pdf pic

บทที่ 14

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณในวิวรณ์

 

 

         เรากำลังมาถึงช่วงท้ายของการศึกษาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ในบทต่างๆเราได้ศึกษาจากปฐมกาล   จากเล่มที่เหลือของหมวดพระบัญญัติ  จากพระกิตติคุณยอห์น และจากอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์  บทนี้เราจะดูเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวในวิวรณ์  คริสเตียนส่วนมากจะคิดถึงวิวรณ์ว่าเป็นหนังสือเผยพระวจนะและเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย  แต่เราจะไม่มองวิวรณ์จากแง่มุมนั้นเพราะความสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย

         วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์นี้เป็นการเปิดเผยจากพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงประทานกับพระเยซูคริสต์  ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการเปิดเผยถึงการนมัสการพระเจ้าผู้เป็นหนึ่งและองค์เดียวเท่านั้น หรือพูดได้ว่าวิวรณ์เป็นหนังสือที่เปิดเผยถึงความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวได้อย่างดีเยี่ยม  ในนั้นผมเห็นพระปัญญาและการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า  เพราะภาพนิมิตในสวรรค์บอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่าวันหนึ่งคริสตจักรจะตกต่ำลงสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์โดยเฉพาะกับกรณีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

         วิวรณ์ยังเผยลึกขึ้นในเรื่องของประสบการณ์ทางฝ่ายวิญญาณ  และในบริบทของภาพนิมิตในสวรรค์ของยอห์นก็เป็นเช่นนั้น  วิวรณ์ไม่ได้นำเสนอความเชื่ออย่างมีแบบแผนซึ่งต่างกับจดหมายของเปาโลที่มีไปถึงชาวโรม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เผยให้เห็นภาพนิมิตต่างๆในสวรรค์แบบปะติดปะต่อทีละฉากๆให้อัครทูตยอห์นได้เห็น วิวรณ์เป็นหนังสือที่มาจากประสบการณ์ของยอห์นขณะที่มีชีวิตอยู่

         เมื่ออ่านวิวรณ์ เราต้องสู้กับปัญหาความเป็นฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง  ยอห์นเผยให้เราเห็นภาพนิมิตฝ่ายวิญญาณและถ้อยคำเผยพระวจนะ  แต่สิ่งที่บังมุมมองของเราจากภาพนิมิตเหล่านั้นก็คือม่านของเนื้อหนังที่บังตาของเราจากสิ่งเหล่านี้ไว้ซึ่งก็คือผ้าคลุมหน้าในฝ่ายเนื้อหนังที่บังตาของเรา  คุณจะสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณกับคนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?  สิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยวิญญาณ (1 โครินธ์  2:14)  คุณจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วยปัญญาฝ่ายเนื้อหนังของคุณได้  ผมพบคนที่ร่ำเรียนมามากและคนที่ชาญฉลาดในยุคของผมที่ฝ่ายวิญญาณทึบ  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาจากสติปัญญาของมนุษย์  คนบางคนอาจมีหลายปริญญาแต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณได้เท่ากับเด็ก  ถ้าสิ่งฝ่ายวิญญาณเป็นการมองเห็นด้วยจิตวิญญาณ  แล้วเราจะเริ่มต้นกับพระกิตติคุณยอห์นหรือกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์อย่างไร?

         เรื่องที่น่าเศร้าอย่างมากก็คือว่า ความจริงนิรันดร์ได้ตกอยู่ในมือของคริสตจักรที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และไม่นานความจริงก็ถูกบิดเบือนจนจำไม่ได้  พระเจ้าได้เสาะหาที่จะมีคนฝ่ายวิญญาณในโลกนี้ ซึ่งก็คือคนของพระเจ้า แต่คนของพระเจ้ากลับเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  เมื่อดูพระคัมภีร์เดิมเราจะเห็นเรื่องน่าเศร้าของอิสราเอลกับความพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดจากมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง

 

เรื่องน่าเศร้าของอิสราเอล

         เมื่อพระเจ้าทรงเลือกชนอิสราเอลนั้น พระองค์ต้องทนกับแบบอย่างของบาปแบบไม่จบไม่สิ้นที่ประชากรของพระเจ้าละทิ้งพระองค์และไปไหว้รูปเคารพ ในช่วงต้นๆเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองบนภูเขาซีนาย ชนอิสราเอลก็ห่างเหินจากพระองค์แล้ว

เมื่อประชากรทั้งปวงเห็นฟ้าแลบฟ้าร้องและควันทึบพุ่งขึ้นจากภูเขา ได้ยินเสียงฟ้าคำรนและเสียงเป่าแตร ก็ยืนอยู่แต่ไกล หวาดกลัวจนตัวสั่น และกล่าวกับโมเสสว่า  “ขอให้ท่านแจ้งสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เราเถิด เราจะรับฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราตรงๆ เลย ไม่เช่นนั้นเราคงต้องตาย” (อพยพ 20:18-19 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         ความเหินห่างจากพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์มีอยู่นั้นไม่ช้าก็เป็นการบ่นต่อว่าอย่างเต็มขั้น   คนของพระเจ้าผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกและทรงช่วยพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ พวกเขาได้บ่นต่อว่าพระองค์ไม่หยุดตลอดการเดินทาง 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร  การบ่นต่อว่าส่วนใหญ่มุ่งไปที่พระเจ้าแต่ก็เกือบทำให้โมเสสหัวเสีย แค่นั้นดูเหมือนว่ายังไม่พอเพราะท้ายที่สุดเมื่อชนอิสราเอลได้ข้ามเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาก็เปลี่ยนแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้เป็นแผ่นดินแห่งการไหว้รูปเคารพ

         นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  พวกเขาต้องการจะให้กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาปกครองพวกเขาเหมือนกับชาติทั้งหลายที่อยู่รายรอบ อิสราเอลไม่มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์และชาติอื่นๆก็จะพูดว่า “ไหนล่ะกษัตริย์ของพวกท่าน? ยังไม่เห็นพวกท่านมีสักองค์เลย!” สำหรับชาวอิสราเอลแล้วมันเป็นเรื่องน่าอับอายของชาติที่พระเจ้าองค์เจ้านายเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  ในที่สุดพวกเขาก็เลือกมนุษย์ที่สง่างามคือซาอูล ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผย มีส่วนสูงน่าประทับใจ ศีรษะและไหล่สูงเหนือกว่าคนจำนวนมากมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  ถ้าคุณมองไปที่ฝูงชนอิสราเอล คุณจะเห็นศีรษะของคนหนึ่งสูงเด่นเหนือคนอื่น นั่นคือซาอูลผู้มีกิริยาท่าทางน่าประทับใจเหมาะที่จะมาเป็นกษัตริย์ปกครองในแบบที่ผู้คนต้องการ  เขามีอากัปกิริยาและความสง่างามของกษัตริย์ที่คนจีนเรียกว่าท่วงท่าของเสือ[1] แต่คุณสมบัติฝ่ายวิญญาณของซาอูลล่ะ?  อย่ามาถามเลยเพราะว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึงกษัตริย์กันอยู่

          ถ้าจะพูดตามภาษาของการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแล้ว  ก็นับว่าซาอูลได้เป็นกษัตริย์ด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย  ผู้คนเลือกเขาเข้ามาและเลือกพระเจ้าออกไป  ผู้เผยพระวจนะซามูเอลที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณเพียงคนเดียวจากทั้งหมดก็โกรธในเรื่องนี้  แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “จง​ฟัง​เสียง​ประ​ชา​ชน​ใน​เรื่อง​ที่​พวก​เขา​พูด​กับ​เจ้า  เพราะ​ว่า​พวก​เขา​ไม่​ได้​ละ​ทิ้ง​เจ้า แต่​พวก​เขา​ละ​ทิ้ง​เรา ไม่​ให้​เรา​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​พวก​เขา” (1 ซามูเอล 8:7 ฉบับมาตรฐาน 2011)   พระเจ้าทรงถูกประชากรของพระองค์ปฏิเสธพระองค์หรือ?  ไม่เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปได้อีก?  และไม่นานก็มีความหายนะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ   ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมีกษัตริย์ที่ดีเพียงสามพระองค์เท่านั้น

         รูปเคารพเพิ่มทวีขึ้นทุกแห่งหน  ใต้ต้นไม้ทุกต้นและบนเขาทุกเขา  เมื่อคุณเข้าไปในบ้านไหนก็จะเจอรูปเคารพอยู่ข้างใน เหมือนเมื่อเราเข้าไปในบ้านของคนจีน  พระเจ้าทรงเหลืออดแล้วจึงได้มีการพิพากษาโทษ  ชาวบาบิโลนเผาพระวิหารจนราบเรียบแล้วกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย  เจ็ดศตวรรษต่อมาพวกเขาจึงซมซานกลับมาจากการถูกเนรเทศแบบคนที่มีแผลเป็นและเจียมตัว  คราวนี้พวกเขาจึงตัดสินใจนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว  พวกเขาต้องใช้เวลานานหลายศตวรรษกว่าจะเรียนบทเรียนนี้  แต่เมื่อพวกเขาสำนึกตัวได้ก็มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน

         จากช่วงของมาลาคี (ราว 444 ปีก่อนคริสตศักราช เพื่อให้จำวันเวลาได้ง่าย) จนถึงช่วงของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นไม่มีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลเลย   พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับประชากรของพระองค์ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ตาม  แค่นั้นยังไม่ดีพอสำหรับพระเจ้า  และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเป็นเวลาสี่ศตวรรษครึ่งซึ่งก็เกือบครึ่งสหัสวรรษ[2]จนมาถึงช่วงสมัยของพระคริสต์ พระเจ้าทรงนิ่งเงียบเพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสกับผู้ที่ไม่ยอมรับพระองค์มาเป็นกษัตริย์

 

เรื่องที่น่าเศร้าของคริสตจักร

         แล้วคริสตจักรล่ะ?  เมื่อมองย้อนดูคริสตจักรเมื่อ 1,600  หรือ 1,700 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นเรื่องคล้ายๆกัน  ก่อนหน้านี้พระเยซูได้ทรงให้ถ้อยคำที่อัศจรรย์เรื่องความรอดนิรันดร์  พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเราจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดศักราชแห่งพระคุณและบรรดาคนของพระเจ้าก็ได้มีความหวังขึ้นมาใหม่  แต่ภายในเวลาไม่กี่ศตวรรษหลังจากที่พระเยซูได้ประกาศถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์คริสตจักรก็ตกต่ำ  ในวิวรณ์บท 2 และ 3 มีห้าคริสตจักรในแคว้นเอเชียได้ถูกองค์ผู้เป็นเจ้าติเตียนเรื่องความบาปและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา คริสตจักรหนึ่งยังถูกประกาศว่าเป็นคริสตจักรที่ตายแล้ว “เจ้าได้รับการยกย่องว่ามีชีวิตอยู่แต่เจ้าตายแล้ว” (วิวรณ์ 3:1 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คริสตจักรที่ตายสนิทหรือ? นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณสันหลังวาบ

         ผมได้แค่ถอนหายใจเมื่อผมมองดูสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ผมถามองค์ผู้เป็นเจ้าว่าทำไมผมจึงต้องสอนสิ่งทั้งหมดนี้? ใครจะมายอมรับเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนี้?  หลังจากที่ดูประวัติศาสตร์ในทางฝ่ายวิญญาณของคริสตจักรแล้วผมจึงมาถึงจุดสรุปว่าผมน่าจะเก็บกระเป๋าไปปลีกวิเวกอยู่ในป่าสักแห่งที่ห่างจากโลกเพื่อจะได้สัมพันธ์สนิทกับองค์ผู้เป็นเจ้าเสียดีกว่า ผมจะสอนสิ่งทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?  สองพันปีที่ผ่านมาพระเจ้าได้ประทานความจริงที่อัศจรรย์และนิรันดร์ให้กับโลก  ความจริงอันอัศจรรย์นี้ได้ตกอยู่ในความดูแลของคริสตจักร แต่ในศตวรรษที่สี่หรือแม้ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้บิดเบือนความจริงเสีย

         ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงได้มีหลักคำสอนว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งพระองค์แต่เป็นสามพระองค์  พระองค์เป็นสามที่รวมเป็นหนึ่งหรือหนึ่งรวมอยู่ในสามด้วยการเล่นคำที่เหลวไหล ทั้งหมดนี้เป็นสูตรและกำหนดโดยผู้นำคริสตจักรฝ่ายเนื้อหนัง คนเหล่านี้เป็นใครกันหรือ?  ขอช่วยให้รายชื่อของพวกเขากับผมหน่อย  ให้เราตรวจสอบชีวิตคริสเตียนของพวกเขาดูที  พวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม?  แค่คุณดูหลักคำสอนของพวกเขาก็จะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณ  คริสตจักรได้ตกอยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังที่กำหนดคำสอนตามที่พวกเขาพอใจ โดยไม่ได้ทุกข์ร้อนที่จะให้ข้ออ้างอิงพระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของพวกเขา  ไม่มีการอ้างอิงพระคัมภีร์สักข้อในข้อเชื่อแห่งไนซีน[3]และข้อเชื่ออื่นๆอีกหลายๆข้อเชื่อ

         ในหลักข้อเชื่อเหล่านี้ บรรดาผู้นำคริสตจักรจะทำหน้าที่ของสังฆราชในการตัดสินใจเหมือนกับพระสันตะปาปาที่ทำหน้าที่ของสังฆราชในเรื่องต่างๆ อาทิเช่น ความเชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของพระแม่มารีย์[4]  มีการกล่าวกันว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอด้วยอำนาจในตำแหน่ง คือเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอเมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพระสันตะปาปา  แต่เมื่อก้าวลงจากเก้าอี้  การเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอก็สิ้นสุดลง  เก้าอี้ตัวนี้ช่างวิเศษจริงๆ!  เราขอยืมสักสองสามวันจะได้ไหม?  แต่เรื่องเหลวไหลแบบนี้แหละที่ให้เราไว้ในนามของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์

         ผมเปิดดูทีวีเช้านี้ มีนักเทศน์ชาวอเมริกันกำลังยืนเทศน์อยู่ในคริสตจักร และเขาเทศน์อะไรจากพระคัมภีร์หรือ? ก็เรื่องวิธีที่จะมั่งคั่งและรุ่งเรือง!  เมื่อพระคำของพระเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง  พวกเขาก็สามารถบิดเบือนถ้อยคำได้มากอย่างไม่มีขีดจำกัด   เมื่อกล้องถ่ายไปรอบๆ ผมเห็นคนแน่นไปหมด  คริสเตียนจำนวนมากอยากร่ำรวย นักเทศน์คนนี้ก็เทศน์เรื่องนี้อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าและผู้คนก็ฟังไม่เคยเบื่อ

         ใจของผมหนักอึ้งมากเพราะผมกำลังเผชิญปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเอาชนะในความเป็นเนื้อหนังและความเป็นเนื้อหนังของคริสตจักรของเราเองได้  นักเทศน์ทางโทรทัศน์เหล่านั้นเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  เมื่อคุณเปิดทีวีช่องของคริสเตียนก็จะเห็นศาสนาจารย์ท่านนี้ท่านนั้นพูดเกี่ยวกับเงินทองและเงินทองมากขึ้น นั่นเป็นวิธีที่เขาได้คนเข้าคริสตจักร เป็นวิธีขยายคริสตจักรของเขา เป็นวิธีที่เขาได้เงินถวายมากขึ้นเพื่อใช้ในการถ่ายทอดโทรทัศน์เพื่อจะบอกผู้คนมากขึ้นเกี่ยวกับการหาเงินทอง ถ้าคุณถ่ายทอดคำเทศนาแบบนี้ในประเทศจีนทุกคนก็จะฟังคุณ เพราะเงินทองกลายมาเป็นสิ่งเลื่อมใสได้เร็วมากในประเทศจีน  เป็นปัญหาที่ไม่ชนะสักที!

         เราที่เป็นคริสเตียนตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการเหมือนที่ชาวอิสราเอลต้องการเลือกกษัตริย์ของพวกเขาเอง และคริสตจักรได้ตัดสินใจที่จะนมัสการพระเยซู เราให้พระองค์อยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้าและทำให้พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าทุกประการ  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำเช่นนั้น  แล้วผมได้ทำอะไรไปในห้าสิบปีที่ผ่านมา?  ยังดีที่ผมได้เห็นความจริงในที่สุด แล้วในหลายปีที่ผ่านมาที่ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพล่ะ?

         เราตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว เมื่อมองย้อนกลับไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมไม่รู้วิธีการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเท่าเทียมพระเจ้าทุกประการ  แต่ผมได้สอนความเชื่อในตรีเอกานุภาพและตีความพระคัมภีร์ผิดๆมาห้าสิบกว่าปี  เราได้ตัดสินใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  และในทางปฏิบัติจริงเราให้พระเยซูยังทรงสำคัญกว่าพระยาห์เวห์เสียอีก  เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้องด้วยเลย

         พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระผู้สร้างเดียวในพระคัมภีร์  แต่เราได้ทำให้พระเยซูเป็นพระผู้สร้างองค์หลักในความเชื่อตรีเอกานุภาพ   ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์  เราใช้ยอห์น 1:3 อย่างผิดๆกับพระเยซู (“สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์  ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น  ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์” ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ตอนนี้พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง  เช่นนั้นแล้วจะมีบทบาทอะไรเหลือไว้ให้พระบิดาหรือ?  ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบิดาจะเป็นพระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปไม่ได้  ดังนั้นจึงพอสันนิษฐานได้ว่าพระบิดาก็คือพระยาห์เวห์  แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้พระยาห์เวห์เป็นพระผู้สร้างอันดับสองที่สร้างจักรวาลโดยมีพระเยซูทรงให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้างดังนั้นบทบาทของพระยาห์เวห์ในฐานะของพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงลดลง  พระเยซูเป็นพระเจ้าที่ทรงกระทำทุกสิ่ง  พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ประทานพระองค์เองเพื่อเรา  พระองค์เป็นผู้พิพากษาและกษัตริย์ที่จะเสด็จมา  ฉะนั้นจะมีอะไรเหลือให้พระยาห์เวห์บ้าง? ก็ไม่เหลืออะไรมากจริงๆ

         แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพที่ลึกลับล่ะ? ผู้เชื่อแบบคาริสแมติกจะนมัสการพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่โดยหลักๆแล้วก็ด้วยเหตุผลในทางเนื้อหนัง  คุณต้องร่วมนมัสการกับความเชื่อแบบคาริสแมติกจึงจะเห็นสภาพของความเป็นเนื้อหนังที่เน้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นแหล่งของความมั่งคั่งและความเป็นอยู่ที่ดี  เมื่อมีการรักษาโรคเราก็จะเห็นคนโยนไม้ค้ำยันทิ้งหรือลุกขึ้นจากรถเข็น  เขาจะกระโดดโลดเต้นบนพื้นและทุกคนจะร้องตะโกน “ฮาเลลูยา”  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรักษาเราและทำให้เราร่ำรวย

         เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง แต่เราก็ประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแบบไหนหรือที่เรากำลังพูดถึง? ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเพียงอย่างเดียวที่มีในพระคัมภีร์ก็คือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นและไม่มีใครอื่นที่ได้รับการนมัสการ  แต่ว่าตอนนี้เรามีถึงสามพระองค์  เราจะนมัสการทั้งสามพระองค์หรือแค่สองพระองค์ (มีคนจำนวนมากไม่ได้นมัสการพระวิญญาณ) มันเป็นมหันตภัยโดยแท้

         บางครั้งผมนึกสงสัยว่าศึกนี้คุ้มค่าที่จะต่อสู้หรือไม่  หลังจากที่ได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไปสี่เดือนผมขอบอกคุณตรงๆว่าผมรู้สึกเหนื่อยมาก  หลังจากการสอนแต่ละครั้งผมต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นตัว  สิ่งที่ทำทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร?  คุณให้ความจริงนิรันดร์นี้อยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังพวกเขาก็จะทำลายมันและบิดเบือนมันจนจำเค้าเดิมไม่ได้  คำอธิบายให้เห็นอย่างละเอียดของผมที่ได้รับโดยพระคุณของพระเจ้านี้จะทำให้มันดีขึ้นไหม? ผมไม่ทราบ แต่ก็เหมือนดังที่เปาโลกล่าวว่าสิ่งที่ต้องการจากคนรับใช้ก็คือความสัตย์ซื่อ  สิ่งที่ผมทำได้ก็คือสัตย์ซื่อ   ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมเก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของผมเป็นส่วนใหญ่  ผมไม่ได้ออกไปเดินข้างนอกหรือไปห้างสรรพสินค้า  ผมใช้ชีวิตของผมเพื่อจะทำบทต่างๆนี้ให้เสร็จโดยพระคุณของพระเจ้าเพื่อว่าในที่สุดผมจะสามารถพูดได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า มันเสร็จแล้ว เวลาของข้าพระองค์หมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าคนทั้งหลายจะทำอย่างไรกับคำสอนนี้  แต่ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ข้าพระองค์สามารถทำได้ก็คือส่งต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงให้กับข้าพระองค์ พวกเขาจะทำอย่างไรกับคำสอนหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าพระองค์แล้ว”

 

เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียว

         ผมไม่ได้ปิดหูปิดตากับความจริงที่ว่าผู้ที่ประกาศความจริงมักจะเป็นคนกลุ่มน้อยเสมอ  ในชาติที่พระเจ้าทรงเรียกออกมานั้น สุดท้ายก็จะมาถึงช่วงที่เหลือผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียวในชาติ  บนภูเขาคารเมลนั้นเอลียาห์ได้ประจันหน้ากับกองทัพผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลและพระอาเช-ราห์ 850 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 18:19)[5]  มีผู้เผยพระวจนะแท้ของพระยาห์เวห์เพียงคนเดียวในชาติที่พระองค์ได้ทรงเรียกออกมา  ดีที่ยังมี 7,000 คนไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัล (1 พงศ์กษัตริย์ 19:18)[6]   แต่ในจำนวนนี้ไม่มีใครเป็นผู้เผยพระวจนะสักคน  ถ้าจะเรียกตามคำสมัยใหม่แล้วพวกเขาก็คือ “ฆราวาส”[7]  และแน่นอนเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 7,000 คนที่สัตย์ซื่อเหล่านี้  แต่ไม่มีใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเอลียาห์บนภูเขาคารเมล  โดยพระคุณของพระเจ้าเขามีสาวกที่โดดเด่นชื่อเอลีชาและอาจมีคนอื่นๆอีกสองสามคนที่โดดเด่นน้อยกว่า  แต่ในช่วงที่เด็ดเดี่ยวนั้นเอลียาห์อยู่เพียงลำพังบนภูเขา  เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่พูดความจริงของพระเจ้า

         เมื่อพูดถึงความจริงของพระเจ้า ผมพบว่าความหมายของหลายข้อชัดเจนสมบูรณ์หลังจากที่ผมได้ออกมาจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมสอนพระคัมภีร์แบบผิดๆเพราะผมสอนตามการแปลความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตอนนี้ผมสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่เคยเห็นการแปลความอย่างอื่นที่ชัดเจนสมบูรณ์และกระจ่างแจ้งอยู่ตรงหน้าของผม  คนฝ่ายเนื้อหนังจะบิดเบือนความจริง ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาชั่วร้ายแต่เพราะว่าพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่กับผู้นำคริสตจักรแต่เป็นกับทั้งคริสตจักร

         พระเยซูถูกถามว่า ถ้าชายคนหนึ่งตายโดยที่ยังไม่มีบุตร และน้องชายของเขาก็แต่งงานกับหญิงม่ายตามบทบัญญัติเพื่อจะมีบุตรไว้สืบตระกูลให้กับพี่ชายที่ตายแล้ว และถ้าเขาเองก็ตายโดยที่ยังไม่มีบุตรกับเธอ และก็เป็นอย่างนี้กับพี่น้องทั้งเจ็ดคน ในสวรรค์หญิงนี้จะเป็นภรรยาของใคร? พระเยซูทรงให้คำตอบว่าพวกสะดูสีไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า (มัทธิว 22:29 เปรียบเทียบกับมาระโก 12:24)

พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

ch14 1

         ให้สังเกตว่าคำที่ขีดเส้นใต้ว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว”  แปลมาจากคำกรีก ch14 2 (พลานาโอ)[8] พวกสะดูสีหลงผิดเพราะพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า  พวกเขาเป็นผู้นำศาสนาที่เติบโตมากับพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก  แต่พระเยซูบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์จึงทำให้พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า   คำว่า “รู้” ไม่ได้หมายถึงการรู้จากความรู้  แต่เป็นการรู้จากประสบการณ์  คนฝ่ายเนื้อหนังสามารถอ่านพระคัมภีร์จากภูมิปัญญาแต่ไม่ได้รู้จากประสบการณ์  พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา  มีไม่กี่คนที่รู้จักพระเจ้าจากประสบการณ์  เอลียาห์เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น  แต่จะพูดถึงคนอิสราเอลในแบบเดียวกันนั้นไม่ได้

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์

         บทนี้ผมจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างย่อๆ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่ใช่พระเจ้าองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพ  แต่เป็นพระยาห์เวห์เอง

         พวกอัครทูตเป็นผู้ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ แต่พวกเขาเองจะไม่มีตัวบทจากพระคัมภีร์ใหม่มาใช้อ้างอิงได้ แล้วพวกเขาสามารถสอนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และเรื่องอื่นๆได้อย่างไร? พวกเขามีพระคัมภีร์เดิม แต่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแง่ของคำสอนน้อยมาก

         คำตอบง่ายๆก็คือพวกอัครทูตสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณจากประสบการณ์ของพวกเขาเองกับพระเจ้าและฤทธิ์เดชของพระองค์  พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์เพราะพวกเขามีประสบการณ์พระคัมภีร์ด้วยตัวเอง  พระคัมภีร์เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิตไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎี คุณจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้คุณก็ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น  ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามนั้นคุณก็จะไม่เข้าใจมันและยิ่งไปกว่านั้นอาจตีความผิดๆ

         เมื่อผมมองย้อนประสบการณ์ของผมเอง ผมนึกถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งกับพระวิญญาณ  ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกคุณมาก่อน แต่คราวนี้ผมจะวิเคราะห์มากขึ้นอีกนิด  ผมจำประสบการณ์ที่เรามีได้อย่างเต็มตาในไชเซิลเฮิร์สท์[9]ในช่วงที่ผมศึกษาอยู่ ไชเซิลเฮิร์สท์เป็นเมืองเล็กๆ หรืออาจเป็นหมู่บ้านในเคนท์ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของอังกฤษ ใช้เวลาขับรถหนึ่งชั่วโมงจากทางใต้ของกรุงลอนดอน  คริสตจักรลอนดอนของเราได้จัดค่ายอิสเตอร์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์  มีประมาณหกสิบคนมาร่วมค่ายนี้

         ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของค่ายได้จนถึงทุกวันนี้ การประชุมครั้งสุดท้ายของค่ายเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรานั่งลงและกำลังจะเริ่มร้องเพลงชีวิตคริสเตียนเพลงแรก ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อย่างน่าเกรงขามของพระเจ้า มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้มีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนคุณก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ได้ดีเพราะว่าเราเองก็มีประสบการณ์อย่างวันเพ็นเทคอสต์ด้วย ทันใดนั้นเราทุกคนรู้สึกอย่างมากถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า เรากำลังพยายามร้องบทเพลงนมัสการนี้อยู่ แล้วจู่ๆการร้องของเราก็อึ้งไป ทุกอย่างหยุดนิ่งและมีแต่ความเงียบ

         เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นี้ ผมเห็นได้ว่า อย่างแรกไม่มีความรู้สึกกลัวหรือตัวสั่น  ไม่มีใครมีอาการขนลุกซู่หรือขนลุกขนพองเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กที่เราเคยเล่าเรื่องผีหลอกให้กลัวกัน  โยบกล่าวว่า “วิญญาณดวงหนึ่งวูบผ่านหน้าข้าไป  ข้าขนลุกซู่” (โยบ 4:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  แต่ในการประชุมที่ไชเซิลเฮิร์สท์ไม่มีความรู้สึกกลัวหรือน่าตกใจกลัว มีแค่ความรู้สึกตะลึงกับการสถิตอยู่ของพระเจ้าอย่างมากล้น  คุณจะอธิบายความตะลึงนี้อย่างไร?  มันเหมือนกับความรู้สึกตะลึงเมื่อคุณเห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆจะตกดิน  ที่มีเมฆตระหง่านงดงามและแสงทองของดวงอาทิตย์ยามอัศดงให้คุณได้สัมผัสสวรรค์แวบหนึ่ง  บางครั้งผมจะมองดูผู้คนที่ยืนอึ้งตรงหน้าอาทิตย์อัศดงที่งดงามน่าตื่นตะลึง  แต่แม้อย่างนั้นก็เปรียบเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ตื่นตะลึงอย่างมากที่เราทั้งหกสิบคนมีประสบการณ์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์

         จากนั้นคนก็เริ่มสารภาพความบาปของพวกเขา  ไม่มีใครนำประชุมอีกต่อไป  หลังจากประกาศชื่อเพลงผู้นำประชุมก็หายหน้าไปเลยสองสามชั่วโมงถัดมา  เขาไม่ได้พยายามจะนำอะไรเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงควบคุมสถานที่แห่งนั้น  คนข้างๆผมมีน้ำตาไหลอาบแก้มของเขา ตรงมุมห้องมีบางคนกำลังสารภาพบาปของเขาออกมาดังๆ  แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อีกคนก็ยืนขึ้นสารภาพบาปและเป็นอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอย่างมากต่อการสถิตอยู่ที่เต็มด้วยความบริสุทธิ์นี้ทำให้คนพากันสารภาพบาปของพวกเขา มีความสำนึกตัวถึงความสกปรกโสโครกและความเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  และทุกคนกำลังรอการชำระให้สะอาดต่อพระพักตร์ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า

         สภาพเช่นนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ  เป็นเวลานานเท่าไรผมก็ไม่รู้จริงๆเพราะทุกคนลืมเรื่องเวลาไปหมด  ดูเหมือนจะอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา  เราไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนและเราก็ไม่สนใจ  เมื่อคุณอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา ใครล่ะจะสนใจเรื่องเวลา?  การประชุมเริ่มต้นเก้าโมงครึ่งหลังอาหารเช้าและหลังจากการหาไข่อิสเตอร์  ตอนหาไข่ทุกคนกำลังสนุกสนานวิ่งหาไข่อิสเตอร์กันจ้าละหวั่น  เราเข้ามาในห้องประชุมด้วยเสียงหัวเราะและนั่งลงเปิดหนังสือเพลง  ในวิญญาณจิตของเราไม่ได้ถูกเร้าใจด้วยเสียงดนตรีนมัสการหรือด้วยการใคร่ครวญอยู่อย่างเงียบๆ  เรานั่งลงได้สองสามนาทีผู้นำประชุมก็พูดว่า “ให้เราร้องเพลงนี้ด้วยกัน”  แล้วการสถิตอยู่ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็เข้ามาในท่ามกลางเรา!  ไม่ได้มีการเตรียมการในทางจิตวิทยาแต่อย่างใด  แต่เราก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา

         ผมจำได้เลาๆว่ามีเสียงเคาะประตู  เจ้าหน้าที่ค่ายกำลังแจ้งคนที่อยู่ใกล้ประตูว่าอาหารเที่ยงพร้อมแล้ว คนที่อยู่ใกล้ประตูพูดขอบคุณแล้วก็ปิดประตู  แต่ไม่มีใครคิดถึงอาหารกลางวันกันเลย  ในเวลานั้นการสถิตอยู่อย่างเต็มล้นของพระเจ้าน่าจะผ่านไปสามชั่วโมงแล้วเพราะเวลาทานอาหารกลางวันคือเที่ยงครึ่ง ไม่มีใครสนใจอาหารกลางวันเมื่อมีการสถิตอยู่อย่างเต็มล้นของพระเจ้า มันไม่ใช่เป็นการสถิตอยู่แบบชั่วแวบเดียวของพระองค์ แต่เป็นการดำเนินต่อไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า  ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วการประชุมเลิกไปตอนไหน แต่คงจะราวๆบ่ายสอง  เรายังคงอยู่แบบนั้นสี่หรือห้าชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  เมื่อทุกสิ่งจบลงก็มีความรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริง  หลังจากการสารภาพความบาปก็มีการสรรเสริญและรู้สึกได้ถึงความรัก ความยินดี และสันติสุข ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณ!

         แต่ประสบการณ์แบบนั้นได้ทำให้ทุกคนเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม? น่าเสียดายที่ไม่ใช่  ประสบการณ์แบบนั้นไม่จำเป็นว่าจะทำให้คุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  มันขึ้นกับว่าคุณทำอย่างไรกับมัน  คนฝ่ายเนื้อหนังอาจชื่นชมยินดีกับประสบการณ์แต่ไม่ช้าเขาก็กลับไปสู่ความเป็นเนื้อหนังของเขา  สำหรับผมแล้วประสบการณ์นั้นแตะต้องความคิดและจิตใจของผมและนำผมให้มีความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้นกับพระเจ้า

         เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นั้น  ผมตระหนักว่าผมไม่ได้รู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สาม  มีแต่เพียงความรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว

 

พระวิญญาณของพระเยซู

         แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไรหรือ?   คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏราวๆ 90 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  จาก 90 ครั้งนี้มีปรากฏ 41 ครั้งในกิจการและ 13 ครั้งในลูกา  ลูกาและกิจการเขียนโดยคนๆเดียวกันคือลูกา  เฉพาะในลูกากับกิจการจะมีจำนวนปรากฏทั้งหมด 54 ครั้ง  จำนวนนี้ถือว่าเป็น 60% ของการปรากฏทั้งหมดของ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในพระคัมภีร์ใหม่   คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เป็นคำศัพท์เฉพาะของลูกา (ที่เขียนกิจการด้วย) ในหนังสือเล่มอื่นๆทั้งหมดของพระคัมภีร์ใหม่ มีคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏน้อยครั้งกว่าและไม่ได้มีปรากฏในวิวรณ์แม้แต่ครั้งเดียว

         ทำไมลูกาที่น่าจะเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในบรรดาผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จึงได้เลือกใช้คำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”?  เราได้เห็นว่าการสถิตอยู่ของพระเจ้าจะมาพร้อมๆกับการรับรู้ได้อย่างมากถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์  นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกาใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของคนต่างชาติที่ความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้ถูกปนเปื้อน  คนต่างชาติจะคิดถึงในแง่ของพระต่างๆมากกว่าคิดถึงพระเจ้า  ลูกาแนะนำคำ “บริสุทธิ์” เพื่อจะแยกแยะพระเจ้าที่แท้จริงจากบรรดาพระของคนต่างชาติที่ไม่บริสุทธิ์  ถ้าคุณอ่านตำนานเทพเจ้าของกรีก คุณจะรู้ว่าพระต่างๆของกรีกสามารถเป็นฝ่ายเนื้อหนังได้เหมือนกับมนุษย์และบางครั้งก็เป็นฝ่ายเนื้อหนังมากยิ่งกว่า พระเหล่านั้นยังเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนจนคุณคิดสงสัยว่าจะมีใครมานมัสการได้อย่างไร  นอกจากนี้พระเหล่านี้ก็ถูกคนฝ่ายเนื้อหนังเรียกใช้ตามจุดประสงค์ทางเนื้อหนังของพวกเขาเอง  ถ้าคุณออกรบ คุณก็จะนมัสการเทพเจ้าแห่งสงคราม  ถ้าคุณอยากมีลูกคุณก็จะนมัสการเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์  สิ่งที่พระเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือความไม่บริสุทธิ์  ดังนั้นหากจะประกาศความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่แท้จริงให้กับคนต่างชาติ  เราจะต้องอธิบายกับพวกเขาว่าพระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์

         พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซูหรือพระวิญญาณของพระคริสต์ด้วย คำเรียกทั้งสองนี้จะพบน้อย แต่ละคำเรียกมีปรากฏอย่างละสองครั้ง ทั้งหมดรวมเป็นสี่ครั้ง (กิจการ 16:7 โรม 8:9 ฟีลิปปี 1:19 และ 1 เปโตร 1:11)[10]  ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซู?  คำนี้ไม่คุ้นกับคนในพระคัมภีร์เดิม  ส่วนในพระคัมภีร์เดิมนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทำงานอย่างชัดแจ้งแล้วในบางคน  ตัวอย่างหนึ่งก็คือโมเสสผู้ที่เต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า  หรือผู้ที่ทำหน้าที่โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ  ที่จริงโมเสสทำหน้าที่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจนถึงขนาดสามารถพูดได้ว่าพระวิญญาณเป็นวิญญาณของโมเสส  ในกันดารวิถี 11:17  พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้า มาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า  เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง  (กันดารวิถี 11:17 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         โมเสสทำงานหนักเกินไปและแบกภาระตามลำพัง  ดังนั้นพระเจ้าจึงเอาวิญญาณที่อยู่บนโมเสสและใส่บนพวกผู้ใหญ่ที่จะช่วยโมเสสแบ่งเบางานของเขา  ข้อ 25 กล่าวว่า

และพระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส แล้วทรงเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นด้วย เมื่อวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลย (กันดารวิถี 11:25 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         พวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนได้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ  แต่พวกเขาไม่ได้รักษาความสามารถของการเผยพระวจนะของพวกเขา  บทบาทหลักของพวกเขาก็คือแบ่งเบาภาระงานของโมเสส  จงสังเกตคำพูดในข้อ 17  “เราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้า”  เราคงหวังให้พระเจ้าตรัสเช่นนี้ว่า “เราจะให้วิญญาณของเรากับพวกผู้ใหญ่เหมือนที่เราได้ให้วิญญาณของเรากับเจ้า”  เมื่อพูดถึงวิญญาณ  พระเจ้าไม่ได้หมายถึงวิญญาณมนุษย์ของโมเสสเองเพราะคงไม่มีใครจะบอกว่าวิญญาณมนุษย์ของคนๆหนึ่งว่าอยู่ “บนเขา”  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำก็คือทรงเอาพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสสมาใส่บนผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน  พระเจ้าทรงเอาพระวิญญาณของโมเสสจากโมเสส (คือพระวิญญาณบนโมเสส) แล้วใส่บนผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนเพื่อพวกเขาจะได้แบ่งปันพระวิญญาณองค์เดียวกัน

         พระเจ้าไม่ได้ให้พระวิญญาณของพระองค์โดยตรงกับผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน พระองค์ต้องการให้พวกเขารู้ว่าพระวิญญาณที่ใส่บนพวกเขาเป็นพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส เพื่อให้สิทธิอำนาจของพวกเขาขึ้นอยู่กับตัวโมเสส ตรงนี้เราเห็นพระปัญญาที่น่าทึ่งของพระเจ้า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่น่าประหลาดใจนี้เพื่อพวกผู้ใหญ่จะได้ไม่คิดอย่างนี้ว่า “เมื่อโมเสสได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ ดังนั้นเราก็จะได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ด้วย และจะทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับโมเสส” พระเจ้าทรงตั้งโครงสร้างของผู้นำอย่างเป็นระเบียบ และพระองค์ไม่ทรงต้องการจะสร้างกลุ่มผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนที่มีฐานะเทียบเท่าโมเสส ปัญหาในอิสราเอลก็มีพอแล้วจึงไม่ควรต้องมามีปัญหากับการนำที่แตกแยก

         ในพระคัมภีร์เดิมจะมีคนของพระเจ้าน้อยมาก  และหนึ่งในนั้นก็คือเอลียาห์  พระคัมภีร์พูดถึง “วิญญาณของเอลียาห์”  นี่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ของเอลียาห์เอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า  และพระวิญญาณนี้อยู่บนเขา  จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้

เมื่อ​ข้าม​ไป​แล้ว เอ​ลี​ยาห์​พูด​กับ​เอ​ลี​ชา​ว่า “ท่าน​อยาก​ให้​เรา​ทำ​อะไร​ให้ ก็​จง​ขอ​เถิด ก่อน​ที่​เรา​จะ​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน” และ​เอ​ลี​ชา​ตอบ​ว่า “โปรด​ให้​ข้าพ​เจ้า​ได้​รับ​ฤทธิ์​เดช (วิญญาณ)[11]​ ของ​ท่าน​สอง​ส่วน” และ​เอ​ลี​ยาห์​ตอบ​ว่า “ท่าน​ขอ​สิ่ง​ที่​ยาก​นัก แต่​ถ้า​ท่าน​เห็น​เรา​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน ท่าน​ก็​จะ​ได้​อย่าง​นั้น แต่​ถ้า​ท่าน​ไม่​เห็น ท่าน​ก็​จะ​ไม่​ได้” เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​สอง​ยัง​เดิน​สนทนา​กัน​ต่อ​ไป ดู​สิ รถ​รบ​เพลิง​คัน​หนึ่ง​และ​พวก​ม้า​เพลิง​ได้​แยก​เขา​ทั้ง​สอง​ออก​จาก​กัน และ​เอ​ลี​ยาห์​ได้​ขึ้น​ไป​สวรรค์​โดย​พายุ เอ​ลี​ชา​เห็น และ​ร้อง​ว่า “พ่อ​ของ​ข้า พ่อ​ของ​ข้า รถ​รบ​แห่ง​อิส​รา​เอล และ​ทหาร​ม้า​ประ​จำ​รถ” และ​ท่าน​ก็​ไม่​ได้​เห็น​เอ​ลี​ยาห์​อีก​เลย แล้ว​ท่าน​จับ​เสื้อ​ของ​ตน​ฉีก​ออก​เป็น​สอง​ท่อน เอ​ลี​ชา​ก็​หยิบ​เสื้อ​คลุม​ของ​เอ​ลี​ยาห์ ที่​ตก​ลง​มา​จาก​เอ​ลี​ยาห์​นั้น และ​กลับ​ไป​ยืน​อยู่​ที่​ฝั่ง​แม่​น้ำ​จอร์​แดน แล้ว​ท่าน​ก็​เอา​เสื้อ​คลุม​ของ​เอ​ลี​ยาห์​ที่​ตก​ลง​มา​นั้นฟาด​ลง​ที่​น้ำ กล่าว​ว่า “พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เอ​ลี​ยาห์​สถิต​ที่​ใด?” และ​เมื่อ​ท่าน​ฟาด​ลง​ที่​น้ำ น้ำ​ก็​แยก​ออก​ไป​สอง​ข้าง และ​เอ​ลี​ชา​ก็​เดิน​ข้าม​ไป เมื่อ​เหล่า​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ที่​อยู่​เมือง​เย​รี​โค​เห็น​ท่าน​อยู่​แต่​ไกล เขา​ทั้ง​หลาย​พูด​ว่า “ฤทธิ์​เดช (วิญญาณ)[12]​ ของ​เอ​ลี​ยาห์​อยู่​กับ​เอ​ลี​ชา” และ​เขา​ทั้ง​หลาย​มา​พบ​ท่าน แล้ว​โน้ม​ตัว​ลง​ถึง​ดิน​คำ​นับ​ท่าน (2 พงศ์กษัตริย์ 2:9-15 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         เอลีชาขอวิญญาณของเอลียาห์ “สองส่วน”  เขาไม่ได้ผยองที่ต้องการวิญญาณของเอลียาห์สองเท่าให้มากเท่ากับเอลียาห์   จริงๆแล้วเขากำลังขอว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบุตรหัวปีของท่าน”[13]  เพราะบุตรหัวปีจะได้รับมรดกเป็นสองเท่าจากบิดา ในการแบ่งมรดกนั้นบุตรชายแต่ละคนจะได้รับคนละหนึ่งส่วน แต่บุตรชายหัวปีจะได้รับสองส่วน  เรื่องของมรดก (ในกรณีนี้เป็นมรดกทางจิตวิญญาณ) เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าเอลียาห์มีสาวกอยู่มากที่เรียกว่า “บรรดาบุตรของผู้เผยพระวจนะ” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปรากฏสี่ครั้งในบทนี้บทเดียว (2 พงศ์กษัตริย์ 2) เอลีชาซึ่งเป็นคนใกล้ชิดเอลียาห์ที่สุดได้ขอสองส่วน แต่เอลียาห์บอกว่าคำร้องขอไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแต่ขึ้นอยู่กับพระยาห์เวห์ที่จะประทานให้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ เอลีชาได้รับสิ่งที่เขาขอ และเมื่อเขาฟาดเสื้อคลุมของเอลียาห์ลงที่น้ำในแม่น้ำจอร์แดน แม่น้ำก็แยกออก

         จากพระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่าพระวิญญาณของพระเยซูเป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่เต็มอยู่ในพระเยซู  พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์โดยตรงจากพระองค์เองแต่ทางพระเยซูซึ่งคล้ายกับกรณีของโมเสสกับผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน  พระเยซูทรงเป็นช่องทางที่พระวิญญาณมาถึงเรา  พระวิญญาณของพระเยซูเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ก็เหมือนกับวิญญาณของโมเสสที่ไม่ใช่วิญญาณของเขาเองแต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (และเหมือนกับวิญญาณของเอลียาห์) พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ถูกส่งผ่านมาถึงเราทางพระเยซู  เมื่อพระเยซูทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้พระองค์ทรงเต็มด้วยความบริบูรณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือการสถิตอยู่ของพระเจ้าเต็มอยู่ในพระกายของพระองค์  พระยาห์เวห์ประทับอยู่ในพระกายของพระเยซูจนถึงกับที่พระยาห์เวห์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับพระเยซู “อย่างไม่จำกัด” (ยอห์น 3:34[14] ที่บริบทพูดถึงพระเยซู)  การสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์เต็มอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระเยซูโดยที่พระวิญญาณไม่ได้ถูกส่งผ่านให้กับเหล่าสาวกจนกระทั่งหลังการฟื้นคืนพระชนม์  ทำไมจึงไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้กับพวกเขาก่อนหน้านี้?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “อย่างไม่จำกัด” หมายถึงไม่มีขีดจำกัด  ทั้งหมดของพระยาห์เวห์และความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ความเป็นพระองค์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระกายของพระเยซู สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอื่นแม้กระทั่งกับโมเสสหรือเอลียาห์

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระวิญญาณของพระเจ้า

         เปาโลกล่าวว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณของมนุษย์เกี่ยวข้องกับมนุษย์

 

ความคิดของมนุษย์ใครไหนเล่าจะรู้เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง เช่นเดียวกันไม่มีใครหยั่งรู้พระดำริของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด (1 โครินธ์ 2:11-12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         วิญญาณที่เรามีเป็น “ศักยภาพ” ที่น่าทึ่งหากเราอยากจะใช้คำนั้น    วิญญาณของเราไม่ได้เป็นอีกคนหนึ่งในเรา ไม่อย่างนั้นเราก็คงเป็นผู้ป่วยจิตเภทที่มีสองคนอาศัยอยู่ภายในตัวเรา  วิญญาณที่อยู่ภายในเราก็คือตัวของเรานั่นเอง

         ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นอีกบุคคลที่แยกจากพระเจ้า  พระวิญญาณเป็นวิญญาณของพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณเป็นวิญญาณของเรา  เมื่อเราพูดถึงพระวิญญาณเราจะพูดว่า “มัน (it)”[15] หรือว่า “พระองค์ (he)”?  เราคงไม่พูดว่า “มัน” ในความหมายที่เป็นนามธรรมเพราะวิญญาณเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้น  วิญญาณของผมก็คือตัวผม นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจึงไม่กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “มัน (it)”  หรือ “อำนาจชักจูง”  วิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถจะตรวจสอบตัวเอง นั่นก็คือวิญญาณของมนุษย์มีความสามารถที่จะตรวจค้นตัวเอง  ดังที่เปาโลกล่าวว่า ทุกคนจงสำรวจตัวเองที่สำรับขององค์ผู้เป็นเจ้า (1 โครินธ์ 11:28)  เปาโลไม่ได้กำลังบอกว่ามนุษย์มีบุคลิกภาพของสองคนในคนเดียวกันที่ส่วนหนึ่งจะตรวจสอบอีกส่วนหนึ่ง วิญญาณของมนุษย์ก็สำรวจตัวมนุษย์เอง  เช่นเดียวกับที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือส่วนของพระเจ้าที่สำรวจสิ่งลึกๆของพระเจ้า (1 โครินธ์ 2:10)[16]

         เปาโลบอกเราว่าวิญญาณสามารถคงอยู่เหมือนมีตัวตนที่แยกต่างหากจากร่างกายและทำงานอย่างเป็นอิสระภายนอกร่างกาย

แม้ว่า​ตัว​ข้าพ​เจ้า​ไม่​ได้​อยู่​กับ​พวก​ท่าน แต่​ใจ(วิญญาณ)​[17]ของ​ข้าพ​เจ้า​ก็​อยู่​​เสมือน​ว่า​ข้าพ​เจ้าอยู่​ด้วย ข้าพ​เจ้า​ได้​ตัด​สิน​ลง​โทษ​คน​ที่​ทำ​ผิด​เช่น​นี้  ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าของเรา เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ประชุม​กัน​ และ​ใจ(วิญญาณ)[18]​ของ​ข้าพ​เจ้า​ร่วม​อยู่​ด้วย พร้อม​ทั้ง​ฤทธานุภาพ​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา  พวก​ท่าน​จง​มอบ​คน​เช่นนี้ให้​ซาตาน​ทำ​ลาย​เนื้อ​หนังเสีย เพื่อ​จิต​วิญ​ญาณ​ของ​เขาจะได้รับความ​​รอดใน​วัน​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า (1 โครินธ์ 5:3-5)

         เปาโลกำลังประกาศการลงวินัยกับคนที่ทำบาปอย่างร้ายแรง เปาโลไม่ได้อยู่ในเมืองโครินธ์ในเวลานั้น แต่เขาสั่งผู้ที่อยู่ในคริสตจักรโครินธ์ให้ดำเนินการลงวินัย  เปาโลหมายถึงอะไรหรือที่บอกว่า “ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​ร่วม​อยู่​ด้วย”?  บางครั้งเราจะพูดว่า “ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​ก็อยู่​ด้วย” แบบไม่คิดมาก  แต่เปาโลหมายถึงอย่างนั้นแบบจริงจังเพราะ “ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​ร่วม​อยู่​ด้วย พร้อมทั้ง​ฤทธา​นุภาพ​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา”

         สมมุติว่าผมอยู่ในประเทศแคนาดาและผมคิดถึงคุณ  ผมก็สามารถมีใจจดจ่ออย่างมากอยู่กับคุณจนเหมือนว่าวิญญาณของผมอยู่กับคุณด้วยจริงๆ ผมอาจไม่ทราบว่าคุณกำลังอยู่ในห้องของคุณหรือว่าคุณกำลังเดินอยู่บนท้องถนน  สถานการณ์ภายนอกจะไม่สำคัญ  แต่มีวิญญาณที่พบกับวิญญาณเกิดขึ้นจริง  เมื่อยังเป็นคริสเตียนอ่อนหัด บางครั้งผมจะรู้สึกอย่างมากว่ามีคนกำลังอธิษฐานเผื่อผมเหมือนว่าเขาคนนั้นอยู่กับผมด้วย  ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาทูลวิงวอนองค์ผู้เป็นเจ้าเพื่อผม  ผมมีประสบการณ์แบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งและผมก็รู้ว่าใครกำลังอธิษฐานเผื่อผม  ผมไม่สามารถจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้   หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกเลย  ผมเชื่อว่าคนที่อธิษฐานเผื่อผมได้เสียชีวิตแล้ว  ผมกำลังหมายถึงเฮนรี่ ชอย[19] คนของพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ช่วยผมอย่างมากในฝ่ายวิญญาณ  มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าเขากำลังอธิษฐานเผื่อผมและผมรู้ว่าต้องเป็นเขา  แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นอีก  เหตุนี้เองผมจึงสรุปว่าเขาได้เสียชีวิตในค่ายกักกันสักแห่งหนึ่งแล้ว  ฉะนั้นเมื่อเปาโลกล่าวว่า “ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​ร่วม​อยู่​ด้วย” เปาโลจึงอยู่ในโครินธ์จริงๆด้วยฤทธานุภาพของพระเยซู

      นี่เป็นอีกกรณีที่เป็นไปได้ของการแยกร่างกายและจิตวิญญาณ

ข้าพ​เจ้า​รู้จัก​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​อยู่​ใน​พระ​คริสต์ เมื่อ​สิบ​สี่​ปี​ที่​แล้ว​เขา​ถูก​รับ​ขึ้น​ไป​ยัง​สวรรค์​ชั้น​ที่​สาม (จะ​ไป​ทั้ง​ร่าง​กาย​หรือ​ไป​โดย​ไม่​มี​ร่าง​กาย​ข้าพ​เจ้า​ไม่​รู้ พระ​เจ้า​ทรง​รู้)  ข้าพ​เจ้า​รู้​ว่า​ชาย​คน​นี้ (จะ​ไป​ทั้ง​ร่าง​กาย​หรือ​ไม่​มี​ร่าง​กาย​ข้าพ​เจ้า​ไม่​รู้ พระ​เจ้า​ทรง​รู้) (2 โครินธ์ 12:2-3  ฉบับมาตรฐาน 2011)

         เปาโลกล่าวสองครั้งว่า “ทั้งร่างกายหรือโดยไม่มีร่างกาย” เพื่อเน้นว่าชายในพระคริสต์คนนี้อาจถูกรับสู่สวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ  หรือวิญญาณโดยไม่มีร่างกาย  เปาโลพูดถึงการแยกกันร่างกายกับวิญญาณโดยที่วิญญาณทำหน้าที่อย่างมีอิสระจากร่างกาย  ในทำนองเดียวกันกับวิวรณ์ที่ยอห์นพูดถึงการถูกนำด้วยพระวิญญาณ (วิวรณ์ 21:10 เปรียบเทียบกับวิวรณ์ 1:10, 4:2)[20]

         พระยาห์เวห์ก็ทรงสามารถส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปเช่นกัน  และเมื่อทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปพระองค์ก็ทรงส่งการสถิตอยู่ของพระองค์ออกไปด้วย  พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพ หรือเป็นอีกพระองค์หนึ่งต่างหากที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์เอง  เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่พูดถึงพระวิญญาณว่า “มัน (it)” เพราะจะเป็นการพูดถึงพระเจ้าว่า “มัน” ซึ่งใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท  แต่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24)[21] และองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (2 โครินธ์ 3:17)[22]  ด้วยเหตุที่พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์เอง  ฉะนั้นการเต็มด้วยพระวิญญาณก็คือการเต็มด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์  ในวันเพ็นเทคอสต์ พระยาห์เวห์เสด็จลงมาและเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกคนในห้องชั้นบน  มันน่าอัศจรรย์ใช่ไหมที่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพหรือร่างเงา  แต่เป็นพระยาห์เวห์เองที่สถิตอยู่ในเรา?

         สิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์นั้นเข้าใจได้ไม่ยาก  เราได้เห็นว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ได้เรียกว่าคริสตจักรของพระคริสต์หรือคริสตจักรของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โรม 16:16 กล่าวถึง “คริสตจักรของพระคริสต์” แต่เป็นการกล่าวถึงกลุ่มที่ประชุมกันในท้องถิ่น  แต่คริสตจักรสากลนั้นถูกเรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่น กิจการ 20:28 และ 1 โครินธ์ 1:2)[23]  นอกจากนี้ยังมี “คริสตจักรต่างๆของพระเจ้า” (เช่น 1 โครินธ์ 11:16 และ 1 เธสะโลนิกา 2:14)[24] แต่คริสตจักรเหล่านี้เป็นที่ประชุมของผู้เชื่อท้องถิ่น  ด้วยเหตุที่คริสตจักรคือ “คริสตจักรของพระเจ้า” คุณก็น่าจะคาดหวังว่าพระเจ้าเองจะสถิตอยู่ในคริสตจักรโดยพระวิญญาณของพระองค์

         สิ่งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องของประทานจากพระวิญญาณที่สรุปไว้ใน  1 โครินธ์บท 12 และ 14 ได้ดีขึ้น  พระเจ้าทรงจัดสรรของประทาน​​ต่างๆตาม​ชอบ​พระ​ทัยของ​พระ​องค์ (1 โครินธ์ 12:11)[25]โดยพระวิญญาณของพระองค์เอง  พระวิญญาณเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าในคริสตจักร  เป็นคริสตจักรขององค์ผู้เป็นเจ้าเองและพระองค์ทรงจัดสรรของประทาน​ต่างๆ​ตาม​ที่​พระ​องค์เห็นควร  คุณอาจได้รับของประทานอย่างหนึ่งและผมอาจได้รับอีกอย่างหนึ่ง  บางคนได้รับของประทานสองหรือสามอย่าง  อัครทูตเปาโลดูเหมือนว่าจะมีของประทานฝ่ายวิญญาณทุกอย่างเท่าที่เห็นได้

 

บัพติศมาในพระนามเดียว

ให้เราพิจารณาเรื่องบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร  และพระวิญญาณบริสุทธิ์

18พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:18-19  อมตธรรมร่วมสมัย)

         สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​สิ้น​ทั้งใน​สวรรค์​และ​แผ่น​ดิน​โลก​ได้มอบ​ไว้​แก่​พระเยซู​แล้ว  คำว่า “ดังนั้น” ในข้อถัดมาชี้ชัดว่าพระเยซูกำลังจะอธิบายว่าพระองค์จะทรงทำอะไรกับสิทธิอำนาจนั้น  แต่ว่าใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระองค์ตั้งแต่ต้น?  ผู้ที่ให้สิทธิอำนาจพระองค์ก็คือพระยาห์เวห์  พระเยซูกำลังบอกว่าด้วยสิทธิอำนาจจากพระยาห์เวห์ที่ทรงมอบให้พระองค์นั้น  เราจะบัพติศมาในพระนามเดียวของพระบิดาและของพระบุตรและของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มีอะไรในคำกล่าวนี้ไหมที่เข้าใจยาก?  เรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาจากมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว   มันง่ายเสียจนไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย  พระเยซูไม่ได้กระทำการในนามของพระองค์เอง  แต่กระทำการในพระนามที่ได้ให้สิทธิอำนาจกับพระองค์  พระองค์กระทำการในพระนามนั้นและเราบัพติศมาในพระนามนั้น

         ในส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระคัมภีร์ใหม่เคยพูดถึงใครไหมว่าได้ทำสิ่งใด “ในพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์”?  ไม่มีคำดังกล่าวว่า “ในพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์”  เพราะ “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ใช่พระนามๆหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงพระวิญญาณอย่างตรงตัว  ในทำนองเดียวกัน “วิญญาณของมนุษย์” ก็ไม่ใช่ชื่อหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงตัวมนุษย์เองอย่างตรงตัว   “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ใช่พระนามๆหนึ่งแต่เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์นั่นเอง

         คำประกาศการบัพติศมาในมัทธิว 28:19 ไม่ได้บอกว่า “ในพระนามของพระเยซู”  เพราะพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งต่างๆในนามของพระองค์เอง  นี่เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพดูเหมือนจะไม่เคยเข้าใจ  ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า พระเยซูไม่เคยทำการสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง  คุณจะไม่พบพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวที่กล่าวว่าพระเยซูทรงกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง  ไม่มีบันทึกไว้เช่นนั้นเลย  เรากระทำในพระนามของพระองค์  แต่พระองค์ไม่เคยกระทำในพระนามของพระองค์เอง

         เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ในพระนามของพระบิดา” (พระยาห์เวห์) ในมัทธิว 28:19 พระองค์ไม่ได้กำลังพูดถึงพระนามที่แยกสำหรับพระเยซูหรือพระวิญญาณ  เราได้เห็นว่าไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และก็ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในนามของพระเยซูก่อนหนังสือกิจการ  ในพระกิตติคุณสี่เล่มไม่มีตัวอย่างว่ามีผู้ใดกระทำสิ่งใด “ในนามของพระเยซู”  นี่รวมถึงพระเยซูเอง  เพราะพระองค์กล่าวถึงพระองค์เองว่า “เรา​ได้มา​ใน​พระ​นาม​ของพระ​บิดา​ของ​เรา​และ​​ท่าน​ไม่​ยอม​รับ​เรา  แต่ถ้า​ผู้​อื่น​มา​ใน​นาม​ของ​เขา​เอง  ท่าน​​จะ​ยอมรับ​ผู้นั้น” (ยอห์น 5:43 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

     พระเยซูไม่เคยมาในนามหรือสิทธิอำนาจของพระองค์เอง  แต่มาในนามของพระบิดาเท่านั้น นั่นก็คือในพระนามของพระยาห์เวห์ (สำหรับพระเยซูแล้ว พระบิดาของพระองค์คือพระยาห์เวห์เสมอ) ในทางกลับกันคนฝ่ายเนื้อหนังจะต้อนรับผู้ที่มาในนามของพวกเขาเอง ซึ่งอาจเป็นดาราเพลงร็อคที่ยิ่งใหญ่ แต่จะไม่ต้อนรับผู้ที่มาในนามของพระยาห์เวห์  พระเยซูยังกล่าวว่า “สิ่ง​ที่​เรา​ทำ​ใน​พระ​นาม​พระ​บิดา​ของ​เรา​ก็​เป็น​พยาน​ให้​กับ​เรา” (ยอห์น 10:25 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ยิ่งไปกว่านั้นพระราชกิจต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำในพระนามของพระบิดาก็เป็นพยานว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (ข้อ 24) ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระเจ้า พระเยซูจึงไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง  ถ้าผมทำสิ่งใดในนามหรือในสิทธิ หรือในอำนาจของผมเอง ผมก็จะไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระเจ้า

         ยอห์น 12:13 กล่าวว่า “พวก​เขา​​ถือ​ทาง​อินท​ผลัม​​ออก​มารับ​เสด็จและโห่ร้อง​ว่า ‘โฮ​ซัน​นา! สรรเสริญ​พระ​องค์​ผู้​เสด็จ​มา​ใน​พระ​นาม​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า! สรรเสริญองค์กษัตริย์​แห่ง​อิส​รา​เอล!’”(ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) การโห่ร้องอย่างยินดีว่า “สรรเสริญ​พระ​องค์​ผู้​เสด็จ​มา​ใน​พระ​นาม​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” ถูกบันทึกในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 21:9 มาระโก 11:9 ลูกา 19:38  และยอห์น 12:13)  เป็นการอ้างอิงจากสดุดี 118:26[26]  ที่คำว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” ในฉบับภาษาฮีบรูหมายถึงพระยาห์เวห์

         ถ้าพระเยซูไม่เคยเสด็จมาในพระนามของพระองค์เอง หรือกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แล้วพระองค์จะทรงบัพติศมากับใครๆในพระนามของพระองค์เองได้อย่างไร?  ในที่สุดแล้วเราจะได้รับบัพติศมาในพระนามของพระบิดาคือพระยาห์เวห์ ซึ่งหมายความว่าเรามาเป็นสมบัติของพระยาห์เวห์และมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระเจ้า

         ในหนังสือกิจการ เหล่าสาวกได้บัพติศมาคนทั้งหลายในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 8:12) นี่ขัดแย้งกับคำสอนและการปฏิบัติของพระเยซูเองไหม?  ก็ไม่เลย  ให้เราดูแผ่นภาพลูกโซ่ของอำนาจที่เราดูมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง

ch14 4

         จงสังเกตตัวพิมพ์ใหญ่ “LORD” (ยาห์เวห์)  อักษรขึ้นต้นตัวใหญ่ “Lord” (พระคริสต์) และตัวพิมพ์เล็ก “lord” (สามี/ผู้นำ)  ในทั้งสามกรณีนี้คำกรีกที่ใช้เป็นคำเดียวกันคือ ch14 5 (kurios, Lord)[27]  คำกล่าวของพระเยซูในมัทธิว 28 จึงสามารถเข้าใจได้ว่า “สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​หมดทรง​มอบ​ไว้​แก่​เรา​ด้วยสิทธิอำนาจนั้น จงให้บัพ​ติศ​มา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​บิดา”  เราได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระคริสต์ในพระนามของพระยาห์เวห์ (เปรียบเทียบกับโรม 6:3 และกาลาเทีย 3:27)[28]  พระวิญญาณทำให้เราเข้าในพระคริสต์ “เรา​ทั้ง​หลาย​ได้รับ​บัพติศมา​โดย​พระ​วิญญาณ​องค์​เดียว​เข้า​เป็น​กาย​เดียว​กัน” (1 โครินธ์ 12:13)[29]  พระวิญญาณมีส่วนในการบัพติศมาแต่เราไม่ได้บัพติศมาในพระนามของพระวิญญาณ  คำกล่าวถึงการบัพติศมาในมัทธิว 28 ไม่ได้มีการบัพติศมาในพระนามของพระเยซู  แต่ในกิจการมีการบัพติศมาในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 10:48) นั่นก็คือการบัพติศมาในสิทธิอำนาจของพระเยซู

      แผ่นภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยโครงสร้างของใบโคลเวอร์ที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้   ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นจะบัพติศมาในสามพระนาม  แต่ในมัทธิว 28:19  มีเพียงพระนามเดียว

 

ch14 6

 

         ตามแผ่นภาพที่ 7 ถ้าคุณกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระคริสต์ในลูกโซ่ของอำนาจ สุดท้ายคุณก็กำลังกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์  ขณะที่พระเยซูทรงทำทุกสิ่งในพระนามของพระยาห์เวห์  เราก็ทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูและผลสุดท้ายก็ทำในพระนามของพระยาห์เวห์   ในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวจะไม่มีความสับสนเลย   ในกรณีของสามีและภรรยา สามีสามารถกระทำการในนามของพระเยซูเพราะเขาอยู่ในสายของอำนาจ  ภรรยาสามารถกระทำการในนามของสามีของเธอเพราะว่าเธออยู่ภายใต้เขาและมีสิทธิอำนาจที่จะกระทำการในนามของเขา  ในทำนองเดียวกันกับในพระคัมภีร์เดิมที่คนหนึ่งสามารถกระทำการไม่เฉพาะแต่ในพระนามของพระเจ้า แต่ยังกระทำการในนามของเจ้านายของคนๆนั้น หรือในพระนามของกษัตริย์ด้วย (เอสเธอร์ 8:8-10)[30]

         ทางด้านขวาของแผ่นภาพที่ 9 เป็นลูกโซ่ของอำนาจในพันธกิจของคริสตจักร  ถ้าเราย้ายลูกโซ่นี้ไปตรงวงที่เรียกว่า “สามี/ผู้นำ” เราจะเห็นว่าเหล่าอัครทูตจะอยู่ใต้พระคริสต์โดยตรง  และในสุดท้ายก็กระทำการในพระนามของพระยาห์เวห์ (พระเจ้า)  ผู้เผยพระวจนะหรือผู้สอนสามารถกระทำการในนามของอัครทูตถ้าอัครทูตนั้นเป็นผู้ที่ส่งเขาออกไป  ถ้าเปาโลส่งทิโมธีออกไป ทิโมธีก็สามารถกระทำการในนามของเปาโลได้  นี่ไม่ได้เป็นการจัดเฉพาะบุคคลระหว่างเปาโลกับทิโมธี แต่เป็นส่วนของโครงสร้างทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ ในทำนองเดียวกันเมื่อพระเยซูทรงกระทำการในพระนามของ “LORD” (พระยาห์เวห์)  ผู้นำของคริสตจักรก็กระทำการในนามของพระคริสต์  และภรรยาก็กระทำการในนามสามีของเธอ

 

ch14 7

 

         ผมนึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเจนีวาประเทศสวิสเซอร์แลนด์  เจ้าของร้านอาหารจีนร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจร้านอาหารของเขา  เขามาจากประเทศจีนหรือฮ่องกง  วันหนึ่งเขาได้เจอสาวสวยจากประเทศจีนแล้วก็แต่งงานกับเธอ  มีวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองกลายเป็นคนล้มละลายเพราะภรรยาสาวของเขาได้กระทำการในนามของเขาเพื่อกวาดเอาเงินในบัญชีธนาคารของเขาจนเรียบ เธอหายตัวไปและเขาไม่เคยพบเธออีกเลยและเงินก็ไม่ได้คืนกลับมา

         คุณต้องแน่ใจว่าคุณให้ถูกคนแล้วมากระทำการในนามของคุณ  ผมแน่ใจว่าพระเยซูสนพระทัยเกี่ยวกับผู้ที่กระทำการในพระนามของพระองค์  บุตรชายเจ็ดคนของเส-วาพยายามจะขับผีออกในพระนามของพระเยซู  ผีร้ายจึงพูดกับพวกเขาว่า “พระ​เยซู​นั้น​ข้า​ก็​คุ้น​เคย และ​เปา​โล​นั้น​ข้า​ก็​รู้​จัก แต่​พวก​เจ้า​เป็น​ใคร​กัน?” แล้วผีก็กระโดดใส่บรรดาบุตรของเส-วาอย่างดุเดือด (กิจการ 19:13-16)

พระเยซูไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง

         ผมขอย้ำจุดสำคัญนี้ว่า  คุณจะไม่เข้าใจพระเยซูจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าพระองค์ไม่เคยกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง  พระองค์เสด็จมาในพระนามของ “LORD” นั่นคือในพระนามของพระยาห์เวห์   ในพระนามของพระยาห์เวห์นี่แหละที่พระเยซูทรงกระทำราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์  พระเยซูทรงสอนคำสอนทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ และตรัสคำตรัสทั้งสิ้นของพระองค์  เราเอาคุณลักษณะที่สวยงามนี้ออกไปจากพระเยซูเพราะเราต้องการให้พระองค์กระทำการในพระนามของพระองค์เอง

      วิวรณ์ 1:1 กล่าวว่า “นี่คือการสำแดงของ​พระ​เยซู​คริสต์​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ประ​ทาน​แก่​พระ​องค์  เพื่อ​แสดง​ให้บรร​ดา​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระ​องค์​เห็นสิ่ง​ที่​จะ​ต้อง​เกิด​ขึ้น​ในไม่ช้า  พระ​องค์​ทรง​ให้ทูต​สวรรค์​ของพระองค์ไป​สำแดงแก่ยอห์น​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมพบว่าศาสนศาสตร์ของวิวรณ์ค่อนข้างจะลึกลับ  หนังสือทั้งเล่มเป็น “การสำแดงของ​พระ​เยซู​คริสต์” ไม่ใช่การสำแดงที่พระเยซูทรงให้แต่เป็นการสำแดงที่ “พระเจ้าประทานให้พระองค์” ซึ่งก็คือให้กับพระเยซูคริสต์  หนังสือวิวรณ์นี้เป็นการสำแดงเกี่ยวกับ​พระ​เยซู​คริสต์  ไม่ใช่การสำแดงที่มาจากพระองค์  พระเยซูไม่เคยกระทำการสิ่งใดในพระนามหรือในสิทธิอำนาจของพระองค์เอง  การสำแดงที่พระเยซูให้กับยอห์นเป็นสิ่งที่พระเยซูเองได้รับมาจากพระยาห์เวห์  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะสำแดงแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ซึ่งรวมยอห์น ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า

         ตรงนี้เราเห็นการอยู่ใต้บัญชาพระยาห์เวห์ของพระคริสต์แม้กระทั่งในเรื่องของการสำแดง  พระคริสต์ได้รับการสำแดงจากพระยาห์เวห์  และเป็นผู้สื่อสารที่จะส่งการสำแดงต่อให้ยอห์น  ดังที่เราจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งในวิวรณ์

 

พระยาห์เวห์ในวิวรณ์

      ยอห์นเขียนว่า “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายอห์น ถึง​คริสต​จักร​ทั้ง​เจ็ด​ใน​แคว้น​เอ​เชีย ขอ​​พระ​คุณ​และ​สันติ​สุข​มีแก่ท่านทั้งหลายจาก​พระ​องค์​ผู้​ทรง​ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรง​อยู่ในอดีต และ​​จะ​เสด็จ​มา​และ​จาก​​วิญ​ญาณ​ทั้ง​เจ็ด​หน้า​พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระ​องค์” (วิวรณ์ 1:4 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) นี่เป็นการถอดความที่น่าสนใจของอพยพ 3:14 (“เรา​เป็น​ผู้​ซึ่ง​เรา​เป็น”)  พระคุณและสันติสุขมาจากพระองค์ “ผู้​ทรง​ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรง​อยู่ในอดีต และ​​จะ​เสด็จ​มา” ซึ่งเป็นการอ้างอิงอย่างมีจุดมุ่งหมายถึง “เรา​เป็น​ผู้​ซึ่ง​เรา​เป็น” หรือ “เราจะเป็นผู้ซึ่งเราจะเป็น” นอกจากนี้ยังเป็นการถอดความที่ดีเยี่ยมที่เปิดเผยความหมายพระนามของพระยาห์เวห์  มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของพระยาห์เวห์  และข้ออ้างอิงที่เกี่ยวข้องกันนี้คือสดุดี 90:2 “ก่อนภูเขาถือกำเนิด ก่อนที่พระองค์จะทรงให้แผ่นดินและโลกเกิดขึ้น  พระ​องค์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ตั้ง​แต่​นิ​รันดร์​กาลตลอดชั่วนิรันดร์กาล” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

          สี่ข้อต่อมาในวิวรณ์  สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของพระยาห์เวห์ถูกกล่าวซ้ำว่า “พระ​เจ้า​ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’  ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบัน  และดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา  เราคือองค์ทรงฤทธิ์” (วิวรณ์ 1:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         รอยนิ้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีให้เห็นทุกที่ในวิวรณ์  มันเป็นการสำแดงที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูเพื่อให้กับยอห์น  เราได้เห็นอีกครั้งที่พระเยซูทรงเป็นช่องทางของการสำแดงในเรื่องนี้

 

พระเยซูในวิวรณ์

          วิวรณ์บอกถึงพระเยซูไว้ว่าอย่างไร?  เราก็เหมือนกับชาวอิสราเอลที่ต้องการจะได้คนที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมดมาเป็นกษัตริย์และผู้ปกครองของเรา  ในกรณีของพระเยซู เราต้องการจะยกย่องพระองค์ให้เท่ากับพระเจ้า  แต่มีภาพแบบนั้นของพระเยซูในวิวรณ์ไหม? ก็ไม่มีเลย  แต่เราจะพบว่าวิวรณ์พูดถึงพระองค์ว่า​ทรงเป็นผู้​ทรง​ครอบ​ครอง​เหนือ​บรร​ดา​กษัตริย์​ใน​โลก (วิวรณ์ 1:5)[31] นั่นเป็นคำเรียกที่สูงสุดของโลกมนุษย์  พระองค์ก็ทรงถูกเรียกว่า “​เจ้านาย​เหนือ​เจ้านาย​ทั้ง​หลาย และ​ทรง​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลาย” ในวิวรณ์ 17:14 (เปรียบเทียบกับ 19:16)[32]   ถ้อยคำนี้ไม่ได้เป็นคำเรียกพระเจ้าเพราะทั้งอาร​ทา​เซอร์​ซีสและ​เนบู​คัด​เนส​ซาร์ก็ถูกเรียกว่า “กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลาย” (เอสรา 7:12  ดานิเอล 2:37)[33]  คำเรียกนี้ที่ใช้กับพระเยซูได้อธิบายไว้ในวิวรณ์ 1:5 ว่า “​ผู้ทรง​ครอบ​ครอง​เหนือ​บรร​ดา​กษัตริย์​ใน​โลก”

ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูในลักษณะต่อไปนี้

 

พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนสำลี ขาวดุจหิมะ พระเนตรของพระองค์ดั่งเปลวไฟช่วงโชติ พระบาทของพระองค์ราวกับทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งในเบ้าหลอม พระสุรเสียงของพระองค์ดุจเสียงน้ำเชี่ยวกราก พระองค์ทรงถือดาวเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระพักตร์ของพระองค์ประหนึ่งดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า (วิวรณ์ 1:14-16 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

          นี่ไม่ได้เป็นภาพของพระเจ้า  เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้ในตอนนี้นอกจากจะสังเกตว่าพระพักตร์ของพระองค์เหมือน “ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า”  และ “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนสำลี”  น่าเป็นไปได้ว่าเป็นแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากพระเศียรของพระองค์  แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เฉพาะแต่กับพระเยซู เพราะเราเห็นคำอธิบายคล้ายๆกันถึงทูตสวรรค์ในวิวรณ์ 10:1 “จากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากฟ้าสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มีรุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าดั่งดวงอาทิตย์ และขาดุจเสาที่มีไฟลุกโชติช่วง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         วิวรณ์ 1:14-16 ที่ยกมาข้างต้นดูเหมือนจะอธิบายถึงพระเยซูในรูปแบบที่ยกย่อง แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็คล้ายคลึงกับความยิ่งใหญ่ของทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่ง (วิวรณ์ 10:1) หลายบทต่อมายอห์นกล่าวว่า “หลัง​จาก​นั้น​ข้าพ​เจ้า​เห็น​ทูต​สวรรค์​อีก​องค์​หนึ่ง​ลง​มา​จาก​สวรรค์ ท่าน​มี​สิทธิ​อำ​นาจ​ยิ่ง​ใหญ่ และ​รัศมี​ของ​ท่าน​ทำ​ให้​แผ่น​ดิน​โลก​สว่าง” (วิวรณ์ 18:1 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ทูตสวรรค์องค์นี้จะต้องส่องแสงเหมือนกับดวงอาทิตย์เพราะทำให้ทั้งแผ่นดินโลก “สว่างไสวด้วยรัศมีของท่าน”[34]  เจมส์ ดันน์[35] (ผู้ที่ผมรู้จักเป็นส่วนตัว) ได้ให้ข้อสังเกตอย่างเดียวกันจากพระคัมภีร์ตอนนี้ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ของเขา  เขาพูดว่าภาษาแบบนี้ที่เกี่ยวกับพวกทูตสวรรค์ ผู้เชื่อในศาสนายิวต่างคุ้นเคยกันดี  มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราอาจจะคิด  คำอธิบายของยอห์นเกี่ยวกับพระเยซูในวิวรณ์นั้นไม่ใช่รัศมีของพระเจ้าแต่เป็นรัศมีของทูตสวรรค์

 

พระวิญญาณในวิวรณ์

         เราได้เห็นว่าคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลยในวิวรณ์   คำว่า “พระวิญญาณ” อย่างเดียวปรากฏเก้าครั้งพร้อมกับคำว่า “โดยพระวิญญาณ”[36] ที่ปรากฏสี่ครั้ง (เช่น ยอห์นถูกนำโดยพระวิญญาณ วิวรณ์ 17:3, 21:10) เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏสี่ครั้งของคำ “โดยพระวิญญาณ” เพื่อดูว่าคำเหล่านี้อ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีสักครั้งเลย การอ้างถึง “พระวิญญาณ” (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ทั้งเก้าครั้งนั้นทั้งหมดมีคำนำหน้านามกรีกที่ชี้เฉพาะ (ch14 8)  ซึ่งผิดกับการปรากฏสี่ครั้งของ “โดยพระวิญญาณ”[37]  ที่ไม่มีคำนำหน้านามชี้เฉพาะ นั่นหมายความว่าทั้งสี่ครั้งนี้ไม่มีคำนำหน้านามกรีกที่ชี้เฉพาะ และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่รวมทั้งสี่ครั้งนี้ว่าเป็นการอ้างถึง “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในวิวรณ์

         ผมยังพบว่าการอ้างอิงทุกครั้งถึงพระวิญญาณในวิวรณ์จะเกี่ยวข้องกับคริสตจักร แต่ในทางกลับกันวิวรณ์ไม่ได้กำลังพูดเกี่ยวกับคริสตจักร และก็ไม่มีการอ้างอิงถึงพระวิญญาณ  นี่จึงอธิบายให้เห็นว่าทำไมการอ้างอิงส่วนมากถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงได้จับกลุ่มกันอยู่ในสามบทแรกของวิวรณ์

พระเยซูได้รับการนมัสการในวิวรณ์ไหม?

         อีกอย่างที่น่าสังเกตเกี่ยวกับวิวรณ์ก็คือ ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะได้ทรงเล็งเห็นถึงการไหว้รูปเคารพด้วยการทำให้พระคริสต์มาเป็นพระเจ้าโดยที่พระองค์ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าทรงเป็นและไม่เคยประสงค์จะเป็น  เนื่องจากว่าวิวรณ์มีจุดสำคัญอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า (พระยาห์เวห์)  ผมจึงได้ตรวจสอบคำกรีกของคำ “นมัสการ” (ch14 9)[38]  คำนี้ปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  โดยปรากฏ 24 ครั้ง (40%) ในวิวรณ์  เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏทั้ง 24 ครั้งในวิวรณ์  ผมต้องแปลกใจที่ไม่มีการอ้างถึงพระคริสต์แม้แต่ครั้งเดียว จุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระยาห์เวห์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นและไม่ใช่พระคริสต์หรือบุคคลอื่น นี่น่าแปลกใจเพราะตัวเลข 24 เป็นจำนวนที่มาก

         ชื่อ “พระเยซู” ปรากฏเพียง 14 ครั้งในวิวรณ์ซึ่งก็น่าแปลกใจเมื่อเห็นว่าคำ “พระเยซู” ปรากฏถึง 917 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  คำว่า “พระคริสต์” ปรากฏกว่า 500 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่แต่ก็มีปรากฏแค่ 7 ครั้งในวิวรณ์   นี่หมายความไหมว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นบุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางของวิวรณ์?

         คำ ch14 9 (proskuneō) นี้หมายถึง “หมอบลง”  คำนี้สามารถใช้ในความหมายของความอ่อนน้อม (หมอบลงโดยไม่ได้นมัสการ) หรือในความหมายที่แน่วแน่ (การนมัสการ) ตัวอย่างในความหมายของความอ่อนน้อมจะพบในวิวรณ์ 3:9 “เราจะทำให้บรรดาผู้เป็นธรรมศาลาของซาตาน ผู้อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทำให้พวกเขามาล้มลงแทบเท้าของเจ้าและรับรู้ว่าเรารักพวกเจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) สิ่งที่เราเห็นตรงนี้ไม่ใช่การนมัสการแต่เป็นการอ่อนน้อมจำนนและหมอบอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้เชื่อ

         นี่ทำให้เราได้ข้อสังเกตที่สำคัญต่อไปนี้ ในวิวรณ์นั้น proskuneō ไม่เคยนำมาใช้อ้างถึงพระคริสต์  ไม่ว่าจะในความหมายที่อ่อนน้อมหรือในความหมายที่แน่วแน่

         คำ proskuneō คำเดียวกันถูกใช้สองครั้งในการหมอบลงต่อหน้าทูตสวรรค์ที่กำลังสำแดงสิ่งต่างๆกับยอห์น  ยอห์นหมอบอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์องค์นั้น แต่ทูตสวรรค์นั้นได้หยุดเขาไว้ทันที

ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานเรื่องพระเยซู  จงนมัสการพระเจ้า! เพราะคำพยานเรื่องพระเยซูนั้นคือหัวใจของการเผยพระวจนะ” ผู้ทรงม้าขาว  (วิวรณ์ 19:10 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

ข้าพเจ้ายอห์นคือผู้ได้ยินได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และเมื่อเห็นแล้วได้ยินแล้วข้าพเจ้าก็หมอบลงเพื่อนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ผู้สำแดงแก่ข้าพเจ้า แต่ทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนี้! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่าน คือเหล่าผู้เผยพระวจนะและคนทั้งปวงที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด!” (วิวรณ์ 22:8-9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         ในวิวรณ์ 1:17  ยอห์นล้มลงแทบพระบาทของพระเยซูเมื่อเขาเห็นพระเยซู  คราวนี้คำที่ใช้ไม่ใช่ ch14 9 (proskuneō) แต่เป็น ch14 10 (piptō ล้มลง)

เมื่อเห็นพระองค์ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทเสมือนกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” (วิวรณ์ 1:17 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

          เราอ่าน “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” ให้เป็นพระเจ้าไปหมด  ในอิสยาห์ 44:6 และ 48:12[39] อ้างอิงถึงพระเจ้า  แต่เราไม่สนใจความจริงที่ว่ามีวิธีอื่นที่จะเข้าใจ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย”[40] จากพระคัมภีร์และอย่างน้อยที่สุดก็จากคำสอนของพระเยซูเองว่า “ถ้า​ผู้ใด​ใคร่​จะ​ได้​เป็น​คน​ต้น ​ก็​ให้​ผู้​นั้น​เป็น​คน​สุดท้าย และ​เป็น​ผู้รับ​ใช้​ของ​คน​ทั้ง​ปวง”[41] (มาระโก 9:35  ฉบับ 1971)   พระเยซูยังตรัสด้วยว่า  “อย่าง​นั้น​แหละ คน​ที่​เป็น​คน​สุดท้าย​จะ​กลับ​เป็น​คน​ต้น และ​คน​ที่​เป็น​คน​ต้น​จะ​กลับ​เป็น​คน​สุดท้าย”[42] (มัทธิว 20:16)

         วิวรณ์ให้ภาพของผู้เลี้ยงแกะและลูกแกะกับเรา  ในอิสราเอลผู้เลี้ยงแกะจะเป็น “คนต้น” เพราะเขาต้องนำฝูงแกะไปข้างหน้า  ที่เขาเป็น “คนสุดท้าย” ด้วยนั้นจะหมายถึงการที่ผู้เลี้ยงแกะมองเหลียวหลังดูว่ามีแกะตัวไหนที่พลัดหลงอยู่ข้างหลังบ้าง  คนนำทางบนภูเขาจะทำอย่างเดียวกันกับนักไต่เขา  พวกเขาจะนำทางคุณขึ้นบนเขาแต่พวกเขาก็ยังมองเหลียวหลังไปดูว่ามีใครถูกทิ้งอยู่ข้างหลังบ้าง  ภาพของผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอลสวยงามมากแต่เราก็ยังคงอ่านเกินตัวบทให้เป็นพระเจ้าไปเสียหมด

         พระเจ้าทรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล หรือ “ตั้ง​แต่​นิ​รันดร์​กาลที่ผ่านมาจน​ถึง​นิ​รันดร์​กาลในภายหน้า” (จากสดุดี 90:2 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[43]  ไม่มีต้นหรือปลายในนิรันดร์กาล  เมื่อพระเจ้าพูดถึงคนต้นและคนสุดท้ายนั้นพระองค์พูดเกี่ยวกับคนของพระองค์  พระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นและผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์  ทรงเป็นคนต้นและคนสุดท้ายในชีวิตของเรา  พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีผู้นำหน้าเราและทรงเป็นผู้พยุงเราขึ้นเมื่อเราอยู่ล้าหลัง  ทำไมเราจึงยังอ่านทุกสิ่งให้เป็นพระเจ้าไปเสียหมดและพลาดภาพที่สวยงามที่พระเจ้าทรงเป็นในความสัมพันธ์กับเรา?

         เนื่องจากในการปรากฏทั้ง 24 ครั้งของ ch14 9 (proskuneō) ในวิวรณ์ไม่มีสักครั้งที่ใช้กับพระคริสต์และไม่มีข้ออ้างอิงถึงการนมัสการพระคริสต์  ผมจึงตรวจสอบคำ ch14 10 (piptō “ล้มลง”)  เราเห็นคำนี้แล้วในวิวรณ์ 1:17 (ch14 11,กาลกริยาแอริสต์[44]ของ ch14 10) ในวิวรณ์ 5:8 ก็ใช้คำนี้กับพระเยซูด้วย

เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบลง[45] (ch14 11, กาลกริยาแอริสต์ของ ch14 10) เบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอมซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า  (วิวรณ์ 5:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)      

         สิ่งมีชีวิตกับเหล่าผู้อาวุโส “หมอบกราบลง” เบื้องหน้าพระเมษโปดก พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ไม่มีฉบับใดแปลคำนี้ว่า “นมัสการ” เลย

         มีเพียงหนึ่งตัวอย่างที่คล้ายกันนี้ในวิวรณ์  ในกรณีนี้ที่พระเมษโปดกไม่ได้อยู่แต่ลำพังพระองค์เดียว  แต่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น

13จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร ตลอดจนสรรพสิ่งในนั้นขับร้องว่า “ขอถวายคำสรรเสริญ พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งและแด่พระเมษโปดกสืบๆ ไปเป็นนิตย์!” 14สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ร้องว่า “อาเมน” และเหล่าผู้อาวุโสหมอบกราบนมัสการ ตราทั้งเจ็ด  (วิวรณ์ 5:13-14 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         พระคัมภีร์สองตอนคือวิวรณ์ 5:8 และวิวรณ์ 5:13-14 ที่เราเพิ่งอ้างอิงเป็นเพียงสองตัวอย่างเท่านั้นในวิวรณ์ที่ใกล้เคียงกับการนมัสการพระเยซูที่สุด  ในวิวรณ์ 5:8 สิ่งมีชีวิตทรุดตัวลงต่อพระเยซูแต่ไม่มีการนมัสการ  ในวิวรณ์ 5:14 ถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ประกอบด้วยคำกรีกสองคำที่เราได้กล่าวถึงคือ ch14 10 (“ล้มลง ทรุดตัวลง”) และ ch14 9 (“นมัสการ”)  การนมัสการเข้ามาเกี่ยวข้องในครั้งนี้เพราะมันชี้ไปที่พระองค์ ซึ่งก็คือไปที่พระเจ้า “ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น” เป็นสำคัญ   คำ ch14 9 ที่ปรากฏในวิวรณ์นี้จะอ้างอิงถึงพระเจ้าเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น  มันไม่เคยใช้กับพระเยซูเลยยกเว้นในพระคัมภีร์ตอนนี้ (วิวรณ์ 5:13-14) แต่แม้ว่าจะใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ตอนนี้ผู้ที่เป็นจุดศูนย์กลางก็ไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์  ผมได้ค้นหาข้ออ้างอิงอื่นๆที่อาจจะบอกถึงการนมัสการพระเยซูแต่ก็ไม่มีอีก

         การใช้คำ ch14 10 กับ ch14 9 ด้วยกันนั้นยังพบในวิวรณ์ 7:11 (ดูที่ขีดเส้นใต้) แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพระเยซู

11ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้าลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า 12ร้องว่า “อาเมน! ขอให้คำสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ เดชานุภาพ และกำลัง มีแด่พระเจ้าของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน!” (วิวรณ์ 7:11-12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         ตรงนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้า แต่ไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก  เราได้เห็นแล้วว่าคำ ch14 9 (proskuneō) ไม่เคยใช้กับพระเมษโปดกนอกจากข้อยกเว้นที่อาจเป็นได้ในวิวรณ์ 5:14 (แต่ในกรณีนี้พระเมษโปดกปรากฏพร้อมกับพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์) 

         การใช้คำ ch14 10 กับ ch14 9 ด้วยกันยังพบอีกในพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้ (ดูที่ขีดเส้นใต้)

16และ​ผู้​อาวุโส​ยี่สิบ​สี่​คน​ซึ่ง​นั่ง​ใน​ที่​นั่ง​ของ​ตน เบื้อง​หน้า​พระ​เจ้า​ก็​ทรุด​ตัว​ลง​กราบ​นมัสการ​พระ​เจ้า​ 17และ​ทูล​ว่า “ข้า​แต่​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​ฤทธานุภาพ​สูงสุด ผู้​ทรง​ดำรง​อยู่​บัดนี้​และ​ผู้​ได้​ทรง​ดำรง​อยู่​ใน​กาล​ก่อน ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย​รำลึก​ใน​พระ​คุณ​ของ​พระ​องค์ ที่​พระ​องค์​ได้​ทรง​ใช้​ฤทธานุภาพ​อัน​ใหญ่​ยิ่ง​ของ​พระ​องค์ ทรง​เริ่ม​ครอบ​ครอง​แผ่นดิน​โลก (วิวรณ์ 11:16-17 ฉบับ 1971)[46]

         ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนขอบพระคุณพระองค์ “ผู้ที่เป็นและผู้ที่เคยเป็น” ที่กล่าวถึงพระยาห์เวห์อย่างชัดเจน (อพยพ 3:14)[47]  พวกเขาหมอบกราบและนมัสการพระเจ้า  เราเห็นอีกแล้วว่าไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก

         พระคัมภีร์ตอนสุดท้ายที่มีทั้งคำ ch14 10 และ ch14 9 ก็คือวิวรณ์ 19:4-6 (ดูที่ขีดเส้นใต้) ที่ไม่ได้กล่าวถึงพระเมษโปดกเลย

4ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบ[48]นมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา!” 5แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า “ท่านทั้งปวงที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์  ผู้ที่ยำเกรงพระองค์  ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย  จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” 6จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ของเราทรงครอบครองอยู่”  (วิวรณ์ 19: 4-6 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมเคยคิดว่าผู้ที่เป็นศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระเยซู  แต่ที่เราเห็นมันกลายเป็นว่าพระองค์ไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์ด้วยซ้ำ  ผมสามารถหาได้เพียงกรณีเดียวเท่านั้นที่ใกล้เคียงและในกรณีนี้คำ ch14 10 (piptō  ทรุดตัวลง) เป็นการยกย่องเทิดทูนพระเมษโปดก (วิวรณ์ 5: 14)  แต่นั่นอยู่ในบริบทของการนมัสการพระยาห์เวห์   วิวรณ์บท 4 และ 6 มุ่งเน้นกับการนมัสการพระยาห์เวห์  และในระหว่างสองบทนี้คือวิวรณ์ 5:8 ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก  ในท่ามกลางการนมัสการพระยาห์เวห์ทั้งหมดนั้นแต่ก็มีหนึ่งตัวอย่างของการเทิดทูนยกย่องพระเมษโปดก

         ที่ไม่มีการนมัสการพระเยซูในวิวรณ์นั้นทำให้ต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อทราบความจริงว่าพระเมษโปดกได้ถูกกล่าวถึง 28 ครั้งในวิวรณ์[49]   แต่กระนั้นก็ไม่มีตัวอย่างที่พระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์กลางโดยตรงของการนมัสการ แม้จะมีตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การนมัสการโดยตรง เพราะพระองค์ทรงรับการนมัสการร่วมกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์)

 

ลูกแกะที่ถูกฆ่า

         ในวิวรณ์ คำว่า “ลูกแกะ”[50] ถูกใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายคือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เลียนแบบลูกแกะแท้ ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์  “แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค” (วิวรณ์ 13:11 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  คำกรีกของ “ลูกแกะ” ตรงนี้คือ “ch14 12[51]   นอกเหนือจากวิวรณ์แล้วจะพบคำนี้เฉพาะในยอห์น 21:15   ที่ปรากฏในรูปของพหูพจน์ (ch14 13)

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?” เขาทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะ[52]ของเรา” (ยอห์น 21:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

          ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา”[53] ในข้อ 15 ต่างกับ “จงดูแลแกะของเรา”[54] ที่พระองค์ตรัสถึงสองครั้งในข้อ 16 และ 17?  พระองค์กำลังตรัสกับเปโตรว่า “จง​ดูแล​แกะ​ของ​เรา​ แต่จงดูแลบรรดาลูกแกะเล็กๆของเราเป็นพิเศษ”  คุณจะคุ้นกับภาพของผู้เลี้ยงแกะกำลังอุ้มลูกแกะน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ผู้เลี้ยงแกะจะอุ้มแกะโตได้ยาก  แต่จะสามารถอุ้มลูกแกะน้อยในอ้อมแขนของเขาได้

         เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง “พระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป”  เขาใช้คำต่างกันคือใช้คำ  “ch14 14” (ลูกแกะ)[55]  กับ “พระเมษโปดก”[56]

วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!” (ยอห์น 1:29 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

และ​ท่าน​มอง​ดู​พระ​เยซู​ขณะ​ที่​พระ​องค์​เสด็จ​ผ่าน​ไป และ​ท่าน​กล่าว​ว่า “จง​ดู​พระ​เมษ​โป​ดก (ลูกแกะ)​ ของ​พระเจ้า” (ยอห์น 1:36 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         “ch14 14” (amnos) ตรงนี้หมายถึง “ลูกแกะ”  ในขณะที่อีกคำบอกถึงสิ่งที่เล็ก “ch14 12” (arnion) หมายถึง “ลูกแกะน้อย”  วิวรณ์ใช้คำหลังไม่ได้ใช้คำแรกเมื่อกล่าวถึงพระเยซู    คำแรก (ch14 14, amnos) ถูกใช้ในกิจการ 8:32  ซึ่งเป็นคำอ้างอิงจากอิสยาห์ 53:7

พระคัมภีร์ที่ขันทีกำลังอ่านอยู่นั้นคือ “เขาถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนเขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน” (กิจการ 8:32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยปริปากเลย เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า  และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน   เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน (อิสยาห์ 53:7 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         “ch14 14” (amnos) คำเดียวกันถูกนำใช้ใน 1 เปโตร 1:19 กับพระเยซูผู้เป็นลูกแกะที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิหรือจุดด่างพร้อย  (เปรียบเทียบกับ 1 โครินธ์ 5:7 ซึ่งพูดถึง “ปัสกา” นั่นก็คือลูกแกะปัสกา)

         ดังนั้นทำไมวิวรณ์จึงใช้คำอื่นกับ “ลูกแกะ” (ch14 12, arnion) เมื่อกล่าวถึงพระเยซู?  และทำไมลูกแกะเมษโปดก (Lamb) จึงเป็นภาพสำคัญที่สุดของพระเยซูในวิวรณ์จนคำ “พระเมษโปดก” มีปรากฏถึง 28 ครั้งในวิวรณ์?

         เรานึกภาพออกไหมที่พระเยซูทรงเป็นลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า? ลูกแกะที่ใช้เป็นเครื่องบูชารวมทั้งลูกแกะปัสกาจะเป็นแกะอายุหนึ่งปีดังนั้นจึงยังเล็กมาก  ทำไมลูกแกะจึงเป็นภาพของพระเยซูในวิวรณ์?  มันไม่ใช่ภาพที่ดึงดูดใจคนอย่างแน่นอน  เราต้องการวีรบุรุษสงคราม  คนที่สง่าผ่าเผยอย่างกษัตริย์ซาอูลที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมด

         แต่กลับกลายเป็นว่าสิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ (วิวรณ์ 5:5) ก็คือลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า (ข้อ 6)[57] ลูกแกะจะเป็นพิษเป็นภัยน้อยที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เราเห็น สัตว์อีกชนิดที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนกับลูกแกะก็อาจจะเป็นกระต่าย  แม้แต่หมีโคอาลา[58]ก็อาจข่วนคุณถ้าคุณไม่ระวัง แต่ลูกแกะไม่สามารถจะข่วนคุณหรือกัดคุณได้  ทำไมพระคัมภีร์จึงจบด้วยภาพของลูกแกะ?  ทำไมการเปิดเผยของพระคัมภีร์จึงสรุปลงด้วยภาพของลูกแกะเล็กๆที่ช่วยตัวเองไม่ได้?

         พระเมษโปดกไม่ได้เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์เลย  มีเพียงครั้งเดียวในวิวรณ์ที่พระเมษโปดกอาจเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการและในตัวอย่างนั้นพระเมษโปดกทรงอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์  พระเมษโปดกไม่ได้เป็นผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น  เพราะตำแหน่งนั้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าผู้ถูกกล่าวถึง 12 ครั้งว่าประทับบนพระที่นั่งนั้น  พระเยซูทรงมีพระที่นั่งของพระองค์เอง ไม่ได้ประทับบนพระที่นั่งของพระยาห์เวห์แต่ว่าพระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์   พระองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งที่เป็นศูนย์กลางจะเป็นพระยาห์เวห์เสมอ

         ในวิวรณ์ผมเห็นพระปัญญาของพระเจ้าผู้ทรงรู้ล่วงหน้าถึงความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่จะมีในต่อมา  และพระองค์ทรงตั้งพระทัยให้ภาพของพระเยซูผู้เป็นลูกแกะ (พระเมษโปดก)  ยิ่งกว่านั้นพระวิญญาณไม่ได้มีส่วนสำคัญในวิวรณ์นอกจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักร  เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทำงานในคริสตจักร

หลักการฝ่ายวิญญาณสนับสนุนภาพของพระเยซูว่าเป็นลูกแกะเมษโปดกที่พบใน 2 โครินธ์ 12:9

แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า (2 โครินธ์ 12:9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         นี่คือคำตอบของพระเจ้าจากการที่เปาโลทูลวิงวอนสามครั้ง  ให้เอาหนามออกจากเนื้อของเขา  หลังจากนั้นเปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน”  (2 โครินธ์ 13:4  ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[59]

         ในฉบับภาษาอังกฤษ “He was crucified in weakness, yet he lives by God’s power”  เราจะสังเกตเห็นรูปไวยากรณ์ที่เป็นกาลในอดีตว่าพระเยซู “(ได้ทรง)ถูกตรึงตายในความอ่อนแอ”[60] แล้วจึงเป็นรูปของกาลปัจจุบัน “กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”[61] เปาโลจึงใช้หลักการเดียวกันนี้กับเราว่า  “เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์  แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน”

         เราได้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้ทรงกระทำอะไรในพระนามของพระองค์เลย  นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้าใจศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่[62] ที่พระองค์ไม่ได้กระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เองนั้นเป็นความจริงในช่วงพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้และยังคงเป็นความจริงอยู่ในทุกวันนี้ แม้จนบัดนี้พระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์และไม่ได้กระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง  เคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอยู่กับการที่พระองค์ทรงเป็นลูกแกะ สัตว์ที่อ่อนแอผิดธรรมดา  ซึ่งแม้แต่แกะโตก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะจากหมาป่า  พระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกจึงเป็นภาพของความอ่อนแอที่สุด  และเราจะเข้าใจประเด็นความอ่อนแอที่สุดของพระองค์ได้ชัดเจนจากคำที่เปาโลกล่าวว่า พระเยซูก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์เท่านั้น (ที่อยู่ในรูปกริยาของกาลปัจจุบัน) แม้กระทั่งจนถึงขณะนี้   พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกแกะแต่ทรงเป็นลูกแกะน้อย  ลูกแกะที่ถูกฆ่าโดยการตรึงตายบนกางเขน  แต่ตอนนี้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  พระคัมภีร์ให้ภาพของพระคริสต์กับเราที่พระองค์ไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับพระเจ้าได้เลย

         ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำลายพระกิตติคุณ  ในอดีตที่ผ่านมาผมมีส่วนในเรื่องนี้ด้วยการประกาศพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ตรงข้ามกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง  เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมไม่รู้จริงๆว่ามีภาพของลูกแกะน้อยที่อ่อนแอที่สุด  มันช่างตรงข้ามกับความคิดของคนฝ่ายเนื้อหนัง  นั่นคือเหตุที่ผมไม่สามารถเข้าใจภาพนี้ และเรื่องที่จะยอมรับก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย  แต่ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆในทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น

         ดังนั้นเราจึงอยู่ในโลกนี้เหมือนอย่างพระองค์ เราต้องเป็นคนอ่อนแอเหมือนกับพระเยซู แต่มีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  คนฝ่ายเนื้อหนังจะรับสิ่งนี้ได้ยาก  คริสเตียนทั้งหลายต้องการพระคริสต์ที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มด้วยรัศมี และความยิ่งใหญ่  ไม่ใช่พระคริสต์ที่อ่อนแอและไม่มีฤทธิ์อำนาจและมีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว  ยิ่งไปกว่านั้นทรงเป็นพระคริสต์ผู้ไม่ทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แต่ทรงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระยาห์เวห์  เมื่อเราทำสิ่งใดในพระนามของพระเยซูซึ่งเราควรจะทำถ้าเราเป็นสาวกของพระองค์ เราจึงเข้าใจว่าเรากำลังกระทำการในพระนามของพระองค์ผู้ที่ไม่เคยกระทำการใดในพระนามของพระองค์เอง  แต่กระทำในพระนามของพระบิดา

      ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวถูกเผยให้เห็นอย่างมากในวิวรณ์ ภาพนิมิตของยอห์นในสวรรค์จะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ได้รับการนมัสการเหนือสิ่งอื่นใด  พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกพูดถึงว่าประทับบนพระที่นั่งตรงใจกลาง  แม้เราเองก็จะนั่งบนที่นั่งของเราเหมือนกับเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งบนที่นั่งของพวกเขาแต่ตรงนี้เรากำลังพูดถึงพระที่นั่งตรงใจกลางที่พระยาห์เวห์ประทับอยู่  บรรดาธรรมิกชนจะนั่งกับพระเยซู  และเราจะนั่งบนพระที่นั่งของพระเยซู[63]  พระเยซูจะประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า[64]  แต่จุดศูนย์รวมของการนมัสการจะอยู่ที่พระยาห์เวห์เสมอและพระยาห์เวห์ผู้เดียวเท่านั้น

 

ยืนหยัดเพื่อความจริง

         เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย  ในยุคของเนื้อหนังนี้เรากำลังรับใช้พี่น้องที่รักในคริสตจักร คนในคริสตจักรส่วนใหญ่เป็นคนเนื้อหนังเหมือนกับตัวเรา และพวกเขาก็ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเหมือนกับตัวเรา  ถ้าเราจะมีอะไรดีกว่าพี่น้องในคริสตจักรอยู่บ้าง ความแตกต่างจะอยู่ที่ความมากน้อยกว่ากัน ไม่ได้ต่างกันว่าเป็นแบบไหน   เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงของพระเจ้า เราจะต้องทูลขอให้พระองค์เอาความเป็นเนื้อหนังของเราและความเป็นแบบโลกออกไป

         แม้เราจะเป็นคนที่ไม่สมควรและอยู่ในเนื้อหนัง  เราอาจได้รับสิทธิพิเศษที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังในยุคของเราเหมือนเอลียาห์ในยุคของเขาก็เป็นได้  การยืนหยัดอยู่เพียงลำพังไม่ใช่สถานการณ์ที่มีใครจะอิจฉาและอยากจะอยู่ และเราอาจจะเป็นผู้รับใช้คนสุดท้ายของพระยาห์เวห์ในยุคนี้เหมือนที่เอลียาห์เป็นในยุคของเขา  ในวันข้างหน้าพวกคุณบางคนอาจเจอกับสถานการณ์ที่คุณจะต้องยืนหยัดอยู่เพียงลำพังเหมือนกับเอลียาห์

         ลูกของยุคนี้ฉลาดกว่าลูกของความสว่างในหลายทาง (ลูกา 16:8)[65] พวกเขามักจะเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนมากกว่าเรา  สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเราก็คือว่า เราจะไม่เป็นทั้งคนฝ่ายเนื้อหนังหรือคนฝ่ายวิญญาณ และดังนั้นผลสุดท้ายเราจึงไม่เป็นอะไรสักอย่าง  ฉะนั้นเราควรต้องตัดสินใจ  ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังไปให้ถึงที่สุด  ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็เป็นฝ่ายวิญญาณไปให้ถึงที่สุด แต่ถ้าคุณจะอยู่แบบกึ่งๆกลางๆ คุณก็จะลงเอยด้วยการไม่เป็นอะไรสักอย่าง  ถ้าคุณอยากจะรักโลก “ก็ให้กินและดื่มเถิด และพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (1 โครินธ์ 15:32)  หรือจะออกไปให้สุดแล้วเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงขององค์ผู้เป็นเจ้า

         เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงวรรณกรรมจีนที่ผมได้อ่าน  ผมไม่ใช่ผู้รอบรู้ภาษาจีนแต่ผมก็ชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกของจีน  งานเขียนพวกนี้เข้าใจยากแต่ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาศึกษามัน  ผมขอบอกก่อนว่าสิ่งที่ผมได้ร่ำเรียนมาส่วนมากผมได้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว  แต่ผมก็ยังชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกเป็นบางครั้งบางคราวเพราะลูกของยุคนี้ฉลาดว่าลูกของความสว่างและบางคนก็มีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม

         ผมจะยกจากท่อนที่ผมได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ที่เขียนโดย “หันยุ่ย”[66] ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ปลายราชวงศ์ถังและต้นของราชวงศ์ซ่ง   เขาเขียน “โบ๋หยี ซ่ง”[67] “โบ๋หยี” เป็นชื่อของบุคคลผู้หนึ่งและ “ซ่ง” หมายถึง “ยกย่อง” เพราะฉะนั้นจึงหมายถึง “คำยกย่องโบ๋หยี”  ในคำประพันธ์นี้ “หันยุ่ย” กล่าวว่ามีคนไม่กี่คนในโลกที่กล้ายืนหยัดเพื่อความจริง คนส่วนมากจะขี้ขลาดเกินไปและห่วงถึงประโยชน์ของพวกเขาเองมากกว่าจะยืนหยัดเพื่อความจริง

         “หันยุ่ย”เองเป็นคนกล้าหาญมาก  ครั้งหนึ่งเขาเคยเขียนถึงจักรพรรดิเพื่อทูลขอไม่ให้พระองค์ยอมรับพระทนต์ของพระพุทธเจ้า[68]ที่ถูกนำเข้ามาไว้ในพระราชวัง  นี่เป็นคำขอที่กล้าหาญเพราะจักรพรรดิได้ทรงตัดสินพระทัยแล้วที่จะนำสัญลักษณ์ชิ้นนี้ของพุทธศาสนาเข้ามาไว้ในพระราชวัง  แต่ “หันยุ่ย” คัดค้านอย่างเด็ดขาดที่จะให้พุทธศาสนาเข้ามาเติบโตในประเทศจีน  และที่สำคัญที่สุดก็คือที่จะไม่ให้เข้ามาในพระราชวังของจักรพรรดิ  ผมชื่นชมความกล้าที่เกินใครของเขาจริงๆ

         ต่อไปนี้เป็นคำประพันธ์ของ “หันยุ่ย”

         ในคำยกย่องโบ๋หยี[69]

ปราชญ์ทั้งหลายที่ยืนหยัดแต่ลำพังและกระทำการอย่างเอกเทศ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่จะปฏิบัติตามหลักของความชอบธรรม โดยไม่คำนึงถึงสายตาของคนอื่นๆ คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในหนทางนั้นและรู้จักตัวเองอย่างชัดเจน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้าแม้ว่าจะถูกครอบครัวคัดค้าน มีเพียงแค่คนเดียวในทั้งจักรวรรดิที่สามารถเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้าแม้ว่าจะถูกบ้านเมืองหรืออำเภอคัดค้าน มีเพียงแค่คนเดียวในร้อยปีหรือในพันปีที่จะเดินหน้าอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากคนทั้งโลก

 

ต่อไปนี้คือคำแปลของผมทีละใจความ

 

เขากล้าที่จะยืนหยัดเพียงลำพัง

และทำการอย่างเอกเทศ

แน่วแน่ในความชอบธรรมเท่านั้น  ไม่ใช่ในสิ่งอื่น

เขาไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นชอบด้วย หรือไม่เห็นชอบ

คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น

ผู้เชื่อในหนทางที่ถูกต้อง

ด้วยความแน่วแน่

เขารู้จักตัวเขาเอง  และเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับเขา

เขาก็ยังตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำสิ่งที่ถูกโดยไม่สงสัย

คนเช่นนี้หาได้ยาก

ถ้าหากมีสถานการณ์ที่ทั้งประเทศหรือทั้งมณฑล

หรือทั้งจังหวัดยืนขึ้นต่อต้านเขา

มีใครบ้างกล้าทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่มีสงสัย?

ในทั่วใต้ฟ้า

คนแบบนี้ในทั้งโลกหามีใครเหมือน

ถ้าคนทั้งโลกไม่ยอมรับเขา

เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินในความจริงต่อไปโดยไม่ลังเล

ในร้อยหรือในพันปี

อาจจะมีคนแบบนั้นเพียงแค่คนเดียว

         นี่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ยอดเยี่ยม! ด้วยเหตุความเป็นเนื้อหนังของเรา เราจึงต้องการจะได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆในยุคสมัยนี้และยืนอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับเอลียาห์ บทกวียกย่องโบ๋หยีของหันยุ่ยน่าจะใช้กับเอลียาห์ได้ ในพันปีมีเพียงแค่คนเดียวที่เหมือนกับเอลียาห์ ฉะนั้นปราชญ์อย่างหันยุ่ยจึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่เยี่ยมยอดทั้งในคำประพันธ์นี้และในคำประพันธ์อีกจำนวนมาก ผมให้คุณดูคำประพันธ์แค่ท่อนแรก ผมเว้นท่อนที่สองเพราะในนั้นหันยุ่ยหาแบบอย่างมาเป็นตัวอย่างให้กับประเด็นสำคัญของเขาไม่ได้แม้แต่ตัวอย่างเดียว เขาเลยเลือกตัวอย่างที่ค่อนข้างไม่ดีจากชีวิตของโบ๋หยีผู้ที่มีชื่ออยู่ใน “คำยกย่องโบ๋หยี” ผมข้ามตัวอย่างนั้นเพราะมันไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ผมไม่ตำหนิหันยุ่ยที่ยกตัวอย่างไม่ดีเพราะเขาไม่ได้มีเอลียาห์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง เขาคิดถึงตัวอย่างดีๆในช่วงห้าพันปีของประวัติศาสตร์จีนไม่ออก ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่หันยุ่ยคิดขึ้นมาได้ก็คือตัวอย่างของโบ๋หยี

         ผมอธิษฐานขอให้พระพรขององค์ผู้เป็นเจ้าอยู่กับพวกคุณ และที่พระองค์จะพอพระทัยประทานความกล้าหาญให้คุณที่จะเป็นคนที่ในพันๆปีจะมีสักคนหนึ่ง คนที่จะยืนหยัดต่อการต่อต้านของคนทั้งโลก และที่ยังคงแน่วแน่มั่นคงจนถึงที่สุด

      ผมหวังว่ารากฐานของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้ถูกวางออกมาให้คุณได้เห็นอย่างชัดเจนและคุณได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องคิดและทบทวนบางจุด และในที่สุดจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งตามในวิวรณ์ และเห็นความงดงามของพระเยซูที่ฤทธิ์อำนาจไม่ได้อยู่ในพระกำลังของพระองค์เอง แต่อยู่ในฤทธิ์อำนาจของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงทำงานผ่านผู้ที่เต็มใจจะอ่อนแอ นี่เป็นหลักการที่ผมหวังที่จะปฏิบัติเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ผ่านทางผม ยิ่งผมอ่อนแอเท่าไร ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ยิ่งมากขึ้น ผมต้องด้อยลง พระองค์จะต้องใหญ่ขึ้น เมื่อคุณนำหลักการที่ควบคุมชีวิตของพระเยซูมาปฏิบัติใช้กับตัวคุณเอง คุณจะเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นรอบๆตัวคุณ  ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงได้รับพระเกียรติผ่านทางชีวิตของพวกคุณด้วยเถิด


[1] คำภาษาจีนคือ “虎步” (หูปู้)

[2] พันปี

[3] Nicene Creed

[4] Immaculate Conception of Mary

[5] 1 พงศ์กษัตริย์ 18:19 “เพราะ​ฉะ​นั้น ขอ​ทรง​สั่ง​ให้​รวบ​รวม​ชน​อิส​รา​เอล​ทั้ง​สิ้นมา​พบ​ข้า​พระ​บาท​ที่​ภูเขา​คาร​เมล ทั้ง​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ของ​พระ​บา​อัล 450 คน​กับ​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ของ​พระ​อา​เช-ราห์ 400 คน​นั้น ผู้​รับ​ประ​ทาน​ที่​โต๊ะ​เสวย​ของ​พระ​นาง​เย​เซ​เบล” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[6] 1 พงศ์กษัตริย์ 19:18 “แต่​เรา​จะ​เหลือ 7,000 คน​ไว้​ใน​อิส​รา​เอล คือ​ทุก​คน​ที่​ไม่​ได้​คุก​เข่า​ลง​ต่อ​พระ​บา​อัลและ​ไม่​ได้​จูบ​พระ​นั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[7] หมายถึงสมาชิกทั่วไป (ผู้แปล)

[8] planaō

[9] Chislehurst

[10] กิจการ 16:7 “เมื่อ​มา​ถึง​เขต​แดน​แคว้น​มิ​เซีย​แล้ว ก็​พยา​ยาม​จะ​เข้า​ไป​ยัง​แว่น​แคว้น​บิ​ธี​เนีย แต่​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เยซู​ไม่​โปรด​ให้​ไป”

โรม 8:9  “ถ้า​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​สถิต​อยู่​ใน​พวก​ท่าน​แล้ว ท่าน​ก็​ไม่​อยู่​ใน​เนื้อ​หนัง แต่​อยู่​ใน​พระ​วิญ​ญาณ ใคร​ไม่​มี​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​คริสต์ คน​นั้น​ก็​ไม่​เป็น​ของ​พระ​องค์”

ฟีลิปปี 1:19  “เพราะ​ข้าพ​เจ้า​รู้​ว่า​โดย​การ​ทูล​ขอ​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย และ​โดย​การ​ช่วย​เหลือ​ของ​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ สิ่ง​นี้​จะ​เป็น​เหตุ​ให้​ข้าพ​เจ้า​รอด​พ้น”

1 เปโตร 1:11 “พวก​เขา​ได้​สืบ​หา​บุค​คล​และ​เวลา ซึ่ง​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​คริสต์​ผู้​สถิต​อยู่​ใน​พวก​เขา​ได้​ทรง​แจ้ง​ไว้ โดย​ทรง​บอก​ล่วง​หน้า​ถึง​ความ​ทุกข์​ทร​มาน​ของ​พระ​คริสต์ และ​พระ​สิริ​ที่​จะ​มา​ภาย​หลัง​ความ​ทุกข์​เหล่า​นั้น”

[11] ต้นฉบับภาษาอังกฤษทุกฉบับและฉบับภาษากรีก คือคำว่า “วิญญาณ” ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลเหมือนกันว่า “​ฤทธิ์​เดช​” (ฉบับมาตรฐาน 2011  และฉบับ 1971) หรือ “ฤทธิ์อำนาจ” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[12] ต้นฉบับภาษาอังกฤษทุกฉบับและฉบับภาษากรีก คือคำว่า “วิญญาณ” (ผู้แปล)

[13] “ขอ​ให้​ฤทธิ์​เดช​ของ​ท่าน​อยู่​กับ​ข้าพเจ้า​ตาม​ส่วน​สิทธิ​บุตร​หัวปี” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล

[14] ยอห์น 3:34 “เพราะ​พระ​องค์​ผู้​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ใช้​มา​นั้น​ทรง​กล่าว​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​เจ้า เพราะ​พระ​เจ้า​ไม่​ได้​ประ​ทาน​พระ​วิญ​ญาณ​อย่าง​จำ​กัด”

[15] คำว่า “วิญญาณ” หรือ “พระวิญญาณ” ในภาษากรีก เป็นคำนามที่ไม่มีเพศ (neuter) สรรพนามที่ใช้คือ “it” (ผู้แปล)

[16] 1 โครินธ์ 2:10  “พระ​เจ้า​ได้​ทรง​สำ​แดง​สิ่ง​เหล่า​นี้​กับ​เรา​ทาง​พระ​วิญ​ญาณ  เพราะ​ว่า​พระ​วิญ​ญาณ​ทรง​หยั่ง​รู้​ทุก​สิ่ง​แม้​เป็น​ความ​ล้ำ​ลึก​ของ​พระ​เจ้า”  (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[17] ต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีกคือคำว่า “วิญญาณ” (ผู้แปล)

[18] ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำ “spirit” และภาษากรีกใช้คำ “ch14 3” (ผู้แปล)

[19] Henry Choi

[20] วิวรณ์ 21:10 “แล้ว​ท่าน​นำ​ข้าพ​เจ้า​โดย​พระ​วิญ​ญาณ​ขึ้น​ไป​บน​ภูเขา​สูง​ใหญ่ และ​สำ​แดง​ให้​ข้าพ​เจ้า​เห็น​นคร​บริ​สุทธิ์​คือ​เย​รู​ซา​เล็ม ซึ่ง​ลอย​ลง​มา​จาก​สวรรค์​และ​จาก​พระ​เจ้า” (ผู้แปล)

วิวรณ์ 1:10  “พระ​วิญ​ญาณ​ทรง​ดล​ใจ​ข้าพ​เจ้า​ใน​วัน​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​ข้าพ​เจ้า​ได้​ยิน​พระ​สุร​เสียง​ดัง​เหมือน​อย่าง​เสียง​แตร​มา​จาก​ข้าง​หลัง​ข้าพ​เจ้า” (ผู้แปล)

วิวรณ์ 4:2   “ใน​ทัน​ใด​นั้น พระ​วิญ​ญาณ​ก็​ทรง​ดล​ใจ​ข้าพ​เจ้า และ​นี่​แน่ะ มี​พระ​ที่​นั่ง​ตั้ง​อยู่​ใน​สวรรค์​และ​มี​ท่าน​ผู้​หนึ่ง​ประ​ทับ​บน​พระ​ที่​นั่ง​นั้น”

[21] ยอห์น 4:24  “พระ​เจ้า​เป็น​พระ​วิญ​ญาณ และ​คน​ที่​นมัส​การ​พระ​องค์​จะ​ต้อง​นมัส​การ​ด้วย​จิต​วิญ​ญาณ​และ​ความ​จริง” (ผู้แปล)

[22] 2โครินธ์ 3:17 “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​เป็น​พระ​วิญ​ญาณ และ​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​อยู่​ที่​ไหนเสรี​ภาพ​ก็​มี​อยู่​ที่​นั่น”(ผู้แปล)

[23] กิจการ 20:28 “จง​เฝ้า​ระวัง​ทั้ง​ตัว​พวก​ท่าน​เอง​และ​ฝูง​แกะ​ซึ่ง​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ทรง​ตั้ง​พวก​ท่าน​ไว้​ให้​เป็น​ผู้​ดูแล และ​ให้​เลี้ยง​ดู​คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า ที่​พระ​องค์​ทรง​ได้​มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์” (ผู้แปล)

1 โครินธ์ 1:2  “เรียน คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า ที่​เมือง​โค​รินธ์ ผู้​ได้​รับ​การ​ทรง​ชำระ​ให้​บริ​สุทธิ์​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ และ​ได้​รับ​การ​ทรง​เรียก​ให้​เป็น​ธรร​มิก​ชน​ร่วม​กับ​ทุก​คน​ใน​ทุก​แห่ง​หน ที่​ออก​พระ​นาม​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​และ​ของ​พวก​เขา” (ผู้แปล)

[24] 1 โครินธ์ 11:16  “แต่​ถ้า​ใคร​คิด​จะ​โต้​แย้ง เรา​และ​คริสต​จักร​ต่างๆ ของ​พระ​เจ้า​ก็​ไม่​รับ​ธรรม​เนียม​ดัง​กล่าว​นี้” (ผู้แปล)

1 เธสะโลนิกา 2:14 “พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ท่าน​ปฏิ​บัติ​ตาม​อย่าง​คริสต​จักร​ที่​อยู่​ใน​แคว้น​ยูเดีย ซึ่ง​เป็น​ของ​พระ​เจ้า​ทาง​พระ​เยซู​คริสต์ เพราะ​ว่า​ท่าน​ได้​รับ​ความ​ลำ​บาก​จาก​พวก​พ้อง​ของ​ตน เหมือน​ที่​คน​เหล่า​นั้น​ได้​รับ​จาก​ชาว​ยิว​ด้วย​กัน” (ผู้แปล)

[25] 1 โครินธ์ 12:11 พระ​วิญ​ญาณ​องค์​เดียว​กัน​ทรง​ทำ​และ​จัดสรร​สิ่ง​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด​แก่​แต่​ละ​คน​ตาม​ชอบ​พระ​ทัย​พระ​องค์ (ผู้แปล)

[26] สดุดี 118:26 “ขอ​ท่าน​ผู้​เข้า​มา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​ยาห์​เวห์ จง​ได้​รับ​พระ​พร เรา​อวย​พร​พวก​ท่าน​จาก​พระ​นิ​เวศ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[27] หรือ “คูริออส”, “ลอร์ด” (ผู้แปล)

[28] โรม 6:3 “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​หรือ​ว่า เรา​ผู้​ที่​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ ก็​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​นั้น​เข้า​ใน​การ​ตาย​ของ​พระ​องค์”

กาลาเทีย 3:27 “เพราะ​ว่า​พวก​ท่าน​ทุก​คน​ที่​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระ​คริสต์​แล้ว ก็​ได้​สวม​ชีวิต​ของ​พระ​คริสต์​ด้วย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[29] ฉบับ 1971

[30] เอสเธอร์ 8:8-10 8พวก​ท่าน​จง​เขียน​เกี่ยว​กับ​พวก​ยิว​ตาม​ที่​เห็น​ว่า​ดี ใน​นาม​ของ​กษัตริย์​และ​ประ​ทับ​ตรา​ด้วย​แหวน​ตรา​ของ​กษัตริย์ เพราะ​ว่ากฤษ​ฎีกา​ที่​เขียน​ใน​นาม​ของ​กษัตริย์ และ​ประทับ​ตรา​ด้วย​แหวน​ตรา​ของ​กษัตริย์ จะ​เปลี่ยน​กลับ​ไม่​ได้”  9แล้ว​พระ​องค์​ทรง​เรียก​ราช​อา​ลักษณ์​เข้า​มา​ใน​เวลา​นั้น ใน​เดือน​ที่​สาม คือ​เดือน​สิวัน ณ วัน​ที่​ยี่สิบ​สาม และ​ให้​เขียน​กฤษ​ฎีกา​ตาม​ที่​โมร​เด​คัย​บัญชา​ทุก​ประ​การ ส่ง​ถึง​พวก​ยิว ถึง​บรร​ดา​สมุห​เท​ศา​ภิบาล และ​พวก​ข้า​หลวง​และ​เจ้า​นาย​แห่ง​มณฑล ตั้ง​แต่​อิน​เดีย​ถึง​คูช 127 มณฑล ไป​ถึง​ทุก​มณฑล​เป็น​ตัว​อักษร​ของ​มณฑล​นั้น และ​ถึง​ชน​ทุก​ชาติ​เป็น​ภา​ษา​ของ​เขา และ​ถึง​พวก​ยิว​เป็น​ตัว​อักษร​และ​ภา​ษา​ของ​เขา 10และ​โมรเดคัย​เขียน​ใน​พระ​นาม​ของ​กษัตริย์​อาหสุเอรัส​และ​ประ​ทับ​ตรา​ด้วย​แหวน​ตรา​ของ​กษัตริย์ และ​ส่ง​จด​หมาย​นั้น​ไป​โดย​ผู้​ถือ​สาร​ที่​ขึ้น​ม้า​เร็ว​ซึ่ง​เป็น​พันธุ์​ม้า​หลวง (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[31] วิวรณ์ 1:5 “และ​จาก​พระ​เยซู​คริสต์​พยาน​ผู้​ซื่อ​สัตย์ ซึ่ง​เป็น​ผู้​แรก​ที่​ทรง​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย และ​เป็นผู้​ทรง​ครอบ​ครอง​เหนือ​บรร​ดา​กษัตริย์​ใน​โลก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[32] วิวรณ์ 17:14 “พวก​เขา​จะ​ต่อสู้​กับ​พระ​เมษ​โป​ดก และ​พระ​เมษ​โป​ดก​จะ​ทรง​ชนะ​เขา เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​เป็น​เจ้านาย​เหนือ​เจ้านาย​ทั้ง​หลายและ​ทรง​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

วิวรณ์ 19:16 “พระ​องค์​ทรง​มี​พระ​นาม​จา​รึก​ที่​ฉลอง​พระ​องค์ และ​ที่​ต้น​พระ​อูรุ​ของ​พระ​องค์​ว่า “กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลาย​และ​เจ้า​นาย​เหนือ​เจ้า​นาย​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[33] เอสรา 7:12  “อาร​ทา​เซอร์​ซีส​กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลาย ถึง​เอส​รา​ปุ​โร​หิต ธรร​มา​จารย์​ของ​ธรรม​บัญ​ญัติ​แห่ง​พระ​เจ้า​ของ​ฟ้า​สวรรค์

ดานิเอล 2:37 “ข้า​แต่​พระ​ราชา พระ​ราชา​เหนือ​พระ​ราชา​ทั้ง​หลาย ผู้​ซึ่ง​พระ​เจ้า​แห่ง​ฟ้า​สวรรค์​ได้​ประ​ทาน​ราช​อา​ณา​จักร อานุ​ภาพ ฤทธิ์​เดช และ​ศักดิ์​ศรี” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[34] หรือแปลตามวิวรณ์ 18:1 ว่า “รัศมี​ของ​ท่าน​ทำ​ให้​แผ่น​ดิน​โลก​สว่าง” (ผู้แปล)

[35] James Dunn คือนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)

[36] ภาษาอังกฤษใช้คำ “in the spirit” คำ “spirit” ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเล็ก

[37]37 1” จากคำ “37 2”  ที่อยู่ในรูปของคำนามเอกพจน์ ไม่มีเพศ ทำหน้าที่เป็นกรรมรองของประโยค (noun dative neuter singular common from 37 2) -ผู้แปล

[38] Proskuneō (พรอส-คูเนโอ)

[39] อิสยาห์ 44:6  “พระ​ยาห์​เวห์ พระ​มหา​กษัตริย์​ของ​อิส​รา​เอล และ​พระ​ผู้​ไถ่​ของ​เขา พระ​ยาห์​เวห์​จอม​ทัพ ตรัส​ดัง​นี้​ว่า “เรา​เป็น​เบื้องต้น​และ​เรา​เป็น​เบื้อง​ปลาย นอก​จาก​เรา​แล้ว​ไม่​มี​พระ​เจ้า" (ฉบับมตรฐาน 2011)

อิสยาห์ 48:12 “จง​ฟัง​เรา โอ ยา​โคบ อิส​รา​เอล ผู้​ซึ่ง​เรา​เรียก เรา​คือ​ผู้​นั้น เรา​เป็น​เบื้อง​ต้นและ​เรา​เป็น​เบื้อง​ปลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[40] “the First and the Last”

[41] มาระโก 9:35 “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[42] “The last will be first, and the first will be last”

[43] Complete Jewish Bible (ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลสดุดี 90:2 ว่า “ก่อน​ที่​ภูเขา​ทั้ง​หลาย​เกิด​ขึ้น​มา ก่อน​ที่​พระ​องค์​ทรง​ให้​กำ​เนิด​แผ่น​ดิน​โลก​และ​พิภพ พระ​องค์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ตั้ง​แต่​นิ​รันดร์​กาล​ถึง​นิ​รันดร์​กาล” ) -ผู้แปล

[44] aorist (การกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดๆหนึ่งในอดีตกาล) -ผู้แปล

[45] ฉบับมาตรฐาน 2011 ฉบับ 1971 และฉบับไทยคิงเจมส์แปลเหมือนกันว่า “ทรุดตัวลง” (ผู้แปล)

[46] เพื่อให้เข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น  ผู้แปลจึงใช้ฉบับ 1971 แทนฉบับอมตธรรมที่ต้นฉบับใช้อ้างอิงซึ่งแปลเป็นไทยว่า “หมอบซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า” (ผู้แปล)

[47] อพยพ 3:14  พระ​เจ้า​จึง​ตรัส​กับ​โมเสส​ว่า “เรา​เป็น​ผู้​ซึ่ง​เรา​เป็น”  แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​ว่า “ไป​บอก​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล​ดัง​นี้​ว่า ‘พระ​องค์​ผู้​ทรง​พระ​นาม​ว่า เรา​เป็น​ทรง​ใช้​ข้าพ​เจ้า​มา​หา​ท่าน​ทั้ง​หลาย’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[48] พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษทุกฉบับจะมีคำเชื่อม “and” (ผู้แปล)

[49] 4x7

[50] หรือพระคัมภีร์ไทยใช้คำว่า “พระเมษโปดก”  ภาษากรีกคือ “50” เป็นคำๆเดียวกับ “ลูกแกะ” (ผู้แปล)

[51] arnion  แปลว่า “ลูกแกะ” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Lamb หรือ lamb” (ผู้แปล)

[52] หรือ “ลูกแกะทั้งหลาย” ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและกรีก (ผู้แปล)

[53] “feed my lambs”

[54] “feed my sheep” คำ  “sheep” ภาษากรีกคือ “54” ในรูปพหูพจน์ (มาจากคำ “54 2”)

ยอห์น 21:16 พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ครั้ง​ที่​สอง​ว่า “ซีโมน​บุตร​ยอห์น​เอ๋ย ท่าน​รัก​เรา​หรือ?” เขา​ทูล​ตอบ​พระ​องค์​ว่า “ใช่ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าพระ​องค์​ทรง​ทราบ​ว่า​ข้า​พระ​องค์​รัก​พระ​องค์” พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​ดู​แล​แกะ​ของ​เรา​เถิด” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[55] amnos

[56] Lamb หรือ ลูกแกะ (ผู้แปล)

[57] หรือ “พระ​เมษ​โป​ดกที่ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​” (วิวรณ์ 5:6 และ​ระหว่าง​พระ​ที่​นั่ง​กับ​สิ่ง​มี​ชีวิต​ทั้ง​สี่​นั้น และ​ท่าม​กลาง​พวก​ผู้​อา​วุโส ข้าพ​เจ้า​เห็น​พระ​เมษ​โป​ดก​ทรง​ยืน​อยู่เหมือน​ดัง​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​แล้ว (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[58] koala

[59]He was crucified in weakness, yet he lives by God’s power. Likewise, we are weak in him, yet by God’s power we will live with him to serve you.” (2 Cor.13:4, NIV)

[60]was crucified in weakness”

[61] “yet he lives by God’s power”

[62] New Testament Christ­ology หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์” (ผู้แปล)

[63] วิวรณ์ 3:21 คน​ที่​ชนะ เรา​จะ​ให้​เขา​นั่ง​กับ​เรา​บน​พระ​ที่​นั่ง​ของ​เรา  เหมือน​อย่าง​ที่​เรา​มี​ชัย​ชนะ​แล้วและ​ได้​นั่ง​กับ​พระ​บิดา​ของ​เรา​บน​พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระ​องค์ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[64] 1 เปโตร 3:22  พระ​องค์​เสด็จ​สู่​สวรรค์ และ​ประ​ทับ​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า​ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[65] ลูกา 16:8 “แล้ว​เศรษฐี​ก็​ชม​พ่อ​บ้าน​อสัตย์​นั้น เพราะ​เขา​ทำ​ด้วย​ความ​ฉลาด เพราะ​ว่า​ลูก​ของ​ยุค​นี้​รู้จัก​ใช้​ความ​ฉลาด​กับ​คน​ใน​สมัย​ของ​พวก​เขา​มาก​กว่า​ลูก​ของ​ความ​สว่าง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[66] Hanyu (韩愈)

[67] Boyi Song (伯夷颂)

[68] หรือ “ฟันของพระพุทธเจ้า” (ผู้แปล)

[69] 伯夷颂 士之特立独行,适於义而已,不顾人之是非,皆豪杰之士,信道笃而自知明者也。一家非之,力行而不惑者,寡矣。至於一国一州非之,力行而不惑者,盖天下 一人而已矣。若至於举世非之,力行而不惑者,则千百年乃一人而已耳。