pdf pic

บทที่ 15

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

ชีวิตของลูกแกะเมษโปดก

 

 

คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว – ช่วงของการเปลี่ยน

          เมื่อเราสรุปคำสอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ก็มีคำถามขึ้นว่าเราจะทำอย่างไรกับคำสอนเดิมที่สอนในการประชุมของผู้ดูแลภูมิภาคในปี 2005 ที่บาหลี  คำตอบก็คือ  เราะจะไม่ใช้คำสอนเดิม แต่จะใช้คำสอนใหม่นี้แทนคำสอนเดิม  ผมจะบอกที่มาของเรื่องนี้คร่าวๆ

          คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นค่อนข้างแตกต่างจากการสอนครั้งล่าสุดในหลายจุดสำคัญๆ การเปลี่ยนจากการเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผม  และผมก็เล็งเห็นว่ามันจะยิ่งยากขนาดไหนกับพวกคุณบางคน   การเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นยากและหนักสำหรับผมเพราะผมต้องพิจารณาคำสอนใหม่ในทุกด้านและการนำมาใช้ในฝ่ายวิญญาณ  การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคุณแต่คุณไม่รู้หรอกว่ามันยากกับผมมากแค่ไหน  ผมเข้าใจความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ดีกว่าใครในพวกคุณ และเข้าใจได้ดีกว่าเกือบทุกคนในโลกนี้เพราะผมได้ทุ่มเททั้งชีวิตของผมในการศึกษาความเชื่อนี้   แต่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์

          เราคุ้นกับเรื่องชายตาบอดที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายที่เบธไซดา (มาระโก 8:22-26)[1]  พระเยซูทรงพบชายตาบอดผู้นี้และพาเขาออกมานอกหมู่บ้านเพื่อหนีจากฝูงชน  แล้วพระองค์ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของเขาและถามเขาว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างหรือไม่?” เขาตอบว่า “ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา”  เขามองเห็นคนแต่ยังเห็นไม่ชัด  พระเยซูจึงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตาของเขาแล้วชายนั้นก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจน

         คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเป็นขั้นตอนแรกในการเปิดตาของผม พระเจ้ากำลังเปิดตาของผมและผมกำลังเห็นความจริงแต่ว่าไม่ชัดเท่าที่ควร เหมือนกับที่พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดในสองขั้นตอน  บางทีพระเจ้าก็ทรงทำอย่างเดียวกันนั้นกับเรา  ในกรณีของผมนั้นผมคิดว่าพระเจ้าได้ทรงเตรียมการเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวโดยเผยให้เห็นในสองขั้นตอน เพราะผมอาจรับความตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ได้  อาจด้วยเหตุผลคล้ายกันนี้พระเยซูจึงทรงให้ชายตาบอดมีเวลาปรับตัวกับความตกใจที่จะได้เห็นทุกสิ่งอย่างชัดแจ๋วหลังจากที่มีชีวิตอยู่ในความมืดและความบอดมืดมาหลายปี

          ในคำสอนเดิมหกบทของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นยังมีความเชื่อในตรีเอกานุภาพติดมากับผม  บางครั้งผมก็นำเอาความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมเข้ามาปน  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงต้องนำผมออกมาทีละก้าว  ในทำนองเดียวกับการเปลี่ยนที่เกิดกับคุณและกับคริสตจักรก็อยู่ในสองขั้นตอนเช่นกัน  ผมไม่มีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น  ผมแค่ทำตามการทรงนำขององค์ผู้เป็นเจ้าจนมาถึงจุดนั้น  ในเมื่อนี่เป็นทางที่พระองค์ทรงสำแดงความจริงกับผม  ทางเลือกที่ผมมีก็คือ  จะไม่แบ่งปันอะไรเลยกับพวกคุณ หรือว่าจะแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เห็นจากองค์ผู้เป็นเจ้า

        ในคำสอนเดิมนั้นผมจะใช้คำของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างเช่น “การบังเกิด ไม่ใช่การถูกสร้าง” ในความพยายามที่จะสานแนวคิดนี้กับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  ความจริงแล้วแนวคิดนี้แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ในเวลานั้นผมไม่ได้ทิ้งแนวคิดที่ผมเห็นว่าน่าดึงดูด  เพราะสำหรับผมแล้วการที่พระบุตรทรงมาบังเกิดก็ฟังดูดีกว่าที่จะทรงถูกสร้างขึ้น

          ถ้าคุณคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของศาสนศาสตร์[2]คุณจะรู้ถึงความสำคัญในการที่ผมสานต่อแนวคิดเรื่อง “การบังเกิด” ในบทต่างๆในบริบทที่รู้จักกันว่า “ต้นกำเนิด” ซึ่งเป็นคำที่มาจากคำสอนของความเชื่อแบบนอสติก[3] คุณอาจไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับความเชื่อแบบนอสติก[4]ฉะนั้นผมจะยังไม่พูดถึงในตอนนี้  ในแนวคิดของต้นกำเนิดก็คือมีสิ่งที่เกิดจากหรือออกมาจากอีกสิ่งหนึ่ง    แนวคิดเรื่องโลกอส (Logos)[5] ที่มีต้นกำเนิดจากพระเจ้านั้นรับมาจากปรัชญากรีก  ขณะเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมยังคงทำตามแนวของปรัชญากรีกซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของคำสอนในความเชื่อตรีเอกานุภาพ   ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่สามารถจะเอามาจากพระคัมภีร์ได้  ดังนั้นคุณจึงต้องเอามาจากปรัชญากรีกที่ผ่านกระบวนการคิดของนักคิดเช่นไฟโล[6] ชาวยิวที่หลอมรวมปรัชญากรีกกับความคิดของชาวยิวไว้ด้วยกัน และเบี่ยงเบนว่าโลกอส (Logos) มีต้น กำเนิดจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือปรัชญาของคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า[7]  ในที่สุดคริสตจักรต้องต่อสู้กับความเชื่อแบบนอสติกเพราะมันได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อคริสตจักร  แต่ความเชื่อแบบนอสติกก็มีพื้นฐานความคิดแบบปรัชญากรีกเช่นเดียวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

          แนวคิดปรัชญาเกี่ยวกับโลกอส (Logos) ถูกนำมาใช้กับยอห์นบท 1 ในการตีความเกินตัวบทโดยกระบวนการใส่ความคิดของตนเองเข้าไปในตัวบท[8]  โลกอส (Logos) ที่มีต้นกำเนิดจากพระเจ้านั้นบังเกิดจากพระเจ้า เนื่องจากการบังเกิดอยู่ในรูปของการมีต้นกำเนิด  ใครๆก็คิดได้ว่าเด็กกำเนิดมาจากมารดาของตน หรือความสว่างกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์  ผมพยายามใช้แนวคิดของ “การบังเกิดจากพระเจ้า”  เพื่อรักษาแนวคิดของการที่พระเยซูทรงออกมาจากพระเจ้าซึ่งค้านกับการที่พระเจ้าทรงสร้างพระองค์ขึ้น  เมื่อใช้การเปรียบเทียบกับของมนุษย์แล้ว เด็กทารกไม่ได้ถูกแม่สร้างขึ้นแต่จะเกิดมาจากแม่  ผมยังคงพยายามจะรักษาแนวคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องต้นกำเนิดเอาไว้ แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นของกรีกและคนต่างชาติที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและไม่ได้ตามพระคัมภีร์ก็ตาม

          แต่แนวคิดเรื่องต้นกำเนิดจะเต็มไปด้วยคำถามทางปรัชญาและทางศาสนศาสตร์  ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่คนหนึ่งเกิดมาจากอีกคนหนึ่ง  คนที่เกิดมาจะมาทีหลังคนที่เป็นต้นกำเนิด  ในแง่ของมนุษย์นั้นแม่จะมีชีวิตอยู่ก่อนทารก   เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะยอมรับการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์  พระบุตรก็ยังมาเป็นที่สองในแง่ที่ว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา นอกจากนี้ยังมีความหมายว่าพระองค์ไม่ได้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ในความหมายเดียวกับที่พระบิดาทรงดำรงอยู่นิรันดร์  ไม่ว่าจะทรงบังเกิดหรือจะทรงถูกสร้างขึ้น พระบุตรก็ทรงมีจุดกำเนิด  นี่ทำให้เป็นปัญหาที่พระบุตรจะไม่ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาอย่างแท้จริงเพราะการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา แม้ในแง่ของต้นกำเนิด  พระบิดาก็ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของพระบุตร

        คำพูดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่า “ความสว่างมาจากความสว่าง” หมายถึงความสว่างมีต้นกำเนิดมาจากความสว่างนั้นนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตร  แต่มันเป็นคำกล่าวที่ทำลายมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเสียเองในเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ของพระบิดากับพระบุตร  เพราะเห็นชัดเจนว่าความสว่างที่ออกมาจากดวงอาทิตย์นั้นไม่เท่าเทียมกับดวงอาทิตย์ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์ที่เป็นต้นกำเนิดของมัน  ดังนั้นแม้แต่การเปรียบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองก็ไม่ได้สนับสนุนความเท่าเทียมกันของพระบิดากับพระบุตร เว้นแต่ว่าเราจะพูดในแง่ของเนื้อแท้ที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ในแง่ว่าแสงมีเนื้อแท้ร่วมกับแหล่งกำเนิดแสง  เหมือนที่ทารกมีเนื้อแท้ร่วมกับผู้เป็นมารดา

          แม้ขณะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็ตระหนักถึงจุดอ่อนในคำกล่าวของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเช่น “พระเจ้าจากพระเจ้า  ความสว่างจากความสว่าง”[9]  จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าองค์หนึ่งจะมาจากพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง?  นี่จะหมายความว่าการดำรงอยู่ขององค์หนึ่งขึ้นกับอีกองค์หนึ่ง  แนวคิดของ “การบังเกิด” หมายถึงการอยู่ภายใต้ หรือการพึ่งพา (ซึ่งเป็นรูปแบบของความด้อยกว่า) เพราะองค์หนึ่งพึ่งพาอีกองค์หนึ่งในการดำรงอยู่ของพระองค์  ถ้าแม่ของคุณตัดสินใจไม่ให้คุณเกิด  คุณก็จะไม่ได้เกิดและคุณจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้  การเกิดของคุณขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพ่อแม่ของคุณ  ยอห์นพูดถึงการเกิดว่า “ไม่​ได้​เกิด​จาก​เลือด​เนื้อ​หรือ​กาม หรือ​ความ​ประ​สงค์​ของ​มนุษย์” (ยอห์น 1:13) มนุษย์เราเกิดมาจากความประสงค์ของเนื้อหนัง  พระบุตรจะไม่สามารถบังเกิดได้เว้นแต่จะมาจากพระประสงค์ของพระบิดา  ซึ่งในกรณีนี้พระเยซูไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดาในแง่ของพระประสงค์  คำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เปิดโอกาสให้เราถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมอย่างสมบูรณ์ของพระบุตรกับพระบิดา

         ผมอธิบายทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจที่มาของคำสอนเดิม  ผมกำลังเริ่มเห็นความจริงโดยพระคุณของพระเจ้า  แต่ก็ยังเป็นเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมาเหมือนคน  ผมยังคงพยายามรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ถูกดัดแปลง  แต่เราต้องเข้าใจว่าการรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพไว้นั้นต้องแลกด้วยความสูญเสียฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราโต้แย้งเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ เราก็จะรับโทษทัณฑ์สูง เพราะมันหมายถึงว่าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เพราะมนุษย์จริงๆจะไม่ดำรงอยู่ก่อนอย่างที่อ้างถึงพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ   และถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆหรือไม่ได้เป็นมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นรากฐานของความรอดของเราก็จบลงเพราะ “การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น” (โรม 5:19 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  นั่นเป็นการเชื่อฟังของ “มนุษย์คนเดียว” มากกว่าจะเป็นการเชื่อฟังของพระเจ้า (หรือเป็นการเชื่อฟังของมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า) ที่เป็นรากฐานของความรอดของเรา เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวคืออาดัมทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป[10]  ดังนั้นการเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น   สิ่งที่ต้องสูญเสียจากการโต้แย้งเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์คือการปล่อยให้ความรอดของเราสูญเปล่า

     พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ได้เป็นมนุษย์แท้  ไม่มีมนุษย์แท้คนไหนที่มีส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้า  หรือเป็นทั้งมนุษย์แท้และเป็นพระเจ้าแท้ หรือเป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งและพระเจ้าครึ่งหนึ่ง  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำหนดพระคริสต์แบบนั้น  เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เคยยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์จริงๆ  และด้วยเหตุนั้นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะมีปัญหากับความรอดของพวกเขาเอง

     คุณจะมีสามพระองค์ที่เท่าเทียมกันและดำรงอยู่นิรันดร์เท่าๆกันไม่ได้ถ้าหนึ่งพระองค์ในนั้นเป็นพระบุตรของอีกพระองค์หนึ่ง  ถึงแม้คุณจะบอกว่าพระบุตรไม่ได้ทรงถูกสร้าง ความจริงก็ยังคงมีอยู่ว่าความสว่างไม่ได้เท่าเทียมกับแหล่งกำเนิดของความสว่างที่มันออกมาจาก  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีความเท่าเทียมกันน้อยกว่าอีกเพราะพระองค์ออกมาจากทั้งพระบิดาและพระบุตรตามหลักคำสอนของประเทศตะวันตกหรือเฉพาะพระบิดาตามหลักคำสอนของออร์โธดอกซ์[11]  ผมจะไม่คุ้ยหาข้อโต้เถียงที่เหลวไหลเหล่านี้  คุณอาจไม่เชี่ยวชาญในศาสนศาสตร์พอที่จะเข้าใจความสับสนของรากฐานทางปรัชญาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาไม่ใช่บนพื้นฐานของพระคำของพระเจ้า ปัญหาของผมก็คือผมคุ้นกับทั้งสองอย่าง และบางครั้งก็จะสับสนอันหนึ่งกับอีกอันหนึ่ง  บางทีถ้าคุณไม่รู้ปรัชญาอะไรเลยก็จะดีกว่า คุณจะได้อ่านพระคัมภีร์และยอมรับพระคัมภีร์อย่างที่ปรากฏ

 

เหตุผลที่คุณหลงผิด

          เราได้ดูมัทธิว 22:29 (จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้)

          เยชูวาตอบเขาทั้งหลายว่า “เหตุที่ท่านหลงผิดก็คือว่าท่านไม่รู้ทั้งทานัค[12]และฤทธิ์เดชของพระเจ้า”

          (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[13]

          พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า “พวก​ท่าน​ผิด​แล้ว เพราะ​ท่าน​ไม่​รู้​พระ​คัมภีร์​หรือ​ฤทธิ์​เดช​ของ​พระ​เจ้า​”

          (ฉบับ 1971)

ch15 1[14] 

         พระเยซูบอกพวกสะดูสีว่าพวกเขาได้ “หลงผิด”  ในพจนานุกรมกรีกมาตรฐานฉบับต่างๆนั้นคำว่า “ch15 2” (planaō) หมายถึง “นอกลู่นอกทาง” “ไปผิดทาง หรือ หันเหไป” “ซัดเซไป” “สำคัญผิด” หรือ “หลอกตัวเอง” คำแปลว่า “พวกท่านผิดแล้ว”[15] ยังอ่อนไปแต่พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์แปลว่า “ท่านหลงผิด” ที่รักษาความแรงของคำนี้ไว้

         พระเยซูยังทรงใช้คำ “รู้” (ch15 3)[16] ซึ่งพจนานุกรมกรีกอาร์นท์-กิงกริช[17]ให้คำนิยามไว้ว่า “รู้จักอย่างสนิทสนมกับ” “มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ” “เข้าใจ”

     ปัญหาของพวกสะดูสีก็คือพวกเขาไม่ “รู้” พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เมื่อผมพิจารณาดูบรรดาบรรพบุรุษและบาทหลวง[18]ของคริสตจักรในยุคแรกๆ ผมจึงตระหนักว่ามีไม่กี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ เรามีงานเขียนมากมายของบรรดาบรรพบุรุษก่อนการประชุมแห่งไนเซีย[19] เป็นงานเขียนชุดต่างๆของบรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ก่อนสภาสังคายนาไนเซียครั้งแรก[20]ในปี ค.ศ. 325 นอกจากนี้ก็ยังมีงานเขียนหลังจากสภาสังคายนาไนเซีย[21]ด้วย

     งานเขียนทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงจำนวนของผู้เขียนที่ค่อนข้างน้อย  ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขาสอนและความลึกซึ้งในความเข้าใจพระคัมภีร์ของพวกเขา  ในบรรดาบาทหลวงสองสามร้อยคนที่อยู่ในการประชุมสภาแห่งไนเซียนั้นมีกี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ?

     แม้แต่ออกัสติน[22]ผู้เป็นบาทหลวงแห่งฮิปโปในแอฟริกาเหนือ ที่มาภายหลังการประชุมสภาแห่งไนเซียหนึ่งศตวรรษและเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในคริสตจักร เขาไม่รู้ภาษากรีกเลย  ออกัสตินสามารถใช้ภาษาลาตินเพียงภาษาเดียวเท่านั้นซึ่งก็เหมือนๆกับบรรดาบรรพบุรุษลาตินทั้งหลาย คือบรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรที่พูดภาษาลาติน  เมื่อต้องมาทำความเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก เขาจึงต้องพึ่งฉบับแปลภาษาลาติน  การไม่มีความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ต้นฉบับไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่งานเขียนส่วนใหญ่ของเขาจึงมีลักษณะในทางปรัชญา  ผมได้รับประโยชน์จากงานเขียนของเขาบางอย่างโดยเฉพาะ “คำสารภาพ[23]ของเขาซึ่งมีความคิดที่ดีอยู่บ้าง แต่มีหลายอย่างถูกพัฒนาในกรอบของปรัชญาและไม่ได้อธิบายพระคัมภีร์อย่างแท้จริง

               เหล่าบรรพบุรุษกรีกชุ่มโชกในปรัชญากรีก เพราะในยุคนั้นผู้มีการศึกษาทั้งหลายจะได้รับการศึกษาตามหลักวรรณกรรมและปรัชญากรีก  บรรดาบรรพบุรุษที่พูดภาษากรีกสามารถจะตรวจสอบพระคัมภีร์ภาษากรีกได้ดีกว่าออกัสติน  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเห็นความเข้าใจที่ลึกมากจากงานเขียนมากมายของพวกเขา  งานเขียนส่วนมากของพวกเขามาจากสิ่งที่พวกเขาบันทึกหรือคำเทศนาของพวกที่ีถูกเก็บรักษาไว้และบางอย่างก็เป็นตัวอย่างที่ดีของงานเขียน  แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก ปัญหาที่แท้จริงก็คือในที่ประชุมแห่งไนเซียมีหลายร้อยคนมาร่วมประชุมเพื่อตัดสินใจเรื่องหลักคำสอนของพวกเขาโดยที่พวกเขามีความเข้าใจเพียงแค่พื้นฐานเกี่ยวกับพระคัมภีร์

         ความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง  ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณต้องใช้เวลาใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า  เมื่อผมฟังคำเทศนาของผู้ร่วมงานบางคนผมมักจะเห็นว่าเป็นคำเทศน์ที่ตื้นๆ  คุณเข้าใจพระคัมภีร์ตื้นแค่ไหนคำเทศนาของคุณก็จะตื้นเท่านั้น  และเกิดผลน้อยในการเสริมสร้างพี่น้อง

         ที่ผ่านมามีผู้ร่วมงานคนหนึ่งขอให้ผมฟังเทปคำเทศนาของเขา ผมถามเขาว่าทำไมจะต้องเป็นเทปนี้ด้วย  เขาบอกว่า “มันเป็นหนึ่งในคำเทศนาที่ดีที่สุดของผม”  ผมฟังคำเทศนานั้นแล้วหัวใจแทบฝ่อ  ผมพูดกับตัวเองว่า “โธ่ถัง! นี่หรือผู้ร่วมงานที่ผมได้ฝึกอบรมมา  การตีความพระคัมภีร์ของเขาก็ผิดหมด”  หลังจากนั้นเขาถามผมว่า “อาจารย์คิดยังไงกับคำเทศนาของผม?”  ผมพูดว่า “เมื่อผมมีเวลาแล้วผมจะบอกคุณ”  ผมไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไงดีเพราะผมไม่อยากให้เขาต้องผิดหวัง  ผมจึงพยายามถ่วงเวลาแต่เขาก็ยังเซ้าซี้ผม  ถ้าเขาสังเกตดีๆก็จะรู้ได้จากความลังเลที่ผมไม่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับคำเทศนาของเขาซึ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่มีอะไรจะพูดอีก  ถ้ามันเป็นคำเทศนาที่ดีผมก็คงจะพูดไปแล้ว  แต่เขากลับตามเซ้าซี้ ผมจึงจำเป็นต้องบอกความจริงกับเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันทำให้เขาหดหู่และท้อแท้ใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะหลีกเลี่ยง  ผมจึงต้องคิดวิธีที่จะหนุนใจเขาอีกครั้ง

         ปัญหาก็คือว่าเขาไม่ได้รู้พระคัมภีร์แม้หลังจากการฝึกอบรมทั้งหมดนี้แล้ว  ที่คำเทศนาของเขาไม่มีพลังอำนาจ (มีไม่กี่ครั้งที่คำเทศนามีพลังอำนาจ) นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาอยู่ที่คำสอนไม่ถูกต้อง  เหมือนที่พระเยซูตรัสกับพวกสะดูสีว่า “ท่านหลงผิด” (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[24] หรือ “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว”(ฉบับอิงลิชแสตนดาร์ด)[25] หรือ “พวกท่านสำคัญผิด” (ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด)[26] หรือ “พวกท่านผิดแล้ว” (ฉบับนิวอินเตอร์เนชันแนล)[27]  ผู้ร่วมงานท่านนี้หลอกตัวเองที่คิดเอาว่าคำเทศนาของเขาดี   หลักการพื้นฐานนั้นผิด ผมจึงต้องอธิบายกับเขาทีละประเด็นว่าเขาพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระคัมภีร์สอน

 

ไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า

          ไม่ใช่ว่าชีวิตของผู้ร่วมงานท่านนี้ไม่ดี  เขาเป็นพี่น้องที่ดีมาก  แต่เขาไม่มีฤทธิ์เดชเหมือนๆกับพวกสะดูสี  คุณอาจเป็นคนดีแต่มันอยู่ที่ว่าคุณมีฤทธิ์เดชไหมนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นคนละอย่างกัน  ในโลกนี้มีคนที่ดีอยู่เป็นจำนวนมากและในหมู่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นคริสเตียน พวกเขาดีกว่าและเป็นประโยชน์มากกว่าคริสเตียนส่วนใหญ่  บางครั้งเมื่อผมกำลังนั่งอยู่ริมถนนเพราะหายใจไม่ออกหรือเพราะปวดข้อต่อก็จะมีคนเข้ามาช่วยผม  ช่างใจดีอะไรอย่างนี้! มีครั้งหนึ่งในแคนาดา ผมหยุดรถอยู่ข้างถนนแล้วก็มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์หยุดถามผมว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม?” “รถของคุณเสียหรือเปล่า?” ผมตอบพวกเขาว่า “เปล่าครับ ผมอยากจะหยุดพักสักประเดี๋ยว”

         การเป็นคริสเตียนหรือผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ได้เป็นเรื่องของการเป็นคนดี การเป็นคนที่มีประโยชน์เป็นสิ่งที่ดีแต่เราจะต้องมีฤทธิ์เดชด้วย เมื่อผมดูคำเทศนาและชีวิตของพี่น้องคนนี้ผมก็เห็นว่าทั้งสองด้านนี้สัมพันธ์กัน คำเทศนาของเขาผิดและชีวิตของเขาไม่มีฤทธิ์เดช

          ต่อให้คุณรู้หลักการต่างๆของฤทธิ์เดช คุณก็อาจยังขาดฤทธิ์เดช ผมได้พูดเยอะมากเกี่ยวกับหลักการของฤทธิ์เดชทางความอ่อนแอ  ผมได้เทศน์ในเรื่องนี้  หัวข้อนี้ได้ตีพิมพ์เป็นจุลสารเล่มเล็กๆ   แต่ที่คุณจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  แม้คุณจะเข้าใจหลักการในการทำงานแบบกลับกัน คือหลักการที่ฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณมาจากความอ่อนแอ  ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วมันอาจไม่แตกต่างกับคุณมาก    ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าใจคำสอนต่างๆได้ถูกต้อง  ถึงแม้ว่าคุณได้ออกจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว  มันจะหมายความว่าคุณจะได้ฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณโดยอัตโนมัติไหม?  ไม่ใช่เลย!  การมีคำสอนที่ถูกต้องนั้นสำคัญแต่ก็ยังไม่พอ คริสตจักรของพระคัมภีร์ใหม่เป็นคริสตจักรที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  แต่จงดูปัญหาที่มีสิ  ชาวโครินธ์มีปัญหาสารพัดซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความทะนงฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนฝ่ายวิญญาณทั้งๆที่ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  พวกเขาคิดว่าการพูดภาษาแปลกๆทำให้พวกเขาเป็นคริสเตียนที่วิเศษทั้งๆที่ความเป็นจริงมันทำให้พวกเขาทะนงตัวและเพราะฉะนั้นจึงเป็นคริสเตียนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน  พวกเขาถูกปัญญาของโลกดึงดูด  เปาโลจึงต้องบอกพวกเขาว่าปัญญาเช่นนั้นสำหรับพระเจ้าแล้วเป็นความเขลา  เพราะความเขลาของพระเจ้าตามที่ปัญญาของโลกเห็นเช่นนั้นก็ยังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ (1 โครินธ์ 1:25)[28]  ภาพของพระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนเป็นเรื่องโง่เขลาในสายตาของมนุษย์ เพราะมันเป็นภาพของความอ่อนแอและการดูแคลนปัญญาของมนุษย์และความคิดของมนุษย์

         คริสตจักรทั้งเจ็ดในวิวรณ์บท 2 และ 3 เป็นคริสตจักรที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่ในนั้นมีห้าคริสตจักรที่ใช้การไม่ได้และมีหนึ่งคริสตจักรที่ตายแล้ว  การถือรักษาหลักคำสอนว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นไม่ใช่คำตอบของปัญหา  เราจำเป็นต้องมีหลักคำสอนที่ถูกต้อง  แต่หลักคำสอนที่ถูกต้องก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีชีวิตที่ถูกต้อง

       มีชาวมุสลิมมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในโลก และพวกเขาทุกคนก็เป็นผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ขอโทษที่ต้องพูดว่าผมได้เห็นมุสลิมคนหนึ่งที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณจริงๆ การที่จะพบคนฝ่ายวิญญาณสักคนในหมู่ชาวคริสเตียนก็ยากอยู่แล้วแต่ที่จะพบสักคนหนึ่งเช่นนั้นในหมู่ชาวมุสลิมนั้นก็ยากยิ่งกว่า  เมื่อผมอ่านหนังสือหรือวรรณกรรมของพวกเขาก็ไม่ค่อยพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณในนั้น ถ้าคุณจะพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณมันคงจะเป็นในหมู่ชนซูฟี[29] ซึ่งเป็นนิกายมุสลิมที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับความเร้นลับและจิตวิญญาณ แต่พวกเขามักจะสับสนกับทั้งสองอย่างและผลสุดท้ายก็ลงเอยด้วยความเชื่อในเรื่องเร้นลับมากกว่าในเรื่องจิตวิญญาณ

 

การกันพระยาห์เวห์ออกไป

            พระเจ้าทรงให้ภาพของลูกแกะเมษโปดกกับเราในวิวรณ์  ผมได้ตั้งข้อสังเกตว่าลูกแกะเมษโปดกเป็นยาแก้พิษของพระเจ้าให้กับความเป็นเนื้อหนัง คราวก่อนเราได้เห็นว่าความเป็นเนื้อหนังสามารถจะทำสิ่งที่ร้ายแรงสุดๆ ความเป็นเนื้อหนังสามารถใช้ถ้อยคำที่ดีเยี่ยมของพระกิตติคุณมาบิดเบือนให้เป็นภัยพิบัติในการให้เชื่อพระเจ้าหลายองค์ มนุษย์เนื้อหนังตีความทุกสิ่งในทางเนื้อหนัง ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้รับเอาพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์และยกพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้า ได้ประกาศให้พระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกด้าน คือทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรายกพระเยซูขึ้นจนเหมือนว่าผลักไสพระบิดาคือพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง เราสร้างพระเจ้าองค์หนึ่งจากพระเยซูผู้ที่เหนือกว่าพระยาห์เวห์ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นในภาษาและคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ใครตายเพื่อเราหรือ? พระเยซูไงล่ะ! ใครกันหรือที่พิสูจน์ให้เห็นว่ารักเรา? ก็พระเยซู! บทบาทสำคัญของพระบิดาก็คือส่งพระบุตรมา แต่พระบุตรทรงสมัครพระทัยมา ดังนั้นที่พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรมาจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย พระเยซูยังทรงเหนือกว่าพระยาห์เวห์ด้วยเหตุผลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแต่พระเยซูทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์

         ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์ยังให้ภาพที่เห็นว่าทรงเป็นพระเจ้าที่ฉุนเฉียวและพิโรธในขณะที่พระบุตรของพระองค์ทรงช่วยชีวิตเรา  พระเยซูทรงลบล้างพระอาชญาให้เราด้วยพระโลหิตของพระองค์   “ลบล้างพระอาชญา” เป็นคำสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์[30]ที่เน้นการระงับพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งในกรณีนี้ระงับโดยพระโลหิตของพระเยซู  1 ยอห์น 2:2 กล่าวว่า “พระ​องค์​ทรง​เป็น​ผู้​ลบ​ล้าง​พระ​อาชญา​ที่​ตก​กับ​เรา​ทั้ง​หลาย​” (ฉบับ 1971)[31]  พระคัมภีร์บางฉบับชอบคำ “ไถ่โทษ” ซึ่งเน้นในแง่ของการแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกด้วยวิธีชำระหนี้บาปให้  คุณจะสังเกตว่าผมไม่ได้เทศนาเกี่ยวกับการลบล้างพระอาชญาและพระพิโรธของพระเจ้า

       เราเห็นได้ชัดว่าในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบุตรจะดีกว่าพระบิดา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ น่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวในขณะที่พระเยซูทรงอบอุ่น ทรงรักและทรงปกป้อง  พระเยซูทรงระงับพระพิโรธของพระเจ้าด้วยพระโลหิตของพระองค์ คุณคงจำคำเทศนาที่มีชื่อเสียง “เหล่าคนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ”[32]ของโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด[33] นักเทศน์ชั้นแนวหน้าของอเมริกาในศตวรรษที่ 18 ได้  เขาเทศน์เกี่ยวกับไฟนรกที่ทำให้คนจำนวนมากหันมาหาพระเจ้าด้วยความตื่นกลัว  พวกเขาหนีจากพระพิโรธของพระเจ้ามาหาพระเยซู  คำเทศนาแบบนี้เป็นการสร้างความแบ่งแยกระหว่างพระบิดากับพระบุตรด้วยการบอกว่าทั้งสองพระองค์มีพระลักษณะที่ต่างกัน  มาร์กิโอน[34] คนนอกศาสนาคนสำคัญของศตวรรษที่สองกล่าวในแบบที่รุนแรงกว่าแต่ก็คล้ายกันว่า พระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมไม่ได้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่  มาร์กิโอนไม่ชอบพระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมที่เขาเห็นว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระเจ้าที่เต็มด้วยความรักของพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์

                ในความคิดของเรานั้นผู้ที่ช่วยเราให้รอดไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่จะเป็นพระเยซูทั้งๆที่ความจริงแล้วชื่อ “เยซู” หมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด”[35] ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้สร้างพระเจ้าผู้ที่ดีกว่าพระยาห์เวห์!  ผมสะดุ้งเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผมได้สอนไปเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดของผู้ถือนิกายคาลวิน[36]บางคนด้วยคำสอน “เหล่าคนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ” ของพวกเขา  เหล่าคนบาปจะมีความฝังใจแบบไหนกับพระเจ้าจากการสอนแบบนี้หรือ?  นั่นคงจะทำให้พวกเขาหนีจากพระเจ้าแล้ววิ่งมาหาพระคริสต์! พระเยซูทรงเป็นศิลาของเรา เป็นพระผู้เลี้ยงของเรา  เป็นทุกอย่างของเรา เราไม่ต้องการพระยาห์เวห์พระบิดาของเรา เพราะผู้ที่เราต้องการก็คือพระคริสต์  แม้เราจะพูดให้ดูเบาลงเกี่ยวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มันก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่าเราได้สร้างพระเจ้าองค์หนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระยาห์เวห์ ผู้ที่ดีกว่าพระยาห์เวห์  ตรงนี้เราจะเห็นการให้พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นรูปเคารพ  เพราะพระองค์ได้มาแทนที่พระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์  โดยมารยาทเราอาจจะให้ตำแหน่งกับพระบิดาในคริสตจักรของเราและในคำสอนของเรา  แต่พระองค์ไม่ได้มีบทบาทจริง  ไม่มีอะไรเหลือให้พระองค์ทรงกระทำเพราะพระคริสต์ทรงกระทำทุกสิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ

 

พระเยซูและพระที่นั่งในวิวรณ์

          แต่วิวรณ์ให้ภาพที่ต่างกันอย่างมาก   เมื่อผมอ่านวิวรณ์อย่างถูกต้องผมก็เริ่มเห็นว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็สลายไปทีละอย่างๆ  คราวก่อนผมพูดว่าผมได้ศึกษาว่าพระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์หรือไม่  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่สรุปพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และผมก็แปลกใจที่พบว่าพระเยซูไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์  ผมงุนงงพอๆกับความจริงที่ว่าเปาโลไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการอธิษฐานกับพระเยซู  และจดหมายฉบับอื่นๆในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นกัน  ถ้าไม่พบการนมัสการพระเยซูหรือการอธิษฐานกับพระเยซูในจดหมายฉบับอื่นๆของพระคัมภีร์ใหม่ เราก็จะไม่พบในวิวรณ์แน่นอน  อย่างไรก็ตามที่เราพบใกล้เคียงสุดก็คือ “สิ่ง​มี​ชีวิต​ทั้ง​สี่​และ​ผู้​อา​วุโส​ยี่​สิบ​สี่​คน​นั้น ก็​ทรุด​ตัว​ลง​เฉพาะ​พระ​พักตร์พระ​เมษ​โป​ดก”  (วิวรณ์ 5:8 ฉบับมาตรฐาน)  ตรงนี้ไม่มีการนมัสการที่เกี่ยวข้องกับพระเมษโปดก มีก็แต่พระเมษโปดกที่ทรงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งใจกลาง  ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพมาก่อนอย่างผมต้องตะลึง

          อีกตัวอย่างหนึ่งที่อยู่ในคำกรีกว่า “พระที่นั่ง” (ch15 4, thronos)[37] ซึ่งคล้ายกับคำภาษาอังกฤษพอสมควร  นี่แหละที่สถิติของพระคัมภีร์จึงมีความสำคัญ  (เรามีสองโครงการที่กำลังทำอยู่ ในการรวบรวมสถิติของพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน  โครงการหนึ่งโดยเรย์มอนและโรซ่า ซวน[38] และอีกโครงการหนึ่งโดยเจมส์ โฮ[39]กับทีมของเขา) สถิติในพระคัมภีร์มีความสำคัญเพราะมันช่วยให้พระคัมภีร์เป็นผู้พูดเอง ขั้นตอนทางสถิตินั้นเป็นข้อเท็จจริงและลดความเสี่ยงในการตีความตามความเห็นส่วนตัว โดยลดการตีความเกินจากที่มีในตัวบทตามความคิดของเราเอง

     ให้เรามาพิจารณาบางสถิติดู  คำว่า “thronos” มีปรากฏ 62 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่ง 47 ครั้งอยู่ในวิวรณ์  และ 15 ครั้งอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ส่วนที่เหลือรวมกัน  เล่มต่อมาที่ปรากฏบ่อยครั้งที่สุดคือมัทธิวที่มีการอ้างอิงห้าครั้ง  เมื่อมองแวบเดียวเราจะเห็นรูปการณ์ของสถิติ  ถ้าคุณกำลังใช้โปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์กส์[40]  คุณก็สามารถแสดงผลของสถิติออกมาเป็นกราฟ  แท่งแผนภูมิจะเป็นเส้นยาวตรงวิวรณ์และเล่มอื่นๆจะเป็นเส้นสั้นๆ  สิ่งนี้บอกเราว่าหัวข้อสำคัญของวิวรณ์ก็คือพระที่นั่ง  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจ และอำนาจสูงสุดของพระเจ้าในยุคปัจจุบันและตลอดทุกยุคสมัย  พระเจ้าทรงควบคุมอยู่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้

     ถ้าคุณค้นดูพระคัมภีร์ใหม่เพื่อหาคำว่า “บนพระที่นั่ง” (ch15 5) ซึ่งมักจะอยู่ในรูป “ch15 6”  คุณจะพบว่าผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งนั้นก็คือพระเจ้าเสมอ  เราจะพบคำอ้างอิงส่วนใหญ่นี้ในวิวรณ์  ถ้าคุณจะค้นหาคำเช่นว่า พระเมษโปดกประทับอยู่บนพระที่นั่งตรงใจกลาง  คุณจะหาไม่พบเลย  พระเยซูประทับบนพระที่นั่งของพระองค์เอง  ไม่ใช่ที่พระที่นั่งใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมี 24  ที่นั่งสำหรับผู้ปกครอง 24 คนซึ่งแต่ละคนมีพื้นที่สิทธิอำนาจของตน  แต่สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น –พระองค์ผู้เคย ผู้ทรงเป็น และผู้ที่จะเสด็จมา  นั่นเป็นความหมายของชื่อ “ยาห์เวห์”   พระนาม “ยาห์เวห์” แต่เดิมเป็นคำบอกลักษณะไม่ใช่ชื่อ ที่สำแดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ดำรงอยู่นิรันดร์  ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น

       ในความพยายามที่จะช่วยกู้หลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมจึงค้นหาทุกๆที่ที่กล่าวถึงการประทับบนพระที่นั่งของพระเมษโปดก  แต่ก็ไม่พบเลย  ที่ผมสามารถหาได้คือหนึ่งตัวอย่างที่พระเมษโปดกถูกกล่าวถึงว่า “​ผู้​ทรง​อยู่​กลาง​พระ​ที่​นั่ง​นั้น​” (วิวรณ์ 7:17)[41]  ในตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร  แต่เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้และโดยพระคุณของพระเจ้า ผมคิดว่าตอนนี้ผมเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร  วลีนี้เป็นไปตามคำกรีก “ch15 7” (ตรงกลาง)[42] ซึ่งแปลไว้ว่า “อยู่กลาง”  ภาษากรีกของคำ “อยู่กลางพระที่นั่ง” คือ ch15 8 (วิวรณ์ 7:17)

     ถ้าคุณดูจากพจนานุกรมกรีกเช่นของอาร์นท์-กิงกริช[43] หรือ ธาเยอร์[44]  จะเห็นว่า “ch15 7” สามารถหมายถึง “อยู่ตรงกลางของ” “ในระหว่าง” “ข้างใน” หรือ “ในหมู่”  เราสามารถตัด “ในหมู่” และ “ในระหว่าง” ออกไปได้  เพราะมันไม่ได้ให้ความหมายเข้ากับบริบทของพระที่นั่ง  ซึ่งทำให้เราเหลือ “ข้างใน” หรือ “อยู่ตรงกลางของ”  ถ้าคุณวาดภาพพระที่นั่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณจะเห็นอะไร? พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่ง หรือเหนือพระที่นั่งอย่างที่บางที่ได้แปลไว้ (ที่จริงมีคำบุพบทอื่นอีกที่บอกถึงแนวคิดเหล่านี้  พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่งหรือเหนือพระที่นั่ง  แต่อยู่กลางของพระที่นั่ง หรืออยู่ท่ามกลางพระที่นั่ง  นั่นหมายถึงอะไรหรือ?

          ถ้าเราเข้าใจว่า “พระที่นั่ง” คือฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจ และการปกครองของพระยาห์เวห์ ถ้าเช่นนั้นพระเมษโปดกก็คือองค์ประกอบหลักของฤทธิ์อำนาจนั้น  พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่ดำเนินการหรือผู้กำกับการ หรือเป็นผู้ที่หน่วงเหนี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหลักของฤทธิ์อำนาจนั้น  นั่นเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะแก่นแท้ของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็เข้มข้นอยู่ในพระเมษโปดก ผู้เป็นศูนย์ดำเนินงานและหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์  พระเมษโปดกเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ฤทธิ์อำนาจ และการปกครองของพระเจ้า  สิ่งสำคัญที่จะต้องจำไว้ว่าพระเมษโปดกในที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงลูกแกะธรรมดาแต่เป็นลูกแกะถวายบูชาที่ถูกฆ่า

 

พระทัยของลูกแกะเมษโปดก

          มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังจะไม่สามารถทำงานของพระเจ้าสำเร็จ  ที่ผมเป็นห่วงก็คือว่าเราเนื้อหนังเกินไปเพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้  เราจะต้องหายาถอนพิษจากความคิดเนื้อหนังที่อยู่ในเราเสีย  เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้วเราอาจมีหลักคำสอนที่ถูกต้องแต่ไม่มีอะไรสำเร็จเลยเว้นแต่โดยพระเมตตาของพระเจ้าเราจึงมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ผมขอเน้นอีกครั้งว่าลูกแกะเมษโปดกที่อยู่กลางพระที่นั่งคือหลักการทำงานของฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง   ถ้าคุณเอาลูกแกะเมษโปดกกับความเป็นเนื้อหนังไว้ด้วยกัน ทั้งสองอำนาจจะไม่ลงรอยกันเป็นอันขาด  หนึ่งในนั้นจะต้องเข้าไปในชีวิตของคุณ   พระเจ้าได้ทรงบอกเราด้วยวิธีที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆด้วยพระปัญญาของพระองค์  สิ่งที่ชีวิตของเราต้องการก็คือชีวิตของลูกแกะเมษโปดก หรือเหมือนดังที่เปาโลพูดไว้ว่าพระทัยของพระคริสต์  ซึ่งก็คือความคิดของลูกแกะเมษโปดก

        เมื่อผมตรวจสอบพระคัมภีร์ ผมจึงได้ประจักษ์ชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่า พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเป็นคำสอนเกี่ยวกับลูกแกะเมษโปดก (Lamb) แม้แต่ในที่ที่ไม่ได้ใช้คำว่า “ลูกแกะ” (lamb)   คำว่า “ลูกแกะ” ถูกนำมาใช้กับพระเยซู  28 ครั้งหรือ 4 x 7 ครั้งในวิวรณ์เพียงเล่มเดียว   นอกจากนี้คำว่า “ลูกแกะ” ก็ถูกนำมาใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายที่เลียนแบบลูกแกะเมษโปดก

       คุณลองอ่านพระคัมภีร์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบและใคร่ครวญดู คุณจะเห็นความคิดของลูกแกะเมษโปดกในทุกที่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ  คุณสามารถเริ่มกับ “ผู้เป็นสุข” ที่องค์ผู้เป็นเจ้าพูดถึงคุณสมบัติ อย่างเช่น ความอ่อนสุภาพและใจบริสุทธิ์  ใจบริสุทธิ์นั้นตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง ลูกแกะเมษโปดกจะตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง ถ้าคุณใคร่ครวญคุณสมบัติอื่นๆ เช่น การเป็นคนยากจนฝ่ายวิญญาณ[45]  คุณจะเห็นว่าแต่ละอย่างนั้นให้ภาพคุณสมบัติของลูกแกะเมษโปดก

       พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านคิดว่าเราเป็นใคร”  และเปรโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (มัทธิว 16:15-16)  ในพระคัมภีร์  “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นชื่อเรียกของพระคริสต์ผู้เป็นพระเมสสิยาห์  จากสิ่งที่เปโตรรู้เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ พระเยซูจึงบอกเปโตรถึงความหมายที่กว้างไกลของความจริงนี้ที่ครอบคลุมถึงคริสตจักร ราชอาณาจักร แดนคนตาย สวรรค์และโลก  แต่หลังจากที่ให้ภาพที่ใหญ่โตของบุตรมนุษย์กับเปโตร  ในสองสามข้อถัดมาพระเยซูก็ทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่าพระองค์จะต้อง “ทุกข์ทรมานหลายประการจากพวก​ผู้ใหญ่ และ​พวก​มหา​ปุโรหิต​และ​พวก​ธรรมาจารย์ จน​ต้อง​ถึง​ถูก​ประหาร​ชีวิต แต่​ใน​วันที่​สาม​พระ​องค์​จะ​ทรง​ถูก​ชุบ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​ใหม่​” (ข้อ 21 ฉบับ 1971)  นี่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับความเข้าใจของชาวยิวเรื่องพระเมสสิยาห์  เปโตรท้วง[46]พระเยซูว่า “อย่า​ให้​เป็น​เช่น​นั้น องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า!” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จง​ไป​ให้​พ้น เจ้า​ซา​ตาน เจ้า​เป็น​เครื่อง​กีด​ขวาง​เรา”  เปโตรไม่เข้าใจว่าพระเยซูคือลูกแกะเมษโปดกและไม่เข้าใจความคิดของลูกแกะเมษโปดก  ในความคิดแบบเนื้อหนังนั้นสิ่งร้ายเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นกับพระเยซูเป็นอันขาด  แต่มันจะต้องเกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่จะเกิดขึ้นกับลูกแกะทั้งหลาย

      คุณลองคิดถึงลูกแกะดู มันมีชีวิตอยู่เพื่อตายแท้ๆ  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบูชาบนแท่นบูชา หรือจะเป็นอาหารให้คุณกิน  เนื้อหลักของคนในตะวันออกกลางก็คือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะ ไม่ใช่เนื้อวัวหรือเนื้อไก่   นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเที่ยวตะวันออกกลางเจอสิ่งนี้ด้วยตัวเอง  พวกเขาจะกินเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะกันจนเอียน!  บางคนจะมองหาเนื้อไก่  แต่ในสมัยของพระคัมภีร์ใหม่จะไม่มีเนื้อไก่หรือเนื้อวัว  เนื้อเพียงอย่างเดียวที่กินกันก็คือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะเท่านั้น

         คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดกได้ทุกที่ในพระคัมภีร์ใหม่  หลักการของความเป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร  เรื่องนี้จะเห็นได้ในคำอุปมาของพระองค์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ถ้าคุณได้รับเชิญให้ไปทานอาหารเย็นก็จงอย่าตรงดิ่งไปยังโต๊ะอันมีเกียรติของแขกสำคัญ (ลูกา 14:7-11)  ในประเทศอังกฤษจะมี “โต๊ะของแขกผู้ใหญ่” ในงานเลี้ยงของโรงเรียน ครูใหญ่และบรรดาครูทั้งหลายจะนั่งที่โต๊ะของแขกผู้ใหญ่ จากนั้นก็เป็นโต๊ะของตำแหน่งที่ลดหลั่นลงไป  ถัดจากโต๊ะของแขกผู้ใหญ่ก็เป็นโต๊ะของคนระดับสูง แล้วก็ระดับต่ำลงมา  คนที่ไม่สำคัญจะนั่งท้ายสุดของห้องงานเลี้ยง  พระเยซูบอกเราไม่ให้ตรงรี่ไปที่โต๊ะอันมีเกียรติแม้เราจะคิดว่าเราจะคู่ควรกับที่ตรงนั้นก็ตาม  แต่ให้เราตรงไปที่นั่งต่ำสุด[47] 

       พระเยซูไม่ได้กำลังสอนจรรยามารยาทที่ดีกับเรา แต่กำลังสอนสิ่งที่เกี่ยวกับความคิดของลูกแกะเมษโปดกซึ่งก็คือพระทัยของพระคริสต์  ถ้าคุณสังเกตดูฟีลิปปี 2:5-8 คุณจะไม่เห็นอะไรที่มาจากพันธกิจของพระเยซู  ไม่มีการกล่าวถึงคำสอนของพระองค์  การอัศจรรย์ของพระองค์ หรือการรักษาโรคของพระองค์  มีเพียงสิ่งเดียวที่กล่าวถึงก็คือพระองค์ทรงลงไปต่ำลงและต่ำลงด้วยการเชื่อฟังพระบิดาอย่างทั้งหมด และลงไปสุดจนถึงความตายบนกางเขน  คุณไม่สามารถจะลงไปต่ำกว่านี้ได้อีก  พระเยซูทรงเป็นเหมือนกับน้ำที่ไหลลงไปสู่จุดต่ำสุด  พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะนำคุณไปในทิศทางเดียวกันนี้  ถ้าคุณยกตัวเองขึ้น น้ำก็จะไหลไปจากคุณ  ถ้าคุณยกย่องตัวเอง พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะหายไปจากคุณ  การที่จะมีฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นคุณจะต้องลงไปสู่จุดต่ำสุด

     บางทีอาจไม่มีอัครทูตคนใดที่เข้าใจหลักการนี้ได้ดีเท่าเปาโล  หลักการของลูกแกะเมษโปดกจะเห็นได้ในจดหมายของเขาทุกฉบับ  เปาโลกล่าวว่า “​ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็น​แกะ​ที่จะ​เอา​ไป​ฆ่า” (โรม 8:36 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพระเยซู มันจึงเกิดขึ้นกับเราเช่นเดียวกัน   เปาโลตายทุกวัน (1 โครินธ์ 15:31)[48]  เราจะต้องมีจิตใจและท่าทีอย่างเดียวกันกับพระคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)[49]  เมื่อเราลงไปที่จุดต่ำสุดเหมือนพระเยซู นั่นแหละพระเจ้าก็จะทรงยกคุณขึ้น หากคุณสามารถเข้าใจหลักการนี้  คุณก็จะรู้เคล็ดลับฤทธิ์เดชของลูกแกะเมษโปดก

     เพราะ​ว่า​สำ​หรับ​ข้าพ​เจ้า การ​มี​ชีวิต​อยู่​ก็​เพื่อ​พระ​คริสต์ และ​การ​ตาย​ก็​ได้​กำ​ไร (ฟีลิปปี 1:21) เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมไม่เข้าใจสิ่งที่เปาโลหมายถึงจริงๆ ความหมายเดียวที่ผมคิดได้ด้วยความเข้าใจพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็คือ ทั้งชีวิตของผมมีเพื่อพระคริสต์  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลกำลังพูดในบริบทนี้  เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์นั้นจริงแน่นอน แต่ว่าเป็นพระคริสต์แบบไหนหรือ?  หากความเข้าใจว่าพระคริสต์ของคุณเป็นพระคริสต์ที่ทรงสิริ  เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ และองค์เจ้านายเหนือบรรดาเจ้านายแล้วละก็  นั่นจะเป็นแนวคิดถึงพระคริสต์อย่างผู้พิชิต  มันก็เข้ากับความคิดของเราได้ดีเพราะว่าตอนนี้เราสามารถจะมีชีวิตที่เป็นพี่น้องกับกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์!  นั่นคือพระคริสต์แบบที่เราพบในหนังสือคริสเตียนทั้งหลายที่แพร่หลายอยู่ในอเมริกาเหนือ  เราเป็นพี่น้องของกษัตริย์!  มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังจะยึดถือคำกล่าวเช่น เพราะ​ว่า​สำ​หรับ​ข้าพ​เจ้านั้น การ​มี​ชีวิต​อยู่​ก็​เพื่อ​พระ​คริสต์ และบิดเบือนมันให้เป็นข้อความที่สอดคล้องกับมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง

        ฟีลิปปี 2 ไม่ได้ให้ภาพพระเยซูว่าเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์  แต่เป็นผู้ที่ถ่อมพระองค์ที่กางเขน  ความคิดของคุณที่มีกับพระคริสต์จะควบคุมวิถีที่คุณดำเนินชีวิตและวิธีที่คุณมองชีวิตในฝ่ายวิญญาณ  คุณจะเห็นพระองค์ที่ทรงสิริ พระคริสต์ผู้พิชิต  หรือไม่ก็จะเห็นพระองค์เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง  ตรงนี้หลักคำสอนจะมีผลโดยตรงกับวิธีคิดของคุณและวิถีที่คุณดำเนินชีวิต

               ผมเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้พิชิตเสียส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ  เมื่อเราอ่านวิวรณ์ เราไม่อยากจะพูดถึงลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าแต่จะพูดถึง “กษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์” ซึ่งเป็นคำที่หาได้ยากในวิวรณ์ (มีปรากฏสองครั้งเมื่อเทียบกับ 28 ครั้งที่พูดถึงพระเยซูว่าเป็น “พระเมษโปดก”)  เราไม่ได้เข้าใจถึงสิ่งเกี่ยวข้องกัน  พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นลูกแกะเมษโปดก  และถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ได้เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์  ถ้าพระคริสต์ทรงเป็นเป้าหมายและแรงจูงใจของชีวิตคุณ แต่พระคริสต์แบบไหนหรือที่เรากำลังพูดถึง?

     เปาโลกล่าวว่า เพราะ​ว่า​สำ​หรับ​ข้าพ​เจ้านั้น การ​มี​ชีวิต​อยู่​ก็​เพื่อ​พระ​คริสต์ และ​การ​ตาย​ก็​ได้​กำ​ไร  ประเดี๋ยวก่อน  ความตายคือกำไรหรือ? ความตายไม่ได้หมายถึงการสูญเสียทุกสิ่งหรอกหรือ?  ถ้าคุณเสียแขนหรือขา คุณก็ยังมีชีวิตอยู่  แต่ความตายจะหมายถึงการสูญเสียทุกๆสิ่ง

        แต่กับเปาโลแล้วการสูญเสียทุกสิ่งก็คือการได้กำไรล้วนๆ  และเปาโลหวังได้กำไรอะไรหรือ?  เขาต้องการจะได้พระคริสต์ (ฟีลิปปี 3:8)[50]  พระคริสต์กลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของผมที่ผมจะพูดได้ว่า “พระคริสต์ทรงเป็นของผม”  เหมือนกับว่าผมมีป้ายชื่อของผมติดอยู่ที่ตัวพระองค์อย่างนั้นหรือ?  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลหมายความอย่างแน่นอน  การได้พระคริสต์ในบริบทของฟีลิปปีก็คือการเป็นเหมือนพระองค์อย่างสมบูรณ์และตายกับพระองค์  เมื่อเราฟื้นขึ้นจากความตาย เราจะเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างสมบูรณ์และเราจะได้พระคริสต์ “เรา​จะ​เป็น​เหมือน​อย่าง​พระ​องค์ เพราะ​ว่า​เรา​จะ​เห็น​พระ​องค์​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​เป็น​อยู่​นั้น” (1 ยอห์น 3:2)

        มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังต้องการจะเป็นเจ้าของพระคริสต์เหมือนเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของเขา  มันเป็นความรักที่น่ากลัวที่คิดจะครอบครองใครสักคน  มีพ่อแม่ชาวจีนมากมายที่เห็นลูกๆเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพวกเขา  นี่เป็นความคิดแบบเนื้อหนังที่ไม่ใช่ความคิดของลูกแกะเมษโปดก  ลูกแกะเมษโปดกเป็นผู้ที่ให้ตัวเองทั้งหมด  เราจะเห็นท่าทีนี้อีกครั้งในคำสอนของพระเยซูในลูกา 14:12-14  เป็นการให้โดยไม่แสวงหาสิ่งใดตอบแทน  เมื่อมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังให้นั้นมันจะเป็นการลงทุนเพื่อการได้กำไรในอนาคต  แต่คนฝ่ายวิญญาณให้และไม่ได้คิดถึงมัน  ไม่ได้ให้มือขวาของเขารู้ว่ามือซ้ายกำลังทำอะไร  ความคิดของลูกแกะเมษโปดกจะมีให้เห็นอยู่ทั่วพระคัมภีร์

 

เมื่อข้าพเจ้าอ่อนแอ  ข้าพเจ้ากลับเข้มแข็ง

            พระคริสต์คือรูปเหมือน[51]ของพระเจ้า ทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์  ไม่ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรพระเมษโปดกก็เป็นอย่างนั้น  นี่แหละที่ศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแก้ไม่ตกเพราะมันเห็นความแตกต่างระหว่างพระเจ้าพระบิดากับพระเจ้าพระบุตร  พระบิดาทรงเข้มงวดแต่พระบุตรทรงมีความรัก  พระบิดาเป็นผู้ส่งพระบุตรแต่พระบุตรเป็นผู้ที่เสียชีวิต  ความจริงในพระคัมภีร์มีอยู่ว่า พระยาห์เวห์พระบิดาทรงเป็นอย่างไรพระบุตรก็ทรงเป็นอย่างนั้น   แม้ว่าพระยาห์เวห์จะเป็นผู้ที่ประทับบนพระที่นั่ง แต่คุณก็อาจพูดได้เช่นกันว่าพระเมษโปดกประทับบนพระที่นั่งเพราะทั้งสองพระองค์ทรงร่วมครองลักษณะเดียวกัน   พระเมษโปดกจึงทรงครองลักษณะพระยาห์เวห์และพระยาห์เวห์จึงทรงครองลักษณะพระเมษโปดกในแง่นี้เพราะว่าพระลักษณะของทั้งสองพระองค์เหมือนกัน  เราไม่จำเป็นจะต้องโต้แย้งเรื่องความเป็นพระเจ้าและการดำรงอยู่ก่อน  สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ที่ว่าเราดำรงอยู่ก่อนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเรามีลักษณะเหมือนกับพระเมษโปดกหรือไม่  ดังนั้นเมื่อผมได้พระคริสต์ผมก็ได้พระยาห์เวห์ด้วย  เพราะพระคริสต์เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระยาห์เวห์  และเมื่อผมเป็นเหมือนพระคริสต์ผมก็เป็นเหมือนพระยาห์เวห์  คำสอนของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์กับคำสอนของพระคัมภีร์

          เราไม่ต้องโต้แย้งกันว่าใครเป็นใหญ่กว่าและใครที่เล็กน้อยที่สุด เพราะในความคิดของลูกแกะเมษโปดกแล้วผู้เล็กน้อยที่สุดก็คือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด  และผู้ที่เป็นคนท้ายก็คือผู้ที่เป็นคนต้น  นี่นำเรามาถึงหลักปฏิบัติที่สำคัญ  เราบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่ที่สุดและเราเป็นผู้เล็กน้อยที่สุด  แต่ให้จำไว้ว่าระบบและวิธีคิดของพระเจ้าก็คือผู้เล็กน้อยที่สุดคือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด  เพื่อให้คำสอนของพระองค์เองเป็นจริง พระยาห์เวห์จะต้องเป็นผู้เล็กน้อยสุดเพื่อจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่สุด  พระเยซูจะต้องเป็นผู้ที่เล็กน้อยที่สุดเพื่อจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด  และคนท้ายจะเป็นคนต้น  นั่นเป็นเหตุที่พระเยซูจึงทรงเป็น “คนต้นและคนท้าย”[52] (วิวรณ์ 1:17) ที่แตกต่างกัน  คนต้นและคนท้ายไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันแต่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน คุณจะเป็นใหญ่ที่สุดเมื่อคุณเป็นคนเล็กน้อยที่สุด  ถ้าคุณทำให้ตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด คุณก็จะเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุด

        เมื่อคุณเข้าใจหลักการนี้ซึ่งทำงานในพระเยซูเหมือนกับที่ทำงานในพระยาห์เวห์  คุณจะประทับใจที่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดประทับบนพระที่นั่งทรงเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในเวลาเดียวกัน  มีการกล่าวถึงสองครั้งว่าพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย แทนที่จะเป็นพระเมษโปดก (วิวรณ์ 7:17, 21:4)[53]  พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งทรงใช้เวลาเสด็จมาหาคุณผู้ที่ไม่สำคัญอะไรเพื่อจะทรงเช็ดน้ำตาของคุณ  สรรเสริญพระเจ้า!  พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น  สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งเราเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเรานั้นก็ดำเนินอยู่แล้วในสวรรค์  การดำรงอยู่ก่อนและคำถามอื่นๆเกี่ยวกับการดำรงอยู่นั้นไม่สำคัญเลย  คุณและผมไม่ได้ดำรงอยู่ก่อน  กระนั้นพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนก็เสด็จมาเช็ดน้ำตาของคุณ

         เราจะเห็นหลักการที่ทำงานไปพร้อมๆกันนี้ใน 2 โครินธ์ 12:10   “เพราะ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​อ่อน​แอ​เมื่อ​ใด ข้าพ​เจ้า​ก็​จะ​เข้ม​แข็ง​มาก​เมื่อ​นั้น” เปาโลไม่ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยอ่อนแอ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนมาเข้มแข็ง” ตามความคิดแบบเนื้อหนังของเรา เราจะคิดว่าเราสามารถเอาชนะความอ่อนแอของเราได้ด้วยความพยายามอย่างมากของเราและความตั้งใจที่จะเข้มแข็ง   แต่หลักการฝ่ายวิญญาณมีอยู่ว่าผมจะเข้มแข็งก็เมื่อผมอ่อนแอ  นี่คือหลักการที่ทำงานไปพร้อมๆกัน และยังเป็นจริงในทางกลับกันด้วยคือเมื่อคุณพยายามจะเข้มแข็งคุณก็จะเป็นคนอ่อนแอ   แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการฝ่ายวิญญาณ คุณก็จะชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของคุณเพราะนั่นเป็นเวลาที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะได้ถูกสำแดงให้เห็นในคุณ

         เมื่อผมออกไปสอนเหมือนครั้งนี้  บางครั้งผมจะรู้สึกหมดแรงที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากการสอนครั้งก่อน ผมจะขอบคุณพระเจ้าและพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ด้วยความอ่อนแอและเหนื่อยล้า  ขอทรงสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เถิด”  ผมไม่อยากรอจนกระทั่งผมแข็งแรง  สดชื่น และมีสุขภาพดีแล้วจึงค่อยมาสอน  ผมยินดีที่จะคลานขึ้นนั่งบนเก้าอี้นี้และพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่นี่แล้ว ขอพระองค์ทรงรับช่วงเถิด”  และพระเจ้าก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง  พระองค์ได้ทรงสอนหลักการของทำงานไปพร้อมๆกันของความอ่อนแอและฤทธิ์เดชกับผมมาเป็นเวลานาน

         ยี่สิบกว่าปีมาแล้วเมื่อผมแข็งแรงกว่านี้มาก  ผมรู้สึกอ่อนแอมากช่วงใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะเทศนาในการประชุมขนาดใหญ่ที่มหาวิทยาลัยเวสเทอร์นออนแทริโอ[54] (ในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอ) ผมมีตารางที่แน่นมากจึงเหนื่อยจริงๆจนผมไม่สามารถลุกจากเตียงได้  ผมพยายามและพยายามแต่ก็ลุกไม่ขึ้น  ผมพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของผม ทีมผู้จัดประชุมได้จัดให้ผมพักที่โรงแรมในมหาวิทยาลัย ช่วงบ่ายผู้นำของนักศึกษามาเยี่ยมผมและพูดคุยกันถึงการประชุมใหญ่ในช่วงค่ำ  ทุกคนที่จะมาการประชุมใหญ่นี้ต่างก็คาดหวังว่าผมจะเทศน์ในประชุมนี้   ฉะนั้นทีมผู้จัดประชุมจึงเริ่มเป็นห่วงเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมลุกจากเตียงไม่ได้แม้จะพยายามจนสุดกำลังแล้วก็ตาม  พวกเขายืนรอบเตียงของผมและดูว่าจะทำอย่างไรดี  การประชุมก็ได้ประกาศไปทั่วแล้วและหลายคนก็กำลังเตรียมจะมากัน  ทีมผู้จัดประชุมมีความกังวลแต่ผมพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้จักพระเจ้าของผมดี  ขอคุณแค่อธิษฐานเผื่อผม  ผมจะไปที่นั่นในตอนค่ำ”  พวกเขาดูจะกังขาในเรื่องนี้

        เมื่อถึงเวลาประชุม พวกเขาก็มาเยี่ยมผมอีก  พวกเขาต่างก็มีสีหน้าวิตกเพราะในนาทีสุดท้ายเช่นนี้พวกเขาจะหานักเทศน์ที่ไหนมาแทนได้ทัน?  ผมพูดกับพวกเขาว่า “คุณคอยดูฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน”  แล้วตอนนั้นเองพวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อผมยืนขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเดินตรงไปยังห้องประชุมเพื่อเทศนา  ผมเทศนาจบได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย  อะไรคือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีความมั่นใจหรือ?   ด้วยตัวของผมแล้วผมทำอะไรไม่ได้เลยแต่ผมมีความมั่นใจว่าในความอ่อนแอของผมนั้น  ฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้าจะถูกสำแดงในเวลาที่เหมาะสม  เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ผมนอนอยู่บนเตียงจนถึงเวลาประชุม  ด้วยสาเหตุนี้ผมจึงลุกขึ้นไม่ได้ไม่ว่าผมจะพยายามสักแค่ไหน  มันเหมือนกับว่าฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้ากำลังหยุดผมไว้และไม่ว่าผมจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็เอาชนะไม่ได้ เรื่องราวทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์เพราะหลังจากเทศนาและเมื่อผมกลับถึงบ้าน  ผมสลบไปเลยและนอนยาวจนถึงเช้า  ผมหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างสุดๆจากการเที่ยวตระเวนไปในภาคตะวันตกของแคนาดาที่ยาวนาน  แต่การรู้หลักการที่ฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้ามีเต็มขนาดในความอ่อนแอนั้นทำให้ผมมีสันติสุขอย่างแท้จริง ผมไม่สงสัยเลยกับการที่องค์ผู้เป็นเจ้าจะประทานกำลังให้ผมได้ทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้ผมทำเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

     คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดกซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญมากของชีวิตได้ทั่วพระคัมภีร์ใหม่ แม้แต่ในที่ที่คุณไม่คาดคิด  พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นอาหารของชีวิต (ยอห์น 6:35, 48) แต่พระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา...” (ยอห์น 6:54, 56) อาหารเกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อและเลือดหรือ? ถ้าคุณไม่เห็นลูกแกะเมษโปดกในยอห์นบท 6 คุณก็จะไม่เข้าใจความเชื่อมต่อกันของอาหารและกับเนื้อและเลือด มีหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมต่อกันระหว่างยอห์นบท 6 กับพิธีมหาสนิท ในเทศกาลปัศกาคนจะกินเนื้อของลูกแกะปัศกา  และพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าจะทรงให้ชีวิตของพระองค์ “เพื่อ​ชีวิต​ของ​โลก​” (ยอห์น 6:51)[55] คุณจะเห็นลูกแกะเมษโปดกอยู่ทุกที่ในพระคัมภีร์

            ความอ่อนแอและความเข้มแข็งอาจเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่การเชื่อมต่อไม่ได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติในแง่ว่าอันหนึ่งจะไม่ทำให้เกิดอีกอันหนึ่งอย่างอัตโนมัติ  ถ้าคุณอ่อนแอคุณก็จะไม่เข้มแข็งอย่างอัตโนมัติ  เปาโลกล่าวว่า  “ถึง​แม้​ว่า​สภาพ​ภาย​นอก​ของ​เรา​กำ​ลัง​ทรุด​โทรม​ไป แต่​สภาพ​ภาย​ใน​นั้น​ก็​ได้​รับ​การ​เปลี่ยน​ใหม่​ทุกๆวัน” (2 โครินธ์ 4:16 ฉบับมาตรฐาน)  สภาพภายในของคุณได้รับการเปลี่ยนใหม่หมายความว่า คุณจะกลายเป็นคนที่แข็งแรงขึ้นในฝ่ายวิญญาณเมื่อคุณกลายเป็นคนที่อ่อนแอลงในฝ่ายร่างกาย  แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติในเรื่องนี้  ร่างกายของเราทุกคนจะอ่อนแอลงเมื่อเราแก่ตัวลง   กายภายนอกจะเสื่อมโทรมไปแต่กายภายในจะไม่เข้มแข็งขึ้นอย่างอัตโนมัติทุกวัน  ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติ  เพราะถ้ามีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติทุกคนก็คงจะกลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาหรือเธอแก่ตัวลงเรื่อยๆ  ฉะนั้นผู้ที่อายุ 80 ปีในคริสตจักรก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากที่สุดและเราก็คงจะนั่งอยู่แทบเท้าของผู้อาวุโสเหล่านั้นเมื่อพวกเขาอธิบายพระคำของพระเจ้ากับเรา  ถ้าการเชื่อมต่อกันเป็นอย่างอัตโนมัติละก็ แม้แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณยิ่งขึ้นๆเมื่อเขาแก่ตัวลง   ไม่มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติทั้งกับคริสเตียนหรือกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน

         ลูกแกะเมษโปดกอยู่กลางพระที่นั่งตามหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ถ้าความคิดของลูกแกะเมษโปดกรวมถึงชีวิตของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้เป็นจริงในชีวิตของคุณ ประสบการณ์จากความอ่อนแอไปสู่ความเข้มแข็งก็จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ  ขณะเมื่อผมกำลังนอนอยู่บนเตียงในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอ  ผมรู้ว่าผมจะต้องยอมให้ชีวิตของลูกแกะเมษโปดกเป็นศูนย์กลางของชีวิตผม เพราะสำหรับผมแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก  นี่จะต้องเป็นหลักสำคัญในชีวิตของผม  เมื่อชีวิตของลูกแกะเมษโปดกทำงานอยู่ในผมทุกสิ่งก็เป็นไปได้ ผู้นำนักศึกษาดูสภาพของผมแล้วเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะฟื้นตัวทันเวลาประชุม ในท้ายที่สุดพวกเขาอาจได้เรียนรู้จากการสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมบนเตียงได้ดีกว่าการได้ยินคำเทศนาของผมหลังจากนั้น  เพราะพวกเขาได้เห็นคำเทศนาที่มีชีวิตด้วยตาของพวกเขาเอง  สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้  คือเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องประชุมเพื่อจะเทศนานั้นดูยังกับว่าสุขภาพของผมสมบูรณ์ดี  นี่สร้างความแปลกประหลาดใจที่เห็นได้จากสีหน้าของพวกเขา

          เมื่อคุณแก่ตัวลงเรื่อยๆ ร่างกายของคุณจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ  คุณจะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากขึ้น  แต่นั่นจะไม่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ  คุณจะต้องดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ นี่คือเหตุที่เราจึงต้องการพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ในเรา  พระวิญญาณไม่ใช่อำนาจชักจูงบางอย่างภายนอกแต่เป็นการทรงอยู่ของพระยาห์เวห์เองในชีวิตของเรา

 

ตัวอย่างชีวิตจริง

            ครั้งก่อนที่ผมแบ่งปันกับพวกคุณถึงประสบการณ์ของพวกเราที่ไชเซิลเฮิร์สท์[56]ในมณฑลเค้นท์  ผมไม่ได้บอกพวกคุณว่าหลังจากประสบการณ์นั้นก็ได้เกิดการปะทุฝ่ายวิญญาณขึ้นในคริสตจักร  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระวิญญาณของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของคุณและเข้ามาในคริสตจักรด้วย คริสตจักรเกิดการ “ปะทุ” ในแง่ว่าเราเคยมีสมาชิกราว 60 คนในคริสตจักรซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในการประชุมนี้ เมื่อเรากลับไปที่กรุงลอนดอน ผู้เข้าร่วมประชุมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นแต่ละอาทิตย์จาก 60 เป็น 80 เป็น 100 เป็น 120  ต่อมาไม่นานเราก็ต้องหาห้องประชุมที่ใหญ่ขึ้นเพราะห้องนมัสการเล็กๆของวายเอ็มซีเอที่เราใช้อยู่นั้นแค่ 60 คนก็แน่นห้องแล้ว เราจึงต้องรีบมองหาที่อื่นเพราะมีคนต้องยืนนมัสการอยู่ด้านนอก เราได้ห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในแถวนั้นแต่ไม่นานที่นั่นก็คับแคบลงอีก เพราะในที่สุดเรามีหลายร้อยคน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในสองสามเดือนหลังจากที่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของเราและอยู่ด้วยกับเรา หลังจากนั้นพระองค์ทรงอยู่ด้วยในชีวิตของคนเหล่านั้นเป็นเวลานานมากแค่ไหนหรือ  ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้

         เคล็ดลับของฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะพบในชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ทำงานโดยพระวิญญาณของพระเจ้า  นี่ไม่ได้เป็นทฤษฎีแต่เป็นสิ่งที่ต้องมีประสบการณ์  ถ้าคริสตจักรที่คุณกำลังนำนั้นไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยหรือกำลังจะสูญเปล่า คุณอาจจะพอใจเพียงแค่รักษาสภาพที่เป็นอยู่และก็เกาะติดกับคนที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว  สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับคริสตจักรลอนดอนของเราก็คือว่าเราไม่ได้ทำการประกาศ หรือเผยแพร่ หรือแจกใบปลิวเลย  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้นแต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย  คนใหม่ๆต่างหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักรโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง  ทุกวันอาทิตย์คริสตจักรจะแน่นขนัดและยังล้นออกมานอกห้องประชุม  ในที่สุดเราก็ได้ห้องประชุมใหญ่ที่สุดที่หาได้แถวนั้นซึ่งสามารถจุที่นั่งได้ถึงสามหรือสี่ร้อยคน  เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทำงาน ผู้คนก็จะเข้ามาคริสตจักรโดยที่คุณไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง  เราต้องมีชีวิตของพระวิญญาณและชีวิตของลูกแกะเมษโปดก  เพราะสำหรับผม การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์

         ผมกำลังตริตรองอยู่ว่าผมควรจะแบ่งปันสิ่งต่อไปนี้จากประสบการณ์ของตัวผมเองหรือไม่  แต่ผมได้ตรวจสอบกับองค์ผู้เป็นเจ้าแล้วว่าเป็นสิ่งดีที่จะแบ่งปันเรื่องนี้

         ก่อนที่ผมจะมารับใช้ในลิเวอร์พูล  ผมได้ทำการประกาศเยอะมาก  เคาะประตูตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เพื่อเป็นพยานกับผู้คน  เวลาของผมส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการศึกษาพระคำของพระเจ้า  ใช้เวลาขลุกอยู่กับพระคำและผมทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปีมาก  ผมจะไปหาที่เงียบสงบที่ทินเดลเฮาซ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์[57]ที่เป็นศูนย์ของการค้นคว้าพระคัมภีร์  ที่นี่เองผมได้พบปะกับหลายคนที่ดีเยี่ยมรวมถึง เจมส์ ดันน์[58] และศิษยาภิบาลไดอิทเทอร์[59]ที่กำลังทำปริญญาเอกที่นั่น  มันเป็นช่วงเวลาของการสงบนิ่งและการศึกษาพระคำของพระเจ้า

     หลังจากนั้นผมก็ไปลิเวอร์พูลเพื่อดูแลคริสตจักรที่นั่นซึ่งสวนกับความชอบของผม ผมไม่ได้อยากจะไปลิเวอร์พูลเลยเพราะมันเป็นเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในชีวิต แล้วองค์ผู้เป็นเจ้าทรงส่งผมมาที่ไหนนี่?  มันเป็นเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต!    ตอนนี้ลิเวอร์พูลสะอาดขึ้น แต่เมื่อหลายปีก่อนเป็นเมืองที่เต็มด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพของอากาศอย่างที่มีในปัจจุบันนี้  และผมก็ได้โรคหอบหืดมาด้วยเหตุนี้

       งานนี้เป็นงานศิษยาภิบาลงานแรกของผมและเป็นการรับใช้คนกลุ่มเล็กๆ  คำว่า “กลุ่ม” ก็ไม่ใช่คำที่ถูกนักเพราะมีเพียงแค่ห้าหรือหกคนในคริสตจักร  นี่เป็นกระจุกคนที่น่าสงสารที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน  มีอย่างเดียวที่พวกเขาเห็นลงรอยกันก็คือการเชิญผมมาที่นั่น พวกเขาเชิญผมมารับใช้ที่นั่นเพราะหมดที่พึ่งแล้วจริงๆ

       นอกจากนี้แล้วยังมีความตกใจหลายอย่างที่รอผมอยู่ในลิเวอร์พูล  เมื่อพวกเขาพาผมไปดูอาคารคริสตจักรที่อยู่ในย่านของคนจีนซึ่งเหมือนกับ “แท่งบางๆ” ในกำแพงในความหมายว่าเป็นตึกทั้งแถว และคริสตจักรพระกิตติคุณ[60](ที่เรียกกัน)ก็เป็นเสี้ยวเล็กๆของตึกแถว  เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวคริสตจักรผมก็ต้องตกใจ  ผมไม่เคยเห็นที่ไหนจะสกปรกอย่างนี้เลยในชีวิตและผมก็ไม่ได้พูดเกินความจริงด้วย  ผนังควรจะเป็นสีขาวแต่มันกลับเป็นสีเหลืองคล้ำที่เยิ้มด้วยคราบน้ำมันหนาเตอะจากการทำอาหารซึ่งไม่รู้ว่าทำมานานแค่ไหนแล้ว  การทำอาหารจีนนั้นต้องใช้กระทะใบใหญ่ๆและน้ำมันเยอะๆ  และเมื่อคุณใช้ไฟแรงๆควันก็จะลอยเป็นลำขึ้นไป  รอยน้ำมันก็จะไหลย้อยเป็นทางลงมาถึงด้านล่าง  ผมคิดว่า “นี่คริสตจักรหรือ?”  เราน่าจะประชุมกันบนถนนข้างนอกจะดีกว่าอีก!  แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะตามมา  ผมไปที่ด้านหลังของคริสตจักรและมองดูห้องน้ำ โอ้โห! ถ้าคุณเห็นว่าห้องน้ำในประเทศจีนที่ว่าแย่แล้ว คุณน่าจะลองอันนี้ดู  ผมเกือบจะอาเจียนอยู่แล้ว  โถส้วมเหล่านี้เป็นสีเหลืองเขรอะตั้งแต่บนยันล่าง  ผมมองดูโถหนึ่งแล้วก็มองดูอันต่อมาแล้วก็อันต่อมา มันเหมือนกันหมดเลย ผนังห้องน้ำก็น่าขยะแขยงพอๆกัน ผมคิดว่า “คริสตจักรแบบไหนกันนี่?”  นี่เหละคือสิ่งที่ผมเจอในการเริ่มต้นงานศิษยาภิบาลของผม

     ผมพาผู้ร่วมงานจากลอนดอนมาลิเวอร์พูลกับผม เหตุผลเดียวที่ผมพาเขามาด้วยเพื่อเป็นผู้ร่วมงานของผมก็เพราะว่าไม่มีใครต้องการชายที่ยากจนคนนี้ คริสตจักรจีนในลอนดอนปฏิบัติกับเขาในฐานะคนรับใช้ของศิษยาภิบาล เขาถูกใช้ให้ไปทำธุระสารพัด  ผมคิดว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างน่าอดสูมากกว่า เมื่อเขาได้ยินว่าผมกำลังจะไปลิเวอร์พูล เขาก็เลยมาถามผม ผมพูดกับเขาว่า “คุณอยากมากับผมไหม?” เขาบอกว่า “อยากสิ!” เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะถูกต้อง ผมจึงต้องพูดภาษาอังกฤษแบบเดียวกับเขาจนสุดท้ายเกือบเป็นผลให้ผมพูดภาษาอังกฤษอย่างไม่ถูกต้องไปด้วย ถ้าผมจะพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง เขาก็จะไม่เข้าใจผม  ผมจึงต้องพูดแบบเดียวกับเขา ในท้ายที่สุดเราก็เข้าใจกันได้ดีด้วยภาษาอังกฤษ   เขามาจากฮ่องกงและตอนนั้นผมก็พูดภาษากวางตุ้งไม่ได้ แต่เราก็สื่อสารกันรู้เรื่อง  เขาเป็นพี่น้องที่ดีและถ่อมใจ  เขาเทศนาและนำศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้ ผมจึงถามเขาว่าทำอะไรได้บ้าง? สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ผมไปเยี่ยมเยียนคนได้” ผมบอกเขาว่าได้เลย เขาจะไปเยี่ยมเยียนย่านร้านอาหารจานร้อนของคนจีนและพูดคุยกับผู้คนที่นั่น  ดังนั้นมันจึงเป็นพันธกิจที่ดีสำหรับเขา

     เรากำลังมองดูสถานที่สกปรกแห่งนี้ในลิเวอร์พูลแล้วมองหน้ากัน โดยนิสัยแล้วพี่น้องคนนี้เป็นคนสะอาด ผมพูดกับเขาว่า “เราจะทำยังไงกันดี?”  เขาบอกว่า “ผมว่าเราคงต้องขัดล้างที่นี้” ผมพูดว่า “คุณพูดถูก และดูๆแล้วก็ต้องเป็นคุณกับผมใช่ไหม?” เราไม่อยากจะดึงคนอื่นเข้ามาทำเรื่องนี้  ตอนนั้น เฮเลนต้องอยู่กับบ้านเพื่อดูแลลูกที่ยังเล็ก ผมจึงไม่ได้ให้เธอมาทำด้วย  ที่จริงผมไม่ได้เอ่ยอะไรถึงสถานที่ๆสกปรกนี้กับเธอเลยเพราะเกรงว่าจะทำให้เธออยากกลับไปลอนดอน ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะลงมือทำงาน  ผมบอกกับพี่น้องผู้นี้ว่า “เจมส์  คุณล้างผนังด้านนอกดีไหม?” ผมจัดให้ตัวเองล้างห้องน้ำซึ่งเป็นงานที่ผมไม่เคยคิดจะทำเลยในช่วงวัยที่ผมมีคนรับใช้สองคนมาคอยดูแลผม ความคิดเรื่องการคุกเข่าทำความสะอาดส้วมที่น่าขยะแขยงนี้ไม่มีอยู่ในหัวของผมเลยในสมัยเยาว์วัย อันที่จริงผมขัดสิ่งสกปรกที่โถส้วมไม่ออกด้วยซ้ำ ผมพยายามใช้น้ำยาหลายอย่างแต่มันก็ไม่ต่างกันนัก จะมีก็แต่ทำให้รอยสกปรกมันจางลงบ้าง มีทางเลือกเดียวก็คือต้องใช้ฝอยขัด นี่แหละคืองานอภิบาลงานแรกของผม  ผมคุกเข่าทำความสะอาดโถส้วมสกปรกๆด้วยฝอยขัด  แค่ทำความสะอาดโถเดียวก็ใช้เวลาอยู่นานโข  เจมส์ถามผมว่า “จะให้ผมช่วยไหม?”  ผมบอกว่า “ไม่ต้องหรอก คุณตั้งใจทำความสะอาดผนังด้านนอกก็แล้วกัน”

     ที่ผมแบ่งปันสิ่งนี้กับพวกคุณผมไม่ได้ต้องการให้คุณคิดว่าผมเป็นคนดี  ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ความจริงแล้วผมต้องต่อสู้ในเรื่องนี้  แต่ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ผมเรียนรู้หัวใจของผู้รับใช้  ซึ่งก็คือหัวใจของลูกแกะเมษโปดกที่  “บุตร​มนุษย์​ที่​ไม่​ได้​มา​เพื่อ​รับ​การ​ปรน​นิบัติ แต่​มา​เพื่อ​ปรน​นิบัติ​” (มัทธิว 20:28)   นั่นเป็นบทเรียนแรกที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสอนผมว่า “นี่เป็นงานอภิบาลงานแรกของเจ้าใช่ไหม?  ถ้าเช่นนั้นก็จงเริ่มจากตรงนี้  เริ่มกับโถส้วมเหล่านี้แหละ”  ผมจำเป็นต้องรับการฝึกฝนในแบบนี้เพื่อจะเรียนรู้หัวใจของลูกแกะเมษโปดก

     เมื่อคนมาประชุมที่คริสตจักรพวกเขาก็พูดกันว่า “ที่นี่ดูสว่างขึ้นและสะอาดขึ้นมากเลย!”  พวกเขามองในห้องน้ำแล้วคิดว่าเป็นโถส้วมใหม่หมด  สถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากเดิมมากภายในอาทิตย์เดียว  แต่องค์ผู้เป็นเจ้าก็กำลังให้ถ้อยคำกับพวกเขาว่า “ชีวิตของพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนด้วย”  และองค์ผู้เป็นเจ้าก็ทำเช่นนั้นจริงๆ  องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาภายในห้าปีกว่า  เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในลิเวอร์พูลเหมือนกับที่ได้เห็นในลอนดอนที่ผู้คนเริ่มเข้ามาร่วมประชุมมากขึ้นและไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็เต็ม  

     สถานที่ประชุมมีขนาดเล็กมาก  มีสี่สิบกว่าคนก็แน่นแล้ว  และภายในระยะเวลา 18 เดือนกว่า เราก็ต้องมองหาที่ประชุมที่ใหญ่ขึ้น   เราเช่าสถานที่ของคริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ล[61]ที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเป็นคริสตจักรแองกลิคัน[62]แบบสมัยใหม่ไม่ใช่แบบโบราณ  มีเก้าอี้ที่ย้ายที่ได้ไม่ใช่แบบเป็นม้านั่งยาวๆ  มีพรมแดงปูตรงกลางจากประตูทางเข้าไปจนถึงธรรมาสน์โดยมีเก้าอี้อยู่ทั้งสองฟาก  คริสตจักรแห่งนี้สามารถบรรจุที่นั่งให้กับคนจำนวนมากและเราก็มีคนเข้ามามากขึ้นๆ  ที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยฤทธิ์เดชของพระคำของพระเจ้า

     วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเทศนาที่คริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ลและมีผู้คนนั่งอยู่ทั้งสองฟากของพรมแดง  ผมเห็นคนหนึ่งนั่งอยู่ในแถวที่สองหรือสามที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน  มีคนใหม่ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงชักนำเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร  แต่ในขณะที่ผมกำลังเทศนาอยู่  ทันใดนั้นชายคนนี้ก็พลุ่งจากเก้าอี้เหมือนถูกผลักอย่างแรงแล้วก็ล้มหน้าคว่ำบนพรมแดงที่อยู่ตรงกลาง ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่บ่อยๆ  เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?  ถ้าคุณจะตกจากเก้าอี้ คุณก็คงจะถลาไปทางเก้าอี้ด้านหน้า  แต่เขากลับล้มออกมาตรงพรมแดง  เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงาน  ชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้ว่าพรมจะบางมาก  เขาล้มหน้าคว่ำลงบนพรมโดยไม่ได้เอามือยันไว้เลย  เขาล้มลงไป!  เขาถูกผลักด้วยพลังแล้วก็พลุ่งลงตรงนั้น  เขาแน่นิ่งลงกับพื้นและที่ประชุมก็พากันตกใจ  พี่น้องผู้ชายสองสามคนมาช่วยพาเขาออกไปด้านหลังห้องประชุมและพวกเขาก็แจ้งให้ทราบในภายหลังว่าชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  คุณล้มหน้าคว่ำลงไปด้วยแรงแบบนั้นโดยไม่เจ็บตัวเลยได้อย่างไร? ผมคิดว่าองค์ผู้เป็นเจ้ากำลังสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์  ผมไม่รู้ว่าคนนี้มาจากไหนแล้วผมก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย  เขาแค่เพียงผ่านมาเยือนลิเวอร์พูล

     เมื่อคุณเผลอหลับบนเก้าอี้ หัวของคุณจะผงก เหมือนที่บางคนผงกหัวเมื่อคุณเทศนา!   ในที่สุดท้ายก็หยุดผงกและคางจะตกมาเกยกับหน้าอก แต่คุณจะไม่ล้มไปข้างหน้า  ผมใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่หลายครั้งว่าพลังอำนาจชนิดไหนหนอที่จะผลักชายกลางคนผู้นี้ให้ตกจากเก้าอี้และหน้าคว่ำลงบนพื้นโดยไม่เจ็บตัวเลย?  ผมคิดว่าคริสตจักรเริ่มที่จะเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงานในท่ามกลางพวกเรา   โดยไม่ต้องพูดถึงการรักษาโรคและเรื่องทำนองนั้น  แต่ประเด็นของผมก็คือว่าทั้งหมดนี้เริ่มต้นด้วยการล้างห้องน้ำ  เมื่อคุณเรียนรู้หัวใจและความคิดของลูกแกะเมษโปดก  คุณก็จะเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า

          วันก่อนมีผู้ร่วมงานมาบอกผมว่าพวกเขารู้สึกผิดหวังที่พันธกิจของพวกเขาดูจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย  ดูเหมือนพวกเขาไม่มีพลังอำนาจและไม่มีอะไรประสบความสำเร็จ  แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักการที่ผมกำลังแบ่งปันกับคุณในบทนี้  คุณก็จะมีประสบการณ์กับเคล็ดลับของฤทธิ์เดชด้วยตัวคุณเอง  หลักการนี้ไม่เคยล้มเหลว

     ผมอยากจะแบ่งปันหลักการขั้นพื้นฐานบางอย่างในฝ่ายวิญญาณกับคุณในแบบประเด็น  ผมจะไม่อธิบายในรายละเอียด  เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักการพื้นฐาน  คนฝ่ายเนื้อหนังจะไม่สามารถสร้างคริสตจักรของพระเจ้าได้  หากคริสตจักรภายใต้การดูแลของพวกคุณไม่ได้ถูกเสริมสร้างขึ้น คุณควรต้องถามตัวคุณเองว่ามันเป็นเพราะคุณเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังหรือไม่  ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้คุณเห็นความคิดทางเนื้อหนังของคุณด้วยเถิด

          คุณสามารถจะดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกได้สำเร็จโดยการสถิตอยู่ของพระวิญญาณไหม?  ภาพของลูกแกะเมษโปดกเป็นภาพที่สวยงาม ลูกแกะเมษโปดกเป็นสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เมื่อคุณมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก คนจะเห็นความชอบธรรมของพระเจ้าในคุณไม่ว่าคุณจะเปิดปากของคุณหรือไม่ก็ตาม  ที่สำคัญสุดเหล่าวิญญาณชั่วจะดูคุณออก  เรื่องนี้สำคัญเพราะเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับเนื้อและเลือด เหตุผลหนึ่งที่ผู้ร่วมประชุมของคุณไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยก็อาจเป็นว่าคุณขาดฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้กับเหล่าอำนาจและศักดิเทพที่ดักซุ่มอยู่  เปาโลกล่าวว่า “เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด  แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง  เทพผู้ทรงอำนาจ  เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้  และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ” (เอเฟซัส 6:12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  คุณจะไม่ชนะการต่อสู้นี้ถ้าคุณไม่ได้มีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก

         ผมได้แบ่งปันกับคุณเรื่องที่ผมถูกเรียกให้ไปขับผีเมื่อสองสามปีก่อน  ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เป็นคริสเตียนถูกผีเข้า  คริสเตียนบางคนไม่สามารถจะขับผีได้พวกเขาก็เลยมาหาผม  แค่เพียงไม่กี่คำถามผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอถูกผีที่มีฤทธิ์มากเข้าสิง  ผมไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่รู้จักผม แต่ว่าผีจำผมได้ทันที  ผีรู้ว่าผู้รับใช้ขององค์ผู้เป็นเจ้าคนนี้มีฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้า  ในขณะที่คนอื่นๆไม่สามารถขับผีนี้ออกได้  อันที่จริงผีหัวเราะเยาะพวกเขาแต่ผีไม่ได้หัวเราะเมื่อผมเดินเข้าไป  สิ่งต่อมาที่ผมรู้ก็คือ  หญิงผู้นี้ก้มที่แทบเท้าของผม  ที่จริงเป็นผีที่กำลังทำเช่นนี้

          เมื่อพวกผีเห็นพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก  พวกมันตกใจมากและร้องตะโกนว่า “ท่าน​ผู้​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า ท่าน​จะ​มา​ยุ่ง​กับ​เรา​ทำ​ไม  จะ​มา​ทร​มาน​เรา​ก่อน​เวลา​หรือ?” (มัทธิว 8:29)  หญิงผู้นี้กำลังหมอบตรงแทบเท้าของผม  ผมจึงพูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้เถอะ ผมจะได้พูดคุยกับคุณได้?”

 

หลักการของฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณ

          ในพันธกิจรับใช้ของคุณ  คุณกำลังรับมือกับวิญญาณที่มีพลังอำนาจ  แต่น่าเสียดายที่ผู้ร่วมงานหลายคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้  และวิญญาณเหล่านี้สามารถจะรัดพันธกิจรับใช้ของคุณให้ตายได้  คุณจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่คุณไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในคริสตจักรของคุณซึ่งรวมถึงความผิดบาปที่ทำ วิญญาณชั่วกำลังรื่นเริงในความมีชัยอยู่ในคริสตจักรของคุณ  แต่เมื่อคุณมีวิญญาณของลูกแกะเมษโปดก ศัตรูก็จะจำคุณได้และถอยหนี ในที่สุดผมก็ขับผีออกจากหญิงผู้นั้นและเป็นผลให้ทั้งครอบครัวของเธอมาสู่ความรอด  พวกเขาทุกคนไม่ได้เป็นคริสเตียนรวมทั้งสามีของเธอ  แต่เมื่อเธอมาหาองค์ผู้เป็นเจ้า  สามีและลูกสาวจึงมาเชื่อด้วย  ตอนนี้ลูกสาวก็อยู่กับเราในคริสตจักรมอนทรีออล  งานของพระเจ้าจะก้าวหน้าก็เมื่อชีวิตของคุณเป็นช่องทางให้ชีวิตและพลังอำนาจของลูกแกะเมษโปดกทำงานผ่านชีวิตของคุณ

          ลูกแกะเมษโปดกทรงมีพลังอำนาจมาก  วิวรณ์ 5:6 กล่าวว่าพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกมีเขาเจ็ดเขา  เขาเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจของพระเจ้า  เขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเขาของสัตว์ตรงตามคำ  แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่สมบูรณ์ขององค์ผู้เป็นเจ้า  แต่เราได้เห็นว่าความเข้มแข็งและความอ่อนแอจะไปพร้อมกันและไปด้วยกัน  วิวรณ์ 5:6[63] ข้อเดียวกันนี้กล่าวว่าลูกแกะเมษโปดกมีตาเจ็ดดวง  ดวงตาเหล่านี้ไม่ใช่ดวงตาจริงๆ  ดวงตาเหล่านี้หมายถึงว่าพระเยซูทรงมีพระวิญญาณอย่างเต็มบริบูรณ์โดยพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า (วิวรณ์ 3:1)[64] นั่นก็คือพระวิญญาณที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า  คุณสามารถจะเข้าใจความคิดว่าอะไรคือพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าก็โดยดูที่อิสยาห์ 11:2[65]  ซึ่งพูดถึงพระปัญญา ความเข้าใจ ความรู้ ความยำเกรงพระเจ้าและอื่นๆ  ลูกแกะเมษโปดกอาจจะอ่อนแอแต่พระองค์ไม่ได้โง่เขลาแต่ทรงพร้อมด้วยพระปัญญาและฤทธิ์เดชทั้งสิ้นของพระเจ้า

         หลักการของชีวิตฝ่ายวิญญาณอีกอย่างก็คือ ถ้าคุณมุ่งไปที่การเป็นคนฝ่ายวิญญาณ มันก็จะหนีคุณไป  แต่ถ้าคุณมุ่งไปที่ลูกแกะเมษโปดก  การเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็จะมาหาคุณ   คุณอย่าพยายามทำตัวเป็นคนฝ่ายวิญญาณด้วยตัวคุณเอง  ขอเพียงคุณยอมจำนนชีวิตของคุณให้กับชีวิตของลูกแกะเมษโปดก  การเป็นคนฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นสิ่งลึกลับที่คุณได้มาด้วยการหายใจลึกๆและการใคร่ครวญภาวนา  คุณอย่าให้การเป็นคนฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย  ถ้าคุณพยายามจะทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ  แต่เมื่อคุณมุ่งไปที่ลูกแกะเมษโปดก  คุณจะกลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณโดยแทบไม่รู้ตัว

     สิ่งนี้นำเรามาถึงจุดที่สำคัญคือ  คนฝ่ายวิญญาณจะไม่นึกถึงว่าเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ให้การเป็นคนฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย มันยังหมายความอีกว่าหากคุณคิดว่าคุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณนั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณไม่ได้เป็น  เราจะเห็นหลักการของการกลับกันนี้อีกครั้ง  คนฝ่ายวิญญาณจะจดจ่ออยู่กับลูกแกะเมษโปดกและลืมนึกถึงตัวของเขาเองเพราะสำหรับเขาแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  สำหรับคุณแล้วถ้าการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ความจดจ่อของคุณก็จะอยู่ที่พระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก ความจดจ่อไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ  สิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากก็คือการใคร่ครวญถึงตัวเองอย่างไม่จบสิ้นเกี่ยวกับ “ฉัน ของฉัน และตัวฉัน” และตลอดถึงการต่อสู้ภายใน  การใคร่ครวญถึงตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้นนั้นไม่ได้ส่งเสริมให้เป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ขอให้เราลืมนึกถึงตัวเองและจดจ่อที่ลูกแกะเมษโปดก “โดย​จับ​ตา​มอง​ที่​พระ​เยซู​ผู้​เบิก​ทาง​ความ​เชื่อ และ​ผู้​ทรง​ทำ​ให้​ความ​เชื่อ​นั้น​สม​บูรณ์” (ฮีบรู 12:2)

         ความคิดของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้เสาะหาให้ใครมารับใช้คุณแต่ให้คุณได้รับใช้  คุณสามารถถามตัวคุณเองทุกวันว่า “วันนี้ฉันจะรับใช้ใครได้บ้าง? วันนี้มีอะไรที่ฉันจะทำให้ใครสักคนได้บ้าง?”  ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ตัวคุณออกมาจากความน่าเวทนาที่เอาแต่คิดถึงตัวเองได้ดีเท่ากับการเสาะหาโอกาสที่จะรับใช้ ที่จะให้บางอย่าง  ที่จะทำอะไรบางอย่างให้คนอื่น  คุณจะต้องคิด ใคร่ครวญและอธิษฐานที่องค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงนำคุณให้ไปหาคนที่ต้องการ อาจเป็นใครสักคนที่คุณสามารถจะโทรหาและพูดคุยกับเขา หรือใครสักคนที่คุณสามารถจะช่วยเหลือและหนุนน้ำใจ  คริสตจักรจะรับการเสริมสร้างขึ้นด้วยความรักและความห่วงใยต่อกัน  คริสตจักรของคุณจะไม่หยุดอยู่กับที่ถ้าคุณเป็นตัวอย่างในการเอาใจใส่ต่อกันและกัน  ผู้คนจะเข้ามาและเห็นสิ่งที่คริสตจักรของคุณแตกต่างจากที่อื่นเหมือนที่มีคนมากมายพูดถึงคริสตจักรมอนทรีออลหลายปีมาแล้ว  แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรมอนทรีออลไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว  ผมขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้  ในอดีตจะมีผู้คนมาเยี่ยมเราและเห็นสิ่งที่แตกต่างจากที่นี่ว่า  “เป็นได้อย่างไรที่ทุกคนจะดูแลเอาใจใส่อย่างนั้นและกระตือรือร้นที่จะรับใช้คนที่พวกเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ” นั่นคือความคิดของลูกแกะเมษโปดก  พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ  แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น  และให้ชีวิตของพระองค์กับคนจำนวนมาก

         หัวใจสำคัญของการเป็นคนฝ่ายวิญญาณสรุปได้ในลูกแกะเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ ทุกหลักการของฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณมีจุดรวมอยู่ที่ความเข้าใจและการปฏิบัติตามชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ ผมไม่มีเคล็ดลับของพลังอำนาจอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ สำหรับผมแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ซึ่งก็คือมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า

         สิ่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นคนดี   คริสเตียนหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้   พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคริสเตียนที่ดีเพราะพวกเขาเป็นคนดี  คนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นคนดีด้วยโดยเฉพาะถ้าเขามีและเขามักจะมีก็คือแรงจูงใจแฝงที่จะเป็นคนดี  ถ้าเขาต้องการจะได้บางสิ่งบางอย่างจากคุณ เขาก็รู้วิธีที่จะดีกับคุณจนคุณไม่เห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของเขาเหมือนอย่างคนที่มีสองบุคลิก[66] ลูกแกะเมษโปดกเป็นสัญลักษณ์และหัวใจสำคัญของความบริสุทธิ์ซึ่งตรงข้ามกันเลยกับความเป็นเนื้อหนัง

     วิวรณ์ 6:16 พูดถึง “ความโกรธกริ้วของลูกแกะเมษ​โป​ดก”[67]  ลูกแกะ​เมษ​โป​ดกโกรธกริ้วต่อบาป  เมื่อพระเยซูโกรธกริ้วพระองค์อาจจะไม่เป็นคนดี  พระองค์ทรงไล่พ่อค้าออกจากพระวิหารและคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน (ยอห์น 2:13-16 มัทธิว 21:12-13)  ในมัทธิว 23 พระองค์ตรัสย้ำว่า “วิบัติ​แก่​พวก​เจ้า พวก​ธรร​มา​จารย์​และ​พวก​ฟา​ริสี คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด!”  ลูกแกะ​เมษ​โป​ดกไม่ได้กลัวที่จะพูดความจริงเมื่อพระองค์จะต้องพูด  จงอย่าเป็นคนที่อะลุ้มอล่วยกับความอธรรม  จงพูดความจริงเมื่อคุณต้องพูด  แต่ให้พูดด้วยความรักเสมอตามที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเสริมกำลังให้คุณทำได้

         เราดำเนินชีวิตของลูกแกะ​เมษ​โป​ดกที่ถูกปลงพระชนม์ได้ขนาดไหน  ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็จะถูกสำแดงในเราได้ขนาดนั้น  ถ้าคุณนำมาปฏิบัติน้อย  คุณก็จะได้พลังน้อย  ยิ่งลูกแกะ​เมษ​โป​ดกทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตคุณมากเท่าใด  พระองค์ก็จะควบคุมชีวิตคุณและฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ที่จะถูกสำแดงมากเท่านั้น  ไม่มีขีดจำกัดอย่างใดในเรื่องนี้เลย  ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้กับคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักการชีวิตของลูกแกะ​เมษ​โป​ดก  ไม่มีความท้าทายใดที่ใหญ่เกินไป  เมื่อผมเจอกับความท้าทายที่จะอธิษฐานรักษาโรค ผมจะทำถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ผมทำ  นี่ไม่ใช่เรื่องที่บางครั้งก็สำเร็จหรือบางครั้งก็ไม่สำเร็จ  ถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงสั่งผมให้ทำก็จะไม่มีสักกรณีที่คนที่ผมอธิษฐานรักษาโรคจะไม่หาย  ผมจะไม่กล้าทำในสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงอนุญาตให้ผมทำ  แต่ผมจะทำสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้ผมทำโดยไม่สงสัย  ผมพูดด้วยความมั่นใจจริงๆว่ามันไม่เคยล้มเหลว

         ช่วงท้ายบทนี้  ผมหวังว่าผมได้ให้ข้อสรุปบางประเด็นที่คุณจะสามารถใคร่ครวญได้ ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าเคล็ดลับและหัวใจสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณที่มีหลายประการและซับซ้อนนั้นจะกระจ่างชัดในลูกแกะเมษโปดก นั่นคือเคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงควบคุมทุกๆสิ่งในโลกนี้และพระองค์จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ  วิธีการทำงาน[68]ของพระองค์ก็คือทางลูกแกะเมษโปดก ลูกแกะเมษโปดกที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นและมีชัยทุกอย่าง  ความอ่อนแอและความเข้มแข็งจะไปด้วยกันเสมอ ไม่ใช่อันหนึ่งตามหลังอีกอันหนึ่งไปแต่ไปด้วยกันเสมอ  มันไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ คุณจึงจำเป็นต้องนำมาปฏิบัติอย่างตั้งใจ เมื่อใดที่คุณไม่ได้นำมาปฏิบัติ ความจดจ่อของคุณจะไปที่อื่น  ฮีบรู 12:2 กล่าวว่าเราจะต้อง “​เพ่งมอง​ที่​พระ​เยซู​”[69]  นาทีที่คุณไม่จดจ่อ คุณก็จะจมน้ำเหมือนที่เปโตรจมลงเมื่อเขาเดินบนน้ำไปหาพระเยซู  มันต้องมีความจดจ่อกับความตั้งใจ  เปาโลกล่าวว่า “เพราะ​ข้าพ​เจ้า​ตั้ง​ใจ​ว่า​จะ​ไม่​รู้[70]​เรื่อง​ใดๆใน​หมู่​พวก​ท่าน​เลย เว้น​แต่​เรื่อง​พระ​เยซู​คริสต์​และ​การ​ที่​พระ​องค์​ทรง​ถูก​ตรึง​ที่​กาง​เขน” (1 โครินธ์ 2:2)  เปาโลต้องการรู้แต่เฉพาะเรื่องลูกแกะเมษโปดกที่ถูกตรึงกางเขน  ลูกแกะเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์  นั่นคือเคล็ดลับของชีวิตเปาโล

         เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ ให้คุณจดจ่อกับองค์ผู้เป็นเจ้าเสียใหม่แล้วคุณจะพบพลังอำนาจอีกครั้ง มันไม่ได้เป็นความพยายามทางจิต ความจดจ่อไม่ได้เป็นการกระทำทางจิตแต่เป็นสิ่งที่มาจากใจ เมื่อใจจดจ่อมันก็ยังคงจดจ่ออยู่แม้ว่าใจของคุณจะกำลังคิดถึงสิ่งอื่น คุณไม่ต้องกังวลว่าใจของคุณจะไม่ได้ตั้งใจจดจ่ออยู่กับองค์ผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เพราะใจจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้ให้คุณไปทางทิศที่ถูกเสมอไม่ว่าคุณจะหันมันไปทางไหน เข็มของมันก็ยังจะชี้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ใจของคุณอาจเปลี่ยนไปมาและเข็มทิศอาจหมุนไปมา แต่เข็มของใจจะยังคงชี้ไปที่พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก มันเป็นความสวยงามที่บทสุดท้ายของวิวรณ์มีคำว่า “พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก” สองครั้ง[71] เป็นการรวมกันของทั้งสอง และนี่นำเราไปยังจุดสำคัญสูงสุดของวิวรณ์


[1] มาระโก 8:22-26  พระ​องค์​กับ​พวก​สา​วก​จึง​ไป​ยัง​เมือง​เบธ​ไซ​ดา มี​บาง​คน​พา​คน​ตา​บอด​คน​หนึ่ง​มา​หา​พระ​องค์ และ​ทูล​อ้อน​วอน​ขอ​ให้​พระ​องค์​ทรง​สัม​ผัส​คน​นั้น  พระ​องค์​จึง​ทรง​จูง​มือ​คน​ตา​บอด​ออก​ไป​นอก​หมู่​บ้าน เมื่อ​ทรง​บ้วน​น้ำ​ลาย​ลง​ที่​ตา​ของ​คน​นั้น​และ​วาง​พระ​หัตถ์​บน​ตัว​เขา​แล้ว พระ​องค์​ตรัส​ถาม​ว่า “ท่าน​เห็น​อะไร​บ้าง​หรือ​ไม่?”  คน​นั้น​เงย​หน้า​ดู​แล้ว​ทูล​ว่า “ข้า​พระ​องค์​มอง​เห็น​คน​เหมือน​ต้น​ไม้​เดิน​ไป​เดิน​มา”  พระ​องค์​จึง​วาง​พระ​หัตถ์​บน​ตา​ของ​เขา​อีก แล้ว​เขา​ก็​เพ่ง​ดูและ​ตา​ก็​หาย​เป็น​ปกติ มอง​เห็น​สิ่ง​ต่างๆ ชัด​เจน  พระ​องค์​จึง​ตรัส​สั่ง​ให้​คน​นั้น​กลับ​ไป​ที่​บ้าน​ของ​ตน​เอง​และ​ทรง​กำ​ชับ​ว่า “อย่า​เข้า​ไป​ใน​หมู่​บ้าน​นั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[2] Theology (เทววิทยา) หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า (ผู้แปล)

[3] ความเชื่อในช่วงศตวรรษที่ 1 ของคริสเตียนที่ยอมรับด้านมืดบางอย่างเข้ามารวมอยู่ในความรู้ (ผู้แปล)

[4] Gnosticism คือความเชื่อว่าความรู้ที่ปิดซ่อนอยู่จะนำไปสู่ความรอด (ผู้แปล)

[5] หรือ พระวาทะ

[6] Philo of Alexandria (ก่อน ค.ศ. 20 - ค.ศ. 50) นักปรัชญายิวที่ได้พยายามผสมผสานปรัชญากรีกกับปรัชญายิวเข้าด้วยกัน (ผู้แปล)

[7] หรือ “คนที่ไม่มีศาสนา” (ผู้แปล)

[8] Eisegesis คือการตีความเกินจากตัวบท (ผู้แปล)

[9] คำกล่าวนี้มาจากหลักข้อเชื่อไนเซียที่มีทั้งหมด 26 ข้อ หลักข้อเชื่อไนเซียฉบับแปลภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันมี 3 ฉบับคือของศาสนจักรคาทอลิก ของสภาคริสตจักรในประเทศไทย  และของคริสตจักรแองกลิกันในประเทศไทย) ผู้แปลนำมาอ้างอิง 5 ข้อจากทั้ง 3 ฉบับดังนี้

  ข้อ 1 เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (หรือพระเจ้าหนึ่งเดียว หรือพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว)  

  ข้อ 3 เชื่อในพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียว (หรือหนึ่งเดียว) ของพระเจ้า 

  ข้อ 5 ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า (หรือทรงเป็นพระเจ้ากำเนิดมาจากพระเจ้า)

  ข้อ 6 แสงสว่างจากแสงสว่าง (หรือเป็นองค์ความสว่างจากความสว่าง หรือเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง)

  ข้อ 7 พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ (หรือทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้)

[10] โรม  5:19  “เพราะ​ว่า​คน​จำ​นวน​มาก​เป็น​คน​บาป เพราะ​คน​คน​เดียว​ที่​ไม่​เชื่อ​ฟัง​อย่าง​ไร คน​จำ​นวน​มาก​ก็​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม เพราะ​พระ​องค์​ผู้​เดียว​ที่​ได้​ทรง​เชื่อ​ฟัง​อย่าง​นั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[11] Orthodox

[12] มาจากคำ “Tanakh” เป็นพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูของชาวยิว

[13] Complete Jewish Bible

[14] มาจากคำกรีก 14 (planaō, พลานาโอ) แปลว่า “นำให้หลงทาง หรือ ทำให้หลงทาง”

[15] ฉบับมาตรฐานแปลว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว”

[16] คำกรีกอ่านว่า “ออยดา” (oida)

[17] Arndt-Gingrich lexicon

[18] Bishops หมายถึง “บาทหลวง หรือ สังฆราช”

[19] Ante-Nicene Fathers (อย่าสับสนคำ ante ที่หมายถึง “ก่อน” กับ anti ที่หมายถึง “ต้าน”) -จากต้นฉบับ

[20] First Council of Nicaea

[21] Council of Nicaea

[22] Augustine

[23] Confessions

[24] CJB (Complete Jewish Bible)

[25] ESV (English Standard Version)

[26] NASB (New American Standard Bible)

[27] NIV (New International Version)

[28] 1 โครินธ์ 1:25  “เพราะ​ความ​เขลา​ของ​พระ​เจ้า​ยัง​มี​ปัญ​ญา​ยิ่ง​กว่า​ปัญ​ญา​ของ​มนุษย์   และ​ความ​อ่อน​แอ​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ยัง​มี​กำ​ลัง​มาก​ยิ่ง​กว่า​กำ​ลัง​ของ​มนุษย์”  (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[29] Sufis คือนิกายที่แตกมาจากนิกายชีอะห์ ที่พยายามจะนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์จากศาสนามาสัมพันธ์กับชีวิตภายใน (ผู้แปล)

[30] Evangel­icalism คือขบวนการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระคริสต์ ที่เกิดจากการฟื้นฟูของกลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาและหลายกลุ่มนิกายในศตวรรษที่ 18 และ 19 ในยุโรปและอเมริกา ที่ให้เน้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์ โดยการรับการยกโทษบาปจากพระคริสต์และบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ผู้ร่วมฟื้นฟูที่สำคัญมี จอร์จ ไวท์ฟิลด์, จอห์น เวสเล่ย์, และโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด (ข้อมูลจากเว็บไซด์ของคริสเตียนอีแวนเจลิคอลกลุ่มต่างๆ-ผู้แปล)

[31] “​พระ​องค์​ทรง​เป็น​เครื่อง​บูชา​ลบ​บาป​ของ​เรา” ในฉบับมาตรฐาน 2011 (ผู้แปล)

[32] “Sinners in the Hands of an Angry God”

[33] Jonathan Edwards (นักปรัชญาและนักศาสนศาสตร์ชาวอเมริกัน ค.ศ. 1703-1758) –ผู้แปล

[34] Marcion บิช็อปในยุคแรกๆของคริสเตียน (ผู้แปล)

[35] “Jesus” มีความหมายว่า “Yahweh saves” มาจากชื่อภาษาฮีบรูว่า “35” (เยโฮชูวา) หรือ “โยชูวา”  หรือภายหลังเป็น  “เยชูวา” แปลว่า  “พระยาห์เวห์เป็นความรอด” (ผู้แปล)

[36] Calvinist

[37] อ่านว่า “โธรนอส”

[38] Raymond & Rosa Suen

[39] James Ho

[40] BibleWorks เป็นโปรแกรมค้นคว้าพระคัมภีร์

[41] วิวรณ์ 7:17 “เพราะ​ว่า​พระ​เมษ​โป​ดก​ผู้​ทรง​อยู่​กลาง​พระ​ที่​นั่ง​นั้น​จะ​ทรง​เลี้ยง​ดู​พวก​เขา และ​จะ​ทรง​นำ​เขา​ไป​ยัง​น้ำพุ​แห่ง​ชีวิต และ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​เช็ด​น้ำ​ตา​ทุก​หยด​จาก​ตา​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[42] อ่านว่า “เม-สอส”

[43] Arndt-Gingrich

[44] Thayer

[45] มัทธิว 5:3  “คน​ที่​ยาก​จน​ด้าน​จิต​วิญ​ญาณ​ก็​เป็น​สุข เพราะ​ว่า​แผ่น​ดิน​สวรรค์​เป็น​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[46] ฉบับมาตรฐานใช้คำว่า “ว่ากล่าว” (ผู้แปล)

[47] ลูกา 14:10 “ฉะนั้น​เมื่อ​ท่าน​ได้​รับ​เชิญ จง​ไป​นั่ง​ใน​ที่​ต่ำ​ก่อน เพื่อ​ที่​ว่า​เมื่อ​เจ้า​ภาพ​มา​พูด​กับ​ท่าน​ว่า ‘เพื่อน​เอ๋ย เชิญ​ไป​นั่ง​ใน​ที่​อัน​มี​เกียรติ​เถิด’ เมื่อ​นั้น​ท่าน​จะ​ได้​รับ​เกียรติ​ต่อ​หน้า​ทุก​คน​ที่​ร่วม​นั่ง​รับ​ประ​ทาน​นั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[48] 1 โครินธ์ 15:31  “พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ข้าพ​เจ้า​ตาย​ทุก​วัน ข้าพ​เจ้า​ขอ​ยืนยัน​โดย​ความ​ภูมิ​ใจ​ใน​พวก​ท่าน ที่​ข้าพ​เจ้า​มี​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[49] ฟีลิปปี 2:5 “จง​มี​จิต​ใจ​เช่น​นี้​ใน​พวก​ท่าน​เหมือน​อย่าง​ที่​มี​ใน​พระ​เยซู​คริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[50] ฟีลิปปี 3:8  “ยิ่ง​กว่า​นั้น​ข้าพ​เจ้า​ถือ​ว่า​ทุก​สิ่ง​เป็น​การ​ขาด​ทุน เพราะ​เหตุ​คุณ​ค่า​อัน​สูง​ยิ่ง​ของ​การ​ได้​รู้​จัก​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพ​เจ้า เพราะ​เหตุ​พระ​องค์​ข้าพ​เจ้า​ยอม​ขาด​ทุน​ทุก​อย่าง และ​ถือ​ว่า​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เป็น​เหมือน​เศษ​ขยะ​เพื่อ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​จะ​ได้​พระ​คริสต์​เป็น​กำ​ไร”  (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[51] หรือ “พระฉายา”

[52] หรือ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” หรือ “ผู้เป็นคนแรกและผู้เป็นคนสุดท้าย”  (“I am the first and the last”,  Rev 1:17 NAU) -ผู้แปล

[53] วิวรณ์ 7:17 “เพราะ​ว่า​พระ​เมษ​โป​ดก​ผู้​ทรง​อยู่​กลาง​พระ​ที่​นั่ง​นั้น​จะ​ทรง​เลี้ยง​ดู​พวก​เขา และ​จะ​ทรง​นำ​เขา​ไป​ยัง​น้ำพุ​แห่ง​ชีวิต และ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​เช็ด​น้ำ​ตา​ทุก​หยด​จาก​ตา​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

วิวรณ์ 21:4 “พระ​เจ้า​จะ​ทรง​เช็ด​น้ำ​ตา​ทุกๆหยด​จาก​ตา​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย  และ​ความ​ตาย​จะ​ไม่​มี​อีก​ต่อ​ไป  ความ​โศก​เศร้า การ​ร้อง​ไห้ และ​การ​เจ็บ​ปวด​จะ​ไม่​มี​อีก​ต่อ​ไป เพราะ​ยุค​เดิม​นั้น​ผ่าน​ไป​แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[54] University of Western Ontario  ในประเทศแคนาดา (ผู้แปล)

[55] ยอห์น 6:51 “เรา​เป็น​อาหาร​ดำ​รง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง​มา​จาก​สวรรค์ ถ้า​ใคร​กิน​อาหาร​นี้ คน​นั้น​จะ​มี​ชีวิต​นิรันดร์ และ​อาหาร​ที่​เรา​จะ​ให้​เพื่อ​ชีวิต​ของ​โลก​นั้น​ก็​คือ​เลือด​เนื้อ​ของ​เรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[56] Chislehurst  หมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน

[57] Tyndale House of Cambridge

[58] James Dunn  นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)

[59] Pastor Dieter

[60] The Gospel Church

[61] St Michael Church

[62] Anglican Church

[63] วิวรณ์ 5:6 “และ​ระหว่าง​พระ​ที่​นั่ง​กับ​สิ่ง​มี​ชีวิต​ทั้ง​สี่​นั้น และ​ท่าม​กลาง​พวก​ผู้​อา​วุโส ข้าพ​เจ้า​เห็น​พระ​เมษ​โป​ดก​ทรง​ยืน​อยู่ เหมือน​ดัง​ถูก​ปลง​​พระชนม์​แล้ว พระ​องค์​ทรง​มี​เขา​เจ็ด​เขา​และ​มี​ดวง​ตา​เจ็ด​ดวง ซึ่ง​เป็น​พระ​วิญ​ญาณ​ทั้ง​เจ็ด​ของ​พระ​เจ้า ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ส่ง​ออก​ไป​ทั่ว​แผ่น​ดิน​โลก​แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[64] วิวรณ์ 3:1  “จง​เขียน​ถึง​ทูต​สวรรค์​ของ​คริสต​จักร​ที่​เมือง​ซาร์​ดิส​ว่า ‘พระ​องค์​ผู้​ทรง​มี​พระ​วิญ​ญาณ​ทั้ง​เจ็ด​ของ​พระ​เจ้า และ​ทรง​มี​ดาว​เจ็ด​ดวง​นั้นตรัส​ดัง​นี้​ว่า “เรา​รู้​จัก​ความ​ประ​พฤติ​ของ​เจ้า คือ​เจ้า​ได้​ชื่อ​ว่า​มี​ชีวิต​อยู่ แต่​ว่า​เจ้า​ตาย​แล้ว”’”  (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[65] อิสยาห์ 11:2 และ​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​จะ​ทรง​อยู่​บน​ท่าน คือ​พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​ปัญ​ญา​และ​ความ​เข้า​ใจ พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​คำ​ปรึกษา​และ​อานุ​ภาพ พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​ความ​รู้​และ​ความ​ยำ​เกรง​พระ​ยาห์​เวห์ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[66] Dr. Jekyll and Mr. Hyde นิยายวิทยาศาสตร์เขียนโดย Robert Louis Stevenson เป็นเรื่องของคนที่มีนิสัยสองด้าน บุคลิกที่ต่างกันในคนๆเดียวกัน (ผู้แปล)

[67] วิวรณ์ 6:16 “พวก​เขา​ร้อง​บอก​กับ​ภู​เขา​และ​โขด​หิน​ว่า “จง​ล้ม​ทับ​เรา​เถิด จง​ซ่อน​เรา​ไว้ ให้​พ้น​จาก​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์​ผู้​ประ​ทับ​อยู่​บน​พระ​ที่​นั่ง และ​จาก​พระ​พิโรธ​ของ​พระ​เมษ​โป​ดก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[68] modus operandi  วลีจากภาษาลาตินที่หมายถึง “method of operation” (ผู้แปล)

[69] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย

[70] ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีก  ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “เพราะ​ข้าพ​เจ้า​ตั้ง​ใจ​ว่า​จะ​ไม่​แสดง​ความ​รู้​เรื่อง​ใดๆ” (ผู้แปล)

[71] วิวรณ์ 22:1  “และ​ท่าน​สำ​แดง​ให้​ข้าพ​เจ้า​เห็น​แม่​น้ำ​ที่​มี​น้ำ​แห่ง​ชีวิต  ใส​เหมือน​อย่าง​แก้ว​ผลึก   ไหล​มา​จาก​พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระ​เจ้า​และ​ของ​พระ​เมษ​โป​ดก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

วิวรณ์ 22:3  “ทุก​สิ่ง​ที่​ถูก​สาป​แช่ง​จะ​ไม่​มี​อีก​ต่อ​ไป พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระ​เจ้า​และ​ของ​พระ​เมษ​โป​ดก​จะ​ตั้ง​อยู่​ที่​นั่น และ​บรร​ดา​ผู้​รับ​ใช้​ของพระ​องค์​จะ​นมัส​การ​พระ​องค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล