pdf pic

บทที่ 12

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

พระเยซูกับพระยาห์เวห์ในประสบการณ์ของเรา

 

รูปเคารพของชนอิสราเอล

          ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องหลักของบทนี้  ผมอยากใช้เวลาที่จะให้คำตอบที่สมบูรณ์มากขึ้นกับคำถามว่าเพราะเหตุใดชื่อ “พระยาห์เวห์” จึงไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่

            หลังจากช่วงของโมเสสไม่นานและที่จริงก็ตั้งแต่ในช่วงของโมเสสแล้ว ชนอิสราเอลได้จมอยู่กับการไหว้รูปเคารพซึ่งเรารู้จักกันดีจากเรื่องของการกราบไหว้รูปโคทองคำ แม้จะมีความพยายามและการต่อสู้อย่างมากที่จะสอนประชาชนอิสราเอลให้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวคือพระยาห์เวห์ มันก็ไม่ได้เป็นบทเรียนให้พวกเขาได้เรียนรู้กัน ก่อนที่จะนำแผ่นบัญญัติสิบประการลงมาจากภูเขาซีนายไม่นาน  ชนอิสราเอลก็นมัสการโค[1]ทองคำกันแล้ว  ในโลกยุคโบราณ โคเป็นสัญลักษณ์ของพระต่างๆรวมทั้งพระบาอัล[2]

      จากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการไหว้รูปเคารพในอิสราเอลนั้นใครก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าการไหว้รูปเคารพได้ฝังแน่นอยู่ในวิสัยของมนุษย์  ใจของมนุษย์ดูจะไม่สามารถจดจ่อกับพระเจ้าและมักจะหันเหไปนมัสการสิ่งอื่นเสมอ  นั่นเป็นด้านความนึกคิดในจิตวิญญาณที่ยากจะเข้าใจ  ทำไมมนุษย์จึงไม่สามารถจดจ่ออยู่กับพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวได้?  ทำไมเราจึงมองหาพระอื่นมานมัสการเสมอ?

         ในเหตุการณ์ของโคทองคำนั้น โทสะของโมเสสพลุ่งขึ้นต่อชนอิสราเอล (อพยพ 32:19) เพราะพวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวที่โมเสสมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีโดยส่วนตัว  นี่คือพระเจ้าที่ได้เปิดเผยพระองค์เองกับโมเสสว่าเป็นผู้ที่ดำรงอยู่และพระนามของพระองค์คือ “ยาห์เวห์”   พระนามที่เผยให้เห็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งที่มาและแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น  พระเจ้าเป็นผู้ที่เป็นและจะเป็นตลอดไป ในพระองค์มีรูปกริยาเป็นอนาคตกาลและไม่ใช่อดีตกาล แต่มนุษย์ดำเนินอยู่ในกาลเวลา  ทุกวินาทีใหม่จะนำเราก้าวเข้าไปในอนาคตเหมือนว่าชีวิตต้องไล่ตามอนาคตเสมอ  เมื่อผมพูดประโยคนี้จบผมก็ได้ก้าวเข้าไปในอนาคตภายในช่วงไม่กี่วินาที  แต่อนาคตอยู่ในการควบคุมของพระเจ้าผู้ที่ “เราจะเป็นผู้ที่เราจะเป็น”

          โมเสสพบกับพระเจ้าที่พุ่มไม้มีไฟลุกโชนและมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งกับพระองค์  แต่คนอิสราเอลก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า  และภายในระยะเวลาอันสั้นพวกเขาก็ได้หล่อรูปเคารพเป็นรูปโคหนุ่มขึ้น (อพยพ 32:4)[3]  เมื่อลงมาจากภูเขา โมเสสจึงเกิดโทสะและบดรูปเคารพเป็นผงเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอย (ข้อ 19-20)[4] แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งอิสราเอลจากการหันไปไหว้รูปเคารพได้

         แก่นแท้ของการไหว้รูปเคารพคือการนมัสการวัตถุหนึ่งหรือบุคคลหนึ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง    ในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมต่างๆผู้ครองบางคนได้ตั้งตนเองให้คนกราบไหว้นมัสการ  ในจักรวรรดิโรมันก็มีการนมัสการซีซาร์เป็นพระเจ้า  มีการเผาเครื่องเซ่นไหว้ต่อหน้ารูปของซีซาร์เพื่อเป็นการนมัสการ  คริสเตียนจำนวนมากถูกลงโทษถึงตายเพราะไม่ยอมเผาเครื่องเซ่นไหว้แก่ซีซาร์  พวกเขาแน่วแน่ในความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้ว่าจะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมานเพราะไม่ยอมกราบไหว้ซีซาร์ของโรมันซึ่งคล้ายกันมากกับฮ่องเต้ของจีน (ผู้เป็น “บุตรจากสวรรค์”)[5]

         ชาวอิสราเอลมักจะกลับไปกราบไหว้รูปเคารพเสมอ  การปฏิรูปของกษัตริย์เฮเซคียาห์และการรณรงค์ต้านการไหว้รูปเคารพของพระองค์เป็นความสำเร็จแค่พอประมาณ โยสิยาห์ไปไกลกว่าเฮเซคียาห์ในการกำจัดรูปเคารพให้สิ้นซากแต่ก็เป็นความสำเร็จในช่วงสั้นๆ  ทันทีที่โยสิยาห์สิ้นชีวิต ทั้งชาติก็หวนกลับไปไหว้รูปเคารพอีก  และภายในเวลาสองศตวรรษ ยูดาห์ที่เป็นอาณาจักรใต้ก็ถูกพวกบาบิโลนทำลายล้างเหมือนกับที่พระเจ้าทรงเตือนผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะ ชาติอิสราเอลก็ไม่มีอีกต่อไปเพราะก่อนหน้านั้นนานมาแล้วอาณาจักรเหนือของอิสราเอลก็ถูกอัสซีเรียทำลายไป

         ชนอิสราเอลมีใจเอนเอียงที่จะไหว้รูปเคารพ  เมื่อเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวทุกครั้งพวกเขาก็จะนมัสการพระแม่โพสพ (เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว)[6]  และขอบคุณเธอหรือพระบาอัลผู้เป็นเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ในการเก็บเกี่ยว  ใครๆอาจคิดว่าผู้ได้เห็นการเลี้ยงดูและการอัศจรรย์ของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารจะฉลาดพอที่จะไม่ไปนมัสการพระอื่นๆ  แต่ทันทีที่ชนอิสราเอลข้ามไปในคานาอันพวกเขาก็เริ่มนมัสการพระต่างๆของชาวคานาอัน  หลังจากหลายศตวรรษที่ไหว้รูปเคารพแบบกู่ไม่กลับ ชาติอิสราเอลก็ถูกลบออกจากแผนที่ในศตวรรษที่หกก่อนคริสตกาลและประชากรก็ถูกเนรเทศไปยังดินแดนต่างชาติ

ความกลัวที่จะออกเสียงพระนามของพระเจ้า

          ชนอิสราเอลถูกเนรเทศเป็นเวลา 70 ปี ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เตือนไว้ (2 พงศาวดาร 36:21, เยเรมีย์ 29:10)[7]  ช่วงของการเป็นเชลยเป็นช่วงเวลาในการชำระล้างและการทำให้บริสุทธิ์   การที่จะทำให้ชนอิสราเอลรู้สึกตัวได้ก็ต้องใช้ชาติมหาอำนาจโบราณอย่างอัสซีเรีย  บาบิโลน และอียิปต์มาทำลายชาติอิสราเอลและถูกเนรเทศในต่างแดน  ในที่สุดเมื่อพวกเขากลับมาอิสราเอลหลังจากถูกเนรเทศ พวกเขาจึงมองย้อนดูความทุกข์ยากทั้งสิ้นของพวกเขา มองดูความหายนะ ความอัปยศอดสู การเข่นฆ่า และการที่พวกเขาถูกเนรเทศไปยังต่างแดน พวกเขาจึงตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะพวกเขาได้หันเหไปจากพระยาห์เวห์

         หลังกลับจากการถูกเนรเทศ  พวกเขาก็เข้าสู่ช่วงใหม่ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลในช่วงที่คนอิสราเอลปฏิเสธอย่างแน่วแน่ที่จะไม่นมัสการพระอื่นใดนอกจากพระยาห์เวห์  จากนั้นเรื่อยมาอิสราเอลก็คงความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างเคร่งครัดและไม่นับถือรูปเคารพหรือเชื่อในพระเจ้าหลายองค์อีกต่อไป  คนอิสราเอลเริ่มท่อง “ชามา”[8]ทุกวัน   “ชามา” (คำฮีบรูหมายถึง “จงฟัง”) เป็นคำแรกของเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 “จง​ฟัง​เถิด  โอ คน​อิส​รา​เอล พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เรา พระ​ยาห์​เวห์ทรงเป็นหนึ่ง”[9] (Hear O Israel, the Lord our God, the Lord is one)   คำ “Lord” ตรงนี้ในภาษาฮีบรูคือคำ “ยาห์เวห์” เป็นชื่อเฉพาะของพระเจ้า     แม้ในทุกวันนี้ชาวยิวทุกคนที่เคร่งศาสนาก็ยังท่อง “ชามา” นี้ทุกวัน

         หลังจากการถูกเนรเทศ ความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ตั้งมั่นอยู่ในอิสราเอล  คนเริ่มเกรงกลัวและยำเกรงพระเจ้าจนถึงขนาดไม่ออกเสียงชื่อ “ยาห์เวห์” แต่ก็ไม่มีหลักฐานทางพระคัมภีร์ที่ห้ามออกเสียงพระนามของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า “นี่​เป็น​นาม​ของ​เราชั่วนิรันดร์  เป็นนามที่พวกเจ้าจะเรียกเราตลอดทุกชั่วอายุ” (อพยพ 3:15) พระเจ้ายังตรัสอีกว่า “เราได้ไว้ชีวิตเจ้าก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้เอง  คือเพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราแก่เจ้า  และเพื่อนามของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก” (อพยพ 9:16) โมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์  ขอสดุดีความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา!” (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:3)  พระเจ้าบอกชนอิสราเอลว่าเมื่อพวกเขาสาบานในพระนามของพระองค์  พวกเขาจะต้องไม่สาบานเท็จ (เลวีนิติ 19:12)[10]  ผู้เขียนสดุดีเขียนไว้ว่า “จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า และร้องทูลออกพระนามของพระองค์  ให้ประชาชาติทั้งหลายได้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ” (สดุดี 105:1  ข้ออ้างอิงในย่อหน้านี้มาจากฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

     ธรรมบัญญัติสั่งให้คนอิสราเอลประกาศพระนามของพระเจ้า  แต่หลังจากที่ถูกเนรเทศ พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยพระนามของพระเจ้าอีกต่อไป  ไม่มีตัวอย่างพระคัมภีร์หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้มาก่อน  ก่อนการถูกเนรเทศชาวอิสราเอลจะอ่านออกเสียงพระนามพระยาห์เวห์ซึ่งจะพบในเกือบทุกหน้าของพระคัมภีร์ของพวกเขาไปจนถึงข้อสุดท้ายของมาลาคี  แต่หลังจากการถูกเนรเทศพวกเขาก็ไม่ออกเสียงพระนามของพระองค์อีกต่อไป    ด้วยความเกรงกลัวและความยำเกรงพระยาห์เวห์ครั้งใหม่นี้พวกเขาตระหนักดีว่าถ้าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์อีก พวกเขาก็จะถูกทำลายชาติอีกครั้ง  พวกเขาไม่อยากจะถูกเนรเทศอีก  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เอ่ยพระนามของพระเจ้า   และแทนที่พวกเขาจะเรียกพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์” พวกเขาก็เรียกพระองค์ว่า “อาโดนาย” (องค์ผู้เป็นเจ้า)[11]แทน

     เหตุที่ไม่มีการกล่าวชื่อ “พระยาห์เวห์” ก็เพราะพระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับเซปทัวจินต์[12]ฉบับที่สำคัญสุดที่แปลจากพระคัมภีร์ฮีบรูในศตวรรษที่หนึ่งและสองก่อนคริสตกาลนั้นไม่ได้ทับศัพท์ชื่อ “ยาห์เวห์” แต่ได้แปลคำ “ยาห์เวห์” และ “อาโดนาย” เป็นคำว่า “คูริออส” (“kurios” หรือ “Lord”)  พระคัมภีร์ฉบับเซปทัวจินต์ทำตามวิธีปฏิบัติของสมัยนั้นซึ่งได้เริ่มขึ้นสองสามศตวรรษก่อนหน้านี้

พระนามของพระเจ้าในยุคของพระคัมภีร์ใหม่

          ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่ เซปทัวจินต์ได้กลายเป็นพระคัมภีร์ที่มีอิทธิพลในหมู่ชาวยิว (แม้จะมีพระคัมภีร์ภาษากรีกอีกสองสามฉบับที่นิยมน้อยกว่า)   การที่ “Yahweh” (ยาห์เวห์) และ “Adonai” (อาโดนาย) ถูกแปลมาเป็น “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ในฉบับเซปทัวจินต์จึงทำให้ชื่อ “Yahweh” (ยาห์เวห์) หายไปจากพระคัมภีร์ แต่พวกยิวรู้มาโดยตลอดว่าพระยาห์เวห์เป็นใคร  เมื่อคนยิวพูดถึง “พระเจ้า” หรือ “พระบิดา” เขาจะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอ  ทุกคนต่างรู้ว่าพระเจ้าถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์แม้จะไม่ได้ใช้คำว่า “ยาห์เวห์” ในพระคัมภีร์ก็ตาม

          นั่นคือเหตุผลว่าพระคัมภีร์ใหม่จึงไม่มีการเอ่ยถึงชื่อ “ยาห์เวห์”  การไม่มีชื่อ “ยาห์เวห์” ปรากฏอยู่ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่กับคนยิวเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าคือพระยาห์เวห์   เมื่อใดก็ตามที่เปาโลพูดถึง “พระเจ้า” หรือ “พระบิดา” หรือ “องค์ผู้เป็นเจ้า” (เมื่อพูดถึงพระเจ้า) เขาจะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอ  เขายังได้บอกชาวต่างชาติในโครินธ์ว่าพระเจ้าคือ “พระเจ้าพระบิดาของเรา” (1 โครินธ์ 1:3)[13] เพราะคนต่างชาติไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระยาห์เวห์นั้นเป็นเหมือนบุตรกับบิดา  แต่ในหมู่ชาวยิวในศตวรรษแรกแล้วไม่มีความจำเป็นต้องสะกดชื่อ “พระยาห์เวห์” ไว้ในพระคัมภีร์ใหม่

         แต่พอมาถึงศตวรรษที่สาม การไม่มีชื่อของ “พระยาห์เวห์” ปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ได้กลายเป็นปัญหาร้ายแรงเพราะพระเยซูกำลังถูกยกให้อยู่ในระดับเดียวกับพระยาห์เวห์ การใช้คำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” กับทั้งพระยาห์เวห์และพระเยซูทำให้เพิ่มความสับสนแม้ว่าเดิมทีจะมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  แต่ความคิดของคนต่างชาติไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างสองความหมายของคำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ต่างกันซึ่งต่างจากชาวยิวที่รู้ความแตกต่างระหว่าง “องค์ผู้เป็นเจ้า”(Lord) ที่หมายถึงพระยาห์เวห์  และ “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) ที่หมายถึงพระเยซูและ “ท่าน”[14] (Lord) ที่หมายถึงอาจารย์หรือบุคคลที่น่านับถือ   ยิ่งกว่านั้นผู้หญิงยังเรียกสามีของเธอว่า “นาย”[15] (lord)   คำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) ที่มีความหมายต่างๆนี้ก็เริ่มสร้างความสับสนให้กับความคิดของคนต่างชาติแม้ว่าจะไม่ได้มีปัญหากับความคิดของคนยิว

          รูปที่ 1 แสดงให้เห็นความหมายต่างๆของคำ “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า)  ตัวอักษรจีน “人” ในวงกลมด้านล่างหมายถึง “มนุษย์”

ch12 1

         ที่เห็นในรูปที่ 1 พระยาห์เวห์ถูกเรียกว่า “ลอร์ด” (Lord, องค์ผู้เป็นเจ้า หรือองค์เจ้านาย)  พระคริสต์ก็ถูกเรียกว่า “ลอร์ด” (Lord, องค์ผู้เป็นเจ้า หรือองค์เจ้านาย) และสามีหรือผู้นำก็ถูกเรียกว่า “ลอร์ด” (lord, นาย หรือเจ้านาย)  1 เปโตร 3:6[16] (เปรียบเทียบปฐมกาล 18:12) บอกเราว่าซาราห์เรียกอับราฮัมสามีของเธอว่า “ลอร์ด”[17] (Lord หรือ ch12 7) ซึ่งเป็นคำกรีกคำเดียวกับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” เหมือนคำเรียกพระเยซูและคำเรียกพระยาห์เวห์  ในพระคัมภีร์ใหม่มีตัวอย่างของหลายคนที่เรียกพระเยซูว่า “ลอร์ด” (Lord, องค์ผู้เป็นเจ้า) ในความหมายของอาจารย์หรือบุคคลที่เคารพนับถือ  บางครั้งในพระกิตติคุณยอห์นเมื่อใช้คำภาษากรีกว่า “ลอร์ด” (Lord) กับพระเยซู พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษจะแปลว่า “เซอร์”  ( “Sir” เช่น ยอห์น 4:11, 15, 19, 49)

[18]

          การไม่แยกให้เห็นความหมายที่แตกต่างกันของคำ “ลอร์ด” (Lord) ก่อให้เกิดความสับสนอย่างมากในคริสตจักรของคนต่างชาติ  ความสับสนนี้ไม่ได้เกิดมาจากพระคัมภีร์ฮีบรูซึ่งสอนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระยาห์เวห์ (เช่น “นอกจากเราแล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด” อิสยาห์ 44:6, 8)[19]

ลูกโซ่ของผู้มีอำนาจ

         คำเรียก “ลอร์ด” (Lord) ระบุระดับของผู้มีอำนาจที่อยู่ในลูกโซ่ของผู้มีอำนาจที่มีภายในครอบครัว (ซึ่งรวมถึงพระกายของพระคริสต์)  เราจะเห็นสิ่งที่คล้ายกันใน 1 โครินธ์ 11:3  “แต่ขอให้ท่านตระหนักว่า  พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน  และชายเป็นศีรษะของหญิง  และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ลูกโซ่ของผู้มีอำนาจนี้แสดงไว้ในรูปที่ 1

          รูปที่ 2 แสดงให้เห็นลูกโซ่ของผู้มีอำนาจในพันธกิจรับใช้ต่างๆของคริสตจักรตาม  1 โครินธ์ 12:28

และใน​คริสต​จักรพระ​เจ้า​ได้ทรงแต่ง​ตั้ง​​อัคร​ทูตเป็นอันดับแรก   อันดับที่สองคือผู้​เผย​พระ​วจนะ  อันดับที่สามคือผู้สอน ​จาก​นั้นคือผู้​ทำ​การอัศจรรย์​   ผู้มีของ​ประ​ทาน​ใน​การ​รัก​ษา​โรค  ผู้สามารถ​ช่วยเหลือ​ผู้อื่น พวก​ผู้มีของประทานในการบริหารงาน  ​และ​​ผู้พูดภา​ษา​แปลกๆ[20]  (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

ch12 2

         รูปที่ 3  รวมรูปที่ 1 กับรูปที่ 2

ch12 3

         รูปที่ 4  แสดงให้เห็นโครงสร้างของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

 ch12 4

         ด้านล่างของโครงสร้างความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือมนุษย์[21] วงกลมสามวงด้านบนเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร (พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ) และพระเจ้าพระวิญญาณ  ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้น มีวงกลมสามวงเรียงอยู่ในระดับเดียวกันจากซ้ายไปขวา มีเส้นสามเส้นต่อทั้งสามพระองค์กับมนุษย์ มีแต่เส้นตรงกลางที่เป็นเส้นทึบ  นี่เป็นเพราะว่าผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์กับพระคริสต์มากกว่ากับพระบิดาหรือกับพระวิญญาณ  มันตรงข้ามกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวที่จะมีเพียงบุคคลผู้เดียวเท่านั้น (พระเจ้า) อยู่ด้านบน  แต่ในความเชื่อตรีเอกานุภาพจะมีสามบุคคล

          รูปที่ 5 แสดงให้เห็นความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์  การเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ได้ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในโลกของคนต่างชาติ  แม้แต่ในอิสราเอลก็ได้ปฏิบัติกันช่วงหนึ่งเต็มๆของประวัติศาสตร์   เฮเซคียาห์ (2 พงศ์กษัตริย์ 18) และโดยเฉพาะโยสิยาห์ (2 พงศ์กษัตริย์ 23) ใช้มาตรการอย่างหนักในการกวาดล้างรูปเคารพและความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ในอิสราเอลแม้ว่าจะมีผลแค่ช่วงสั้นๆ

ch12 5

          ในรูปที่ 5 มนุษย์จะอยู่ด้านล่างโดยมีพระเจ้ามากมายอยู่เหนือเขา  มีความแตกต่างในโครงสร้างเล็กน้อยระหว่างความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ (รูปที่ 5) กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (รูปที่ 4)  ถ้าเราเอาวงกลมในรูปที่ 5 มาเรียงแถวกันก็จะเห็นความคล้ายคลึงกันกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพชัดมากขึ้น  ความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์มีพระเจ้าระดับที่แตกต่างกัน  ดังนั้นวงกลมในรูปที่ 5 จึงไม่ได้จัดเรียงไว้ในแนวเดียวกัน  ในทางปฏิบัติจริงของการเชื่อพระเจ้าหลายองค์นั้นจะมีพระเจ้าหนึ่งหรือสององค์ที่ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนมากกว่าองค์อื่นๆ  พระเจ้าบางองค์ก็สำคัญมากกว่า  บางองค์ก็สำคัญน้อยกว่า  และมนุษย์จะสัมพันธ์กับองค์ที่เขาเลือก  ในรูปที่ 5 เราจะเห็นพระเจ้าสี่องค์แต่ที่จริงเราสามารถจะมีห้า หก หรือเจ็ด หรือแปดองค์   หรือจะมีถึงพันล้านองค์เหมือนในอินเดีย

          ในรูปที่  5 เส้นที่เชื่อมต่อมนุษย์กับพระเจ้าเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทึบแต่เป็นเส้นประ เพราะในทางปฏิบัติแล้วผู้เชื่อในพระเจ้าหลายองค์มีแนวโน้มที่จะนมัสการพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามที่พวกเขาเลือก เช่น เทพเจ้าจูปีเตอร์ในอาณาจักรโรมัน หรือ “กวนอิม”[22]  (เทพีแห่งความเมตตา) และ “กวนอู”[23] ในประเทศจีน

ch12 6

ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์

          รูปที่ 6  เป็นการรวมรูปที่ 4 กับ 5   มีโครงสร้างเพิ่มขึ้นที่เรียกว่า “สองเจ้าสองนาย” ตามมัทธิว 6:24  (มีข้อที่เหมือนกันในลูกา 6:13)

“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมเกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองไม่ได้”  (มัทธิว 6:24 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[24]

          ไม่มีใครจะสามารถรับใช้สองเจ้าหรือ “สองนาย” (คำกรีกคือ “ch12 7” หรือ “lord”)[25] ได้   ข้อนี้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมเราจึงต้องเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว  เราจะมีสองนายหรือสององค์ผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในฐานะเท่าๆกันไม่ได้  เพราะในทางปฏิบัติจริงแล้วเราจะภักดีกับคนหนึ่งและจะดูหมิ่นอีกคนหนึ่ง  แล้วยิ่งกว่านั้นเราจะสามารถปรนนิบัติพระเจ้าทั้งสามพระองค์ในความเชื่อตรีเอกานุภาพที่มีฐานะเท่าๆกันซึ่งเป็นกรณีพิเศษของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์อย่างไรได้     สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ   นี่เองในรูปที่ 4 (ความเชื่อในตรีเอกานุภาพ) จึงมีเส้นทึบตรงพระเยซูและเส้นประตรงพระบิดาและพระวิญญาณ  ในเมื่อคุณไม่สามารถจะปรนนิบัติสองเจ้า (สองนาย) ได้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะปรนนิบัติถึงสามพระองค์  ถ้าเรามีองค์ผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าเราสามพระองค์  เราจะปรนนิบัติพระองค์ไหน?  คุณจะไม่สามารถจะภักดีกับทั้งสามพระองค์ได้  นั่นคือเหตุผลที่ในทางปฏิบัติคนจึงอธิษฐานกับหนึ่งในสามพระองค์ซึ่งปกติแล้วจะเป็นพระเยซู  ดังนั้นเส้นทึบที่โยงกับวงกลมจึงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระบุตร

          ความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์มีพระเจ้ามากกว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ปัญหาของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ไม่ได้เลวร้ายเท่ากับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ นั่นก็เพราะในทางปฏิบัติแล้วพวกเขาก็เลือกพระเจ้าหนึ่งองค์และจดจ่อกับการนมัสการพระเจ้าองค์นั้น  การนมัสการพระเจ้าองค์หนึ่งในการเชื่อพระเจ้าหลายองค์เป็นที่รู้จักกันในนาม “การเชื่อพระเจ้าหลายองค์แต่บูชาเพียงหนึ่งองค์”[26] มันหมายถึงการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์มากแต่จะนมัสการเพียงแค่องค์เดียวจากทั้งหมด  ความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็นมัสการพระเจ้าองค์เดียวเช่นกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญมากจะอยู่ตรงที่ไม่ยอมรับพระเจ้าอื่นใดอีก

          หลังจากอิสราเอลกลับจากการถูกเนรเทศ พวกเขาก็ทิ้งพระเทียมเท็จทั้งหมดและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว  พวกเขาได้รับบทเรียนของพวกเขา  อันตรายจากการพยายามปรนนิบัติสองเจ้าหรือสองนาย[27]ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงในกรณีของชาวอิสราเอลและต่อมาก็กับคริสตจักรที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ มนุษย์ไม่สามารถจะจดจ้องอยู่กับวัตถุสองสิ่งในเวลาเดียวกันได้  หากตาของคุณพยายามจ้องไปที่วัตถุสองสิ่งที่ต่างกันตาของคุณจะเหล่  แต่ถ้าคุณมองไปไกลๆและผ่อนสายตา ภาพที่เห็นจะเป็นภาพเบลอๆสองภาพแบบไม่ชัดทั้งคู่  ในทำนองเดียวกันคุณก็ไม่สามารถจะปรนนิบัติสองเจ้าหรือสองนายได้  นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูทรงยืนยันว่ามีพระเจ้าเดียวเท่านั้น

         ในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวที่แสดงให้เห็นในรูปที่ 3  นั้นเส้นที่เชื่อมต่อกันจะเป็นแนวตั้ง เส้นเหล่านั้นไม่ได้แผ่ออกไปเหมือนของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์หรือความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  มีโครงสร้างอย่างชัดเจนของผู้ที่มีอำนาจเหนือและลูกโซ่ของผู้มีอำนาจที่ขึ้นไปและลงมาไม่มีความคลุมเครือ

การยกพระคริสต์ให้สูงขึ้น

         จากที่ได้เห็นลักษณะพื้นฐานของความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์กับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเราจึงกลับมาที่คำถามว่าทำไมชื่อ  “ยาห์เวห์” จึงไม่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่  เมื่อยอห์น หรือเปาโล หรือเปโตรเขียนส่วนของพวกเขาในพระคัมภีร์ใหม่นั้น และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดถึงพระเจ้า พวกเขาจะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอ  พวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องระบุว่าพวกเขากำลังพูดถึงพระเจ้าองค์ไหนอยู่  เพราะสำหรับพวกเขาและผู้อ่านของพวกเขาที่เป็นชาวยิวต่างก็รู้ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

         เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาในช่วงสองหรือสามร้อยปีต่อมาเมื่อคริสตจักรของคนต่างชาติได้ทิ้งพระคริสต์ตามพระคัมภีร์มาตามพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแทน  ในรูปที่ 1 คุณลองนึกภาพการดึงวงกลมอันที่สอง (พระคริสต์ตามพระคัมภีร์) ออกมาจากลูกโซ่ของผู้มีอำนาจแล้วเอามาวางในระดับเดียวกันกับวงกลมอันแรก (พระยาห์เวห์)  เมื่อวงกลมสองวงมาอยู่ในตำแหน่งที่เท่าๆกัน คุณคิดว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจ?  ในทางปฏิบัติแล้ววงกลมสองวงไม่สามารถจะอยู่ในตำแหน่งที่เท่าๆกันด้วยซ้ำ เพราะวงที่เป็นตัวแทนของพระคริสต์จะผลักวงที่เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ออกไป  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับความเชื่อตรีในเอกานุภาพตามประวัติศาสตร์   โครงสร้างของผู้ที่มีอำนาจใน 1 โครินธ์ 11:3[28] จึงไม่มีอีกต่อไป และสิ่งที่เรามีก็คือโครงสร้างใหม่ที่แย่พอๆกับความวิบัติเพราะตอนนี้มันหมายความว่าพระยาห์เวห์พระบิดาได้ถูกผลักออกไปและตอนนี้มีพระเยซูก็เข้าไปครองแทนที่พระองค์ในลูกโซ่ของผู้มีอำนาจเสียแล้ว

         ชื่อ “ยาห์เวห์” ไม่ได้ถูกเอ่ยถึงในพระคัมภีร์ใหม่ก็เพราะไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น  โอกาสที่จะสับสนนั้นไม่มีเลยจนเมื่อต่อมาภายหลังในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร  ราวศตวรรษที่สามเมื่อความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ปรากฏให้เห็นโดยใช้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาบังหน้าจึงเกิดความสับสนอย่างมากเมื่อคนอ่านพระคัมภีร์ใหม่    คำ “พระเจ้า” นี้ใช้อ้างถึงพระบิดา หรืออ้างถึงพระคริสต์ หรืออ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์กันแน่?  ในความเป็นจริงแล้วคริสเตียนในสมัยนั้นซึ่งก็เหมือนกับคริสเตียนในปัจจุบันนี้จะอ่านคำ “พระเจ้า” ว่าพระคริสต์   ซึ่งเป็นการตีความที่บิดเบือนพระคัมภีร์ไปอย่างสิ้นเชิง

         เพื่อหลีกเลี่ยงจากความสับสนนี้คุณควรเรียนรู้ที่จะคิดอย่างผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  ดังนั้นทุกครั้งที่คุณเห็นคำ “พระเจ้า” หรือ “พระบิดา” ก็ให้อ่านว่า “พระยาห์เวห์” เพื่อคุณจะได้ปรับความคิดของคุณให้เข้ากับรูปแบบของพระคัมภีร์ใหม่  ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ “พระยาห์เวห์” แต่ในยุคนี้เราจำเป็นต้องทำให้ชื่อของพระองค์แจ่มแจ้งและชัดเจน

         คุณอาจจะคุ้นกับการเปรียบเทียบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่พระเจ้าเป็นเหมือนกับใบโคลเวอร์[29]  โคลเวอร์เป็นพืชที่มีใบสามแฉก   ถ้าเจอใบที่มีสี่แฉกก็ถือว่าโชคดี  ใบโคลเวอร์ที่มีสามแฉกได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไอร์แลนด์เพราะนักบุญแพทริก[30] นักบุญอุปการีของไอร์แลนด์ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ใช้ตัวอย่างนี้สอนความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพให้กับคนไอริช

         รูปที่ 4 เข้ากันพอดีกับการเปรียบเทียบกับใบโคลเวอร์  โครงสร้างในแผ่นภาพนี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนในการเชื่อพระเจ้าหลายองค์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  ก่อนหน้านี้ผมได้แบ่งปันกับคุณเกี่ยวกับหนังสือ “ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว”[31] ที่เขียนโดยผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพหลายคน  หนังสือเล่มนี้สนับสนุนความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่ชื่อ  แต่ต่อต้านความเชื่อที่แท้ในพระเจ้าเพียงองค์เดียว  บรรดาผู้เขียนต่างยอมรับว่า ความเชื่อที่แท้ในพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นขัดแย้งกับสูตรพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ไม่ว่าคุณจะโต้แย้ง ในทางใดก็ยังเป็นพระเจ้าสามพระองค์อยู่ดี

         ผมหวังว่าคำถามว่าทำไมชื่อ “ยาห์เวห์” จึงไม่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่จะได้รับความกระจ่าง  คำตอบง่ายๆก็คือผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ “ยาห์เวห์” เพราะว่าทุกคนรวมทั้งผู้อ่านของพวกเขาที่เป็นชาวยิวรู้กันดีว่าทุกครั้งที่เอ่ยถึงพระเจ้าก็คือการเอ่ยถึงพระยาห์เวห์  พระคัมภีร์ใหม่เขียนโดยชาวยิวและชาวยิวเหล่านี้ไม่ได้ออกเสียงพระนามของพระเจ้า  เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ในศตวรรษที่สอง ที่สามและที่สี่และต่อๆมานี่เอง  สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงมากในศตวรรษที่สองแต่รุนแรงมากในศตวรรษที่สามและสี่ในช่วงที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้กลายเป็นคำสอนมาตรฐาน  เมื่อมาถึงศตวรรษที่สี่ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ได้กำจัดทุกเสียงที่ไม่เห็นด้วยไปจนหมดสิ้น

การขยายความ การตีความ และการมีประสบการณ์

          เมื่อย้อนดูบทก่อนๆ จะเห็นว่าสองสามบทแรกเป็นการขยายความในขณะที่สองสามบทก่อนหน้านี้เป็นการตีความ[32]  การตีความเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันเป็นรากฐานของการขยายความพระคัมภีร์  เมื่อเราตีความพระคัมภีร์ข้อๆหนึ่ง  เราจะนำเอาสิ่งที่อยู่ในข้อนั้นออกมาให้เห็นตามความเป็นจริง  ขณะเดียวกันก็ไม่ตีความให้เป็นไปตามความคิดของเราเอง  ในทางกลับกันการต่อเติมความ[33]ก็คือการใส่ความคิดของตนเองเข้าไปในตัวบท  ดังนั้นเมื่อเราทำการตีความแบบถูกต้องเราก็จะไม่ยอมใส่สิ่งใดซึ่งไม่ได้มีอยู่ในตัวบทเข้าไป

          นอกจากการขยายความและการตีความแล้วก็ยังมีด้านที่สำคัญของการมีประสบการณ์  ผมให้การมีประสบการณ์เป็นส่วนสุดท้ายและในลำดับที่ถูกต้อง  ถ้าผมได้บอกประสบการณ์ของผมกับคุณตั้งแต่ต้นแล้วคุณควรจะทำอย่างไร?  คุณมาเชื่อเพราะประสบการณ์ของผมหรือ?  คุณจะทำเช่นนั้นไม่ได้  เพราะไม่ว่าประสบการณ์ของผมจะดีและน่าเชื่อถือแค่ไหนคุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเพราะมันเป็นประสบการณ์ของผมเท่านั้น มันไม่ใช่ประสบการณ์ของคุณ  ประสบการณ์ของผมอาจเป็นสะพานให้คุณก้าวไปสู่ความเชื่อแต่มันจะต้องไม่เป็นรากฐานความเชื่อของคุณ

         เปาโลกล่าวว่า  “จง​ให้​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน​เกี่ยว​กับ​สิ่ง​เหล่า​นี้​เป็น​เรื่อง​ระหว่าง​ท่าน​กับ​พระ​จ้า” (โรม 14:22)[34]  ความเชื่อของเปาโลก็เป็นของเปาโลและประสบการณ์ของผมก็เป็นของผม  เปาโลอาจบอกประสบการณ์ของเขากับคุณแต่คุณจะพูดไม่ได้ว่า  “เปาโลได้เห็นพระเยซู เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อในพระเจ้า”  ถ้าตัวของผมเองไม่ได้เห็นพระเยซูเอง แล้วทำไมผมจึงควรมาเชื่อตามสิ่งที่เปาโลเห็น?  ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าประสบการณ์ของเขาเป็นของจริง?  เราจะต้องตรวจสอบประสบการณ์ของคนนั้นด้วยพระคำของพระเจ้า   แต่แม้หากจะตรงกับพระคำของพระเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะให้ความเชื่อของคุณขึ้นกับประสบการณ์ของคนอื่น นิมิตที่เปาโลเห็นพระเยซูบนถนนไปดามัสกัสนั้นไม่ได้เป็นปัญหาของการตีความหรือของพระคัมภีร์เพราะว่าผู้เผยพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมก็มีนิมิตเช่นกัน  จะจริงหรือไม่ก็เป็นคำถามอย่างอื่น

         ตัวผมเองไม่มีปัญหาเรื่องประสบการณ์ของเปาโลเพราะผมมีประสบการณ์ที่คล้ายกับของเขาแม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียว  และเมื่อคุณได้ยินเรื่องประสบการณ์ของผม คุณก็ต้องเช็คดูว่ามันสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่  ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์ที่คล้ายกันนี้คุณก็จะไม่มีหลักฐานของตัวคุณเองที่จะยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  แต่ถ้าคุณมีประสบการณ์ที่คล้ายกัน คุณก็จะพูดได้เต็มปากว่า “ผมรู้ว่าเป็นประสบการณ์จริงของเขา เพราะผมก็มีประสบการณ์แบบนั้นด้วย”

     คนที่ไม่มีประสบการณ์เหมือนเปาโลที่ได้เห็นและพูดคุยกับพระเยซูก็อาจเห็นว่าการบอกเล่าประสบการณ์ของเปาโลเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นหรือไม่ก็คิดฟุ้งซ่าน      ถ้าคุณไม่เคยขับผีแล้วคุณจะตีความเรื่องการขับผีในพระคัมภีร์ใหม่ได้อย่างไร?  แต่ถ้าคุณเคยขับผี (เหมือนที่ผมเคย) คุณจึงพูดได้ว่า “ผมรู้ว่าเป็นเรื่องจริงเพราะผมเองก็ขับผีด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามาแล้ว”  คุณเชื่อเรื่องการขับผีจากที่คุณได้อ่านในพระคัมภีร์แต่คุณก็ยังรู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ของคุณเองด้วย  ประสบการณ์เป็นสิ่งยืนยัน  แต่ประสบการณ์ของผมก็ไม่ใช่ประสบการณ์ของคุณ  ผมบอกเล่าประสบการณ์ของผมได้แต่คุณก็ต้องพิจารณาสิ่งนั้นด้วย  ผมไม่ได้บอกให้คุณมาเชื่อจากประสบการณ์ของผม  คุณจะต้องเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า

     การขยายความ การตีความและการมีประสบการณ์เป็นสาม “การ” ของการสอนพระคัมภีร์ และแต่ละอย่างก็สำคัญ  มันน่าสนใจที่ทั้งสามคำมีคำว่า “การ”[35] ทั้งสามสิ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งกับการสอนพระคัมภีร์  ครูสอนพระคัมภีร์บางคนเก่งในการขยายความแต่ไม่เก่งในการตีความ หรือไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า  ฉะนั้นคุณคงนึกภาพออกถึงสิ่งที่ยังครอบคลุมไม่หมดจากคำสอนของพวกเขา

         ยิ่งคุณรู้วิธีขยายความพระคำของพระเจ้า คุณก็จะเข้าใจการตีความดีขึ้น และเมื่อคุณมีประสบการณ์กับองค์ผู้เป็นเจ้า คำสอนของคุณก็จะยิ่งมีพลัง  ถ้าปราศจากประสบการณ์แล้วคำสอนของคุณก็เป็นแค่วิชาความรู้ คุณจะไขความพระคัมภีร์จากความรู้ของคุณ  ประสบการณ์ทำให้คำสอนเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจ ประสบการณ์จะเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับคำเทศนาของคุณได้มากกว่าสิ่งอื่นใด เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ” (2 ทิโมธี 1:12)  คุณจะพูดได้อย่างมั่นใจอย่างนั้นไหม?  มันขึ้นกับว่าคุณมีประสบการณ์แค่ไหนและขึ้นกับระดับของการสื่อสารของคุณกับองค์ผู้เป็นเจ้า

ประสบการณ์ของผมกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว

            ผมจะเล่าถึงประสบการณ์สักเล็กน้อย  เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของผม  ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นเวลานานเพราะเป็นหลักคำสอนที่ผมถูกสอนมา  ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าบรรดาอาจารย์ของผมจะพยายามหลอกลวงผม  ผมจึงรับเอาความเชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยความจริงใจโดยไม่สงสัยความตั้งใจดีของคนอื่น    ผมไม่คิดจะสงสัยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมจึงไม่ได้เอาดาบคมๆของการตีความมาใช้กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ผมทำสิ่งที่ตรงกันข้ามคือใช้ดาบนั้นปกป้องเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

         แต่โดยพระเมตตาของพระเจ้าที่ได้เข้าใจในที่สุด ผมจึงทบทวนประสบการณ์ของผมใหม่อีกครั้ง  เมื่อดูความเป็นมาในความสัมพันธ์สนิทอันยาวนานของผมกับองค์ผู้เป็นเจ้า ผมจึงพยายามดูว่าผมเคยมีประสบการณ์ที่ผมมีความสนิทสนมกับทั้งสามพระองค์อย่างเท่าๆกันหรือไม่ แต่หลังจากที่ผมได้ทบทวนประสบการณ์ของผมแล้ว  ผมก็ต้องตะลึงว่าในประสบการณ์ของผมนั้นผมได้รู้จักพระเจ้าเพียงองค์เดียวตลอดมา   ผมไม่เคยรู้จักอีกสองพระองค์หรือแม้แต่อีกหนึ่งพระองค์เลย

       เมื่อย้อนดูประสบการณ์ของคุณเอง  คุณเคยเข้าเฝ้าทีเดียวกันสองหรือสามพระองค์ไหม?  พูดอีกอย่างก็คือประสบการณ์ของคุณยืนยันความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวหรือว่ามีหลายพระองค์?  เมื่อผมทบทวนจากประสบการณ์ของผม ผมไม่พบพระองค์อื่นเลย  ตลอดที่ผ่านมาผมพูดคุยสนิทสนมกับพระเจ้าเพียงองค์เดียว  แล้วอีกสองพระองค์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไปอยู่เสียที่ไหน?  พระเยซูดูเป็นจริงกับผมจนผมคิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผมไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าองค์อื่นเลย  ผมรู้สึกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่ผมพูดด้วยตลอดเวลา  แต่บางครั้งบางคราวผมก็รับรู้ถึงพระบิดาแม้ว่าผมจะไม่มีประสบการณ์กับพระองค์

         ผมพูดกับพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้นและพระองค์ทรงเป็นส่วนสำคัญของการพูดคุยนี้  ประสบการณ์ของผมกับพระเจ้าเป็นประสบการณ์กับพระเจ้าเพียงองค์เดียวเสมอ  ประสบการณ์ของคุณต่างจากของผมไหม?  คุณเคยพูดกับสามพระองค์ไหม?  ผมกำลังพูดถึงประสบการณ์จริง ไม่ใช่การฝึกจิตที่คุณกำลังพูดคุยกับสามพระองค์เหมือนพูดกับกำแพง  ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนของคุณ คุณเคยพูดกับทั้งสามพระองค์ไหม?  ถ้าเคย คุณพูดกับทั้งสามพระองค์อย่างเท่าๆกันไหม?

         ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยการชักนำให้เชื่อ แต่ก็ทำเหมือนกับผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวเพราะว่าผมพูดคุยกับผู้เดียวเท่านั้น เป็นการพูดคุยที่ลึกซึ้งและหวานชื่น มีบางครั้งที่ผมรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในสวรรค์บนดิน  ไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่บนสวรรค์หรือว่าอยู่บนโลกกันแน่

         ตัวอย่างเช่นเช้าวันหนึ่งในลอนดอนทางเหนือ  ผมกำลังคุกเข่าอธิษฐานอยู่  จู่ๆผมก็มีประสบการณ์เหมือนถูกพาขึ้นไปในสวรรค์  ผมยังรู้สึกตัวและเห็นทุกสิ่งรอบตัวผมได้อย่างชัดเจนแต่ว่าผมอยู่ในอีกมิติหนึ่ง  ประสบการณ์นั้นอธิบายยากมาก  คุณอยู่บนโลกแต่จิตวิญญาณก็อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ผมกำลังมีความสัมพันธ์สนิทที่ยอดเยี่ยมกับพระเจ้า  ผมรู้สึกตัวดีกับสิ่งรอบตัวผมทั้งหมดเพราะผมมีนัดตอนเที่ยงกับพี่น้องที่จะมาประชุมที่คริสตจักร  ผมดูนาฬิกาของผมแล้วพูดว่า “ถึงเวลาต้องไปแล้ว”  แต่ผมไม่อยากจะไป  ผมอยากจะอยู่พูดคุยอย่างสนิทสนมกับองค์ผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ต่ออีก

         สุดท้ายผมจึงลุกขึ้นอย่างไม่สู้เต็มใจและเดินออกไปที่ถนน  ผมต้องมองซ้ายมองขวาให้ดีเพราะคุณอาจเสียชีวิตบนถนนที่พลุกพล่านในกรุงลอนดอนนี้ได้ง่ายๆถ้าคุณไม่คอยระวังเวลาไปไหนมาไหน  ผมเดินไปจนถึงสถานที่ประชุมและยังอิ่มเอิบกับบรรยากาศในสวรรค์ที่ได้พูดคุยสนิทสนมกับองค์ผู้เป็นเจ้า  เมื่อเดินมาถึงประตู องค์ผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า “เราพูดคุยกับเจ้าแค่ตรงนี้ เข้าไปประชุมเถอะ”  ผมเดินเข้าไปในบ้านนั้นและกลับสู่สภาพปกติอย่างเดิม

     คุณมองเรื่องนี้อย่างไร?  มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นไม่ใช่มีสองหรือสาม  พระเยซูทรงเป็นศูนย์กลางของทั้งหมดนี้  ทรงเป็นผู้ที่ “โดยพระองค์” และ “ในพระองค์” สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น  คำเหล่านี้เป็นคำในพระคัมภีร์ที่เปาโลใช้อยู่เสมอและผมก็สามารถยืนยันจากประสบการณ์ในการใช้คำเหล่านี้ของเขา   ผมมีประสบการณ์จริงกับพระเจ้า “ในพระคริสต์” และ “โดยพระคริสต์”  คำวลีบุพบทดังกล่าวนี้เห็นได้ทั่วไปซึ่งเปาโลใช้เกี่ยวกับพระคริสต์  นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเชื่ออยู่เสมอว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แม้ว่าคำสอนของพระคัมภีร์จะบอกว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

         ผมสนใจอยากรู้ว่าประสบการณ์ของคุณแตกต่างจากของผมหรือไม่  และที่จริงแล้วคุณได้พูดคุยกับพระองค์อื่นๆหรือไม่  ผมหวังว่าคุณกำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์และไม่ได้พูดอยู่กับผู้อื่นที่คุณไม่ควรจะพูดด้วย ผมรู้สึกขอบคุณที่องค์ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปล่อยให้ผมหันเหไปจากพระเจ้าองค์เดียวนี้ เมื่อผมอ่านพระคัมภีร์อีกครั้ง ผมพูดกับตัวเองว่า “นี่เป็นความจริง ผมมีประสบการณ์กับพระเจ้าเพียงองค์เดียวเสมอมา!”

ความรักของผมที่มีต่อพระเยซูไม่ได้ขึ้นกับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าหรือไม่

          เมื่อผมเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆดีขึ้น  ผมก็ต่อสู้กับคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระเจ้า  ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าแล้วพระองค์เป็นใคร? คำถามนั้นทำให้ผมสงสัยมากขึ้นอีกเพราะผมเคยคิดมาตลอดว่าพระเยซูเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของผม  แต่เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ผมก็เข้าใจว่าถ้าหากพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า ความสัมพันธ์ของผมกับพระองค์ก็ไม่ได้ต่างกันเลย(แม้หากพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า  หรือว่าความรักของผมที่มีต่อพระองค์จะลดน้อยลง

          จะมีใครคิดจริงๆหรือที่ผมจะพูดกับพระเยซูว่า “พระเยซู  ข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์กำลังสัมพันธ์กับพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าแต่กลายเป็นว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  พระองค์ไม่สำคัญสักหน่อย?”  ผมจะไม่พูดอย่างนั้นกับพระองค์แน่  มิตรภาพของผมกับพระองค์จะสิ้นสุดลงอย่างงั้นหรือ?  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะหมายความว่ามิตรภาพของผมกับพระองค์ก็ผิวเผินอย่างมากมาตั้งแต่ต้นที่ขึ้นกับสถานะของพระองค์  ความจริงแล้วมันไม่สำคัญกับผมเลยว่าพระเยซูจะทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่เป็น  พระองค์ทรงเป็นสหายที่ผมได้รู้จักมาทั้งชีวิตของผม ฉะนั้นพระองค์ก็จะเป็นสหายของผมตลอดไป

     เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนที่ดีของผมในเซี่ยงไฮ้  พ่อของเขาเป็นคนกวาดถนนในซอยของเรา ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็เป็นคนรับใช้ที่ทำงานให้เพื่อนบ้านคนหนึ่ง  ในช่วงตึกจะมีห้องบนหลังคาตึกที่ให้เป็นที่พักอาศัยของคนรับใช้  คนรับใช้ของเพื่อนบ้านและคนรับใช้ของเราก็อาศัยอยู่ที่นั่นรวมทั้งคนรับใช้ของคนอื่นด้วย

         อยู่มาวันหนึ่งผมพบชายคนนี้ในซอยและเราก็มาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  ผมรู้ว่าเขาเป็นลูกของคนกวาดถนนก็เมื่อผมถามเขาว่า “คุณพักที่ไหน?”  เขาตอบว่า “ผมอยู่ตรงโน้นและพ่อแม่ของผมทำงานให้ครอบครัวโน้น”  มันไม่สำคัญกับผมเลยที่เขาจะเป็นลูกของคนรับใช้  เขาเป็นคนดีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมและเราก็เข้ากันได้ดี

     วันหนึ่งคุณพ่อของผมถามเรื่องเพื่อนของผมคนนี้และครอบครัวของเขา  ผมบอกว่า “พ่อแม่ของเขาเป็นคนรับใช้ของเพื่อนบ้านคนนั้น”  คุณพ่อของผมพูดว่า “อะไรนะ ลูกของคนใช้หรือ?”  ถ้าจะว่ากันแล้วคุณพ่อของผมไม่ได้เป็นคนที่แบ่งชนชั้น  แต่ในขณะนั้นท่านอาจจะคิดว่ามันไม่ค่อยดีต่อชื่อเสียงของเราถ้าผมมีเพื่อนเป็นชนชั้นคนรับใช้  อย่างไรก็ดีคุณพ่อของผมก็หยุดพูดเรื่องนี้และไม่ได้เอ่ยถึงอีกเลย

         การที่ชายคนนี้เป็นลูกของคนรับใช้จะทำให้ความเป็นเพื่อนของเขากับผมน้อยลงไปไหม? มันไม่มีผลอะไรกับผมเลย  อาจมีคนพูดว่าความรักและมิตรภาพทำให้คนตาบอด คุณจึงไม่สนใจฐานะทางสังคมของคนนั้น เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่ทรงสละราชบัลลังก์เพื่อสมรสกับหญิงสามัญชน

         ผมเดินกับพระเยซูมาตลอดชีวิตของผม  แล้วผมจะรักพระองค์น้อยลงถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าหรือไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดาอย่างงั้นหรือ?  มันไม่มีผลอะไรกับผมเลย  ผมไม่ใส่ใจเรื่องฐานะของพระองค์เพราะผมรู้จักพระองค์และมีประสบการณ์กับพระองค์  เปโตรกล่าวว่าพระเยซูทรง​มี​ค่า​มหา​ศาล​สำ​หรับ​คนที่​เชื่อ (1 เปโตร 2:7)[36]  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระเยซูหรือพระยาห์เวห์?

          พระเยซูได้ทรงสอนความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจนที่สุด (ยอห์น 17:3) ความคิดของพระองค์ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวบางครั้งก็เผยให้เห็นในการสนทนาที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว   เช่น “ท่าน​จะ​เชื่อ​ได้​อย่าง​ไร​ถ้าหากท่าน​ยอมรับคำสรรเสริญ​กัน​เอง​   แต่ไม่ขวนขวายหาคำสรรเสริญ​​จาก​พระเจ้า​ผู้​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​แต่​องค์​เดียว” (ยอห์น 5:44 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ในภาษากรีก “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว” คือ “ch12 11” (tou monou theou)[37]  ที่เรารู้จักคำ “monotheism”[38]  ฉบับภาษาอังกฤษบางฉบับยกเลิกคำนี้โดยแปลเป็นคำว่า “คำสรรเสริญซึ่งมาจาก​​พระ​เจ้า​เท่านั้น”[39]

          ในที่สุดเมื่อผมเห็นความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอย่างชัดเจนของพระเยซูจากในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ  เช่น มาระโก 12:28-34 ที่พระองค์ทรงยก “ชามา”[40]  ผมจึงประจักษ์ชัดว่าผมไม่ได้ซื่อสัตย์กับคำสอนของพระองค์  ผมต้องการจะให้พระองค์เป็นพระเจ้าด้วยความรักที่ผิดทางของผมต่อพระองค์  แม้ว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่ทำให้พระองค์เป็นพระเจ้า ผมก็จะทำ  เมื่อคุณรักใครสักคน คุณก็จะเทิดทูนคนนั้นอย่างหลับหูหลับตา  อันตรายอย่างร้ายแรงของความรักก็คือคุณจะเทิดทูนคนที่คุณรักและให้ผู้นั้นมาแทนที่พระเจ้า

         เมื่อผมรู้ความจริงเกี่ยวกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแล้ว ผมสามารถจะเปลี่ยนความคิดของผมและคิดว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ได้ไหม?  ในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวจะมีทางเลือกให้คุณแค่สองทาง คือพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์หรือไม่ก็พระองค์ไม่เป็น  ถ้าพระองค์ไม่เป็นพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ต้องเป็นมนุษย์  ถ้าพระองค์เป็นพระยาห์เวห์พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์

     ประสบการณ์ที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพของผมนั้นผิดธรรมดาเพราะผมสามารถจะเปลี่ยนไปมาระหว่างการพูดคุยกับพระเยซูและพูดคุยกับพระยาห์เวห์ได้อย่างลงตัวเหมือนว่าผมกำลังพูดคุยกับคนๆเดียวกัน  นั่นทำให้ผมสงสัย แล้วพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์ไหม?  ถ้าพระองค์เป็นพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์  ถ้าอย่างนั้นด้วยเหตุผลใดจึงพูดถึงพระองค์ว่าพระเยซูคริสต์ผู้เป็นมนุษย์[41]หรืออาดัมสุดท้าย[42]  และพระองค์จะสามารถตายเพื่อคุณและผมได้อย่างไร?  พระโลหิตของพระองค์จะช่วยผมได้อย่างไร?  มีบางอย่างตรงนี้ที่ไม่สอดคล้องกัน

         ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้พูดคุยและสามัคคีธรรมกับพระเยซู  เมื่อผมได้เข้าใจว่าผมกำลังทำสิ่งผิดที่มุ่งสนใจอยู่กับพระองค์มากกว่าพระยาห์เวห์ผมจึงเริ่มพูดคุยกับพระยาห์เวห์  มันน่าสนใจที่การสลับนั้นลงรอยกันเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนนอกจากชื่อของผู้ที่ผมกำลังพูดด้วย  ผมก็ยังกำลังพูดอยู่กับพระเจ้าองค์เดียวกันที่ผมได้นมัสการมาตลอด ผมเกาหัวกับเรื่องนี้เพราะคาดไว้ว่าจะปรับตัวได้ยาก  ผมนึกภาพตัวเองพูดว่า “ขอโทษด้วยพระเยซู  ตอนนี้ข้าพระองค์จะพูดกับพระบิดา” แล้วผมก็พูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ไม่รู้จักพระองค์ดีเท่าไหร่  ข้าพระองค์ได้พูดกับพระเยซูมาตลอดห้าสิบปี และข้าพระองค์ต้องใช้เวลาที่จะรู้จักพระองค์”  สิ่งแปลกที่สุดก็คือผมกำลังพูดคุยกับคนคนเดียวกัน  เห็นได้ชัดว่าผมได้พูดกับพระยาห์เวห์มาตลอด  นี่คือความล้ำลึก  มันเป็นได้อย่างไรที่ผมกำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์เหมือนยังกับว่าผมกำลังพูดอยู่กับพระเยซู?  พระเยซูจะเป็นพระยาห์เวห์ได้ไหม?  แต่ในเมื่อพระองค์ไม่ใช่พระยาห์เวห์  แล้วทำไมการย้ายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งจึงได้ลงตัวเช่นนี้?

     ผมคิดว่าจะพบคำตอบได้ในยอห์น 20:28 (“องค์พระผู้เป็นของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”) คำกล่าวของโธมัสนี้ดูจะยืนยันประสบการณ์ของผมเองในการย้ายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างลงตัว ผมพูดคุยอยู่กับพระเยซูและพบว่าตัวเองก็กำลังพูดคุยอยู่กับพระยาห์เวห์  ผมทราบว่าในภาษาฮีบรูชื่อ “เยซู” มีชื่อ “ยาห์เวห์” รวมอยู่ด้วย  อันที่จริง “เยซู” หรือ “เยชูวา”  มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” หรือ “พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด”  หรือ “พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด”  เมื่อใดก็ตามที่คุณร้องออกพระนามของพระเยซู คุณก็กำลังร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์  เหตุนี้เองการร้องออกพระนามของพระเยซูจึงไม่ได้เป็นปัญหา  เพราะในที่สุดแล้วคุณก็กำลังร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์นั่นเอง

         ในยอห์นบท 20  ยอห์นไม่มีความมุ่งหมายที่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ยอห์นไม่เคยทำอย่างนั้นและพระเยซูก็ไม่เคยเอ่ยอ้างที่จะเป็นพระเจ้า ยอห์นแจ้งจุดประสงค์ของเขาในการเขียนพระกิตติคุณนี้ในสามข้อต่อมา (ข้อ 31)   “แต่​ที่​บัน​ทึก​เรื่อง​เหล่า​นี้​ไว้ก็​เพื่อ​​ท่าน​ทั้งหลายจะ​ได้​เชื่อ​ว่า พระ​เยซู​เป็น​พระ​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า  และ​โดย​ความ​เชื่อ​​ท่าน​จะได้​มี​ชีวิต​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) จุดประสงค์ของยอห์นไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แต่เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระบุตรของพระเจ้า   เบื้องหลังจากพระคัมภีร์เดิมของข้อนี้คือสดุดีบท 2   เป็นสดุดีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่สำคัญบทหนึ่ง

     โธมัสกล่าวในยอห์น 20:28 ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”  คำพูดที่มาจากประสบการณ์ของโธมัสนี้ยังยืนยันประสบการณ์ของผมเองด้วย  คำกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”[43] และถ้อยคำที่คล้ายกันเช่น “องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้า”[44] จะพบอยู่ดาษดื่นในพระคัมภีร์เดิม  ถ้อยคำเหล่านี้จะกล่าวถึงพระยาห์เวห์เสมอและไม่เคยกล่าวถึงผู้อื่น

         ในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกและพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกรวมกันจะมีคำ “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน”[45]  มีปรากฏ 450 ครั้งและครึ่งหนึ่งมีอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ    “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา”[46] มีปรากฏ 100 ครั้งโดยครั้งสุดท้ายปรากฏอยู่ในวิวรณ์ 19:6   (“ฮา​เล​ลู​ยา!  เพราะ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าพระเจ้าผู้​ทรง​ฤท​ธิ์ของเรา​ทรง​ครอบ​ครอง​อยู่”[47]   และสุดท้ายคำว่า  “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าพระเจ้า” (Lord God)  เป็นคำผสมของ “ch12 8[48] ซึ่งมีปรากฏมากว่า 550 ครั้ง  และมี  9 ครั้งในวิวรณ์

         คำทั้งหมดนี้รวมกันแล้วมีมากกว่า 1,100 ครั้ง  และทั้งหมดเป็นการอ้างอิงถึงพระยาห์เวห์  ดังนั้นในยอห์น 20:28[49] โธมัสจึงกำลังใช้คำพูดที่ปกติมาก  การใช้ข้อนี้มาพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์นั้นน่าขบขันเพราะจะพิสูจน์ได้อย่างเดียวเท่านั้นคือพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์  ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สอง[50]  ถ้าโธมัสพูดแต่เพียงว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์” แทนที่จะพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”  ก็อาจเป็นส่วนสำคัญที่จะสรุปว่าโธมัสกำลังประกาศความเป็นพระเจ้าของพระเยซู

     ประสบการณ์ที่โธมัสมีก็เป็นประสบการณ์ของผมด้วย  ไม่ว่าผมจะกำลังพูดคุยกับพระเยซูหรือกับพระยาห์เวห์ผมก็กำลังพูดคุยกับคนคนเดียวกัน  ผมได้พูดอยู่กับพระยาห์เวห์มาตลอดโดยไม่รู้ตัว  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้หรือ?  โธมัสมองพระเยซูและกล่าวกับพระยาห์เวห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”   คุณเคยมีประสบการณ์แบบนั้นไหม?  เป็นได้อย่างไรที่การพูดกับพระเยซูก็เหมือนกับการพูดกับพระยาห์เวห์?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “มองผ่าน” พระเยซูได้ในแง่ว่าเมื่อคุณมองที่พระองค์ คุณก็กำลังมองผ่านพระองค์ไปที่พระยาห์เวห์

         หลังจากการคืนพระชนม์แล้วพระเยซูได้รับกายวิญญาณและกายที่ได้รับเกียรติ  เมื่อเหล่าสาวกอยู่ในห้องที่ประตูปิดมิดชิดนั้นพระเยซูทรงปรากฏกับพวกเขาโดยไม่ต้องผ่านประตู  โธมัสไม่ได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้น  ต่อมาเมื่อรู้ว่าโธมัสมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ พระเยซูจึงบอกให้เขาเอานิ้วของเขาแยงรอยตะปูในพระหัตถ์ของพระองค์และแยงที่สีข้างของพระองค์ นั่นคือตอนที่โธมัสอุทานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์!”

     สิ่งนี้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแน่ชัดจากการขยายความหรือการตีความเพียงอย่างเดียวแต่จากประสบการณ์  ผมรู้ว่าโธมัสกำลังหมายถึงอะไรเพราะมันเป็นประสบการณ์ของผมด้วย  ผมหวังว่ามันจะเป็นประสบการณ์ของคุณด้วยเช่นกันเพราะนั่นจะหมายความว่าคุณกำลังสัมพันธ์ถูกคนแล้วและกำลังพูดคุยกับพระยาห์เวห์ ที่บอกว่าเป็นประสบการณ์ของผมก็เพราะเมื่อกลับไปดูพระคัมภีร์เพื่อหาหลักฐานจากพระคัมภีร์เดิม เมื่อผมอ่านพบว่าพระยาห์เวห์พูดคุยกับอาดัม ผมจึงพูดกับตัวเองว่า “ผมก็มีประสบการณ์อย่างนั้นด้วย!”  พระเจ้าพูดคุยกับผมและสัมพันธ์กับผมในแบบเดียวกัน และไม่ใช่แค่ช่วงเวลาเย็น (“เวลาเย็นวันนั้น”)[51] แต่ตลอดทั้งวัน  ผมคิดว่าผมกำลังพูดกับพระเยซูในขณะที่เป็นพระยาห์เวห์มาตลอด

          ผมครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงกระทำในปฐมกาล แม้แต่เรื่องที่พระองค์ทรงปิดประตูเรือให้โนอาห์ ผมพูดกับตัวเองว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้นจริง จากประสบการณ์ของผมแล้วพระเจ้าทรงกระทำสิ่งทั้งหมดนี้เพื่อคุณ  เมื่อผมค้นดูพระคัมภีร์ใหม่ ผมก็เห็นสิ่งคล้ายคลึงกับที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระคัมภีร์เดิม[52]  พระยาห์เวห์จะทรงก้มลงล้างเท้าให้คุณไหม?  คำตอบที่ต้องประหลาดใจก็คือ “พระองค์จะทำแน่นอน”  มันเป็นเรื่องที่น่างงงวย  เพราะถ้ามนุษย์จะล้างเท้าของผมหรือครูของผมจะล้างเท้าให้ผม นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่แล้ว  แต่เราจะนึกไหมว่าพระยาห์เวห์จะทรงทำอย่างนี้ให้เรา?  ความจริงก็คือพระองค์ทรงก้มลงขุดหลุมบนพื้นดินเพื่อฝังร่าง[53]ของโมเสส

         คุณจะเห็นพระองค์ในพระคัมภีร์เดิมผู้ประทับอยู่ในพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่  คำอธิบายตามการตีความเรื่องนี้ก็คือพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาในองค์พระเยซู ทรงแฝงอยู่ในพระกายของพระเยซูเพื่อว่าสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำก็คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำ  ใครเป็นผู้ที่รักษาคนเจ็บป่วยและชุบให้ฟื้นจากตายหรือ?  ตามกิจการ 2:22 นั้นทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำก็ทำโดยพระเจ้าผ่านทางพระองค์    “คือ​พระ​เยซู​ชาว​นา​ซา​เร็ธ​ผู้​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​รับ​รอง​ต่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย โดย​การ​อิทธิ​ฤทธิ์ การ​อัศ​จรรย์​และ​หมาย​สำ​คัญ​ต่างๆ ที่​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ทำ​โดย​พระ​องค์​ท่าม​กลาง​ท่าน​ทั้ง​หลาย”  ที่ผ่านมาผมมัวไปอยู่ที่ไหนเสีย?  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกันไม่ให้ผมอ่านพระคัมภีร์ของผมอย่างถูกต้อง  สิ่งที่พระเยซูกระทำไม่ว่าจะเป็นหมาย​สำ​คัญ​ต่างๆ  การ​อิทธิ​ฤทธิ์ และการ​อัศ​จรรย์ ทุกสิ่งกระทำโดยพระยาห์เวห์กระทำผ่านพระองค์  ใครเป็นผู้เลี้ยงคน 5,000 คน หรือเลี้ยงคน 4,000 คนหรือ?  เป็นพระเยซูหรือพระยาห์เวห์?  ในพระคัมภีร์เดิมพระยาห์เวห์ทรงทำสิ่งที่คล้ายกันนี้แต่ในขนาดที่ใหญ่กว่ามาก การทำการอัศจรรย์ของพระเยซูมีขนาดเล็กมากเมื่อเปรียบกับการอัศจรรย์ขนาดใหญ่มากในถิ่นทุรกันดาร  การเลี้ยงคน 5,000 หรือ 4,000 คนนั้นไม่เหมือนกับการเลี้ยงคนสองล้านในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี  ความมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อจะเปรียบเทียบขนาดกัน แต่เพื่อให้เห็นตามในกิจการ 2:22 ว่าผู้ที่ทำการอัศจรรย์ในพระคัมภีร์ใหม่ก็คือผู้ที่ทำการอัศจรรย์คล้ายๆกันในพระคัมภีร์เดิมแต่ว่าในขนาดที่ใหญ่กว่า

         กลับไปที่ประเด็นเกี่ยวกับการมองทะลุผ่านได้  โธมัสมองดูพระเยซูและสิ่งที่เขาเห็นและพบก็คือพระยาห์เวห์   เขาอุทานว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ และพระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์!”  นี่สำเร็จตามยอห์น 14:9  “คน​ที่​ได้​เห็น​เรา​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา”[54]  เมื่อคุณมองพระเยซูคุณก็เห็นพระบิดา   นี่จะเป็นไปได้ถ้าสามารถมองทะลุผ่านพระเยซูได้ในแง่ว่าเมื่อคุณมองไปที่พระองค์  คุณก็มองทะลุผ่านพระองค์ไปที่พระบิดาผู้ประทับอยู่ข้างในพระองค์  ถ้าจะเปรียบให้ทันสมัย พระเยซูก็เป็นเหมือนกับโทรศัพท์  เมื่อคุณพูดกับโทรศัพท์ คุณก็กำลังพูดกับพระยาห์เวห์ผ่านทางโทรศัพท์  คุณไม่ได้กำลังพูดกับตัวโทรศัพท์แต่กำลังพูดกับใครบางคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก  แล้วคุณยังสามารถโทรศัพท์แบบประชุมกันสองหรือสามคนซึ่งทำให้เรานึกถึงที่พระเยซูตรัส “เพราะ​ว่า​มี​สอง​สาม​คน​ประ​ชุม​กัน​ที่​ไหน​ใน​นาม​ของ​เรา เรา​จะ​อยู่​ท่าม​กลาง​พวก​เขา​ที่​นั่น” (มัทธิว 18:20 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ถ้าโทรศัพท์ของคุณเป็นโทรศัพท์ลำโพง คุณก็จะพูดกับอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนว่าคุณกำลังพูดกับโทรศัพท์  และถ้าโทรศัพท์ของคุณเป็นแบบวีดีทัศน์ ตาของคุณก็จะมองที่โทรศัพท์เพื่อคุณจะได้ยินเสียงของคนอีกฟากหนึ่งและเห็นใบหน้าของเขาด้วย

         ผมไม่คิดว่าการเปรียบพระเยซูกับโทรศัพท์แบบวีดีทัศน์นี้จะเป็นการดูหมิ่นถ้าหากมีความมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นหลักการทางฝ่ายวิญญาณว่าคุณสามารถจะพูดคุยกับพระเยซูและสุดท้ายลงเอยด้วยการพูดคุยกับพระบิดา  และในทำนองเดียวกันที่เมื่อพระบิดาพูดคุยกับคุณก็จะผ่านพระเยซู  ผมไม่สามารถอธิบายถึงประสบการณ์ของผมได้  และโธมัสก็คงไม่สามารถอธิบายถึงประสบการณ์ของเขาได้เช่นกันถ้าไม่ใช้การเปรียบแบบนี้ อัครทูตยอห์นซึ่งเป็นคนยิวก็เป็นผู้เชื่อแท้ว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวอย่างไม่มีข้อสงสัย  และเขาก็คงจะไม่พอใจอย่างแรงถ้าโธมัสได้นมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้า  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ยอห์นจึงได้ใช้เวลาที่จะคงคำสอนของพระเยซูเองในเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไว้ให้เรา (ตัวอย่างเช่น ยอห์น 17:3)[55]

     เมื่อผมตรึกตรองฟีลิปปีบท 2 อีกครั้ง คราวนี้จากมุมมองของประสบการณ์มากกว่าการตีความ  ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์  นั่นคือเหตุที่ผมพูดว่าการสอนของพระคัมภีร์มีสาม “การ” การขยายความ  การตีความ  และการมีประสบการณ์  คุณสามารถศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการขยายความ หรือการตีความ หรือสิ่งที่คุณเข้าใจด้วยประสบการณ์ของคุณ

          เมื่อผมดูฟีลิปปีบท 2 อีกครั้งโดยเฉพาะข้อ 6 (ผู้​ทรง​สภาพ​ของ​พระ​เจ้า แต่​มิได้​ทรง​ถือ​ว่า​การ​เท่า​เทียม​กับ​พระ​เจ้า​นั้น​เป็น​สิ่ง​ที่​จะต้อง​ยึดถือ​” ฉบับ 1971)   ผมคิดว่าผมสามารถจะเขียนหนังสือได้หนึ่งเล่มเกี่ยวกับพระเยซูในชื่อ “มนุษย์ผู้ไม่ต้องการเป็นพระเจ้า”[56]  ชื่อเรื่องแบบนี้เป็นยังไง?  ประเด็นทั้งหมดของข้อนี้ก็คือว่าพระเยซูไม่เคยต้องการที่จะเป็นพระเจ้าหรือเท่าเทียมกับพระเจ้า   เราจะเข้าใจฟีลิปปี 2:6 ได้ดีเฉพาะในกรณีที่พระเยซูเป็นมนุษย์  แต่จะไม่สามารถเข้าใจได้ดีนักถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ต้องการจะเป็นพระเจ้า  แต่นี่ก็คือสิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำลังบอก   ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนเชื่อว่าพระเยซูพยายามจะหยุดความเป็นพระเจ้าชั่วคราวโดยการทิ้งพระเกียรติของพระองค์ แต่ผมไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร  นั่นไม่ใช่ประเด็นของพระคัมภีร์ตอนนี้   พระคัมภีร์ตอนนี้จะเข้าใจได้ดีก็เมื่อเราเข้าใจว่าพระเยซูผู้เป็นมนุษย์นี้ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นพระเจ้า

     ผมรู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ของผมเองแม้ว่ามันจะเข้าใจได้ยากด้วยสติปัญญา  บางครั้งประสบการณ์ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่สติปัญญามองไม่เห็น  เราอาจมีประสบการณ์บางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยปัญญาของเรา  เมื่อผมดูฟีลิปปี 2:6 จากมุมมองของประสบการณ์  ผมก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ว่าพระเยซูจะทรงเป็นพระเจ้าหรือเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้า  มันเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ด้วยสติปัญญา  แต่เราก็สามารถรู้ความจริงในเรื่องนี้จากประสบการณ์ของเรา

         ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้ข้อ ดังเช่น ยอห์น 20:28 และสรุปจากข้อนี้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าแม้มันจะไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่อย่างใดเลย  ถ้าจะมีการพิสูจน์ใดๆถึงการเป็นพระเจ้าของพระองค์ มันก็จะพิสูจน์ได้แต่เพียงว่าพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์  ไม่มีอะไรในข้อนี้เลยที่ช่วยสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพเพราะว่าหลักคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพสอนว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองและพระองค์ไม่ใช่พระยาห์เวห์

         พระเยซูไม่ได้สนพระทัยการเป็นพระเจ้าแม้แต่น้อยแม้เราร้อนใจที่จะทำให้พระองค์เป็นพระเจ้าก็ตาม  ถ้าคุณค้นดูฟีลิปปีบท 2 สิ่งสำคัญที่คุณจะเห็นก็คือพระองค์ต้องการจะลงไปให้ต่ำและต่ำสุดเท่าที่จะเป็นได้  นอกจากพระองค์ไม่ปรารถนาจะเป็นพระเจ้าแล้ว  พระองค์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตของพระองค์เองเหมือนที่มนุษย์เป็น  พระองค์ทรงเชื่อฟังพระบิดา พระองค์ทรงมุ่งไปที่กางเขน  ทรงลงไปต่ำลงๆเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่จุดต่ำสุด ซึ่งตรงข้ามกับนิสัยมนุษย์เราอย่างสิ้นเชิงที่พยายามจะปีนป่ายให้สูงขึ้นและสูงขึ้นเพื่อจะได้เกียรติและความนับหน้าถือตา

         ถ้าผมจะเป็นผู้ที่มองทะลุผ่านได้เหมือนกับพระเยซูละก็ เมื่อมีใครมองมาที่ผม เขาก็จะไม่เห็นตัวผมแต่จะมองผ่านตัวผมไป  คนจีนมีคำพูดว่า “เขาพูดกับผมเหมือนผมไม่มีตัวตน”  มันเป็นการหยามหน้าเมื่อมีใครมองคุณแล้วผ่านเลยคุณไปมองคนอื่น   ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งเมื่อมีคนมองผ่านตัวคุณแล้วเห็นพระเจ้ากับพระเยซู  ผมอยากให้มีคนพูดกับผมว่า “วันก่อนผมมองคุณแล้วผมเห็นพระเยซู ผมมองไม่เห็นคุณ” ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะวิเศษทีเดียว!  พระเยซูก็ทรงเป็นแบบนั้น  ผมคิดว่างานรับใช้ของเราจะมีประสิทธิภาพมากถ้าคุณยืนอยู่บนธรรมาสน์แล้ว “หายตัวไป” โดยที่คนจะเห็นแต่พระเยซู   อาทิตย์ต่อมาพวกเขาจะพูดว่า  “ลืมไปแล้วว่าใครคือนักเทศน์  แต่ผมจำได้ว่าเป็นพระเยซูที่ตรัสกับผม”

          ลักษณะที่ไม่เหมือนใครของพระเยซูก็คือเมื่อคนได้สัมพันธ์กับพระองค์ พวกเขาก็พบว่าตัวเองกำลังสัมพันธ์กับพระเจ้าและกำลังพูดกับพระองค์   ผมได้พูดกับพระยาห์เวห์มาตลอดชีวิตของผมและผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ  ต่อมาเมื่อผมได้อ่านคำของโธมัสผมจึงพูดว่า “นั่นเป็นประสบการณ์ของผมเช่นกัน!”   ผมคิดว่าผมกำลังพูดกับพระเยซูในเมื่อความเป็นจริงแล้วผมกำลังพูดกับพระยาห์เวห์   “โธ​มัส​ทูล​พระ​องค์​ว่า....” (ยอห์น 20:28) โธมัสกำลังส่งถ้อยคำของเขากับพระเยซู   แต่ว่าเขากำลังพูดกับพระยาห์เวห์  สรรเสริญพระองค์และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า

เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา

          คราวก่อนเราดูยอห์น 17:5 “และบัด​นี้​ข้า​แต่​พระ​บิดา ขอ​​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติสิริ​ต่อ​หน้าพระ​องค์ คือ​เกียรติสิริ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์ตั้งแต่​ก่อน​​โลก​เริ่มขึ้น” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  หลายคนสรุปจากข้อนี้ว่าพระเยซูกำลังแสวงหาเกียรติของพระองค์เอง  แต่นี่ทำให้ผมตกใจเพราะมันตรงกันข้ามกับพระเยซูที่ผมรู้จัก  ตรงนี้แหละที่ประสบการณ์จะเข้ามาเกี่ยวข้องและช่วยการตีความของคุณให้เป็นกลาง  เมื่อคุณอ่านยอห์น 17:5  คุณรู้สึกไหมว่านั่นไม่ใช่พระเยซูที่เรารู้จัก?  พระเยซูที่เรารู้จักจะไม่แสวงหาเกียรติของพระองค์เอง   แต่ข้อนี้ดูเหมือนกำลังพูดว่าที่จริงพระองค์ทรงแสวงหาเกียรติของพระองค์เอง

          เมื่อผมตรวจสอบการใช้คำ “เกียรติ” ของยอห์น  ผมพบว่ายอห์นไม่ได้กำลังพูดถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเขากำลังพูดเช่นนั้น  คุณเคยมีประสบการณ์จากการอ่านข้อความในพระคัมภีร์และรู้สึกว่ามันหมายถึงสิ่งที่ต่างจากการตีความตามแบบของข้อความนั้นไหม?  คนส่วนใหญ่สรุปจากยอห์น 17:5  ว่าพระเยซูกำลังแสวงหาเกียรติของพระองค์เอง   นี่เป็นข้อสรุปที่แม้แต่กับในหมู่ผู้ที่รู้ว่าพระเยซูไม่ได้ต้องการจะเป็นพระเจ้า  เรารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกับการแปลความหมายของเรา  แต่เราก็ไม่สามารถจะหาข้อผิดพลาดได้

          คราวก่อนผมได้พูดถึงคำนาม “ch12 9[57] (เกียรติ) แต่ไม่ได้พูดถึงคำกริยา “ch12 10[58] (ได้รับเกียรติ)   คำกริยานี้ในยอห์นปรากฏบ่อยครั้งกว่าคำนาม  ให้เราดูยอห์น 1:14  และดูว่าเรามักจะเข้าใจความคิดของยอห์นผิดๆในเรื่องเกียรติอย่างไร  “พระ​วาทะ​ทรง​เกิด​เป็น​มนุษย์​และ​​ประทับอยู่​ท่าม​กลาง​เรา  พระ​องค์ทรงเปี่ยมด้วย​พระ​คุณ​และ​ความ​จริง    เราได้​เห็น​พระ​เกียรติสิริ​ของ​พระ​องค์   คือพระเกียรติ​สิริ​ของ​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ผู้ทรงมาจาก​พระบิดา” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         “เราได้​เห็น​พระ​เกียรติสิริ​ของ​พระ​องค์” แต่มีที่ไหนในพระกิตติคุณยอห์นหรือที่เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเยซู?  พระกิตติคุณยอห์นมี 21 บท   จากบท 12 เป็นต้นไปเป็นส่วนที่ยาวซึ่งใช้เนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของพระกิตติคุณนี้ ยอห์นพูดถึงความทุกข์ทรมานและความตายของพระคริสต์  ดังนั้นเราจะเห็นพระเกียรติสิริของพระเยซูได้ที่ไหนในพระกิตติคุณยอห์นหรือ?      เมื่อยอห์นกล่าวว่า  “เราได้​เห็น​พระ​เกียรติสิริ​ของ​พระ​องค์” เขากำลังกล่าวถึงการจำแลงพระกายไหม?  แต่มันไม่ได้มีเรื่องราวของการจำแลงพระกายในพระกิตติคุณของยอห์นแม้ว่าเรื่องนี้จะพบอยู่ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก

       ยอห์นกำลังหมายถึงการอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ไหม?  แต่ว่าการอัศจรรย์เหล่านั้นพระบิดาเป็นผู้ทำผ่านพระเยซู   “พระเกียรติ” ในยอห์น 2:11 ถูกนำมาใช้ในการอ้างอิงถึงการเปลี่ยนน้ำให้เป็นน้ำองุ่น[59]  แต่ท้ายที่สุดแล้วเกียรติเป็นของพระบิดา   ในยอห์น 11:40 พระเยซูตรัสกับมารธาว่า “เรา​บอก​เจ้า​แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่าถ้า​เจ้า​เชื่อ เจ้า​จะ​​เห็น​พระเกียรติสิริ​ของ​พระ​เจ้า?”[60]  เมื่อการทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึ้นนั้นเป็นการสำแดงพระเกียรติของพระเยซูหรือว่าพระเกียรติของพระเจ้า? แง่มุมของการมองทะลุผ่านได้ก็มีขึ้นอีกครั้งคือที่พระเกียรติของพระเยซูเผยให้เห็นพระเกียรติของพระเจ้า

        ถ้าคุณจะค้นพระกิตติคุณยอห์นอย่างละเอียดคุณจะไม่พบสิ่งที่มาอธิบาย “เราได้​เห็น​พระ​เกียรติสิริ​ของ​พระ​องค์” คราวก่อนเราได้เห็นว่าพระ​เกียรติของ​พระคริสต์ก็คือ​เกียรติในความตายของ​พระองค์และการที่พระองค์ถูกยกขึ้นบนกางเขน  สิ่งนี้ไม่ใช่​เกียรติแบบ​ที่เราคาดหวัง  ไม่เพียงแต่พระเยซูจะไม่ต้องการเป็นพระเจ้า  พระองค์ก็ไม่ต้องการ​เกียรติ​ใดๆเพื่อตัวของ​พระองค์เองนอกจาก​เกียรติของ​การถูกยกขึ้นบนกางเขน   นี่แหละคือพระเยซูที่ผมรู้จัก!

     พระเยซูผู้แสวงหาเกียรติของพระองค์เองดังที่คนจำนวนมากตีความพระองค์ในยอห์น 17:5 นั้นไม่ใช่พระเยซูที่ผมรู้จัก  เมื่อผมได้ตรวจสอบความหมายของ “เกียรติ” ในยอห์น ผมจึงเข้าใจว่าเกียรติที่พระเยซูทรงแสวงหาก็คือเกียรติในแผนการนิรันดร์ของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดของมวลมนุษย์  นั่นคือเกียรติจากความตายของพระองค์และการที่พระองค์ถูกยกขึ้นบนกางเขน

     ความสำคัญของการมีประสบการณ์เห็นได้จากการเตือนให้ผมเห็นสิ่งผิดปกติในวิธีที่เราแปลความยอห์น 17:5 ผมจึงทำการตีความเพื่อให้ประสบการณ์อยู่บนรากฐานที่แน่นของพระคัมภีร์  เราเริ่มจากประสบการณ์ไปหาการตีความ ไปหาการขยายความ   สาม “การ” ที่ทำกลับลำดับกัน

     ผมตรวจดูคำ “ch12 10” (ได้รับเกียรติ) และพบว่ามีปรากฏ 23 ครั้งในพระกิตติคุณยอห์นซึ่งบ่อยครั้งกว่าเล่มใดในพระคัมภีร์ใหม่  เล่มต่อมาที่มีปรากฏบ่อยสุดคือลูกาซึ่งมีปรากฏ 9 ครั้ง  เล่มต่อมาคือโรมซึ่งมีปรากฏ 5 ครั้ง   ดังนั้นคำกริยา “ch12 10” (ได้รับเกียรติ) จึงเป็นคำศัพท์พิเศษของยอห์นและมีความหมายพิเศษในยอห์น   ทั้ง “ch12 9“(เกียรติ) และ “ch12 10”(ได้รับเกียรติ) จะพบในยอห์น 17:5

          ความเชื่อมโยงกันระหว่างเกียรติและความตายจะเห็นในช่วงก่อนหน้านี้ในยอห์น 11:4  เกี่ยวกับความตายของลาซารัส  “โรค​นี้​จะ​ไม่​ถึง​ตาย (ยังไม่ถึงที่สุด) แต่​เกิด​ขึ้นเพื่อ​เชิด​ชู​พระ​เกียรติ​ของ​พระ​เจ้า เพื่อ​ให้​พระ​บุตรของ​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​เพราะ​โรค​นี้” (ฉบับมาตรฐาน 2011)  ความคิดของยอห์นเรื่องเกียรติไม่ได้ใช้กับพระเยซูเท่านั้นแต่ใช้กับลาซารัสในกรณีนี้ด้วย  จงสังเกตความเชื่อมโยงที่แยกกันไม่ได้ระหว่างพระเกียรติของพระเจ้ากับพระเกียรติของพระบุตรของพระเจ้า  เพราะการถวายพระเกียรติพระเจ้าก็คือการถวายพระเกียรติพระบุตร   การถวายพระเกียรติพระบุตรก็คือการถวายพระเกียรติพระเจ้า

          การปรากฏ 20 จาก 23 ครั้งของคำ “ได้รับเกียรติ” ในยอห์นจะอยู่ในครึ่งหลังของพระกิตติคุณ เริ่มต้นจากบท 12  ส่วนทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายของพระเยซูซึ่งเป็นพระเกียรติสิริของพระองค์  ตัวอย่างเช่น ยอห์น 12:16 กล่าวว่า “ตอนแรก​เหล่า​สา​วก​ไม่​เข้า​ใจ​เหตุ​การณ์​ทั้งหมดนี้ แต่​เมื่อพระ​เยซู​ทรง​ได้รับ​พระเกียรติสิริ​แล้ว พวกเขา​จึง​ตระหนัก​ว่า​สิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้เกี่ยวกับ​​พระ​องค์ และ​พวก​เขาได้กระ​ทำ​เช่นนั้นถวาย​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ข้อนี้พูดถึงพระ​เกียรติของพระเยซูในแง่ของการทุกข์ทรมานและความตายในเงื้อมมือศัตรูของพระองค์ เกียรติแบบนี้แตกต่างกันมากจากความหมายของ “เกียรติ” ตามที่มักจะเข้าใจกัน   มันไม่ใช่เกียรติที่มนุษย์ยกย่อง  เพราะมันมาจากการที่พระเยซูทรงถูกยกขึ้นบนกางเขน (ยอห์น 3:14)

      พระเยซูตรัสว่า “ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​บุตร​มนุษย์​จะ​ได้​รับ​พระ​เกียรติสิริ  เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ว่า ถ้า​เมล็ด​ข้าวสาลี​ไม่​ได้​ตก​ลงไปใน​ดิน​และ​ตาย​ไป ก็​จะ​คง​อยู่เพียง​เมล็ด​เดียว แต่​ถ้า​ตาย​​แล้ว​ก็​จะ​​เกิด​ผลให้มีเมล็ดอื่นๆ​มากมาย” (ยอห์น 12:23-24 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  ตรงนี้เราเห็นเกียรติของบุตรมนุษย์เกี่ยวข้องกับความตายของพระองค์  เกียรตินี้ยังมาจากการเกิดผลมากฝ่ายวิญญาณของพระองค์ด้วย  และผลที่ตามมานั้นเป็นการถวายเกียรติพระบิดา  “เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ก็เป็นการถวายเกียรติแด่พระบิดาของเรา และเป็นการสำแดงว่าตัวท่านเองคือสาวกของเรา”  (ยอห์น 15:8 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

     พระเยซูยังตรัสว่า “บัดนี้​บุตร​มนุษย์​ได้​รับ​เกียรติสิริ​แล้ว  และ​พระ​เจ้า​ทรง​ได้​รับ​พระ​เกียรติสิริ​เพราะ​บุตร​มนุษย์ด้วย  ถ้า​พระ​เจ้า​ทรง​ได้​รับ​พระ​เกียรติสิริ​เพราะ​บุตร​มนุษย์  พระ​เจ้าเอง​ก็​จะ​ทรง​ให้​บุตร​มนุษย์​ได้รับ​เกียรติสิริ​ ​และพระองค์​จะ​ทรง​ให้​บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติสิริ​ในทันที” (ยอห์น 13:31-32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)”  บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติและพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติในบุตร​มนุษย์ เกียรติของคนหนึ่งก็เป็นเกียรติของอีกคนหนึ่งเพราะพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระกายของพระเยซู ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรมนุษย์ก็เกิดขึ้นกับพระยาห์เวห์ด้วย

     ความคิดของยอห์นเรื่องเกียรติจะแตกต่างจากของเรา  ถ้าเราใช้ข้อดังเช่นยอห์น 17:5[61] นี้นอกบริบท เราก็จะแปลความให้หมายความว่าพระเยซูกำลังแสวงหาเกียรติของพระองค์เอง แต่ขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าภาพของพระเยซูนี้ไม่สอดคล้องกับความถ่อมพระทัยของพระองค์ พระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับพระบิดาเป็นคำอธิษฐานของมหาปุโรหิตว่า “ถึงเวลาแล้ว เวลานี้ที่ข้าพระองค์เฝ้ารอ  ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติตามแผนการที่พระองค์ทรงมีก่อนที่โลกนี้มีมา  เพราะบุตรมนุษย์ได้ถูกประหารตั้งแต่แรกสร้างโลก” พระเยซูไม่สามารถจะตรึงพระองค์เองได้ พระองค์จึงมอบพระองค์เองไว้กับพระบิดาเพื่อเป็นเครื่องบูชา ที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องของอับราฮัมและการถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา

         มีข้อที่คล้ายกันนี้อีกมาก  คำ “ch12 10” (doxazō, ถวายเกียรติ[62]) ที่ปรากฏ 20 ครั้งในยอห์นบท 12 เป็นต้นไปนั้น คุณสามารถอ่านข้อเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง  คำนี้ปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อใช้กับเปโตรในยอห์น 21:19  “พระเยซู​ตรัส​เช่น​นี้​เพื่อ​บ่งบอก​ว่า​เป​โตร​จะ​ถวาย​พระ​เกียรติสิริ​แด่​พระ​เจ้า​ด้วย​การ​ตาย​อย่างไร แล้วพระ​องค์​​ตรัส​กับ​เขา​ว่า ‘จง​ตาม​เรา​มา​เถิด!’”[63]   การตายของเปโตรจะถวายเกียรติพระเจ้า  ถ้าไม่มีการตายก็ไม่มีการถวายเกียรติพระเจ้า  วิธีที่จะถวายเกียรติพระเจ้าก็คือการตายเพื่อพระองค์  พระเยซูจึงบอกเปโตรให้ตามพระองค์ไปในทางที่พระองค์ไปมาก่อนแล้ว

     คุณเห็นความดีงามของพระเยซูไหม?  คุณเข้าใจพระองค์ไหม? เราแทบจะไม่เข้าใจพระองค์เพราะว่าเราเต็มไปด้วยเนื้อหนัง  แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เราก็จะเข้าใจพระองค์ได้ไม่ยาก  พระองค์ไม่ต้องการจะเป็นพระเจ้า  เกียรติเพียงอย่างเดียวที่พระองค์เสาะหาสำหรับพระองค์เองก็คือเกียรติในการตายบนกางเขน  จากนั้นพระองค์ได้สอนสาวกของพระองค์ให้เดินตามรอยพระองค์

         เราเข้าใจความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดาไหม?  ในแง่ของหลักคำสอนผมไม่สามารถจะอธิบายได้  แต่ในแง่ของประสบการณ์ผมเข้าใจได้อย่างดี  คุณเองก็ต้องยืนยันว่าคำกล่าวของโธมัสเป็นความจริงในประสบการณ์ของคุณเองหรือไม่

          เกียรติของพระเยซูไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนอกจากว่าเป็นเกียรติของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ในพระองค์  พระเยซูได้รับเกียรติด้วยเกียรติของพระบิดาโดยการสถิตอยู่ของพระบิดา นั่นก็คือโดยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ในพระกายของพระเยซู  การสถิตอยู่ภายในนี้ทำให้เราแยกได้ยากว่าคนไหนเป็นคนไหน  เพราะพระบิดาและพระบุตรแยกจากกันไม่ได้และแยกไม่ออกในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่เห็นจากคำพูดว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30)  เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้เองจึงทำให้เมื่อคุณสัมพันธ์กับคนนี้คุณก็จะสัมพันธ์กับอีกคนหนึ่งด้วย

     นี่เป็นเรื่องของประสบการณ์  ผมคิดว่าหลักคำสอนจะไม่สามารถระบุสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน  การที่พระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ (และเพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้า) ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู  มันไม่ได้ลดคุณค่าของพระองค์ที่มีกับเรา  เพราะถ้าไม่มีพระเยซูเราก็ไม่สามารถจะมาหาพระยาห์เวห์พระบิดาของเราได้  พระยาห์เวห์ตรัสกับเราในและทางพระเยซู  พระเยซูทรงเป็นตัวเชื่อมต่อที่ขาดไม่ได้ระหว่างเรากับพระยาห์เวห์   จะมีอะไรสำคัญมากกว่านั้นไหม?


[1] โคหนุ่ม

[2] Ba’al

[3] อพยพ 32:4  เมื่อ​อา​โรน​ได้​ทอง​คำ​จาก​พวก​เขา​แล้ว จึง​ใช้​เครื่อง​มือ​หล่อ​ทอง​คำ​เป็น​รูป​โค​หนุ่ม แล้ว​เขา​ทั้ง​หลาย​ประ​กาศ​ว่า “โอ อิส​รา​เอล สิ่ง​เหล่า​นี้​แหละ​เป็น​พระ​ของ​เจ้า ซึ่ง​นำ​เจ้า​ออก​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[4] อพยพ 32:19-20 “พอ​โม​เสส​เข้า​มา​ใกล้​ค่าย ได้​เห็น​รูป​โค​และ​คน​เต้น​รำ โทสะ​ของ​โม​เสส​ก็​เดือด​พลุ่ง​ขึ้น ท่าน​โยน​แผ่น​ศิลา​ใน​มือ​ทิ้ง​ตก​แตก​เสีย​ที่​เชิง​ภูเขา​นั่น​เอง  แล้ว​ท่าน​เอา​รูป​โค​ที่​พวก​เขา​ทำ​ไว้​ไป​เผา​เสีย และ​บด​เป็น​ผง​โรย​ลง​ใน​น้ำ และ​บัง​คับ​ให้​คน​อิส​รา​เอล​ดื่ม” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[5] 天子 (Son of Heaven)  หรือ “ตามบัญชาจากสวรรค์”

[6] Queen of Heaven

[7] 2 พงศาวดาร 36:21 “เพื่อให้​สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ผ่านปากของเยเรมีย์ จนกว่าแผ่นดินได้พักตามสะบาโต​ที่ควรมี คือตลอดวัน​เวลา​ที่​ถูก​ทิ้ง​ร้าง​นั้น มัน​ได้​พัก​ตาม​สะ​บา​โต จน​ครบ​กำ​หนด​เจ็ด​สิบ​ปี” (ฉบับมาตรฐาน 2011)   

เยเรมีย์ 29:10  “เพราะ​พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า ‘เมื่อ​ครบ 70 ปี​แห่ง​บา​บิ​โลน​แล้ว เรา​จะ​เยี่ยม​เยียน​พวก​เจ้า​และ​จะ​ให้​คำ​สัญ​ญา​ของ​เรา​สำเร็จ​เพื่อ​เจ้า​และ​จะ​นำ​เจ้า​กลับ​มา​สู่​สถาน​ที่​นี้’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) –ผู้แปล

[8] “Shema”

[9] แปลตามต้นฉบับภาษาฮีบรู  แต่คำแรกในพระคัมภีร์ภาษาไทยจะเป็น “โอ คนอิสราเอล”  เช่น “โอ คน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด พระ​ยาห์​เวห์ พระ​ยาห์​เวห์​เท่า​นั้น​ทรง​เป็น​พระ​เจ้าของ​เรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)​ -ผู้แปล

[10] “ห้าม​สาบาน​ออก​นาม​ของ​เรา​เป็น​ความ​เท็จ ทำ​ให้​พระ​นาม​พระ​เจ้า​ของ​เจ้า​เป็น​ที่​เหยียด​หยาม เรา​คือ​ยาห์​เวห์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[11] “Adonai” หรือ “องค์เจ้านาย” (“Lord”) (ผู้แปล)

[12] Septuagint พระคัมภีร์เดิมภาษากรีกที่แปลมาจากต้นฉบับพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู (ผู้แปล)

[13] 1 โครินธ์ 1:3 “ขอ​พระ​คุณ​และ​สันติ​สุข​จาก​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​เรา และ​จาก​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ดำ​รง​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[14] ยอห์น 8:11  นาง​ทูล​ว่า “ท่าน​เจ้า​ข้า ไม่​มี​ใคร​เลย” ฉบับมาตรฐาน 2011 ( She said, "No one,  Lord."  John 8:11 NAU)-ผู้แปล

[15] “After I have become old, shall I have pleasure,  my lord being old also?" Genesis 18:12 NAU)

ปฐมกาล 18:12 ว่า “ฉะนั้นนางซาราห์จึงหัวเราะในใจพูดว่า ข้าพเจ้าแก่แล้ว  นายของข้าพเจ้าก็แก่ด้วย”(ฉบับไทยคิงเจมส์) -ผู้แปล

[16]  1 เปโตร 3:6 “เช่น​นาง​ซา​ราห์​เชื่อ​ฟัง​อับ​รา​ฮัม​และ​เรียก​ท่าน​ว่า​นาย   ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ประ​พฤติ​ดีและ​ไม่​มี​ความ​หวาด​กลัว​สิ่ง​ใด  พวก​ท่าน​ก็​เป็น​บุตร​หลาน​ของ​นาง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[17]  ปฐมกาล 18:12 “ฉะนั้นนางซาราห์จึงหัวเราะในใจพูดว่า ข้าพเจ้าแก่แล้ว  นายของข้าพเจ้าก็แก่ด้วย  ข้าพเจ้าจะมีความยินดีอีกหรือ” (ฉบับไทยคิงเจมส์)

ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ในเมื่อฉันแก่แล้ว  สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันจะยังมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ” (ผู้แปล)

[18] John 4:15 The woman said to Him, "Sir, give me this water, so I will not be thirsty nor come all the way here to draw."    

(ยอห์น 4:15 นาง​ทูล​พระ​องค์​ว่า “ท่าน​เจ้า​คะ  ขอ​น้ำ​นั้น​ให้​ดิ​ฉัน​เถิด เพื่อ​ดิ​ฉัน​จะ​ได้​ไม่​กระ​หาย​อีก และ​จะ​ได้​ไม่​ต้อง​มา​ตัก​ที่​นี่”)

John 4:49 The royal official said to Him, "Sir, come down before my child dies." (ยอห์น 4:49 ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดมาก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะตาย” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[19]  อิสยาห์ 44:6 “พระ​ยาห์​เวห์ ผู้ทรงเป็นองค์​กษัตริย์​และผู้​ไถ่​ของ​อิส​รา​เอล พระ​ยาห์​เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัส​ดัง​นี้​ว่า “เรา​เป็น​ปฐม​และ​เรา​อวสาน นอกเหนือ​จาก​เรา​แล้ว​ไม่​มี​พระ​เจ้าอื่นใด” (อมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

อิสยาห์ 44:8  “มี​พระ​เจ้า​อื่น​ใดนอก​จาก​เรา​หรือ? ไม่มีเลย ไม่​มี​พระ​ศิลา​อื่นใดอีก เรา​ไม่​​รู้​จัก​สักองค์เดียว” (อมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[20] ฉบับไทยคิงเจมส์แปลตรงภาษากรีกและอังกฤษว่า “การพูดภาษาต่างๆ” (ผู้แปล)

[21] จากคำภาษาจีน “人” อ่านว่า “เหริน”

[22]  观音 (Guanyim)

[23]  关公 (Guangong) เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ (ผู้แปล)

[24] ฉบับมาตรฐาน 2011  แปลมัทธิว 6:24 ว่า “ไม่​มี​ใคร​เป็น​ข้า​สอง​เจ้า บ่าว​สอง​นาย​ได้ เพราะ​ว่า​เขา​จะ​ชัง​นาย​ข้าง​หนึ่ง และ​รัก​นาย​อีก​ข้าง​หนึ่ง หรือ​เขา​จะ​นับ​ถือ​นาย​ฝ่าย​หนึ่ง และ​ดู​หมิ่น​นาย​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​รับใช้​พระ​เจ้า​และ​เงิน​ทอง​พร้อม​กัน​ไม่​ได้”

[25] แปลว่า “ผู้เป็นเจ้าหรือนาย” “25

[26] Henotheism       

[27] หรือ “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย”

[28] 1 โครินธ์ 11:3  “ขอ​ให้​ท่าน​ตระหนัก​ว่าพระ​คริสต์​ทรง​เป็น​ศีรษะ​ของ​ชาย​ทุก​คน และ​ชาย​เป็น​ศีรษะ​ของ​หญิง และ​พระ​เจ้าทรง​เป็น​​ศีรษะของ​พระ​คริสต์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

[29] Clover leaf

[30] St. Patrick

[31] Monotheism

[32] Exegesis

[33] Eisegesis (หรือ การตีความเกินจากตัวบท) -ผู้แปล

[34] ฉบับมาตรฐาน 2011

[35] ต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้ “สาม E’s” เพราะทั้งสามคำขึ้นต้นด้วยคำที่เหมือนกันว่า “ex” (exposition, exegesis and experience) -ผู้แปล

[36] 1 เปโตร 2:7  “เพราะ​ฉะนั้น พระองค์ทรง​มีค่ามหาศาล​สำหรับพวกท่าน​ที่เชื่อ แต่​สำหรับคนทั้งหลาย​ที่ไม่เชื่อนั้น ศิลา​ที่ช่างก่อสร้างปฏิเสธไม่​เอา​แล้ว ศิลา​นี้​กลับ​กลาย​เป็น​ศิลา​มุม​เอก” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[37] “ทู โมนู เธอู”

[38] “โมโนเธอิสซึ่ม” (ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว) -ผู้แปล

[39] “the praise that comes from only God ” (NIV) หรือ “the one and only God” (NAU) -ผู้แปล

[40]  “Shema” (“จงฟัง” จากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4) -ผู้แปล

[41] 1 ทิโมธี 2:5 “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวและมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

1 Timothy 2:5 For there is one God, and one mediator also between God and men, the man Christ Jesus; (NAU) -ผู้แปล

[42] 1 โครินธ์ 15:45  ดัง​ที่​เขียน​ไว้​ว่า “มนุษย์คน​แรก​คือ​อา​ดัม จึง​เป็น​ผู้​มี​ชีวิต”  แต่​อา​ดัม​สุดท้าย​นั้น​เป็น​วิญ​ญาณ​ผู้​ประ​ทาน​ชีวิต (ฉบับมาตรฐาน  2011) -ผู้แปล

[43]My Lord and my God” หมายถึง “พระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์”  เช่น สดุดี 35:23  “ขอทรงตื่นและลุกขึ้นปกป้องข้าพระองค์  พระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์  ขอทรงต่อสู้เพื่อข้าพระองค์ด้วยเถิด”  ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย  (Stir up Yourself, and awake to my right And to my cause, my God and my Lord, Ps. 35:23 NAU) -ผู้แปล

[44]Lord God” หมายถึง “พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย”  เช่น ปฐมกาล 15:8 อับ​ราม​ทูล​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ยาห์​เวห์​องค์​เจ้า​นาย  ข้า​พระ​องค์​จะ​ทราบ​ได้​อย่าง​ไร​ว่า จะ​ได้​ดิน​แดน​นี้​เป็น​กรรม​สิทธิ์?”  ฉบับมาตรฐาน 2011  (He said, "O Lord GOD, how may I know that I will possess it?",  Gen. 15:8 NAU) -ผู้แปล

[45]The Lord your God” หมายถึง “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”  เช่น เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6 ‘เรา​คือ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เจ้า ผู้​ได้​นำ​เจ้า​ออก​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์​คือ​ออก​จาก​แดน​ทาส’ ฉบับมาตรฐาน 2011  ('I am the LORD your God who  brought you out of the land of Egypt, out of the house of slavery,  Deut. 5:6  NAU)  -ผู้แปล

[46]The Lord our God” หมายถึง “พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เรา”  เช่น สดุดี  99:5 จง​ยก​ย่อง​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เรา จง​นมัส​การ​ที่​แท่น​รอง​พระ​บาท​ของ​พระ​องค์  พระ​องค์​บริ​สุทธิ์” ฉบับมาตรฐาน 2011  (Exalt the LORD our God And worship at His footstool; Holy is He,  Ps. 99:5 NAU) -ผู้แปล

[47] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย  (จาก Revelation 19:6  "Hallelujah! For the Lord our God, the Almighty, reigns. NAU) -ผู้แปล

[48] จากคำกรีก  “kurios”  กับ  “theos” (ผู้แปล)

[49] ยอห์น 20:28 โธ​มัส​ทูล​พระ​องค์​ว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ และพระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล

[50] a second person  ในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (ผู้แปล)

[51] ปฐมกาล 3:8-9  เวลา​เย็น​วัน​นั้น เขา​ทั้ง​สอง​ได้​ยิน​เสียง​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​เสด็จ​ดำเนิน​อยู่​ใน​สวน ชาย​นั้น​กับ​ภรรยา​ของ​เขา​ก็​ซ่อน​ตัว​อยู่​ใน​หมู่​ต้นไม้​กลาง​สวน ให้​พ้น​จาก​พระ​พักตร์​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า  พระ​ยาห์เวห์​พระ​เจ้า​ทรง​เรียก​ชาย​นั้น​และ​ตรัส​ถาม​เขา​ว่า “เจ้า​อยู่​ที่​ไหน?

[52] ที่พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก (ผู้แปล)

[53] เฉลยธรรมบัญญัติ 34:5-6  ดัง​นั้น​โมเสส​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระ​ยาห์​เวห์ จึง​สิ้น​ชีวิต​ที่​นั่น​ใน​แผ่น​ดิน​โม​อับ ตาม​พระ​ดำ​รัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์ และพระ​องค์​ทรง​ฝัง​ท่าน​ไว้​ใน​หุบ​เขา​ใน​แผ่น​ดิน​โม​อับ​ตรงข้าม​เบธ​เป​โอร์​จน​ถึง​ทุก​วัน​นี้​ไม่​มี​ใคร​รู้​จัก​ที่​ฝัง​ศพ​ของ​ท่าน (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล

[54] ยอห์น 14:9 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ฟีลิป เรา​อยู่​กับ​ท่าน​นาน​ถึง​ขนาด​นี้​แล้ว​ท่าน​ยัง​ไม่​รู้​จัก​เรา​อีก​หรือ? คน​ที่​ได้​เห็น​เรา​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา ท่าน​จะ​พูด​ได้​อย่าง​ไร​อีก​ว่า ‘ขอ​สำ​แดง​พระ​บิดา​ให้​พวก​ข้า​พระ​องค์​เห็น?” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล

[55] ยอห์น 17:3  “และ​นี่​แหละ​คือ​ชีวิต​นิรันดร์ คือ​การ​ที่​พวก​เขา​รู้​จัก​พระ​องค์ ผู้​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​เที่ยง​แท้​องค์​เดียว และ​รู้​จัก​พระ​เยซู​คริสต์​ที่​พระ​องค์​ทรง​ใช้​มา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[56] “The man who didn’t want to be God”

[57] doxa

[58] doxazō

[59] ยอห์น 2:11 “พระ​เยซู​ทรงกระ​ทำสิ่งนี้ซึ่งเป็นหมาย​สำ​คัญ​ครั้ง​แรกของพระองค์​ที่​หมู่​บ้าน​คา​นา​ใน​แคว้น​กา​ลิลี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้​ทรง​สำแดง​พระเกียรติ​สิริ​ของ​พระ​องค์  และเหล่าสา​วก​ของ​พระ​องค์​ก็​มีความเชื่อใน​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)-ผู้แปล

[60] ยอห์น 11:40 “เรา​บอก​เธอ​แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า ถ้า​เธอ​เชื่อ ก็​จะ​ได้​เห็น​ความ​ยิ่ง​ใหญ่​ของ​พระ​เจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[61] ยอห์น 17:5 “บัด​นี้​ข้า​แต่​พระ​บิดา ขอ​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​ต่อ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์ คือ​เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[62] หรือ “ได้รับเกียรติ” เมื่ออยู่ในรูปของกาลกริยาที่ต่างกัน

[63] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย