บทที่ 13
องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์
เกริ่นนำ
เราจะดูยอห์น 20:28 ต่อจากบทก่อน ที่โธมัสพูดกับพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” ผมจะใช้คำกล่าวนี้เป็นจุดเน้นในการพิจารณาปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระยาห์เวห์ คำพูดของโธมัสน่าสนใจและน่าท้าทายเพราะนี่เป็นเพียงข้อเดียวเท่านั้นในพระคัมภีร์ใหม่ที่คำเรียก “พระเจ้า” ใช้พูดตรงๆกับพระเยซูคริสต์หรือพูดชัดๆกับพระเยซู ไม่มีที่ไหนอีกแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ที่เคยใช้คำเรียก “พระเจ้า” ตรงๆกับพระเยซู มีพระคัมภีร์สองสามข้อที่บางคนใช้หมายถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู แต่เมื่อตรวจสอบข้อเหล่านี้อย่างละเอียดก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วข้อเหล่านี้ไม่ได้สอนถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู
โธมัสเป็นอัครทูตคนหนึ่งถึงแม้จะไม่ใช่อัครทูตในระดับต้นๆ ในทีมอัครทูตสิบสองคนนั้นมีสามคนที่ใกล้ชิดกับพระเยซูเป็นพิเศษคือ เปโตร ยากอบ และยอห์น และในจำนวนสามคนนั้นยอห์นใกล้ชิดกับพระเยซูที่สุด เวลารับประทานอาหารยอห์นจะเป็นผู้ที่นั่งติดกับพระเยซูและเอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ (ยอห์น 13:23)[1] สำนวน “เอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์” นี้จะไม่ค่อยเข้าใจกันในสมัยปัจจุบัน มีที่มาคือคนในสมัยโบราณเมื่อรับประทานอาหารด้วยกัน พวกเขาจะไม่นั่งบนเก้าอี้รอบโต๊ะอย่างที่เรานั่งกันในสมัยนี้ แต่จะเอนกายโดยพักข้อศอกข้างหนึ่งไว้บนตั่งคล้ายๆแคร่ และใช้มืออีกข้างหยิบอาหาร พวกเขาแต่ละคนจะอยู่ในท่าเอนกายอยู่รอบๆโต๊ะอาหาร การเอนกายแบบนี้จะลำบากมากสำหรับผมโดยเฉพาะกับแขนและไหล่ แต่คนในสมัยโบราณจะถูกฝึกให้เอนกายแบบนี้มาอย่างดี ถ้าคุณไปเที่ยวประเทศอิสราเอลในปัจจุบันตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ มัคคุเทศก์จะพาคุณไปชมห้องที่จัดแสดงการเอนกายรอบโต๊ะอาหารในสมัยก่อน ท่าเอนกายอาจดูไม่สบายกับเราในปัจจุบันแต่มันอาจจะสบายกับพวกเขาหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว
เรื่องของเรื่องอยู่ที่ว่าเมื่อคนเหล่านั้นเอนกายรอบๆโต๊ะ ก็จะมีบางคนอยู่ข้างหน้าคุณ แล้วคนนั้นจะเป็นคนที่ “เอนกายอยู่ใกล้อกของคุณ” เพราะศีรษะของเขาอยู่ใกล้อกของคุณ คำพูดนี้กลายมามีความหมายถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและสนิทสนม
ในบรรดาสาวกสิบสองคนนั้น โธมัสไม่ได้อยู่ใกล้พระเยซูเป็นพิเศษแต่ก็ใกล้พอควร ถ้าเป็นสมัยนี้เราคงดีใจที่จะถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มสิบสองคน ไม่ได้อยู่ในสามคนก็ไม่เป็นไร และไม่ได้อยู่ตรงที่พิเศษอย่างยอห์นที่อยู่ตรงพระทรวงของพระเยซูก็ไม่เป็นไร
แต่โธมัสพูดถึงสิ่งที่สำคัญบางอย่างในยอห์น 20:28 ในการวิเคราะห์ข้อนี้ผมกำลังจะขยับจากประสบการณ์ที่ผมได้แบ่งปันไปสู่การวิเคราะห์ทางการตีความที่ถูกต้องจากคำกล่าวที่สำคัญนี้คือ “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” คำทุกคำในพระคัมภีร์มีความสำคัญ แต่คำเหล่านี้มีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะไม่มีใครเคยพูดถึงพระเยซูแบบนั้นในที่อื่นอีกในพระคัมภีร์
คุณอาจบอกว่า “ถ้าโธมัสเรียกพระเยซูผิดว่าพระเจ้า แล้วทำไมพระเยซูจึงไม่ได้ทรงหยุดเขาไว้” เพราะแนวการให้เหตุผลนั้นอาจเป็นการใช้ “การถามแบบชี้นำ” (คำศัพท์ทางตรรกะที่ชี้นำข้อสรุป) คำถามที่คุณยกเป็นคำถามที่มีเหตุผล แต่เป็นการสันนิษฐานที่อาจจะถูกหรืออาจจะผิดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า นั่นเป็นคำถามที่ถูกชี้นำและข้อสรุปก็ยังคงมีมูล โธมัสกล่าวคำ “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” กับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หรือว่าโธมัสกล่าวถ้อยคำนี้กับผู้ที่เป็นรูปและเป็นพระฉายาของพระเจ้า? พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือโธมัสกำลังพูดถ้อยคำนี้กับพระเยซูผู้เป็นมนุษย์ หรือว่าเขากำลังพูดถ้อยคำนี้กับพระยาห์เวห์ที่ตอนนี้เขามองเห็นอยู่ในพระเยซูและถูกสำแดงให้เห็นอย่างสมบูรณ์ในพระเยซู
เมื่อมาถึงเรื่องของประสบการณ์แล้ว ความแตกต่างของความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้อาจไม่สำคัญนัก แต่เมื่อมาถึงเรื่องของคำสอนแล้วความชัดเจนของการวิเคราะห์นั้นสำคัญ เหตุผลที่พระเยซูไม่ได้หยุดโธมัสก็อาจเป็นได้อย่างมากว่าพระเยซูทรงรู้อยู่แล้วว่าโธมัสกำลังพูดอยู่กับใคร ในช่วงที่พระเยซูทรงทำพันธกิจบนโลกนี้และยิ่งกว่านั้นในภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูทรงรู้ถึงจิตใจและความคิดของมนุษย์ (ยอห์น 2:25)[2]
ผู้ตีความพระคัมภีร์ที่ดีจะไม่ด่วนสรุป การแบ่งปันประสบการณ์แม้อาจเป็นจริงและลึกซึ้งก็ยังต้องผ่านกระบวนการของการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันอาจจะมีน้ำหนักและคุณค่ามากในแง่ของประสบการณ์แต่ว่ามันมีน้ำหนักแค่ไหนในแง่ของหลักคำสอนหรือหลักความเชื่อ?
พระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีของพระเยซู
เมื่อโธมัสพูดถ้อยคำนี้กับพระเยซู โธมัสไม่ได้พูดขณะเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในกายที่มีเลือดเนื้อแต่พูดถ้อยคำนี้กับพระเยซูในช่วงหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เมื่อพระเยซูทรงมีกายที่เปลี่ยนไป ซึ่งไม่เหมือนกับกายที่พระองค์เคยมีเมื่อตอนที่พระองค์ทรงอยู่ในกายเนื้อหนัง เมื่อเหล่าสาวกรวมตัวกันอยู่ในห้องที่ปิดประตู พระเยซูก็ปรากฏกับพวกเขาทันที (ยอห์น 20:19)[3] กายธรรมดาที่มีเนื้อหนังจะไม่สามารถเดินทะลุฝาห้องหรือประตูที่ปิดไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงมีกายอีกแบบหนึ่ง มาระโก 16:12[4] กล่าวว่าบนถนนไปเอมมาอูสนั้น[5] พระเยซูทรงปรากฏพระองค์กับสาวกสองคนใน “อีกรูปหนึ่ง” ในข้อความภาษากรีก “รูป” ตรงนี้คือ “”[6] คำเดียวกับ “สภาพ” ที่เราพบในฟีลิปปี 2:6 (“พระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพพระเจ้า”)[7]
คำว่า “อีกรูปหนึ่ง” ที่พระเยซูทรงปรากฏกับสาวกบนถนนไปเอมมาอูสคืออะไร? มันก็คือพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีของพระเยซูดังที่เปาโลกล่าวถึงในฟีลิปปี 3:21 ว่า “พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงร่างกายอันต่ำต้อยของเราให้เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี”[8] (ฉบับมาตรฐาน 2011) วันหนึ่งร่างกายที่ต่ำต้อยของเราก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีของพระเยซู ซึ่งไม่เหมือนกับร่างกายเนื้อหนังเดิมของพระองค์ ในกรณีของโธมัสนี้เป็นได้ไหมว่า ที่เขาเห็นพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีของพระคริสต์ซึ่งเป็นการเปิดเผยถึงพระรัศมีของพระยาห์เวห์ในขณะนั้นจึงทำให้เขาถึงกับอุทานว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์”? โธมัสได้เห็นฤทธิ์เดชและพระรัศมีของพระเจ้าเปล่งปลั่งจากพระเยซูที่พระกายของพระองค์เป็นเหมือนม่านบางๆซึ่งไม่สามารถจะปิดบังพระรัศมีของพระเจ้าที่อยู่ข้างในเอาไว้ได้ จะว่าไปแล้วโธมัสสามารถมองทะลุผ่านพระกายนี้ไปยังผู้ที่อยู่ข้างใน ซึ่งก็คือพระยาห์เวห์ผู้สถิตอยู่ในพระเยซู
คำพยานที่กฎหมายยอมรับ
ตามบทบัญญัติของพระคัมภีร์แล้ว คดีความจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อมีพยานสองหรือสามปากให้ปากคำตรงกัน (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15, 2 โครินธ์ 13:1)[9] คำกล่าวของโธมัสไม่ได้รับการรับรองหรือได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากอัครทูตคนอื่นๆซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้เป็นตามข้อกำหนดว่าต้องมีพยานสองหรือสามปากเพื่อให้พยานหลักฐานมีมูล ฉะนั้นคำกล่าวของโธมัสจึงบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจของเขา เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าอัครทูตคนอื่นๆเข้าใจเหมือนกับเขาหรือไม่ เพราะไม่มีอัครทูตคนไหนที่เคยกล่าวย้ำหรือยืนยันคำกล่าวของเขาเลย เรามีพยานแค่ปากเดียวซึ่งหมายถึงว่าเราได้รับปากคำเป็นส่วนตัวจากโธมัสเมื่อเทียบกับพยานหลักฐานที่ได้มาจากการวิเคราะห์ตามหลักการและการประมวลความถูกต้อง
ประสบการณ์ส่วนตัวบุคคลก็ไม่ควรตัดทิ้งไปว่าไม่สำคัญ แต่มันแทบจะไม่มีน้ำหนักในชั้นศาลถ้าไม่มีการยืนยันจากพยานสองหรือสามปาก นั่นจะเป็นกรณีเดียวกับคำกล่าวของโธมัสเพราะมันเป็นข้อเดียวโดดๆในพระคัมภีร์ใหม่ที่เราจะไม่พบคำพูดกับพระเยซูที่คล้ายๆกันนี้ในข้ออื่นเลย
ผมอาจจะสามารถพิสูจน์ว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของใครบางคนแม้ว่าผมจะไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันที่มีน้ำหนักในศาลได้ บางคนอาจจะเห็นภาพที่คุณไม่เห็น คุณจะประเมินสิ่งนั้นอย่างไร? สิ่งแรกคุณจะต้องประเมินคนๆนั้นว่าปกติแล้วเขาเป็นพยานที่เชื่อถือได้ไหม? แล้วถ้าเขาเป็นพยานเพียงปากเดียวที่มีล่ะ? ในคดีความนั้นแทบจะไม่พบว่าจำเลยจะถูกตัดสินว่ามีความผิดหรือถูกตัดสินให้พ้นโทษจากคำให้การด้วยพยานส่วนบุคคลที่ไม่มีการยืนยันจากพยานปากอื่นๆ
บนถนนที่ไปดามัสกัส เปาโลได้เห็นพระคริสต์ผู้ทรงรัศมีเจิดจ้าและตาของเขาก็บอดเพราะพระรัศมีของพระองค์ แต่ต่อมาเปาโลไม่ได้ใช้ประสบการณ์นั้นที่จะพิสูจน์ความจริงที่มีอยู่ด้วยตัวมันเอง[10] เขาจะพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นสักขีพยานหนึ่ง” แต่เขาจะไม่พูดว่า “นี่เป็นความจริงเพราะข้าพเจ้าประสบเอง” เปาโลไม่ได้ให้คำชี้แจงของเขาขึ้นกับประสบการณ์ส่วนตัวเป็นหลัก เขาอาจจะใช้ประสบการณ์ของเขาแต่เขาจะไม่ให้ความจริงที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองขึ้นกับประสบการณ์ บนถนนไปดามัสกัสจะมีแต่เปาโลเท่านั้นที่เห็นพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ คนที่อยู่กับเขาได้ยินพระสุรเสียงแต่มองไม่เห็นใคร (กิจการ 9:7)[11] เปาโลไม่สามารถจะเรียกพวกเขาว่าเป็นเหล่าพยานที่เห็นพระคริสต์ ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีด้านบทบัญญัติอย่างเปาโลย่อมรู้ดีว่าเขาจะไม่สามารถใช้เป็นข้อพิสูจน์ได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นผมก็อยากจะตรวจสอบในเรื่องนี้ เพราะผมต้องการหาความจริงทั้งหมดที่มีในคำกล่าวของโธมัส แม้ว่าพูดตามหลักแล้วเราไม่สามารถจะให้หลักคำสอนขึ้นกับคำกล่าวของคนๆเดียวก็ตาม
มีบางสิ่งขาดหายไปไหม?
นอกจากนี้เรายังต้องดูทุกเหตุการณ์ที่พระเยซูปรากฏตัวกับเหล่าสาวกของพระองค์หลังการฟื้นขึ้นคืนพระชนม์ด้วย พระเยซูทรงมาปรากฏกับอัครทูตสิบคนในห้องที่ประตูปิด (โธมัสกับยูดาสไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย) สาวกทั้งสิบคนนี้มองคำประกาศของโธมัสอย่างไร?
เมื่อเราตรวจสอบยอห์น 20:28 เราพบบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปในข้อนี้ไหมที่ควรจะมีบางสิ่งแต่กลับไม่มี? ถ้าโธมัสได้กล่าวคำของเขากับพระเยซูแล้วควรจะมีอะไรอยู่ในข้อนี้แต่กลับไม่มี? หากคุณเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์[12] คุณก็จะไม่มองเฉพาะสิ่งที่มีเท่านั้นแต่ยังมองหาสิ่งที่ควรมีอยู่แต่ไม่มีอยู่ในที่นั่น
หากคุณกำลังพูดอยู่กับพระเจ้า คุณจะยืนพูดอยู่กับพระองค์อย่างนั้นหรือ? หากโธมัสพูดกับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้า คุณก็คงคาดหวังว่าเขาจะคุกเข่าลงที่พระบาทของพระเยซูแน่ๆ คล้ายกับที่มารีย์ย์ชาวมักดาลาทำขณะหน่วงเหนี่ยวพระเยซูอยู่ที่อุโมงค์ (ยอห์น 20:17)[13] ถ้าคุณกำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยคำอุทานที่หนักแน่นเช่นนั้น คุณก็คงจะไม่ยืนเฉยๆอยู่ตรงนั้นใช่ไหม? ในทำนองเดียวกันคุณก็คงจะคาดหวังให้โธมัสคุกเข่าลงตามบทเพลง “ข้าคุกเข่าลง”[14] แต่โธมัสไม่ได้คุกเข่าลงตรงหน้าพระเยซู
ที่ยิ่งน่าแปลกใจกว่านั้นก็คือเราจะไม่พบสักเหตุการณ์เดียวในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มของการฟื้นคืนพระชนม์ที่พบว่าสาวกคุกเข่าลงเมื่อพระเยซูทรงปรากฏกับเขา ตอนแรกผมคิดว่าผมจะหาสักตัวอย่างได้ง่ายๆ แต่เมื่อผมตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งหมดผมก็ต้องแปลกใจที่พบว่าเหล่าสาวกไม่เว้นสักคนจะยืนทนโท่เมื่อพระเยซูปรากฏกับพวกเขา ในสมัยก่อนเมื่อพระเยซูทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้เหล่าสาวกของพระองค์ก็ไม่ได้คุกเข่าทุกครั้งที่พระเยซูทรงปรากฏกับพวกเขาหรือตรัสกับพวกเขา แต่หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์สถานการณ์ก็ต่างกัน เพราะตอนนี้พระเยซูทรงยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วยพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมี นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีบันทึกในที่ใดว่าเหล่าสาวกคุกเข่าลงเมื่อพระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์มาปรากฏกับพวกเขา หรือแม้แต่เมื่อพระองค์เสด็จผ่านประตูที่ปิดอยู่และเมื่อทรงปรากฏตัวในท่ามกลางพวกเขา
นี่คือสิ่งที่ขาดหายไปในยอห์น 20:28 ยอห์นลืมบันทึกหรือเปล่าว่าโธมัสคุกเข่าลง? มันเป็นไปได้หรือที่เมื่อมีใครร้องอุทานว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” กับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้าโดยที่เขาไม่ได้คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์? ถ้ายอห์นได้บันทึกไว้ว่าโธมัสคุกเข่าลง เราก็อาจจะมั่นใจได้มากขึ้นว่าโธมัสได้พูดกับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้าจริงๆ แต่ว่าไม่มีบันทึกในเรื่องนี้
เรามีหลักเกณฑ์จริงไหมที่จะสรุปว่าโธมัสพูดคำเหล่านี้กับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้า ไม่มีชาวยิวคนไหนจะยืนเฉยๆเมื่อเข้าไปในพระวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้า ชาวยิวนมัสการพระเจ้าในลักษณะเดียวกันกับชาวมุสลิมในปัจจุบัน พวกเขาจะก้มลงกับพื้นจริงๆ เมื่อเปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา” (เอเฟซัส 3:14) เขากำลังอธิบายถึงสิ่งที่คนยิวจะทำเมื่อกำลังพูดอยู่กับพระเจ้า เรื่องที่โธมัสไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระเยซูนั้นเป็นความจริงที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าโธมัสได้คุกเข่าลงต่อพระเยซู เราก็คงมีมูลเหตุน่าเชื่อถือขึ้นที่จะสรุปว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ยังเป็นมูลเหตุส่วนตัวบุคคล เพราะไม่มีพยานปากอื่นๆที่ประกาศในแบบเดียวกัน ความจริงมีว่าโธมัสไม่ได้คุกเข่าลงและสาวกคนอื่นๆก็ไม่ได้คุกเข่าลงเช่นกัน
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการคุกเข่า
ผมต้องชี้แจงเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคุกเข่า ในพระคัมภีร์มีหลายตัวอย่างที่คนคุกเข่าต่อพระเยซูและ “นมัสการ” พระองค์ นี่คือปัญหาของการแปลเพราะว่ามันทำให้มีคำถามว่าควรใช้คำว่า “นมัสการ” ไหมในเมื่อจากบริบทแล้วไม่ควร มีบางอย่างเกี่ยวกับการคุกเข่าที่ชาวตะวันตกส่วนมากไม่เข้าใจ แต่ชาวจีนจะเข้าใจได้ดีกว่าบ้างเพราะพวกเขาจะคุกเข่าในบางสถานการณ์ เช่น การยกน้ำชาให้กับบิดามารดา (ธรรมเนียมที่ให้เกียรติบิดามารดาด้วยการคุกเข่าและยกน้ำชาให้ โดยเฉพาะในพิธีแต่งงาน) ในสมัยก่อนชาวจีนจะคุกเข่าและแม้กระทั่งต้องก้มลงกับพื้นต่อหน้าฮ่องเต้หรือเจ้าหน้าที่ชั้นสูงหรืออาจารย์ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาให้ การคุกเข่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติในหมู่ชาวจีนและคนอื่นๆ แต่ชาวโลกตะวันตกจะไม่เข้าใจ ชาวยิวก็มีธรรมเนียมการคุกเข่าลงต่อหน้าคนเช่นเดียวกับชาวจีน สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการนมัสการ แต่สำหรับความคิดของชาวตะวันตกแล้วมันคือรูปแบบของการนมัสการ ความคิดแบบนี้ไม่ได้มีอยู่ในหัวของคนจีนเลยว่าเมื่อเขาคุกเข่าต่อหน้าพ่อแม่นั้นเขากำลังนมัสการท่านทั้งสอง แต่เขากำลังบอกแค่ว่า “ท่านเป็นพ่อเป็นแม่ของผมที่ผมรักและให้เกียรติ”
แต่บรรดาผู้แปลพระคัมภีร์เข้าใจสิ่งนี้ผิดไป นั่นคือเหตุผลที่เราจึงต้องดูในภาษากรีก ยกตัวอย่างเช่น ตามจริงแล้วพระคัมภีร์ของชาวตะวันตกทุกฉบับแปลยอห์น 9:38[15] ไว้ว่า ชายตาบอดที่กลับมองเห็นได้ “นมัสการ” พระเยซู เขาทูลว่า “‘พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อแล้ว’ เขาก็นมัสการพระองค์” (ฉบับไทยคิงเจมส์)
นี่ไม่ใช่การแปลแต่เป็นการตีความ คำกรีกนี้คือ (พรอส-คูนีเซน)[16] พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์[17]แปลคำกล่าวนี้ได้อย่างถูกต้องว่า “เขาก็คุกเข่าลงต่อพระองค์”
คำกรีกคำเดียวกันนี้นอกจากจะใช้กับพระเยซูก็ยังใช้กับคนอื่นอีก เราจะพบตัวอย่างหนึ่งในมัทธิว 18:26 “ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า ‘ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น’” (ฉบับ 1971) ทาสกราบลงในข้อนี้ใช้คำกรีก “ (พรอส-คูเน)”[18]คำเดียวกัน พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษแปลอย่างถูกต้องว่า “คุกเข่าลง”[19] หรือ “กราบลง”[20] แต่นั่นเป็นเพราะข้อนี้ไม่ได้พูดถึงพระเยซูดังนั้นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจึงได้ลบแรงจูงใจที่จะแปลคำตรงนี้ว่า “นมัสการ” ทำไมผู้แปลจึงแปลคำกรีกนี้ว่า “นมัสการ” กับข้อต่างๆที่กำลังกล่าวถึงพระเยซูและแปลว่า “กราบลง” กับข้อที่กำลังกล่าวถึงคนอื่นๆ? เราจะเห็นแรงจูงใจของคำสอนได้อย่างชัดเจน
ในกิจการ 10:25 “” (พรอส-คูเนโอ)[21] คำเดียวกันนี้ได้ใช้กับโครเนลิอัสที่คุกเข่าลงต่อเปโตร “เมื่อเปโตรมาถึง โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตรและทรุดตัวลงแทบเท้าท่าน” (ฉบับมาตรฐาน 2011) เราจะเห็นว่าข้อนี้ในฉบับแปลภาษาอังกฤษใช้คำ “นมัสการ”[22] ที่ใช้คำกรีกคำเดียวกันคือ “
”(พรอส-คูนีเซน) พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์แปลไว้อย่างถูกต้องว่า “หมอบกราบแทบเท้าท่าน” มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะบอกว่าโครเนลิอัสจะนมัสการเปโตร ในฐานะที่เขาเป็นนายทหารและนายร้อยของโรมันนั้นโครเนลิอัสจะไม่นมัสการมนุษย์ แต่เขาจะแสดงความเคารพนบนอบต่อเปโตรอย่างแน่นอนในฐานะที่เป็นผู้นำของคริสตจักร ชาวโรมันก็เหมือนกับชาวจีนที่จะคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพนับถือและความนอบน้อม
อีกข้อหนึ่งคือวิวรณ์ 3:9 “ดูเถิด เราจะทำให้พวกธรรมศาลาของซาตานที่พูดมุสาว่า เขาเป็นพวกยิวและไม่ได้เป็นนั้น ดูเถิดเราจะทำให้เขามากราบลงแทบเท้าของเจ้า และให้เขารู้ว่าเราได้รักพวกเจ้า” (ฉบับไทยคิงเจมส์) “” คำเดียวกันนี้ คราวนี้ใช้กับผู้ที่อยู่ในธรรมศาลาของซาตาน “เราจะทำให้เขา มากราบลงแทบเท้าของเจ้า” (
)[23]
การตีความแบบนี้ไม่เที่ยงตรงที่แปลคำกรีกนี้ว่า “กราบลง” กับกรณีทั่วๆไปแต่แปลคำนี้ว่า “นมัสการ” เมื่อเป็นพระเยซู เมื่อผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทำอย่างนี้พวกเขาก็กำลังชี้นำ เพราะพวกเขากำลังสันนิษฐานเอาว่าคนทั้งหลาย (เช่นชายที่ตาหายบอด) คุกกราบลงนั้นกำลังนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้า ข้อสรุปเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่น่าขันสำหรับชาวยิว เพราะชาวยิวจะกราบนมัสการพระยาห์เวห์เพียงผู้เดียวและจะไม่มีทางกราบนมัสการมนุษย์คนใด
โธมัสไม่ได้คุกเข่าหรือกราบลง (ยอห์น 20:28) ซึ่งไม่เหมือนกับชายที่ตาหายบอด (ยอห์น 9:38) ในเมื่อยอห์นเป็นคนที่เขียนช่วงท้ายในพระกิตติคุณของเขา ยอห์นไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่าโธมัสได้คุกเข่าต่อพระเยซูหากโธมัส (และสาวกคนอื่นๆ) ได้ทำอย่างนั้นจริง? เชื่อแน่ว่ายอห์นต้องพูดอะไรบ้างจากการที่โธมัสได้คุกเข่าลงนมัสการเหมือนกับชายตาบอดคนนั้น แต่ว่ายอห์นไม่ได้บันทึกว่าโธมัสหรืออัครทูตคนอื่นๆได้ทำอย่างนี้
เราต้องเริ่มพิจารณาข้อนี้จากแง่มุมต่างๆเพื่อดูว่าข้อนี้พูดอะไรและไม่ได้พูดอะไร และหยุดตีความข้อนี้ให้เป็นไปตามความคิดของเราเองซึ่งเป็นสิ่งที่คริสเตียนทั้งหลายทำได้ดี
แนวคิดของยอห์นแตกต่างจากแนวคิดของเรา
ตรงนี้มีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ผมต้องพูดคือ แนวคิดของยอห์นแตกต่างจากแนวคิดของเรามาก ตัวอย่างเช่น แนวคิดของยอห์นเรื่องเกียรติจะแตกต่างจากแนวคิดของเราในเรื่องเกียรติ เมื่อพระเยซูตรัสถึงพระเกียรติของพระองค์เอง หรือเมื่อยอห์นพูดถึงการที่พระเยซูทรงได้รับเกียรตินั้น เรามักจะเข้าใจลักษณะของเกียรติผิดไป “เกียรติ” ในยอห์นจะหมายถึงความทุกข์ทรมาน ความตาย และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเสมอ แต่แนวคิดของเราในเรื่องเกียรติก็คือเกียรติในการเป็นกษัตริย์ เกียรติในการเป็นพระเจ้า ที่เราตีความยอห์นเกินจากตัวบทและตีความเขาผิด
พระเยซูตรัสในยอห์น 6:48-51 ว่าพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ เราก็จะคิดทันทีว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์จริงๆ นั่นจึงเป็นการเข้าใจยอห์นผิดไป เราจะเข้าใจยอห์นก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าแนวคิดของยอห์นยึดแน่นกับพระคัมภีร์เดิม แม้แต่แนวคิดเรื่องของเกียรติว่าเป็นความทุกข์ทรมานและความตายก็มาจากอิสยาห์ 53 ซึ่งที่จริงเริ่มต้นจากอิสยาห์ 52:13 เราจะพบบทยาวๆที่ชื่อว่าบทเพลงการทนทุกข์ของผู้รับใช้ซึ่งรวมอิสยาห์ 52 และ 53 และบทอื่นๆอีกสองสามบท แนวคิดเรื่องเกียรติในอิสยาห์ 52:13 นั้นเหมือนกับแนวคิดของยอห์นเรื่องเกียรติ “เขาจะได้รับการยกย่องเทิดทูนและสดุดีอย่างสูงส่ง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ตามด้วยคำอธิบายอย่างละเอียดของผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ในอิสยาห์ 53 คำว่า “ยกย่อง” และ “เทิดทูน (ยกขึ้น)”[24] ในอิสยาห์ 52:13 เป็นคำที่คุ้นหูในพระกิตติคุณยอห์น คำกรีกคำเดียวกันเหล่านี้ใช้ในอิสยาห์และยอห์น อิสยาห์ 52:13 ถึง 53:5 กล่าวว่า
13นี่แน่ะ ผู้รับใช้ของเราจะทำอย่างมีปัญญา เขาจะสูงเด่นและเป็นที่เทิดทูน และเขาจะสูงยิ่งนัก 14ด้วยคนจำนวนมากตกตะลึงเพราะท่าน (หน้าตาของท่านเสียโฉมมากเหลือที่จะเหมือนคน และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนมนุษย์) 15ท่านก็จะทำให้ประชาชาติมากมายตกตะลึง บรรดาพระราชาจะปิดพระโอษฐ์เพราะท่าน เพราะเขาทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่ยังไม่มีใครบอกพวกเขา และพวกเขาจะเข้าใจสิ่งซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยิน 1ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราป่าวประกาศ พระกรของพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ผู้ใด? 2เพราะท่านเจริญขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างต้นอ่อน และเหมือนรากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง ท่านไม่มีความงามหรือความสง่าที่จะให้พวกเรามองดู และไม่มีรูปลักษณ์ซึ่งจะให้เราพึงปรารถนา 3ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวดและคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก และเป็นดั่งผู้ซึ่งคนทั้งหลายหันหน้าหนี ท่านถูกดูหมิ่นและเราไม่ได้นับถือท่าน 4แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ 5แต่ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพและที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา (ฉบับมาตรฐาน 2011)
นิมิตนี้เด่นชัดกับอิสยาห์มากจนเขาถามว่า “ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราป่าวประกาศ” (53:1) ความคิดของอิสยาห์ยังคงต่อเนื่องไปจนถึงข้อ 3 ที่เขาพูดว่า “ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก” แล้วเราจะอ่านพบว่าท่านผู้นี้ “ถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ แต่ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา” นี่คือสิ่งที่อิสยาห์เรียกว่าการยกย่อง! แนวคิดของยอห์นได้รับการปลูกฝังจากในพระคัมภีร์เดิม[25]อย่างเห็นได้ชัด
จากตรงนี้เราจะเห็นว่ามีอันตรายอยู่มากเมื่อเราพยายามที่จะเข้าใจยอห์น พระกิตติคุณยอห์นเป็นหนังสือเล่มที่เข้าใจยากที่สุด และมันเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่บางคนจะเผยแพร่พระกิตติคุณยอห์นแบบโดดๆตามอำเภอใจ คนฝ่ายเนื้อหนังจะได้รับข้อความผิดๆจากการอ่านยอห์น
เมื่อเราตรวจสอบคำกล่าวของโธมัส เราจะต้องพิจารณาแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการเขียนของยอห์น ยอห์นกำลังบอกอะไรกับเรา? ทำไมเขาจึงบันทึกคำกล่าวของโธมัสในยอห์น 20:28 แต่อีกสามข้อต่อมา (ข้อ 31) ก็อธิบายว่าจุดประสงค์ของพระกิตติคุณยอห์นก็คือประกาศว่าพระเยซูคือ “พระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า” แทนที่จะประกาศว่าพระเยซูคือพระเจ้า? ความคิดของคนฝ่ายเนื้อหนังจะอ่านยอห์นเกินจากตัวบทได้สารพัด อ่านในสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตัวบทเลย
เส้นบางๆระหว่างความผิดพลาดที่ถึงตายกับความจริงที่ให้ชีวิต
มีเส้นบางๆอยู่ระหว่างความผิดพลาดที่ถึงตายกับความจริงที่ให้ชีวิต ถ้อยคำของโธมัสอาจมีความจริงที่ให้ชีวิต แต่ถ้าคุณตีความผิด คุณก็จะมาถึงจุดผิดพลาดที่ถึงตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ หลายคนรีบร้อนที่จะเข้าใจยอห์น 20:28 เอาเองโดยไม่ได้ตรวจสอบสิ่งที่ผมกล่าวถึงเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน
เมื่อพูดถึงเส้นบางๆ ครั้งหนึ่งขณะผมกำลังว่ายน้ำอยู่รอบๆเกาะปะการังที่สวยงามในมหาสมุทรอินเดีย เฮเลนเห็นในโฆษณาแพ็คเกจราคาพิเศษ เราจึงได้ไปอาบแดดที่เกาะปะการังแห่งนี้ ผมกำลังว่ายน้ำอยู่รอบๆเกาะนี้และชมความสวยงามของหินปะการังผ่านแว่นดำน้ำ ขณะที่ผมว่ายไกลออกไป ทันใดนั้นหินปะการังที่สวยงามก็อันตรธานหายไป อยู่ดีๆก็เหมือนเกาะถูกผ่าซีกเป็นเส้นตรงลงไปเหมือนขอบหน้าผาวิ่งดิ่งลงสู่ก้นเหว ทันใดนั้นผมรู้สึกตัวว่ากำลังลอยอยู่เหนือ “หุบเหวลึก” เมื่อกวาดตาไปรอบๆก็ยังคงเห็นปะการังที่ผมเพิ่งจะว่ายเหนือมันอยู่หยกๆ แต่ตอนนี้ผมมาอยู่เหนือหุบเหวที่ลึกและมืด แม้ว่าแดดจะจ้าและน้ำทะเลยังใสแจ๋วแต่เมื่อผมมองลงไปก็ไม่เห็นอะไรเลย มันลึกยาวลงไปเป็นร้อยๆฟุตลงไปในหุบเหวที่มืดมิดเบื้องล่าง ในเวลานั้นคุณจะรู้สึกดีใจที่น้ำทะเลยังพยุงตัวคุณไว้อยู่
ผมนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผมอายุราวๆสิบสองขวบช่วงที่คุณพ่อของผมทำงานกับองค์กรสหประชาชาติ ช่วงนั้นคุณพ่อของผมไม่อยู่ จึงมีคนพาผมโดยสารรถขึ้นเทือกเขาแอลป์ของสวิส นี่ไม่ใช่รถโดยสารธรรมดาๆ แต่เป็นรถไปรษณีย์ที่เล็กกว่ารถโดยสารประจำทางทั่วไป ขนาดอาจพอๆกับรถตู้ เรากำลังขึ้นเขาสูงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อยๆ วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสและทัศนียภาพน่าตื่นตาตื่นใจมาก ผมกำลังมองดูทิวเขาในขณะที่เรากำลังไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นรถไปรษณีย์ก็ไปตามทางชนบทบนเขาเพื่อไปส่งจดหมายยังหมู่บ้านต่างๆที่อยู่บนยอดเขาสูง ผมคิดว่ารถคันนี้ก็ส่งอาหารด้วยเช่นกันเพราะการเดินทางขึ้นมาถึงหมู่บ้านเหล่านี้ทำได้ยาก ถนนก็แคบเพราะเป็นเรื่องยากในทางวิศวกรรมที่จะสร้างถนนบนภูเขา ถนนแคบๆเส้นนี้ตัดตรงขอบภูเขาพอดี ขณะที่คุณนั่งอยู่ในรถประจำทางคุณจะเห็นข้างหนึ่งของภูเขาเป็นกำแพงสูงตรงขึ้นไป และอีกข้างหนึ่งเป็นขอบภูเขาที่ตรงดิ่งลงไปข้างล่าง พอดีว่าผมนั่งอยู่ข้างที่มองลงไปเป็นหน้าผาที่ดิ่งลงไปเบื้องล่างหลายร้อยฟุต และเบื้องล่างเป็นช่องเขาที่มีลำธารจากภูเขาไหลผ่าน คุณคงนึกภาพออกว่าสำหรับคนขับบางคนโดยเฉพาะคนที่กลัวความสูงคงจะขับไปตามถนนนี้อย่างเสียขวัญโดยเฉพาะเมื่อขับไปตามขอบภูเขา
รถของเราแล่นอยู่ด้านในขณะเข้าใกล้รถยนต์ที่กำลังวิ่งสวนมาทางด้านนอก แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เป็นรถยนต์คันใหญ่ ถนนแบบนี้ถ้าคุณจะขับรถคันเล็กๆก็น่าจะสบายใจกว่า รถคันนี้มีสามีนั่งมากับภรรยาและมีลูกคนหรือสองคนนั่งอยู่ด้านหลัง เขาขับรถซีตรองของฝรั่งเศสซึ่งสมัยนั้นเป็นรถสีดำที่ค่อนข้างกว้าง บางคนอาจยังจำรถซีตรองรุ่นแบนๆได้ที่มีขีดเหมือนบั้งนายสิบอยู่หน้ากระโปรงรถ
ขณะรถโดยสารและรถยนต์กำลังสวนมาใกล้ๆกัน รถยนต์คันนี้ต้องขับหลบชิดไปทางขอบภูเขาเพราะรถโดยสารกินเนื้อที่กว้าง ผมมองที่กระจกหน้ารถยนต์และสังเกตเห็นว่าคนขับกลัวลานมาก แล้วใครบ้างจะไม่กลัวลานเมื่อตรงหน้าคือหน้าผาที่ดิ่งลงไปในช่องเขาโดยไม่มีที่กั้นเลย เมื่อรถโดยสารและรถยนต์ขับมาชิดกันและห่างกันเพียงนิ้วเดียว คนขับรถยนต์ก็กลัวลานยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนขับที่มีประสบการณ์มาก แต่แม้จะเป็นคนขับที่มีประสบการณ์ก็คงจะตกใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ตกใจว่าล้อรถจะยังอยู่บนขอบถนนหรือเปล่า ผมคิดว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้นถ้ารถโดยสารจะเป็นฝ่ายที่ขับอยู่ฝั่งด้านนอก เพราะเรามีคนขับรถโดยสารผู้มากด้วยประสบการณ์ที่ขับบนถนนนี้มาเป็นร้อยๆเที่ยว
นี่คือสถานการณ์ของความเป็นและความตาย รถยนต์กำลังเคลื่อนตัวช้าลงและช้าลงเพราะห่างกันแค่นิดเดียว รถโดยสารขับชิดกำแพงจนสุดแล้ว ดังนั้นจึงขึ้นกับคนขับอีกคันหนึ่งที่จะหลบหลีก ภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ด้านติดขอบภูเขาดูหน้าซีดและตกใจกลัว ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงกระแทกเบาๆซึ่งน่าจะเป็นเสียงจากล้อหน้าที่ล้ำขอบภูเขาออกไป มันแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น ที่ผมเห็นตรงหน้าของผมก็คือชายผู้น่าสงสารคนนี้ที่ล้อหน้าเพิ่งจะเกยขอบภูเขา แต่ผมแปลกใจมากที่รถไม่ได้ตกหน้าผาลงไป ล้อรถล้ำขอบภูเขาไปส่วนหนึ่งซึ่งโดยปกติแล้วแค่นี้ก็พอที่จะทำให้รถตกลงไปได้ ทุกคนแม้แต่คนที่นั่งอยู่ในรถโดยสารต่างก็นั่งตัวแข็งอยู่ชั่วครู่ เพราะในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้คุณไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ดูเหมือนว่าแค่ลมเป่าของคุณก็สามารถพัดรถให้ตกหน้าผาได้ ทุกคนนั่งตัวแข็ง คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี มีบางคนพยายามคลานออกมาจากรถโดยสารตรงผนังหินแคบๆที่ติดกำแพงเขาด้วยความยากลำบากเพราะผิวของกำแพงเป็นหินขรุขระ เราพยายามผลักประตูด้านนั้นให้เปิด แต่เราไม่ได้เปิดประตูอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแรงผลักจะทำให้รถยนต์ที่อยู่ข้างๆตกลงไปเบื้องล่างได้
เมื่อออกมาจากรถโดยสารเราก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เราเห็น คุณรู้ไหมว่าทำไมรถยนต์คันนั้นจึงเกยขอบภูเขาอยู่และไม่ตกลงไปข้างล่าง มันเป็นเพราะว่ามีแผ่นหินเครื่องหมายของขอบถนนติดอยู่ใต้รถ ตามแนวขอบถนนระยะทุกสิบฟุตจะมีแผ่นหินเครื่องหมายของขอบถนนอยู่ เพื่อให้คนขับรู้ตำแหน่งของขอบถนน สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ หนึ่งในจำนวนแผ่นหินที่วางเป็นเครื่องหมายของขอบถนนอยู่ตรงตำแหน่งนั้นพอดีและยึดรถเอาไว้ เหมือนกับนิ้วเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างล้อหน้ากับล้อหลังที่กำลังยึดรถเอาไว้ เพราะถ้าไม่มีแผ่นหินเครื่องหมายของถนนก้อนนั้นแล้ว รถก็คงจะดิ่งลงไปเบื้องล่างและอีกอย่างหนึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ มันน่าอัศจรรย์ใช่ไหม? ผมคิดว่าทีหลังคนขับคงจะเห็นว่าที่จริงนี่เป็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าที่วางอยู่ตรงนี้อย่างพอดิบพอดีที่ยึดรถคันนี้ไว้ไม่ให้ตกลงไป มันเป็นเส้นบางๆระหว่างชีวิตกับความตาย ถ้ารถของเขาเกยแผ่นหินเครื่องหมายเลยไปเพียงอีกนิดเดียว ทั้งตัวเขาและครอบครัวของเขาก็คงจะตกลงไปแล้ว สุดท้ายรถโดยสารก็ไปต่อเพราะคนขับรถโดยสารมีหน้าที่ต้องทำ แต่ครอบครัวนี้ต้องรอให้รถใหญ่มาลากรถของเขา
ในการอ่านพระคัมภีร์ก็จะมีเส้นบางๆระหว่างชีวิตกับความตาย ถ้าคุณข้ามเส้นนี้ชีวิตคุณก็จะจบลง ผมคิดว่าเราไม่ได้ดิ่งลงขอบภูเขาไปก็เพราะว่านิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยชีวิตเรา การตีความพระคัมภีร์ตอนต่างๆ อย่างเช่นคำประกาศของโธมัสก็เหมือนกับการเดินเลียบเส้นบางๆ แค่พลาดเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะตกลงไปได้
คำประกาศของโธมัสพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าไหม?
มีพยานแค่คนเดียวคือโธมัสที่กล่าวคำประกาศ ในขณะที่การรับรองว่าเป็นความจริงก็ต้องมีพยานสองหรือสามปาก การนิ่งเงียบของอัครทูตคนอื่นๆนั้นไม่ได้บอกอะไรเราถึงมุมมองของพวกเขาในทางใดทางหนึ่ง พวกเขาคงจะเชื่อแน่ๆว่าพระเยซูได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย และในความเป็นจริงพวกเขาเชื่อเรื่องนี้ก่อนที่โธมัสเชื่อ
คุณคงจำได้ที่พระเยซูทรงติเตียนโธมัสว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยอห์น 20:29 ฉบับมาตรฐาน) โธมัสเชื่ออะไรหรือ? และสาวกคนอื่นๆเชื่ออะไรหรือก่อนที่โธมัสเชื่อ? อย่างน้อยที่สุดเราก็อาจสรุปได้ว่าพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้ฟื้นขึ้นจากความตาย และอีกสามข้อต่อมายอห์นก็บอกจุดประสงค์ของพระกิตติคุณว่า “แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็น “พระคริสต์” (“เหตุการณ์เหล่านี้” ก็รวมถึงถ้อยคำของโธมัส) เพราะฉะนั้นเราจึงแน่ใจว่าตอนนี้แม้จะไม่ใช่ก่อนหน้านี้ เหล่าสาวกเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
ยอห์น 20:28 พิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าไหม? ถ้ามันจะพิสูจน์เช่นนั้นก็จะมีแต่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระยาห์เวห์ เพราะคำกล่าว “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” (my Lord and my God) นั้นใช้แต่กับพระยาห์เวห์เท่านั้นและไม่ได้ใช้กับใครอื่นอีก ในพระคัมภีร์เดิมมีการผสมกันของคำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) กับ “พระเจ้า” (God) ในสำนวน “องค์ผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า” (the Lord your God) ที่ปรากฏไม่น้อยกว่า 450 ครั้ง คำ “องค์ผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา” (The Lord our God) ปรากฏไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง และคำประสม “องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้า” (Lord God) ปรากฏมากกว่า 550 ครั้ง จำนวนทั้งหมดที่ปรากฏรวมกันได้กว่าหนึ่งพันครั้ง สิ่งที่โธมัสพูดต่อพระพักตร์พระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” เป็นคำที่ชาวยิวคุ้นหู เพราะเป็นถ้อยคำที่ชาวยิวจะใช้พูดกับพระยาห์เวห์ ข้อนี้ไม่ได้ให้การสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพเพราะว่ามันไม่ได้พูดอะไรเลยถึงพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้า
คำถามอยู่ที่ว่าโธมัสกำลังพูดกับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้าหรือไม่ ถ้าโธมัสกำลังพูดกับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระยาห์เวห์จริงๆ เราจะเข้าใจคำกล่าวของยอห์นว่าอย่างไรที่พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์? เรากำลังจะบอกว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเมสสิยาห์หรือ? ยอห์นต้องการจะพูดอย่างนั้นหรือ? พระคัมภีร์เคยบอกว่าพระยาห์เวห์คือพระเมสสิยาห์หรือ? คำตอบก็คือ “ไม่ใช่” เพราะพระเมสสิยาห์เป็นมนุษย์ คุณอาจจะถามว่าแล้วทำไมพระเมสสิยาห์จะต้องเป็นมนุษย์ด้วย? พระเมสสิยาห์เป็นพระเจ้าไม่ได้หรือ? การที่คุณไม่มีพื้นหลังอย่างชาวยิวจะทำให้คุณเข้าใจผิด ด้วยพื้นหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพของคุณจะทำให้คุณคิดทันทีเลยว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่ถ้าพระยาห์เวห์เป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ ก็จะมีปัญหาเพราะว่าได้มีคำสัญญาไว้กับชาวยิวว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้ที่มาจากชาวยิว โดยเจาะจงว่าพระองค์เป็นบุตรดาวิด ในพระกิตติคุณต่างๆพระองค์ถูกเรียกว่า “บุตรดาวิด” หลายครั้ง (สิบครั้งในมัทธิวเล่มเดียว) พระยาห์เวห์ = บุตรของดาวิด ตามสมการคณิตศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน? นั่นจะเป็นการดูหมิ่นชาวยิวทุกคน
พระเยซูทรงเป็นใครในความคิดของคุณ ทรงเป็นพระยาห์เวห์หรือว่าเป็นพระเมสสิยาห์? พระองค์จะเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้ ถ้าพระองค์ทรงเป็นทั้งพระยาห์เวห์และพระเมสสิยาห์มันก็จะหมายความว่าพระยาห์เวห์เป็นจุดสำคัญของลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซู ทำไมมัทธิวจึงให้รายชื่อลำดับพงศ์พันธุ์เสียยาวเหยียดว่า “คนนี้เป็นบุตรของคนนั้น และคนนั้นเป็นบุตรของคนนี้” จนกระทั่งมาถึงพระเยซู? ทำไมพระยาห์เวห์จะต้องมีลำดับพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ด้วย? มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องมีลำดับพงศ์พันธุ์
คำอุทานของโธมัสทำให้มีคำถามตามมาว่า โธมัสกำลังพูดกับใคร? ถ้าเขากำลังพูดกับมนุษย์แต่เรียกพระองค์ว่าพระเจ้านั่นจะถูกต้องหรือ? มีชาวยิวคนไหนที่จะทำอย่างนั้น? แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ถูกสอนให้ยกพระเยซูให้เทียบเท่าพระเจ้าจะไม่เห็นปัญหาในเรื่องนี้แม้จะมีปัญหาพื้นฐานในการยกพระเยซูให้เทียบเท่าพระยาห์เวห์ มันเป็นปัญหาก็เพราะตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้ว พระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ และยิ่งกว่านั้นโธมัสก็ไม่ได้กล่าวถึง “พระเจ้าพระบุตร” เลย
พระเยซูผู้ทรงเต็มด้วยพระรัศมีทรงมีพระกายของมนุษย์ไหม?
เมื่อพระเยซูทรงปรากฏกับเหล่าสาวกของพระองค์ด้วยพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีนั้นทรงปรากฏด้วยพระกายของมนุษย์หรือว่าพระกายของพระเจ้า? การปรากฏของพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์เป็นปัญหาอย่างมากกับเหล่าสาวก พวกเขาจะมองดูพระองค์และสงสัยว่าพระองค์ทรงเป็นอะไร พระเยซูทรงปรากฏกับพวกเขาและตรัสว่า “จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” (ลูกา 24:39) เหล่าสาวกคิดว่าพวกเขาเห็นผีหรือวิญญาณ ฉะนั้นพระเยซูจึงต้องให้พวกเขามั่นใจว่าพระองค์ไม่ใช่ผีแต่เป็นคนจริงๆที่พวกเขาจับดูได้ ในเหตุการณ์เดียวกันต่อมา (ข้อ 42) พวกสาวกให้ปลาย่างชิ้นหนึ่งกับพระเยซู พระองค์ก็ทรงหยิบและรับประทานต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายเพื่อให้พวกเขาเห็นว่า พระองค์ก็กินและดื่มได้เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ
พระเยซูทรงให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าผีไม่มี “เนื้อและกระดูก” นี่เป็นคำผสมกันที่ผิดจากธรรมดาและผู้ที่คุ้นกับพระคัมภีร์ดีจะรู้ว่าสำนวนที่ใช้กันก็คือ “เนื้อและเลือด” แต่นี่พระเยซูตรัสถึง “เนื้อและกระดูก” ลูกา 24:40-43 กล่าวต่อไปว่า
เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น (พระเยซูกระทำอย่างเดียวกันกับโธมัสในยอห์น 20:27) เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม” พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา (ลูกา 24:40-43)[26]
เราจะต้องไม่อ่านคำประกาศของโธมัสแบบไม่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์อื่นและอ่านนอกบริบท พระเยซูทรงแสดงตัวกับโธมัสและบอกให้เขาจับพระองค์ดู แล้วพระองค์จึงตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” (ยอห์น 20:27 ฉบับมาตรฐาน) โธมัสก็ทำตามที่พระเยซูบอกเขา เขาจับดูพระหัตถ์ของพระองค์และคลำสีข้างของพระองค์ การตอบสนองของเขาเมื่อทราบว่าพระเยซูทรงมีเนื้อและกระดูกก็คือร้องอุทานว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”
คนยิวจะพูดกับใครสักคนที่มีเนื้อและกระดูกว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” ไหม? คุณอาจจะทำอย่างนั้นแต่คนยิวจะทำไหม? เมื่อเหล่าสาวกคิดว่าพระเยซูเป็นผี พระองค์ก็ให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์สามารถจะกินและจับดูได้ พระองค์ไม่ใช่ผี เมื่อพระเยซูปรากฏพระองค์ครั้งแรกกับเหล่าสาวกนั้นโธมัสไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย แต่เมื่อพระเยซูปรากฏพระองค์กับพวกเขาอีกครั้ง พระองค์ได้ตรัสบางอย่างเพื่อประโยชน์ของโธมัสผู้ที่จับดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ ยอห์นไม่เคยบันทึกว่าโธมัสคุกเข่าหรือกราบลง แต่บันทึกเพียงว่าเขาได้อุทานว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”
เปาโลกล่าวว่า “และเขา (คนต่างชาติที่ไม่เชื่อ) ได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน” (โรม 1:23 ฉบับมาตรฐาน 2011) เปาโลประณามการบูชารูปของมนุษย์ เราจะต้องไม่นมัสการ “เนื้อหนังและกระดูก” ที่ต้องตาย ไม่เคยมีชาวยิวคนไหนเคยนมัสการมนุษย์ และเปาโลก็คงไม่ได้ลืมอย่างแน่นอนที่โธมัสอุทานว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”
พระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์เป็นผู้ที่มีชีวิตเหมือนกับพวกสาวกทุกอย่างเว้นแต่ว่าคราวนี้พระองค์ทรงมีพระกายที่เต็มด้วยพระรัศมี แต่พระกายที่เต็มด้วยพระรัศมีนี้ก็ยังมีเนื้อและกระดูกซึ่งบอกเราว่าพระเยซูยังคงเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
ผมพูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเราจะเข้าใจประสบการณ์ของเราเอง ทำไมตัวผมจึงไม่ได้รู้สึกว่ามีความแตกต่างกันเมื่อผมพูดคุยกับพระเยซูและเมื่อผมพูดคุยกับพระยาห์เวห์? มันหมายความว่าในประสบการณ์ของผมนั้นพระเยซูคือพระยาห์เวห์ไหม? หรือว่ามีคำอธิบายอย่างอื่นที่ใกล้เคียงกับพระคำของพระเจ้ากว่านี้ไหม? ทำไมจึงเป็นว่าเมื่อผมเปลี่ยนมาพูดกับพระยาห์เวห์ผมก็พบว่าตัวเองมีประสบการณ์ในฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับที่พูดกับพระเยซูมาก่อน? ผมสามารถเข้าใจโธมัสได้ดี แต่ประสบการณ์ของคนๆหนึ่งนี้จะเหมือนกันกับคนอื่นๆไหม?
มีสิ่งหนึ่งที่แน่ๆก็คือ เราพูดกับพระยาห์เวห์ในและทางพระเยซู นี่จะทำให้เราสรุปว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์ไหม? นั่นจะเป็นการข้ามเส้นบางๆของความเชื่อที่ผิด
ในพระทรวงของพระบิดา
ยอห์น 1:18 กล่าวว่า “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย มีแต่พระบุตรองค์เดียวและหนึ่งเดียว” (ยอห์น 1:18 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[27] “หนึ่งเดียว” ตรงนี้แปลจากคำ “”[28] คำแปลบางฉบับพูดถึง “พระบุตร” ที่เกิดมาหนึ่งเดียว ขณะที่คำแปลฉบับอื่นๆพูดถึง “พระเจ้า” ที่เกิดมาหนึ่งเดียว นั่นเป็นเพราะว่าพระคัมภีร์กรีกมาตรฐานฉบับหนึ่งเป็นคำ “
” (บุตร) แต่อีกฉบับหนึ่งเป็นคำ “
” (พระเจ้า) พระคัมภีร์ภาษากรีกสองฉบับนี้คือฉบับที่ใช้กันส่วนใหญ่[29]และฉบับของสหสมาคมพระคัมภีร์[30]ตามลำดับ (มีพระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับอื่นๆอีก เช่น เวสคอทท์-ฮอร์ท[31] ที่ไม่ได้ใช้กันในปัจจุบันนี้) เพราะข้อนี้ (ยอห์น 1:18) พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษบางฉบับ เช่น คิงเจมส์ นิวคิงเจมส์ โฮลแมนคริสเตียนแสตนดาร์ด พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์ และฉบับนิวเยรูซาเล็มจะพูดถึง “พระบุตรองค์เดียว” ขณะที่ฉบับอื่นๆอย่างเช่น อิงลิชแสตนดาร์ด นิวอเมริกันแสตนดาร์ด และนิวอินเตอร์เนชันแนลจะพูดถึง “พระเจ้าองค์เดียว” ความไม่สอดคล้องกันในการแปลชี้ให้เราเห็นว่ายอห์น 1:18 ไม่สามารถจะใช้เป็นหลักฐานหรือใช้แย้งกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้
ยอห์น 1:18 พูดถึงพระเยซูว่าทรงอยู่ใน “พระทรวงของพระบิดา” () เราได้เห็นมาแล้วว่าการอยู่ในอกของบางคนนั้นหมายถึงการใกล้ชิดกับผู้นั้น ยอห์น 13:23 กล่าวว่า “มีสาวกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรัก ได้เอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์” สาวกผู้นี้น่าจะเป็นยอห์นมากที่สุด ตรงนี้มีคำ “พระทรวง” (
)[32] ที่เหมือนกันซึ่งเป็นคำเดียวกันกับในยอห์น 1:18 และมีโครงสร้างไวยากรณ์อย่างเดียวกัน
ในลูกา 16:22 ชายยากจนคนหนึ่งชื่อลาซารัสได้ถูกนำไป “อยู่กับอับราฮัม”[33] แต่ข้อความภาษากรีกกล่าวว่าพวกทูตสวรรค์ได้นำลาซารัสไปอยู่ที่อก ()[34]ของอับราฮัม เมื่อเศรษฐีแหงนหน้าดู เขาก็เห็นลาซารัสอยู่ใกล้กับอับราฮัม บางฉบับแปลข้อนี้แบบไม่ค่อยคิด อย่างเช่น “พวกทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่กับอับราฮัม” (ฉบับนิวคิงเจมส์) หรือแปลว่า “พวกทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ข้างอับราฮัม” (ฉบับอิงลิชแสตนดาร์ด) จากถ้อยคำในข้อความภาษากรีกนั้นเศรษฐีแหงนหน้าและมองเห็นลาซารัสกำลังเอนกายอยู่ที่อกของอับราฮัมในงานเลี้ยง ชายยากจนที่ไม่มีฐานะในโลกนี้ได้ถูกนำไปอยู่ที่อกและหัวใจของอับราฮัมบิดาของเขา ชาวยิวทุกคนเป็นบุตรของอับราฮัมและตอนนี้บุตรคนนี้ของอับราฮัมกำลังเอนกายอยู่ที่อกของอับราฮัม
“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (ยอห์น 1:18 ฉบับมาตรฐาน 2011) ประเด็นอยู่ที่ว่าไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลยนอกจากพระบุตรองค์เดียวและหนึ่งเดียวนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราสามารถมารู้จักพระเจ้าได้แม้ว่าเราไม่ได้เห็นพระองค์เพราะว่าตอนนี้เราเห็นพระองค์ในพระคริสต์ พระคริสต์ได้สำแดงพระองค์ให้เรารู้จัก พระองค์ทรงทำให้มองเห็นพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะพระองค์ทรงเป็น “พระฉายของพระเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้” (โคโลสี 1:15)[35]
นี่คือสิ่งที่ยอห์นกำลังบอกเราในตอนต้นพระกิตติคุณของเขา แล้วยอห์นก็บันทึกคำกล่าวของโธมัสในช่วงท้ายของพระกิตติคุณเพราะโธมัสกำลังประกาศหลักการนี้ว่าเป็นจริงในประสบการณ์ของเขาเอง โธมัสไม่เคยเห็นพระเจ้า ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่เมื่อเขาเห็นพระเยซูพระบุตรหนึ่งเดียวผู้นี้ เขาก็ได้มารู้จักพระเจ้าในประสบการณ์ของตัวเอง นั่นเป็นประสบการณ์ของผมด้วยและอาจจะเป็นประสบการณ์ของคุณเช่นกัน
โปรดจำไว้ว่าพระเยซูเป็นบุตรที่ไม่เหมือนใคร พระองค์เป็นบุตรองค์เดียวและหนึ่งเดียว ไม่เคยมีใครได้สำแดงพระเจ้าอย่างที่พระองค์ได้ทรงสำแดง อีกเหตุผลหนึ่งในความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ก็คือ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าเพราะการเกิดจากหญิงพรหมจารี ไม่มีใครที่เคยเกิดแบบนี้ เพราะการเกิดจากหญิงพรหมจารีพระเยซูจึงทรงถูกเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้าและพระบุตรของผู้สูงสุด (ลูกา 1:32, 35)[36]
บุตรหนึ่งเดียวที่เกิดจากหญิงพรหมจารี
เราเข้าใจเรื่องการเกิดจากหญิงพรหมจารีอย่างไร? ในเมื่อพระเยซูไม่มีบิดาที่เป็นมนุษย์แล้วการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้อย่างไร เว้นแต่พระยาห์เวห์จะทรงสร้างสเปิร์มของเพศชายเพื่อจุดประสงค์เฉพาะนี้? นี่น่าจะเป็นการถูกสร้างใหม่จริงๆ นี่เป็นการวิเคราะห์ของผมเองและผมไม่ได้อ้างว่าเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ หากคุณมีข้อวิเคราะห์ที่ดีกว่าก็ช่วยแบ่งปันกับผมด้วย แต่จนถึงขณะนี้ผมยังไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้
คุณอาจจะถามว่า ทำไมพระเยซูจึงไม่ถูกสร้างให้เป็นคนอย่างสมบูรณ์ในครรภ์ของมารีย์โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับไข่ของเธอหรือสเปิร์มของเพศชายเลย? ถ้าคุณชอบคำอธิบายที่ว่านี้ก็เชิญ ผมจะไม่ดันทุรังในเรื่องนี้ แต่คำอธิบายนี้เป็นปัญหา เพราะถ้ามารีย์ไม่ได้เกี่ยวข้องในการเกิดของพระเยซูแต่อย่างใดเว้นแต่ให้พระองค์ได้เข้ามาในโลกในครรภ์ของเธอก็จะเป็นปัญหาว่าพระองค์ถูกสร้างให้เป็นคนอย่างสมบูรณ์ในครรภ์ของเธอหรือไม่ ดังนั้นพระเยซูก็ไม่สามารถจะเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้าได้เพราะพระองค์ก็จะไม่ได้เกี่ยวดองกับดาวิด ตามพระคัมภีร์แล้วพระเยซูเป็นบุตรดาวิดเพราะว่ามารีย์และโยเซฟมาจากเชื้อสายของดาวิด หากไข่ของมารีย์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พระเยซูก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอทั้งทางชีวิตหรือทางสายเลือด[37] ซึ่งจะทำให้พระองค์เป็นบุตรของดาวิดไม่ได้และเพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเป็นพระเมสสิยาห์ได้ ด้วยเหตุนี้เองผมจึงแน่ใจว่าไข่ของมารีย์มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางชีวิตกับการบังเกิดของพระเยซู
แล้วเรื่องสเปิร์มของเพศชายล่ะ สันนิษฐานได้ว่าพระเจ้าทรงสามารถสร้างคนสักคนหนึ่งโดยจะใช้หรือไม่ใช้สเปิร์มของเพศชายก็ได้ คำถามนี้มีความสำคัญเมื่อเราคุยกับชาวมุสลิม ในคัมภีร์กุรอาน พระอัลเลาะห์กล่าวว่า “จงเป็น” และพระเยซูก็ทรงเป็น คำกล่าวว่า “จงเป็น” แสดงถึงการทรงสร้าง ถ้าไม่มีสเปิร์มของเพศชายเข้ามาเกี่ยวข้อง พระเยซูก็ยังจะต้องถูกสร้างอย่างพิเศษอยู่ดีเพราะแค่ไข่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถจะทำให้เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาได้
แต่ถ้าคุณมีคำอธิบายที่ดีกว่าก็โปรดแจ้งให้ผมทราบด้วย ถ้าพระเยซูไม่ได้เกี่ยวข้องกับมารีย์ทางชีวิต พระองค์ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเราเหมือนกัน มันก็จะหมายถึงว่าเราสืบเชื้อสายมาจากอาดัมแต่พระเยซูไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากอาดัม ซึ่งในกรณีนี้จะทำให้พระองค์ไม่ได้เป็นพี่น้องของเรา (กำลังขัดแย้งกับฮีบรู 2:11[38] ที่กล่าวว่าพระเยซูไม่ได้ละอายที่จะเรียกเราว่าเป็นพี่น้องของพระองค์) ความจริงก็ยังคงมีอยู่ว่าพระองค์ทรงมีเนื้อและเลือดเหมือนกันกับเรา
แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน การถูกสร้างใหม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เราจะมาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่โดยการมีส่วนในพระคริสต์ เพราะพระองค์ทรงมาจากการสร้างเก่าและการสร้างใหม่ สร้างเก่าในความหมายที่พระองค์ทรงมีเชื้อสายมาจากอาดัมและสร้างใหม่ในความหมายว่าพระองค์เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่อย่างแท้จริง ด้วยเหตุที่เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่พระเยซูจึงเป็น “พระบุตรองค์เดียวและหนึ่งเดียว” (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[39] การแปลของฉบับนี้ทำให้เห็นทั้งสองความหมายของคำ “”[40] คือที่พระเยซูทรงเป็นหนึ่งเดียวเพราะการเกิดของพระองค์จากหญิงพรหมจารี แต่พระองค์ยังทรงเป็นผู้เดียวที่พระยาห์เวห์ได้ถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ในพระองค์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโธมัสจึงได้เห็นพระยาห์เวห์องค์ผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเขาในองค์พระเยซู
ในยอห์น 1:18 พระเยซูทรงเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของการอยู่ในพระทรวงของพระบิดาด้วยและดังนั้นจึงใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าใคร พระองค์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระบิดา คำภาษาอังกฤษ “เพื่อนสนิท”[41] หมายถึงคนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณมาก พระเยซูทรงใกล้ชิดกับพระบิดาอย่างที่ไม่มีใครอีกที่เคยมีประสบการณ์
คำ “” (monogenēs) อย่าง “องค์เดียว”(คนเดียว)[42] ได้ใช้ในพระคัมภีร์กับหลายคนที่นอกจากพระคริสต์ ฮีบรู 11:17 กล่าวว่า “โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ จึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านผู้ได้รับพระสัญญา ก็พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรชายคนเดียว[43]ของท่าน” อิสอัคเป็น “monogenēs” หรือเป็นบุตร “คนเดียว” ของอับราฮัม ในพระคัมภีร์ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกของ “monogenēs” ที่ใช้กับคนอื่นที่ไม่ใช่พระคริสต์
พระเยซู พระฉายาหรือรูปของพระเจ้า
สรุปว่าในตอนต้นพระกิตติคุณในอารัมภบทของยอห์นนั้น เขากล่าวว่าพระเยซูทรงมีความสัมพันธ์แบบหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์ได้สำแดงพระยาห์เวห์ให้เรารู้จัก เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงพระองค์เองทางพระเยซู ยอห์นสรุปประเด็นนี้ช่วงท้ายพระกิตติคุณของเขาในคำพูดของโธมัส “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” คำกล่าวที่แสดงให้เราเห็นว่ายอห์น 1:18 เป็นจริงในประสบการณ์ของโธมัสเหมือนที่เป็นจริงในประสบการณ์ของผม
ก่อนหน้านี้เราได้ดู 2 โครินธ์ 4:6 ซึ่งพูดถึง “พระสิริของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) เมื่อคุณมองดูพระพักตร์ของพระคริสต์ คุณจะเห็นพระสิริของพระเจ้า เปาโลใช้คำ “สิริ” ไม่ค่อยเหมือนกับของยอห์น เปาโลหมายถึงสิริในความหมายตรงตามคำโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพูดถึงพระสิริของพระเจ้าบนพระพักตร์ของพระคริสต์ โธมัสก็เช่นกันที่มองดูพระพักตร์ของพระเยซูและเห็นพระสิริของพระเจ้า เมื่อคุณมีประสบการณ์เช่นนั้นคุณก็คงจะพูดว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”
พระพักตร์ของพระเยซูคริสต์เป็นรูปพิมพ์ของพระเจ้า เมื่อคุณมองหน้าหรือมองรูป คุณจะเห็นพระสิริของพระเจ้า สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงฟีลิปปี 2:6 “พระองค์ผู้ทรงสภาพ (หรือเป็นรูปพิมพ์)[44]ของพระเจ้า” ถ้าผมจะให้ความเข้าใจที่ดีที่สุดจากคำพูดของโธมัสและจากประสบการณ์ของผมเองก็จะเป็นว่า เมื่อคุณมองที่พระเยซู คุณจะเห็นรูปพิมพ์ของพระเจ้า เพราะพระเยซูเป็นรูปพิมพ์ของพระเจ้า พระพักตร์ของพระเยซูสำแดงพระสิริของพระเจ้า หน้าของคุณและของผมไม่สามารถจะสำแดงพระสิริของพระเจ้าเหมือนที่สำแดงบนพระพักตร์ของพระคริสต์ผู้เป็นรูปพิมพ์ของพระเจ้าได้
เมื่อคุณนมัสการรูปพิมพ์ของพระเจ้านั้นคุณกำลังนมัสการใครอยู่? เห็นได้ชัดว่ากำลังนมัสการพระเจ้า ถ้าพระเยซูเป็นรูปพิมพ์ของพระเจ้าฉะนั้นการนมัสการพระเยซูก็คือการนมัสการพระเจ้าโดยที่คุณเข้าใจถึงสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ พระเยซูทรงสำแดงพระสิริและพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์มากจนคุณสามารถมองทะลุผ่านพระเยซูไปและพบว่าขณะเมื่อคุณพูดกับพระเยซูนั้นตัวคุณเองกำลังพูดกับพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์พูดกับเราทางพระเยซู
เรากำลังถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปเดียวกันนั้น เพื่อในวันหนึ่งเราจะรู้จากประสบการณ์ของเราเองว่าการมีรูปหรือพระฉายาของพระเจ้านั้นคืออะไร คำกรีกของ “รูป หรือ พระฉายา” (, ไอคอน)[45] คุณน่าจะคุ้นกับคำนี้แม้จะไม่รู้ภาษากรีก เมื่อคุณเปิดคอมพิวเตอร์คุณก็จะเห็น “ไอคอน” รูปสัญลักษณ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เมื่อคลิกที่ “ไอคอน” อันหนึ่งมันก็จะพาคุณไปที่รายการนั้น อาจเป็นแฟ้ม ที่เก็บเอกสาร หรือโปรแกรมที่มีรูปสัญลักษณ์แสดงให้เห็น ในทำนองเดียวกันนี้พระเยซูก็คือไอคอนที่เป็นรูปสัญลักษณ์หรือรูปของพระเจ้า เมื่อคุณดูรูปภาพคุณจะเห็นบุคคลที่รูปนั้นแสดงถึง เราเองก็เป็นรูป[46]ของพระเจ้า ดังนั้นในแง่นี้เราจึงมีสิ่งที่เหมือนกันกับพระเยซู แต่พระเยซูทรงเป็นรูปหนึ่งเดียวที่พิเศษของพระเจ้าที่เราไม่สามารถจะเป็นได้ในชีวิตนี้ แม้จะเป็นจริงได้ในอนาคตเมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราถูกเปลี่ยนแปลงจนเป็นรูปของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์? 1 ยอห์น 3:2 บอกให้เราเห็นปลายทางข้างหน้า พระเยซูได้ทรงเป็นแล้วตั้งแต่แรกอย่างที่เราหวังจะเป็นเหมือนพระองค์ในวันข้างหน้าโดยพระคุณของพระเจ้า “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านั้นเรายังไม่รู้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3:2 ฉบับมาตรฐาน 2011) โธมัสไม่ได้เห็นพระยาห์เวห์อย่างที่พระองค์เป็น แต่เขาได้เห็นพระยาห์เวห์บนพระพักตร์ของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นรูป[47]ของพระเจ้า แต่วันหนึ่งเราจะเห็นพระยาห์เวห์อย่างที่พระองค์เป็น และเราจะเป็นเหมือนพระองค์ ไม่ต้องจินตนาการมากมายที่จะเห็นว่าในวันนั้นเราจะเป็นเหมือนพระองค์ ดังนั้นใครที่เห็นคุณก็จะเห็นพระองค์ผู้ที่คุณเป็นเหมือนอย่างสมบูรณ์ คนที่มองดูคุณอาจพูดว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” โดยที่เขาไม่ได้พูดกับคุณแต่กำลังพูดกับพระองค์ผู้ที่เราเป็นรูปของพระองค์
แนวคิดเรื่องรูปหรือฉายานั้นมีความสำคัญในพระคัมภีร์ใหม่ ที่จริงคำว่า “”(ไอคอน)[48] ปรากฏ 23 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ ในวิวรณ์เล่มเดียวมีปรากฏ 10 ครั้ง แต่ในวิวรณ์จะใช้กับรูปของสัตว์ร้าย ผมเคยสงสัยว่าทำไมรูปของสัตว์ร้ายจึงสำคัญมากในวิวรณ์จนต้องกล่าวถึงเป็นสิบครั้ง แล้วผมจึงได้เข้าใจว่าซาตานจะเลียนแบบสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระคริสต์ การนมัสการรูปของสัตว์ร้ายก็คือการนมัสการตัวสัตว์ร้ายนั่นเอง ความเกี่ยวข้องระหว่างสัตว์ร้ายกับรูปของมันก็เหมือนกับความเกี่ยวข้องระหว่างพระยาห์เวห์กับพระคริสต์ รูปของสัตว์ร้ายนั้นธรรมดาแล้วไม่ต่างไปจากตัวของสัตว์ร้ายแต่เป็นรูปที่สมบูรณ์และเป็นรูปที่มีชีวิตของสัตว์ร้าย เมื่อใครก็ตามนมัสการรูปนั้นก็นมัสการตัวของสัตว์ร้าย
และเมื่อเรานมัสการพระเยซู หากเราทำอย่างนั้นเราจะต้องเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำที่กลายเป็นว่าเรากำลังนมัสการพระยาห์เวห์ แต่ถ้าเราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำเราก็จะทำสิ่งที่ผิด คือกำลังนมัสการผู้ที่เรียกกันว่าพระเจ้าพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพผู้ที่ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ ในการเป็นรูปหรือพระฉายาของพระยาห์เวห์นั้นพระเยซูจึงไม่แตกต่างจากพระยาห์เวห์นัก เพราะรูปจะเหมือนกับต้นแบบ พระเยซูทรงเหมือนกับพระยาห์เวห์ซึ่งหมายความว่าในประสบการณ์ของเรานั้น เราจะพบว่าการพูดกับพระเยซูก็คือการพูดกับพระยาห์เวห์ พระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่เป็นรูปของพระยาห์เวห์ ความจริงที่โธมัสได้พบว่าเป็นจริงในประสบการณ์ของเขา
ถ้าคุณเข้าใจความเกี่ยวโยงกันระหว่างรูปกับตัวจริง คุณก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระยาห์เวห์ รูปไม่ใช่ตัวจริงแต่แสดงให้เห็นตัวจริงอย่างสมบูรณ์และชัดเจนจนคุณไม่สามารถจะบอกความแตกต่างในประสบการณ์นั้น
ฮีบรู 1:3 กล่าวว่าพระคริสต์ “พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์” (ฉบับ 1971)[49] การแปลอย่างอื่นๆมีว่า “ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า”(ฉบับมาตรฐาน) “ทรงเป็นเหมือนพระเจ้าทุกประการ” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) “ทรงมีเค้าความของพระเจ้า”(ฉบับยิวสมบูรณ์) “ทรงมีลักษณะเดียวกับพระองค์ (ฉบับอเมริกันแสตนดาร์ด)
เมื่อคุณมองที่พระคริสต์คุณจะเห็นแก่นแท้และพระลักษณะของพระเจ้าเพราะพระบุตรเป็นรัศมีหรือแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และเป็นพิมพ์เดียวกับพระองค์ ผมคิดว่าคุณคงไม่สามารถจะบอกความหมายได้ดีกว่านั้น เมื่อคุณมองที่พระคริสต์คุณจะเห็นพระเจ้าเอง เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า คุณจะพบด้วยประสบการณ์ของคุณเองว่าพระคริสต์ทรงเป็นรูปพิมพ์ที่มองเห็นได้ของพระเจ้าที่มองไม่เห็น
เนื่องจากความเกี่ยวโยงกันระหว่างพระเยซูกับพระบิดาเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถจะกล่าวหาโธมัสได้ว่ากราบไหว้รูปเคารพบนพื้นฐานของโรมบท 1 เขาไม่ได้พยายามจะนมัสการผู้ที่เป็นรูปพิมพ์แต่นมัสการพระองค์ผู้ที่รูปนั้นแสดงให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะทำ เว้นแต่ตอนที่ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมคิดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าถึงแม้ว่าจะไม่มีการสนับสนุนจากพระคัมภีร์ในเรื่องนี้ก็ตาม โธมัสล้ำหน้ากว่าผมเพราะผมได้ฝังลึกกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ โธมัสกำลังพูดกับพระยาห์เวห์แต่ผมกำลังพูดกับพระเจ้าพระองค์ที่สอง ผู้ที่ผมพบในภายหลังว่าหาไม่พบที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งทำให้ผมตกตะลึงอย่างมาก
โธมัสมาถูกทาง ผมมาผิดทาง เขารู้ว่าพระเยซูเป็นรูปที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า ผมไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้ด้วยสติปัญญา เพราะประสบการณ์ของเรามักจะวิ่งนำหน้าความเข้าใจของเรา ถึงแม้ว่าผมกำลังพูดกับพระเจ้าอื่น แต่ในที่สุดเมื่อผมเข้าใจอย่างถูกต้องโดยพระเมตตาของพระเจ้าและกลับมาหาพระยาห์เวห์ ผมต้องประหลาดใจที่ผมพบว่าในประสบการณ์ของผมนั้นมันไม่ต่างกันเลย ผมสามารถจะพูดกับพระยาห์เวห์ในแบบเดียวกันเลยกับที่ผมเคยพูดกับพระเยซู นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระยาห์เวห์ ผมไม่เคยรู้หลักสำคัญในเรื่องนี้ ผมรู้ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องแต่ผมไม่รู้ว่าในข้อเหล่านั้นจะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น ในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ไม่มีตัวอย่างที่นอกจากพระยาห์เวห์แล้ว คำว่า “พระเจ้า” จะกล่าวถึงผู้อื่น (ยกเว้นในกรณีของพระเทียมเท็จ)
พระยาห์เวห์ทรงดำเนินอยู่บนโลก 33 ปีในองค์พระเยซู มีคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นหลังจาก 33 ปีนั้นแล้ว? พระเยซูกับพระยาห์เวห์ได้แยกจากกันไหม? พระเยซูผู้เป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า หลังจาก 33 ปีพระองค์ก็แทบจะไม่แตกต่างจากที่พระองค์ทรงเป็นในช่วง 33 ปีนั้น แม้พระยาห์เวห์จะไม่ทรงดำเนินบนโลกนี้ในองค์พระเยซูต่อไปแล้ว พระเยซูก็จะเป็นผู้ที่มีพิมพ์เดียวกับพระยาห์เวห์ที่สมบูรณ์แบบตลอดไป
เมื่อเราเข้าใจว่าพระเยซูทรงเกี่ยวข้องกับพระยาห์เวห์ในฐานะที่ทรงเป็นรูปหรือพระฉายาที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า และเข้าใจว่าทำไมโธมัสจึงพูดว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” คำถามอื่นๆที่เราหาคำตอบก็จะเป็นเรื่องง่ายซึ่งรวมถึงคำถามเกี่ยวกับจุดสำคัญของการเป็นพระฉายาของพระยาห์เวห์จะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ก่อนหรือไม่
พระเยซูได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ไหม?
บางคนยกอ้างฮีบรู 13:8 กับผมว่าเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ (“พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์”) แต่นั่นพิสูจน์อะไรไหม? บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแปลความหมาย “วานนี้” ว่าเป็นเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่นิรันดร์กาล ความจริงมีอยู่ว่า “วานนี้” พูดถึงเฉพาะวันใดวันหนึ่งในอดีต ไม่ใช่ชั่วนิรันดร “วานนี้” อาจหมายถึงวันจันทร์ใดวันจันทร์หนึ่ง หรือประสบการณ์ที่ผ่านมาบนภูเขาสูงก็ได้ ผมไม่เห็นว่าใครจะสามารถถกเถียงเรื่องความเป็นพระเจ้าหรือการดำรงอยู่ก่อนแล้วของพระคริสต์ได้จากคำนั้น “วานนี้” อาจหมายถึงวันในอดีตที่ยาวนานแม้จะ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูทรงดำรงชีวิตอยู่เมื่อวานนี้และยังคงดำรงอยู่จากจุดนั้นจนถึงวันนี้และตลอดไป ถ้าคุณพูดถึงใครบางคนว่า “ชายคนนี้ขี้เกียจสันหลังยาวเมื่อวานนี้ ขี้เกียจสันหลังยาวในวันนี้ และจะขี้เกียจสันหลังยาวตลอดไป” นี่พิสูจน์อะไรถึงความเป็นพระเจ้าของเขาหรือดำรงอยู่ก่อนแล้วไหม? เราเคยชินอย่างมากกับการตีความเกินจากพระคัมภีร์
พระเยซูทรงเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ดังนั้นเราจึงคิดว่าตัวของพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนอย่างมานา สดุดี 78:24 กล่าวว่า “พระองค์ทรงโปรยมานาลงมาให้พวกเขากิน และประทานอาหาร (หรือขนมปัง หรือเมล็ดธัญพืช)[50] จากฟ้าสวรรค์แก่เขา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) นี่ดูเหมือนจะพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนหรือพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ควรจะพิสูจน์ว่ามานาดำรงอยู่ก่อนด้วยเหมือนกัน
ให้เราหยุดสักครู่เพื่อดูวิธีการที่เรากำลังการตีความเกินจากพระคัมภีร์ ภาพของมานาที่เป็นเมล็ดธัญพืชหรืออาหารจากสวรรค์นั้นมาจากพระคัมภีร์เดิม มานาถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ เช่น สดุดี 78:24 และ 105:40 และ เนหะมีย์ 9:15 พระเยซูทรงหยิบเอาภาพที่มีรากฐานจากในพระคัมภีร์เดิม คุณได้เรียนอะไรเกี่ยวกับมานาจากชั้นเรียนวันอาทิตย์บ้าง? มีใครบอกคุณไหมว่าขณะเมื่อชาวยิวกำลังเดินเล่นในตอนเย็นนั้นก็มีอะไรเล็กๆโปรยลงมาบนหัวของเขาเหมือนที่ “เม็ดฝนตกลงมาบนหัว” อย่างนั้นไหม? ผมแน่ใจว่าคุณไม่ได้เรียนอย่างนั้น เพราะว่ามานาไม่เคยตกลงมาจากท้องฟ้า และถ้ามันไม่เคยตกลงมาจากฟ้าแล้วทำไมจึงเรียกว่า “อาหารจากสวรรค์” หรือ? สิ่งที่เราเห็นจากพระคัมภีร์ก็คือในตอนเช้าชาวอิสราเอลก็พบมานาอยู่บนพื้นดินแล้ว การอ้างอิงเช่น จากสารานุกรมของอินเตอร์เนชันแนลแสตนดาร์ดไบเบิ้ล[51]ที่พูดถึงลักษณะต่างๆของมานาด้วยการคาดเดาว่า มานาเป็นเหมือนกับเห็ดราที่ขึ้นบนพื้นทะเลทรายหรือขึ้นบนต้นสนหมอกที่คายสารหวานๆเมื่อแมลงมาเจาะตอนกลางคืน เรากำลังพูดเรื่องเหลวไหลและการอ้างอิงอย่างของสารานุกรมนี้ที่อุทิศเนื้อที่ส่วนใหญ่เพื่อพิจารณาเรื่องแบบนี้
สิ่งที่ผมกำลังให้คุณเข้าใจก็คือ “อาหารจากสวรรค์” ไม่ใช่สิ่งที่ตกลงมาจากท้องฟ้า แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ หากคุณตรวจดูคำกรีก “มาจากสวรรค์” ()[52] คุณจะเห็นว่ามันก็แค่หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ “สวรรค์” ก็คือคำที่ใช้เรียกแทนพระเจ้า (เช่นการเปรียบแผ่นดินสวรรค์กับแผ่นดินของพระเจ้า) พระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมมานาไว้ให้ ตัวมานาไม่เคยตกลงมาจริงๆจากสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกเราว่า “เราคือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อท่าน เหมือนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมมานาไว้ให้ชาวอิสราเอล” มานามีที่มาจากสวรรค์แต่ในความหมายว่าเป็นการจัดเตรียมไว้ให้ของพระเจ้า มานาไม่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้าและพระเยซูก็ไม่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า พระองค์บังเกิดจากมารีย์หญิงพรหมจารี พระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ในความหมายตามคำเขียนหรือตัวพระองค์ลงมา มนุษย์เนื้อหนังจะรับภาษาของยอห์นตามคำเขียนและรับยอห์น 6:41 ในทำนองเดียวกัน (“เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”) แต่มานาไม่ได้ลงมาจากสวรรค์ในความหมายตรงตามคำแต่อย่างใด พระยาห์เวห์ทรงวางมันไว้บนพื้นดินให้ชนอิสราเอลไปเก็บในตอนเช้า พระเจ้าไม่ได้ทำโรงงานผลิตมานาในสวรรค์แล้วพระองค์ก็ดึงคันโยกแล้วมานาก็ร่วงพรูลงมาในตะกร้าของคุณ
เมื่อคุณเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งก็จะทำให้คุณอ่านพระคัมภีร์อย่างที่ควรจะอ่าน และไม่เป็นแบบไร้สาระอย่างที่เราได้สร้างขึ้นตามความนึกคิดของเรา พระเยซูไม่เคยอ้างว่าตัวของพระองค์และจิตวิญญาณของพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ พระเยซูทรงเป็นการจัดเตรียมไว้ให้ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราเหมือนกับมานา ถ้าคุณกินเนื้อของพระองค์และดื่มพระโลหิตของพระองค์คุณก็จะมีชีวิตอยู่ (ยอห์น 6:54) พระองค์ไม่เคยอ้างว่าเนื้อหรือเลือดของพระองค์ได้ลงมาจากสวรรค์[53] พระองค์กำลังกล่าวเพียงแค่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่คุณจะต้องกินเข้าไป
การพบพระยาห์เวห์ทางพระเยซู
พระเยซูไม่ทรงนึกถึงตัวพระองค์เองอย่างสุดๆ นั่นเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจเพราะว่าตัวเราเต็มไปด้วยการนึกถึงแต่ตัวเองเอามากๆ เมื่อผมให้คำปรึกษากับคนส่วนมาก ผมจะเห็นถึงปัญหาเมื่อพวกเขาพูดไปได้ไม่กี่ประโยคเพราะพวกเขาจะพูดถึงแต่ “ฉัน” “ตัวฉัน” และ “ของฉัน” เมื่อมีปัญหาในชีวิตแต่งงาน มันมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ฉัน ตัวฉัน และของฉันอยู่เสมอ ถ้า “ตัวฉัน” และ “ของฉัน” จะลดลงบ้างสักนิด ปัญหาก็คงจะลดลงไปมาก และถ้า “ตัวฉัน” และ “ของฉัน” จะหายไปจนหมดมันก็คงจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป พระเยซูไม่เห็นแก่พระองค์เองเลยเพราะพระยาห์เวห์ทรงอยู่ในพระองค์ ถ้าคุณเห็นพระเยซูคุณก็จะไม่รู้สึกว่ามีตัวของ “พระเยซู” อยู่แต่จะพบว่าตัวคุณเองกำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์ ในประสบการณ์ของเราเองเราอาจพบว่า เมื่อเราพูดกับพระเยซู “ตัวตน” ของพระองค์กลายเป็นพระยาห์เวห์ นั่นเป็นสิ่งที่โธมัสมีประสบการณ์และเป็นสิ่งที่ผมมีประสบการณ์ ถ้าผมสามารถกำจัดตัวตนที่อยู่ในผมออกไปพร้อมๆกับการคิดตามวิธีของผมได้แล้ว ต่อไปเมื่อมีใครมาพูดกับผม เขาก็จะพบว่าตัวของเขาเองกำลังพูดกับพระองค์ผู้สถิตอยู่ในผมและผู้ที่ผมเป็นวิหารของพระองค์
บางครั้งผมสงสัยว่าทำไมพระยาห์เวห์จึงได้พอพระทัยที่จะอวยพรหลายสิ่งที่ผมทำ และให้สิ่งเหล่านั้นเกิดผลมาก (แม้ว่าผมจะไม่ประสบความสำเร็จตลอดเวลา) ผมคิดว่ามันเป็นเพราะคนอื่นรู้สึกว่าคนที่พวกเขากำลังพูดอยู่ด้วยนั้นเป็นคนที่พวกเขาสามารถมองทะลุผ่านไปสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ได้
คุณลองดูตัวคุณเอง คุณมักจะให้ความคิดของตัวคุณเองเป็นใหญ่ไหม? คุณมักจะสนใจอยู่กับกำหนดการและแผนงานของตัวคุณเองตลอดไหม? หรือว่าคุณเพียงอยากจะรู้ว่าองค์ผู้เป็นเจ้าต้องการให้คุณทำอะไร? หลังจากตื่นนอนในตอนเช้าและก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ผมจะเข้าเฝ้าพระเจ้าและถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไรในวันนี้? มีที่ไหนที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ไป หรือมีใครไหมที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ไปคุยกับเขา หรือมีสิ่งใดที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ทำไหม?” นี่คงเป็นเหตุที่ทำไมบางครั้งผมพบว่า โดยพระคุณของพระเจ้าผมจึงอยู่ได้ถูกที่และถูกเวลาซึ่งมักจะไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าพระยาห์เวห์จะนำผมไปที่นั่น แล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีทางอื่นที่เราจะรับใช้พระเจ้า ถ้าเราพยายามจะรับใช้พระเจ้าเพราะมีความรู้ทางพระคัมภีร์ หรือเพราะเรารู้จักใช้ทักษะในการพูดเวลายืนอยู่บนธรรมาสน์ เราก็กำลังทำสิ่งต่างๆด้วยวิถีทางของเราเองและด้วยความรอบรู้ของเราเอง แต่ถ้าเรามาเป็นผู้ที่ให้คนมองผ่านได้เหมือนอย่างพระคริสต์ เราก็จะเห็นผลอย่างมากในพันธกิจรับใช้ของเรา
มันเป็นไปได้ที่จะวาดภาพว่าเมื่อคุณยืนอยู่บนธรรมาสน์ คนทั้งหลายจะได้ยินพระเยซูหรือพระยาห์เวห์ตรัสผ่านคุณ พวกเขาจะประหลาดใจที่คุณรู้เรื่องบางอย่างของพวกเขา มีบางครั้งที่มีบางคนมาหาผมและพูดว่า “ทุกคำที่คุณพูดมันแทงตรงใจของผม คุณรู้เรื่องของผมได้อย่างไร?” แต่ผมไม่รู้จักคนนั้นเลยและก็ไม่เคยพบเขาหรือเธอมาก่อน คนนั้นอาจแค่แวะมาเยี่ยมคริสตจักร แต่เมื่อเขาได้ยินคำเทศนาของผมเขาก็สำนึกจริงๆเพราะทุกๆประโยคในคำเทศนาได้พูดกับเขาและเผยสิ่งต่างๆในชีวิตของเขาเอง บางคนถึงกับถามผมว่า “คุณให้นักสืบตามสะกดรอยฉันหรือ?” ผมคิดในใจว่า “คุณสำคัญมากจนผมต้องจ้างใครไปคอยสะกดรอยคุณหรือ?” เธอถามเพราะเธอรู้สึกว่าต้องมีแต่คนที่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอดีเท่านั้นจึงจะพูดอย่างที่ผมพูดในคำเทศนาของผมได้ เปาโลกล่าวใน 1 โครินธ์ 14:24-25 ว่า
แต่ถ้าทุกคนเผยพระวจนะ คนที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่รู้เข้ามา เขาก็จะถูกตักเตือนและได้รับการวินิจฉัยโดยทุกคน ความลับในใจของเขาจะถูกทำให้ปรากฏ เขาก็จะทรุดตัวลงซบหน้านมัสการพระเจ้ากล่าวว่า พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน! (1 โครินธ์ 14:24)[54]
คนนอกจะมาคริสตจักรก็เพื่อจะได้พบว่าความลับต่างๆที่อยู่ในใจของพวกเขาถูกเผยออกมาทางคำเทศนาและคำเผยพระวจนะของคุณ สำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ถามผมว่าผมได้จ้างนักสืบคอยสะกดรอยตามเธอหรือเปล่านั้น คำเทศนาของผมเป็นคำเผยพระวจนะกับเธอที่เปิดเผยทุกสิ่งในชีวิตของเธอ แต่ผมก็ไม่เคยพบเธอมาก่อน เปาโลกล่าวว่า คนที่มาเยี่ยมเยียนจะคุกเข่าลงนมัสการพระเจ้าและกล่าวว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่าน!” และจะหันมาหาพระองค์ ที่จริงถ้อยคำกรีกกล่าวว่า “พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในคุณ” พันธกิจรับใช้ของเราควรจะเป็นเช่นนั้นที่คนทั้งหลายจะเห็นพระเจ้าในคุณ โธมัสมีประสบการณ์แบบเดียวกันนี้เมื่อเขาได้พูดกับพระเยซู
คำกล่าวของเปาโลไม่ได้หมายถึงแค่คนๆหนึ่งแต่หมายถึงทั้งชุมชนผู้นำ ความลับต่างๆในใจของผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกเปิดเผยและเขาจะก้มกราบลงไม่ใช่กับคุณแต่กับพระเจ้า เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกคุณจริงๆ คำกรีกกล่าวว่า “ในท่าน” แต่ “” (ใน) ยังจะแปลได้ด้วยว่า “ท่ามกลาง”
แต่ละบทก็ค่อยๆนำเราให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ผมยอมรับว่าการอธิบายเรื่องนี้เป็นเรื่องยากสำหรับผม ผมรู้จากประสบการณ์ว่ามันคืออะไร แต่ที่จะเรียบเรียงให้เป็นคำนั้นเป็นเรื่องยาก ผมอธิษฐานว่าด้วยพระเมตตาของพระเจ้า พระองค์จะทรงใช้ความพยายามที่ยังไม่ดีพอของผมที่จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก แม้แต่ที่ผมพยายามจะเข้าใจความล้ำลึกของพระคริสต์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือการที่พระยาห์เวห์จะถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ในพระองค์ผู้เป็นหนึ่งเดียวนี้ที่มีเนื้อและเลือดตลอดจนเนื้อและกระดูก ผู้ที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่อย่างเต็มบริบูรณ์และอย่างสมบูรณ์แบบที่พระองค์ทรงเป็นพิมพ์เดียวกัน เป็นการสำแดงอย่างชัดเจน เป็นรูปหรือพระฉายาที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า ที่เหมือนว่าการได้เห็นพระองค์ก็คือการได้เห็นพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้ พระคริสต์ทรงทำให้มองเห็นพระเจ้าที่มองไม่เห็น และคุณจะเห็นพระสิริของพระยาห์เวห์บนพระพักตร์ของพระองค์
[1] ยอห์น 13:23 “ที่สำรับมีสาวกคนหนึ่งที่พระองค์ทรงรักได้เอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ (ฉบับ 1971)
[2] ยอห์น 2:25 เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน และพระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์ เพราะพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[3] ยอห์น 20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[4] มาระโก 16:12 “ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏพระกายอีกรูปหนึ่ง แก่ศิษย์สองคน เมื่อเขากำลังเดินทางออกไปบ้านนอก” (ฉบับ 1971)
[5] เปรียบเทียบกับลูกา 24:13-39
[6] อ่านว่า “มอร์เฟ” (morphē)
[7] ฉบับไทยคิงเจมส์ (ฉบับมาตรฐานแปลว่า “ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า” ฉบับ 1971 แปลว่า “ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า”)-ผู้แปล
[8] หรือ “พระกายอันทรงพระสิริ” (ตามฉบับ 1971 ที่แปลฟีลิปปี 3:21 ว่า “พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์”) -ผู้แปล
[9] เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15 “ห้ามพยานปากเดียวกล่าวโทษใคร ไม่ว่าในเรื่องอาชญากรรมหรือในเรื่องความบาปใดๆซึ่งเขาได้ทำไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
2 โครินธ์ 13:1 “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปาก จึงจะเป็นที่เชื่อถือได้” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[10] objective truth
[11] กิจการ 9:7 “พวกที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนจังงังพูดไม่ออก พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงแต่ไม่เห็นใคร” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล
[12] Sherlock Holmes เป็นนักสืบในนิยายสืบสวนสอบสวนเขียนโดย เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ผู้แปล)
[13] ยอห์น 20:17 พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล
[14] เพลง “Fall on your knees”
[15] John 9:38 And he said, "Lord, I believe." And he worshiped Him. ฉบับมาตรฐาน 2011 และ ฉบับ 1971 แปลว่า ยอห์น 9:38 “แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์” และฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “เขาก็นมัสการพระองค์” (ผู้แปล)
[16] prosekunēsen
[17] Complete Jewish Bible (John 9:38 "Lord, I trust!" he said, and he kneeled down in front of him.) -ผู้แปล
[18] prosekunei
[19] “knelt down”
[20] “fell on his knees”
[21] proskuneō
[22] “When Peter entered, Cornelius met him and fell down at his feet and worshiped him” (Acts 10:25, ESV)
[23] “I will make them come and bow down before your feet” (Revelation 3:9, NRSV)
[24] มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “lifted up” (“ยกขึ้น”)
[25] เพื่อความเข้าใจตามพระคัมภีร์ เราจำเป็นต้องชี้ให้เห็นว่าเปาโลไม่ได้ใช้แนวคิดของอิสยาห์ในเรื่องเกียรติว่าเป็นการทนทุกข์และการตาย ดังเช่นในบทของผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ แนวคิดของเปาโลจะต่างอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่ง
[26] ฉบับมาตรฐาน 2011
[27] Complete Jewish Bible
[28] คำกรีกอ่านว่า “monogenēs” (โมนอกเอนเนส)
[29] Majority Text คือพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกฉบับที่เลือกใช้เนื้อความที่พระคัมภีร์ภาษากรีกหลายๆฉบับใช้ เนื่องจากต้นฉบับพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกได้ถูกคัดลอกกันมาหลายร้อยครั้งกว่า 1500 ปี แม้ผู้คัดลอกจะระมัดระวังแค่ไหนแต่บางคร้งก็ผิดพลาดได้ (ผู้แปล)
[30] United Bible Societies text
[31] Westcott-Hort
[32] คำกรีกอ่านว่า “kolpō” (คอลโป)
[33] ฉบับมาตรฐาน 2011 (ต้นฉบับคือ “Abraham’s side”) -ผู้แปล
[34] คำกรีกอ่านว่า “kolpos” (คอลปอส)
[35] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา”)
[36] ลูกา 1:32 บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน (ผู้แปล)
ลูกา 1:35 ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เพราะฉะนั้นองค์บริสุทธิ์ที่เกิดมานั้นจะได้ชื่อว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า (ผู้แปล)
[37] หรือ “ชีวภาพหรือทางพันธุกรรม” (ผู้แปล)
[38] ฮีบรู 2:11 “เพราะทั้งผู้ชำระให้บริสุทธิ์และคนเหล่านั้นที่ได้รับการชำระ ก็มีพระบิดาองค์เดียวกัน ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[39] Complete Jewish Bible
[40] คำกรีกอ่านว่า “monogenēs” (โมนอกเอเนส)
[41] มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “bosom friend” และคำภาษาจีนว่า “知己”
[42] มาจากคำอังกฤษว่า “only begotten” ที่มักจะแปลว่า “องค์เดียว” (ผู้แปล)
[43] ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า “only begotten son” และฉบับภาษากรีกใช้คำว่า “” (ผู้แปล)
[44] ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “form” แปลว่า “รูป” หรือ “พิมพ์” (“Who, being in the form of God” Philippians 2:6)
[45] หรือ “image” คำกรีก “eikōn” (ไอคอน) หมายถึง รูปสัญลักษณ์
[46] หรือ “พระฉายา” (ผู้แปล)
[47] หรือ “พระฉายา” (ผู้แปล)
[48] eikōn ในภาษากรีกหมายถึง “รูป หรือ พระฉายา” (ผู้แปล)
[49] ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า” ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระบุตรทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า” และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “พระบุตรคือรัศมีเจิดจ้าแห่งพระเกียรติสิริของพระเจ้า” (ผู้แปล)
[50] “ขนมปัง” หรือ “bread” คำกรีกสำหรับ “ขนมปัง” (, artos) ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะขนมปังแต่หมายถึงอาหารทั่วๆไป เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์” (ยอห์น 6:51 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระองค์ไม่ได้กำลังบอกว่าพระองค์เป็นเหมือนชิ้นขนมปัง ในความเป็นจริงมานาไม่เหมือนกับขนมปัง แต่เป็นเหมือนเม็ดเล็กๆที่อยู่บนพื้นดิน
[51] International Standard Bible Encyclopedia (ISBE)
[52] “ek tou ouranou”
[53] มีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจว่าหลังฟื้นคืนพระชนม์พระเยซูตรัสถึง “เนื้อและกระดูก” (ลูกา 24:39) แทนที่จะเป็น “เนื้อและเลือด” ที่คุ้นเคยกว่า เพราะโลหิตของพระองค์เหือดแห้งไปหมดแล้วที่กางเขนนั้นไม่น่าจะเป็นได้ พระโลหิตของพระองค์ไหลออกหมดที่กางเขนแล้วจริงๆ นี่ไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่าพระวรกายที่ตายแล้วของพระองค์อาจยังมีเลือดค้างอยู่บ้าง (เวลาคุณซื้อเนื้อก็ยังมีเลือดติดอยู่บ้าง ถ้าคุณใช้กระดาษบีบซับ กระดาษจะเป็นสีแดง) พระโลหิตของพระเยซูได้หลั่งออกแล้ว พระองค์จึงบอกสาวกของพระองค์อย่างชัดเจนมากให้จับตัวพระองค์ดูเพราะพระองค์มี “เนื้อและกระดูก” (ลูกา 24:39) แต่ในยอห์นบท 6 พระเยซูตรัสถึง “เนื้อและเลือด” คำกล่าวที่ทำให้สาวกขุ่นใจอย่างมาก เพราะพวกเขาก็เหมือนกับคุณและผมที่มักจะคิดอย่างเนื้อหนัง พระเยซูไม่ได้พูดถึงการดื่มโลหิตจริงๆของพระองค์ แต่พูดถึงความหมายฝ่ายวิญญาณของเนื้อและเลือด
[54] ฉบับมาตรฐาน 2011