บทที่ 11
รู้จักพระเยซูก็รู้จักพระยาห์เวห์
การตีความตามพระคัมภีร์และความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ผมไม่ได้ตระหนักว่าการตีความพระคัมภีร์จะเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อนกับบางคน คราวก่อนผมพูดถึงหลักเกณฑ์ห้าอย่างของการตีความซึ่งที่จริงมีมากกว่าห้า ผมพูดถึงส่วนสำคัญเพียงห้าอย่างแต่แค่อย่างเดียวพวกคุณส่วนมากก็แทบจะทำกันไม่ได้ ในบทนี้ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าในการตีความยอห์นนั้นยังมีสิ่งอื่นอีกที่นอกเหนือจากทักษะเฉพาะ และสิ่งเหล่านี้จำเป็นกับการเข้าใจลักษณะของพระกิตติคุณยอห์น คุณจะไม่ได้อะไรกับการดูข้อนี้ทีและข้อนั้นที ถ้าคุณไม่เข้าใจวิธีคิดของยอห์นและรูปแบบความคิดที่แทรกอยู่ในพระกิตติคุณของเขา คุณจะแปลความคิดของเขาผิดไป
หลักการบางอย่างในการทำความเข้าใจยอห์นนั้นไม่สามารถใช้เป็นประโยชน์ได้กับเราที่เป็นบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะหลักเหล่านั้นไม่เข้ากับวิธีทำความเข้าใจพระคัมภีร์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ให้เราพิจารณากันคร่าวๆจากยอห์น 2:19-22ที่เราดูกันคราวก่อน คุณจะสังเกตเห็นว่าผมใช้เวลามากกับหนังสือยอห์น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระกิตติคุณยอห์นเป็นแหล่งของข้อมูลหลักที่สนับสนุนความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์สำหรับผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมกำลังใช้ข้อเด่นๆ ของพวกเขา ต่อไปนี้คือยอห์น 2:19-22
19พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ทำลายวิหารนี้เสีย แล้วเราจะยกขึ้นใหม่ในสามวัน”20พวกยิวทูลว่า “วิหารนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปีและท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?”21 แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงก็คือพระกายของพระองค์ 22หลังจากที่พระองค์ทรงถูกยกให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว พวกสาวกของพระองค์จึงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ (ยอห์น 2:19-22ฉบับNIV)
คราวก่อนเราเห็นความขัดแย้งระหว่างข้อ19 (“เราจะยกขึ้นใหม่ในสามวัน” หรือแปลว่า “เราจะชุบขึ้นใหม่ในสามวัน”) กับข้อ22 (“พระองค์ทรงถูกยกให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว” หรือแปลว่า “พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว”) ข้อ19 ที่เจ้าตัวเป็นผู้กระทำเองและข้อ22 ที่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำให้[1] ในกรณีแรกพระเยซูจะเป็นผู้ยก (หรือชุบ)[2] พระกายของพระองค์เองขึ้น คือวิหารที่เป็นพระกายของพระองค์ แต่ในกรณีหลังพระเจ้าจะเป็นผู้ยก (หรือชุบ) พระเยซูขึ้น ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองไม่มีหนทางแก้ความขัดแย้งนี้ แต่ความขัดแย้งจะหายไปเมื่อเราตรวจสอบคำกล่าวของพระเยซูในมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์
เราได้เห็นแล้วว่าในพระคัมภีร์ใหม่นั้นจะเป็นพระบิดา (พระยาห์เวห์) เสมอที่ชุบพระบุตรให้เป็นขึ้น ไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องนี้นอกเสียจากว่าจะให้ยอห์น 2:19 เป็นข้อยกเว้น แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้น มันก็จะขัดแย้งกับส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์เช่นกัน ดีที่ความขัดแย้งหมดไปด้วยคำอธิบายตามความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวของข้อ 19 เป็นคำอธิบายที่เสริมความจริงให้หนักแน่นขึ้นด้วยว่าแท้จริงแล้วพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ตรัสผ่านทางพระเยซูในข้อนี้
ถ้าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซู แล้วเมื่อพระเยซูตรัสนั้นใครคือผู้ที่พูด? เป็นพระเยซูพูดเองหรือว่าเป็นพระยาห์เวห์? เราเคยได้ยินถ้อยคำต้นฉบับ[3]ของพระบิดาไหม? ถ้าเคย ถ้อยคำตรงนี้ก็เป็นคำพูดของพระยาห์เวห์เองที่ตรัสผ่านพระโอษฐ์ของพระเยซู ในตัวอย่างนี้พระยาห์เวห์กำลังตรัสผ่านพระเยซูว่า “ทำลายวิหารนี้เสีย และเรา ยาห์เวห์ จะยกขึ้นใหม่ในสามวัน” นี่ไม่เพียงแก้ปัญหาข้อขัดแย้งกับข้อ22 เท่านั้น คำกล่าวของพระยาห์เวห์ยังเป็นจริงในข้อ22 ด้วยในคำกล่าวว่าพระเยซู “ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว” (นั่นก็คือ พระเยซูไม่ได้ชุบพระองค์เองให้เป็นขึ้น)
เราจะเข้าใจคำกล่าวหลายอย่างในคำเทศนาบนภูเขามากขึ้น เมื่อเราเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ตรัสผ่านพระเยซูในลักษณะเดียวกับที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม (“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า”) แม้พระเยซูจะไม่ได้ตรัสเสียทีเดียวว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า” แต่ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็ยังคงมาถึงเราโดยตรงผ่านทางพระเยซู (“แต่เราบอกท่านว่า”)
การสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ซึ่ง “ถูกปิดบังไว้” ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก[4] ตอนนี้ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ในพระกิตติคุณยอห์น นั่นคือหนึ่งในความแตกต่างพื้นฐานระหว่างพระกิตติคุณสามเล่มแรกกับพระกิตติคุณยอห์น กระบวนการคิดของยอห์นจะแตกต่างจากพระกิตติคุณสามเล่มแรก
เรายังได้ดูยอห์น 8:58ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู
53“ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราหรือ? ท่านตายไปแล้วและพวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเช่นกัน ท่านคิดว่าท่านเป็นใครหรือ?”54พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเรายกย่องตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระบิดาของเราซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของท่านคือผู้ที่ยกย่องเรา55ถึงแม้ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จัก เราก็เป็นคนโกหกเหมือนท่าน แต่เรารู้จักพระองค์และทำตามพระดำรัสของพระองค์56อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีเมื่อนึกถึงที่จะได้เห็นวันของเราท่านก็ได้เห็นแล้วและยินดี”57พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ!”58พระเยซูตรัสตอบว่า “ก่อนอับราฮัมเกิดนั้น เราเป็น!” (ยอห์น 8:53-58NIV)
การถกเถียงกันเริ่มด้วยคำถามที่ว่าใครเป็นใหญ่กว่ากัน พระเยซูหรืออับราฮัม (ข้อ53) คำตอบก็คือพระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม ไม่ใช่เพราะพระเยซูทรงยกย่องตัวพระองค์เอง แต่เป็นเพราะพระบิดาได้ทรงยกย่องพระองค์ (ข้อ54) ถ้าพระเยซูทรงยกย่องตัวพระองค์เอง เกียรติของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย พระเยซูตรัสต่อไปว่าอับราฮัมชื่นชมยินดีที่ได้ “เห็นวันของเรา” (ข้อ56) คำกล่าวนี้หลายคนแปลผิดว่า “เห็นเรา” นั่นคืออับราฮัมได้เห็นองค์พระเยซู ความจริงแล้วสิ่งที่อับราฮัมเห็นก็คือวันของพระเมสสิยาห์[5] นั่นก็คือวันแห่งอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ อับราฮัม “ก็ได้เห็นแล้วและยินดี” อาณาจักรนั้นยังมาไม่ถึงในช่วงชีวิตของเขา ดังนั้นอับราฮัมคงได้เห็นตามการเผยพระวจนะ ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งของคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมก็คือการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์
แต่ชาวยิวเข้าใจประเด็นนี้ผิดไป“ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” (ข้อ57) ที่จริงคำถามนั้นกลับกันกับคำกล่าวของพระเยซู ในขณะที่พระเยซูตรัสเพียงว่าอับราฮัมได้เห็นวันของพระองค์ชาวยิวก็พูดว่า “ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” พระเยซูตรัสตอบในเรื่องนี้ว่า “ก่อนอับราฮัมเกิดเราเป็น” (ข้อ58)
เราเข้าใจคำว่า “เราเป็น” ตรงนี้อย่างไร? ในพระคัมภีร์มีพระยาห์เวห์แต่เพียงผู้เดียวที่มีชื่อเรียกว่า “เราเป็น” บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่า “เราเป็น” ที่พระเยซูสตรัสตรงนี้หมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”[6] ในอพยพ3:14 หากสิ่งนี้ถูกต้อง คำกล่าวของพระเยซูก็จะหมายถึงว่า “ก่อนอับราฮัมเกิด พระยาห์เวห์ทรงเป็น” แต่ยอห์น 8:58กำลังพูดถึงพระเยซู ไม่ได้พูดถึงพระยาห์เวห์ ดังนั้นความพยายามใดๆ ที่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจากข้อนี้ จะลงเอยด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูก็คือพระยาห์เวห์เท่านั้น เนื่องจากนั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำลังมองหา ดังนั้น “เราเป็น” ในยอห์น8:58 จึงไม่ได้หมายถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 ข้อสรุปจึงมีเพียงสองอย่างคือ พระเยซูเป็นพระเจ้า หรือพระองค์ไม่ได้เป็น และถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็ต้องเป็นพระยาห์เวห์เท่านั้น ไม่ใช่พระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพ
การพูดว่า “ก่อนอับราฮัมเป็นอยู่เราเป็น”นั้นพระเยซูทรงหมายความว่า พระองค์ทรงอยู่ก่อนอับราฮัมในแง่ของกาลเวลา (พระองค์มาก่อนหน้าอับราฮัม) หรือว่าในแง่ของสถานะ (พระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม)? เราต้องจำไว้ว่าในข้อ53ก่อนหน้านี้ เป็นประเด็นที่เห็นชัดว่าเป็นเรื่องของลำดับความเป็นใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของลำดับเหตุการณ์หรือวันเวลา ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมาก่อนใคร แต่อยู่ที่ว่าใครอยู่เหนือกว่าใคร พระเยซูทรงมีอันดับหรือตำแหน่งที่เหนือกว่าอับราฮัมเพราะพระบิดาได้ทรงยกย่องพระองค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นการคำนึงถึงประเด็นไหน (อันดับหรือลำดับเวลา) ข้อนี้ก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ได้ ที่จะพิสูจน์ได้มากที่สุดคือพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระยาห์เวห์ ถ้าคุณใช้ข้อนี้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ คุณก็จะมาจบลงที่พิสูจน์ว่าพระคริสต์ก็คือพระยาห์เวห์เอง แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำลังมองหา แต่ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ฉะนั้น “เราเป็น” จากอพยพ3:14 จึงไม่ได้ใช้หมายถึงพระเยซู
ถ้าเราบอกว่าพระเยซูทรงมาก่อนอับราฮัมในเรื่องของลำดับเวลา ก็จะทำให้พระเยซูดำรงอยู่ก่อน แต่นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะเหล่าทูตสวรรค์และผีมารก็ดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเช่นกัน แล้วเรากำลังพยายามจะพิสูจน์อะไรหรือ? ถ้าเรายังยืนกรานการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซูซึ่งไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยกับการเป็นพระเจ้าของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ไหน? ถ้าเราบอกว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมก็จะเป็นปัญหาในแง่ของพระคัมภีร์ เพราะพระเยซูทรงบังเกิดในเบธเลเฮม การบังเกิดของพระองค์สามารถหาช่วงเวลาและสถานที่ได้ คือในเบธเลเฮมราว5 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งมาทีหลังอับราอัมอย่างมาก ถ้าเราบอกว่า พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนที่จะทรงบังเกิดในเบธเลเฮม งั้นก็จะหมายความว่าพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ตามที่บางคนเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองในยอห์น6:41(“เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”) หรือ? พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ที่วิญญาณของพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมไหม? เรากำลังพูดถึงวิญญาณแบบไหนหรือถ้าหากพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ และด้วยเหตุนี้พระองค์ก็ไม่ใช่ “เราเป็น” ในอพยพ 3:14? ไม่มีผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนไหนต้องการเปรียบพระเยซูให้เท่ากับพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์คือพระเจ้าพระบิดา ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร
คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่เข้าใจได้ก็คือเข้าใจ “ก่อนอับราฮัม” ในแง่ของสถานะ คือพระเยซูทรงอยู่เหนืออับราฮัม ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวถึงพระเยซูว่า “นี่คือผู้ที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงมาก่อนข้าพเจ้า”(ยอห์น 1:15ฉบับ ESV) มันเป็นได้อย่างไรที่พระเยซูจะมาก่อนยอห์นผู้ให้บัพติศมา ในเมื่อพระองค์เกิดหลังยอห์นผู้ให้บัพติศมา? ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดไว้ชัดเจนว่าจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ในแง่ของความเป็นใหญ่ (“ทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า”)
พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์
เรามีพระเยซูสององค์อยู่ตรงหน้าเราคือพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์ ถ้าคุณจะพูดถึงพระเยซูกับผม ผมก็ต้องถามคุณว่าคุณกำลังพูดถึงพระเยซูองค์ไหนเพราะพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นแตกต่างจากพระเยซูตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง
พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นเป็นการลงมาบังเกิดของพระเจ้าพระบุตร ถ้าเราใส่เป็นสมการได้ก็จะเป็น λόγος(logos, ถ้อยคำ, วาทะ) = พระเจ้าพระบุตร =พระเยซูคริสต์ สมการนี้ไม่เข้ากับยอห์น 1:1
สมการตามพระคัมภีร์คือ λόγος(logos, ถ้อยคำ, วาทะ) = พระยาห์เวห์พระเยซูคริสต์ ตรงนี้มีเครื่องหมายเท่ากับ แต่ยังมีลูกศรด้วยที่บ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้มาสถิตอยู่ในพระเยซูคริสต์ λόγος(โลกอส) นี้เท่ากับพระยาห์เวห์ แต่ไม่เท่ากับพระเยซู สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือ สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่าพระเจ้าพระบุตรเท่ากับพระเยซูคริสต์ แต่สมการนี้ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องทั้งจากยอห์น 1:1หรือยอห์น1:14หรือพระกิตติคุณยอห์น หรือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม
สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ λόγος(logos) = พระเจ้าพระบุตร เจอปัญหาในยอห์น1:1 เมื่อเราอ่านคำกล่าวเช่น “พระวาทะเป็นพระเจ้า” นั้นปัญหามีอยู่ว่า ใครคือพระเจ้า? คำตอบตามพระคัมภีร์ก็คือ “เราคือพระเจ้า (พระยาห์เวห์) และไม่มีใครอื่น นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด” (อิสยาห์45:5 ฉบับ NIV)[7] พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว แล้วพระเจ้าพระบุตรมาจากไหนหรือ? สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระเจ้าพระบุตรเลย ถ้าคุณอยากจะส่งเสริมความเชื่อในตรีเอกานุภาพละก็ คุณกำลังใช้พระคัมภีร์ผิดเล่มแล้ว เพราะพระคัมภีร์เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ซึ่งแม้แต่บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังยอมรับ
การที่คุณเชื่อในองค์พระเจ้าพระบุตรผู้ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้จากพระคัมภีร์นั้น เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรอดไหม?ใจคุณยึดอยู่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแน่นมากจนคุณไม่สามารถจะเชื่อได้ว่าไม่มีบุคคลดังกล่าวอยู่เลย แต่น่าเสียดายที่ใจมนุษย์สามารถเชื่อในบุคคลที่นึกคิดขึ้นซึ่งไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ การตีความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นเป็นการตีความเกินจากที่มีในตัวบทในสมัยที่ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพผมไม่ได้เดือดร้อนที่จะตรวจสอบการแปลความยอห์น 1:1ของเราเลย และนั่นเป็นเพราะผมสันนิษฐานเอาว่าคริสเตียนทุกคนเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและ “พระเจ้า” ในยอห์น 1:1คือพระเจ้าพระบุตร ผมไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนั้นจากพระคัมภีร์เลย แล้วทำไมผมจะต้องพิสูจน์ด้วยในเมื่อทุกคนก็เชื่อเช่นนี้?
แต่ข้อผิดพลาดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ปรากฏให้เห็นเมื่อผมได้ทำตามหลักของการตีความตามตัวบทและตั้งคำถามเช่น ตัวบทนี้สนับสนุนมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจริงๆหรือ? “พระเจ้า” หมายถึง “พระเจ้าพระบุตร” จริงๆหรือ? มีหลักฐานที่ไหนไหมที่กล่าวถึงบุคคลดังกล่าว? ยอห์น1:1กล่าวว่า
In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God.
ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่และพระวาทะอยู่กับพระเจ้าและพระวาทะเป็นพระเจ้า
Ἐν ἀρχῇ ἦν ὁ λόγος, καὶ ὁ λόγος ἦν πρὸς τὸν θεόν, καὶ θεὸς ἦν ὁ λόγος.[8]
เราจะพิสูจน์คำยืนยันของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อย่างไรว่าคำ “พระเจ้า” ที่ปรากฏครั้งแรกในข้อนี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดาและที่ปรากฏครั้งที่สองหมายถึงพระเจ้าพระบุตร? ทำไมเราจึงเปลี่ยนความหมายของคำ “พระเจ้า” ในช่วงของสามคำ? คำว่า “พระเจ้า”(“θεὸς”) สองคำนี้ในภาษากรีกจะคั่นด้วยคำเล็กๆว่า “καὶ” (kai, และ) ในขณะที่ฉบับแปลภาษาอังกฤษมีสี่คำมาคั่น แต่เราก็สันนิษฐานโดยไม่มีข้อพิสูจน์ว่าคำ “พระเจ้า” ได้เปลี่ยนความหมายในช่วงของสามคำ ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ได้ น่าเสียดายที่ข้อสันนิษฐานหนึ่งนำไปสู่อีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง และดังนั้นเราจึงสันนิษฐานการดำรงอยู่ของอีกบุคคลหนึ่งซึ่งก็คือพระเจ้าพระบุตร ผู้ที่เท่าเทียมกับพระเจ้า เราใช้คำบุพบท “กับ” (ในคำกล่าวว่า “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า”) มาเป็นหลักฐานให้กับพระเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ผมได้แสดงให้คุณเห็นคราวก่อนว่า ผมก็สามารถพิสูจน์ในทางการตีความให้เห็นได้ว่าสามารถจะมีบุคคลมากขึ้นได้ถึงห้าหรือหกองค์ในพระเจ้าได้ตามหลักเหตุผลนั้น
สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ “Logos” (โลกอส, พระวาทะ)= พระเจ้าพระบุตรนั้น จะใช้ยกอ้างไม่ได้เพราะ “Logos” คือ “พระเจ้า” ที่ไม่ใช่ “พระเจ้าพระบุตร” สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอีกส่วนหนึ่งก็คือ “พระเจ้าพระบุตร= พระเยซูคริสต์” ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกันเพราะไม่พบที่ไหนเลยในยอห์นหรือในพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะพูดว่า “Logos= พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์” หรือว่าเราจะย้ายส่วนตรงกลางของสมการนี้ออก แล้วก็บอกว่า “Logos =พระเยซูคริสต์”
คำว่า λόγος (logos) ไม่เคยใช้กับพระเยซูคริสต์ คำนี้มีปรากฏ 33ครั้งในยอห์นที่นอกจากยอห์น 1:1และไม่มีสักกรณีที่เคยใช้อ้างอิงถึงบุคคล “logos” ในพระคัมภีร์ใหม่จะหมายถึงคำพูดเสมอ ไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์กับสมการ “Logos = พระเยซูคริสต์”
ในทางกลับกันกับสมการตามพระคัมภีร์ที่ลูกศรใน “พระยาห์เวห์ พระเยซูคริสต์” หมายถึง “มาสถิตอยู่ใน” เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า “มาสถิตอยู่ใน” ด้วยซ้ำ เราสามารถพูดง่ายๆว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ในพระเยซูคริสต์” เราใช้เครื่องหมายลูกศรแทนเครื่องหมายเท่ากับ เพื่อจะบ่งชี้ว่าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ แต่ยังบ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาในองค์พระเยซู และถูกสำแดงให้เห็นในพระเยซูด้วย นี่คือความจริงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่คุณไม่รู้สึกตกใจเพราะคุณไม่รู้พระคัมภีร์เดิมดีพอ สำหรับชาวยิวแล้วคำกล่าวนั้นน่าตกใจแน่ๆว่า “คุณพูดว่ายังไงนะ? พระยาห์เวห์ พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกได้เสด็จมาในผู้ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์อย่างงั้นหรือ?” พลังของถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์นี้ถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพลบออกไป คุณลองบอกมุสลิมคนหนึ่งดูสิว่าพระอัลเลาะห์ได้เสด็จมาในองค์พระเยซูคริสต์ แล้วคุณจะเห็นว่าเขาตกใจอย่างมาก
วิญญาณของพระคริสต์
คำกล่าวมากมายในพระคัมภีร์เริ่มจะเข้าใจได้เมื่อเราตระหนักว่าพระเยซูตามพระคัมภีร์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ในพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “ถ้อยคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเราเอง แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา” (ยอห์น 14:24ฉบับNIV) และ “ถ้อยคำที่เรากล่าวแก่พวกท่านนั้น ไม่ได้เป็นถ้อยคำของเราเอง แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเรานั้นทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 14:10ฉบับNRSV) พระยาห์เวห์พระบิดาเป็นผู้ทำงานต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำ เปโตรกล่าวในคำสั่งสอนครั้งแรกของเขาว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญต่างๆผ่านทางพระเยซูชาวนาซาเร็ธ (กิจการ2:22)[9]
สำหรับคำถามที่ว่าวิญญาณของพระเยซูคืออะไรความเชื่อในตรีเอกานุภาพต้องเตรียมรับกับปัญหาใหญ่เรื่อง “ความเกี่ยวข้องกันของสองธรรมชาติ” นี่เป็นปัญหาพื้นฐานของศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์[10]ที่พวกเราบางคนใช้เวลาหลายปีในการพยายามหาคำตอบ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนั้นเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี? เรื่องนี้มีแนวคิดอยู่สองกลุ่ม แต่ผมจะเน้นมุมมองแบบอเล็กซานเดรียเพราะเป็นมุมมองตามมาตรฐานของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่เอาชนะมุมมองแบบเนสโตเรียส ตามศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์แบบอเล็กซานเดรีย เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกและบังเกิดจากนางมารีย์นั้นพระองค์ทรงมีร่างกายตามธรรมชาติ นั่นคือสาเหตุที่พระองค์จึงทรงสามารถกิน ดื่ม พระโลหิตไหล และสิ้นพระชนม์บนกางเขนได้
แล้วจิตวิญญาณของพระองค์ล่ะ? พระเยซูทรงมีวิญญาณของมนุษย์ไหม? ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในพระกายของพระเยซูก็คือพระเจ้าพระบุตร หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพระเจ้าพระบุตรคือพระวิญญาณที่ดำรงอยู่ในพระกายของพระเยซู ซึ่งไม่ใช่วิญญาณของมนุษย์แต่เป็นวิญญาณของพระเจ้า นั่นก็คือวิญญาณของพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้า ที่สำคัญคือยังหมายความว่าพระเยซูไม่ได้มีวิญญาณของมนุษย์
ในทางกลับกัน หากวิญญาณภายในพระเยซูเป็นวิญญาณของมนุษย์ แล้วพระองค์ก็ทรงมีร่างกายของมนุษย์ด้วย พระเยซูก็จะเป็นมนุษย์ที่แท้และมนุษย์ที่สมบูรณ์ (มนุษย์ประกอบขึ้นด้วยร่างกายและวิญญาณ) แต่พระเจ้าพระบุตรจะอยู่ตรงส่วนไหน ถ้าหากพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งมีร่างกายของมนุษย์และมีจิตวิญญาณของมนุษย์? นั่นคือปัญหาของการมีสองธรรมชาติ
สิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์เป็นการสถิตอยู่ภายในอีกคน มากกว่าแนวคิดตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องการลงมาบังเกิด มีสองบุคคลที่ผู้หนึ่งอยู่ในอีกผู้หนึ่ง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในมนุษย์ในลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าสถิตอยู่ในคุณและผม
แต่ในความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น พระเยซูคือพระเจ้าพระบุตร ไม่ใช่เพราะการสถิตอยู่ภายใน แต่เป็นเพราะพระเจ้าพระบุตรนั้นเทียบเท่ากับพระเยซูคริสต์ทุกอย่าง (พระเจ้าพระบุตร= พระเยซูคริสต์) นั่นคือเหตุที่บรรดานักศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เช่น มอลท์มานน์[11]จึงสามารถพูดถึง “พระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน” การตรึงพระเยซูก็คือการตรึงพระเจ้าพระบุตร สมการนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพระเยซูคริสต์ไม่ได้มีวิญญาณของมนุษย์ แต่นั่นจะทำให้เกิดคำถามว่า แล้วพระเยซูองค์นี้เป็นมนุษย์จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่” เพราะว่าพระองค์ไม่ได้มีวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ที่สำคัญยิ่งกว่าร่างกายด้วยซ้ำ มุสลิมผู้ระเบิดพลีชีพเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะในมุมมองของพวกเขานั้น ร่างกายอาจถูกระเบิดทำลาย แต่วิญญาณจะไปสู่สวรรค์
อะไรหรือที่เป็น “ตัวผม”? มันก็คือวิญญาณของผม เพราะตัวผมคือวิญญาณของผม ร่างกายของผมไม่ใช่ “ตัวผม” ในความเป็นจริงแล้วร่างกายปัจจุบันของผมไม่ใช่ร่างกายที่ผมมีเมื่อ 20ปีก่อนโดยเฉพาะร่างกายที่ผมมีเมื่อ 40 ปีก่อนขณะผมยังแข็งแรง แต่ที่คุณเห็นในวันนี้คือชายคนหนึ่งที่ตัวหงิกงออยู่บนเก้าอี้เพราะกระดูกสันหลังคด หากร่างกายคือทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ผมก็เป็นคนที่น่าสมเพชสุดในบรรดามนุษย์ทั้งหมด ฉะนั้น “ก็ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (1 โครินธ์ 15:32)
ในนิมิตอัครทูตยอห์น “เห็นวิญญาณทั้งหลายของผู้ที่ถูกฆ่าอยู่ใต้แท่นบูชา” (วิวรณ์6:9 ฉบับNIV) สิ่งที่เขาเห็นอยู่ใต้แท่นบูชาไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นวิญญาณของผู้พลีชีพ “วิญญาณของคนชอบธรรมซึ่งทำให้สมบูรณ์แล้ว”(ฮีบรู12:23ฉบับNIV) มนุษย์คือวิญญาณ ถ้าคุณเอาวิญญาณของเขาออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเปลือกที่ห่อหุ้ม เปาโลพูดถึงร่างกายของเขาว่าเป็นเหมือนเรือนกายที่จะถูกทำลายไปเมื่อเขาตาย (2โครินธ์5:1-5) เขาปรารถนาที่จะสวมกายใหม่จากพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นกายใหม่ฝ่ายวิญญาณจะเป็นสิ่งภายนอกสำหรับเขา ตัวตนของเปาโลนั้นไม่ใช่ร่างกายของเขาแต่เป็นวิญญาณของเขา
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นวิญญาณในพระเยซูไม่ใช่วิญญาณของมนุษย์แต่เป็นวิญญาณของพระเจ้าพระบุตร เมื่อเนสโตริอุส[12]คัดค้านว่าตามรากฐานนี้พระเยซูจะเป็นมนุษย์จริงๆไม่ได้ เขาจึงถูกประกาศว่าเป็นพวกเชื่อผิด สิ่งที่เขาเสนอไม่ใช่สมการเท่ากับ (=) แต่เป็นการสถิตอยู่ใน () เพราะเขายอมรับว่าวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของมนุษย์ไม่ใช่อันเดียวกันและไม่เหมือนกัน วิญญาณของมนุษย์ประทานมาจากพระเจ้าและกลับไปสู่พระเจ้า (ปัญญาจารย์12:7) แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกับพระเจ้า แม้ว่าความจริงแล้ว พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปในมนุษย์ก็ตาม (ปฐมกาล 2:7) เรามีวิญญาณที่เหมือนกับวิญญาณของพระเจ้ามากเพราะว่าพระองค์ทรงระบายพระวิญญาณของพระองค์เข้าในเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราเท่าเทียมกับพระเจ้า
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจะมีสองบุคคลที่เท่าเทียมกันทุกประการ (พระเจ้าพระบุตร =พระเยซูคริสต์) แม้จะมีความจริงในพระคัมภีร์ว่า ไม่มีใครที่เท่าเทียมกับพระยาห์เวห์และไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์ (อิสยาห์ 45:5-6)[13] แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น เราไม่ได้สนใจพระคัมภีร์เดิมอย่างจริงจัง เราต้องการแต่พระคัมภีร์ใหม่และไม่ได้ต้องการพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มด้วยซ้ำ แต่ต้องการเฉพาะพระคัมภีร์ตอนที่ดูเหมือนจะสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น
ผมต้องตกใจอย่างสุดๆเมื่อพยายามพิสูจน์การดำรงอยู่ของ “พระเจ้าพระบุตร” จากพระคัมภีร์ เพราะตลอดมาผมคิดว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นความจริง แต่ผมไม่เคยพยายามพิสูจน์เรื่องนี้จากพระคัมภีร์ ผมจึงถามตัวเองทันทีว่า “ผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงหรือ?” ถ้าผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงๆ แล้วทำไมผมจึงจะเชื่อในบุคคลอื่นๆที่นอกเหนือจากพระยาห์เวห์?”
ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับชาวยิว
ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับการนำคำสอนแห่งความรอดไปยังชาวมุสลิมและชาวยิวด้วย ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์จะเข้าถึงชาวมุสลิม แต่นี่จะเป็นคำสอนที่ชาวยิวสามารถจะยอมรับได้ดียิ่งกว่าชาวมุสลิม มันจะเป็นเรื่องยากกับชาวมุสลิมมากกว่ากับชาวยิวที่จะยอมรับเรื่องการเสด็จมาของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชาวยิวจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ
ผมคิดว่าพระเจ้ากำลังให้เรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับเราในยุคสุดท้ายนี้ด้วยเหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ พระองค์กำลังหันความสนใจของพระองค์กลับไปที่ประชากรอิสราเอล เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา ข่าวประเสริฐจะกลับไปยังชาวยิว การประกาศกับชาวยิวเป็นส่วนที่คริสตจักรได้ล้มเหลวอย่างมาก
ชาวยิวที่ยอมรับพระคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์จำนวนเพียงหยิบมือ ที่เราได้พยายามประกาศเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารซึ่งลืมไปว่าพวกเขาเป็นชาวยิว ด้วยข้อยกเว้นบางประการ และในหมู่คนเหล่านี้ที่เข้าสุหนัตและถือรักษาธรรมบัญญัติก็ถูกคริสเตียนที่เชื่อในตรีเอกานุภาพตราหน้าว่าเป็นคริสเตียนเทียมเท็จ
ในยุคสุดท้ายนี้องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังนำเรากลับมาสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ อีกไม่นานก็ถึงเวลาที่เราจะนำคำสอนนี้ไปบอกชาวยิว ในทางกลับกันคำสอนตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่เข้าถึงชาวยิวที่มีรากลึกในพระคัมภีร์เดิม ถ้ามีใครทำให้ชาวยิวเปลี่ยนใจมาเชื่อในตรีเอกานุภาพได้สำเร็จผมจะนึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด!เจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อจะได้สักคนหนึ่งมาเชื่อและเมื่อเขามาเชื่อแล้วเจ้าก็ทำให้เขาเป็นบุตรของนรกยิ่งกว่าที่เจ้าเป็นสองเท่า” (มัทธิว23:15ฉบับNIV)
เพื่อความรอดของคุณ คุณจะเชื่อวางใจในพระเยซูผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์แท้แต่เป็นพระเจ้าพระบุตรผู้ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์หรือ? ในฐานะอดีตผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่หยั่งรากลึกในพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงสามารถพูดได้โดยไม่ต้องกลัวความขัดแย้งว่า ไม่มีทางที่จะพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระเจ้าพระบุตรได้เลย เราได้ยอมรับแบบหลับตาเชื่อโดยไม่พิเคราะห์ให้ดีเพราะเราได้ถูกสอนมาอย่างนั้น แต่ทันทีที่คุณเริ่มตรวจสอบหลักฐาน ทุกอย่างก็ตกไป คุณจะรอดโดยที่เชื่อวางใจในผู้ที่ไม่ได้มีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ? นี่ให้หลักฐานอะไรกับความหวังว่าจะรอดได้หรือไม่?
เรายังจะสามารถประกาศความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้กับชาวยิวซึ่งเป็นผู้ที่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเดียวและรู้ว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้านอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด” (เฉลยธรรมบัญญัติ4:35 ฉบับ NIV) ได้หรือ? เราจะไปบอกพวกเขาว่าพวกเขาควรจะอ่านพระคัมภีร์ของพวกเขาอย่างไร? หรือจะบอกว่าพวกเขาควรจะโยนพระคัมภีร์ของพวกเขาทิ้งแล้วมาอ่านพระคัมภีร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแทนไหม?
ความคิดของยอห์นเกี่ยวกับเกียรติ
คุณจะเข้าใจพระกิตติคุณยอห์นได้คุณก็ต้องเรียนที่จะคิดตามแบบพระคัมภีร์ ถ้าคุณคิดตามแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพคุณก็จะจมปลักอยู่กับข้อผิดพลาดและความขัดแย้ง
ให้เราดูปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ก่อนในยอห์น 17:5ที่ว่า “และบัดนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์พระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกเริ่มขึ้น”(ฉบับNIV) ถ้าคุณจะพึ่งแต่เฉพาะวิธีการตีความเพื่อทำความเข้าใจข้อนี้คุณก็จะไปไม่ถึงไหนเพราะความคิดของยอห์นแตกต่างจากของเรามาก จนทำให้เมื่อคุณอ่านเหมือนเช่นพระคัมภีร์ตอนนี้ คุณก็จะอ่านด้วยความคิดแบบตรีเอกานุภาพของคุณเองเข้าไปในตัวบทว่า “ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติของความเป็นพระเจ้าต่อพระพักตร์พระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนโลกเริ่มขึ้น” เรามองเกียรตินี้ว่าเป็น “เกียรติของความเป็นพระเจ้า” คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร วิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะพิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระคริสต์จากข้อนี้ก็คือ การอ่านให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบทเพื่อให้หมายความว่า “เกียรติในความเป็นพระเจ้าที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์” นั่นก็คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร
แล้วอะไรคือทางเลือก? ทางเลือกที่เราไม่คิดว่าน่าสนใจ นั่นเป็นเพราะความคิดของยอห์นเรื่องเกียรตินั้นแตกต่างจากของเรา ในฐานะของผู้ตีความพระคัมภีร์ที่มีความรับผิดชอบ คุณจะต้องค้นคำว่า “เกียรติ” และดูว่าคำนี้ใช้อย่างไรในยอห์น ที่จริงแล้วการศึกษาคำเป็นขั้นแรกสุดของการตีความ
ยอห์น 17:24กล่าวคล้ายกันว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นอยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่ และให้พวกเขาเห็นเกียรติของข้าพระองค์ คือเกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้าง[วางรากฐาน] โลกนี้”(ฉบับNIV)
เกียรตินี้ได้มอบให้กับพระเยซู “ก่อนการวางรากสร้างโลก” เป็นคำที่เราได้พิจารณากันไปแล้ว เราเองก็เช่นกันที่ถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะวางรากสร้างโลก (เอเฟซัส 1:4) สิ่งที่เป็นจริงกับพระเยซูก็เป็นจริงกับเราด้วย นี่อาจไม่ช่วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือว่าคุณและผมได้ถูกเลือกก่อนการวางรากสร้างโลกเพราะความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
เพื่อให้เข้าใจความคิดเรื่องเกียรติที่ผิดจากธรรมดาของยอห์นเพิ่มเติม ให้เราดูยอห์น 13:29-33
29เนื่องจากยูดาสเป็นคนถือเงิน บางคนจึงคิดว่าพระองค์ตรัสบอกให้เขาไปซื้อสิ่งจำเป็นสำหรับงานฉลองเทศกาลนี้” หรือไม่ก็ให้ทานแก่คนจนบ้าง30เมื่อยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน31เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติและพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติในบุตรมนุษย์ 32ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติในบุตรมนุษย์ พระเจ้าจะถวายเกียรติแก่พระบุตรมนุษย์ในพระองค์เองและจะถวายเกียรติพระบุตรทันที 33ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกเพียงไม่นาน ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับพวกท่านด้วยว่า ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้” (ฉบับNIV)
จงสังเกตการใช้ “เกียรติ” บ่อยๆและคำที่คล้ายกัน (ที่ขีดเส้นใต้ด้านบน) หลายคนตีความเกียรตินี้ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า” ที่ดูเหมือนพระเยซูกำลังตรัสว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติในความเป็นพระเจ้า ในข้อ33พระองค์ตรัสว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ยเราจะอยู่กับพวกท่านอีกไม่นาน” นั่นเป็นเพราะพระองค์กำลังจะถูกตรึงที่กางเขน “เกียรติ” ที่ยอห์นหมายถึงก็คือการตายบนกางเขน หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดยอห์น 17:24จึงกล่าวว่า พระเยซูทรงได้รับเกียรติก่อนที่พระบิดาจะทรงวางรากสร้างโลก? นั่นก็เป็นเพราะพระเมษโปดกทรงถูกปลงพระชนม์ก่อนจะวางรากสร้างโลก (วิวรณ์ 13:8)[14] การที่พระเยซูทรงถูกตรึงก่อนวางรากสร้างโลกนั้น ไม่ใช่ตามกาลเวลา แต่ตามการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า ยอห์นไม่ได้สอนอะไรเกี่ยวกับเกียรติในการเป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู
พระเยซูตรัสถึงเกียรติ ซึ่งก็คือการตายบนกางเขนว่าเป็นการถูก “ยกย่อง” หรือ “ยกขึ้น” คือ “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราคือผู้ที่อ้างว่าเราเป็น[15] และเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา” (ยอห์น8:28)
ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษนั้นคำว่า “ยกขึ้น” ไม่ได้ยึดใจความของภาษากรีก คำว่า “ยกขึ้น” (ὑψόω,hupsoō) ในพจนานุกรมมาตรฐานภาษากรีกไม่ว่าฉบับไหนจะหมายถึง “การยกย่อง” คำนี้ในยอห์นหมายถึงความตายบนกางเขน
32แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” 33พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์แบบใด 34ฝูงชนจึงพูดว่า “เราได้ยินมาจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ แล้วท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ บุตรมนุษย์ผู้นี้คือใครหรือ?” (ยอห์น12:32-34ฉบับNIV)
พระเยซูจะได้รับการยกย่อง ได้รับเกียรติและถูกยกขึ้นที่กางเขน พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์แบบใด (ข้อ 33) และดูเหมือนคนทั้งหลายก็รู้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงความตายของพระองค์ (ข้อ 34)
พระเยซูตรัสถึงงูทองสัมฤทธิ์ในถิ่นทุรกันดาร (กันดารวิถี 21:5-9) ว่า “และเมื่อโมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:14-15ฉบับ ESV) คำว่า “ยกขึ้น” ตรงนี้หมายถึงกางเขน งูทองสัมฤทธิ์ถูกยกขึ้นอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้นเพื่อทุกคนที่มองไปที่พระเยซูเหมือนผู้ที่มองไปที่งูทองสัมฤทธิ์ก็จะรอด
เราได้เห็นว่ายอห์น 17:5ไม่ได้หมายถึงเกียรติของพระเจ้า (“และบัดนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์พระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกเริ่มขึ้น”) คำว่า “ก่อนที่โลกเริ่มขึ้น” อธิบายไว้ในวิวรณ์13:8
ชาวโลกทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะกราบนมัสการสัตว์ร้ายนั้น คือบรรดาผู้ที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก[16]ผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก(วิวรณ์13:8ฉบับNIV)
เกียรติในยอห์น 17:5นั้นไม่ใช่เกียรติของพระเจ้าที่บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอ่านเกินจากที่มีในตัวบท แต่เป็นการยกย่องซึ่งในภาษาของยอห์นนั้นหมายถึงการถูกยกขึ้นบนกางเขน สิ่งนี้สำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก เพราะพระเยซูทรงถูกฆ่าและถูกยกขึ้นไม่เฉพาะที่เนินเขาที่ทรงถูกตรึงกางเขนแต่ตั้งแต่แรกสร้างโลกแล้ว เมื่อคุณเข้าใจรูปแบบความคิดของยอห์นในพระกิตติคุณยอห์นและวิวรณ์ก็จะเห็นความหมายที่ไม่คาดคิด ปกติเราจะคิดว่าความตายเป็นสิ่งเลวร้ายและหวังว่าเราจะไม่ตายเมื่ออายุยังน้อย แต่สำหรับพระเยซูในวัย 33 ปีนั้นการตายบนกางเขนเป็นเกียรติและการยกย่องสูงสุด
พระคัมภีร์ใหม่มีการเปรียบเทียบหลายอย่างระหว่างเรากับพระเยซู แต่เป็นเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพเราจึงมักจะไม่สนใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้พระเยซูดูเหมือนมนุษย์เกินไป โรม 8:29-30 กล่าวว่า
29เพราะบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องมากมาย 30และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้น พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วยบรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้ได้รับเกียรติด้วย (ฉบับNIV)
“กำหนดไว้ก่อน” (προορίζω,proorizō) หมายถึง “แต่งตั้งไว้ก่อน” หรือ “หมายไว้ล่วงหน้า” การใช้ “แต่งตั้งไว้ก่อน” ก็ดีกว่า “กำหนดไว้แล้ว” เพราะว่าคำหลังจะเต็มด้วยความหมายตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพและศาสนศาสตร์ คำภาษากรีกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการตัดสินใจตามความประสงค์ของคุณ แต่เป็นการที่พระเจ้าได้ทรงตัดสินพระทัย และตามการรู้ล่วงหน้าของพระองค์นั้น พระองค์ทรงหมายไว้ล่วงหน้าว่า เราควรจะเป็นเหมือนพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อที่พระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปีในครอบครัวของบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงเรียก ผู้ที่ทรงนับว่าเป็นคนชอบธรรมและทรงให้ได้รับเกียรติแม้ตั้งแต่แรกสร้างโลก
พระเยซูผู้ที่ “มาจากพระเจ้า”
ยอห์น6:46เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพชื่นชอบที่กล่าวว่า“ไม่มีใครได้เห็นพระบิดาเว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา” (ฉบับ NIV) ในภาษากรีกคำ “มาจากพระเจ้า” คือ “παρὰ τοῦ θεοῦ”ที่คำว่า “พระเจ้า” เป็นคำสัมพันธการกที่แสดงความเป็นเจ้าของ เราเข้าใจอย่างไร?
สองบทต่อมาพระเยซูตรัสว่า “แต่นี่พวกท่านตั้งใจจะฆ่าเรา ผู้ที่ได้บอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า” แก่พวกท่าน (ยอห์น8:40 ฉบับNIV) คำว่า“มาจากพระเจ้า” ตรงนี้ในภาษากรีกจะเหมือนกันเลยกับ “มาจากพระเจ้า”ในยอห์น6:46 ในยอห์น9:33 ชายที่ตาหายบอดกล่าวกับฟาริสีว่า “ถ้าชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย” (ฉบับNIV)คำว่า “มาจากพระเจ้า”(παρὰ θεοῦ) ตรงนี้ก็เหมือนกับคำว่า “มาจากพระเจ้า” ในยอห์น6:46ยกเว้นแต่คำนำหน้านาม (παρὰ τοῦ θεοῦ) พระเยซูตรัสในยอห์น16:27ว่า “พระบิดาเองทรงรักพวกท่าน เพราะพวกท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า”(ฉบับNIV)คำว่า “มาจากพระเจ้า” ตรงนี้ก็เหมือนกับ “มาจากพระเจ้า”ในยอห์น6:46 (ไม่มีคำนำหน้านามในบางต้นฉบับ)
พระเยซูทรง “มาจากพระเจ้า” ในแง่ไหนหรือ? คำอธิบายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์และเข้าในครรภ์ของนางมารีย์และบังเกิดในเมืองเบธเลเฮม แต่นั่นใช่ความหมายของ “παρὰ θεοῦ” ไหม? พระเยซูได้ทรงลงมาจากสวรรค์และมาเป็นมนุษย์ที่มีชื่อว่าเยซูหรือ? เรากำลังอ่านเกินจากที่มีในตัวบทเหมือนที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความยอห์น 17:5 เกินจากตัวบทโดยแปลความหมาย “เกียรติ” ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า”
ในยอห์น 1:6กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งที่ (พระเจ้าทรงส่งมา) ส่งมาจากพระเจ้า(παρὰ θεοῦ) ชื่อยอห์น” (ฉบับNIV) คำว่า “มาจากพระเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซูในยอห์น 6:46ตรงนี้ได้ใช้กับยอห์นผู้ให้บัพติศมาในคำขึ้นต้นหนังสือยอห์น ซึ่งกำหนดไว้สำหรับพระกิตติคุณยอห์น ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” ก่อนพระเยซูจะทรงถูกส่งมา แต่ก็ไม่มีใครจะเสนอแนะว่ายอห์นลงมาจากสวรรค์และเข้าไปในครรภ์ของนางเอลิซาเบธ พระเยซูก็ทรงถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” (παρὰ θεοῦ) เช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะทุกคน ดังนั้นมันจึงไม่ได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าหรือการดำรงอยู่ก่อน
ทำไมพระกิตติคุณยอห์นจึงถูกเขียนขึ้น
สำหรับยอห์นแล้วเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชาวยิวที่จะต้องรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือที่ชาวยิวต้องรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์[17] แต่เราก็อ่านให้เป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเราเพื่อให้ยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ยอห์นไม่เคยสอนเช่นนั้น ยอห์นได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากให้เราโดยบอกถึงจุดประสงค์เดียวของการเขียนพระกิตติคุณของเขาว่า “แต่ข้อความเหล่านี้เขียนขึ้นเพื่อท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้าและโดยความเชื่อนั้น ท่านจะมีชีวิตในพระนามของพระองค์” (ยอห์น20:31ฉบับNRSV)
ยอห์นเขียนพระกิตติคุณของเขาเพื่อจะบอกให้โลกรู้ว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า เราได้เห็นว่า “พระบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่หมายถึงพระเมสสิยาห์ เบื้องหลังของพระคัมภีร์เดิมในเรื่องนี้ก็คือสดุดีบทที่2 ซึ่งเป็นบทสดุดีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ผู้ที่พระเจ้า “ทรงเจิมไว้” (ข้อ2)[18] ผู้ที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเป็นบุตรของเราวันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้าแล้ว” (ข้อ7)
พระกิตติคุณของยอห์นไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูคือพระเจ้า แต่เขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์กับชาวยิวว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ เมื่อถึงเวลาที่เราจะประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวยิวอีกครั้ง เราก็จะต้องบอกพวกเขาด้วยว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ ถ้าคุณไม่คิดว่าข่าวดีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำคัญมากพอ คุณก็ไม่รู้จริงๆว่าพระเมสสิยาห์คือกษัตริย์ของอิสราเอลและผู้ช่วยให้รอดของโลก ในคำสอนและพระคัมภีร์ของชาวยิวแล้ว พระเมสสิยาห์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นมนุษย์ จนถึงทุกวันนี้ชาวยิวก็ยังเฝ้ารอการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอลและของโลก
คริสตจักรของพระเจ้า: การแบ่งปันจากใจ
ผมอยากจะแบ่งปันจากใจของผมถึงสิ่งที่ผมมีภาระเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ บางครั้งผมจะพูดกับพระเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงให้งานนี้กับผม?” งานพันธกิจนี้ช่างเป็นภาระที่บีบคั้นอยู่ในใจของผม แต่พระเจ้าก็ได้ทรงมอบภาระนี้ให้กับผม
บางครั้งผมจะออกไปเดินและใคร่ครวญในเรื่องนี้ผมจะยืนอยู่ข้างนอกที่พักในอ่าวดิสคัฟเวอรี่เบย์ และมองไปที่ขอบฟ้าของฮ่องกงที่ส่องประกายระยิบระยับบนพื้นน้ำ และครุ่นคิดถึงความหมายของพันธกิจครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต และครุ่นคิดถึงประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ผมจะครุ่นคิดถึงคริสตจักรตั้งแต่แรกเริ่มและการเริ่มต้นไม่นานหลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำสิ่งที่อัศจรรย์จนนึกไม่ถึงและไม่เคยมีมาก่อนในพระคัมภีร์เดิมคือพระยาห์เวห์ได้เสด็จมายังโลกในมนุษย์คนหนึ่ง การเสด็จมาของพระองค์ไม่ได้แค่เป็นการมาปรากฏของพระเจ้าในรูปของมนุษย์ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม ที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ แต่บางครั้งก็ทรงปรากฏในรูปของ “ทูตสวรรค์ของพระเจ้า”
ในยุคสุดท้ายนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกที่จะเสด็จมาในทางที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไม่ใช่ในรูปกายของมนุษย์แบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่มาสถิตอยู่ในองค์พระเยซู โดยที่พระองค์ได้เข้าไปอยู่ในองค์พระเยซูผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ก่อนจะทรงวางรากสร้างโลก ผู้เป็นมนุษย์ที่แท้จริงที่มีวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งแตกต่างจากพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ไม่มีวิญญาณของมนุษย์ พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริงซึ่งพระยาห์เวห์สถิตอยู่ภายใน พระองค์ทรงสามารถมีสามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์ สามารถจะพูดคุยกับพระองค์แบบหน้าต่อหน้า และสามารถเป็นพยานกับโลกว่าพระองค์ได้เห็นพระบิดา
ใครก็ตามที่เคยมีประสบการณ์การสามัคคีธรรมอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้า ก็จะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูทรงมีประสบการณ์ บางครั้งผมก็มีประสบการณ์การสามัคคีธรรมแบบนี้กับพระเจ้าที่แทบจะแบบหน้าต่อหน้า ไม่ใช่ว่าผมมองเห็นพระองค์จริงๆ แต่ผมก็มองเห็นพระองค์เหมือนดูในกระจกสลัวๆ พระเยซูทรงมองพระยาห์เวห์ชัดกว่ามากเพราะพระองค์ทรงสนทนาอย่างสนิทสนมกับพระยาห์เวห์ในลักษณะที่กระทำสิ่งต่างๆตามที่พระองค์เห็นพระบิดาทรงทำ และพูดในสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยินพระบิดาตรัสจนถึงขนาดกล่าวถ้อยคำของพระบิดา ผมได้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ผมจึงสามารถยืนยันคำกล่าวขององค์ผู้เป็นเจ้าจากประสบการณ์ของผมเองได้ แม้จะในระดับที่น้อยกว่ามากก็ตาม
เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกในองค์พระเยซู พระองค์ทรงทำงานผ่านทางพระเยซูตรัสผ่านทางพระเยซู และทรงสอนผู้คนผ่านทางพระเยซู (ดังเช่นในคำเทศนาบนภูเขา) จากนั้นพระเยซูทรงได้รับการยกย่อง (ถูกตรึง) แต่ก็หลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเสริมกำลังพระเยซูด้วยการสถิตอยู่ของพระองค์เอง เพื่อให้แน่ใจว่าพระเยซูจะได้รับกับชัยชนะครั้งสุดท้ายในฐานะพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มของบรรดาผู้เชื่อเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม และมีคริสตจักรตามมาอีกมากมาย
วันก่อนผมถามคำถามเชาว์กับเฮเลนว่าคำ “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” มีปรากฏกี่ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่? เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ไม่เกินสิบสองครั้ง” ผมพูดว่า “คุณจะต้องแปลกใจกับคำตอบว่า ไม่เคยมีการกล่าวถึงเลยในพระคัมภีร์แม้แต่ครั้งเดียว!” โรม 16:16พูดถึง “บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์” แต่นี่เป็นคำทั่วไปที่ใช้กับกลุ่มคริสตชนที่ยอมรับพระเยซู แต่คำว่า “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” ในความหมายของ “คริสตจักรที่เป็นของพระเยซูคริสต์” นั้นไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่
ถ้าคริสตจักรไม่ได้ถูกเรียกตามแบบสากลว่า “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” (แม้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรและดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของกายนี้) แล้วจะเรียกคริสตจักรว่าอย่างไรหรือ? ก็เรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” น่ะสิ เราจะพบคำเรียกนี้ 12ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ฉบับภาษากรีก แต่คุณจะต้องค้นหาในหลายวิธี ดังนั้นเองสิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดคือ คริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเจ้า และพระเจ้าคือพระยาห์เวห์
เปาโลกล่าวว่า “จงเฝ้าระวังทั้งตัวท่านเองและฝูงแกะทั้งหมด ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล ให้ดูแลคริสตจักรของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”[19] (กิจการ 20:28ฉบับNASB) เมื่อยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น ผมประหลาดใจที่พบว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า และไม่ใช่คริสตจักรของพระเยซูคริสต์
ผมมีนิมิตหนึ่งซึ่งจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ และในมโนภาพของผมนั้น ผมเห็นพระยาห์เวห์เสด็จมา จากนั้นพระองค์ก็ตั้งคริสตจักรของพระองค์ และบรรดาดวงไฟเล็กๆของคริสตจักรเล็กๆแห่งนี้ก็ส่องออกไปในความมืดของโลกนี้ และดวงไฟดวงอื่นๆอีกมากก็ส่องสว่างไกลออกไปเรื่อยๆจากกรุงเยรูซาเล็ม ในช่วงร้อยปีแรกดวงไฟเล็กๆทั้งหลายก็ได้เริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม จากนั้นก็ขยายออกไปในตะวันออกกลาง แล้วก็รอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนที่จะขยับเข้าไปในส่วนอื่นๆของโลก
ขณะเดียวกันซาตานก็กำลังมองดูทั้งหมดนี้แล้วพูดกับตัวเองว่า “ไม่ดีแน่ ดวงไฟเหล่านี้กำลังลุกลามไปทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เปาโลกำลังจุดดวงไฟทุกหนทุกแห่ง (ตั้งแต่ตุรกีในปัจจุบันไปจนถึงกรีซในปัจจุบัน) และกำลังมุ่งหน้าไปยังเสปน ไม่ได้การแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง”
ซาตาน-จอมวางแผนที่หลักแหลม
คุณเคยอ่าน “จดหมายจากสกรูเทป” ที่เขียนโดย ซี เอส ลูอิส[20]ไหม? หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของเหล่ามารร้ายที่มาชุมนุมกันเพื่อหารือถึงวิธีการที่จะทำให้คริสเตียนหมดความปรารถนาในสิ่งฝ่ายวิญญาณ และส่งเขาให้ตกลงในนรก หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อสอนคริสเตียนให้ระมัดระวังกลอุบายของมารซาตานที่วางแผนไว้ดักคุณและทำให้คุณล้มลง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดี มีความคิดที่ดี แต่ขอบเขตยังแคบเกินไป ซาตานมีแผนการที่ใหญ่กว่าการทำลายคริสเตียนเพียงแค่หยิบมือ
ในชีวิตจริงแล้วซาตานคิดวิธีที่หลักแหลมกว่านั้น! ผมยกนิ้วให้เลย ในศิลปะการต่อสู้นั้นคุณอาจต่อสู้กับคู่แข่งของคุณแบบสู้ตาย แต่คุณก็ยังคงเคารพในความสามารถของเขาว่าเป็นยอดฝีมือ[21] แม้หลังการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายจะเสร็จสิ้นลง นักรบทั้งสองฝ่ายก็ยังก้มคำนับให้กันและกัน มันเป็นการแสดงมารยาทต่อกัน แต่ก็เป็นการยอมรับฝีมือของคู่ต่อสู้ด้วย ผมยอมรับว่าฝีมือของซาตานนั้นน่าประทับใจ มันจะสู้ตายกับเรา แต่ผมต้องยอมรับว่ามันฉลาดหลักแหลม!
ฉลาดหลักแหลมอย่างไรหรือ? ขณะที่ผมกำลังพยายามจะลบล้างความเสียหายที่มันทำไป ผมต้องบอกว่าซาตานทำให้งานของเราลำบากขึ้น มันก็ทำได้สำเร็จที่ทำให้ความคิดของเราสับสนจนเราคิดอย่างชัดๆไม่เป็นอีกต่อไป มีความสับสนของพระคริสต์ในความเชื่อตรีเอกานุภาพกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะอ่านพระคัมภีร์อย่างไรเว้นแต่จะอ่านตามแบบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น เราทุกคนได้ถูกล้างสมองและถูกปลูกฝังความเชื่อมา และผู้แปลพระคัมภีร์ก็ได้แปลความพระคัมภีร์ให้คุณตามแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มันจึงไม่ได้ช่วยอะไร
ในมโนภาพของผมนั้น ซาตานมองเห็นพระยาห์เวห์และต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจของเราไปจากพระองค์ ช่างหลักแหลมจริงๆ! ดังนั้นมันจึงตั้งอีกผู้หนึ่งที่เป็นพิมพ์เดียวกันเลยกับพระยาห์เวห์ และเป็นผู้มีความเท่าเทียมกันและนิรันดร์กาลเท่ากันกับพระองค์ คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่า พระเจ้าพระบุตรแตกต่างจากพระเจ้าพระบิดาตรงไหนนอกจากชื่อของสองพระองค์แล้ว? ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่ยอมให้พระบุตรมีความนิรันดร์กาลตามหลังพระบิดาแม้แต่อึดใจเดียว ดังนั้นเราจึงไม่รู้เลยว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าในแง่ไหน
ในพระคัมภีร์พระเยซูถูกเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงบังเกิดจากนางมารีย์ (ลูกา 1:35) แต่ในความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกสิ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมพระองค์จึงถูกเรียกว่าพระบุตร? มันเป็นเพราะพระบิดาทรงเป็นพระเจ้าองค์แรก พระบุตรเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง และพระวิญญาณเป็นพระเจ้าองค์ที่สามอย่างนั้นหรือ?
ซาตานได้ให้เราอยู่ในบ้านกระจก เมื่อคุณมองกระจกรอบตัว คุณจะมองเห็นคนยืนอยู่ตรงนี้และตรงนั้นไปทั่ว แต่ซาตานไม่ต้องการให้คุณมองเห็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว
ไม่นานมานี้มีคนถามผมว่า ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่เคยถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่? คำตอบก็คือ ถ้าคุณเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว (เหมือนที่ชาวยิวเชื่อ) ดังนั้นเมื่อใดที่ผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็จะรู้ทันทีว่าผมกำลังพูดถึงใคร แต่เพราะคุณอยู่ในข่ายของผู้นับถือพระเจ้าหลายๆองค์ที่เชื่อในพระเจ้าสามองค์ ฉะนั้นเมื่อผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดถึงพระองค์ไหน ผมอาจจะหมายถึงทั้งสามพระองค์หรือหมายถึงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในสามพระองค์นั้น นี่แหละคือกลลวงของบ้านกระจก คุณไม่รู้ว่าใครเป็นใครอีกต่อไป จุดสนใจของคุณมันกระจัดกระจายไป[22] ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระคัมภีร์ใหม่ แต่อยู่ที่เรา
เมื่อเปาโลพูดถึงพระเจ้า เขาก็หมายถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน เพราะสำหรับเปาโลแล้วมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (1โครินธ์8:6,1ทิโมธี2:5) พระเยซูพูดกับพระบิดาของพระองค์ว่า “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว” (ยอห์น17:3) พระยาห์เวห์ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่ก็เพราะว่าทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นคือพระยาห์เวห์ของพระคัมภีร์เดิม แต่จากภูมิหลังที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ เราจึงได้แปลความ “พระเจ้า” คำแรกในยอห์น1:1 ว่าเป็นพระเจ้าพระบิดา และแปลความ “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระเจ้าพระบุตร แล้วมีพระเจ้าพระบุตรมาได้อย่างไร? เราได้อ่านเกินจากที่มีในตัวบท กลลวงบ้านกระจกของซาตานนั้นหลักแหลมมากเสียจนคุณต้องถามว่า “ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่?” แม้แต่ในอิสราเอลทุกวันนี้ ชาวยิวก็ไม่พูดว่า “พระยาห์เวห์” เมื่อพวกเขากำลังพูดถึงพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสำหรับพวกเขาแล้วพระยาห์เวห์ก็ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อชาวยิวเอ่ยถึงพระเจ้าพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้ที่พวกเขาเอ่ยถึง เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น
แต่สถานการณ์ของคริสตจักรเปลี่ยนไปอย่างมากในศตวรรษที่สี่ เมื่อมีการประชุมสภาสังคายนาแห่งไนเซีย[23] แม้ก่อนหน้านั้นคริสตจักรก็ได้กลายเป็นคริสจักรที่มีคนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ บรรดาผู้นำคริสตจักรก็คือบรรดาคนต่างชาติที่มาจากเบื้องหลังความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ พวกเขาไม่เห็นปัญหาในการมีหลายองค์มากอยู่ในพระเจ้า แม้ความจริงแล้วพระคัมภีร์ใหม่เขียนขึ้นโดยบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว และคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ก็เชื่ออย่างแน่วแน่ว่า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว สิ่งที่ผมสอนนี้ไม่ได้สอนอะไรอย่างอื่นนอกจากพระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้กำลังสอนสิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีมานานมาก
สำหรับยอห์นกับเปาโลและอัครทูตคนอื่นๆแล้ว พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ถ้าคุณจะแปลความ “พระเจ้า” คำแรกในยอห์น1:1 ว่าเป็นพระบิดา และ “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระบุตรละก็ ยอห์นจะเรียกคุณว่าเป็นคนนอกรีต มีเรื่องเล่ากันว่านักบุญยอห์นได้พบกับเซรินธุส[24]ซึ่งเป็นคนนอกรีตที่มีชื่อเสียงในโรงอาบน้ำสาธารณะของเมืองเอเฟซัส คนนอกรีตคนนี้ถามนักบุญยอห์นว่า “ท่านจำผมได้ไหม?” และนักบุญยอห์นตอบว่า “จำได้สิ ผมจำลูกของมารได้”
ซาตานหยุดเส้นทางของคริสตจักรและเป็นจุดจบทางฝ่ายวิญญาณตั้งแต่ศตวรรษที่สามเป็นต้นมา คริสตจักรเริ่มพูดถึงพระเจ้าสามองค์ ไม่ว่าคุณจะพูดยังไงมันก็เป็นสามองค์อยู่ดี คือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นพระเจ้าทั้งสามพระองค์
พวกผู้นำคริสตจักรรุ่นแรกเป็นชาวยิวที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวโดยไม่มีใครยกเว้น ในศตวรรษที่สอง คนต่างชาติที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักร แต่พอมาถึงศตวรรษที่สาม ก็ไม่มีผู้นำชาวยิวหลงเหลืออยู่ในคริสตจักรอีกต่อไป ในศตวรรษที่สองก็แทบจะไม่หลงเหลือชาวยิวอยู่ในคริสตจักรแล้ว และไม่นานคริสตจักรก็ไม่ได้ยึดมั่นกับความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอีกต่อไป แต่พวกผู้นำคริสตจักรที่แม้จะมีพื้นหลังความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็ยังตระหนักถึงลักษณะของพระคัมภีร์ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้นพวกเขาจึงรักษาความคล้ายคลึงกันเฉพาะแต่ชื่อว่ามีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวด้วยการเล่นคำว่า สามรวมเป็นหนึ่ง และหนึ่งรวมอยู่ในสาม
ซาตานช่างหลักแหลม มันไม่เพียงสร้างภาพเหมือนของพระยาห์เวห์สองภาพในกระจก คือพระเยซูกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันได้ยกผู้ที่อยู่ตรงกลางคือพระเยซูคริสต์ให้อยู่เหนืออีกสองพระองค์ เหมือนเนื้อเพลงที่ว่า “ข้าต้องการแต่พระเยซู” พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น พระเยซูตลอดเวลา เมื่อคุณร้องเพลงที่ไพเราะนี้จบ แล้วใครจะต้องการพระยาห์เวห์หรือ?
จะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนกางเขน
แต่คุณอาจจะถามว่าเปาโลไม่ได้พูดไว้หรือว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่รู้อะไรอื่นเลยในหมู่พวกท่าน เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์2:2ฉบับNASB) ทำไมเราจึงกำลังยกข้อนี้แยกจากพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือ? ข้อนี้จะต้องอ่านตามบริบทจากจดหมายฉบับแรกของเปาโลถึงชาวโครินธ์คือเรื่องของพระเยซูที่ทำให้ชาวยิวสะดุดและพวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่ (1 โครินธ์1:23)[25] ในข้อเดียวกัน (ข้อ23) เปาโลพูดถึง “ประกาศเรื่องพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน” ในข้อต่อมา (ข้อ24) เขาพูดถึง “พระปัญญาของพระเจ้า” มันขัดกับฉากหลังสถานการณ์ในโครินธ์ที่เปาโลแสดงความตั้งใจที่จะรู้เรื่องการถูกตรึงกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น (ที่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า) ซึ่งเป็นความคิดที่บางคนถือว่าอ่อนแอและโง่เขลา
ถ้าคุณจะใช้ข้อนี้เป็นตัวกำหนดหลักคำสอนของคริสเตียน ก็ขอพระเจ้าทรงเมตตาคุณด้วยเถิด การยกข้อนี้ข้อเดียวโดดๆก็หมายความว่า เราไม่จำเป็นจะต้องรู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระคริสต์เว้นเรื่องที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน มุมมองที่จำกัดในกรณีนี้ จำกัดเฉพาะแง่มุมเดียวของพระคริสต์ ซึ่งมักจะส่งผลเมื่อเรายึดหลักคำสอนจากข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวนั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีกเกี่ยวกับพระคริสต์หรือพระคัมภีร์ใหม่ คุณจะไม่ได้รับความรอดด้วยซ้ำในหลักคำสอนนั้นเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีใครเคยได้รับความรอดเพียงเพราะเชื่อว่าพระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน เปาโลกล่าวว่า
ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านก็จะรอด เพราะการเชื่อด้วยใจก็ถูกทำให้ชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็ทำให้รอด (โรม10:9-10ฉบับNIV)
ไม่มีใครรอดเพียงเพราะเชื่อใน “พระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน” เราจะต้องยอมรับด้วยปากของเราว่าพระเยซูเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
ซาตานช่ำชองมากที่มันหลอกเราให้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พระเยซูและกันพระยาห์เวห์พระบิดาของเราออกไป “พระเจ้าพระบุตร” คือพระเยซูของหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ไม่ใช่พระเยซูของพระคัมภีร์ใหม่ ไม่เคยมีการกล่าวถึงพระเจ้าพระบุตรในพระคัมภีร์ใหม่ หลักความเชื่อที่ตั้งบนรากฐานที่ง่อนแง่นอย่างมาก จะมาเป็นรากฐานของหลักคำสอนของคริสตจักรได้อย่างไร? นี่เป็นผลงานการหลอกลวงที่น่าทึ่ง ผมก็ถูกหลอกเช่นกันจนกระทั่งเมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์
อย่าทำผิดพลาดอย่างเดียวกันนี้
ขออย่าได้ยอมรับสิ่งที่ผมพูดแม้แต่คำเดียวจนกว่าคุณจะได้ตรวจสอบกับพระคัมภีร์ด้วยตัวคุณเองสักสองสามรอบเสียก่อน หากคุณวิเคราะห์การตีความของผมได้ผมจะขอบคุณถ้าคุณจะชี้ให้ผมเห็นข้อผิดพลาดของผม โปรดอย่ายอมรับอะไรเพียงเพราะอิริค ชางพูดเช่นนั้น จงตรวจสอบดูว่ามีการยืนยันเช่นนั้นจากพระคำของพระเจ้าหรือไม่
อย่าทำผิดพลาดเหมือนอย่างผม ที่ยอมรับหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพโดยไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานจากพระคัมภีร์ ผมไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบเพราะผมคิดว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะ ต้องเป็นความจริงและคงไม่มีใครพยายามจะหลอกลวงผม ที่จริงไม่มีใครจะเจตนาหลอกลวงผมเลย เราทุกคนถูกหลอกและเราก็หลอกคนอื่นโดยไม่เจตนาที่จะหลอกแม้แต่น้อย
ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อผมนึกถึงวิธีที่ซาตานใช้การหลอกลวงที่หลักแหลมเช่นนี้ และถ้าเราพยายามที่จะลบล้าง เราอาจถูกคนที่คิดว่าเราผิดเพี้ยนเอาหินขว้างตายได้ ในนิมิตของผม ผมกำลังนึกถึงหนังสือของ ซี เอส ลูอิส เกี่ยวกับกลุ่มของมารร้ายที่รวมหัวกันโค่นล้มคริสเตียนโดยการทดลองเขาด้วยเนื้อหนัง แล้วเรื่องโค่นล้มเขาด้วยคำสอนเท็จล่ะ? คริสตจักรยุคแรกๆก้าวหน้าฝ่ายวิญญาน แต่ซาตานก็หยุดยั้งพวกเขาเสีย และตั้งแต่นั้นมาเราก็มีคำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนี้ คำว่า “นอกรีต” อาจจะฟังดูแรง แต่มันแค่หมายถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับพระคำของพระเจ้า คำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และตอนนี้ก็เข้าไปในประเทศจีน มันเหมือนกับคลื่นสึนามิที่กวาดโลกและเอาทุกอย่างไปด้วย และนี่ก็เป็นเสียงเดียวโดดๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ถ้าจะพูดอย่างมนุษย์ปุถุชนแล้ว คุณกับผมมีโอกาสเท่ากับศูนย์ที่จะต้านกระแสนั้นได้ ความจริงมักจะเป็นเสียงเล็กๆที่ร้องอยู่ในถิ่นกันดาร เหมือนกับกรณีของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ซึ่งสุดท้ายแล้วศีรษะของเขาก็ถูกตัดใส่ถาด เราจะเห็นสิ่งที่รอเราอยู่
มองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของผม
ในนิมิตของผม (ซึ่งไม่ใช่นิมิตในความหมายทางฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นนิมิตในความหมายเชิงไตร่ตรองที่เข้ามาในความคิดของผม) ผมย้อนกลับมามองชีวิตคริสเตียนของตัวเองและการมารู้จักองค์ผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นคริสเตียนอายุน้อย ผมเห็นความสวยงามของชีวิตของพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวเฮ็นรี่ ชอย[26]ที่ผมซาบซึ้งอย่างไม่มีวันลืม มีบางอย่างในชีวิตของเขาที่แสดงให้ผมเห็นว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในเขา (เป็นเรื่องยากที่จะหาคำพูดมาอธิบาย) ไม่ถึงหกเดือนต่อมาเขาก็ถูกจับกุม เขาเสียชีวิตในค่ายกักกันที่ไหนสักแห่งน่าจะในสภาพที่แย่มากๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณของเขาชั่วชีวิต
ผมได้เข้าสู่ชีวิตใหม่ที่เดินกับพระคริสต์ สามัคคีธรรมกับพระองค์ และพูดคุยกับพระองค์เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนอย่างแท้จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่หวานชื่นนี่เองทำให้ผมหันหลังให้กับทุกสิ่งในโลกนี้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีความหมายกับผม และความทะเยอทะยานทางโลกทุกอย่างของผมที่เกี่ยวกับโลกค่อยๆหมดไป เพราะไม่มีสิ่งใดจะเทียบกับความหวานชื่นในการเดินกับพระคริสต์ในแต่ละวันได้ ผมจะตื่นขึ้นในตอนเช้าแล้วก็เข้าสนทนากับพระองค์อย่างหวานชื่นทันที ผมจะเดินกับพระองค์ไปตลอดวันและก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันตลอดหลายปี มันเป็นประสบการณ์ที่สุดวิเศษจนไม่สามารถจะสรรหาคำพูดได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆจึงไม่ยินดีกับสามัคคีธรรมเช่นนี้กับพระองค์
เมื่อไม่นานมานี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงกำลังแบ่งปันเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์กับคุณในวันนี้ พระเยซูตรัสไว้แล้วว่า “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ แล้วท่านจะรู้จักความจริงและความจริงนั้นจะทำให้ท่านเป็นไท” (ยอห์น8:31-32ฉบับNIV)
องค์ผู้เป็นเจ้าทรงรักษาคำตรัสของพระองค์ ผมขอบคุณพระองค์อย่างสุดซึ้งที่สุดท้ายแล้วจากคำหลอกลวงทั้งหมดที่ผมถูกสอนมา จากกลลวงทั้งสิ้นของซาตาน จากกระจกเงาแห่งความสับสนทั้งหลายที่ซาตานจัดให้นั้น พระเยซูได้ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงเป็นเพื่อนแท้ พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกเราว่า “คนรับใช้” แต่ทรงเรียกเราว่ามิตรสหาย เพราะ “ทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาเราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว” (ยอห์น 15:15) ด้วยความรักที่ผมมีต่อพระองค์และความร้อนรนที่จะศึกษาพระคำของพระเจ้า ได้อ่านหนังสือศาสนศาสตร์อย่างนับไม่ถ้วนและได้จดบันทึกไว้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม องค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำผมให้ทำสำเร็จ
ถ้าคุณประมวลสิ่งที่ผมได้พูดและสอนว่าผมกำลังผลักพระเยซูออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจผมเลยจริงๆ เพราะถ้าหากไม่ได้มีการสำแดงพระองค์เองและการช่วยทูลขอของพระองค์แล้ว (ฮีบรู 7:25)[27]ผมก็คงไม่ได้มาถึงวันนี้ ผมได้แต่นึกเอาว่าจะต้องมีการช่วยทูลขอมากแค่ไหนจนในที่สุดก็ได้เปิดตาของผมซึ่งมืดบอดด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้เห็นว่าใครคือพระบิดาและใครคือพระเยซู
ไม่มีสิ่งใดจะสามารถบั่นทอนมิตรภาพของผมกับพระเยซูลงได้ ถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าพระบุตร ผมก็ไม่ได้รักพระองค์น้อยลงเลย พระเยซูได้ทรงผูกใจของผมไว้กับพระองค์อย่างเหนียวแน่นโดยที่กว่าห้าสิบกว่าปีที่ได้เดินกับพระองค์และเห็นการอัศจรรย์ต่างๆนั้นผมก็ได้สามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์ตลอดมาโดยไม่รู้ตัว แล้วผมก็ตื่นขึ้น (เหมือนกับยาโคบ) ได้แต่พูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในที่นี้ แต่ผมไม่รู้เลย!”[28]
พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในพระคริสต์ตลอดมา ดังนั้นในการพูดคุยกับพระเยซูผู้เป็นมิตรสหายเลิศนี้ ผมก็กำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์ด้วย หากไม่มีพระเยซูก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงพระบิดาได้
ในที่สุดพระเยซูก็ทรงเปิดเผยความจริงกับผม ความจริงที่ทำให้เป็นไทว่า “อิริค เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อเจ้าพูดอยู่กับเรา เจ้าก็กำลังพูดอยู่กับพระบิดาของเราด้วย?” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”(ยอห์น14:23 ฉบับNIV)คุณจะมีพระเยซูโดยที่ไม่มีพระยาห์เวห์ไม่ได้ และคุณก็จะมีพระยาห์เวห์โดยไม่มีพระเยซูไม่ได้ พระเยซูทรงนำผมให้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์แล้ว แต่ผมไม่รู้เพราะผมถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพบังตา เรามีสหายเลิศคือพระเยซู!
พระเยซูได้ทรงอยู่ด้วยกับผมและพระบิดาได้ทรงอยู่ด้วยกับผมมาตลอด ผมขอพระบิดาทรงยกโทษให้ผม ที่ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดและสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์ ในเวลาเดียวกันพระเยซูก็พยายามจะบอกผมว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็นอยู่ก็เพราะพระบิดา
ผมรู้สึกซาบซึ้งตลอดไปสำหรับมิตรภาพของผมกับพระเยซู มิตรภาพที่แข็งแกร่งมากจนผมไม่ต้องการอะไรและใครอีก (พูดตามตรง) ผมสามารถดำเนินชีวิตตามลำพังกับพระเยซูได้ บางครั้งผมต้องขอโทษเฮเลนที่ความสัมพันธ์สนิทของผมกับพระเยซูอาจทำให้เธอรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นจะต้องแต่งงาน ที่ผมแต่งงานก็เพราะในฐานะที่เป็นผู้นำคริสตจักรนั้น การเป็นคนโสดอาจทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมากมายได้ แต่ผมคิดว่าเธอเข้าใจว่าผมพอใจกับการอยู่กับพระเยซูเพียงผู้เดียว ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าโดยพระคุณของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครในห้องนี้หรืออาจไม่มีใครในโลกนี้ จะรักพระเยซูมากกว่าผม มากเท่ากับผมล่ะก็ใช่ แต่ไม่มากไปกว่าผม
ถ้ามีใครอ้าง 1โครินธ์ 2:2 เพื่อจะบอกผมว่า พระเยซูคือทั้งหมดที่ผมจำเป็นต้องรู้ ผมก็จะพูดกับเขาว่า คุณจะรู้จักแต่พระเยซูเท่านั้นไม่ได้ เพราะเมื่อคุณรู้จักพระองค์จริงๆคุณจะมีทั้งพระบิดาและพระบุตรสถิตอยู่ในคุณ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “พระเยซูเท่านั้น” นั่นคือสิ่งที่ซาตานต้องการให้คุณเชื่อ คุณสามารถจะเชื่ออย่างนั้นตามความคิด แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงในฝ่ายวิญญาณ เพราะในความเป็นจริงแล้ว พระเยซูจะแยกจากพระบิดาไม่ได้เลย
ตอนท้ายนี้ ผมอยากฝากสิ่งนี้ไว้ในใจและความคิดของคุณที่ผมกำลังสอนทั้งหมดนี้ก็พราะว่าพระเยซูได้ทรงนำผมให้ทำสิ่งนี้ ถ้าผมฉุกคิดแม้สักนิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่พระเยซูไม่พอพระทัย ผมก็คงจะหยุดอยู่ตรงนั้น แต่ที่ผมทำสิ่งนี้ก็เพราะ องค์ผู้เป็นเจ้าและมิตรสหายของผมได้บอกให้ผมทำ พระองค์ทรงเปิดตาของผม ทรงให้ผมเห็นความสว่างและทรงนำผมเข้ามามีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ เมื่อคุณได้รู้จักพระยาห์เวห์ คุณจะไม่มีวันเหินห่างจากพระเยซู ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซูจะยิ่งใกล้ชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทุกสิ่งที่ผมกำลังสอนในวันนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการฝึกอบรมการตีความและวิชาการมาเป็นเวลานานปี แต่เป็นผลมาจากการเดินของผมกับพระเยซู
ผมหวังว่าคุณจะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้มีค่าลดน้อยลงสำหรับเราเมื่อเรายกย่องพระยาห์เวห์ การยกย่องพระยาห์เวห์เป็นสิ่งเดียวที่พระเยซูทรงต้องการให้ผมทำเสมอมา พระองค์ต้องการให้ผมพูดคุยกับพระบิดาแม้ในขณะที่ผมกำลังพูดคุยกับพระเยซู พระเยซูทรงกรุณาและเมตตามากที่ในที่สุดผมก็ค้นพบว่า ผมได้พูดคุยกับพระบิดามาโดยตลอด บางครั้งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจก็ไหลออกมาเมื่อผมคิดถึงมิตรภาพที่สุดวิเศษของผมกับพระเยซู
[1]“กรรตุวาจก” กับ “กรรมวาจก” (“กริยาที่ประธานเป็นผู้กระทำ” กับ “กริยาที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ” หรือ “ตนเป็นผู้กระทำเอง” กับ “ผู้อื่นเป็นผู้กระทำให้”) “raise” (ข้อ19) อยู่ในรูปของกรรตุวาจกที่พระเยซูเป็นผู้กระทำเอง และ “was raised” (ข้อ 22) อยู่ในรูปของกรรมวาจกที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้พระเยซู คือเป็นผู้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมา พระเยซูไม่ได้เป็นผู้ชุบพระองค์เอง (ผู้แปล)
[2]คำว่า “ยกขึ้น” หรือ “ชุบขึ้น” มาจาก“raise”คำภาษาอังกฤษคำเดียวกัน และคำภาษากรีกคำเดียวกันคือ “ἐγείρω” (ผู้แปล)
[3]“ipsissima verba”คำภาษาลาตินที่เป็นคำต้นฉบับของเจ้าของคำพูดแบบคำต่อคำ (ผู้แปล)
[4]Synoptics(พระกิตติคุณมัทธิว มาระโก และลูกา ที่กล่าวถึงชีวิตและพันธกิจของพระเยซูจากมุมมองที่เหมือนกัน)
[5] “พระเมสสิยาห์” หมายถึง “พระคริสต์”
[6] “I am” กับ“I am who I am”
[7]อิสยาห์45:5“เราคือยาห์เวห์และไม่มีผู้อื่นอีกนอกจากเราไม่มีพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน2011)
[8]แปลตรงตามคำกรีกได้ว่า “แรกเริ่มเดิมทีพระคำดำรงอยู่ และพระคำอ้างอิงถึงพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคำ” (ผู้แปล)
[9]กิจการ2:22 “ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอลจงฟังเรื่องต่อไปนี้คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองต่อท่านทั้งหลายโดยการอิทธิฤทธิ์การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงทำโดยพระองค์ท่ามกลางท่านทั้งหลายดังที่พวกท่านทราบอยู่แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[10]Christology หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์”
[11]Jurgen Moltmannนักศาสนศาสตร์ปฏิรูปชาวเยอรมันผู้เขียนเรื่อง “พระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน” (The Crucified God)
[12]Nestoriusเป็นหัวหน้าบาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิลระหว่างปี ค.ศ.428-431
[13]อิสยาห์45:5-6 5“เราคือยาห์เวห์และไม่มีผู้อื่นอีกนอกจากเราไม่มีพระเจ้าเราคาดอาวุธให้เจ้าแม้เจ้าไม่รู้จักเรา6เพื่อว่าคนจะรู้ตั้งแต่ที่ตะวันขึ้นและจากที่ตะวันตกว่า ไม่มีใครนอกจากเราเราคือยาห์เวห์และไม่มีผู้อื่นอีก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[14]“คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก” (วิวรณ์13:8)
[15]“เราเป็น” ที่พบในข้อนี้ถ้าจะบอกว่าอ้างถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 ก็เป็นเรื่องน่าขำ เพราะนี่จะทำให้พระยาห์เวห์เทียบเท่ากับบุตรมนุษย์ สิ่งนี้จะเป็นปัญหาทางศาสนศาสตร์ แล้วยังทำให้พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่พูดว่า “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา” คำพูดดังกล่าวเป็นไม่ได้ที่พระยาห์เวห์จะเป็นผู้ตรัส เหมือนกับที่พระเยซูตรัสในยอห์น14:24 ว่า “ถ้อยคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเราเองแต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา” เพราะสำหรับพระเยซูแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์
[16]คำภาษากรีกสำหรับ “เมษโปดก” มีปรากฏ29 ครั้งในวิวรณ์ มีการปรากฏหนึ่งครั้งที่อ้างถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เหลืออีก28 ครั้ง ทั้งหมดอ้างถึงพระเยซู (28 คือ4x7 โดยที่4กับ7 เป็นตัวเลขสำคัญในวิวรณ์)
[17]“พระเมสสิยาห์”ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ และแปลได้อีกว่าผู้รับการเจิมในยอห์น 1:41
[18] สดุดี2:2“บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้นและนักปกครองปรึกษากันต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[19]ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า “พระโลหิตของผู้ที่เป็นของพระองค์เอง” (คำอธิบายจากฉบับมาตรฐาน2011)ผู้แปล
[20]“The Screwtape Letters” by C.S. Lewis
[21]คำภาษาจีนคือ高手(gāoshǒu“เกาโฉ่ว”)
[22]คำภาษาจีนคือ “注意力分散了”
[23]Council of Nicaea
[24]Cerinthus ช่วง ค.ศ.100
[25]1 โครินธ์1:23 “แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้นอันเป็นสิ่งที่พวกยิวสะดุดและพวกต่างชาติถือเป็นเรื่องโง่”
[26]Henry Choi
[27]ฮีบรู 7:25เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลาเพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น
[28]ปฐมกาล28:16ยาโคบตื่นขึ้นจากหลับก็พูดว่า“พระยาห์เวห์ทรงอยู่ณที่นี้แน่ทีเดียวแต่ข้าเองไม่รู้”(ฉบับมาตรฐาน 2011)