บทที่ 14
พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณในวิวรณ์
เรากำลังมาถึงช่วงท้ายของการศึกษาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ในบทต่างๆเราได้ศึกษาจากปฐมกาล จากเล่มที่เหลือของหมวดพระบัญญัติ จากพระกิตติคุณยอห์น และจากอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์ บทนี้เราจะดูเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวในวิวรณ์ คริสเตียนส่วนมากจะคิดถึงวิวรณ์ว่าเป็นหนังสือเผยพระวจนะและเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย แต่เราจะไม่มองวิวรณ์จากแง่มุมนั้นเพราะความสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย
วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์นี้เป็นการเปิดเผยจากพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงประทานกับพระเยซูคริสต์ ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการเปิดเผยถึงการนมัสการพระเจ้าผู้เป็นหนึ่งและองค์เดียวเท่านั้น หรือพูดได้ว่าวิวรณ์เป็นหนังสือที่เปิดเผยถึงความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวได้อย่างดีเยี่ยม ในนั้นผมเห็นพระปัญญาและการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า เพราะภาพนิมิตในสวรรค์บอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่าวันหนึ่งคริสตจักรจะตกต่ำลงสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์โดยเฉพาะกับกรณีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
วิวรณ์ยังเผยลึกขึ้นในเรื่องของประสบการณ์ทางฝ่ายวิญญาณ และในบริบทของภาพนิมิตในสวรรค์ของยอห์นก็เป็นเช่นนั้น วิวรณ์ไม่ได้นำเสนอความเชื่ออย่างมีแบบแผนซึ่งต่างกับจดหมายของเปาโลที่มีไปถึงชาวโรม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เผยให้เห็นภาพนิมิตต่างๆในสวรรค์แบบปะติดปะต่อทีละฉากๆให้อัครทูตยอห์นได้เห็น วิวรณ์เป็นหนังสือที่มาจากประสบการณ์ของยอห์นขณะที่มีชีวิตอยู่
เมื่ออ่านวิวรณ์ เราต้องสู้กับปัญหาความเป็นฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง ยอห์นเผยให้เราเห็นภาพนิมิตฝ่ายวิญญาณและถ้อยคำเผยพระวจนะ แต่สิ่งที่บังมุมมองของเราจากภาพนิมิตเหล่านั้นก็คือม่านของเนื้อหนังที่บังตาของเราจากสิ่งเหล่านี้ไว้ซึ่งก็คือผ้าคลุมหน้าในฝ่ายเนื้อหนังที่บังตาของเรา คุณจะสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณกับคนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? สิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยวิญญาณ (1 โครินธ์ 2:14) คุณจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วยปัญญาฝ่ายเนื้อหนังของคุณได้ ผมพบคนที่ร่ำเรียนมามากและคนที่ชาญฉลาดในยุคของผมที่ฝ่ายวิญญาณทึบ ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาจากสติปัญญาของมนุษย์ คนบางคนอาจมีหลายปริญญาแต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณได้เท่ากับเด็ก ถ้าสิ่งฝ่ายวิญญาณเป็นการมองเห็นด้วยจิตวิญญาณ แล้วเราจะเริ่มต้นกับพระกิตติคุณยอห์นหรือกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์อย่างไร?
เรื่องที่น่าเศร้าอย่างมากก็คือว่า ความจริงนิรันดร์ได้ตกอยู่ในมือของคริสตจักรที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และไม่นานความจริงก็ถูกบิดเบือนจนจำไม่ได้ พระเจ้าได้เสาะหาที่จะมีคนฝ่ายวิญญาณในโลกนี้ ซึ่งก็คือคนของพระเจ้า แต่คนของพระเจ้ากลับเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง เมื่อดูพระคัมภีร์เดิมเราจะเห็นเรื่องน่าเศร้าของอิสราเอลกับความพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดจากมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง
เรื่องน่าเศร้าของอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าทรงเลือกชนอิสราเอลนั้น พระองค์ต้องทนกับแบบอย่างของบาปแบบไม่จบไม่สิ้นที่ประชากรของพระเจ้าละทิ้งพระองค์และไปไหว้รูปเคารพ ในช่วงต้นๆเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองบนภูเขาซีนาย ชนอิสราเอลก็ห่างเหินจากพระองค์แล้ว
เมื่อประชากรทั้งปวงเห็นฟ้าแลบฟ้าร้องและควันทึบพุ่งขึ้นจากภูเขา ได้ยินเสียงฟ้าคำรนและเสียงเป่าแตร ก็ยืนอยู่แต่ไกล หวาดกลัวจนตัวสั่น และกล่าวกับโมเสสว่า “ขอให้ท่านแจ้งสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เราเถิด เราจะรับฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราตรงๆ เลย ไม่เช่นนั้นเราคงต้องตาย” (อพยพ 20:18-19 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ความเหินห่างจากพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์มีอยู่นั้นไม่ช้าก็เป็นการบ่นต่อว่าอย่างเต็มขั้น คนของพระเจ้าผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกและทรงช่วยพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ พวกเขาได้บ่นต่อว่าพระองค์ไม่หยุดตลอดการเดินทาง 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร การบ่นต่อว่าส่วนใหญ่มุ่งไปที่พระเจ้าแต่ก็เกือบทำให้โมเสสหัวเสีย แค่นั้นดูเหมือนว่ายังไม่พอเพราะท้ายที่สุดเมื่อชนอิสราเอลได้ข้ามเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาก็เปลี่ยนแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้เป็นแผ่นดินแห่งการไหว้รูปเคารพ
นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พวกเขาต้องการจะให้กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาปกครองพวกเขาเหมือนกับชาติทั้งหลายที่อยู่รายรอบ อิสราเอลไม่มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์และชาติอื่นๆก็จะพูดว่า “ไหนล่ะกษัตริย์ของพวกท่าน? ยังไม่เห็นพวกท่านมีสักองค์เลย!” สำหรับชาวอิสราเอลแล้วมันเป็นเรื่องน่าอับอายของชาติที่พระเจ้าองค์เจ้านายเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็เลือกมนุษย์ที่สง่างามคือซาอูล ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผย มีส่วนสูงน่าประทับใจ ศีรษะและไหล่สูงเหนือกว่าคนจำนวนมากมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ถ้าคุณมองไปที่ฝูงชนอิสราเอล คุณจะเห็นศีรษะของคนหนึ่งสูงเด่นเหนือคนอื่น นั่นคือซาอูลผู้มีกิริยาท่าทางน่าประทับใจเหมาะที่จะมาเป็นกษัตริย์ปกครองในแบบที่ผู้คนต้องการ เขามีอากัปกิริยาและความสง่างามของกษัตริย์ที่คนจีนเรียกว่าท่วงท่าของเสือ[1] แต่คุณสมบัติฝ่ายวิญญาณของซาอูลล่ะ? อย่ามาถามเลยเพราะว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึงกษัตริย์กันอยู่
ถ้าจะพูดตามภาษาของการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแล้ว ก็นับว่าซาอูลได้เป็นกษัตริย์ด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย ผู้คนเลือกเขาเข้ามาและเลือกพระเจ้าออกไป ผู้เผยพระวจนะซามูเอลที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณเพียงคนเดียวจากทั้งหมดก็โกรธในเรื่องนี้ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่พวกเขาพูดกับเจ้า เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ละทิ้งเจ้า แต่พวกเขาละทิ้งเรา ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา” (1 ซามูเอล 8:7 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระเจ้าทรงถูกประชากรของพระองค์ปฏิเสธพระองค์หรือ? ไม่เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปได้อีก? และไม่นานก็มีความหายนะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมีกษัตริย์ที่ดีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
รูปเคารพเพิ่มทวีขึ้นทุกแห่งหน ใต้ต้นไม้ทุกต้นและบนเขาทุกเขา เมื่อคุณเข้าไปในบ้านไหนก็จะเจอรูปเคารพอยู่ข้างใน เหมือนเมื่อเราเข้าไปในบ้านของคนจีน พระเจ้าทรงเหลืออดแล้วจึงได้มีการพิพากษาโทษ ชาวบาบิโลนเผาพระวิหารจนราบเรียบแล้วกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย เจ็ดศตวรรษต่อมาพวกเขาจึงซมซานกลับมาจากการถูกเนรเทศแบบคนที่มีแผลเป็นและเจียมตัว คราวนี้พวกเขาจึงตัดสินใจนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว พวกเขาต้องใช้เวลานานหลายศตวรรษกว่าจะเรียนบทเรียนนี้ แต่เมื่อพวกเขาสำนึกตัวได้ก็มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน
จากช่วงของมาลาคี (ราว 444 ปีก่อนคริสตศักราช เพื่อให้จำวันเวลาได้ง่าย) จนถึงช่วงของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นไม่มีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลเลย พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับประชากรของพระองค์ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ตาม แค่นั้นยังไม่ดีพอสำหรับพระเจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเป็นเวลาสี่ศตวรรษครึ่งซึ่งก็เกือบครึ่งสหัสวรรษ[2]จนมาถึงช่วงสมัยของพระคริสต์ พระเจ้าทรงนิ่งเงียบเพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสกับผู้ที่ไม่ยอมรับพระองค์มาเป็นกษัตริย์
เรื่องที่น่าเศร้าของคริสตจักร
แล้วคริสตจักรล่ะ? เมื่อมองย้อนดูคริสตจักรเมื่อ 1,600 หรือ 1,700 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นเรื่องคล้ายๆกัน ก่อนหน้านี้พระเยซูได้ทรงให้ถ้อยคำที่อัศจรรย์เรื่องความรอดนิรันดร์ พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเราจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดศักราชแห่งพระคุณและบรรดาคนของพระเจ้าก็ได้มีความหวังขึ้นมาใหม่ แต่ภายในเวลาไม่กี่ศตวรรษหลังจากที่พระเยซูได้ประกาศถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์คริสตจักรก็ตกต่ำ ในวิวรณ์บท 2 และ 3 มีห้าคริสตจักรในแคว้นเอเชียได้ถูกองค์ผู้เป็นเจ้าติเตียนเรื่องความบาปและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา คริสตจักรหนึ่งยังถูกประกาศว่าเป็นคริสตจักรที่ตายแล้ว “เจ้าได้รับการยกย่องว่ามีชีวิตอยู่แต่เจ้าตายแล้ว” (วิวรณ์ 3:1 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คริสตจักรที่ตายสนิทหรือ? นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณสันหลังวาบ
ผมได้แค่ถอนหายใจเมื่อผมมองดูสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ผมถามองค์ผู้เป็นเจ้าว่าทำไมผมจึงต้องสอนสิ่งทั้งหมดนี้? ใครจะมายอมรับเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนี้? หลังจากที่ดูประวัติศาสตร์ในทางฝ่ายวิญญาณของคริสตจักรแล้วผมจึงมาถึงจุดสรุปว่าผมน่าจะเก็บกระเป๋าไปปลีกวิเวกอยู่ในป่าสักแห่งที่ห่างจากโลกเพื่อจะได้สัมพันธ์สนิทกับองค์ผู้เป็นเจ้าเสียดีกว่า ผมจะสอนสิ่งทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร? สองพันปีที่ผ่านมาพระเจ้าได้ประทานความจริงที่อัศจรรย์และนิรันดร์ให้กับโลก ความจริงอันอัศจรรย์นี้ได้ตกอยู่ในความดูแลของคริสตจักร แต่ในศตวรรษที่สี่หรือแม้ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้บิดเบือนความจริงเสีย
ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงได้มีหลักคำสอนว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งพระองค์แต่เป็นสามพระองค์ พระองค์เป็นสามที่รวมเป็นหนึ่งหรือหนึ่งรวมอยู่ในสามด้วยการเล่นคำที่เหลวไหล ทั้งหมดนี้เป็นสูตรและกำหนดโดยผู้นำคริสตจักรฝ่ายเนื้อหนัง คนเหล่านี้เป็นใครกันหรือ? ขอช่วยให้รายชื่อของพวกเขากับผมหน่อย ให้เราตรวจสอบชีวิตคริสเตียนของพวกเขาดูที พวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม? แค่คุณดูหลักคำสอนของพวกเขาก็จะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรได้ตกอยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังที่กำหนดคำสอนตามที่พวกเขาพอใจ โดยไม่ได้ทุกข์ร้อนที่จะให้ข้ออ้างอิงพระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของพวกเขา ไม่มีการอ้างอิงพระคัมภีร์สักข้อในข้อเชื่อแห่งไนซีน[3]และข้อเชื่ออื่นๆอีกหลายๆข้อเชื่อ
ในหลักข้อเชื่อเหล่านี้ บรรดาผู้นำคริสตจักรจะทำหน้าที่ของสังฆราชในการตัดสินใจเหมือนกับพระสันตะปาปาที่ทำหน้าที่ของสังฆราชในเรื่องต่างๆ อาทิเช่น ความเชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของพระแม่มารีย์[4] มีการกล่าวกันว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอด้วยอำนาจในตำแหน่ง คือเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอเมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพระสันตะปาปา แต่เมื่อก้าวลงจากเก้าอี้ การเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอก็สิ้นสุดลง เก้าอี้ตัวนี้ช่างวิเศษจริงๆ! เราขอยืมสักสองสามวันจะได้ไหม? แต่เรื่องเหลวไหลแบบนี้แหละที่ให้เราไว้ในนามของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผมเปิดดูทีวีเช้านี้ มีนักเทศน์ชาวอเมริกันกำลังยืนเทศน์อยู่ในคริสตจักร และเขาเทศน์อะไรจากพระคัมภีร์หรือ? ก็เรื่องวิธีที่จะมั่งคั่งและรุ่งเรือง! เมื่อพระคำของพระเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาก็สามารถบิดเบือนถ้อยคำได้มากอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อกล้องถ่ายไปรอบๆ ผมเห็นคนแน่นไปหมด คริสเตียนจำนวนมากอยากร่ำรวย นักเทศน์คนนี้ก็เทศน์เรื่องนี้อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าและผู้คนก็ฟังไม่เคยเบื่อ
ใจของผมหนักอึ้งมากเพราะผมกำลังเผชิญปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเอาชนะในความเป็นเนื้อหนังและความเป็นเนื้อหนังของคริสตจักรของเราเองได้ นักเทศน์ทางโทรทัศน์เหล่านั้นเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง เมื่อคุณเปิดทีวีช่องของคริสเตียนก็จะเห็นศาสนาจารย์ท่านนี้ท่านนั้นพูดเกี่ยวกับเงินทองและเงินทองมากขึ้น นั่นเป็นวิธีที่เขาได้คนเข้าคริสตจักร เป็นวิธีขยายคริสตจักรของเขา เป็นวิธีที่เขาได้เงินถวายมากขึ้นเพื่อใช้ในการถ่ายทอดโทรทัศน์เพื่อจะบอกผู้คนมากขึ้นเกี่ยวกับการหาเงินทอง ถ้าคุณถ่ายทอดคำเทศนาแบบนี้ในประเทศจีนทุกคนก็จะฟังคุณ เพราะเงินทองกลายมาเป็นสิ่งเลื่อมใสได้เร็วมากในประเทศจีน เป็นปัญหาที่ไม่ชนะสักที!
เราที่เป็นคริสเตียนตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการเหมือนที่ชาวอิสราเอลต้องการเลือกกษัตริย์ของพวกเขาเอง และคริสตจักรได้ตัดสินใจที่จะนมัสการพระเยซู เราให้พระองค์อยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้าและทำให้พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าทุกประการ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำเช่นนั้น แล้วผมได้ทำอะไรไปในห้าสิบปีที่ผ่านมา? ยังดีที่ผมได้เห็นความจริงในที่สุด แล้วในหลายปีที่ผ่านมาที่ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพล่ะ?
เราตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว เมื่อมองย้อนกลับไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่รู้วิธีการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเท่าเทียมพระเจ้าทุกประการ แต่ผมได้สอนความเชื่อในตรีเอกานุภาพและตีความพระคัมภีร์ผิดๆมาห้าสิบกว่าปี เราได้ตัดสินใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และในทางปฏิบัติจริงเราให้พระเยซูยังทรงสำคัญกว่าพระยาห์เวห์เสียอีก เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้องด้วยเลย
พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระผู้สร้างเดียวในพระคัมภีร์ แต่เราได้ทำให้พระเยซูเป็นพระผู้สร้างองค์หลักในความเชื่อตรีเอกานุภาพ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ เราใช้ยอห์น 1:3 อย่างผิดๆกับพระเยซู (“สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์” ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ตอนนี้พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง เช่นนั้นแล้วจะมีบทบาทอะไรเหลือไว้ให้พระบิดาหรือ? ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบิดาจะเป็นพระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปไม่ได้ ดังนั้นจึงพอสันนิษฐานได้ว่าพระบิดาก็คือพระยาห์เวห์ แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้พระยาห์เวห์เป็นพระผู้สร้างอันดับสองที่สร้างจักรวาลโดยมีพระเยซูทรงให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้างดังนั้นบทบาทของพระยาห์เวห์ในฐานะของพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงลดลง พระเยซูเป็นพระเจ้าที่ทรงกระทำทุกสิ่ง พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ประทานพระองค์เองเพื่อเรา พระองค์เป็นผู้พิพากษาและกษัตริย์ที่จะเสด็จมา ฉะนั้นจะมีอะไรเหลือให้พระยาห์เวห์บ้าง? ก็ไม่เหลืออะไรมากจริงๆ
แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพที่ลึกลับล่ะ? ผู้เชื่อแบบคาริสแมติกจะนมัสการพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โดยหลักๆแล้วก็ด้วยเหตุผลในทางเนื้อหนัง คุณต้องร่วมนมัสการกับความเชื่อแบบคาริสแมติกจึงจะเห็นสภาพของความเป็นเนื้อหนังที่เน้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นแหล่งของความมั่งคั่งและความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อมีการรักษาโรคเราก็จะเห็นคนโยนไม้ค้ำยันทิ้งหรือลุกขึ้นจากรถเข็น เขาจะกระโดดโลดเต้นบนพื้นและทุกคนจะร้องตะโกน “ฮาเลลูยา” เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรักษาเราและทำให้เราร่ำรวย
เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง แต่เราก็ประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแบบไหนหรือที่เรากำลังพูดถึง? ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเพียงอย่างเดียวที่มีในพระคัมภีร์ก็คือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นและไม่มีใครอื่นที่ได้รับการนมัสการ แต่ว่าตอนนี้เรามีถึงสามพระองค์ เราจะนมัสการทั้งสามพระองค์หรือแค่สองพระองค์ (มีคนจำนวนมากไม่ได้นมัสการพระวิญญาณ) มันเป็นมหันตภัยโดยแท้
บางครั้งผมนึกสงสัยว่าศึกนี้คุ้มค่าที่จะต่อสู้หรือไม่ หลังจากที่ได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไปสี่เดือนผมขอบอกคุณตรงๆว่าผมรู้สึกเหนื่อยมาก หลังจากการสอนแต่ละครั้งผมต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นตัว สิ่งที่ทำทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร? คุณให้ความจริงนิรันดร์นี้อยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังพวกเขาก็จะทำลายมันและบิดเบือนมันจนจำเค้าเดิมไม่ได้ คำอธิบายให้เห็นอย่างละเอียดของผมที่ได้รับโดยพระคุณของพระเจ้านี้จะทำให้มันดีขึ้นไหม? ผมไม่ทราบ แต่ก็เหมือนดังที่เปาโลกล่าวว่าสิ่งที่ต้องการจากคนรับใช้ก็คือความสัตย์ซื่อ สิ่งที่ผมทำได้ก็คือสัตย์ซื่อ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมเก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของผมเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ได้ออกไปเดินข้างนอกหรือไปห้างสรรพสินค้า ผมใช้ชีวิตของผมเพื่อจะทำบทต่างๆนี้ให้เสร็จโดยพระคุณของพระเจ้าเพื่อว่าในที่สุดผมจะสามารถพูดได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า มันเสร็จแล้ว เวลาของข้าพระองค์หมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าคนทั้งหลายจะทำอย่างไรกับคำสอนนี้ แต่ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ข้าพระองค์สามารถทำได้ก็คือส่งต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงให้กับข้าพระองค์ พวกเขาจะทำอย่างไรกับคำสอนหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าพระองค์แล้ว”
เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียว
ผมไม่ได้ปิดหูปิดตากับความจริงที่ว่าผู้ที่ประกาศความจริงมักจะเป็นคนกลุ่มน้อยเสมอ ในชาติที่พระเจ้าทรงเรียกออกมานั้น สุดท้ายก็จะมาถึงช่วงที่เหลือผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียวในชาติ บนภูเขาคารเมลนั้นเอลียาห์ได้ประจันหน้ากับกองทัพผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลและพระอาเช-ราห์ 850 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 18:19)[5] มีผู้เผยพระวจนะแท้ของพระยาห์เวห์เพียงคนเดียวในชาติที่พระองค์ได้ทรงเรียกออกมา ดีที่ยังมี 7,000 คนไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัล (1 พงศ์กษัตริย์ 19:18)[6] แต่ในจำนวนนี้ไม่มีใครเป็นผู้เผยพระวจนะสักคน ถ้าจะเรียกตามคำสมัยใหม่แล้วพวกเขาก็คือ “ฆราวาส”[7] และแน่นอนเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 7,000 คนที่สัตย์ซื่อเหล่านี้ แต่ไม่มีใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเอลียาห์บนภูเขาคารเมล โดยพระคุณของพระเจ้าเขามีสาวกที่โดดเด่นชื่อเอลีชาและอาจมีคนอื่นๆอีกสองสามคนที่โดดเด่นน้อยกว่า แต่ในช่วงที่เด็ดเดี่ยวนั้นเอลียาห์อยู่เพียงลำพังบนภูเขา เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่พูดความจริงของพระเจ้า
เมื่อพูดถึงความจริงของพระเจ้า ผมพบว่าความหมายของหลายข้อชัดเจนสมบูรณ์หลังจากที่ผมได้ออกมาจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมสอนพระคัมภีร์แบบผิดๆเพราะผมสอนตามการแปลความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตอนนี้ผมสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่เคยเห็นการแปลความอย่างอื่นที่ชัดเจนสมบูรณ์และกระจ่างแจ้งอยู่ตรงหน้าของผม คนฝ่ายเนื้อหนังจะบิดเบือนความจริง ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาชั่วร้ายแต่เพราะว่าพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่กับผู้นำคริสตจักรแต่เป็นกับทั้งคริสตจักร
พระเยซูถูกถามว่า ถ้าชายคนหนึ่งตายโดยที่ยังไม่มีบุตร และน้องชายของเขาก็แต่งงานกับหญิงม่ายตามบทบัญญัติเพื่อจะมีบุตรไว้สืบตระกูลให้กับพี่ชายที่ตายแล้ว และถ้าเขาเองก็ตายโดยที่ยังไม่มีบุตรกับเธอ และก็เป็นอย่างนี้กับพี่น้องทั้งเจ็ดคน ในสวรรค์หญิงนี้จะเป็นภรรยาของใคร? พระเยซูทรงให้คำตอบว่าพวกสะดูสีไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า (มัทธิว 22:29 เปรียบเทียบกับมาระโก 12:24)
พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ให้สังเกตว่าคำที่ขีดเส้นใต้ว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว” แปลมาจากคำกรีก (พลานาโอ)[8] พวกสะดูสีหลงผิดเพราะพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้นำศาสนาที่เติบโตมากับพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก แต่พระเยซูบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์จึงทำให้พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า คำว่า “รู้” ไม่ได้หมายถึงการรู้จากความรู้ แต่เป็นการรู้จากประสบการณ์ คนฝ่ายเนื้อหนังสามารถอ่านพระคัมภีร์จากภูมิปัญญาแต่ไม่ได้รู้จากประสบการณ์ พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา มีไม่กี่คนที่รู้จักพระเจ้าจากประสบการณ์ เอลียาห์เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น แต่จะพูดถึงคนอิสราเอลในแบบเดียวกันนั้นไม่ได้
พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์
บทนี้ผมจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างย่อๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ใช่พระเจ้าองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพ แต่เป็นพระยาห์เวห์เอง
พวกอัครทูตเป็นผู้ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ แต่พวกเขาเองจะไม่มีตัวบทจากพระคัมภีร์ใหม่มาใช้อ้างอิงได้ แล้วพวกเขาสามารถสอนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และเรื่องอื่นๆได้อย่างไร? พวกเขามีพระคัมภีร์เดิม แต่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแง่ของคำสอนน้อยมาก
คำตอบง่ายๆก็คือพวกอัครทูตสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณจากประสบการณ์ของพวกเขาเองกับพระเจ้าและฤทธิ์เดชของพระองค์ พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์เพราะพวกเขามีประสบการณ์พระคัมภีร์ด้วยตัวเอง พระคัมภีร์เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิตไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎี คุณจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้คุณก็ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามนั้นคุณก็จะไม่เข้าใจมันและยิ่งไปกว่านั้นอาจตีความผิดๆ
เมื่อผมมองย้อนประสบการณ์ของผมเอง ผมนึกถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งกับพระวิญญาณ ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกคุณมาก่อน แต่คราวนี้ผมจะวิเคราะห์มากขึ้นอีกนิด ผมจำประสบการณ์ที่เรามีได้อย่างเต็มตาในไชเซิลเฮิร์สท์[9]ในช่วงที่ผมศึกษาอยู่ ไชเซิลเฮิร์สท์เป็นเมืองเล็กๆ หรืออาจเป็นหมู่บ้านในเคนท์ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของอังกฤษ ใช้เวลาขับรถหนึ่งชั่วโมงจากทางใต้ของกรุงลอนดอน คริสตจักรลอนดอนของเราได้จัดค่ายอิสเตอร์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์ มีประมาณหกสิบคนมาร่วมค่ายนี้
ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของค่ายได้จนถึงทุกวันนี้ การประชุมครั้งสุดท้ายของค่ายเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรานั่งลงและกำลังจะเริ่มร้องเพลงชีวิตคริสเตียนเพลงแรก ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อย่างน่าเกรงขามของพระเจ้า มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้มีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนคุณก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ได้ดีเพราะว่าเราเองก็มีประสบการณ์อย่างวันเพ็นเทคอสต์ด้วย ทันใดนั้นเราทุกคนรู้สึกอย่างมากถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า เรากำลังพยายามร้องบทเพลงนมัสการนี้อยู่ แล้วจู่ๆการร้องของเราก็อึ้งไป ทุกอย่างหยุดนิ่งและมีแต่ความเงียบ
เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นี้ ผมเห็นได้ว่า อย่างแรกไม่มีความรู้สึกกลัวหรือตัวสั่น ไม่มีใครมีอาการขนลุกซู่หรือขนลุกขนพองเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กที่เราเคยเล่าเรื่องผีหลอกให้กลัวกัน โยบกล่าวว่า “วิญญาณดวงหนึ่งวูบผ่านหน้าข้าไป ข้าขนลุกซู่” (โยบ 4:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) แต่ในการประชุมที่ไชเซิลเฮิร์สท์ไม่มีความรู้สึกกลัวหรือน่าตกใจกลัว มีแค่ความรู้สึกตะลึงกับการสถิตอยู่ของพระเจ้าอย่างมากล้น คุณจะอธิบายความตะลึงนี้อย่างไร? มันเหมือนกับความรู้สึกตะลึงเมื่อคุณเห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆจะตกดิน ที่มีเมฆตระหง่านงดงามและแสงทองของดวงอาทิตย์ยามอัศดงให้คุณได้สัมผัสสวรรค์แวบหนึ่ง บางครั้งผมจะมองดูผู้คนที่ยืนอึ้งตรงหน้าอาทิตย์อัศดงที่งดงามน่าตื่นตะลึง แต่แม้อย่างนั้นก็เปรียบเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ตื่นตะลึงอย่างมากที่เราทั้งหกสิบคนมีประสบการณ์ที่ไชเซิลเฮิร์สท์
จากนั้นคนก็เริ่มสารภาพความบาปของพวกเขา ไม่มีใครนำประชุมอีกต่อไป หลังจากประกาศชื่อเพลงผู้นำประชุมก็หายหน้าไปเลยสองสามชั่วโมงถัดมา เขาไม่ได้พยายามจะนำอะไรเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงควบคุมสถานที่แห่งนั้น คนข้างๆผมมีน้ำตาไหลอาบแก้มของเขา ตรงมุมห้องมีบางคนกำลังสารภาพบาปของเขาออกมาดังๆ แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อีกคนก็ยืนขึ้นสารภาพบาปและเป็นอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอย่างมากต่อการสถิตอยู่ที่เต็มด้วยความบริสุทธิ์นี้ทำให้คนพากันสารภาพบาปของพวกเขา มีความสำนึกตัวถึงความสกปรกโสโครกและความเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง และทุกคนกำลังรอการชำระให้สะอาดต่อพระพักตร์ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า
สภาพเช่นนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานเท่าไรผมก็ไม่รู้จริงๆเพราะทุกคนลืมเรื่องเวลาไปหมด ดูเหมือนจะอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา เราไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนและเราก็ไม่สนใจ เมื่อคุณอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา ใครล่ะจะสนใจเรื่องเวลา? การประชุมเริ่มต้นเก้าโมงครึ่งหลังอาหารเช้าและหลังจากการหาไข่อิสเตอร์ ตอนหาไข่ทุกคนกำลังสนุกสนานวิ่งหาไข่อิสเตอร์กันจ้าละหวั่น เราเข้ามาในห้องประชุมด้วยเสียงหัวเราะและนั่งลงเปิดหนังสือเพลง ในวิญญาณจิตของเราไม่ได้ถูกเร้าใจด้วยเสียงดนตรีนมัสการหรือด้วยการใคร่ครวญอยู่อย่างเงียบๆ เรานั่งลงได้สองสามนาทีผู้นำประชุมก็พูดว่า “ให้เราร้องเพลงนี้ด้วยกัน” แล้วการสถิตอยู่ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็เข้ามาในท่ามกลางเรา! ไม่ได้มีการเตรียมการในทางจิตวิทยาแต่อย่างใด แต่เราก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา
ผมจำได้เลาๆว่ามีเสียงเคาะประตู เจ้าหน้าที่ค่ายกำลังแจ้งคนที่อยู่ใกล้ประตูว่าอาหารเที่ยงพร้อมแล้ว คนที่อยู่ใกล้ประตูพูดขอบคุณแล้วก็ปิดประตู แต่ไม่มีใครคิดถึงอาหารกลางวันกันเลย ในเวลานั้นการสถิตอยู่อย่างเต็มล้นของพระเจ้าน่าจะผ่านไปสามชั่วโมงแล้วเพราะเวลาทานอาหารกลางวันคือเที่ยงครึ่ง ไม่มีใครสนใจอาหารกลางวันเมื่อมีการสถิตอยู่อย่างเต็มล้นของพระเจ้า มันไม่ใช่เป็นการสถิตอยู่แบบชั่วแวบเดียวของพระองค์ แต่เป็นการดำเนินต่อไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วการประชุมเลิกไปตอนไหน แต่คงจะราวๆบ่ายสอง เรายังคงอยู่แบบนั้นสี่หรือห้าชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เมื่อทุกสิ่งจบลงก็มีความรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริง หลังจากการสารภาพความบาปก็มีการสรรเสริญและรู้สึกได้ถึงความรัก ความยินดี และสันติสุข ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณ!
แต่ประสบการณ์แบบนั้นได้ทำให้ทุกคนเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม? น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ประสบการณ์แบบนั้นไม่จำเป็นว่าจะทำให้คุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณ มันขึ้นกับว่าคุณทำอย่างไรกับมัน คนฝ่ายเนื้อหนังอาจชื่นชมยินดีกับประสบการณ์แต่ไม่ช้าเขาก็กลับไปสู่ความเป็นเนื้อหนังของเขา สำหรับผมแล้วประสบการณ์นั้นแตะต้องความคิดและจิตใจของผมและนำผมให้มีความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้นกับพระเจ้า
เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นั้น ผมตระหนักว่าผมไม่ได้รู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สาม มีแต่เพียงความรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว
พระวิญญาณของพระเยซู
แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไรหรือ? คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏราวๆ 90 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ จาก 90 ครั้งนี้มีปรากฏ 41 ครั้งในกิจการและ 13 ครั้งในลูกา ลูกาและกิจการเขียนโดยคนๆเดียวกันคือลูกา เฉพาะในลูกากับกิจการจะมีจำนวนปรากฏทั้งหมด 54 ครั้ง จำนวนนี้ถือว่าเป็น 60% ของการปรากฏทั้งหมดของ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เป็นคำศัพท์เฉพาะของลูกา (ที่เขียนกิจการด้วย) ในหนังสือเล่มอื่นๆทั้งหมดของพระคัมภีร์ใหม่ มีคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏน้อยครั้งกว่าและไม่ได้มีปรากฏในวิวรณ์แม้แต่ครั้งเดียว
ทำไมลูกาที่น่าจะเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในบรรดาผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จึงได้เลือกใช้คำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”? เราได้เห็นว่าการสถิตอยู่ของพระเจ้าจะมาพร้อมๆกับการรับรู้ได้อย่างมากถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกาใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของคนต่างชาติที่ความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้ถูกปนเปื้อน คนต่างชาติจะคิดถึงในแง่ของพระต่างๆมากกว่าคิดถึงพระเจ้า ลูกาแนะนำคำ “บริสุทธิ์” เพื่อจะแยกแยะพระเจ้าที่แท้จริงจากบรรดาพระของคนต่างชาติที่ไม่บริสุทธิ์ ถ้าคุณอ่านตำนานเทพเจ้าของกรีก คุณจะรู้ว่าพระต่างๆของกรีกสามารถเป็นฝ่ายเนื้อหนังได้เหมือนกับมนุษย์และบางครั้งก็เป็นฝ่ายเนื้อหนังมากยิ่งกว่า พระเหล่านั้นยังเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนจนคุณคิดสงสัยว่าจะมีใครมานมัสการได้อย่างไร นอกจากนี้พระเหล่านี้ก็ถูกคนฝ่ายเนื้อหนังเรียกใช้ตามจุดประสงค์ทางเนื้อหนังของพวกเขาเอง ถ้าคุณออกรบ คุณก็จะนมัสการเทพเจ้าแห่งสงคราม ถ้าคุณอยากมีลูกคุณก็จะนมัสการเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่พระเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือความไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นหากจะประกาศความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่แท้จริงให้กับคนต่างชาติ เราจะต้องอธิบายกับพวกเขาว่าพระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซูหรือพระวิญญาณของพระคริสต์ด้วย คำเรียกทั้งสองนี้จะพบน้อย แต่ละคำเรียกมีปรากฏอย่างละสองครั้ง ทั้งหมดรวมเป็นสี่ครั้ง (กิจการ 16:7 โรม 8:9 ฟีลิปปี 1:19 และ 1 เปโตร 1:11)[10] ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซู? คำนี้ไม่คุ้นกับคนในพระคัมภีร์เดิม ส่วนในพระคัมภีร์เดิมนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทำงานอย่างชัดแจ้งแล้วในบางคน ตัวอย่างหนึ่งก็คือโมเสสผู้ที่เต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือผู้ที่ทำหน้าที่โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ ที่จริงโมเสสทำหน้าที่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจนถึงขนาดสามารถพูดได้ว่าพระวิญญาณเป็นวิญญาณของโมเสส ในกันดารวิถี 11:17 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้า มาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง (กันดารวิถี 11:17 ฉบับมาตรฐาน 2011)
โมเสสทำงานหนักเกินไปและแบกภาระตามลำพัง ดังนั้นพระเจ้าจึงเอาวิญญาณที่อยู่บนโมเสสและใส่บนพวกผู้ใหญ่ที่จะช่วยโมเสสแบ่งเบางานของเขา ข้อ 25 กล่าวว่า
และพระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส แล้วทรงเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นด้วย เมื่อวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลย (กันดารวิถี 11:25 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนได้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ แต่พวกเขาไม่ได้รักษาความสามารถของการเผยพระวจนะของพวกเขา บทบาทหลักของพวกเขาก็คือแบ่งเบาภาระงานของโมเสส จงสังเกตคำพูดในข้อ 17 “เราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้า” เราคงหวังให้พระเจ้าตรัสเช่นนี้ว่า “เราจะให้วิญญาณของเรากับพวกผู้ใหญ่เหมือนที่เราได้ให้วิญญาณของเรากับเจ้า” เมื่อพูดถึงวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้หมายถึงวิญญาณมนุษย์ของโมเสสเองเพราะคงไม่มีใครจะบอกว่าวิญญาณมนุษย์ของคนๆหนึ่งว่าอยู่ “บนเขา” สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำก็คือทรงเอาพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสสมาใส่บนผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน พระเจ้าทรงเอาพระวิญญาณของโมเสสจากโมเสส (คือพระวิญญาณบนโมเสส) แล้วใส่บนผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนเพื่อพวกเขาจะได้แบ่งปันพระวิญญาณองค์เดียวกัน
พระเจ้าไม่ได้ให้พระวิญญาณของพระองค์โดยตรงกับผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน พระองค์ต้องการให้พวกเขารู้ว่าพระวิญญาณที่ใส่บนพวกเขาเป็นพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส เพื่อให้สิทธิอำนาจของพวกเขาขึ้นอยู่กับตัวโมเสส ตรงนี้เราเห็นพระปัญญาที่น่าทึ่งของพระเจ้า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่น่าประหลาดใจนี้เพื่อพวกผู้ใหญ่จะได้ไม่คิดอย่างนี้ว่า “เมื่อโมเสสได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ ดังนั้นเราก็จะได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ด้วย และจะทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับโมเสส” พระเจ้าทรงตั้งโครงสร้างของผู้นำอย่างเป็นระเบียบ และพระองค์ไม่ทรงต้องการจะสร้างกลุ่มผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนที่มีฐานะเทียบเท่าโมเสส ปัญหาในอิสราเอลก็มีพอแล้วจึงไม่ควรต้องมามีปัญหากับการนำที่แตกแยก
ในพระคัมภีร์เดิมจะมีคนของพระเจ้าน้อยมาก และหนึ่งในนั้นก็คือเอลียาห์ พระคัมภีร์พูดถึง “วิญญาณของเอลียาห์” นี่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ของเอลียาห์เอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า และพระวิญญาณนี้อยู่บนเขา จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้
เมื่อข้ามไปแล้ว เอลียาห์พูดกับเอลีชาว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้ ก็จงขอเถิด ก่อนที่เราจะถูกรับไปจากท่าน” และเอลีชาตอบว่า “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์เดช (วิญญาณ)[11] ของท่านสองส่วน” และเอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก แต่ถ้าท่านเห็นเราถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้” เมื่อท่านทั้งสองยังเดินสนทนากันต่อไป ดูสิ รถรบเพลิงคันหนึ่งและพวกม้าเพลิงได้แยกเขาทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปสวรรค์โดยพายุ เอลีชาเห็น และร้องว่า “พ่อของข้า พ่อของข้า รถรบแห่งอิสราเอล และทหารม้าประจำรถ” และท่านก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย แล้วท่านจับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน เอลีชาก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำ กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์สถิตที่ใด?” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้าง และเอลีชาก็เดินข้ามไป เมื่อเหล่าผู้เผยพระวจนะที่อยู่เมืองเยรีโคเห็นท่านอยู่แต่ไกล เขาทั้งหลายพูดว่า “ฤทธิ์เดช (วิญญาณ)[12] ของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” และเขาทั้งหลายมาพบท่าน แล้วโน้มตัวลงถึงดินคำนับท่าน (2 พงศ์กษัตริย์ 2:9-15 ฉบับมาตรฐาน 2011)
เอลีชาขอวิญญาณของเอลียาห์ “สองส่วน” เขาไม่ได้ผยองที่ต้องการวิญญาณของเอลียาห์สองเท่าให้มากเท่ากับเอลียาห์ จริงๆแล้วเขากำลังขอว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบุตรหัวปีของท่าน”[13] เพราะบุตรหัวปีจะได้รับมรดกเป็นสองเท่าจากบิดา ในการแบ่งมรดกนั้นบุตรชายแต่ละคนจะได้รับคนละหนึ่งส่วน แต่บุตรชายหัวปีจะได้รับสองส่วน เรื่องของมรดก (ในกรณีนี้เป็นมรดกทางจิตวิญญาณ) เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าเอลียาห์มีสาวกอยู่มากที่เรียกว่า “บรรดาบุตรของผู้เผยพระวจนะ” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปรากฏสี่ครั้งในบทนี้บทเดียว (2 พงศ์กษัตริย์ 2) เอลีชาซึ่งเป็นคนใกล้ชิดเอลียาห์ที่สุดได้ขอสองส่วน แต่เอลียาห์บอกว่าคำร้องขอไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแต่ขึ้นอยู่กับพระยาห์เวห์ที่จะประทานให้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ เอลีชาได้รับสิ่งที่เขาขอ และเมื่อเขาฟาดเสื้อคลุมของเอลียาห์ลงที่น้ำในแม่น้ำจอร์แดน แม่น้ำก็แยกออก
จากพระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่าพระวิญญาณของพระเยซูเป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่เต็มอยู่ในพระเยซู พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์โดยตรงจากพระองค์เองแต่ทางพระเยซูซึ่งคล้ายกับกรณีของโมเสสกับผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน พระเยซูทรงเป็นช่องทางที่พระวิญญาณมาถึงเรา พระวิญญาณของพระเยซูเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ก็เหมือนกับวิญญาณของโมเสสที่ไม่ใช่วิญญาณของเขาเองแต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (และเหมือนกับวิญญาณของเอลียาห์) พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ถูกส่งผ่านมาถึงเราทางพระเยซู เมื่อพระเยซูทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้พระองค์ทรงเต็มด้วยความบริบูรณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือการสถิตอยู่ของพระเจ้าเต็มอยู่ในพระกายของพระองค์ พระยาห์เวห์ประทับอยู่ในพระกายของพระเยซูจนถึงกับที่พระยาห์เวห์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับพระเยซู “อย่างไม่จำกัด” (ยอห์น 3:34[14] ที่บริบทพูดถึงพระเยซู) การสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์เต็มอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระเยซูโดยที่พระวิญญาณไม่ได้ถูกส่งผ่านให้กับเหล่าสาวกจนกระทั่งหลังการฟื้นคืนพระชนม์ ทำไมจึงไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้กับพวกเขาก่อนหน้านี้? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “อย่างไม่จำกัด” หมายถึงไม่มีขีดจำกัด ทั้งหมดของพระยาห์เวห์และความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ความเป็นพระองค์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระกายของพระเยซู สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอื่นแม้กระทั่งกับโมเสสหรือเอลียาห์
พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระวิญญาณของพระเจ้า
เปาโลกล่าวว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณของมนุษย์เกี่ยวข้องกับมนุษย์
ความคิดของมนุษย์ใครไหนเล่าจะรู้เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง เช่นเดียวกันไม่มีใครหยั่งรู้พระดำริของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด (1 โครินธ์ 2:11-12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
วิญญาณที่เรามีเป็น “ศักยภาพ” ที่น่าทึ่งหากเราอยากจะใช้คำนั้น วิญญาณของเราไม่ได้เป็นอีกคนหนึ่งในเรา ไม่อย่างนั้นเราก็คงเป็นผู้ป่วยจิตเภทที่มีสองคนอาศัยอยู่ภายในตัวเรา วิญญาณที่อยู่ภายในเราก็คือตัวของเรานั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นอีกบุคคลที่แยกจากพระเจ้า พระวิญญาณเป็นวิญญาณของพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณเป็นวิญญาณของเรา เมื่อเราพูดถึงพระวิญญาณเราจะพูดว่า “มัน (it)”[15] หรือว่า “พระองค์ (he)”? เราคงไม่พูดว่า “มัน” ในความหมายที่เป็นนามธรรมเพราะวิญญาณเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้น วิญญาณของผมก็คือตัวผม นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจึงไม่กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “มัน (it)” หรือ “อำนาจชักจูง” วิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถจะตรวจสอบตัวเอง นั่นก็คือวิญญาณของมนุษย์มีความสามารถที่จะตรวจค้นตัวเอง ดังที่เปาโลกล่าวว่า ทุกคนจงสำรวจตัวเองที่สำรับขององค์ผู้เป็นเจ้า (1 โครินธ์ 11:28) เปาโลไม่ได้กำลังบอกว่ามนุษย์มีบุคลิกภาพของสองคนในคนเดียวกันที่ส่วนหนึ่งจะตรวจสอบอีกส่วนหนึ่ง วิญญาณของมนุษย์ก็สำรวจตัวมนุษย์เอง เช่นเดียวกับที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือส่วนของพระเจ้าที่สำรวจสิ่งลึกๆของพระเจ้า (1 โครินธ์ 2:10)[16]
เปาโลบอกเราว่าวิญญาณสามารถคงอยู่เหมือนมีตัวตนที่แยกต่างหากจากร่างกายและทำงานอย่างเป็นอิสระภายนอกร่างกาย
แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจ(วิญญาณ)[17]ของข้าพเจ้าก็อยู่เสมือนว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ทำผิดเช่นนี้ ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกัน และใจ(วิญญาณ)[18]ของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธานุภาพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจงมอบคนเช่นนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อจิตวิญญาณของเขาจะได้รับความรอดในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า (1 โครินธ์ 5:3-5)
เปาโลกำลังประกาศการลงวินัยกับคนที่ทำบาปอย่างร้ายแรง เปาโลไม่ได้อยู่ในเมืองโครินธ์ในเวลานั้น แต่เขาสั่งผู้ที่อยู่ในคริสตจักรโครินธ์ให้ดำเนินการลงวินัย เปาโลหมายถึงอะไรหรือที่บอกว่า “ใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย”? บางครั้งเราจะพูดว่า “ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย” แบบไม่คิดมาก แต่เปาโลหมายถึงอย่างนั้นแบบจริงจังเพราะ “ใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธานุภาพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
สมมุติว่าผมอยู่ในประเทศแคนาดาและผมคิดถึงคุณ ผมก็สามารถมีใจจดจ่ออย่างมากอยู่กับคุณจนเหมือนว่าวิญญาณของผมอยู่กับคุณด้วยจริงๆ ผมอาจไม่ทราบว่าคุณกำลังอยู่ในห้องของคุณหรือว่าคุณกำลังเดินอยู่บนท้องถนน สถานการณ์ภายนอกจะไม่สำคัญ แต่มีวิญญาณที่พบกับวิญญาณเกิดขึ้นจริง เมื่อยังเป็นคริสเตียนอ่อนหัด บางครั้งผมจะรู้สึกอย่างมากว่ามีคนกำลังอธิษฐานเผื่อผมเหมือนว่าเขาคนนั้นอยู่กับผมด้วย ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาทูลวิงวอนองค์ผู้เป็นเจ้าเพื่อผม ผมมีประสบการณ์แบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งและผมก็รู้ว่าใครกำลังอธิษฐานเผื่อผม ผมไม่สามารถจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกเลย ผมเชื่อว่าคนที่อธิษฐานเผื่อผมได้เสียชีวิตแล้ว ผมกำลังหมายถึงเฮนรี่ ชอย[19] คนของพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ช่วยผมอย่างมากในฝ่ายวิญญาณ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าเขากำลังอธิษฐานเผื่อผมและผมรู้ว่าต้องเป็นเขา แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นอีก เหตุนี้เองผมจึงสรุปว่าเขาได้เสียชีวิตในค่ายกักกันสักแห่งหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเมื่อเปาโลกล่าวว่า “ใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย” เปาโลจึงอยู่ในโครินธ์จริงๆด้วยฤทธานุภาพของพระเยซู
นี่เป็นอีกกรณีที่เป็นไปได้ของการแยกร่างกายและจิตวิญญาณ
ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีที่แล้วเขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (จะไปทั้งร่างกายหรือไปโดยไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) ข้าพเจ้ารู้ว่าชายคนนี้ (จะไปทั้งร่างกายหรือไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) (2 โครินธ์ 12:2-3 ฉบับมาตรฐาน 2011)
เปาโลกล่าวสองครั้งว่า “ทั้งร่างกายหรือโดยไม่มีร่างกาย” เพื่อเน้นว่าชายในพระคริสต์คนนี้อาจถูกรับสู่สวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ หรือวิญญาณโดยไม่มีร่างกาย เปาโลพูดถึงการแยกกันร่างกายกับวิญญาณโดยที่วิญญาณทำหน้าที่อย่างมีอิสระจากร่างกาย ในทำนองเดียวกันกับวิวรณ์ที่ยอห์นพูดถึงการถูกนำด้วยพระวิญญาณ (วิวรณ์ 21:10 เปรียบเทียบกับวิวรณ์ 1:10, 4:2)[20]
พระยาห์เวห์ก็ทรงสามารถส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปเช่นกัน และเมื่อทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปพระองค์ก็ทรงส่งการสถิตอยู่ของพระองค์ออกไปด้วย พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพ หรือเป็นอีกพระองค์หนึ่งต่างหากที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์เอง เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่พูดถึงพระวิญญาณว่า “มัน (it)” เพราะจะเป็นการพูดถึงพระเจ้าว่า “มัน” ซึ่งใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท แต่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24)[21] และองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (2 โครินธ์ 3:17)[22] ด้วยเหตุที่พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์เอง ฉะนั้นการเต็มด้วยพระวิญญาณก็คือการเต็มด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ ในวันเพ็นเทคอสต์ พระยาห์เวห์เสด็จลงมาและเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกคนในห้องชั้นบน มันน่าอัศจรรย์ใช่ไหมที่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพหรือร่างเงา แต่เป็นพระยาห์เวห์เองที่สถิตอยู่ในเรา?
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์นั้นเข้าใจได้ไม่ยาก เราได้เห็นว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ได้เรียกว่าคริสตจักรของพระคริสต์หรือคริสตจักรของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โรม 16:16 กล่าวถึง “คริสตจักรของพระคริสต์” แต่เป็นการกล่าวถึงกลุ่มที่ประชุมกันในท้องถิ่น แต่คริสตจักรสากลนั้นถูกเรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่น กิจการ 20:28 และ 1 โครินธ์ 1:2)[23] นอกจากนี้ยังมี “คริสตจักรต่างๆของพระเจ้า” (เช่น 1 โครินธ์ 11:16 และ 1 เธสะโลนิกา 2:14)[24] แต่คริสตจักรเหล่านี้เป็นที่ประชุมของผู้เชื่อท้องถิ่น ด้วยเหตุที่คริสตจักรคือ “คริสตจักรของพระเจ้า” คุณก็น่าจะคาดหวังว่าพระเจ้าเองจะสถิตอยู่ในคริสตจักรโดยพระวิญญาณของพระองค์
สิ่งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องของประทานจากพระวิญญาณที่สรุปไว้ใน 1 โครินธ์บท 12 และ 14 ได้ดีขึ้น พระเจ้าทรงจัดสรรของประทานต่างๆตามชอบพระทัยของพระองค์ (1 โครินธ์ 12:11)[25]โดยพระวิญญาณของพระองค์เอง พระวิญญาณเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าในคริสตจักร เป็นคริสตจักรขององค์ผู้เป็นเจ้าเองและพระองค์ทรงจัดสรรของประทานต่างๆตามที่พระองค์เห็นควร คุณอาจได้รับของประทานอย่างหนึ่งและผมอาจได้รับอีกอย่างหนึ่ง บางคนได้รับของประทานสองหรือสามอย่าง อัครทูตเปาโลดูเหมือนว่าจะมีของประทานฝ่ายวิญญาณทุกอย่างเท่าที่เห็นได้
บัพติศมาในพระนามเดียว
ให้เราพิจารณาเรื่องบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
18พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:18-19 อมตธรรมร่วมสมัย)
สิทธิอำนาจทั้งสิ้นทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลกได้มอบไว้แก่พระเยซูแล้ว คำว่า “ดังนั้น” ในข้อถัดมาชี้ชัดว่าพระเยซูกำลังจะอธิบายว่าพระองค์จะทรงทำอะไรกับสิทธิอำนาจนั้น แต่ว่าใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระองค์ตั้งแต่ต้น? ผู้ที่ให้สิทธิอำนาจพระองค์ก็คือพระยาห์เวห์ พระเยซูกำลังบอกว่าด้วยสิทธิอำนาจจากพระยาห์เวห์ที่ทรงมอบให้พระองค์นั้น เราจะบัพติศมาในพระนามเดียวของพระบิดาและของพระบุตรและของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอะไรในคำกล่าวนี้ไหมที่เข้าใจยาก? เรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาจากมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว มันง่ายเสียจนไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย พระเยซูไม่ได้กระทำการในนามของพระองค์เอง แต่กระทำการในพระนามที่ได้ให้สิทธิอำนาจกับพระองค์ พระองค์กระทำการในพระนามนั้นและเราบัพติศมาในพระนามนั้น
ในส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระคัมภีร์ใหม่เคยพูดถึงใครไหมว่าได้ทำสิ่งใด “ในพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์”? ไม่มีคำดังกล่าวว่า “ในพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์” เพราะ “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ใช่พระนามๆหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงพระวิญญาณอย่างตรงตัว ในทำนองเดียวกัน “วิญญาณของมนุษย์” ก็ไม่ใช่ชื่อหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงตัวมนุษย์เองอย่างตรงตัว “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ใช่พระนามๆหนึ่งแต่เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์นั่นเอง
คำประกาศการบัพติศมาในมัทธิว 28:19 ไม่ได้บอกว่า “ในพระนามของพระเยซู” เพราะพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งต่างๆในนามของพระองค์เอง นี่เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพดูเหมือนจะไม่เคยเข้าใจ ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า พระเยซูไม่เคยทำการสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง คุณจะไม่พบพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวที่กล่าวว่าพระเยซูทรงกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง ไม่มีบันทึกไว้เช่นนั้นเลย เรากระทำในพระนามของพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยกระทำในพระนามของพระองค์เอง
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ในพระนามของพระบิดา” (พระยาห์เวห์) ในมัทธิว 28:19 พระองค์ไม่ได้กำลังพูดถึงพระนามที่แยกสำหรับพระเยซูหรือพระวิญญาณ เราได้เห็นว่าไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และก็ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในนามของพระเยซูก่อนหนังสือกิจการ ในพระกิตติคุณสี่เล่มไม่มีตัวอย่างว่ามีผู้ใดกระทำสิ่งใด “ในนามของพระเยซู” นี่รวมถึงพระเยซูเอง เพราะพระองค์กล่าวถึงพระองค์เองว่า “เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้าผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านจะยอมรับผู้นั้น” (ยอห์น 5:43 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระเยซูไม่เคยมาในนามหรือสิทธิอำนาจของพระองค์เอง แต่มาในนามของพระบิดาเท่านั้น นั่นก็คือในพระนามของพระยาห์เวห์ (สำหรับพระเยซูแล้ว พระบิดาของพระองค์คือพระยาห์เวห์เสมอ) ในทางกลับกันคนฝ่ายเนื้อหนังจะต้อนรับผู้ที่มาในนามของพวกเขาเอง ซึ่งอาจเป็นดาราเพลงร็อคที่ยิ่งใหญ่ แต่จะไม่ต้อนรับผู้ที่มาในนามของพระยาห์เวห์ พระเยซูยังกล่าวว่า “สิ่งที่เราทำในพระนามพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้กับเรา” (ยอห์น 10:25 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ยิ่งไปกว่านั้นพระราชกิจต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำในพระนามของพระบิดาก็เป็นพยานว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (ข้อ 24) ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระเจ้า พระเยซูจึงไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง ถ้าผมทำสิ่งใดในนามหรือในสิทธิ หรือในอำนาจของผมเอง ผมก็จะไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระเจ้า
ยอห์น 12:13 กล่าวว่า “พวกเขาถือทางอินทผลัมออกมารับเสด็จและโห่ร้องว่า ‘โฮซันนา! สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า! สรรเสริญองค์กษัตริย์แห่งอิสราเอล!’”(ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) การโห่ร้องอย่างยินดีว่า “สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ถูกบันทึกในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 21:9 มาระโก 11:9 ลูกา 19:38 และยอห์น 12:13) เป็นการอ้างอิงจากสดุดี 118:26[26] ที่คำว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ในฉบับภาษาฮีบรูหมายถึงพระยาห์เวห์
ถ้าพระเยซูไม่เคยเสด็จมาในพระนามของพระองค์เอง หรือกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แล้วพระองค์จะทรงบัพติศมากับใครๆในพระนามของพระองค์เองได้อย่างไร? ในที่สุดแล้วเราจะได้รับบัพติศมาในพระนามของพระบิดาคือพระยาห์เวห์ ซึ่งหมายความว่าเรามาเป็นสมบัติของพระยาห์เวห์และมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระเจ้า
ในหนังสือกิจการ เหล่าสาวกได้บัพติศมาคนทั้งหลายในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 8:12) นี่ขัดแย้งกับคำสอนและการปฏิบัติของพระเยซูเองไหม? ก็ไม่เลย ให้เราดูแผ่นภาพลูกโซ่ของอำนาจที่เราดูมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง
จงสังเกตตัวพิมพ์ใหญ่ “LORD” (ยาห์เวห์) อักษรขึ้นต้นตัวใหญ่ “Lord” (พระคริสต์) และตัวพิมพ์เล็ก “lord” (สามี/ผู้นำ) ในทั้งสามกรณีนี้คำกรีกที่ใช้เป็นคำเดียวกันคือ (kurios, Lord)[27] คำกล่าวของพระเยซูในมัทธิว 28 จึงสามารถเข้าใจได้ว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดทรงมอบไว้แก่เราด้วยสิทธิอำนาจนั้น จงให้บัพติศมาในพระนามของพระบิดา” เราได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์ในพระนามของพระยาห์เวห์ (เปรียบเทียบกับโรม 6:3 และกาลาเทีย 3:27)[28] พระวิญญาณทำให้เราเข้าในพระคริสต์ “เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน” (1 โครินธ์ 12:13)[29] พระวิญญาณมีส่วนในการบัพติศมาแต่เราไม่ได้บัพติศมาในพระนามของพระวิญญาณ คำกล่าวถึงการบัพติศมาในมัทธิว 28 ไม่ได้มีการบัพติศมาในพระนามของพระเยซู แต่ในกิจการมีการบัพติศมาในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 10:48) นั่นก็คือการบัพติศมาในสิทธิอำนาจของพระเยซู
แผ่นภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยโครงสร้างของใบโคลเวอร์ที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้ ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นจะบัพติศมาในสามพระนาม แต่ในมัทธิว 28:19 มีเพียงพระนามเดียว
ตามแผ่นภาพที่ 7 ถ้าคุณกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระคริสต์ในลูกโซ่ของอำนาจ สุดท้ายคุณก็กำลังกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์ ขณะที่พระเยซูทรงทำทุกสิ่งในพระนามของพระยาห์เวห์ เราก็ทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูและผลสุดท้ายก็ทำในพระนามของพระยาห์เวห์ ในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวจะไม่มีความสับสนเลย ในกรณีของสามีและภรรยา สามีสามารถกระทำการในนามของพระเยซูเพราะเขาอยู่ในสายของอำนาจ ภรรยาสามารถกระทำการในนามของสามีของเธอเพราะว่าเธออยู่ภายใต้เขาและมีสิทธิอำนาจที่จะกระทำการในนามของเขา ในทำนองเดียวกันกับในพระคัมภีร์เดิมที่คนหนึ่งสามารถกระทำการไม่เฉพาะแต่ในพระนามของพระเจ้า แต่ยังกระทำการในนามของเจ้านายของคนๆนั้น หรือในพระนามของกษัตริย์ด้วย (เอสเธอร์ 8:8-10)[30]
ทางด้านขวาของแผ่นภาพที่ 9 เป็นลูกโซ่ของอำนาจในพันธกิจของคริสตจักร ถ้าเราย้ายลูกโซ่นี้ไปตรงวงที่เรียกว่า “สามี/ผู้นำ” เราจะเห็นว่าเหล่าอัครทูตจะอยู่ใต้พระคริสต์โดยตรง และในสุดท้ายก็กระทำการในพระนามของพระยาห์เวห์ (พระเจ้า) ผู้เผยพระวจนะหรือผู้สอนสามารถกระทำการในนามของอัครทูตถ้าอัครทูตนั้นเป็นผู้ที่ส่งเขาออกไป ถ้าเปาโลส่งทิโมธีออกไป ทิโมธีก็สามารถกระทำการในนามของเปาโลได้ นี่ไม่ได้เป็นการจัดเฉพาะบุคคลระหว่างเปาโลกับทิโมธี แต่เป็นส่วนของโครงสร้างทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ ในทำนองเดียวกันเมื่อพระเยซูทรงกระทำการในพระนามของ “LORD” (พระยาห์เวห์) ผู้นำของคริสตจักรก็กระทำการในนามของพระคริสต์ และภรรยาก็กระทำการในนามสามีของเธอ
ผมนึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเจนีวาประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เจ้าของร้านอาหารจีนร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจร้านอาหารของเขา เขามาจากประเทศจีนหรือฮ่องกง วันหนึ่งเขาได้เจอสาวสวยจากประเทศจีนแล้วก็แต่งงานกับเธอ มีวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองกลายเป็นคนล้มละลายเพราะภรรยาสาวของเขาได้กระทำการในนามของเขาเพื่อกวาดเอาเงินในบัญชีธนาคารของเขาจนเรียบ เธอหายตัวไปและเขาไม่เคยพบเธออีกเลยและเงินก็ไม่ได้คืนกลับมา
คุณต้องแน่ใจว่าคุณให้ถูกคนแล้วมากระทำการในนามของคุณ ผมแน่ใจว่าพระเยซูสนพระทัยเกี่ยวกับผู้ที่กระทำการในพระนามของพระองค์ บุตรชายเจ็ดคนของเส-วาพยายามจะขับผีออกในพระนามของพระเยซู ผีร้ายจึงพูดกับพวกเขาว่า “พระเยซูนั้นข้าก็คุ้นเคย และเปาโลนั้นข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นใครกัน?” แล้วผีก็กระโดดใส่บรรดาบุตรของเส-วาอย่างดุเดือด (กิจการ 19:13-16)
พระเยซูไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง
ผมขอย้ำจุดสำคัญนี้ว่า คุณจะไม่เข้าใจพระเยซูจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าพระองค์ไม่เคยกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง พระองค์เสด็จมาในพระนามของ “LORD” นั่นคือในพระนามของพระยาห์เวห์ ในพระนามของพระยาห์เวห์นี่แหละที่พระเยซูทรงกระทำราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ พระเยซูทรงสอนคำสอนทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ และตรัสคำตรัสทั้งสิ้นของพระองค์ เราเอาคุณลักษณะที่สวยงามนี้ออกไปจากพระเยซูเพราะเราต้องการให้พระองค์กระทำการในพระนามของพระองค์เอง
วิวรณ์ 1:1 กล่าวว่า “นี่คือการสำแดงของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าประทานแก่พระองค์ เพื่อแสดงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสำแดงแก่ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมพบว่าศาสนศาสตร์ของวิวรณ์ค่อนข้างจะลึกลับ หนังสือทั้งเล่มเป็น “การสำแดงของพระเยซูคริสต์” ไม่ใช่การสำแดงที่พระเยซูทรงให้แต่เป็นการสำแดงที่ “พระเจ้าประทานให้พระองค์” ซึ่งก็คือให้กับพระเยซูคริสต์ หนังสือวิวรณ์นี้เป็นการสำแดงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่การสำแดงที่มาจากพระองค์ พระเยซูไม่เคยกระทำการสิ่งใดในพระนามหรือในสิทธิอำนาจของพระองค์เอง การสำแดงที่พระเยซูให้กับยอห์นเป็นสิ่งที่พระเยซูเองได้รับมาจากพระยาห์เวห์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะสำแดงแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ซึ่งรวมยอห์น ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า
ตรงนี้เราเห็นการอยู่ใต้บัญชาพระยาห์เวห์ของพระคริสต์แม้กระทั่งในเรื่องของการสำแดง พระคริสต์ได้รับการสำแดงจากพระยาห์เวห์ และเป็นผู้สื่อสารที่จะส่งการสำแดงต่อให้ยอห์น ดังที่เราจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งในวิวรณ์
พระยาห์เวห์ในวิวรณ์
ยอห์นเขียนว่า “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายอห์น ถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย ขอพระคุณและสันติสุขมีแก่ท่านทั้งหลายจากพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีต และจะเสด็จมาและจากวิญญาณทั้งเจ็ดหน้าพระที่นั่งของพระองค์” (วิวรณ์ 1:4 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) นี่เป็นการถอดความที่น่าสนใจของอพยพ 3:14 (“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”) พระคุณและสันติสุขมาจากพระองค์ “ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีต และจะเสด็จมา” ซึ่งเป็นการอ้างอิงอย่างมีจุดมุ่งหมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” หรือ “เราจะเป็นผู้ซึ่งเราจะเป็น” นอกจากนี้ยังเป็นการถอดความที่ดีเยี่ยมที่เปิดเผยความหมายพระนามของพระยาห์เวห์ มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของพระยาห์เวห์ และข้ออ้างอิงที่เกี่ยวข้องกันนี้คือสดุดี 90:2 “ก่อนภูเขาถือกำเนิด ก่อนที่พระองค์จะทรงให้แผ่นดินและโลกเกิดขึ้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลตลอดชั่วนิรันดร์กาล” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
สี่ข้อต่อมาในวิวรณ์ สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของพระยาห์เวห์ถูกกล่าวซ้ำว่า “พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’ ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์” (วิวรณ์ 1:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
รอยนิ้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีให้เห็นทุกที่ในวิวรณ์ มันเป็นการสำแดงที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูเพื่อให้กับยอห์น เราได้เห็นอีกครั้งที่พระเยซูทรงเป็นช่องทางของการสำแดงในเรื่องนี้
พระเยซูในวิวรณ์
วิวรณ์บอกถึงพระเยซูไว้ว่าอย่างไร? เราก็เหมือนกับชาวอิสราเอลที่ต้องการจะได้คนที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมดมาเป็นกษัตริย์และผู้ปกครองของเรา ในกรณีของพระเยซู เราต้องการจะยกย่องพระองค์ให้เท่ากับพระเจ้า แต่มีภาพแบบนั้นของพระเยซูในวิวรณ์ไหม? ก็ไม่มีเลย แต่เราจะพบว่าวิวรณ์พูดถึงพระองค์ว่าทรงเป็นผู้ทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก (วิวรณ์ 1:5)[31] นั่นเป็นคำเรียกที่สูงสุดของโลกมนุษย์ พระองค์ก็ทรงถูกเรียกว่า “เจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ในวิวรณ์ 17:14 (เปรียบเทียบกับ 19:16)[32] ถ้อยคำนี้ไม่ได้เป็นคำเรียกพระเจ้าเพราะทั้งอารทาเซอร์ซีสและเนบูคัดเนสซาร์ก็ถูกเรียกว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” (เอสรา 7:12 ดานิเอล 2:37)[33] คำเรียกนี้ที่ใช้กับพระเยซูได้อธิบายไว้ในวิวรณ์ 1:5 ว่า “ผู้ทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก”
ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูในลักษณะต่อไปนี้
พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนสำลี ขาวดุจหิมะ พระเนตรของพระองค์ดั่งเปลวไฟช่วงโชติ พระบาทของพระองค์ราวกับทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งในเบ้าหลอม พระสุรเสียงของพระองค์ดุจเสียงน้ำเชี่ยวกราก พระองค์ทรงถือดาวเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระพักตร์ของพระองค์ประหนึ่งดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า (วิวรณ์ 1:14-16 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
นี่ไม่ได้เป็นภาพของพระเจ้า เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้ในตอนนี้นอกจากจะสังเกตว่าพระพักตร์ของพระองค์เหมือน “ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า” และ “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนสำลี” น่าเป็นไปได้ว่าเป็นแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากพระเศียรของพระองค์ แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เฉพาะแต่กับพระเยซู เพราะเราเห็นคำอธิบายคล้ายๆกันถึงทูตสวรรค์ในวิวรณ์ 10:1 “จากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากฟ้าสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มีรุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าดั่งดวงอาทิตย์ และขาดุจเสาที่มีไฟลุกโชติช่วง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
วิวรณ์ 1:14-16 ที่ยกมาข้างต้นดูเหมือนจะอธิบายถึงพระเยซูในรูปแบบที่ยกย่อง แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็คล้ายคลึงกับความยิ่งใหญ่ของทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่ง (วิวรณ์ 10:1) หลายบทต่อมายอห์นกล่าวว่า “หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และรัศมีของท่านทำให้แผ่นดินโลกสว่าง” (วิวรณ์ 18:1 ฉบับมาตรฐาน 2011) ทูตสวรรค์องค์นี้จะต้องส่องแสงเหมือนกับดวงอาทิตย์เพราะทำให้ทั้งแผ่นดินโลก “สว่างไสวด้วยรัศมีของท่าน”[34] เจมส์ ดันน์[35] (ผู้ที่ผมรู้จักเป็นส่วนตัว) ได้ให้ข้อสังเกตอย่างเดียวกันจากพระคัมภีร์ตอนนี้ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ของเขา เขาพูดว่าภาษาแบบนี้ที่เกี่ยวกับพวกทูตสวรรค์ ผู้เชื่อในศาสนายิวต่างคุ้นเคยกันดี มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราอาจจะคิด คำอธิบายของยอห์นเกี่ยวกับพระเยซูในวิวรณ์นั้นไม่ใช่รัศมีของพระเจ้าแต่เป็นรัศมีของทูตสวรรค์
พระวิญญาณในวิวรณ์
เราได้เห็นว่าคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลยในวิวรณ์ คำว่า “พระวิญญาณ” อย่างเดียวปรากฏเก้าครั้งพร้อมกับคำว่า “โดยพระวิญญาณ”[36] ที่ปรากฏสี่ครั้ง (เช่น ยอห์นถูกนำโดยพระวิญญาณ วิวรณ์ 17:3, 21:10) เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏสี่ครั้งของคำ “โดยพระวิญญาณ” เพื่อดูว่าคำเหล่านี้อ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีสักครั้งเลย การอ้างถึง “พระวิญญาณ” (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ทั้งเก้าครั้งนั้นทั้งหมดมีคำนำหน้านามกรีกที่ชี้เฉพาะ () ซึ่งผิดกับการปรากฏสี่ครั้งของ “โดยพระวิญญาณ”[37] ที่ไม่มีคำนำหน้านามชี้เฉพาะ นั่นหมายความว่าทั้งสี่ครั้งนี้ไม่มีคำนำหน้านามกรีกที่ชี้เฉพาะ และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่รวมทั้งสี่ครั้งนี้ว่าเป็นการอ้างถึง “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในวิวรณ์
ผมยังพบว่าการอ้างอิงทุกครั้งถึงพระวิญญาณในวิวรณ์จะเกี่ยวข้องกับคริสตจักร แต่ในทางกลับกันวิวรณ์ไม่ได้กำลังพูดเกี่ยวกับคริสตจักร และก็ไม่มีการอ้างอิงถึงพระวิญญาณ นี่จึงอธิบายให้เห็นว่าทำไมการอ้างอิงส่วนมากถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงได้จับกลุ่มกันอยู่ในสามบทแรกของวิวรณ์
พระเยซูได้รับการนมัสการในวิวรณ์ไหม?
อีกอย่างที่น่าสังเกตเกี่ยวกับวิวรณ์ก็คือ ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะได้ทรงเล็งเห็นถึงการไหว้รูปเคารพด้วยการทำให้พระคริสต์มาเป็นพระเจ้าโดยที่พระองค์ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าทรงเป็นและไม่เคยประสงค์จะเป็น เนื่องจากว่าวิวรณ์มีจุดสำคัญอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ผมจึงได้ตรวจสอบคำกรีกของคำ “นมัสการ” ()[38] คำนี้ปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยปรากฏ 24 ครั้ง (40%) ในวิวรณ์ เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏทั้ง 24 ครั้งในวิวรณ์ ผมต้องแปลกใจที่ไม่มีการอ้างถึงพระคริสต์แม้แต่ครั้งเดียว จุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระยาห์เวห์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นและไม่ใช่พระคริสต์หรือบุคคลอื่น นี่น่าแปลกใจเพราะตัวเลข 24 เป็นจำนวนที่มาก
ชื่อ “พระเยซู” ปรากฏเพียง 14 ครั้งในวิวรณ์ซึ่งก็น่าแปลกใจเมื่อเห็นว่าคำ “พระเยซู” ปรากฏถึง 917 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “พระคริสต์” ปรากฏกว่า 500 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่แต่ก็มีปรากฏแค่ 7 ครั้งในวิวรณ์ นี่หมายความไหมว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นบุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางของวิวรณ์?
คำ (proskuneō) นี้หมายถึง “หมอบลง” คำนี้สามารถใช้ในความหมายของความอ่อนน้อม (หมอบลงโดยไม่ได้นมัสการ) หรือในความหมายที่แน่วแน่ (การนมัสการ) ตัวอย่างในความหมายของความอ่อนน้อมจะพบในวิวรณ์ 3:9 “เราจะทำให้บรรดาผู้เป็นธรรมศาลาของซาตาน ผู้อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทำให้พวกเขามาล้มลงแทบเท้าของเจ้าและรับรู้ว่าเรารักพวกเจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) สิ่งที่เราเห็นตรงนี้ไม่ใช่การนมัสการแต่เป็นการอ่อนน้อมจำนนและหมอบอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้เชื่อ
นี่ทำให้เราได้ข้อสังเกตที่สำคัญต่อไปนี้ ในวิวรณ์นั้น proskuneō ไม่เคยนำมาใช้อ้างถึงพระคริสต์ ไม่ว่าจะในความหมายที่อ่อนน้อมหรือในความหมายที่แน่วแน่
คำ proskuneō คำเดียวกันถูกใช้สองครั้งในการหมอบลงต่อหน้าทูตสวรรค์ที่กำลังสำแดงสิ่งต่างๆกับยอห์น ยอห์นหมอบอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์องค์นั้น แต่ทูตสวรรค์นั้นได้หยุดเขาไว้ทันที
ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานเรื่องพระเยซู จงนมัสการพระเจ้า! เพราะคำพยานเรื่องพระเยซูนั้นคือหัวใจของการเผยพระวจนะ” ผู้ทรงม้าขาว (วิวรณ์ 19:10 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ข้าพเจ้ายอห์นคือผู้ได้ยินได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และเมื่อเห็นแล้วได้ยินแล้วข้าพเจ้าก็หมอบลงเพื่อนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ผู้สำแดงแก่ข้าพเจ้า แต่ทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนี้! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่าน คือเหล่าผู้เผยพระวจนะและคนทั้งปวงที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด!” (วิวรณ์ 22:8-9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ในวิวรณ์ 1:17 ยอห์นล้มลงแทบพระบาทของพระเยซูเมื่อเขาเห็นพระเยซู คราวนี้คำที่ใช้ไม่ใช่ (proskuneō) แต่เป็น
(piptō ล้มลง)
เมื่อเห็นพระองค์ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทเสมือนกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” (วิวรณ์ 1:17 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
เราอ่าน “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” ให้เป็นพระเจ้าไปหมด ในอิสยาห์ 44:6 และ 48:12[39] อ้างอิงถึงพระเจ้า แต่เราไม่สนใจความจริงที่ว่ามีวิธีอื่นที่จะเข้าใจ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย”[40] จากพระคัมภีร์และอย่างน้อยที่สุดก็จากคำสอนของพระเยซูเองว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”[41] (มาระโก 9:35 ฉบับ 1971) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า “อย่างนั้นแหละ คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น และคนที่เป็นคนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย”[42] (มัทธิว 20:16)
วิวรณ์ให้ภาพของผู้เลี้ยงแกะและลูกแกะกับเรา ในอิสราเอลผู้เลี้ยงแกะจะเป็น “คนต้น” เพราะเขาต้องนำฝูงแกะไปข้างหน้า ที่เขาเป็น “คนสุดท้าย” ด้วยนั้นจะหมายถึงการที่ผู้เลี้ยงแกะมองเหลียวหลังดูว่ามีแกะตัวไหนที่พลัดหลงอยู่ข้างหลังบ้าง คนนำทางบนภูเขาจะทำอย่างเดียวกันกับนักไต่เขา พวกเขาจะนำทางคุณขึ้นบนเขาแต่พวกเขาก็ยังมองเหลียวหลังไปดูว่ามีใครถูกทิ้งอยู่ข้างหลังบ้าง ภาพของผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอลสวยงามมากแต่เราก็ยังคงอ่านเกินตัวบทให้เป็นพระเจ้าไปเสียหมด
พระเจ้าทรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล หรือ “ตั้งแต่นิรันดร์กาลที่ผ่านมาจนถึงนิรันดร์กาลในภายหน้า” (จากสดุดี 90:2 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[43] ไม่มีต้นหรือปลายในนิรันดร์กาล เมื่อพระเจ้าพูดถึงคนต้นและคนสุดท้ายนั้นพระองค์พูดเกี่ยวกับคนของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นและผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ทรงเป็นคนต้นและคนสุดท้ายในชีวิตของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีผู้นำหน้าเราและทรงเป็นผู้พยุงเราขึ้นเมื่อเราอยู่ล้าหลัง ทำไมเราจึงยังอ่านทุกสิ่งให้เป็นพระเจ้าไปเสียหมดและพลาดภาพที่สวยงามที่พระเจ้าทรงเป็นในความสัมพันธ์กับเรา?
เนื่องจากในการปรากฏทั้ง 24 ครั้งของ (proskuneō) ในวิวรณ์ไม่มีสักครั้งที่ใช้กับพระคริสต์และไม่มีข้ออ้างอิงถึงการนมัสการพระคริสต์ ผมจึงตรวจสอบคำ
(piptō “ล้มลง”) เราเห็นคำนี้แล้วในวิวรณ์ 1:17 (
,กาลกริยาแอริสต์[44]ของ
) ในวิวรณ์ 5:8 ก็ใช้คำนี้กับพระเยซูด้วย
เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบลง[45] (, กาลกริยาแอริสต์ของ
) เบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอมซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า (วิวรณ์ 5:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
สิ่งมีชีวิตกับเหล่าผู้อาวุโส “หมอบกราบลง” เบื้องหน้าพระเมษโปดก พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ไม่มีฉบับใดแปลคำนี้ว่า “นมัสการ” เลย
มีเพียงหนึ่งตัวอย่างที่คล้ายกันนี้ในวิวรณ์ ในกรณีนี้ที่พระเมษโปดกไม่ได้อยู่แต่ลำพังพระองค์เดียว แต่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น
13จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร ตลอดจนสรรพสิ่งในนั้นขับร้องว่า “ขอถวายคำสรรเสริญ พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งและแด่พระเมษโปดกสืบๆ ไปเป็นนิตย์!” 14สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ร้องว่า “อาเมน” และเหล่าผู้อาวุโสหมอบกราบนมัสการ ตราทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 5:13-14 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระคัมภีร์สองตอนคือวิวรณ์ 5:8 และวิวรณ์ 5:13-14 ที่เราเพิ่งอ้างอิงเป็นเพียงสองตัวอย่างเท่านั้นในวิวรณ์ที่ใกล้เคียงกับการนมัสการพระเยซูที่สุด ในวิวรณ์ 5:8 สิ่งมีชีวิตทรุดตัวลงต่อพระเยซูแต่ไม่มีการนมัสการ ในวิวรณ์ 5:14 ถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ประกอบด้วยคำกรีกสองคำที่เราได้กล่าวถึงคือ (“ล้มลง ทรุดตัวลง”) และ
(“นมัสการ”) การนมัสการเข้ามาเกี่ยวข้องในครั้งนี้เพราะมันชี้ไปที่พระองค์ ซึ่งก็คือไปที่พระเจ้า “ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น” เป็นสำคัญ คำ
ที่ปรากฏในวิวรณ์นี้จะอ้างอิงถึงพระเจ้าเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น มันไม่เคยใช้กับพระเยซูเลยยกเว้นในพระคัมภีร์ตอนนี้ (วิวรณ์ 5:13-14) แต่แม้ว่าจะใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ตอนนี้ผู้ที่เป็นจุดศูนย์กลางก็ไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ผมได้ค้นหาข้ออ้างอิงอื่นๆที่อาจจะบอกถึงการนมัสการพระเยซูแต่ก็ไม่มีอีก
การใช้คำ กับ
ด้วยกันนั้นยังพบในวิวรณ์ 7:11 (ดูที่ขีดเส้นใต้) แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพระเยซู
11ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้าลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า 12ร้องว่า “อาเมน! ขอให้คำสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ เดชานุภาพ และกำลัง มีแด่พระเจ้าของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน!” (วิวรณ์ 7:11-12 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ตรงนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้า แต่ไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก เราได้เห็นแล้วว่าคำ (proskuneō) ไม่เคยใช้กับพระเมษโปดกนอกจากข้อยกเว้นที่อาจเป็นได้ในวิวรณ์ 5:14 (แต่ในกรณีนี้พระเมษโปดกปรากฏพร้อมกับพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์)
การใช้คำ กับ
ด้วยกันยังพบอีกในพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้ (ดูที่ขีดเส้นใต้)
16และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งในที่นั่งของตน เบื้องหน้าพระเจ้าก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการพระเจ้า 17และทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงดำรงอยู่บัดนี้และผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ข้าพระองค์ทั้งหลายรำลึกในพระคุณของพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ ทรงเริ่มครอบครองแผ่นดินโลก (วิวรณ์ 11:16-17 ฉบับ 1971)[46]
ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนขอบพระคุณพระองค์ “ผู้ที่เป็นและผู้ที่เคยเป็น” ที่กล่าวถึงพระยาห์เวห์อย่างชัดเจน (อพยพ 3:14)[47] พวกเขาหมอบกราบและนมัสการพระเจ้า เราเห็นอีกแล้วว่าไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก
พระคัมภีร์ตอนสุดท้ายที่มีทั้งคำ และ
ก็คือวิวรณ์ 19:4-6 (ดูที่ขีดเส้นใต้) ที่ไม่ได้กล่าวถึงพระเมษโปดกเลย
4ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบ[48]นมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา!” 5แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า “ท่านทั้งปวงที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” 6จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ของเราทรงครอบครองอยู่” (วิวรณ์ 19: 4-6 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมเคยคิดว่าผู้ที่เป็นศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระเยซู แต่ที่เราเห็นมันกลายเป็นว่าพระองค์ไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์ด้วยซ้ำ ผมสามารถหาได้เพียงกรณีเดียวเท่านั้นที่ใกล้เคียงและในกรณีนี้คำ (piptō ทรุดตัวลง) เป็นการยกย่องเทิดทูนพระเมษโปดก (วิวรณ์ 5: 14) แต่นั่นอยู่ในบริบทของการนมัสการพระยาห์เวห์ วิวรณ์บท 4 และ 6 มุ่งเน้นกับการนมัสการพระยาห์เวห์ และในระหว่างสองบทนี้คือวิวรณ์ 5:8 ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ในท่ามกลางการนมัสการพระยาห์เวห์ทั้งหมดนั้นแต่ก็มีหนึ่งตัวอย่างของการเทิดทูนยกย่องพระเมษโปดก
ที่ไม่มีการนมัสการพระเยซูในวิวรณ์นั้นทำให้ต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อทราบความจริงว่าพระเมษโปดกได้ถูกกล่าวถึง 28 ครั้งในวิวรณ์[49] แต่กระนั้นก็ไม่มีตัวอย่างที่พระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์กลางโดยตรงของการนมัสการ แม้จะมีตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การนมัสการโดยตรง เพราะพระองค์ทรงรับการนมัสการร่วมกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์)
ลูกแกะที่ถูกฆ่า
ในวิวรณ์ คำว่า “ลูกแกะ”[50] ถูกใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายคือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เลียนแบบลูกแกะแท้ ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ “แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค” (วิวรณ์ 13:11 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำกรีกของ “ลูกแกะ” ตรงนี้คือ “”[51] นอกเหนือจากวิวรณ์แล้วจะพบคำนี้เฉพาะในยอห์น 21:15 ที่ปรากฏในรูปของพหูพจน์ (
)
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?” เขาทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะ[52]ของเรา” (ยอห์น 21:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา”[53] ในข้อ 15 ต่างกับ “จงดูแลแกะของเรา”[54] ที่พระองค์ตรัสถึงสองครั้งในข้อ 16 และ 17? พระองค์กำลังตรัสกับเปโตรว่า “จงดูแลแกะของเรา แต่จงดูแลบรรดาลูกแกะเล็กๆของเราเป็นพิเศษ” คุณจะคุ้นกับภาพของผู้เลี้ยงแกะกำลังอุ้มลูกแกะน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะอุ้มแกะโตได้ยาก แต่จะสามารถอุ้มลูกแกะน้อยในอ้อมแขนของเขาได้
เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง “พระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป” เขาใช้คำต่างกันคือใช้คำ “” (ลูกแกะ)[55] กับ “พระเมษโปดก”[56]
วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!” (ยอห์น 1:29 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไป และท่านกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดก (ลูกแกะ) ของพระเจ้า” (ยอห์น 1:36 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
“” (amnos) ตรงนี้หมายถึง “ลูกแกะ” ในขณะที่อีกคำบอกถึงสิ่งที่เล็ก “
” (arnion) หมายถึง “ลูกแกะน้อย” วิวรณ์ใช้คำหลังไม่ได้ใช้คำแรกเมื่อกล่าวถึงพระเยซู คำแรก (
, amnos) ถูกใช้ในกิจการ 8:32 ซึ่งเป็นคำอ้างอิงจากอิสยาห์ 53:7
พระคัมภีร์ที่ขันทีกำลังอ่านอยู่นั้นคือ “เขาถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนเขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน” (กิจการ 8:32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยปริปากเลย เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน (อิสยาห์ 53:7 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
“” (amnos) คำเดียวกันถูกนำใช้ใน 1 เปโตร 1:19 กับพระเยซูผู้เป็นลูกแกะที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิหรือจุดด่างพร้อย (เปรียบเทียบกับ 1 โครินธ์ 5:7 ซึ่งพูดถึง “ปัสกา” นั่นก็คือลูกแกะปัสกา)
ดังนั้นทำไมวิวรณ์จึงใช้คำอื่นกับ “ลูกแกะ” (, arnion) เมื่อกล่าวถึงพระเยซู? และทำไมลูกแกะเมษโปดก (Lamb) จึงเป็นภาพสำคัญที่สุดของพระเยซูในวิวรณ์จนคำ “พระเมษโปดก” มีปรากฏถึง 28 ครั้งในวิวรณ์?
เรานึกภาพออกไหมที่พระเยซูทรงเป็นลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า? ลูกแกะที่ใช้เป็นเครื่องบูชารวมทั้งลูกแกะปัสกาจะเป็นแกะอายุหนึ่งปีดังนั้นจึงยังเล็กมาก ทำไมลูกแกะจึงเป็นภาพของพระเยซูในวิวรณ์? มันไม่ใช่ภาพที่ดึงดูดใจคนอย่างแน่นอน เราต้องการวีรบุรุษสงคราม คนที่สง่าผ่าเผยอย่างกษัตริย์ซาอูลที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมด
แต่กลับกลายเป็นว่าสิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ (วิวรณ์ 5:5) ก็คือลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า (ข้อ 6)[57] ลูกแกะจะเป็นพิษเป็นภัยน้อยที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เราเห็น สัตว์อีกชนิดที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนกับลูกแกะก็อาจจะเป็นกระต่าย แม้แต่หมีโคอาลา[58]ก็อาจข่วนคุณถ้าคุณไม่ระวัง แต่ลูกแกะไม่สามารถจะข่วนคุณหรือกัดคุณได้ ทำไมพระคัมภีร์จึงจบด้วยภาพของลูกแกะ? ทำไมการเปิดเผยของพระคัมภีร์จึงสรุปลงด้วยภาพของลูกแกะเล็กๆที่ช่วยตัวเองไม่ได้?
พระเมษโปดกไม่ได้เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์เลย มีเพียงครั้งเดียวในวิวรณ์ที่พระเมษโปดกอาจเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการและในตัวอย่างนั้นพระเมษโปดกทรงอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ พระเมษโปดกไม่ได้เป็นผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เพราะตำแหน่งนั้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าผู้ถูกกล่าวถึง 12 ครั้งว่าประทับบนพระที่นั่งนั้น พระเยซูทรงมีพระที่นั่งของพระองค์เอง ไม่ได้ประทับบนพระที่นั่งของพระยาห์เวห์แต่ว่าพระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ พระองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งที่เป็นศูนย์กลางจะเป็นพระยาห์เวห์เสมอ
ในวิวรณ์ผมเห็นพระปัญญาของพระเจ้าผู้ทรงรู้ล่วงหน้าถึงความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่จะมีในต่อมา และพระองค์ทรงตั้งพระทัยให้ภาพของพระเยซูผู้เป็นลูกแกะ (พระเมษโปดก) ยิ่งกว่านั้นพระวิญญาณไม่ได้มีส่วนสำคัญในวิวรณ์นอกจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักร เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทำงานในคริสตจักร
หลักการฝ่ายวิญญาณสนับสนุนภาพของพระเยซูว่าเป็นลูกแกะเมษโปดกที่พบใน 2 โครินธ์ 12:9
แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า (2 โครินธ์ 12:9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
นี่คือคำตอบของพระเจ้าจากการที่เปาโลทูลวิงวอนสามครั้ง ให้เอาหนามออกจากเนื้อของเขา หลังจากนั้นเปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน” (2 โครินธ์ 13:4 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[59]
ในฉบับภาษาอังกฤษ “He was crucified in weakness, yet he lives by God’s power” เราจะสังเกตเห็นรูปไวยากรณ์ที่เป็นกาลในอดีตว่าพระเยซู “(ได้ทรง)ถูกตรึงตายในความอ่อนแอ”[60] แล้วจึงเป็นรูปของกาลปัจจุบัน “กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”[61] เปาโลจึงใช้หลักการเดียวกันนี้กับเราว่า “เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน”
เราได้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้ทรงกระทำอะไรในพระนามของพระองค์เลย นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้าใจศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่[62] ที่พระองค์ไม่ได้กระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เองนั้นเป็นความจริงในช่วงพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้และยังคงเป็นความจริงอยู่ในทุกวันนี้ แม้จนบัดนี้พระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์และไม่ได้กระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง เคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอยู่กับการที่พระองค์ทรงเป็นลูกแกะ สัตว์ที่อ่อนแอผิดธรรมดา ซึ่งแม้แต่แกะโตก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะจากหมาป่า พระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกจึงเป็นภาพของความอ่อนแอที่สุด และเราจะเข้าใจประเด็นความอ่อนแอที่สุดของพระองค์ได้ชัดเจนจากคำที่เปาโลกล่าวว่า พระเยซูก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์เท่านั้น (ที่อยู่ในรูปกริยาของกาลปัจจุบัน) แม้กระทั่งจนถึงขณะนี้ พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกแกะแต่ทรงเป็นลูกแกะน้อย ลูกแกะที่ถูกฆ่าโดยการตรึงตายบนกางเขน แต่ตอนนี้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระคัมภีร์ให้ภาพของพระคริสต์กับเราที่พระองค์ไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับพระเจ้าได้เลย
ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำลายพระกิตติคุณ ในอดีตที่ผ่านมาผมมีส่วนในเรื่องนี้ด้วยการประกาศพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ตรงข้ามกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่รู้จริงๆว่ามีภาพของลูกแกะน้อยที่อ่อนแอที่สุด มันช่างตรงข้ามกับความคิดของคนฝ่ายเนื้อหนัง นั่นคือเหตุที่ผมไม่สามารถเข้าใจภาพนี้ และเรื่องที่จะยอมรับก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆในทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น
ดังนั้นเราจึงอยู่ในโลกนี้เหมือนอย่างพระองค์ เราต้องเป็นคนอ่อนแอเหมือนกับพระเยซู แต่มีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คนฝ่ายเนื้อหนังจะรับสิ่งนี้ได้ยาก คริสเตียนทั้งหลายต้องการพระคริสต์ที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มด้วยรัศมี และความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พระคริสต์ที่อ่อนแอและไม่มีฤทธิ์อำนาจและมีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้นทรงเป็นพระคริสต์ผู้ไม่ทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แต่ทรงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระยาห์เวห์ เมื่อเราทำสิ่งใดในพระนามของพระเยซูซึ่งเราควรจะทำถ้าเราเป็นสาวกของพระองค์ เราจึงเข้าใจว่าเรากำลังกระทำการในพระนามของพระองค์ผู้ที่ไม่เคยกระทำการใดในพระนามของพระองค์เอง แต่กระทำในพระนามของพระบิดา
ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวถูกเผยให้เห็นอย่างมากในวิวรณ์ ภาพนิมิตของยอห์นในสวรรค์จะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ได้รับการนมัสการเหนือสิ่งอื่นใด พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกพูดถึงว่าประทับบนพระที่นั่งตรงใจกลาง แม้เราเองก็จะนั่งบนที่นั่งของเราเหมือนกับเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งบนที่นั่งของพวกเขาแต่ตรงนี้เรากำลังพูดถึงพระที่นั่งตรงใจกลางที่พระยาห์เวห์ประทับอยู่ บรรดาธรรมิกชนจะนั่งกับพระเยซู และเราจะนั่งบนพระที่นั่งของพระเยซู[63] พระเยซูจะประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า[64] แต่จุดศูนย์รวมของการนมัสการจะอยู่ที่พระยาห์เวห์เสมอและพระยาห์เวห์ผู้เดียวเท่านั้น
ยืนหยัดเพื่อความจริง
เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย ในยุคของเนื้อหนังนี้เรากำลังรับใช้พี่น้องที่รักในคริสตจักร คนในคริสตจักรส่วนใหญ่เป็นคนเนื้อหนังเหมือนกับตัวเรา และพวกเขาก็ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเหมือนกับตัวเรา ถ้าเราจะมีอะไรดีกว่าพี่น้องในคริสตจักรอยู่บ้าง ความแตกต่างจะอยู่ที่ความมากน้อยกว่ากัน ไม่ได้ต่างกันว่าเป็นแบบไหน เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงของพระเจ้า เราจะต้องทูลขอให้พระองค์เอาความเป็นเนื้อหนังของเราและความเป็นแบบโลกออกไป
แม้เราจะเป็นคนที่ไม่สมควรและอยู่ในเนื้อหนัง เราอาจได้รับสิทธิพิเศษที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังในยุคของเราเหมือนเอลียาห์ในยุคของเขาก็เป็นได้ การยืนหยัดอยู่เพียงลำพังไม่ใช่สถานการณ์ที่มีใครจะอิจฉาและอยากจะอยู่ และเราอาจจะเป็นผู้รับใช้คนสุดท้ายของพระยาห์เวห์ในยุคนี้เหมือนที่เอลียาห์เป็นในยุคของเขา ในวันข้างหน้าพวกคุณบางคนอาจเจอกับสถานการณ์ที่คุณจะต้องยืนหยัดอยู่เพียงลำพังเหมือนกับเอลียาห์
ลูกของยุคนี้ฉลาดกว่าลูกของความสว่างในหลายทาง (ลูกา 16:8)[65] พวกเขามักจะเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนมากกว่าเรา สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเราก็คือว่า เราจะไม่เป็นทั้งคนฝ่ายเนื้อหนังหรือคนฝ่ายวิญญาณ และดังนั้นผลสุดท้ายเราจึงไม่เป็นอะไรสักอย่าง ฉะนั้นเราควรต้องตัดสินใจ ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังไปให้ถึงที่สุด ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็เป็นฝ่ายวิญญาณไปให้ถึงที่สุด แต่ถ้าคุณจะอยู่แบบกึ่งๆกลางๆ คุณก็จะลงเอยด้วยการไม่เป็นอะไรสักอย่าง ถ้าคุณอยากจะรักโลก “ก็ให้กินและดื่มเถิด และพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (1 โครินธ์ 15:32) หรือจะออกไปให้สุดแล้วเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงขององค์ผู้เป็นเจ้า
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงวรรณกรรมจีนที่ผมได้อ่าน ผมไม่ใช่ผู้รอบรู้ภาษาจีนแต่ผมก็ชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกของจีน งานเขียนพวกนี้เข้าใจยากแต่ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาศึกษามัน ผมขอบอกก่อนว่าสิ่งที่ผมได้ร่ำเรียนมาส่วนมากผมได้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกเป็นบางครั้งบางคราวเพราะลูกของยุคนี้ฉลาดว่าลูกของความสว่างและบางคนก็มีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม
ผมจะยกจากท่อนที่ผมได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ที่เขียนโดย “หันยุ่ย”[66] ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ปลายราชวงศ์ถังและต้นของราชวงศ์ซ่ง เขาเขียน “โบ๋หยี ซ่ง”[67] “โบ๋หยี” เป็นชื่อของบุคคลผู้หนึ่งและ “ซ่ง” หมายถึง “ยกย่อง” เพราะฉะนั้นจึงหมายถึง “คำยกย่องโบ๋หยี” ในคำประพันธ์นี้ “หันยุ่ย” กล่าวว่ามีคนไม่กี่คนในโลกที่กล้ายืนหยัดเพื่อความจริง คนส่วนมากจะขี้ขลาดเกินไปและห่วงถึงประโยชน์ของพวกเขาเองมากกว่าจะยืนหยัดเพื่อความจริง
“หันยุ่ย”เองเป็นคนกล้าหาญมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยเขียนถึงจักรพรรดิเพื่อทูลขอไม่ให้พระองค์ยอมรับพระทนต์ของพระพุทธเจ้า[68]ที่ถูกนำเข้ามาไว้ในพระราชวัง นี่เป็นคำขอที่กล้าหาญเพราะจักรพรรดิได้ทรงตัดสินพระทัยแล้วที่จะนำสัญลักษณ์ชิ้นนี้ของพุทธศาสนาเข้ามาไว้ในพระราชวัง แต่ “หันยุ่ย” คัดค้านอย่างเด็ดขาดที่จะให้พุทธศาสนาเข้ามาเติบโตในประเทศจีน และที่สำคัญที่สุดก็คือที่จะไม่ให้เข้ามาในพระราชวังของจักรพรรดิ ผมชื่นชมความกล้าที่เกินใครของเขาจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นคำประพันธ์ของ “หันยุ่ย”
ในคำยกย่องโบ๋หยี[69]
ปราชญ์ทั้งหลายที่ยืนหยัดแต่ลำพังและกระทำการอย่างเอกเทศ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่จะปฏิบัติตามหลักของความชอบธรรม โดยไม่คำนึงถึงสายตาของคนอื่นๆ คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในหนทางนั้นและรู้จักตัวเองอย่างชัดเจน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้าแม้ว่าจะถูกครอบครัวคัดค้าน มีเพียงแค่คนเดียวในทั้งจักรวรรดิที่สามารถเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้าแม้ว่าจะถูกบ้านเมืองหรืออำเภอคัดค้าน มีเพียงแค่คนเดียวในร้อยปีหรือในพันปีที่จะเดินหน้าอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากคนทั้งโลก
ต่อไปนี้คือคำแปลของผมทีละใจความ
เขากล้าที่จะยืนหยัดเพียงลำพัง
และทำการอย่างเอกเทศ
แน่วแน่ในความชอบธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ในสิ่งอื่น
เขาไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นชอบด้วย หรือไม่เห็นชอบ
คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น
ผู้เชื่อในหนทางที่ถูกต้อง
ด้วยความแน่วแน่
เขารู้จักตัวเขาเอง และเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ
ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับเขา
เขาก็ยังตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำสิ่งที่ถูกโดยไม่สงสัย
คนเช่นนี้หาได้ยาก
ถ้าหากมีสถานการณ์ที่ทั้งประเทศหรือทั้งมณฑล
หรือทั้งจังหวัดยืนขึ้นต่อต้านเขา
มีใครบ้างกล้าทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่มีสงสัย?
ในทั่วใต้ฟ้า
คนแบบนี้ในทั้งโลกหามีใครเหมือน
ถ้าคนทั้งโลกไม่ยอมรับเขา
เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินในความจริงต่อไปโดยไม่ลังเล
ในร้อยหรือในพันปี
อาจจะมีคนแบบนั้นเพียงแค่คนเดียว
นี่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ยอดเยี่ยม! ด้วยเหตุความเป็นเนื้อหนังของเรา เราจึงต้องการจะได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆในยุคสมัยนี้และยืนอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับเอลียาห์ บทกวียกย่องโบ๋หยีของหันยุ่ยน่าจะใช้กับเอลียาห์ได้ ในพันปีมีเพียงแค่คนเดียวที่เหมือนกับเอลียาห์ ฉะนั้นปราชญ์อย่างหันยุ่ยจึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่เยี่ยมยอดทั้งในคำประพันธ์นี้และในคำประพันธ์อีกจำนวนมาก ผมให้คุณดูคำประพันธ์แค่ท่อนแรก ผมเว้นท่อนที่สองเพราะในนั้นหันยุ่ยหาแบบอย่างมาเป็นตัวอย่างให้กับประเด็นสำคัญของเขาไม่ได้แม้แต่ตัวอย่างเดียว เขาเลยเลือกตัวอย่างที่ค่อนข้างไม่ดีจากชีวิตของโบ๋หยีผู้ที่มีชื่ออยู่ใน “คำยกย่องโบ๋หยี” ผมข้ามตัวอย่างนั้นเพราะมันไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ผมไม่ตำหนิหันยุ่ยที่ยกตัวอย่างไม่ดีเพราะเขาไม่ได้มีเอลียาห์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง เขาคิดถึงตัวอย่างดีๆในช่วงห้าพันปีของประวัติศาสตร์จีนไม่ออก ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่หันยุ่ยคิดขึ้นมาได้ก็คือตัวอย่างของโบ๋หยี
ผมอธิษฐานขอให้พระพรขององค์ผู้เป็นเจ้าอยู่กับพวกคุณ และที่พระองค์จะพอพระทัยประทานความกล้าหาญให้คุณที่จะเป็นคนที่ในพันๆปีจะมีสักคนหนึ่ง คนที่จะยืนหยัดต่อการต่อต้านของคนทั้งโลก และที่ยังคงแน่วแน่มั่นคงจนถึงที่สุด
ผมหวังว่ารากฐานของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้ถูกวางออกมาให้คุณได้เห็นอย่างชัดเจนและคุณได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องคิดและทบทวนบางจุด และในที่สุดจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งตามในวิวรณ์ และเห็นความงดงามของพระเยซูที่ฤทธิ์อำนาจไม่ได้อยู่ในพระกำลังของพระองค์เอง แต่อยู่ในฤทธิ์อำนาจของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงทำงานผ่านผู้ที่เต็มใจจะอ่อนแอ นี่เป็นหลักการที่ผมหวังที่จะปฏิบัติเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ผ่านทางผม ยิ่งผมอ่อนแอเท่าไร ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ยิ่งมากขึ้น ผมต้องด้อยลง พระองค์จะต้องใหญ่ขึ้น เมื่อคุณนำหลักการที่ควบคุมชีวิตของพระเยซูมาปฏิบัติใช้กับตัวคุณเอง คุณจะเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นรอบๆตัวคุณ ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงได้รับพระเกียรติผ่านทางชีวิตของพวกคุณด้วยเถิด
[1] คำภาษาจีนคือ “虎步” (หูปู้)
[2] พันปี
[3] Nicene Creed
[4] Immaculate Conception of Mary
[5] 1 พงศ์กษัตริย์ 18:19 “เพราะฉะนั้น ขอทรงสั่งให้รวบรวมชนอิสราเอลทั้งสิ้นมาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมล ทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล 450 คนกับผู้เผยพระวจนะของพระอาเช-ราห์ 400 คนนั้น ผู้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[6] 1 พงศ์กษัตริย์ 19:18 “แต่เราจะเหลือ 7,000 คนไว้ในอิสราเอล คือทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัลและไม่ได้จูบพระนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[7] หมายถึงสมาชิกทั่วไป (ผู้แปล)
[8] planaō
[9] Chislehurst
[10] กิจการ 16:7 “เมื่อมาถึงเขตแดนแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะเข้าไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป”
โรม 8:9 “ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณ ใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์”
ฟีลิปปี 1:19 “เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าโดยการทูลขอของท่านทั้งหลาย และโดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ารอดพ้น”
1 เปโตร 1:11 “พวกเขาได้สืบหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในพวกเขาได้ทรงแจ้งไว้ โดยทรงบอกล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และพระสิริที่จะมาภายหลังความทุกข์เหล่านั้น”
[11] ต้นฉบับภาษาอังกฤษทุกฉบับและฉบับภาษากรีก คือคำว่า “วิญญาณ” ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลเหมือนกันว่า “ฤทธิ์เดช” (ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971) หรือ “ฤทธิ์อำนาจ” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล
[12] ต้นฉบับภาษาอังกฤษทุกฉบับและฉบับภาษากรีก คือคำว่า “วิญญาณ” (ผู้แปล)
[13] “ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล
[14] ยอห์น 3:34 “เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระดำรัสของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด”
[15] คำว่า “วิญญาณ” หรือ “พระวิญญาณ” ในภาษากรีก เป็นคำนามที่ไม่มีเพศ (neuter) สรรพนามที่ใช้คือ “it” (ผู้แปล)
[16] 1 โครินธ์ 2:10 “พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[17] ต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีกคือคำว่า “วิญญาณ” (ผู้แปล)
[18] ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำ “spirit” และภาษากรีกใช้คำ “” (ผู้แปล)
[19] Henry Choi
[20] วิวรณ์ 21:10 “แล้วท่านนำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์คือเยรูซาเล็ม ซึ่งลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า” (ผู้แปล)
วิวรณ์ 1:10 “พระวิญญาณทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงดังเหมือนอย่างเสียงแตรมาจากข้างหลังข้าพเจ้า” (ผู้แปล)
วิวรณ์ 4:2 “ในทันใดนั้น พระวิญญาณก็ทรงดลใจข้าพเจ้า และนี่แน่ะ มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์และมีท่านผู้หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น”
[21] ยอห์น 4:24 “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ผู้แปล)
[22] 2โครินธ์ 3:17 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหนเสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น”(ผู้แปล)
[23] กิจการ 20:28 “จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์” (ผู้แปล)
1 โครินธ์ 1:2 “เรียน คริสตจักรของพระเจ้า ที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ และได้รับการทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนร่วมกับทุกคนในทุกแห่งหน ที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขา” (ผู้แปล)
[24] 1 โครินธ์ 11:16 “แต่ถ้าใครคิดจะโต้แย้ง เราและคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าก็ไม่รับธรรมเนียมดังกล่าวนี้” (ผู้แปล)
1 เธสะโลนิกา 2:14 “พี่น้องทั้งหลาย ท่านปฏิบัติตามอย่างคริสตจักรที่อยู่ในแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ เพราะว่าท่านได้รับความลำบากจากพวกพ้องของตน เหมือนที่คนเหล่านั้นได้รับจากชาวยิวด้วยกัน” (ผู้แปล)
[25] 1 โครินธ์ 12:11 พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์ (ผู้แปล)
[26] สดุดี 118:26 “ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์ จงได้รับพระพร เราอวยพรพวกท่านจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[27] หรือ “คูริออส”, “ลอร์ด” (ผู้แปล)
[28] โรม 6:3 “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์”
กาลาเทีย 3:27 “เพราะว่าพวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตของพระคริสต์ด้วย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[29] ฉบับ 1971
[30] เอสเธอร์ 8:8-10 8พวกท่านจงเขียนเกี่ยวกับพวกยิวตามที่เห็นว่าดี ในนามของกษัตริย์และประทับตราด้วยแหวนตราของกษัตริย์ เพราะว่ากฤษฎีกาที่เขียนในนามของกษัตริย์ และประทับตราด้วยแหวนตราของกษัตริย์ จะเปลี่ยนกลับไม่ได้” 9แล้วพระองค์ทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในเวลานั้น ในเดือนที่สาม คือเดือนสิวัน ณ วันที่ยี่สิบสาม และให้เขียนกฤษฎีกาตามที่โมรเดคัยบัญชาทุกประการ ส่งถึงพวกยิว ถึงบรรดาสมุหเทศาภิบาล และพวกข้าหลวงและเจ้านายแห่งมณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงคูช 127 มณฑล ไปถึงทุกมณฑลเป็นตัวอักษรของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา และถึงพวกยิวเป็นตัวอักษรและภาษาของเขา 10และโมรเดคัยเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราด้วยแหวนตราของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปโดยผู้ถือสารที่ขึ้นม้าเร็วซึ่งเป็นพันธุ์ม้าหลวง (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[31] วิวรณ์ 1:5 “และจากพระเยซูคริสต์พยานผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นจากตาย และเป็นผู้ทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[32] วิวรณ์ 17:14 “พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลายและทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
วิวรณ์ 19:16 “พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[33] เอสรา 7:12 “อารทาเซอร์ซีสกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ถึงเอสราปุโรหิต ธรรมาจารย์ของธรรมบัญญัติแห่งพระเจ้าของฟ้าสวรรค์
ดานิเอล 2:37 “ข้าแต่พระราชา พระราชาเหนือพระราชาทั้งหลาย ผู้ซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดช และศักดิ์ศรี” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[34] หรือแปลตามวิวรณ์ 18:1 ว่า “รัศมีของท่านทำให้แผ่นดินโลกสว่าง” (ผู้แปล)
[35] James Dunn คือนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)
[36] ภาษาอังกฤษใช้คำ “in the spirit” คำ “spirit” ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเล็ก
[37] “” จากคำ “
” ที่อยู่ในรูปของคำนามเอกพจน์ ไม่มีเพศ ทำหน้าที่เป็นกรรมรองของประโยค (noun dative neuter singular common from
) -ผู้แปล
[38] Proskuneō (พรอส-คูเนโอ)
[39] อิสยาห์ 44:6 “พระยาห์เวห์ พระมหากษัตริย์ของอิสราเอล และพระผู้ไถ่ของเขา พระยาห์เวห์จอมทัพ ตรัสดังนี้ว่า “เราเป็นเบื้องต้นและเราเป็นเบื้องปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า" (ฉบับมตรฐาน 2011)
อิสยาห์ 48:12 “จงฟังเรา โอ ยาโคบ อิสราเอล ผู้ซึ่งเราเรียก เราคือผู้นั้น เราเป็นเบื้องต้นและเราเป็นเบื้องปลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[40] “the First and the Last”
[41] มาระโก 9:35 “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล
[42] “The last will be first, and the first will be last”
[43] Complete Jewish Bible (ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลสดุดี 90:2 ว่า “ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” ) -ผู้แปล
[44] aorist (การกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดๆหนึ่งในอดีตกาล) -ผู้แปล
[45] ฉบับมาตรฐาน 2011 ฉบับ 1971 และฉบับไทยคิงเจมส์แปลเหมือนกันว่า “ทรุดตัวลง” (ผู้แปล)
[46] เพื่อให้เข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น ผู้แปลจึงใช้ฉบับ 1971 แทนฉบับอมตธรรมที่ต้นฉบับใช้อ้างอิงซึ่งแปลเป็นไทยว่า “หมอบซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า” (ผู้แปล)
[47] อพยพ 3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[48] พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษทุกฉบับจะมีคำเชื่อม “and” (ผู้แปล)
[49] 4x7
[50] หรือพระคัมภีร์ไทยใช้คำว่า “พระเมษโปดก” ภาษากรีกคือ “” เป็นคำๆเดียวกับ “ลูกแกะ” (ผู้แปล)
[51] arnion แปลว่า “ลูกแกะ” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Lamb หรือ lamb” (ผู้แปล)
[52] หรือ “ลูกแกะทั้งหลาย” ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและกรีก (ผู้แปล)
[53] “feed my lambs”
[54] “feed my sheep” คำ “sheep” ภาษากรีกคือ “” ในรูปพหูพจน์ (มาจากคำ “
”)
ยอห์น 21:16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[55] amnos
[56] Lamb หรือ ลูกแกะ (ผู้แปล)
[57] หรือ “พระเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์” (วิวรณ์ 5:6 และระหว่างพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และท่ามกลางพวกผู้อาวุโส ข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกทรงยืนอยู่เหมือนดังถูกปลงพระชนม์แล้ว (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[58] koala
[59] “He was crucified in weakness, yet he lives by God’s power. Likewise, we are weak in him, yet by God’s power we will live with him to serve you.” (2 Cor.13:4, NIV)
[60] “was crucified in weakness”
[61] “yet he lives by God’s power”
[62] New Testament Christology หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์” (ผู้แปล)
[63] วิวรณ์ 3:21 คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[64] 1 เปโตร 3:22 พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[65] ลูกา 16:8 “แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[66] Hanyu (韩愈)
[67] Boyi Song (伯夷颂)
[68] หรือ “ฟันของพระพุทธเจ้า” (ผู้แปล)
[69] 伯夷颂 士之特立独行,适於义而已,不顾人之是非,皆豪杰之士,信道笃而自知明者也。一家非之,力行而不惑者,寡矣。至於一国一州非之,力行而不惑者,盖天下 一人而已矣。若至於举世非之,力行而不惑者,则千百年乃一人而已耳。