pdf pic

บทที่ 11

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

รู้จักพระเยซูก็รู้จักพระยาห์เวห์

 

 

การตีความตามพระคัมภีร์กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

         ผมไม่ได้คิดว่าการตีความพระคัมภีร์จะเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อนกับบางคน  คราวก่อนผมพูดถึงหลักเกณฑ์ห้าอย่างของการตีความซึ่งที่จริงมีมากกว่าห้า  ผมพูดส่วนสำคัญเพียงห้าอย่างแต่แค่อย่างเดียวพวกคุณส่วนมากก็แทบจะทำกันไม่ได้ ในบทนี้ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าในการตีความยอห์นนั้นยังมีสิ่งอื่นอีกที่นอกเหนือจากทักษะเฉพาะซึ่งจำเป็นกับการเข้าใจลักษณะของพระกิตติคุณยอห์น  คุณจะไม่ได้ผลอะไรกับการดูข้อนี้ทีและข้อนั้นที  ถ้าคุณไม่เข้าใจวิธีที่ยอห์นคิดและรูปแบบความคิดที่แทรกอยู่ในพระกิตติคุณของเขา คุณก็จะแปลความคิดของเขาผิดได้

         หลักการบางอย่างในการทำความเข้าใจยอห์นนั้นไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะหลักเหล่านั้นไม่เข้ากับวิธีทำความเข้าใจพระคัมภีร์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ให้เรามาพิจารณากันคร่าวๆจากยอห์น 2:19-22 ที่เราดูกันคราวก่อน  คุณจะสังเกตเห็นว่าผมใช้เวลามากกับหนังสือยอห์น  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระกิตติคุณยอห์นเป็นแหล่งของข้อหลักๆที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้สนับสนุนความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์  และผมกำลังใช้ข้อเด่นๆของพวกเขา  ต่อไปนี้คือยอห์น 2:19-22

19พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ตอบ​เขา​ทั้ง​หลาย​ว่า “ถ้า​ทำลาย​วิหาร​นี้​เสีย  และเรา​จะ​ยกขึ้น​ใน​สาม​วัน” 20พวก​ยิว​จึงทูล​ว่า “พระ​วิหาร​นี้​เขา​สร้าง​ถึง​สี่​สิบ​หก​ปี​จึง​สำเร็จ และ​ท่าน​จะ​ยกขึ้น​ใหม่​ใน​สาม​วัน​หรือ”  21แต่​พระ​วิหาร​ที่พระ​องค์​ตรัส​ถึง​นั้น​คือ​พระ​กาย​ของ​พระ​องค์​  22เหตุ​ฉะนั้น​เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​ถูก​ชุบ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว พวกสาวก​ของ​พระ​องค์​ก็​ระลึก​ได้​ว่า​พระ​องค์​ตรัส​ดังนี้ และ​เขา​ก็​เชื่อ​พระ​คัมภีร์​และ​พระ​ดำรัส​ที่​พระ​เยซู​ได้​ตรัสแล้ว​นั้น​ (ฉบับ 1971)

            คราวก่อนเราเห็นความขัดแย้งระหว่างข้อ 19 (“เรา​จะ​ยกขึ้น​ใน​สาม​วัน” หรือแปลว่า “เราจะชุบขึ้นในสามวัน”)[1] กับข้อ 22 (“พระ​องค์​ทรง​ถูก​ชุบ​[2]ให้​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว”)  ข้อ 19 ที่เจ้าตัวเป็นผู้กระทำเองและข้อ 22 ที่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำให้[3]  ในกรณีแรกพระเยซูจะเป็นผู้ยก (หรือชุบ) พระกายของพระองค์เอง คือวิหารที่เป็นพระกายของพระองค์  แต่ในกรณีหลังนั้นเป็นพระเจ้าผู้ชุบ[4]พระเยซูขึ้น  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองไม่มีหนทางแก้ความขัดแย้งนี้  แต่ความขัดแย้งจะหายไปเมื่อเราตรวจดูคำกล่าวของพระเยซูในมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์

         เราได้เห็นแล้วว่าในพระคัมภีร์ใหม่นั้นจะเป็นพระบิดา (พระยาห์เวห์) เสมอที่ชุบพระบุตรให้เป็นขึ้น  ไม่มีกรณียกเว้นในเรื่องนี้นอกเสียจากว่าจะให้ยอห์น 2:19 เป็นกรณียกเว้น  แต่ถ้าให้เป็นกรณียกเว้นมันก็จะขัดแย้งกับพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือเช่นกัน  ดีที่ความขัดแย้งของข้อ 19 จะหมดไปด้วยคำอธิบายข้อ 19 ตามแบบความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว คำอธิบายในแบบนี้ยังเสริมความจริงให้หนักแน่นขึ้นด้วยว่าแท้จริงแล้วพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ตรัสผ่านทางพระเยซูในข้อนี้

           ถ้าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซู เมื่อพระเยซูพูดนั้นใครคือผู้ที่พูด? พระเยซูพูดเองหรือว่าเป็นพระยาห์เวห์?  เราเคยได้ยินถ้อยคำต้นฉบับ[5]ของพระบิดาไหม?  ถ้าเคย  ถ้อยคำตรงนี้ก็เป็นคำพูดของพระยาห์เวห์เองที่ตรัสผ่านพระโอษฐ์ของพระเยซู  ในตัวอย่างนี้พระยาห์เวห์กำลังตรัสผ่านพระเยซูว่า  “จงทำลายวิหารนี้เสีย และเรา ยาห์เวห์ จะยก(ชุบ)ขึ้นในสามวัน”  นี่ไม่ได้แก้ปัญหาของความขัดแย้งกับข้อ 22 เท่านั้น  คำกล่าวของพระยาห์เวห์ยังเป็นจริงในข้อ 22 จากคำกล่าวว่าพระเยซู “ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว”[6] (นั่นก็คือพระเยซูไม่ได้ชุบพระองค์เองให้เป็นขึ้น)

           เราเข้าใจคำกล่าวหลายอย่างในคำเทศนาบนภูเขามากขึ้นเมื่อเราเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ตรัสผ่านพระเยซูในลักษณะเดียวกับที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม (“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า”)  แม้พระเยซูจะไม่ได้ตรัสเสียทีเดียวว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า”  แต่ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็ยังคงมาถึงเราโดยตรงทางพระเยซู (“แต่เราบอกท่านว่า”)

           การสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ซึ่ง “ถูกปิดบังไว้” ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก[7] ตอนนี้ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ในพระกิตติคุณยอห์น  นั่นคือหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญระหว่างพระกิตติคุณสามเล่มแรกกับพระกิตติคุณยอห์น  กระบวนการคิดของยอห์นจะแตกต่างจากพระกิตติคุณสามเล่มแรก

     นอกจากนี้เรายังได้ดูยอห์น 8:58 ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู

53“ท่าน​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​อับ​รา​ฮัม​บิดา​ของ​เรา​ที่​ตาย​ไป​แล้ว​หรือ พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ก็​ตาย​ไป​แล้ว​เหมือน​กัน ท่าน​จะ​อวด​อ้าง​ว่า​ท่าน​เป็น​ใคร” 54พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ถ้า​เรา​ให้​เกียรติ​แก่​ตัว​เรา​เอง เกียรติ​ของ​เรา​ก็​ไม่​มี​ความ​หมาย ผู้​ที่​ทรง​ให้​เกียรติ​เรา​นั้น​คือ​พระ​บิดา​ของ​เรา ผู้​ที่​พวก​ท่าน​กล่าว​ว่า​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน 55พวก​ท่าน​ไม่​รู้​จัก​พระ​องค์ แต่​เรา​รู้​จัก​พระ​องค์ ถ้า​เรา​กล่าว​ว่า​เรา​ไม่​รู้​จัก​พระ​องค์ เรา​ก็​จะ​เป็น​คน​มุสา​เหมือน​กับ​ท่าน แต่​เรา​รู้​จัก​พระ​องค์ และ​ประ​พฤติ​ตาม​พระ​ดำ​รัส​ของ​พระ​องค์ 56อับ​รา​ฮัม​บิดา​ของ​พวก​ท่าน​ชื่น​ชม​ยินดี​ที่​จะ​ได้​เห็น​วัน​ของ​เรา และ​ท่าน​ก็​เห็น​แล้ว​และ​มี​ความ​ยินดี” 57พวก​ยิว​จึง​ทูล​พระ​องค์​ว่า “ท่าน​อายุ​ยัง​ไม่​ถึง​ห้า​สิบ​ปี ท่าน​เคย​เห็น​อับ​รา​ฮัม​แล้ว​หรือ?” 58พระ​เยซู​ตรัส​กับ​พวก​เขา​ว่า “เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ก่อน​อับ​รา​ฮัม​เกิด เรา​เป็น​อยู่​แล้ว” (ยอห์น 8:53-58)[8]

         การถกเถียงกันเริ่มด้วยคำถามว่าระหว่างพระเยซูกับอับราฮัมใครเป็นใหญ่กว่ากัน (ข้อ 53)  คำตอบก็คือพระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมซึ่งไม่ได้เป็นเพราะพระเยซูทรงให้เกียรติตัวพระองค์เอง  แต่เป็นเพราะพระบิดาทรงให้เกียรติพระองค์ (ข้อ 54)  ถ้าพระเยซูทรงให้เกียรติตัวพระองค์เอง  เกียรติของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย  พระเยซูตรัสต่อไปว่าอับราฮัมชื่นชมยินดีที่จะ “ได้เห็นวันของเรา” (ข้อ 56)  คำกล่าวนี้หลายคนแปลผิดๆว่า “เห็นเรา” ที่อับราฮัมได้เห็นตัวของพระเยซู ตามความเป็นจริงแล้วสิ่งที่อับราฮัมได้เห็นก็คือวันแห่งพระเมสสิยาห์[9]  คือวันแห่งราชอาณาจักรของพระเมสสิยาห์    อับราฮัม “ก็เห็นแล้วและมีความยินดี”  ราชอาณาจักรยังไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเขา ดังนั้นอับราฮัมจะต้องได้เห็นราชอาณาจักรตามการเผยพระวจนะ  หนึ่งในหัวข้อที่เด่นชัดตามการเผยพระวจนะของพระคัมภีร์เดิมก็คือการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์

         แต่ชาวยิวเข้าใจประเด็นนี้ผิด “ท่าน​อายุ​ยัง​ไม่​ถึง​ห้า​สิบ​ปี และ​ท่าน​เคย​เห็น​อับราฮัม​หรือ?” (ข้อ 57)  อันที่จริงคำถามนั้นกลับกันกับคำกล่าวของพระเยซู พระเยซูกล่าวแต่เพียงว่าอับราฮัมได้เห็นวันของพระองค์แต่ชาวยิวกล่าวว่า “ท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ?” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ก่อน​อับราฮัม​เกิด เรา​เป็น(อยู่​แล้ว)” (ข้อ 58) 

     เราเข้าใจ “เรา​เป็น​” ตรงนี้อย่างไร?  ในพระคัมภีร์มีพระยาห์เวห์แต่ผู้เดียวที่มีชื่อว่า “เราเป็น”  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบอกว่า “เราเป็น”[10] ที่พระเยซูสตรัสตรงนี้หมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”[11]ในอพยพ 3:14  หากสิ่งนี้ถูกต้อง คำกล่าวของพระเยซูก็จะหมายถึง “ก่อนอับราฮัมเกิด พระยาห์เวห์ทรงเป็นอยู่แล้ว”  แต่ยอห์น 8:58 กำลังพูดถึงพระเยซู ไม่ได้พูดถึงพระยาห์เวห์  ความพยายามใดๆที่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจากข้อนี้จะลงเอยด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูก็คือพระยาห์เวห์  ในเมื่อนั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมองหา ดังนั้น “เราเป็น” ในยอห์น 8:58 จึงไม่ได้อ้างถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14    ข้อสรุปมีเพียงสองอย่างคือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือว่าพระองค์ไม่ได้เป็น  ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็ต้องเป็นพระยาห์เวห์เท่านั้น  ไม่ใช่บุคคลที่สองที่เป็นพระยาห์เวห์

     การพูดว่า “ก่อน​อับราฮัม​เกิด  เรา​เป็น​ (อยู่​แล้ว)”นั้น พระเยซูทรงหมายความไหมว่าพระองค์ทรงอยู่ก่อนอับราฮัมในแง่ของกาลเวลา (พระองค์มาปรากฏก่อนหน้าอับราฮัม) หรือในแง่ของสถานะ  (พระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม)? เราต้องจำไว้ว่าก่อนหน้านี้ข้อ 53 เป็นประเด็นที่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของลำดับความเป็นใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของลำดับเวลา  ประเด็นที่หยิบยกนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมาก่อนแต่อยู่ที่ว่าใครเป็นใหญ่กว่า  พระเยซูทรงเหนือกว่าอับราฮัมด้วยอันดับหรือตำแหน่งเพราะพระบิดาได้ทรงให้เกียรติพระองค์    แต่ไม่ว่าจะเป็นการคำนึงถึงประเด็นไหน (อันดับหรือลำดับเวลา)  ข้อนี้ก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ได้ ที่พิสูจน์ได้มากที่สุดก็คือพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระยาห์เวห์  ถ้าคุณใช้ข้อนี้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ คุณก็จะมาจบลงตรงที่พิสูจน์ว่าพระคริสต์ก็คือพระยาห์เวห์เอง  แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมองหา  แต่ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ฉะนั้น “เราเป็น” จากอพยพ 3:14  จึงไม่ได้ใช้หมายถึงพระเยซู

         ถ้าเราบอกว่าพระเยซูมาก่อนอับราฮัมในเรื่องของลำดับเวลาก็จะทำให้พระเยซูดำรงอยู่ก่อน  แต่นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะเหล่าทูตสวรรค์และผีมารก็ดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเช่นกัน  แล้วเรากำลังพยายามจะพิสูจน์อะไรหรือ?  ถ้าเรายังยืนยันการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซูซึ่งไม่ได้พิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่อย่างใด แล้วพระองค์จะทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ไหน?  ถ้าเราบอกว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ก่อนอับราฮัมก็จะเป็นปัญหาในแง่ของพระคัมภีร์เพราะพระเยซูทรงบังเกิดในเบธเลเฮม  การบังเกิดของพระองค์นั้นสามารถหาช่วงเวลาและสถานที่ได้คือในเบธเลเฮมราว 5 ปีก่อนคริสตกาลซึ่งมาทีหลังอับราอัมอย่างมาก  ถ้าเราบอกว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนที่จะทรงบังเกิดในเบธเลเฮม นั่นหมายความว่าพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ตามที่บางคนจินตนาการไปว่าพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองเช่นนั้นในยอห์น 6:41 (“เรา​เป็น​อาหาร​ซึ่ง​ลง​มา​จาก​สวรรค์”) หรือ?  พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ที่วิญญาณของพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมไหม?  ถ้าหากพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่ “เราเป็น” จากอพยพ 3:14  อย่างนั้นเรากำลังพูดถึงวิญญาณแบบไหนหรือ?  ไม่มีผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนไหนต้องการจะเปรียบพระเยซูให้เท่ากับพระยาห์เวห์เพราะพระยาห์เวห์คือพระเจ้าพระบิดา  พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร

     คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่เข้าใจได้ก็คือ “ก่อนอับราฮัม” ที่เข้าใจในความหมายของสถานะคือพระเยซูมีอันดับเหนืออับราฮัม  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึงพระเยซูว่า “พระ​องค์​ผู้​เสด็จ​มา​ภาย​หลัง​ข้าพเจ้า​ทรง​เป็น​ใหญ่​กว่า​ข้าพเจ้า เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ดำรง​อยู่ก่อน[12]​ข้าพ​เจ้า” (ยอห์น 1:15)  มันเป็นได้อย่างไรหรือที่พระเยซูจะอยู่ก่อนยอห์นผู้ให้บัพติศมาในเมื่อพระองค์เกิดหลังยอห์นผู้ให้บัพติศมา?  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดไว้ชัดเจนว่าเรื่องนี้จะต้องเข้าใจในแง่ของความเป็นใหญ่ (“ทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า”)

พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์

          เรามีพระเยซูสององค์อยู่ตรงหน้าเราคือพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์    ถ้าคุณพูดถึงพระเยซูกับผม  ผมก็ต้องถามคุณว่าคุณกำลังพูดถึงพระเยซูองค์ไหนเพราะพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นแตกต่างจากพระเยซูตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง

          พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นคือการลงมาบังเกิดของพระเจ้าพระบุตร ถ้าเราจะใส่เป็นสมการก็จะเป็น ch11 1 (ถ้อยคำ, วาทะ) = พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์  สมการนี้ไม่สอดคล้องกับยอห์น 1:1

         สมการตามพระคัมภีร์คือ ch11 1 (โลกอส) = พระยาห์เวห์ ch11 1p พระเยซูคริสต์  ตรงนี้มีเครื่องหมายเท่ากับ แต่ก็มีลูกศรด้วยที่บ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้มาสถิตอยู่ในพระเยซูคริสต์   ch11 1 (โลกอส) เท่ากับพระยาห์เวห์แต่ไม่เท่ากับพระเยซู  สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือสมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่า พระเจ้าพระบุตรเท่ากับพระเยซูคริสต์  แต่สมการนี้ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องทั้งจากยอห์น 1:1 หรือยอห์น 1:14 หรือพระกิตติคุณยอห์น หรือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม

     สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ ch11 1 (โลกอส) = พระเจ้าพระบุตร เป็นปัญหาในยอห์น 1:1  เมื่อเราอ่านคำกล่าว “พระวาทะเป็นพระเจ้า”[13]  นั้นปัญหามีว่าใครคือพระเจ้า?  คำตอบตามพระคัมภีร์ก็คือ  “เราคือยาห์เวห์ ไม่มีใครอื่น นอก​จาก​เราแล้ว ไม่​มี​พระ​เจ้าอื่นใด” (อิสยาห์ 45:5 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[14] พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแล้วพระเจ้าพระบุตรมาจากไหน?  สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้าพระบุตรเลย  ถ้าคุณอยากจะส่งเสริมความเชื่อในตรีเอกานุภาพละก็คุณกำลังใช้พระคัมภีร์ผิดเล่มแล้ว  เพราะพระคัมภีร์เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวซึ่งแม้บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังยอมรับ

          มันสำคัญกับความรอดไหมที่คุณเชื่อในพระเจ้าพระบุตรผู้ที่ไม่สามารถจะพิสูจน์จากพระคัมภีร์ได้? ใจคุณยึดอยู่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแน่นมากจนคุณไม่อยากจะเชื่อว่าไม่มีบุคคลดังกล่าวอยู่เลย  แต่น่าเสียดายที่ใจมนุษย์สามารถจะเชื่อในบุคคลที่นึกคิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ การตีความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นเป็นการตีความเกินจากที่มีในตัวบท สมัยที่ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพผมไม่ได้เดือดร้อนที่จะตรวจสอบการแปลความหมายยอห์น 1:1 เลย  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผมสันนิษฐานเอาว่าคริสเตียนทุกคนเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและ “พระเจ้า” ในยอห์น 1:1 ก็คือพระเจ้าพระบุตร  ผมไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนั้นจากพระคัมภีร์เลย ทำไมผมจะต้องพิสูจน์ด้วยในเมื่อทุกคนก็เชื่อเช่นนี้?

         แต่ข้อผิดพลาดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ปรากฏให้เห็นเมื่อผมได้ทำตามหลักของการตีความตามตัวบทและตั้งคำถามต่างๆ เช่น ตัวบทนี้กำลังสนับสนุนมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจริงๆไหม?  “พระเจ้า” หมายถึง “พระเจ้าพระบุตร” จริงๆไหม?  มีหลักฐานที่ไหนไหมที่กล่าวถึงบุคคลดังกล่าว?   ยอห์น 1:1 กล่าวว่า

ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า

 

ch11 2[15]

          เราจะพิสูจน์คำยืนยันของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อย่างไรว่าคำ “พระเจ้า” ที่ปรากฏครั้งแรกในข้อนี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดาและที่ปรากฏครั้งที่สองหมายถึงพระเจ้าพระบุตร?  ทำไมเราจึงเปลี่ยนความหมายของคำ “พระเจ้า” ในช่วงสามคำนี้?   คำ “พระเจ้า”  (“ch11 3”) สองคำนี้ในฉบับภาษากรีกจะคั่นด้วยคำเล็กๆว่า “และ” (“ch11 4”) ขณะที่ฉบับแปลภาษาอังกฤษมีสี่คำมาคั่นกลาง[16]  แต่เราก็ยอมรับกันโดยไม่ได้พิสูจน์ว่าความหมายของคำ “พระเจ้า” ได้เปลี่ยนไปในช่วงสามคำนั้น   ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้  น่าเสียดายที่ข้อสันนิษฐานหนึ่งขยายไปสู่ข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งและดังนั้นเราจึงยอมรับการดำรงอยู่ของอีกบุคคลหนึ่งซึ่งก็คือพระเจ้าพระบุตรผู้ที่เท่าเทียมกับพระเจ้า  เราใช้คำบุพบท “กับ” (ในคำกล่าว “พระวาทะ[17]ทรงอยู่กับพระเจ้า”) มาเป็นหลักฐานให้กับพระเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง  คราวก่อนผมแสดงให้คุณเห็นว่าผมก็สามารถพิสูจน์ในทางการตีความให้เห็นว่าสามารถจะมีบุคคลมากขึ้นได้ถึงห้าหรือหกองค์ในพระเจ้าได้ตามหลักเหตุผลนั้น

          สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ “โลกอส (พระวาทะ)” = พระเจ้าพระบุตรนั้นจะใช้ยกอ้างไม่ได้เพราะ “โลกอส” คือ “พระเจ้า” ที่ไม่ใช่ “พระเจ้าพระบุตร”   สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอีกส่วนหนึ่งคือ “พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์” ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกันเพราะไม่พบที่ใดเลยในยอห์นหรือในพระคัมภีร์ใหม่  ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะพูดว่า “โลกอส = พระเจ้าพระบุตร  = พระเยซูคริสต์”  หรือจะย้ายส่วนกลางของสมการออกและบอกว่า “โลโกส = พระเยซูคริสต์”

         คำว่า ch11 1 (logos โลกอส) ไม่เคยใช้กับพระเยซู  คำนี้ปรากฏ 33 ครั้งในพระกิตติคุณยอห์นที่นอกเหนือจากยอห์น 1:1   และไม่มีสักกรณีที่เคยใช้อ้างอิงถึงบุคคล    “โลกอส” ในพระคัมภีร์ใหม่จะหมายถึงถ้อยคำที่พูดเสมอ  ไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์กับสมการ “โลโกส = พระเยซูคริสต์”

     ในทางกลับกันกับสมการตามพระคัมภีร์ที่ลูกศรใน “พระยาห์เวห์ ch11 1p พระเยซูคริสต์” จะหมายถึง “มาสถิตอยู่ใน”  เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า “มาสถิตอยู่ใน” ด้วยซ้ำ เราสามารถพูดง่ายๆว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ในพระเยซูคริสต์”  เราใช้เครื่องหมายลูกศรแทนที่จะเป็นเครื่องหมายเท่ากับเพื่อจะบ่งชี้ว่าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่ยังบ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาในองค์พระเยซูและสำแดงพระองค์ในพระเยซู  นี่คือความจริงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแต่คุณจะไม่เห็นว่าน่าตกใจเพราะคุณไม่รู้พระคัมภีร์เดิมดีพอ  สำหรับชาวยิวแล้วคำกล่าวอย่างนั้นน่าตกใจแน่ๆ “คุณพูดว่ายังไงนะ?  พระยาห์เวห์ พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเสด็จมาในผู้ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์อย่างงั้นหรือ?”  อิทธิพลของถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์นี้ถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพลบออกไป  คุณลองบอกมุสลิมสักคนว่าพระอัลเลาะห์เสด็จมาในองค์พระเยซูคริสต์ดูสิ คุณจะเห็นเขาจะตกใจอย่างสุดขีด

จิตวิญญาณของพระคริสต์

          คำกล่าวมากมายในพระคัมภีร์เริ่มจะมีความหมายขึ้นเมื่อเราได้เห็นว่าพระเยซูตามพระคัมภีร์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์มาสถิตอยู่  พระเยซูตรัสว่า “คน​ที่​ไม่​รัก​เรา​ก็​ไม่​ประ​พฤติ​ตาม​คำ​ของ​เรา และ​คำ​ที่​พวก​ท่าน​ได้​ยิน​นี้​ไม่​ใช่​คำ​ของ​เรา แต่​เป็น​ของ​พระ​บิดา​ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา” (ยอห์น 14:24 ฉบับมาตรฐาน 2011) และ “คำ​ซึ่ง​เรา​กล่าว​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​นั้น เรา​มิได้​กล่าว​ตามใจ​ชอบ  แต่​พระ​บิดา​ผู้​ทรง​สถิต​อยู่​ใน​เรา ได้​ทรง​กระทำ​พระ​ราช​กิจ​ของ​พระ​องค์​” (ยอห์น 14:10  ฉบับ 1971)  พระยาห์เวห์พระบิดาเป็นผู้ทำงานต่างๆที่พระเยซูทำ  เปโตรกล่าวในคำสั่งสอนครั้งแรกของเขาว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงทำการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์ และหมายสำคัญต่างๆทางพระเยซูชาวนาซาเร็ธ  (กิจการ 2:22)[18]

          เรื่องคำถามว่าอะไรคือจิตวิญญาณของพระเยซู ความเชื่อในตรีเอกานุภาพต้องเตรียมรับปัญหาใหญ่เรื่อง “ความเกี่ยวข้องกันของสองธรรมชาติ”  นี่เป็นปัญหาสำคัญของศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์[19]ที่เราใช้เวลาเป็นปีๆพยายามหาคำตอบ  เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนั้นเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี? เรื่องนี้มีกลุ่มความคิดอยู่สองกลุ่ม แต่ผมจะเน้นมุมมองแบบอเล็กซานเดรียเพราะเป็นมุมมองตามมาตรฐานของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่เอาชนะมุมมองแบบเนสโตเรียส  ตามศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์แบบอเล็กซานเดรียเมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกและบังเกิดจากนางมารีย์นั้น พระองค์ทรงมีร่างกายธรรมชาติพระองค์จึงสามารถที่จะกิน ดื่ม พระโลหิตไหล และสิ้นพระชนม์บนกางเขนได้

     แล้วเรื่องจิตวิญญาณของพระองค์ล่ะ?  พระเยซูทรงมีจิตวิญญาณของมนุษย์ไหม?  ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในพระกายของพระเยซูก็คือพระเจ้าพระบุตร  หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพระเจ้าพระบุตรเป็นพระวิญญาณที่ดำรงอยู่ในพระกายของพระเยซู  ซึ่งไม่ได้เป็นจิตวิญญาณของมนุษย์แต่เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้านั่นก็คือวิญญาณของพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้า ที่สำคัญมียังหมายความว่าพระเยซูไม่ได้มีจิตวิญญาณของมนุษย์

     ในทางกลับกัน ถ้าจิตวิญญาณภายในพระเยซูเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์แล้วพระองค์ก็ทรงมีร่างกายของมนุษย์ด้วยพระเยซูก็จะเป็นมนุษย์ที่แท้และมนุษย์ที่สมบูรณ์ (มนุษย์ประกอบขึ้นด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ)  แต่พระเจ้าพระบุตรจะอยู่ตรงส่วนไหนถ้าหากพระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ที่มีร่างกายของมนุษย์และมีจิตวิญญาณของมนุษย์?  นั่นคือปัญหาเรื่องการมีสองธรรมชาติ

     สิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์เป็นการสถิตอยู่ภายในอีกคนมากกว่าแนวความคิดตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องการลงมาบังเกิด   มีสองบุคคลที่ผู้หนึ่งสถิตอยู่ในอีกผู้หนึ่ง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในมนุษย์ในลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในคุณและผม

          แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูคือพระเจ้าพระบุตร ไม่ใช่เพราะการที่พระเจ้าสถิตอยู่ในแต่เป็นเพราะพระเจ้าพระบุตรนั้นเทียบเท่าพระเยซูคริสต์ทุกอย่าง (พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์)  นั่นคือเหตุที่บรรดานักศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างเช่นมอลท์มานน์[20]จึงพูดถึง “พระเจ้าที่ถูกตรึงตายบนกางเขน”  การตรึงพระเยซูก็คือการตรึงพระเจ้าพระบุตร  สมการนี้จะเป็นไปได้เฉพาะในกรณีที่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีจิตวิญญาณของมนุษย์  แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าแล้วพระเยซูองค์ที่กล่าวถึงนี้เป็นมนุษย์แท้หรือไม่    คำตอบก็คือ “ไม่” เพราะว่าพระองค์ไม่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของมนุษย์ที่สำคัญยิ่งกว่าร่างกายด้วยซ้ำ  มุสลิมผู้ระเบิดพลีชีพเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะในมุมมองของพวกเขานั้นร่างกายอาจแหลกละเอียดไปแต่จิตวิญญาณจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์

     อะไรหรือที่เป็น  “ตัวผม”?  มันก็คือจิตวิญญาณของผม  เพราะตัวผมคือจิตวิญญาณของผม  ร่างกายของผมไม่ใช่ “ตัวผม”   ในความเป็นจริงแล้วร่างกายปัจจุบันของผมไม่ใช่ร่างกายที่ผมมีเมื่อ 20 ปีก่อนโดยเฉพาะร่างกายที่ผมมีเมื่อ 40 ปีก่อนขณะผมยังเป็นนักกีฬาที่ปราดเปรียว  แต่ที่คุณเห็นในวันนี้คือชายคนหนึ่งที่ตัวหงิกงออยู่บนเก้าอี้เพราะกระดูกสันหลังคด  หากร่างกายคือทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ผมก็เป็นคนที่น่าสมเพชสุดในบรรดามนุษย์ทั้งหมด  เพราะฉะนั้น “ก็​ให้​เรา​กิน​และ​ดื่ม​เถิด  เพราะ​ว่า​พรุ่ง​นี้​เรา​ก็​จะ​ตาย” (1 โครินธ์ 15:32)

         ในนิมิตของอัครทูตยอห์น “​เห็น​ดวง​วิญ​ญาณ​ทั้ง​หลาย​ที่​ใต้​แท่น​บูชา ซึ่ง​เป็น​วิญ​ญาณ​ของ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ถูก​ฆ่า​” (วิวรณ์ 6:9 ฉบับมาตรฐาน 2011)  สิ่งที่เขาเห็นอยู่ใต้แท่นบูชาไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นวิญญาณของผู้ยอมสละชีวิต  “จิต​วิญ​ญาณ​ของ​คน​ชอบ​ธรรม​ซึ่ง​ถึง​ความ​สม​บูรณ์​แล้ว” (ฮีบรู 12:23 ฉบับมาตรฐาน 2011)  มนุษย์คือจิตวิญญาณ  ถ้าคุณเอาจิตวิญญาณของเขาออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเปลือกที่ห่อหุ้ม  เปาโลพูดถึงร่างกายของเขาว่าเป็นเหมือนเรือนกายที่จะถูกทำลายไปเมื่อเขาตาย (2 โครินธ์ 5:1-5) เขาปรารถนาที่จะสวมกายใหม่จากพระเจ้า แม้กายใหม่ฝ่ายวิญญาณจะเป็นสิ่งภายนอกสำหรับเขา  ตัวตนจริงของเปาโลนั้นไม่ได้อยู่ที่ร่างกายของเขาแต่เป็นจิตวิญญาณของเขา

         ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจิตวิญญาณในพระเยซูไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์แต่เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้าพระบุตร  เมื่อเนสโตริอุส[21]คัดค้านว่าตามหลักนี้พระเยซูจะเป็นมนุษย์จริงๆไม่ได้ เขาจึงถูกประกาศว่าเป็นพวกเชื่อผิด สิ่งที่เขาเสนอไม่ใช่สมการเท่ากับ (=)  แต่เป็นการสถิตอยู่ใน (_) เพราะเขายอมรับว่าวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของมนุษย์ไม่ใช่อันเดียวกันและเหมือนกัน  วิญญาณของมนุษย์ประทานมาจากพระเจ้าและกลับไปสู่พระเจ้า(ปัญญาจารย์ 12:7)  แม้มนุษย์ได้รับวิญญาณจากพระเจ้าแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกับพระเจ้าหรือแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ทรงระบายลมหายใจ[22]แห่งชีวิตเข้าไปในมนุษย์ก็ตาม (ปฐมกาล 2:7)  เรามีวิญญาณที่เหมือนกับวิญญาณของพระเจ้ามากเพราะว่าพระองค์ทรงระบายพระวิญญาณของพระองค์เข้าในเรา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราเท่าเทียมกับพระเจ้า

         ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจะมีสองบุคคลที่เท่ากันทุกอย่าง (พระเจ้าพระบุตร=พระเยซูคริสต์) แม้จะมีความจริงในพระคัมภีร์ว่า ไม่มีใครที่เท่าเทียมกับพระยาห์เวห์และไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์ (อิสยาห์ 45:5-6)[23] แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราไม่ได้ให้ความสนใจพระคัมภีร์เดิมอย่างจริงจังนัก  เราต้องการแต่พระคัมภีร์ใหม่และก็ไม่ได้ต้องการพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มอีกด้วย  แต่ต้องการเฉพาะพระคัมภีร์ตอนที่ดูเหมือนจะสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น

         ผมต้องตกใจอย่างสุดๆเมื่อพยายามพิสูจน์การดำรงอยู่ของ “พระเจ้าพระบุตร” จากพระคัมภีร์  เพราะที่ผ่านมาผมคิดว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นความจริงแต่ผมก็ไม่เคยพยายามที่จะพิสูจน์เรื่องนี้จากพระคัมภีร์  ผมจึงถามตัวเองทันทีว่า “ผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงหรือ?”  ถ้าผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงๆแล้วทำไมผมจึงเชื่อวางใจในบุคคลอื่นๆที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์?”

ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับชาวยิว

          ผมยังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ในเรื่องการนำถ้อยคำแห่งความรอดไปยังชาวมุสลิมและชาวยิวด้วย   ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์จะเข้าถึงชาวมุสลิม   แต่เป็นถ้อยคำที่ชาวยิวสามารถจะยอมรับได้ดียิ่งกว่าชาวมุสลิม มันจะเป็นเรื่องยากกับชาวมุสลิมมากกว่ากับชาวยิวที่จะยอมรับเรื่องการเสด็จมาของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าชาวยิวจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ

         ผมคิดว่าพระเจ้ากำลังให้เรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับเราในยุคสุดท้ายนี้ด้วยเหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ  พระองค์กำลังหันความสนใจของพระองค์กลับไปที่ประชากรอิสราเอล  เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาพระกิตติคุณจะกลับไปสู่ชาวยิว  การประกาศกับชาวยิวเป็นส่วนที่คริสตจักรล้มเหลวอย่างมาก

     ชาวยิวที่ยอมรับพระคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์จำนวนเพียงหยิบมือที่เราได้พยายามประกาศเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารที่ลืมไปว่าพวกเขาเป็นชาวยิวซึ่งมียกเว้นก็เพียงไม่กี่คน  และในหมู่คนเหล่านี้ที่เข้าสุหนัตและถือรักษาธรรมบัญญัติก็ถูกชาวคริสเตียนที่เชื่อในตรีเอกานุภาพตราหน้าว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนเทียมเท็จ

         ในยุคสุดท้ายนี้องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังทรงนำเรากลับมาสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์  อีกไม่ช้าก็จะถึงเวลาที่เราจะนำถ้อยคำนี้ไปยังชาวยิว  ในทางกลับกันนั้นถ้อยคำตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่เข้าถึงชาวยิวผู้มีรากลึกในพระคัมภีร์เดิมเลย  ถ้ามีใครทำให้ชาวยิวกลับใจมาเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ ผมจะนึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า “วิบัติ​แก่​พวก​เจ้า พวก​ธรร​มา​จารย์​และ​พวก​ฟา​ริสี คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด! เพราะ​พวก​เจ้า​ไป​ทั่ว​ทั้ง​ทาง​บก​และ​ทาง​ทะเล เพื่อ​จะ​ได้​สัก​คน​หนึ่ง​เข้า​จา​รีต แต่​เมื่อ​ได้​แล้ว ก็​ทำ​ให้​เขา​ตก​นรก​ยิ่ง​กว่า​พวก​เจ้า​เอง​ถึง​สอง​เท่า” (มัทธิว 23:15)

     เพื่อความรอดของคุณแล้ว คุณจะวางใจในพระเยซูผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์แท้แต่เป็นพระเจ้าพระบุตรผู้ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์หรือ?  ในฐานะอดีตผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่หยั่งรากลึกในพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงสามารถกล่าวโดยไม่กลัวการโต้แย้งว่าไม่มีทางที่จะพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระเจ้าพระบุตรได้เลย  เรายอมรับอย่างง่ายดายโดยไม่พิเคราะห์ให้ดีเพราะได้ถูกสอนมาอย่างนั้น  แต่เมื่อคุณเริ่มตรวจสอบหลักฐานนั้นทุกอย่างก็ตกไป คุณจะรอดโดยเชื่อวางใจในผู้ที่ไม่ได้มีอยู่จริงหรือ?  มันให้หลักฐานอะไรที่ให้ความหวังว่าจะรอดได้?

         เราจะประกาศให้ชาวยิวผู้ที่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเดียว  และรู้ว่า “​พระยาห์เวห์เป็น​พระ​เจ้า นอก​จาก​พระ​องค์​แล้ว​ไม่​มี​พระ​เจ้า​อื่น​ใด​อีก​เลย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35) ให้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้หรือ? เราจะไปบอกวิธีที่พวกเขาควรจะอ่านพระคัมภีร์ของพวกเขาไหม?  หรือพวกเขาควรจะโยนพระคัมภีร์ของพวกเขาทิ้งแล้วมาอ่านพระคัมภีร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแทนไหม?

ความคิดของยอห์นเกี่ยวกับเกียรติ

         คุณจะเข้าใจพระกิตติคุณยอห์นได้คุณก็ต้องเรียนที่จะคิดตามแบบพระคัมภีร์  ถ้าคุณคิดตามแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพคุณก็จะจมปลักอยู่กับความคิดที่ผิดและความขัดแย้งกัน

          ให้เราดูปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ก่อนในยอห์น 17:5  “บัด​นี้​ ข้า​แต่​พระ​บิดา  ขอ​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​ต่อ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์ คือ​เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา”[24]  ถ้าคุณจะพึ่งแต่เฉพาะวิธีการตีความเพื่อทำความเข้าใจข้อนี้คุณก็จะไปไม่ถึงไหนเพราะความคิดของยอห์นแตกต่างจากของเราจนเมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์เหมือนเช่นพระคัมภีร์ตอนนี้  คุณก็จะอ่านด้วยความคิดแบบตรีเอกานุภาพของคุณว่า “ขอ​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​ของความเป็นพระเจ้าต่อ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์ คือ​เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา”  เราจะเห็นเกียรตินี้เป็น “เกียรติในความเป็นพระเจ้า” คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร  ทางเดียวเท่านั้นที่เราจะพิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระคริสต์จากข้อนี้ก็คือ การตีความให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบทที่จะทำให้มันหมายถึง “เกียรติในความเป็นพระเจ้าที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์”  นั่นก็คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร

          แล้วอะไรคือทางเลือก? ทางเลือกที่เราเห็นว่าไม่น่าสนใจ นั่นเป็นเพราะความคิดของยอห์นเรื่องเกียรตินั้นแตกต่างจากของเรา  ในฐานะของผู้ตีความพระคัมภีร์ที่มีความรับผิดชอบ   คุณจะต้องค้นคำว่า “เกียรติ” และดูว่าคำนี้ใช้อย่างไรในยอห์น  ที่จริงแล้วการศึกษาคำเป็นขั้นแรกสุดของการตีความ

          ยอห์น 17:24 กล่าวคล้ายกันว่า “ข้า​แต่​พระ​บิดา ข้า​พระ​องค์​ปรารถ​นา​ให้​คน​เหล่า​นั้น​ที่​พระ​องค์​ประ​ทาน​แก่​ข้า​พระ​องค์ อยู่​กับ​ข้า​พระ​องค์​ใน​ที่​ที่​ข้า​พระ​องค์​อยู่​นั้น เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​เห็น​ศักดิ์​ศรี[25]​ของ​ข้า​พระ​องค์​ซึ่ง​พระ​องค์​ประ​ทาน​แก่​ข้า​พระ​องค์ เพราะ​พระ​องค์​ทรง​รัก​ข้า​พระ​องค์​ก่อน​ที่​จะ​ทรง​สร้าง​โลก”

         เกียรตินี้ได้มอบให้กับพระเยซู “ก่อนที่จะทรงสร้างโลก” เป็นถ้อยคำที่เราได้พิจารณาไปแล้ว  เราเองก็เช่นกันที่ถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงสร้างโลก (เอเฟซัส 1:4)[26]  สิ่งที่เป็นจริงกับพระเยซูก็เป็นจริงกับเราด้วย  นี่อาจไม่ช่วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพแต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือว่าคุณและผมได้ถูกเลือกก่อนที่จะทรงสร้างโลกเพราะความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราด้วยเช่นกัน

         การเข้าใจความคิดเรื่องเกียรติที่ผิดจากธรรมดาของยอห์นต่อไปอีก ให้เราดูจากยอห์น 13:29-33

29บาง​คน​คิด​ว่า​เพราะ​ยูดาส​ถือ​กระเป๋า​เก็บ​เงิน พระ​องค์​จึง​ตรัส​บอก​เขา​ว่า “จง​ไป​ซื้อ​สิ่ง​ที่​เรา​ต้องการ​สำ​หรับ​งาน​เทศ​กาล​นี้” หรือ​ตรัส​บอก​เขา​ว่า เขา​ควร​จะ​ให้​อะไร​แก่​คน​จน 30เพราะ​ฉะนั้น​หลัง​จาก​ยูดาส​รับ​ขนม​ปัง​ชิ้น​นั้น​แล้ว​เขา​ก็​ออก​ไป​ทัน​ที ขณะ​นั้น​เป็น​เวลา​กลาง​คืน 31เมื่อ​เขา​ออก​ไป​แล้ว พระ​เยซู​จึง​ตรัสว่า “เดี๋ยว​นี้​บุตร​มนุษย์​ได้​รับ​เกียรติ​แล้ว  และ​พระ​เจ้า​ทรง​ได้​รับ​พระ​เกียรติ​เพราะ​บุตร​มนุษย์    32ถ้า​พระเจ้า​ทรง​ได้​รับ​พระ​เกียรติ​เพราะ​บุตร​มนุษย์ พระ​เจ้า​ก็​จะ​ทรง​ให้​บุตร​มนุษย์​มี​เกียรติ​ใน​ตัว​เอง​และ​จะ​ทรง​ให้​มีเกียรติ​เดี๋ยว​นี้     33ลูก​ทั้ง​หลาย​เอ๋ย เรา​จะ​อยู่​กับ​พวก​ท่าน​อีก​หน่อย​เดียว​เท่า​นั้น ท่าน​จะ​เสาะ​หา​เรา และอย่าง​ที่​เรา​พูด​กับ​พวก​ยิว​และ​ตอน​นี้​เรา​ก็​พูด​กับ​ท่านด้วย คือ ‘ที่​ที่​เรา​กำ​ลัง​จะ​ไป​นั้น พวก​ท่าน​ไป​ไม่​ได้’” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         จงสังเกตความบ่อยครั้งในการใช้คำ “เกียรติ” และคำที่คล้ายกัน (ที่ขีดเส้นใต้ข้างบน) หลายคนตีความเกียรตินี้ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า” เหมือนพระเยซูกำลังตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติในความเป็นพระเจ้า   พระองค์ตรัสในข้อ 33 ว่า  “ลูก​ทั้ง​หลาย​เอ๋ย เรา​จะ​อยู่​กับ​พวก​ท่าน​อีก​หน่อย​เดียว​เท่า​นั้น” นั่นเป็นเพราะพระองค์กำลังจะถูกตรึงที่กางเขน   “เกียรติ” ที่ยอห์นหมายถึงก็คือการตายบนกางเขน  ถ้าเป็นเรื่องนั้นแล้วทำไมยอห์น 17:24 จึงกล่าวว่าพระเยซูทรงได้รับเกียรติก่อนที่พระบิดาจะทรงสร้างโลก?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพระเมษโปดกถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก (วิวรณ์ 13:8)[27] การที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนก่อนจะสร้างโลกนั้นไม่ใช่เป็นตามกาลเวลา  แต่เป็นตามการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า  ยอห์นไม่ได้สอนอะไรเลยเกี่ยวกับเกียรติในการเป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู

          พระเยซูตรัสถึงเกียรติซึ่งก็คือการตายบนกางเขนที่ถูก “ยกขึ้น” หรือ “ยกย่อง”  เมื่อพวก​ท่าน​ยก​บุตร​มนุษย์​ขึ้น ท่าน​ก็​จะ​รู้​ว่า​เรา​เป็น[28]​ผู้​นั้น และ​รู้​ว่า​เรา​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ตาม​ใจ​ชอบ พระ​บิดา​ทรง​สอน​เรา​อย่าง​ไร  เรา​ก็​กล่าว​อย่าง​นั้น” (ยอห์น 8:28)

     คำ “ยกขึ้น” ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษไม่ได้ใจความของภาษากรีก   คำ “ยกขึ้น” (ch11 8)[29] ในพจนานุกรมมาตรฐานภาษากรีกไม่ว่าฉบับไหนจะหมายถึง “การยกย่อง”   คำนี้ในยอห์นหมายถึงการตายบนกางเขน

32เมื่อ​เรา​ถูก​ยก​ขึ้น​จาก​แผ่น​ดิน​โลก​แล้ว เรา​จะ​ชัก​นำ​ทุก​คน​ให้​มา​หา​เรา” 33พระ​องค์​ตรัส​อย่าง​นั้นเพื่อ​แสดง​ว่า​พระ​องค์​จะ​สิ้น​พระ​ชนม์​อย่าง​ไร 34ฝูง​ชน​จึง​ทูล​พระ​องค์​ว่า “เรา​ทราบ​จาก​ธรรม​บัญ​ญัติว่า  พระคริสต์​จะ​อยู่​เป็น​นิตย์  ท่าน​พูด​ได้​อย่าง​ไร​ว่า ‘บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​ถูก​ยก​ขึ้น’ บุตร​มนุษย์​นั้น​คือใคร” (ยอห์น 12:32-34 ฉบับมาตรฐาน  2011)

         พระเยซูจะได้รับการยกย่อง ได้รับเกียรติและได้รับการยกขึ้นที่กางเขน  พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์แบบใด (ข้อ 33) และดูเหมือนคนทั้งหลายก็รู้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงการตายของพระองค์ (ข้อ 34)

         ส่วนการอ้างถึงงูทองสัมฤทธิ์ในถิ่นทุรกันดาร (กันดารวิถี 21:5-9) พระเยซูตรัสว่า “โม​เสส​ยก​งู​ขึ้น​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร​อย่าง​ไร บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​ถูก​ยก​ขึ้น​อย่าง​นั้น เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​พระ​องค์​จะ​ได้​ชีวิต​นิรันดร์” (ยอห์น 3:15)  “ยกขึ้น” ตรงนี้หมายถึงกางเขน   งูทองสัมฤทธิ์ถูกยกขึ้นอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้นเพื่อทุกคนที่มองไปที่พระเยซูเหมือนคนเหล่านั้นที่มองไปที่งูทองสัมฤทธิ์ก็จะรอดได้

          เราได้เห็นว่ายอห์น 17:5  ไม่ได้หมายถึงเกียรติของพระเจ้า (“บัด​นี้​ข้า​แต่​พระ​บิดา ขอ​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​ต่อ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์ คือ​เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา”)  ถ้อยคำ “ก่อนโลกนี้มีมา”[30]อธิบายได้จากวิวรณ์ 13:8

และ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก​จะ​บูชา​สัตว์​ร้าย​นั้น คือ​คน​ที่​ไม่​มี​ชื่อ​จด​ไว้​ใน​หนัง​สือ​แห่ง​ชีวิตของ​พระ​เมษ​โป​ดก[31]​ผู้​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง​โลก  (วิวรณ์ 13:8 ฉบับมาตรฐาน  2011)

         เกียรติในยอห์น 17:5 นั้นไม่ใช่เกียรติของพระเจ้าที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความเกินจากที่มีตัวบท  แต่ในภาษาของยอห์นเป็นการยกย่องที่หมายถึงการถูกยกย่องบนกางเขน  สิ่งนี้สำเร็จแล้วตั้งแต่แรกสร้างโลก  เพราะพระเยซูทรงถูกฆ่าและถูกยกย่องขึ้นไม่ใช่เฉพาะที่ถูกตรึงบนกางเขนแต่ว่าตั้งแต่แรกสร้างโลกแล้ว  เมื่อคุณเข้าใจรูปแบบความคิดจากการเขียนของยอห์นในพระกิตติคุณยอห์นและวิวรณ์ก็จะเห็นความหมายที่นึกไม่ถึง  ปกติเราจะคิดถึงความตายว่าเป็นสิ่งเลวร้ายและหวังว่าเราจะไม่ตายเร็ว  แต่สำหรับพระเยซูขณะเมื่ออายุ 33 ปีนั้นการตายบนกางเขนเป็นเกียรติและการยกย่องสูงสุด

         พระคัมภีร์ใหม่มีการเปรียบเทียบหลายอย่างระหว่างเรากับพระเยซูแต่เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพเราจึงไม่สนใจเพราะมันจะทำให้พระเยซูดูเป็นมนุษย์มากเกินไป   โรม 8:29-30 กล่าวว่า

29เพราะ​ว่า​ทุก​คน​ที่​พระ​องค์​ได้​ทรง​เลือก​ไว้​แล้ว พระ​องค์​ทรง​กำ​หนด​ไว้​ก่อน​ให้​เป็น​ตาม​พระ​ฉายาแห่ง​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ได้​เป็น​บุตร​หัว​ปี​ท่าม​กลาง​พี่​น้อง​จำ​นวน​มาก 30และ​บรร​ดา​ผู้ที่​พระ​องค์​ทรง​กำ​หนด​ไว้​ก่อน​นั้น  พระ​องค์​ทรง​เรียก​มา​ด้วย  และ​ผู้​ที่​พระ​องค์​ทรง​เรียกมา​นั้น  พระ​องค์​ทรงให้​เป็น​ผู้​ชอบ​ธรรม และ​ผู้​ที่​พระ​องค์​ทรง​ให้​เป็น​ผู้​ชอบ​ธรรม​นั้น พระ​องค์​ก็​ทรง​ให้​มี​ศักดิ์​ศรี​ด้วย (ฉบับมาตรฐาน  2011)

          “การกำหนดไว้แล้ว” (ch11 5)[32]  หมายถึง “ตั้งไว้ก่อน”  หรือ “หมายเอาไว้ล่วงหน้า”  การใช้ “ตั้งไว้ก่อน”  ก็ดีกว่า “การกำหนดไว้แล้ว” เพราะคำหลังจะให้น้ำหนักความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพและศาสนศาสตร์  คำกรีกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความตั้งใจของคุณแต่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าได้ทรงตัดสินพระทัย  จากการรู้ล่วงหน้าของพระองค์นั้นพระองค์ทรงหมายไว้ก่อนแล้วว่าเราควรจะเป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์[33]  เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปีในครอบครัวของผู้ที่ได้รับการทรงเรียก   ผู้ที่ทรงให้เป็นคนชอบธรรม  และผู้ที่ทรงให้ได้รับเกียรติตั้งแต่แรกสร้างโลก

พระเยซูผู้ที่ “มาจากพระเจ้า”

          ยอห์น 6:46 เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพชื่นชอบ “ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  คำ “มาจากพระเจ้า” ภาษากรีกคือ  “ch11 6” ที่ “พระเจ้า” เป็นคำสัมพันธการกแสดงความเป็นเจ้าของ[34]  เราเข้าใจอย่างไร?

         สองบทต่อมาพระเยซูตรัสว่า “แต่​บัดนี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​หา​โอกาส​ที่​จะ​ฆ่า​เรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า” (ยอห์น 8:40 ฉบับไทยคิงเจมส์)  คำกรีกของคำ “มาจากพระเจ้า” ตรงนี้เหมือนกันเลยกับ “มาจากพระเจ้า” ในยอห์น 6:46   ในยอห์น 9:33  ชายที่ตาหายบอดพูดกับฟาริสีว่า “หากชายผู้นั้น​ไม่​ได้​มา​จาก​พระ​เจ้า เขาย่อม​​ไม่​สา​มารถ​ทำอะไรได้เลย” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  คำ “มาจากพระเจ้า”(ch11 7) ตรงนี้ก็เหมือนกันกับ “มาจากพระเจ้า” ในยอห์น 6:46 ยกเว้นแต่คำนำหน้านาม (ch11 6)    พระเยซูตรัสในยอห์น 16:27 ว่า “พระบิดาเองทรงรักพวกท่าน เพราะพวกท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า”  (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)    คำ “มาจากพระเจ้า”[35] ตรงนี้ก็เหมือนกับ “มาจากพระเจ้า”[36] ในยอห์น 6:46 (ไม่มีคำนำหน้านามในบางต้นฉบับ)

         พระเยซู “มาจากพระเจ้า” ในแง่ไหนหรือ?  คำอธิบายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์และเข้าในครรภ์ของนางมารีย์และบังเกิดในเมืองเบธเลเฮม แต่นั่นใช่ความหมายของ “ch11 9” ไหม?   พระเยซูได้ทรงลงมาจากสวรรค์และมาเป็นมนุษย์ที่มีชื่อว่าเยซูหรือ?  เรากำลังตีความเกินจากที่มีในตัวบทเหมือนอย่างที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความยอห์น 17:5 เกินจากตัวบทโดยแปลความหมาย “เกียรติ” ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า”

         ยอห์น 1:6 กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งมาจากพระเจ้า (ch11 9)[37] ชื่อ​ยอห์น”  คำ “มาจากพระเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซูในยอห์น 6:46  ตรงนี้ก็ใช้กับยอห์นผู้ให้บัพติศมาในคำขึ้นต้นหนังสือยอห์นซึ่งกำหนดไว้สำหรับพระกิตติคุณยอห์น  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” ก่อนพระเยซูจะถูกส่งมา แต่ก็ไม่มีใครอยากเสนอแนะว่ายอห์นลงมาจากสวรรค์และเข้าไปในครรภ์ของนางเอลิซาเบธ  พระเยซูก็ถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” (ch11 9) เหมือนกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่ถูกส่งมา   ดังนั้นมันจึงไม่ได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าหรือการดำรงอยู่ก่อน

ทำไมพระกิตติคุณยอห์นจึงถูกเขียนขึ้น

          มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับยอห์นที่จะให้ชาวยิวรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือที่จะให้ชาวยิวรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์[38]  แต่เราตีความให้เป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเราเพื่อให้ยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าทั้งๆที่ยอห์นไม่เคยสอนเช่นนั้น ยอห์นได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากให้เราโดยบอกถึงจุดประสงค์ของการเขียนพระกิตติคุณของเขาว่า  “แต่​การ​ที่​บัน​ทึก​เหตุ​การณ์​เหล่า​นี้​ไว้ ก็​เพื่อ​พวก​ท่าน​จะ​ได้​เชื่อ​ว่า​พระ​เยซู​เป็น​พระ​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า และ​เมื่อ​มี​ความ​เชื่อ​แล้ว​ท่าน​ก็​จะ​มี​ชีวิต​โดย​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์” (ยอห์น 20:31 ฉบับมาตรฐาน 2011)

          ยอห์นเขียนพระกิตติคุณของเขาเพื่อจะบอกให้โลกรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้า  เราได้เห็นว่า “พระบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่หมายถึงพระเมสสิยาห์  เบื้องหลังพระคัมภีร์เดิมของข้อนี้ก็คือสดุดีบท 2 เป็นบทสดุดีของพระเมสสิยาห์เกี่ยวกับผู้ที่พระเจ้า “ทรงเจิมไว้”  (ข้อ 2)[39] ผู้ที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้า​เป็น​บุตร​ของ​เรา วัน​นี้​เรา​ให้​กำ​เนิด​เจ้า​แล้ว” (ข้อ 7)

         พระกิตติคุณยอห์นไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แต่เขียนขึ้นเพื่อจะพิสูจน์กับชาวยิวว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์  เมื่อถึงเวลาที่เราจะประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวยิวอีกครั้ง  เราเองจะต้องบอกพวกเขาด้วยว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์  ถ้าคุณไม่คิดว่าข่าวดีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำคัญมากพอคุณก็ไม่รู้จริงๆว่าพระเมสสิยาห์คือกษัตริย์ของอิสราเอลและผู้ช่วยให้รอดของโลก  ตามคำสอนของชาวยิวและพระคัมภีร์แล้ว  พระเมสสิยาห์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นมนุษย์  จนถึงทุกวันนี้ชาวยิวก็ยังเฝ้าคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอลและของโลก

คริสตจักรของพระเจ้า – การแบ่งปันจากใจ

         ผมขอแบ่งปันบางอย่างจากใจของผมกับภาระที่มีในเรื่องนี้ บางครั้งผมจะพูดกับองค์ผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงให้งานนี้กับผม?” งานพันธกิจนี้ช่างเป็นภาระที่บีบเค้นอยู่ในใจของผม  แต่องค์ผู้เป็นเจ้าก็ให้ภาระนี้กับผม

          บางครั้งผมจะออกไปเดินและใคร่ครวญเรื่องนี้ ผมจะยืนอยู่ข้างนอกที่พักในดิสคอฟเวอรี่เบย์[40]ดูแสงระยิบระยับของขอบฟ้าฮ่องกงที่พาดบนพื้นน้ำและครุ่นคิดถึงความหมายของพันธกิจ ครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตและครุ่นคิดถึงประวัติศาสตร์ของคริสตจักรสมัยแรกและจุดเริ่มต้นของคริสตจักรไม่นานหลังจากพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่เหลือเชื่อและไม่เคยมีมาก่อนในพระคัมภีร์เดิม คือพระยาห์เวห์เสด็จมายังโลกและสถิตในมนุษย์  การเสด็จมาของพระองค์ไม่ได้แค่เป็นการมาปรากฏของพระเจ้าในรูปของมนุษย์ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้งในพระคัมภีร์เดิมที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ แต่บางครั้งก็ทรงปรากฏในรูปของ “ทูตสวรรค์ของพระเจ้า”

     ในยุคสุดท้ายนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกที่จะเสด็จมาในทางที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น  ไม่ใช่ในรูปกายของมนุษย์แบบชั่วครั้งชั่วคราวแต่ในองค์พระเยซูจริงๆ  พระองค์มาปรากฏในร่างพระเยซูเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในองค์พระเยซูผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ก่อนที่จะทรงสร้างโลก ผู้เป็นมนุษย์แท้ที่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพผู้ที่ไม่มีจิตวิญญาณของมนุษย์   พระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ที่พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ภายใน  พระองค์ทรงสามารถจะสามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์  สามารถพูดคุยกับพระองค์แบบหน้าต่อหน้าและสามารถเป็นพยานกับโลกว่าพระองค์ได้เห็นพระบิดา

         ใครที่มีประสบการณ์การสามัคคีธรรมอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าก็จะเข้าใจประสบการณ์ของพระเยซู  ผมมีประสบการณ์การสามัคคีธรรมแบบนี้กับพระเจ้าที่แทบจะเหมือนแบบหน้าต่อหน้า   ไม่ใช่ว่าผมเห็นพระองค์จริงๆแต่ผมก็เห็นพระองค์แบบสลัวๆเหมือนดูในกระจก  พระเยซูทรงมองพระยาห์เวห์ชัดกว่ามากเพราะพระองค์ทรงคุยกันอย่างสนิทสนมกับพระยาห์เวห์จนถึงกับกระทำสิ่งต่างๆตามที่พระองค์เห็นพระบิดาทำ  และตรัสในสิ่งที่พระองค์ได้ยินพระบิดาตรัสแล้วยังตรัสถ้อยคำจริงของพระบิดา ผมก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ผมจึงสามารถยืนยันคำกล่าวขององค์ผู้เป็นเจ้าได้จากประสบการณ์ของผมเองแม้ว่าจะในระดับที่น้อยกว่ามาก

         เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกในองค์พระเยซู  พระองค์ทรงทำงานผ่านทางพระเยซู ตรัสผ่านทางพระเยซู และทรงสอนผู้คนผ่านทางพระเยซู (เช่นในคำเทศนาบนภูเขา) จากนั้นพระเยซูทรงได้รับการยกย่อง(ถูกตรึง) แต่ก็หลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเสริมกำลังพระเยซูด้วยการสถิตอยู่ของพระองค์เองเพื่อให้แน่ใจกับชัยชนะครั้งสุดท้ายของพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอดของโลก  หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มของบรรดาผู้เชื่อเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มและมีคริสตจักรตามมาอีกมากมาย

         วันก่อนผมถามคำถามเชาว์กับเฮเลนว่าคำ “คริสตจักรของพระคริสต์” มีปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่กี่ครั้ง? เธอคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงบอกว่า “ไม่เกินสิบสองครั้ง”  ผมพูดว่า “คุณจะต้องแปลกใจกับคำตอบแน่ๆ  ว่าไม่เคยมีการกล่าวถึงเลยในพระคัมภีร์แม้แต่ครั้งเดียว!”  โรม 16:16 พูดถึง “บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์” แต่นี่เป็นคำทั่วไปที่ใช้กับกลุ่มที่ประชุม[41]ที่ยอมรับพระเยซู  แต่คำ “คริสตจักรของพระคริสต์” ในความหมายของ “คริสตจักรที่เป็นของพระเยซูคริสต์” นั้นไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่

         ถ้าไม่ได้เรียกคริสตจักรสากลว่า “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” (แม้ว่าพระคริสต์จะทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรและเพราะฉะนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของกาย) แล้วจะเรียกคริสตจักรว่าอย่างไร? มันก็เรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” คำเรียกนี้จะพบ 12 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ฉบับภาษากรีกแต่คุณจะต้องค้นหาในหลายวิธี  ดังนั้นเองสิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดคือ คริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเจ้า และพระเจ้าคือพระยาห์เวห์

         เปาโลกล่าวว่า “จง​เฝ้า​ระวัง​ทั้ง​ตัว​พวก​ท่าน​เอง​และ​ฝูง​แกะ​ซึ่ง​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ทรง​ตั้ง​พวก​ท่าน​ไว้​ให้​เป็น​ผู้​ดูแล และ​ให้​เลี้ยง​ดู​คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า  ที่​พระ​องค์​ทรง​ได้​มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​บุตร​[42]ของ​พระ​องค์” (กิจการ 20:28 ฉบับมาตรฐาน 2011)  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมประหลาดใจที่พบว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า  และไม่ได้เรียกว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์

            ผมมีนิมิตหนึ่งซึ่งจะเรียกอย่างนั้นก็ได้  ในมโนภาพของผม ผมเห็นพระยาห์เวห์เสด็จมา จากนั้นพระองค์ก็ตั้งคริสตจักรของพระองค์และบรรดาดวงไฟเล็กๆของคริสตจักรเล็กๆแห่งนี้ก็ส่องออกไปในความมืดของโลก   และยังมีดวงไฟเล็กๆอีกมากที่ห่างออกไปและไกลออกไปจากเยรูซาเล็ม  ในช่วงร้อยปีแรกดวงไฟเล็กๆทั้งหลายได้กำเนิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มแล้วขยายวงออกไปในตะวันออกกลาง แล้วก็แถบเมดิเตอร์เรเนียนก่อนที่จะขยับเข้าไปในส่วนที่เหลือของโลก

     ในขณะเดียวกันซาตานก็กำลังมองดูเรื่องทั้งหมดนี้แล้วบอกกับตัวเองว่า “ไม่ดีแน่ ดวงไฟเหล่านี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน  เปาโลกำลังจุดดวงไฟในทุกที่ทุกแห่ง (ตั้งแต่ตุรกีในปัจจุบันไปจนถึงกรีกในปัจจุบัน) และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังเสปน  เห็นจะไม่ได้การแล้ว  เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”

ซาตาน-จอมวางแผนที่หลักแหลม

          คุณเคยอ่าน “จดหมายจากสกรูเทป”[43] เขียนโดย ซี เอส ลูอิสไหม?  หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของเหล่ามารร้ายที่รวมตัวกันหารือวิธีการให้คริสเตียนหมดความปรารถนาในสิ่งฝ่ายวิญญาณและส่งเขาให้ร่วงลงในนรกแบบไม่เป็นท่า  มันเป็นหนังสือเพื่อสอนคริสเตียนให้ระมัดระวังกลอุบายของมารซาตานที่มีไว้ดักคุณและทำให้คุณล้มลง  หนังสือเล่มนี้มีความคิดที่ดีแต่ขอบเขตของมันยังแคบไป  ซาตานมีแผนการที่ใหญ่กว่าการทำให้คริสเตียนแค่หยิบมือพ่ายแพ้

          ในชีวิตจริงนั้นซาตานมีวิธีที่หลักแหลมยิ่งขึ้น!  ผมยกนิ้วให้เลย  ในศิลปะการต่อสู้นั้นคุณอาจต่อสู้กับคู่แข่งของคุณจนถึงตาย  แต่คุณก็ยังคงเคารพในความสามารถของเขาว่าเป็นยอดฝีมือ[44] แม้หลังการต่อสู้แบบเป็นแบบตายจะเสร็จสิ้นลงนักรบทั้งสองฝ่ายก็ยังก้มคำนับให้กันและกัน  มันเป็นมารยาทต่อกันแต่ก็เป็นการยอมรับฝีมือของคู่ต่อสู้ด้วย  ผมยอมรับว่าฝีมือของซาตานนั้นน่าประทับใจ  มันจะต่อสู้กับเราจนถึงตาย  แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ามันหลักแหลม!

         หลักแหลมอย่างไรหรือ?  ขณะที่ผมกำลังพยายามจะลบล้างความเสียหายที่มันทำไป ผมต้องบอกว่าซาตานทำให้งานของเราลำบากขึ้น  มันทำได้สำเร็จที่ทำให้ความคิดของเราสับสนจนเราคิดอย่างชัดๆไม่เป็น  มีความสับสนระหว่างพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์  เราไม่รู้วิธีอ่านพระคัมภีร์อย่างอื่นนอกจากจะอ่านตามวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น  เราทุกคนได้ถูกล้างสมองและถูกปลูกฝังความเชื่อ  และผู้แปลพระคัมภีร์ได้แปลความพระคัมภีร์ให้คุณตามวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มันจึงไม่ได้ช่วยอะไร

     ในมโนภาพของผมนั้นซาตานมองพระยาห์เวห์และต้องการจะหันความสนใจของเราไปจากพระองค์  ช่างหลักแหลมจริงๆ!   ดังนั้นมันจึงตั้งอีกผู้หนึ่งที่เป็นพิมพ์เดียวกันเลยกับพระยาห์เวห์  และเป็นผู้มีความเท่าเทียมกันและนิรันดร์กาลเท่ากันกับพระองค์  คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่า พระเจ้าพระบุตรแตกต่างจากพระเจ้าพระบิดาอย่างไรนอกจากชื่อของสองพระองค์?  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่ยอมให้พระบุตรมีความนิรันดร์กาลตามหลังพระบิดาแม้แต่อึดใจเดียว ฉะนั้นเราจึงไม่รู้เลยว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าในแง่ไหน

         พระคัมภีร์เรียกพระเยซูว่าพระบุตรของพระเจ้าเพราะว่าพระองค์บังเกิดจากนางมารีย์ (ลูกา 1:35) แต่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกสิ่ง  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมพระองค์จึงถูกเรียกว่าพระบุตร?  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระบิดาเป็นพระเจ้าองค์แรก  พระบุตรเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง  และพระวิญญาณเป็นพระเจ้าองค์ที่สามอย่างนั้นหรือ?

         ซาตานได้ใส่เราไว้ในบ้านกระจก เมื่อคุณมองกระจกรอบตัว คุณจะเห็นคนยืนอยู่ตรงนี้และตรงโน้นไปทั่ว   แต่ซาตานไม่ต้องการให้คุณมองเห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว

     ไม่นานมานี้มีคนถามผมว่า ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่เคยถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่?  คำตอบก็คือว่า ถ้าคุณเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว (เหมือนที่ชาวยิวเชื่อ) ดังนั้นเมื่อใดที่ผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็จะรู้ทันทีว่าผมกำลังพูดถึงใคร  แต่เพราะคุณอยู่ในข่ายของผู้นับถือพระเจ้าหลายๆองค์ที่เชื่อในพระเจ้าสามองค์ ฉะนั้นเมื่อผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดถึงพระองค์ไหน  ผมอาจจะหมายถึงทั้งสามพระองค์หรือหมายถึงหนึ่งในสามพระองค์  นี่แหละคือกลลวงของบ้านกระจก คุณไม่รู้ว่าใครเป็นใครอีกต่อไป  จุดรวมความสนใจของคุณมันกระจัดกระจาย[45] ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระคัมภีร์ใหม่แต่อยู่ที่เรา

          เมื่อเปาโลพูดถึงพระเจ้า เขาก็หมายถึงพระเจ้าแน่นอนเพราะสำหรับเปาโลแล้วมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (1โครินธ์ 8:6, 1ทิโมธี 2:5)  พระเยซูพูดกับพระบิดาของพระองค์ว่า “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว” (ยอห์น 17:3)  พระยาห์เวห์ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่ก็เพราะว่าทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียวคือพระยาห์เวห์ของพระคัมภีร์เดิม  แต่การมาจากเบื้องหลังที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์เราจึงแปล “พระเจ้า” คำแรกในยอห์น 1:1 ว่าเป็นพระเจ้าพระบิดา  และแปล “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระเจ้าพระบุตร  แล้วพระเจ้าพระบุตรเข้ามาเกี่ยวโยงได้อย่างไร? เราตีความเกินจากที่มีในตัวบท  กลลวงบ้านกระจกของซาตานนั้นหลักแหลมมากที่ชักจูงคุณให้ถามว่า  “ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่?”  แม้แต่ในอิสราเอลปัจจุบันนี้ชาวยิวก็ไม่พูดว่า “ยาห์เวห์” เมื่อพวกเขากำลังพูดถึงพระองค์ยิ่งกว่านี้สำหรับพวกเขาแล้วพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อชาวยิวเอ่ยถึงพระเจ้า พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้ที่พวกเขาเอ่ยถึงเพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

     แต่สถานการณ์ของคริสตจักรเปลี่ยนแปลงอย่างมากในศตวรรษที่สี่เมื่อมีการประชุมสภาสังคายนาไนเซีย[46]  แม้ก่อนหน้านั้นคริสตจักรได้กลายเป็นคริสจักรที่มีจำนวนคนต่างชาติมากกว่า บรรดาผู้นำคริสตจักรก็คือบรรดาคนต่างชาติที่มาจากเบื้องหลังความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์  พวกเขาไม่ได้เห็นปัญหาในการมีหลายองค์อยู่ในพระเจ้าทั้งๆที่ความจริงแล้วพระคัมภีร์ใหม่เขียนขึ้นโดยบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว และคริสตจักรของพระคัมภีร์ใหม่ก็เชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  สิ่งที่ผมสอนในวันนี้ไม่ได้สอนอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากพระคัมภีร์ใหม่  ผมไม่ได้กำลังสอนสิ่งใหม่แต่เป็นสิ่งที่มีมานานมาก

     สำหรับยอห์นกับเปาโลและอัครทูตคนอื่นๆแล้วพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น  ถ้าคุณแปลความ“พระเจ้า” คำแรกในยอห์น 1:1 ว่าเป็นพระบิดา  และ “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระบุตร  ยอห์นจะเรียกคุณว่าคนนอกรีต มีเรื่องเล่ากันว่านักบุญยอห์นได้พบกับเซรินธุส[47]คนนอกรีตที่ลือชื่อในที่อาบน้ำสาธารณะของเมืองเอเฟซัส คนนอกรีตถามนักบุญยอห์นว่า “คุณจำผมได้ไหม?” และนักบุญยอห์นตอบว่า “จำได้สิ  คุณเป็นลูกของมาร”

     ซาตานหยุดเส้นทางของคริสตจักรและเป็นจุดจบทางฝ่ายวิญญาณจากศตวรรษที่สามเป็นต้นมา  คริสตจักรเริ่มพูดถึงพระเจ้าสามองค์  ไม่ว่าคุณจะพูดยังไงมันก็ยังเป็นสามองค์อยู่ดีคือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นพระเจ้าทั้งสามพระองค์

     พวกผู้นำคริสตจักรรุ่นแรกๆเป็นชาวยิวที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวโดยไม่มีใครยกเว้น  ในศตวรรษที่สองคนต่างชาติที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักร  พอมาถึงศตวรรษที่สามก็ไม่มีผู้นำชาวยิวหลงเหลืออยู่ในคริสตจักร  แต่ในศตวรรษที่สองก็แทบจะไม่หลงเหลือชาวยิวอยู่ในคริสตจักรแล้ว และไม่นานคริสตจักรก็ไม่ได้ยึดมั่นกับความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอีกต่อไป  แต่พวกผู้นำคริสตจักรที่แม้จะมีพื้นหลังของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็ยังตระหนักถึงลักษณะของพระคัมภีร์ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้นพวกเขาจึงรักษาความคล้ายคลึงกันเฉพาะแต่ชื่อว่ามีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวด้วยการเล่นคำว่าสามรวมเป็นหนึ่งและหนึ่งรวมอยู่ในสาม

         ซาตานช่างหลักแหลม  มันไม่ได้แค่สร้างภาพเหมือนของพระยาห์เวห์สองภาพในกระจก คือพระเยซูกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันได้ยกผู้ที่อยู่ตรงกลางคือพระเยซูคริสต์ให้อยู่เหนืออีกสองพระองค์  เหมือนเนื้อเพลงที่ว่า “ข้าต้องการแต่พระเยซู” พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น พระเยซูตลอดเวลา  เมื่อคุณร้องเพลงที่ไพเราะนี้จบแล้วจะมีใครที่ต้องการพระยาห์เวห์ไหม?

จะไม่รู้​อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระ​เยซู​คริสต์​​ทรง​ถูก​ตรึงบนไม้กาง​เขน

          คุณอาจถามว่าเปาโลไม่ได้พูดไว้หรือว่า “เพราะ​ข้าพ​เจ้า​ตั้ง​ใจ​ว่าขณะอยู่กับท่าน  ​จะ​ไม่รู้​อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่อง​พระ​เยซู​คริสต์​และ​การ​ที่​พระ​องค์​ทรง​ถูก​ตรึง​บนไม้​กาง​เขน”  (1 โครินธ์ 2:2 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[48] ทำไมเราจึงยกข้อนี้แยกจากพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือ?  ข้อนี้จะต้องอ่านตามบริบทจากจดหมายฉบับแรกของเปาโลถึงชาวโครินธ์คือเรื่องของพระเยซูทำให้ชาวยิวสะดุดและ​พวก​ต่าง​ชาติก็​ถือ​ว่า​เป็น​เรื่อง​โง่ (1 โครินธ์ 1:23)[49]  ในข้อเดียวกัน (ข้อ 23) เปาโลพูดถึง “ประกาศเรื่องพระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”  ในข้อต่อมา (ข้อ 24) เขาพูดถึง “พระปัญญาของพระเจ้า”   มันขัดกับฉากหลังสถานการณ์ของโครินธ์ที่เปาโลแสดงความตั้งใจที่จะรู้เรื่องการถูกตรึงของพระคริสต์เท่านั้น (พระปัญญาของพระเจ้า) ซึ่งเป็นความคิดที่บางคนถือว่าอ่อนแอและโง่เขลา

          ถ้าคุณจะใช้ข้อนี้เป็นตัวกำหนดหลักคำสอนของคริสเตียนก็ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาคุณเถิด  การยกข้อนี้ข้อเดียวโดดๆจะหมายความว่าเราไม่จำเป็นจะต้องรู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระคริสต์เว้นเรื่องที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน   มุมมองที่จำกัดในกรณีนี้จำกัดเฉพาะแง่มุมเดียวของพระคริสต์ซึ่งมักจะส่งผลเมื่อเราให้หลักคำสอนขึ้นอยู่กับข้อเพียงข้อเดียว  มันหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีกเกี่ยวกับพระคริสต์หรือเกี่ยวกับพระคัมภีร์ใหม่   คุณจะไม่รอดด้วยหลักคำสอนเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีใครเคยรอดโดยแค่เชื่อว่าพระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน  เปาโลกล่าวว่า

ถ้า​ท่าน​จะ​ยอม​รับ​ด้วย​ปาก​ของ​ท่าน​ว่า​ “พระ​เยซู​ทรง​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า”  และ​เชื่อ​ใน​ใจ​ว่าพระเจ้า​ได้​ทรง​ให้​พระ​องค์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย  ท่าน​จะ​รอด    เพราะ​ว่า​การ​เชื่อ​ด้วย​ใจ​ก็​นำ​ไป​สู่ความ​ชอบ​ธรรม  และ​การ​ยอม​รับ​ด้วย​ปาก​ก็​นำ​ไป​สู่​ความ​รอด  (โรม 10:9-10  ฉบับมาตรฐาน 2011)

          ไม่มีใครจะรอดเพียงเพราะเชื่อใน “พระคริสต์ที่ทรงถูกตรึงกางเขน” เราต้องยอมรับด้วยปากของเราว่าพระเยซูเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าและเชื่อในใจของเราว่าพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย

          ซาตานมีความช่ำชองมากที่มันหลอกลวงเราให้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พระเยซูและกันพระยาห์เวห์พระบิดาของเราออกไป   “พระเจ้าพระบุตร” ก็คือพระเยซูของหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งไม่ใช่พระเยซูของพระคัมภีร์ใหม่  พระคัมภีร์ใหม่ไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้าพระบุตร  หลักความเชื่อที่ตั้งบนรากฐานที่ง่อนแง่นอย่างมากจะมาเป็นศิลามุมเอกของหลักคำสอนของคริสตจักรได้อย่างไร? นี่เป็นผลงานการหลอกลวงที่เหลือขนาด ผมก็ถูกหลอกด้วยจนกระทั่งเมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์

อย่าทำผิดพลาดอย่างเดียวกันนี้

          ขออย่าได้ยอมรับสิ่งที่ผมพูดแม้แต่คำเดียวจนกว่าคุณจะตรวจสอบเสียก่อน ให้คุณตรวจสอบกับพระคัมภีร์ด้วยตัวคุณเองอีกสองสามรอบ  หากคุณพบข้อผิดพลาดในการตีความของผม ผมจะขอบคุณถ้าคุณจะชี้ให้ผมเห็น อย่ายอมรับอะไรเพียงเพราะว่าอิริค ชางพูดเช่นนั้น  จงตรวจสอบดูว่ามีการยืนยันเช่นนั้นจากพระคำของพระเจ้าหรือไม่

          อย่าทำผิดพลาดเหมือนอย่างผมที่ยอมรับหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพโดยไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานจากพระคัมภีร์ ผมไม่ได้คิดจะตรวจสอบเพราะผมคิดว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะต้องเป็นความจริงและคงไม่มีใครพยายามจะหลอกลวงผม  ที่จริงไม่มีใครที่เจตนาจะหลอกลวงผม  เราทุกคนถูกหลอกและเราก็หลอกคนอื่นโดยไม่เจตนาที่จะหลอกแม้แต่น้อย

         ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อผมคิดถึงว่าซาตานช่างคิดแผนหลอกลวงที่หลักแหลมอะไรเช่นนี้  ถ้าเราพยายามที่จะเปลี่ยนกลับมา เราอาจถูกหินขว้างตายจากคนที่คิดว่าเราผิดเพี้ยน   ในนิมิตของผม ผมกำลังคิดถึงหนังสือของ ซี เอส ลูอิส เกี่ยวกับกลุ่มของมารร้ายที่รวมหัวกันทำให้คริสเตียนพ่ายแพ้ด้วยการทดลองเขาทางเนื้อหนัง  แล้วเรื่องทำให้เขาพ่ายแพ้ด้วยคำสอนเท็จล่ะ?  คริสตจักรยุคแรกๆก้าวหน้าขึ้นในฝ่ายวิญญานแต่ซาตานก็หยุดยั้งพวกเขาเสีย  และตั้งแต่นั้นมาเราจึงมีคำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนี้    คำว่า “นอกรีต” อาจฟังดูแรง  แต่มันแค่หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงกับพระคำของพระเจ้า  คำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้แพร่ไปทั่วโลกและตอนนี้ก็เข้าไปในประเทศจีน  มันเหมือนกับคลื่นสึนามิที่กวาดโลกและกวาดเอาทุกสิ่งไปด้วย  และผมก็เป็นเสียงเดียวโดดๆ  ถ้าจะพูดแบบปุถุชนธรรมดาแล้วคุณกับผมมีโอกาสเท่ากับศูนย์ที่จะต้านกระแสเดิมได้ ความจริงมักจะเป็นเสียงเล็กๆที่ร้องอยู่ในถิ่นกันดารเหมือนกรณีที่เกิดกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งสุดท้ายแล้วศีรษะของเขาก็ถูกตัดใส่ถาด  เราจะเห็นสิ่งที่รอเราอยู่

มองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของผม

         ในนิมิตของผม (ไม่ใช่นิมิตในความหมายทางฝ่ายวิญญาณ  แต่เป็นภาพที่เข้ามาในความคิดของผม) ผมมองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของตัวเองและการมารู้จักองค์ผู้เป็นเจ้า  เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ๆผมเห็นความสวยงามของพระเจ้าโดยเฉพาะในชีวิตของเฮ็นรี่ ชอย[50]ที่ผมซาบซึ้งอย่างไม่มีวันลืม มีอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาที่ให้ผมเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่ในเขา (มันยากที่จะหาคำพูดมาอธิบาย)  ไม่ถึงหกเดือนต่อมาเขาก็ถูกจับ  เขาเสียชีวิตในค่ายกักกันสักแห่งน่าจะในสภาพที่แย่มากๆ   ผมเป็นหนี้บุญคุณของเขาชั่วชีวิต

     ผมมีชีวิตใหม่ที่ได้เดินกับพระคริสต์  สามัคคีธรรมกับพระองค์และพูดคุยกับพระองค์เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่หวานชื่นนี่เองที่ทำให้ผมหันหลังให้กับทุกสิ่งในโลกนี้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีความหมายกับผม และความทะเยอทะยานทั้งสิ้นของผมที่เกี่ยวกับโลกค่อยๆหมดไปเพราะไม่มีสิ่งใดจะเทียบกับความหวานชื่นในการเดินกับพระคริสต์ในแต่ละวันได้ ผมจะตื่นในตอนเช้าแล้วก็เข้าสนทนากับพระองค์อย่างหวานชื่นทันที ผมจะเดินกับพระองค์ไปตลอดวันและก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันตลอดหลายปี มันเป็นประสบการณ์ที่สุดวิเศษจนไม่สามารถจะสรรหาคำพูดได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆจึงไม่ยินดีกับสามัคคีธรรมเช่นนี้กับพระองค์

         มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงกำลังแบ่งปันเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์กับคุณ  พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา  ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ  แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” (ยอห์น 8:31-32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

         องค์ผู้เป็นเจ้าทรงรักษาคำตรัสของพระองค์ ผมขอบคุณพระองค์อย่างสุดซึ้งที่สุดท้ายแล้วจากคำหลอกลวงทั้งหมดที่ผมถูกสอนมา จากกลลวงทั้งสิ้นของซาตาน จากกระจกเงาแห่งความสับสนทั้งหลายที่ซาตานจัดให้นั้น พระเยซูได้ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงเป็นมิตรสหายแท้  พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกเราว่า “คนรับใช้” แต่ทรงเรียกเราว่ามิตรสหาย เพราะว่า “​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ได้​ยิน​จาก​พระ​บิดา เรา​สำ​แดง​แก่​พวก​ท่าน​แล้ว” (ยอห์น 15:15)  ด้วยความรักที่ผมมีต่อพระองค์และความร้อนรนที่จะศึกษาพระคำของพระเจ้าโดยได้อ่านหนังสือศาสนศาสตร์อย่างนับจำนวนไม่ถ้วนและจดบันทึกไว้อย่างละเอียดนี่เอง องค์ผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงนำผมมาโดยตลอด

     ถ้าคุณประมวลสิ่งที่ผมได้พูดและสอนว่าผมกำลังผลักพระเยซูออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจผมเลยจริงๆ  เพราะถ้าไม่ได้มีการสำแดงพระองค์เองและการช่วยทูลขอของพระองค์ (ฮีบรู   7:25)[51] ผมก็คงไม่ได้มาถึงวันนี้ ผมได้แต่นึกภาพว่าจะต้องมีการทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้ามากแค่ไหนจนในที่สุดได้เปิดตาของผมที่บอดด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้เห็นว่าใครคือพระบิดาและใครคือพระเยซู

         ไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้มิตรภาพของผมกับพระเยซูลดน้อยลงได้  ถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าพระบุตร นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรักพระองค์น้อยลงเลย  พระเยซูทรงผูกหัวใจของผมไว้กับพระองค์อย่างแน่นเหนียวโดยที่ห้าสิบกว่าปีที่ได้เดินกับพระองค์และเห็นการอัศจรรย์ต่างๆนั้นผมก็ได้สามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์มาตลอดโดยไม่รู้ตัว  จากนั้นผมก็ตื่นขึ้น (เหมือนอย่างยาโคบ) พูดได้เพียงว่า “พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในที่นี้ แต่ผมไม่รู้เลย!”[52] 

     พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในพระคริสต์มาตลอด  ดังนั้นในการพูดคุยกับพระเยซูผู้เป็นมิตรสหายเลิศนี้ผมก็กำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์ด้วย  ถ้าไม่มีพระเยซูก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงพระบิดาได้

          ในที่สุดพระเยซูก็ทรงเปิดเผยความจริงกับผม ความจริงที่ทำให้เป็นไท  “อิริค เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อเจ้าพูดอยู่กับเรา เจ้าก็กำลังพูดอยู่กับพระบิดาของเราด้วย?”  พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา” (ยอห์น 14:23 ฉบับมาตรฐาน 2011) คุณจะมีพระเยซูโดยที่ไม่มีพระยาห์เวห์ไม่ได้  และคุณก็จะมีพระยาห์เวห์โดยไม่มีพระเยซูไม่ได้  พระเยซูได้ทรงนำผมให้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์แล้ว  แต่ผมไม่รู้เพราะว่าผมถูกบังตาด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เรามีสหายเลิศคือพระเยซู!

     พระเยซูได้ทรงอยู่ด้วยกับผมและพระบิดาได้ทรงอยู่ด้วยกับผมมาตลอด  ผมทูลขอพระบิดาให้ยกโทษผมที่ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดและสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์  ในขณะเดียวกันพระเยซูได้พยายามจะบอกผมว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็นอยู่ก็เพราะพระบิดา

         ผมซาบซึ้งไม่มีวันจบสำหรับมิตรภาพของผมกับพระเยซู  มิตรภาพที่แข็งแกร่งมากจนผมไม่ต้องการอะไรและใครอีก (พูดอย่างจริงใจ)  ผมสามารถใช้ชีวิตตามลำพังกับพระเยซูได้  บางครั้งผมต้องขอโทษเฮเลนที่ความสัมพันธ์สนิทของผมกับพระเยซูอาจทำให้เธอรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง  ที่จริงแล้วผมไม่จำเป็นจะต้องแต่งงาน  ที่ผมแต่งงานก็เพราะการเป็นคนโสดในฐานะที่เป็นผู้นำคริสตจักรนั้นทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมากมายได้  แต่ผมคิดว่าเธอเข้าใจที่ผมพอใจกับการอยู่กับพระเยซูตามลำพัง  ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าโดยพระคุณของพระเจ้าแล้วคงไม่มีใครในห้องนี้หรือคงไม่มีใครในโลกนี้จะรักพระเยซูมากกว่าผม  มากเท่ากับผมก็ใช่ แต่ไม่มากกว่าผม

     ถ้ามีใครยก 1 โครินธ์ 2:2 เพื่อจะบอกผมว่าผมต้องรู้จักพระเยซูเพียงผู้เดียว  ผมก็จะพูดกับเขาว่า  คุณจะรู้จักแต่พระเยซูเท่านั้นไม่ได้  เพราะเมื่อคุณรู้จักพระองค์จริงๆคุณจะมีทั้งพระบิดาและพระบุตรสถิตอยู่ในคุณ  จะไม่มี “แต่พระเยซูเท่านั้น”  นั่นคือสิ่งที่ซาตานต้องการให้คุณเชื่อ  คุณสามารถจะเชื่ออย่างนั้นตามความเพ้อฝันแต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงในฝ่ายวิญญาณ  เพราะในความเป็นจริงแล้วพระเยซูจะแยกจากพระบิดาไม่ได้เลย

     ผมขอจบด้วยการทิ้งเรื่องนี้ไว้ในใจและความคิดของคุณ  ที่ผมสอนเรื่องทั้งหมดนี้ก็พราะว่าพระเยซูได้ทรงนำผมให้ทำสิ่งนี้  ถ้าผมฉุกคิดแม้สักนิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่พระเยซูไม่พอพระทัย ผมก็คงจะหยุดอยู่ตรงนั้น  แต่ที่ผมทำอยู่นี้ก็เพราะองค์ผู้เป็นเจ้าและมิตรสหายของผมได้บอกให้ผมทำ  พระองค์ทรงเปิดตาของผม  ทรงให้ผมเห็นความสว่างและทรงนำผมเข้ามามีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์   เมื่อคุณได้รู้จักพระยาห์เวห์ คุณจะไม่มีวันเหินห่างจากพระเยซู  ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซูจะยิ่งใกล้ชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ทั้งหมดที่ผมกำลังสอนคุณในวันนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการศึกษาอบรมทางการตีความและทางวิชาการมาเป็นเวลานานปี  แต่เป็นผลมาจากการเดินของผมกับพระเยซู

         ผมหวังว่าคุณจะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้มีค่าลดน้อยลงกับเราเมื่อเรายกย่องพระยาห์เวห์  การยกย่องพระยาห์เวห์เป็นสิ่งหนึ่งที่พระเยซูทรงต้องการให้ผมทำตลอดเวลา  พระองค์ทรงต้องการให้ผมพูดกับพระบิดาแม้ในขณะที่ผมกำลังพูดอยู่กับพระเยซู  พระเยซูทรงกรุณาและมีเมตตามากที่ในที่สุดผมก็ค้นพบว่าผมได้พูดคุยกับพระบิดามาโดยตลอด บางครั้งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจก็ไหลออกมาเมื่อผมคิดถึงมิตรภาพที่สุดวิเศษของผมกับพระเยซู


[1] “I will raise it again in three days” (ผู้แปล)

[2] “he was raised from the dead”  (ผู้แปล)

[3] “กรรตุวาจก” กับ “กรรมวาจก” (the active voice versus the passive voice “กริยาที่ประธานเป็นผู้กระทำ” กับ “กริยาที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ” หรือ “ตนเป็นผู้กระทำเอง” กับ “ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ”)  “raise” (ข้อ19) อยู่ในรูปของกรรตุวาจกที่พระเยซูเป็นผู้กระทำเอง และ “was raised” (ข้อ 22) อยู่ในรูปของกรรมวาจกคือพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้พระเยซู  คือพระเจ้าเป็นผู้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมา พระเยซูไม่ได้เป็นผู้ชุบพระองค์เอง (ผู้แปล)

[4] คำว่า “ยกขึ้น” หรือ “ชุบขึ้น” มาจากคำภาษาอังกฤษคำเดียวกัน “raise” และคำภาษากรีกคำเดียวกันคือ “4” (ผู้แปล)

[5] “ipsissima verba” คำภาษาลาตินที่เป็นคำต้นฉบับของเจ้าของคำพูดแบบคำต่อคำ (ผู้แปล)

[6] ฉบับ 1971

[7] Synoptics (พระกิตติคุณมัทธิว มาระโก และลูกา ที่กล่าวถึงชีวิตและพันธกิจของพระเยซูจากมุมมองที่เหมือนกัน) -ผู้แปล

[8] ฉบับมาตรฐาน 2011 (ข้อ 58 “เราเป็นอยู่แล้ว”  ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “I am”  (“I tell you the truth,” Jesus answered, “before Abraham was born, I am!” John 8:53-58, NIV)  -ผู้แปล

[9] “พระเมสสิยาห์” หมายถึง “พระคริสต์” (ผู้แปล)

[10] “I am”

[11] “I am who I am”

[12] หรือแปลว่า “มาก่อน” (ผู้แปล)

[13] “The Word was God” John 1:1 ( In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God)

[14] อิสยาห์ 45:5  “เรา​คือ​ยาห์เวห์ และ​ไม่​มี​ผู้​อื่น​อีก นอก​จาก​เรา ไม่​มี​พระ​เจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[15] แปลตรงตามคำกรีกได้ว่า “แรกเริ่มเดิมทีพระคำดำรงอยู่  และพระคำอ้างอิงถึงพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคำ” (ผู้แปล)

[16] “In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God.”

[17] ในภาษากรีกหมายถึง “พระคำ” (โลกอส)

[18] กิจการ 2:22   “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ผู้​เป็น​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เรื่อง​ต่อ​ไป​นี้ คือ​พระ​เยซู​ชาว​นา​ซา​เร็ธ​ผู้​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​รับ​รอง​ต่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย โดย​การ​อิทธิ​ฤทธิ์ การ​อัศ​จรรย์​และ​หมาย​สำ​คัญ​ต่างๆ ที่​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ทำ​โดย​พระ​องค์​(พระ​เยซู​ชาว​นา​ซา​เร็ธ)ท่าม​กลาง​ท่าน​ทั้ง​หลาย ดัง​ที่​พวก​ท่าน​ทราบ​อยู่​แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[19] หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์”

[20] Jurgen Moltmann  นักศาสนศาสตร์ปฏิรูปชาวเยอรมันผู้เขียนเรื่อง “พระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน” (The Crucified God) -ผู้แปล

[21] Nestorius  (21) เป็นหัวหน้าบาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลระหว่างปี ค.ศ. 428-431 (ผู้แปล)

[22] ลมปราณแห่งชีวิต

[23] อิสยาห์ 45:5-6  5“เรา​คือ​ยาห์เวห์ และ​ไม่​มี​ผู้​อื่น​อีก นอก​จาก​เรา ไม่​มี​พระ​เจ้า เรา​คาด​อาวุธ​ให้​เจ้า แม้​เจ้า​ไม่​รู้​จัก​เรา  6 เพื่อว่า​คน​จะ​รู้​ตั้ง​แต่​ที่​ตะวัน​ขึ้นและ​จาก​ที่​ตะวัน​ตก​ว่า ​ไม่​มี​ใคร​นอก​จาก​เรา เรา​คือ​ยาห์เวห์ และ​ไม่​มี​ผู้​อื่น​อีก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[24] ฉบับมาตรฐาน 2011

[25] จากฉบับมาตรฐาน 2011  เป็นคำเดียวกับ “เกียรติ” ในยอห์น 17:5 และยอห์น 17:24 ที่มาจากคำกรีกคำเดียวกันคือ “δόξα” (doxa) และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลคำนี้ว่า “เกียรติสิริ”(ผู้แปล)

[26] เอเฟซัส 1:4 “ดัง​เช่นใน​พระ​คริสต์ พระ​เจ้า​ทรง​เลือก​เรา​ตั้ง​แต่​ก่อน​ทรง​สร้าง​โลก เพื่อ​ให้​เรา​บริ​สุทธิ์​และ​ปราศ​จาก​ตำ​หนิ​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระ​องค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[27] “คือ​คน​ที่​ไม่​มี​ชื่อ​จด​ไว้​ใน​หนัง​สือ​แห่ง​ชีวิตของ​พระ​เมษ​โป​ดก​ผู้​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง​โลก” (วิวรณ์ 13:8 ฉบับมาตรฐาน 2011)

[28] “เราเป็น” ที่พบในข้อนี้ถ้าจะบอกว่าอ้างถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 ก็น่าขำ เพราะจะทำให้พระยาห์เวห์เท่าเทียมกับบุตรมนุษย์ นี่จะเป็นปัญหาทางศาสนศาสตร์ แล้วยังทำให้พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่พูดว่า “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ  พระบิดาสอนเราอย่างไรเราก็กล่าวอย่างนั้น” ถ้อยคำดังกล่าวนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พระยาห์เวห์จะเป็นผู้ตรัส พระเยซูตรัสในยอห์น 14:24 ว่า “คำ​ที่​พวก​ท่าน​ได้​ยิน​นี้​ไม่​ใช่​คำ​ของ​เรา  แต่​เป็น​ของ​พระ​บิดา​ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา”  เพราะสำหรับพระเยซูแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์

[29] อ่านว่า “ฮุปโซโอ” (hupsoō) -ผู้แปล

[30] ฉบับมาตรฐาน 2011 หรือฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ตั้งแต่ก่อนโลกเริ่มขึ้น” (ผู้แปล)

[31] คำกรีก “เมษโปดก” ปรากฏ 29 ครั้งในวิวรณ์  มีหนึ่งครั้งที่อ้างถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เหลือ 28 ครั้งอ้างถึงพระเยซู (28 คือ 4 คูณ 7  ที่ 4 กับ 7  เป็นตัวเลขสำคัญในวิวรณ์)

[32] อ่านว่า “โปร-ออ-อิดโซ” (proorizō) -ผู้แปล

[33] โรม 8:29 “พระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์” (ฉบับไทยคิงเจมส์)  ฉบับมาตรฐาน  2011 แปลว่า “พระ​องค์​ทรง​กำ​หนด​ไว้​ก่อน​ให้​เป็น​ตาม​พระ​ฉายา​แห่ง​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์” (ผู้แปล)

[34]  “Genitive” การกทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (ผู้แปล)

[35] 35 (ยอห์น 16:27 BGT)-ผู้แปล

[36] 36 (ยอห์น 6:46 BGT)-ผู้แปล

[37] แปลตรงตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)

ยอห์น 1:6  “มีชายคนหนึ่งถูกส่งมา ชื่อของเขาคือยอห์น” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

ยอห์น 1:6  “มี​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ใช้​มา​ชื่อ​ยอห์น” (ฉบับ 1971 ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับไทยคิงเจมส์)-ผู้แปล

ยอห์น 1:6  ฉบับภาษาอังกฤษ  “There came a man who was sent from God; his name was John” (NIV)

ยอห์น 1:6  ฉบับภาษากรีก 37 (BGT)

[38] “พระ​เมส​สิ​ยาห์” (ซึ่ง​แปล​ว่า​พระ​คริสต์ และแปล​ได้​อีก​ว่าผู้​​รับ​การ​​เจิมในยอห์น 1:41) -ผู้แปล

[39] สดุดี 2:2 “บรร​ดา​กษัตริย์​แห่ง​แผ่น​ดิน​โลก​ตั้ง​ตน​เอง​ขึ้น และ​นัก​ปก​ครอง​ปรึก​ษา​กัน ต่อ​สู้​พระ​ยาห์​เวห์​กับ​ผู้​รับ​การ​เจิม​ของ​พระ​องค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[40] Discovery Bay

[41] หรือกลุ่มคริสตชน (ผู้แปล)

[42] ฉบับ 1971 แปลว่า “ที่​พระ​องค์​ทรง​ได้มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​องค์​เอง​”

ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า ซึ่งทรง​ซื้อมา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​องค์​เอง​

ภา​ษา​กรีก​แปล​ตรง​ตัว​ว่า “พระ​โลหิต​ของ​ผู้​ที่​เป็น​ของ​พระ​องค์​เอง” (กิจการ 20:28  คำอธิบายจากฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[43] “The Screwtape Letters” by C.S. Lewis

[44] มาจากคำภาษาจีนว่า 高手(gāoshǒu “เกาโฉ่ว”)

[45] คำภาษาจีนคือ  “注意力分散了”

[46] Council of Nicaea

[47] Cerinthus  ช่วง ค.ศ. 100 (ผู้แปล)

[48] “เพราะ​ข้าพ​เจ้า​ตั้ง​ใจ​ว่า​จะ​ไม่​แสดง​ความ​รู้​เรื่อง​ใดๆ ใน​หมู่​พวก​ท่าน​เลย เว้น​แต่​เรื่อง​พระ​เยซู​คริสต์​และ​การ​ที่​พระ​องค์​ทรง​ถูก​ตรึง​ที่​กาง​เขน” (1 โครินธ์ 2:2 ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

“ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าความรู้เดียวที่ข้าพเจ้ามีเมื่ออยู่ในหมู่พวกท่านก็คือความรู้เรื่องพระเยซู  และเรื่องพระองค์ผู้เป็นพระคริสต์ได้ถูกตรึงที่กางเขน” (1โครินธ์ 2:2 แปลจากฉบับนิวเยรูซาเล็ม, NJB) – ผู้แปล

[49] 1 โครินธ์ 1:23 “แต่​เรา​ประ​กาศ​เรื่อง​พระ​คริสต์​ทรง​ถูก​ตรึง​ที่​กาง​เขน​นั้น อัน​เป็น​สิ่ง​ที่​พวก​ยิว​สะดุด และ​พวก​ต่าง​ชาติ​ถือ​ว่า​เป็น​เรื่อง​โง่” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[50] Henry Choi

[51] ฮีบรู 7:25 เพราะ​เหตุ​นี้ พระ​องค์​จึง​ทรง​สา​มารถ​ช่วย​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​เข้า​มา​ใกล้​พระ​เจ้า​โดย​ทาง​พระ​องค์​นั้น​อย่าง​เต็ม​ที่ เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่​ทุก​เวลา เพื่อ​ทูล​ขอ​เผื่อ​คน​เหล่า​นั้น (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[52] ปฐมกาล 28:16  ยาโคบ​ตื่น​ขึ้น​จาก​หลับ​ก็​พูด​ว่า “พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​อยู่ ณ ที่​นี้​แน่​ที​เดียว แต่​ข้า​เอง​ไม่​รู้” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล