาจอีกครั้ง มันไม่ได้เป็นความพยายามทางจิต ความจดจ่อไม่ได้เป็นการกระทำทางจิตแต่เป็นสิ่งที่มาจากใจ เมื่อใจจดจ่อมันก็ยังคงจดจ่ออยู่แม้ว่าใจของคุณจะกำลังคิดถึงสิ่งอื่น คุณไม่ต้องกังวลว่าใจของคุณจะไม่ได้ตั้งใจจดจ่ออยู่กับองค์ผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เพราะใจจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้ให้คุณไปทางทิศที่ถูกเสมอไม่ว่าคุณจะหันมันไปทางไหน เข็มของมันก็ยังจะชี้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ใจของคุณอาจเปลี่ยนไปมาและเข็มทิศอาจหมุนไปมา แต่เข็มของใจจะยังคงชี้ไปที่พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก มันเป็นความสวยงามที่บทสุดท้ายของวิวรณ์มีคำว่า “พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก” สองครั้ง[71] เป็นการรวมกันของทั้งสอง และนี่นำเราไปยังจุดสำคัญสูงสุดของวิวรณ์
[1] มาระโก 8:22-26 พระองค์กับพวกสาวกจึงไปยังเมืองเบธไซดา มีบางคนพาคนตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ และทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงสัมผัสคนนั้น พระองค์จึงทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน เมื่อทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของคนนั้นและวางพระหัตถ์บนตัวเขาแล้ว พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างหรือไม่?” คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่า “ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา” พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาของเขาอีก แล้วเขาก็เพ่งดูและตาก็หายเป็นปกติ มองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจน พระองค์จึงตรัสสั่งให้คนนั้นกลับไปที่บ้านของตนเองและทรงกำชับว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[2] Theology (เทววิทยา) หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า (ผู้แปล)
[3] ความเชื่อในช่วงศตวรรษที่ 1 ของคริสเตียนที่ยอมรับด้านมืดบางอย่างเข้ามารวมอยู่ในความรู้ (ผู้แปล)
[4] Gnosticism คือความเชื่อว่าความรู้ที่ปิดซ่อนอยู่จะนำไปสู่ความรอด (ผู้แปล)
[5] หรือ พระวาทะ
[6] Philo of Alexandria (ก่อน ค.ศ. 20 - ค.ศ. 50) นักปรัชญายิวที่ได้พยายามผสมผสานปรัชญากรีกกับปรัชญายิวเข้าด้วยกัน (ผู้แปล)
[7] หรือ “คนที่ไม่มีศาสนา” (ผู้แปล)
[8] Eisegesis คือการตีความเกินจากตัวบท (ผู้แปล)
[9] คำกล่าวนี้มาจากหลักข้อเชื่อไนเซียที่มีทั้งหมด 26 ข้อ หลักข้อเชื่อไนเซียฉบับแปลภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันมี 3 ฉบับคือของศาสนจักรคาทอลิก ของสภาคริสตจักรในประเทศไทย และของคริสตจักรแองกลิกันในประเทศไทย) ผู้แปลนำมาอ้างอิง 5 ข้อจากทั้ง 3 ฉบับดังนี้
ข้อ 1 เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (หรือพระเจ้าหนึ่งเดียว หรือพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว)
ข้อ 3 เชื่อในพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียว (หรือหนึ่งเดียว) ของพระเจ้า
ข้อ 5 ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า (หรือทรงเป็นพระเจ้ากำเนิดมาจากพระเจ้า)
ข้อ 6 แสงสว่างจากแสงสว่าง (หรือเป็นองค์ความสว่างจากความสว่าง หรือเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง)
ข้อ 7 พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ (หรือทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้)
[10] โรม 5:19 “เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาป เพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[11] Orthodox
[12] มาจากคำ “Tanakh” เป็นพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูของชาวยิว
[13] Complete Jewish Bible
[14] มาจากคำกรีก (planaō, พลานาโอ) แปลว่า “นำให้หลงทาง หรือ ทำให้หลงทาง”
[15] ฉบับมาตรฐานแปลว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว”
[16] คำกรีกอ่านว่า “ออยดา” (oida)
[17] Arndt-Gingrich lexicon
[18] Bishops หมายถึง “บาทหลวง หรือ สังฆราช”
[19] Ante-Nicene Fathers (อย่าสับสนคำ ante ที่หมายถึง “ก่อน” กับ anti ที่หมายถึง “ต้าน”) -จากต้นฉบับ
[20] First Council of Nicaea
[21] Council of Nicaea
[22] Augustine
[23] Confessions
[24] CJB (Complete Jewish Bible)
[25] ESV (English Standard Version)
[26] NASB (New American Standard Bible)
[27] NIV (New International Version)
[28] 1 โครินธ์ 1:25 “เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังมีกำลังมากยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[29] Sufis คือนิกายที่แตกมาจากนิกายชีอะห์ ที่พยายามจะนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์จากศาสนามาสัมพันธ์กับชีวิตภายใน (ผู้แปล)
[30] Evangelicalism คือขบวนการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระคริสต์ ที่เกิดจากการฟื้นฟูของกลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาและหลายกลุ่มนิกายในศตวรรษที่ 18 และ 19 ในยุโรปและอเมริกา ที่ให้เน้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์ โดยการรับการยกโทษบาปจากพระคริสต์และบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ผู้ร่วมฟื้นฟูที่สำคัญมี จอร์จ ไวท์ฟิลด์, จอห์น เวสเล่ย์, และโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด (ข้อมูลจากเว็บไซด์ของคริสเตียนอีแวนเจลิคอลกลุ่มต่างๆ-ผู้แปล)
[31] “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” ในฉบับมาตรฐาน 2011 (ผู้แปล)
[32] “Sinners in the Hands of an Angry God”
[33] Jonathan Edwards (นักปรัชญาและนักศาสนศาสตร์ชาวอเมริกัน ค.ศ. 1703-1758) –ผู้แปล
[34] Marcion บิช็อปในยุคแรกๆของคริสเตียน (ผู้แปล)
[35] “Jesus” มีความหมายว่า “Yahweh saves” มาจากชื่อภาษาฮีบรูว่า “” (เยโฮชูวา) หรือ “โยชูวา” หรือภายหลังเป็น “เยชูวา” แปลว่า “พระยาห์เวห์เป็นความรอด” (ผู้แปล)
[36] Calvinist
[37] อ่านว่า “โธรนอส”
[38] Raymond & Rosa Suen
[39] James Ho
[40] BibleWorks เป็นโปรแกรมค้นคว้าพระคัมภีร์
[41] วิวรณ์ 7:17 “เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขา และจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[42] อ่านว่า “เม-สอส”
[43] Arndt-Gingrich
[44] Thayer
[45] มัทธิว 5:3 “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[46] ฉบับมาตรฐานใช้คำว่า “ว่ากล่าว” (ผู้แปล)
[47] ลูกา 14:10 “ฉะนั้นเมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่ต่ำก่อน เพื่อที่ว่าเมื่อเจ้าภาพมาพูดกับท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เชิญไปนั่งในที่อันมีเกียรติเถิด’ เมื่อนั้นท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าทุกคนที่ร่วมนั่งรับประทานนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[48] 1 โครินธ์ 15:31 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยความภูมิใจในพวกท่าน ที่ข้าพเจ้ามีในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[49] ฟีลิปปี 2:5 “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[50] ฟีลิปปี 3:8 “ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[51] หรือ “พระฉายา”
[52] หรือ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” หรือ “ผู้เป็นคนแรกและผู้เป็นคนสุดท้าย” (“I am the first and the last”, Rev 1:17 NAU) -ผู้แปล
[53] วิวรณ์ 7:17 “เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขา และจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
วิวรณ์ 21:4 “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[54] University of Western Ontario ในประเทศแคนาดา (ผู้แปล)
[55] ยอห์น 6:51 “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[56] Chislehurst หมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน
[57] Tyndale House of Cambridge
[58] James Dunn นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)
[59] Pastor Dieter
[60] The Gospel Church
[61] St Michael Church
[62] Anglican Church
[63] วิวรณ์ 5:6 “และระหว่างพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และท่ามกลางพวกผู้อาวุโส ข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกทรงยืนอยู่ เหมือนดังถูกปลงพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีดวงตาเจ็ดดวง ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลกแล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[64] วิวรณ์ 3:1 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาวเจ็ดดวงนั้นตรัสดังนี้ว่า “เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว”’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[65] อิสยาห์ 11:2 และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงอยู่บนท่าน คือพระวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ พระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[66] Dr. Jekyll and Mr. Hyde นิยายวิทยาศาสตร์เขียนโดย Robert Louis Stevenson เป็นเรื่องของคนที่มีนิสัยสองด้าน บุคลิกที่ต่างกันในคนๆเดียวกัน (ผู้แปล)
[67] วิวรณ์ 6:16 “พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และจากพระพิโรธของพระเมษโปดก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[68] modus operandi วลีจากภาษาลาตินที่หมายถึง “method of operation” (ผู้แปล)
[69] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
[70] ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีก ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ” (ผู้แปล)
[71] วิวรณ์ 22:1 “และท่านสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนอย่างแก้วผลึก ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
วิวรณ์ 22:3 “ทุกสิ่งที่ถูกสาปแช่งจะไม่มีอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะนมัสการพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล