บทที่ 11
รู้จักพระเยซูก็รู้จักพระยาห์เวห์
การตีความตามพระคัมภีร์กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ผมไม่ได้คิดว่าการตีความพระคัมภีร์จะเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อนกับบางคน คราวก่อนผมพูดถึงหลักเกณฑ์ห้าอย่างของการตีความซึ่งที่จริงมีมากกว่าห้า ผมพูดส่วนสำคัญเพียงห้าอย่างแต่แค่อย่างเดียวพวกคุณส่วนมากก็แทบจะทำกันไม่ได้ ในบทนี้ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าในการตีความยอห์นนั้นยังมีสิ่งอื่นอีกที่นอกเหนือจากทักษะเฉพาะซึ่งจำเป็นกับการเข้าใจลักษณะของพระกิตติคุณยอห์น คุณจะไม่ได้ผลอะไรกับการดูข้อนี้ทีและข้อนั้นที ถ้าคุณไม่เข้าใจวิธีที่ยอห์นคิดและรูปแบบความคิดที่แทรกอยู่ในพระกิตติคุณของเขา คุณก็จะแปลความคิดของเขาผิดได้
หลักการบางอย่างในการทำความเข้าใจยอห์นนั้นไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะหลักเหล่านั้นไม่เข้ากับวิธีทำความเข้าใจพระคัมภีร์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ให้เรามาพิจารณากันคร่าวๆจากยอห์น 2:19-22 ที่เราดูกันคราวก่อน คุณจะสังเกตเห็นว่าผมใช้เวลามากกับหนังสือยอห์น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระกิตติคุณยอห์นเป็นแหล่งของข้อหลักๆที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้สนับสนุนความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ และผมกำลังใช้ข้อเด่นๆของพวกเขา ต่อไปนี้คือยอห์น 2:19-22
19พระเยซูจึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย และเราจะยกขึ้นในสามวัน” 20พวกยิวจึงทูลว่า “พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ” 21แต่พระวิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ 22เหตุฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสดังนี้ และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูได้ตรัสแล้วนั้น (ฉบับ 1971)
คราวก่อนเราเห็นความขัดแย้งระหว่างข้อ 19 (“เราจะยกขึ้นในสามวัน” หรือแปลว่า “เราจะชุบขึ้นในสามวัน”)[1] กับข้อ 22 (“พระองค์ทรงถูกชุบ[2]ให้เป็นขึ้นมาแล้ว”) ข้อ 19 ที่เจ้าตัวเป็นผู้กระทำเองและข้อ 22 ที่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำให้[3] ในกรณีแรกพระเยซูจะเป็นผู้ยก (หรือชุบ) พระกายของพระองค์เอง คือวิหารที่เป็นพระกายของพระองค์ แต่ในกรณีหลังนั้นเป็นพระเจ้าผู้ชุบ[4]พระเยซูขึ้น ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองไม่มีหนทางแก้ความขัดแย้งนี้ แต่ความขัดแย้งจะหายไปเมื่อเราตรวจดูคำกล่าวของพระเยซูในมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์
เราได้เห็นแล้วว่าในพระคัมภีร์ใหม่นั้นจะเป็นพระบิดา (พระยาห์เวห์) เสมอที่ชุบพระบุตรให้เป็นขึ้น ไม่มีกรณียกเว้นในเรื่องนี้นอกเสียจากว่าจะให้ยอห์น 2:19 เป็นกรณียกเว้น แต่ถ้าให้เป็นกรณียกเว้นมันก็จะขัดแย้งกับพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือเช่นกัน ดีที่ความขัดแย้งของข้อ 19 จะหมดไปด้วยคำอธิบายข้อ 19 ตามแบบความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว คำอธิบายในแบบนี้ยังเสริมความจริงให้หนักแน่นขึ้นด้วยว่าแท้จริงแล้วพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ตรัสผ่านทางพระเยซูในข้อนี้
ถ้าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซู เมื่อพระเยซูพูดนั้นใครคือผู้ที่พูด? พระเยซูพูดเองหรือว่าเป็นพระยาห์เวห์? เราเคยได้ยินถ้อยคำต้นฉบับ[5]ของพระบิดาไหม? ถ้าเคย ถ้อยคำตรงนี้ก็เป็นคำพูดของพระยาห์เวห์เองที่ตรัสผ่านพระโอษฐ์ของพระเยซู ในตัวอย่างนี้พระยาห์เวห์กำลังตรัสผ่านพระเยซูว่า “จงทำลายวิหารนี้เสีย และเรา ยาห์เวห์ จะยก(ชุบ)ขึ้นในสามวัน” นี่ไม่ได้แก้ปัญหาของความขัดแย้งกับข้อ 22 เท่านั้น คำกล่าวของพระยาห์เวห์ยังเป็นจริงในข้อ 22 จากคำกล่าวว่าพระเยซู “ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว”[6] (นั่นก็คือพระเยซูไม่ได้ชุบพระองค์เองให้เป็นขึ้น)
เราเข้าใจคำกล่าวหลายอย่างในคำเทศนาบนภูเขามากขึ้นเมื่อเราเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ตรัสผ่านพระเยซูในลักษณะเดียวกับที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม (“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า”) แม้พระเยซูจะไม่ได้ตรัสเสียทีเดียวว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า” แต่ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็ยังคงมาถึงเราโดยตรงทางพระเยซู (“แต่เราบอกท่านว่า”)
การสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ซึ่ง “ถูกปิดบังไว้” ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก[7] ตอนนี้ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ในพระกิตติคุณยอห์น นั่นคือหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญระหว่างพระกิตติคุณสามเล่มแรกกับพระกิตติคุณยอห์น กระบวนการคิดของยอห์นจะแตกต่างจากพระกิตติคุณสามเล่มแรก
นอกจากนี้เรายังได้ดูยอห์น 8:58 ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู
53“ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ท่านจะอวดอ้างว่าท่านเป็นใคร” 54พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย ผู้ที่ทรงให้เกียรติเรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ที่พวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของท่าน 55พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์ 56อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี” 57พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” 58พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” (ยอห์น 8:53-58)[8]
การถกเถียงกันเริ่มด้วยคำถามว่าระหว่างพระเยซูกับอับราฮัมใครเป็นใหญ่กว่ากัน (ข้อ 53) คำตอบก็คือพระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมซึ่งไม่ได้เป็นเพราะพระเยซูทรงให้เกียรติตัวพระองค์เอง แต่เป็นเพราะพระบิดาทรงให้เกียรติพระองค์ (ข้อ 54) ถ้าพระเยซูทรงให้เกียรติตัวพระองค์เอง เกียรติของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย พระเยซูตรัสต่อไปว่าอับราฮัมชื่นชมยินดีที่จะ “ได้เห็นวันของเรา” (ข้อ 56) คำกล่าวนี้หลายคนแปลผิดๆว่า “เห็นเรา” ที่อับราฮัมได้เห็นตัวของพระเยซู ตามความเป็นจริงแล้วสิ่งที่อับราฮัมได้เห็นก็คือวันแห่งพระเมสสิยาห์[9] คือวันแห่งราชอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ อับราฮัม “ก็เห็นแล้วและมีความยินดี” ราชอาณาจักรยังไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเขา ดังนั้นอับราฮัมจะต้องได้เห็นราชอาณาจักรตามการเผยพระวจนะ หนึ่งในหัวข้อที่เด่นชัดตามการเผยพระวจนะของพระคัมภีร์เดิมก็คือการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์
แต่ชาวยิวเข้าใจประเด็นนี้ผิด “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ?” (ข้อ 57) อันที่จริงคำถามนั้นกลับกันกับคำกล่าวของพระเยซู พระเยซูกล่าวแต่เพียงว่าอับราฮัมได้เห็นวันของพระองค์แต่ชาวยิวกล่าวว่า “ท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ?” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็น(อยู่แล้ว)” (ข้อ 58)
เราเข้าใจ “เราเป็น” ตรงนี้อย่างไร? ในพระคัมภีร์มีพระยาห์เวห์แต่ผู้เดียวที่มีชื่อว่า “เราเป็น” ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบอกว่า “เราเป็น”[10] ที่พระเยซูสตรัสตรงนี้หมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”[11]ในอพยพ 3:14 หากสิ่งนี้ถูกต้อง คำกล่าวของพระเยซูก็จะหมายถึง “ก่อนอับราฮัมเกิด พระยาห์เวห์ทรงเป็นอยู่แล้ว” แต่ยอห์น 8:58 กำลังพูดถึงพระเยซู ไม่ได้พูดถึงพระยาห์เวห์ ความพยายามใดๆที่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจากข้อนี้จะลงเอยด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูก็คือพระยาห์เวห์ ในเมื่อนั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมองหา ดังนั้น “เราเป็น” ในยอห์น 8:58 จึงไม่ได้อ้างถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 ข้อสรุปมีเพียงสองอย่างคือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือว่าพระองค์ไม่ได้เป็น ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็ต้องเป็นพระยาห์เวห์เท่านั้น ไม่ใช่บุคคลที่สองที่เป็นพระยาห์เวห์
การพูดว่า “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็น (อยู่แล้ว)”นั้น พระเยซูทรงหมายความไหมว่าพระองค์ทรงอยู่ก่อนอับราฮัมในแง่ของกาลเวลา (พระองค์มาปรากฏก่อนหน้าอับราฮัม) หรือในแง่ของสถานะ (พระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม)? เราต้องจำไว้ว่าก่อนหน้านี้ข้อ 53 เป็นประเด็นที่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของลำดับความเป็นใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของลำดับเวลา ประเด็นที่หยิบยกนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมาก่อนแต่อยู่ที่ว่าใครเป็นใหญ่กว่า พระเยซูทรงเหนือกว่าอับราฮัมด้วยอันดับหรือตำแหน่งเพราะพระบิดาได้ทรงให้เกียรติพระองค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นการคำนึงถึงประเด็นไหน (อันดับหรือลำดับเวลา) ข้อนี้ก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ได้ ที่พิสูจน์ได้มากที่สุดก็คือพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระยาห์เวห์ ถ้าคุณใช้ข้อนี้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ คุณก็จะมาจบลงตรงที่พิสูจน์ว่าพระคริสต์ก็คือพระยาห์เวห์เอง แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมองหา แต่ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ฉะนั้น “เราเป็น” จากอพยพ 3:14 จึงไม่ได้ใช้หมายถึงพระเยซู
ถ้าเราบอกว่าพระเยซูมาก่อนอับราฮัมในเรื่องของลำดับเวลาก็จะทำให้พระเยซูดำรงอยู่ก่อน แต่นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะเหล่าทูตสวรรค์และผีมารก็ดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเช่นกัน แล้วเรากำลังพยายามจะพิสูจน์อะไรหรือ? ถ้าเรายังยืนยันการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซูซึ่งไม่ได้พิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่อย่างใด แล้วพระองค์จะทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ไหน? ถ้าเราบอกว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ก่อนอับราฮัมก็จะเป็นปัญหาในแง่ของพระคัมภีร์เพราะพระเยซูทรงบังเกิดในเบธเลเฮม การบังเกิดของพระองค์นั้นสามารถหาช่วงเวลาและสถานที่ได้คือในเบธเลเฮมราว 5 ปีก่อนคริสตกาลซึ่งมาทีหลังอับราอัมอย่างมาก ถ้าเราบอกว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนที่จะทรงบังเกิดในเบธเลเฮม นั่นหมายความว่าพระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ตามที่บางคนจินตนาการไปว่าพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองเช่นนั้นในยอห์น 6:41 (“เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”) หรือ? พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนในแง่ที่วิญญาณของพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมไหม? ถ้าหากพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่ “เราเป็น” จากอพยพ 3:14 อย่างนั้นเรากำลังพูดถึงวิญญาณแบบไหนหรือ? ไม่มีผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนไหนต้องการจะเปรียบพระเยซูให้เท่ากับพระยาห์เวห์เพราะพระยาห์เวห์คือพระเจ้าพระบิดา พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร
คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่เข้าใจได้ก็คือ “ก่อนอับราฮัม” ที่เข้าใจในความหมายของสถานะคือพระเยซูมีอันดับเหนืออับราฮัม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึงพระเยซูว่า “พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อน[12]ข้าพเจ้า” (ยอห์น 1:15) มันเป็นได้อย่างไรหรือที่พระเยซูจะอยู่ก่อนยอห์นผู้ให้บัพติศมาในเมื่อพระองค์เกิดหลังยอห์นผู้ให้บัพติศมา? ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดไว้ชัดเจนว่าเรื่องนี้จะต้องเข้าใจในแง่ของความเป็นใหญ่ (“ทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า”)
พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์
เรามีพระเยซูสององค์อยู่ตรงหน้าเราคือพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระเยซูตามพระคัมภีร์ ถ้าคุณพูดถึงพระเยซูกับผม ผมก็ต้องถามคุณว่าคุณกำลังพูดถึงพระเยซูองค์ไหนเพราะพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นแตกต่างจากพระเยซูตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง
พระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นคือการลงมาบังเกิดของพระเจ้าพระบุตร ถ้าเราจะใส่เป็นสมการก็จะเป็น (ถ้อยคำ, วาทะ) = พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์ สมการนี้ไม่สอดคล้องกับยอห์น 1:1
สมการตามพระคัมภีร์คือ (โลกอส) = พระยาห์เวห์
พระเยซูคริสต์ ตรงนี้มีเครื่องหมายเท่ากับ แต่ก็มีลูกศรด้วยที่บ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้มาสถิตอยู่ในพระเยซูคริสต์
(โลกอส) เท่ากับพระยาห์เวห์แต่ไม่เท่ากับพระเยซู สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือสมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่า พระเจ้าพระบุตรเท่ากับพระเยซูคริสต์ แต่สมการนี้ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องทั้งจากยอห์น 1:1 หรือยอห์น 1:14 หรือพระกิตติคุณยอห์น หรือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม
สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ (โลกอส) = พระเจ้าพระบุตร เป็นปัญหาในยอห์น 1:1 เมื่อเราอ่านคำกล่าว “พระวาทะเป็นพระเจ้า”[13] นั้นปัญหามีว่าใครคือพระเจ้า? คำตอบตามพระคัมภีร์ก็คือ “เราคือยาห์เวห์ ไม่มีใครอื่น นอกจากเราแล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด” (อิสยาห์ 45:5 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[14] พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแล้วพระเจ้าพระบุตรมาจากไหน? สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้าพระบุตรเลย ถ้าคุณอยากจะส่งเสริมความเชื่อในตรีเอกานุภาพละก็คุณกำลังใช้พระคัมภีร์ผิดเล่มแล้ว เพราะพระคัมภีร์เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวซึ่งแม้บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังยอมรับ
มันสำคัญกับความรอดไหมที่คุณเชื่อในพระเจ้าพระบุตรผู้ที่ไม่สามารถจะพิสูจน์จากพระคัมภีร์ได้? ใจคุณยึดอยู่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแน่นมากจนคุณไม่อยากจะเชื่อว่าไม่มีบุคคลดังกล่าวอยู่เลย แต่น่าเสียดายที่ใจมนุษย์สามารถจะเชื่อในบุคคลที่นึกคิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ การตีความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นเป็นการตีความเกินจากที่มีในตัวบท สมัยที่ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพผมไม่ได้เดือดร้อนที่จะตรวจสอบการแปลความหมายยอห์น 1:1 เลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผมสันนิษฐานเอาว่าคริสเตียนทุกคนเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและ “พระเจ้า” ในยอห์น 1:1 ก็คือพระเจ้าพระบุตร ผมไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนั้นจากพระคัมภีร์เลย ทำไมผมจะต้องพิสูจน์ด้วยในเมื่อทุกคนก็เชื่อเช่นนี้?
แต่ข้อผิดพลาดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ปรากฏให้เห็นเมื่อผมได้ทำตามหลักของการตีความตามตัวบทและตั้งคำถามต่างๆ เช่น ตัวบทนี้กำลังสนับสนุนมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจริงๆไหม? “พระเจ้า” หมายถึง “พระเจ้าพระบุตร” จริงๆไหม? มีหลักฐานที่ไหนไหมที่กล่าวถึงบุคคลดังกล่าว? ยอห์น 1:1 กล่าวว่า
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
เราจะพิสูจน์คำยืนยันของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อย่างไรว่าคำ “พระเจ้า” ที่ปรากฏครั้งแรกในข้อนี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดาและที่ปรากฏครั้งที่สองหมายถึงพระเจ้าพระบุตร? ทำไมเราจึงเปลี่ยนความหมายของคำ “พระเจ้า” ในช่วงสามคำนี้? คำ “พระเจ้า” (“”) สองคำนี้ในฉบับภาษากรีกจะคั่นด้วยคำเล็กๆว่า “และ” (“
”) ขณะที่ฉบับแปลภาษาอังกฤษมีสี่คำมาคั่นกลาง[16] แต่เราก็ยอมรับกันโดยไม่ได้พิสูจน์ว่าความหมายของคำ “พระเจ้า” ได้เปลี่ยนไปในช่วงสามคำนั้น ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ น่าเสียดายที่ข้อสันนิษฐานหนึ่งขยายไปสู่ข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งและดังนั้นเราจึงยอมรับการดำรงอยู่ของอีกบุคคลหนึ่งซึ่งก็คือพระเจ้าพระบุตรผู้ที่เท่าเทียมกับพระเจ้า เราใช้คำบุพบท “กับ” (ในคำกล่าว “พระวาทะ[17]ทรงอยู่กับพระเจ้า”) มาเป็นหลักฐานให้กับพระเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง คราวก่อนผมแสดงให้คุณเห็นว่าผมก็สามารถพิสูจน์ในทางการตีความให้เห็นว่าสามารถจะมีบุคคลมากขึ้นได้ถึงห้าหรือหกองค์ในพระเจ้าได้ตามหลักเหตุผลนั้น
สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ “โลกอส (พระวาทะ)” = พระเจ้าพระบุตรนั้นจะใช้ยกอ้างไม่ได้เพราะ “โลกอส” คือ “พระเจ้า” ที่ไม่ใช่ “พระเจ้าพระบุตร” สมการของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอีกส่วนหนึ่งคือ “พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์” ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกันเพราะไม่พบที่ใดเลยในยอห์นหรือในพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะพูดว่า “โลกอส = พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์” หรือจะย้ายส่วนกลางของสมการออกและบอกว่า “โลโกส = พระเยซูคริสต์”
คำว่า (logos โลกอส) ไม่เคยใช้กับพระเยซู คำนี้ปรากฏ 33 ครั้งในพระกิตติคุณยอห์นที่นอกเหนือจากยอห์น 1:1 และไม่มีสักกรณีที่เคยใช้อ้างอิงถึงบุคคล “โลกอส” ในพระคัมภีร์ใหม่จะหมายถึงถ้อยคำที่พูดเสมอ ไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์กับสมการ “โลโกส = พระเยซูคริสต์”
ในทางกลับกันกับสมการตามพระคัมภีร์ที่ลูกศรใน “พระยาห์เวห์ พระเยซูคริสต์” จะหมายถึง “มาสถิตอยู่ใน” เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า “มาสถิตอยู่ใน” ด้วยซ้ำ เราสามารถพูดง่ายๆว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ในพระเยซูคริสต์” เราใช้เครื่องหมายลูกศรแทนที่จะเป็นเครื่องหมายเท่ากับเพื่อจะบ่งชี้ว่าพระเยซูไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่ยังบ่งชี้ว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาในองค์พระเยซูและสำแดงพระองค์ในพระเยซู นี่คือความจริงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแต่คุณจะไม่เห็นว่าน่าตกใจเพราะคุณไม่รู้พระคัมภีร์เดิมดีพอ สำหรับชาวยิวแล้วคำกล่าวอย่างนั้นน่าตกใจแน่ๆ “คุณพูดว่ายังไงนะ? พระยาห์เวห์ พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเสด็จมาในผู้ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์อย่างงั้นหรือ?” อิทธิพลของถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์นี้ถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพลบออกไป คุณลองบอกมุสลิมสักคนว่าพระอัลเลาะห์เสด็จมาในองค์พระเยซูคริสต์ดูสิ คุณจะเห็นเขาจะตกใจอย่างสุดขีด
จิตวิญญาณของพระคริสต์
คำกล่าวมากมายในพระคัมภีร์เริ่มจะมีความหมายขึ้นเมื่อเราได้เห็นว่าพระเยซูตามพระคัมภีร์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ พระเยซูตรัสว่า “คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 14:24 ฉบับมาตรฐาน 2011) และ “คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 14:10 ฉบับ 1971) พระยาห์เวห์พระบิดาเป็นผู้ทำงานต่างๆที่พระเยซูทำ เปโตรกล่าวในคำสั่งสอนครั้งแรกของเขาว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงทำการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์ และหมายสำคัญต่างๆทางพระเยซูชาวนาซาเร็ธ (กิจการ 2:22)[18]
เรื่องคำถามว่าอะไรคือจิตวิญญาณของพระเยซู ความเชื่อในตรีเอกานุภาพต้องเตรียมรับปัญหาใหญ่เรื่อง “ความเกี่ยวข้องกันของสองธรรมชาติ” นี่เป็นปัญหาสำคัญของศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์[19]ที่เราใช้เวลาเป็นปีๆพยายามหาคำตอบ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนั้นเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี? เรื่องนี้มีกลุ่มความคิดอยู่สองกลุ่ม แต่ผมจะเน้นมุมมองแบบอเล็กซานเดรียเพราะเป็นมุมมองตามมาตรฐานของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่เอาชนะมุมมองแบบเนสโตเรียส ตามศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์แบบอเล็กซานเดรียเมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกและบังเกิดจากนางมารีย์นั้น พระองค์ทรงมีร่างกายธรรมชาติพระองค์จึงสามารถที่จะกิน ดื่ม พระโลหิตไหล และสิ้นพระชนม์บนกางเขนได้
แล้วเรื่องจิตวิญญาณของพระองค์ล่ะ? พระเยซูทรงมีจิตวิญญาณของมนุษย์ไหม? ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในพระกายของพระเยซูก็คือพระเจ้าพระบุตร หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพระเจ้าพระบุตรเป็นพระวิญญาณที่ดำรงอยู่ในพระกายของพระเยซู ซึ่งไม่ได้เป็นจิตวิญญาณของมนุษย์แต่เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้านั่นก็คือวิญญาณของพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้า ที่สำคัญมียังหมายความว่าพระเยซูไม่ได้มีจิตวิญญาณของมนุษย์
ในทางกลับกัน ถ้าจิตวิญญาณภายในพระเยซูเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์แล้วพระองค์ก็ทรงมีร่างกายของมนุษย์ด้วยพระเยซูก็จะเป็นมนุษย์ที่แท้และมนุษย์ที่สมบูรณ์ (มนุษย์ประกอบขึ้นด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ) แต่พระเจ้าพระบุตรจะอยู่ตรงส่วนไหนถ้าหากพระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ที่มีร่างกายของมนุษย์และมีจิตวิญญาณของมนุษย์? นั่นคือปัญหาเรื่องการมีสองธรรมชาติ
สิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์เป็นการสถิตอยู่ภายในอีกคนมากกว่าแนวความคิดตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องการลงมาบังเกิด มีสองบุคคลที่ผู้หนึ่งสถิตอยู่ในอีกผู้หนึ่ง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในมนุษย์ในลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในคุณและผม
แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูคือพระเจ้าพระบุตร ไม่ใช่เพราะการที่พระเจ้าสถิตอยู่ในแต่เป็นเพราะพระเจ้าพระบุตรนั้นเทียบเท่าพระเยซูคริสต์ทุกอย่าง (พระเจ้าพระบุตร = พระเยซูคริสต์) นั่นคือเหตุที่บรรดานักศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างเช่นมอลท์มานน์[20]จึงพูดถึง “พระเจ้าที่ถูกตรึงตายบนกางเขน” การตรึงพระเยซูก็คือการตรึงพระเจ้าพระบุตร สมการนี้จะเป็นไปได้เฉพาะในกรณีที่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีจิตวิญญาณของมนุษย์ แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าแล้วพระเยซูองค์ที่กล่าวถึงนี้เป็นมนุษย์แท้หรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่” เพราะว่าพระองค์ไม่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของมนุษย์ที่สำคัญยิ่งกว่าร่างกายด้วยซ้ำ มุสลิมผู้ระเบิดพลีชีพเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะในมุมมองของพวกเขานั้นร่างกายอาจแหลกละเอียดไปแต่จิตวิญญาณจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์
อะไรหรือที่เป็น “ตัวผม”? มันก็คือจิตวิญญาณของผม เพราะตัวผมคือจิตวิญญาณของผม ร่างกายของผมไม่ใช่ “ตัวผม” ในความเป็นจริงแล้วร่างกายปัจจุบันของผมไม่ใช่ร่างกายที่ผมมีเมื่อ 20 ปีก่อนโดยเฉพาะร่างกายที่ผมมีเมื่อ 40 ปีก่อนขณะผมยังเป็นนักกีฬาที่ปราดเปรียว แต่ที่คุณเห็นในวันนี้คือชายคนหนึ่งที่ตัวหงิกงออยู่บนเก้าอี้เพราะกระดูกสันหลังคด หากร่างกายคือทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ผมก็เป็นคนที่น่าสมเพชสุดในบรรดามนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น “ก็ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (1 โครินธ์ 15:32)
ในนิมิตของอัครทูตยอห์น “เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่า” (วิวรณ์ 6:9 ฉบับมาตรฐาน 2011) สิ่งที่เขาเห็นอยู่ใต้แท่นบูชาไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นวิญญาณของผู้ยอมสละชีวิต “จิตวิญญาณของคนชอบธรรมซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว” (ฮีบรู 12:23 ฉบับมาตรฐาน 2011) มนุษย์คือจิตวิญญาณ ถ้าคุณเอาจิตวิญญาณของเขาออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเปลือกที่ห่อหุ้ม เปาโลพูดถึงร่างกายของเขาว่าเป็นเหมือนเรือนกายที่จะถูกทำลายไปเมื่อเขาตาย (2 โครินธ์ 5:1-5) เขาปรารถนาที่จะสวมกายใหม่จากพระเจ้า แม้กายใหม่ฝ่ายวิญญาณจะเป็นสิ่งภายนอกสำหรับเขา ตัวตนจริงของเปาโลนั้นไม่ได้อยู่ที่ร่างกายของเขาแต่เป็นจิตวิญญาณของเขา
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจิตวิญญาณในพระเยซูไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์แต่เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้าพระบุตร เมื่อเนสโตริอุส[21]คัดค้านว่าตามหลักนี้พระเยซูจะเป็นมนุษย์จริงๆไม่ได้ เขาจึงถูกประกาศว่าเป็นพวกเชื่อผิด สิ่งที่เขาเสนอไม่ใช่สมการเท่ากับ (=) แต่เป็นการสถิตอยู่ใน (_) เพราะเขายอมรับว่าวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของมนุษย์ไม่ใช่อันเดียวกันและเหมือนกัน วิญญาณของมนุษย์ประทานมาจากพระเจ้าและกลับไปสู่พระเจ้า(ปัญญาจารย์ 12:7) แม้มนุษย์ได้รับวิญญาณจากพระเจ้าแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกับพระเจ้าหรือแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ทรงระบายลมหายใจ[22]แห่งชีวิตเข้าไปในมนุษย์ก็ตาม (ปฐมกาล 2:7) เรามีวิญญาณที่เหมือนกับวิญญาณของพระเจ้ามากเพราะว่าพระองค์ทรงระบายพระวิญญาณของพระองค์เข้าในเรา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราเท่าเทียมกับพระเจ้า
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจะมีสองบุคคลที่เท่ากันทุกอย่าง (พระเจ้าพระบุตร=พระเยซูคริสต์) แม้จะมีความจริงในพระคัมภีร์ว่า ไม่มีใครที่เท่าเทียมกับพระยาห์เวห์และไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์ (อิสยาห์ 45:5-6)[23] แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราไม่ได้ให้ความสนใจพระคัมภีร์เดิมอย่างจริงจังนัก เราต้องการแต่พระคัมภีร์ใหม่และก็ไม่ได้ต้องการพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มอีกด้วย แต่ต้องการเฉพาะพระคัมภีร์ตอนที่ดูเหมือนจะสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น
ผมต้องตกใจอย่างสุดๆเมื่อพยายามพิสูจน์การดำรงอยู่ของ “พระเจ้าพระบุตร” จากพระคัมภีร์ เพราะที่ผ่านมาผมคิดว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นความจริงแต่ผมก็ไม่เคยพยายามที่จะพิสูจน์เรื่องนี้จากพระคัมภีร์ ผมจึงถามตัวเองทันทีว่า “ผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงหรือ?” ถ้าผมเป็นผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวจริงๆแล้วทำไมผมจึงเชื่อวางใจในบุคคลอื่นๆที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์?”
ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับชาวยิว
ผมยังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ในเรื่องการนำถ้อยคำแห่งความรอดไปยังชาวมุสลิมและชาวยิวด้วย ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์จะเข้าถึงชาวมุสลิม แต่เป็นถ้อยคำที่ชาวยิวสามารถจะยอมรับได้ดียิ่งกว่าชาวมุสลิม มันจะเป็นเรื่องยากกับชาวมุสลิมมากกว่ากับชาวยิวที่จะยอมรับเรื่องการเสด็จมาของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าชาวยิวจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ
ผมคิดว่าพระเจ้ากำลังให้เรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับเราในยุคสุดท้ายนี้ด้วยเหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ พระองค์กำลังหันความสนใจของพระองค์กลับไปที่ประชากรอิสราเอล เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาพระกิตติคุณจะกลับไปสู่ชาวยิว การประกาศกับชาวยิวเป็นส่วนที่คริสตจักรล้มเหลวอย่างมาก
ชาวยิวที่ยอมรับพระคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์จำนวนเพียงหยิบมือที่เราได้พยายามประกาศเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารที่ลืมไปว่าพวกเขาเป็นชาวยิวซึ่งมียกเว้นก็เพียงไม่กี่คน และในหมู่คนเหล่านี้ที่เข้าสุหนัตและถือรักษาธรรมบัญญัติก็ถูกชาวคริสเตียนที่เชื่อในตรีเอกานุภาพตราหน้าว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนเทียมเท็จ
ในยุคสุดท้ายนี้องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังทรงนำเรากลับมาสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ อีกไม่ช้าก็จะถึงเวลาที่เราจะนำถ้อยคำนี้ไปยังชาวยิว ในทางกลับกันนั้นถ้อยคำตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่เข้าถึงชาวยิวผู้มีรากลึกในพระคัมภีร์เดิมเลย ถ้ามีใครทำให้ชาวยิวกลับใจมาเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ ผมจะนึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด! เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15)
เพื่อความรอดของคุณแล้ว คุณจะวางใจในพระเยซูผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์แท้แต่เป็นพระเจ้าพระบุตรผู้ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์หรือ? ในฐานะอดีตผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่หยั่งรากลึกในพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงสามารถกล่าวโดยไม่กลัวการโต้แย้งว่าไม่มีทางที่จะพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระเจ้าพระบุตรได้เลย เรายอมรับอย่างง่ายดายโดยไม่พิเคราะห์ให้ดีเพราะได้ถูกสอนมาอย่างนั้น แต่เมื่อคุณเริ่มตรวจสอบหลักฐานนั้นทุกอย่างก็ตกไป คุณจะรอดโดยเชื่อวางใจในผู้ที่ไม่ได้มีอยู่จริงหรือ? มันให้หลักฐานอะไรที่ให้ความหวังว่าจะรอดได้?
เราจะประกาศให้ชาวยิวผู้ที่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเดียว และรู้ว่า “พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35) ให้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้หรือ? เราจะไปบอกวิธีที่พวกเขาควรจะอ่านพระคัมภีร์ของพวกเขาไหม? หรือพวกเขาควรจะโยนพระคัมภีร์ของพวกเขาทิ้งแล้วมาอ่านพระคัมภีร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแทนไหม?
ความคิดของยอห์นเกี่ยวกับเกียรติ
คุณจะเข้าใจพระกิตติคุณยอห์นได้คุณก็ต้องเรียนที่จะคิดตามแบบพระคัมภีร์ ถ้าคุณคิดตามแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพคุณก็จะจมปลักอยู่กับความคิดที่ผิดและความขัดแย้งกัน
ให้เราดูปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ก่อนในยอห์น 17:5 “บัดนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา”[24] ถ้าคุณจะพึ่งแต่เฉพาะวิธีการตีความเพื่อทำความเข้าใจข้อนี้คุณก็จะไปไม่ถึงไหนเพราะความคิดของยอห์นแตกต่างจากของเราจนเมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์เหมือนเช่นพระคัมภีร์ตอนนี้ คุณก็จะอ่านด้วยความคิดแบบตรีเอกานุภาพของคุณว่า “ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติของความเป็นพระเจ้าต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา” เราจะเห็นเกียรตินี้เป็น “เกียรติในความเป็นพระเจ้า” คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร ทางเดียวเท่านั้นที่เราจะพิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระคริสต์จากข้อนี้ก็คือ การตีความให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบทที่จะทำให้มันหมายถึง “เกียรติในความเป็นพระเจ้าที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์” นั่นก็คือเกียรติของพระเจ้าพระบุตร
แล้วอะไรคือทางเลือก? ทางเลือกที่เราเห็นว่าไม่น่าสนใจ นั่นเป็นเพราะความคิดของยอห์นเรื่องเกียรตินั้นแตกต่างจากของเรา ในฐานะของผู้ตีความพระคัมภีร์ที่มีความรับผิดชอบ คุณจะต้องค้นคำว่า “เกียรติ” และดูว่าคำนี้ใช้อย่างไรในยอห์น ที่จริงแล้วการศึกษาคำเป็นขั้นแรกสุดของการตีความ
ยอห์น 17:24 กล่าวคล้ายกันว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อพวกเขาจะได้เห็นศักดิ์ศรี[25]ของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก”
เกียรตินี้ได้มอบให้กับพระเยซู “ก่อนที่จะทรงสร้างโลก” เป็นถ้อยคำที่เราได้พิจารณาไปแล้ว เราเองก็เช่นกันที่ถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงสร้างโลก (เอเฟซัส 1:4)[26] สิ่งที่เป็นจริงกับพระเยซูก็เป็นจริงกับเราด้วย นี่อาจไม่ช่วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพแต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือว่าคุณและผมได้ถูกเลือกก่อนที่จะทรงสร้างโลกเพราะความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราด้วยเช่นกัน
การเข้าใจความคิดเรื่องเกียรติที่ผิดจากธรรมดาของยอห์นต่อไปอีก ให้เราดูจากยอห์น 13:29-33
29บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือกระเป๋าเก็บเงิน พระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้อะไรแก่คนจน 30เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน 31เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ 32ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็จะทรงให้บุตรมนุษย์มีเกียรติในตัวเองและจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้ 33ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ‘ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้’” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
จงสังเกตความบ่อยครั้งในการใช้คำ “เกียรติ” และคำที่คล้ายกัน (ที่ขีดเส้นใต้ข้างบน) หลายคนตีความเกียรตินี้ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า” เหมือนพระเยซูกำลังตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติในความเป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสในข้อ 33 ว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น” นั่นเป็นเพราะพระองค์กำลังจะถูกตรึงที่กางเขน “เกียรติ” ที่ยอห์นหมายถึงก็คือการตายบนกางเขน ถ้าเป็นเรื่องนั้นแล้วทำไมยอห์น 17:24 จึงกล่าวว่าพระเยซูทรงได้รับเกียรติก่อนที่พระบิดาจะทรงสร้างโลก? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพระเมษโปดกถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก (วิวรณ์ 13:8)[27] การที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนก่อนจะสร้างโลกนั้นไม่ใช่เป็นตามกาลเวลา แต่เป็นตามการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า ยอห์นไม่ได้สอนอะไรเลยเกี่ยวกับเกียรติในการเป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู
พระเยซูตรัสถึงเกียรติซึ่งก็คือการตายบนกางเขนที่ถูก “ยกขึ้น” หรือ “ยกย่อง” เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็น[28]ผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น” (ยอห์น 8:28)
คำ “ยกขึ้น” ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษไม่ได้ใจความของภาษากรีก คำ “ยกขึ้น” ()[29] ในพจนานุกรมมาตรฐานภาษากรีกไม่ว่าฉบับไหนจะหมายถึง “การยกย่อง” คำนี้ในยอห์นหมายถึงการตายบนกางเขน
32เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” 33พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร 34ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร” (ยอห์น 12:32-34 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระเยซูจะได้รับการยกย่อง ได้รับเกียรติและได้รับการยกขึ้นที่กางเขน พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์แบบใด (ข้อ 33) และดูเหมือนคนทั้งหลายก็รู้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงการตายของพระองค์ (ข้อ 34)
ส่วนการอ้างถึงงูทองสัมฤทธิ์ในถิ่นทุรกันดาร (กันดารวิถี 21:5-9) พระเยซูตรัสว่า “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:15) “ยกขึ้น” ตรงนี้หมายถึงกางเขน งูทองสัมฤทธิ์ถูกยกขึ้นอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้นเพื่อทุกคนที่มองไปที่พระเยซูเหมือนคนเหล่านั้นที่มองไปที่งูทองสัมฤทธิ์ก็จะรอดได้
เราได้เห็นว่ายอห์น 17:5 ไม่ได้หมายถึงเกียรติของพระเจ้า (“บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา”) ถ้อยคำ “ก่อนโลกนี้มีมา”[30]อธิบายได้จากวิวรณ์ 13:8
และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก[31]ผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก (วิวรณ์ 13:8 ฉบับมาตรฐาน 2011)
เกียรติในยอห์น 17:5 นั้นไม่ใช่เกียรติของพระเจ้าที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความเกินจากที่มีตัวบท แต่ในภาษาของยอห์นเป็นการยกย่องที่หมายถึงการถูกยกย่องบนกางเขน สิ่งนี้สำเร็จแล้วตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะพระเยซูทรงถูกฆ่าและถูกยกย่องขึ้นไม่ใช่เฉพาะที่ถูกตรึงบนกางเขนแต่ว่าตั้งแต่แรกสร้างโลกแล้ว เมื่อคุณเข้าใจรูปแบบความคิดจากการเขียนของยอห์นในพระกิตติคุณยอห์นและวิวรณ์ก็จะเห็นความหมายที่นึกไม่ถึง ปกติเราจะคิดถึงความตายว่าเป็นสิ่งเลวร้ายและหวังว่าเราจะไม่ตายเร็ว แต่สำหรับพระเยซูขณะเมื่ออายุ 33 ปีนั้นการตายบนกางเขนเป็นเกียรติและการยกย่องสูงสุด
พระคัมภีร์ใหม่มีการเปรียบเทียบหลายอย่างระหว่างเรากับพระเยซูแต่เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพเราจึงไม่สนใจเพราะมันจะทำให้พระเยซูดูเป็นมนุษย์มากเกินไป โรม 8:29-30 กล่าวว่า
29เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก 30และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น พระองค์ก็ทรงให้มีศักดิ์ศรีด้วย (ฉบับมาตรฐาน 2011)
“การกำหนดไว้แล้ว” ()[32] หมายถึง “ตั้งไว้ก่อน” หรือ “หมายเอาไว้ล่วงหน้า” การใช้ “ตั้งไว้ก่อน” ก็ดีกว่า “การกำหนดไว้แล้ว” เพราะคำหลังจะให้น้ำหนักความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพและศาสนศาสตร์ คำกรีกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความตั้งใจของคุณแต่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าได้ทรงตัดสินพระทัย จากการรู้ล่วงหน้าของพระองค์นั้นพระองค์ทรงหมายไว้ก่อนแล้วว่าเราควรจะเป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์[33] เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปีในครอบครัวของผู้ที่ได้รับการทรงเรียก ผู้ที่ทรงให้เป็นคนชอบธรรม และผู้ที่ทรงให้ได้รับเกียรติตั้งแต่แรกสร้างโลก
พระเยซูผู้ที่ “มาจากพระเจ้า”
ยอห์น 6:46 เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพชื่นชอบ “ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำ “มาจากพระเจ้า” ภาษากรีกคือ “” ที่ “พระเจ้า” เป็นคำสัมพันธการกแสดงความเป็นเจ้าของ[34] เราเข้าใจอย่างไร?
สองบทต่อมาพระเยซูตรัสว่า “แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า” (ยอห์น 8:40 ฉบับไทยคิงเจมส์) คำกรีกของคำ “มาจากพระเจ้า” ตรงนี้เหมือนกันเลยกับ “มาจากพระเจ้า” ในยอห์น 6:46 ในยอห์น 9:33 ชายที่ตาหายบอดพูดกับฟาริสีว่า “หากชายผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาย่อมไม่สามารถทำอะไรได้เลย” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำ “มาจากพระเจ้า”() ตรงนี้ก็เหมือนกันกับ “มาจากพระเจ้า” ในยอห์น 6:46 ยกเว้นแต่คำนำหน้านาม (
) พระเยซูตรัสในยอห์น 16:27 ว่า “พระบิดาเองทรงรักพวกท่าน เพราะพวกท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำ “มาจากพระเจ้า”[35] ตรงนี้ก็เหมือนกับ “มาจากพระเจ้า”[36] ในยอห์น 6:46 (ไม่มีคำนำหน้านามในบางต้นฉบับ)
พระเยซู “มาจากพระเจ้า” ในแง่ไหนหรือ? คำอธิบายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์และเข้าในครรภ์ของนางมารีย์และบังเกิดในเมืองเบธเลเฮม แต่นั่นใช่ความหมายของ “” ไหม? พระเยซูได้ทรงลงมาจากสวรรค์และมาเป็นมนุษย์ที่มีชื่อว่าเยซูหรือ? เรากำลังตีความเกินจากที่มีในตัวบทเหมือนอย่างที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความยอห์น 17:5 เกินจากตัวบทโดยแปลความหมาย “เกียรติ” ว่าเป็น “เกียรติของพระเจ้า”
ยอห์น 1:6 กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งมาจากพระเจ้า ()[37] ชื่อยอห์น” คำ “มาจากพระเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซูในยอห์น 6:46 ตรงนี้ก็ใช้กับยอห์นผู้ให้บัพติศมาในคำขึ้นต้นหนังสือยอห์นซึ่งกำหนดไว้สำหรับพระกิตติคุณยอห์น ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” ก่อนพระเยซูจะถูกส่งมา แต่ก็ไม่มีใครอยากเสนอแนะว่ายอห์นลงมาจากสวรรค์และเข้าไปในครรภ์ของนางเอลิซาเบธ พระเยซูก็ถูกส่ง “มาจากพระเจ้า” (
) เหมือนกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่ถูกส่งมา ดังนั้นมันจึงไม่ได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าหรือการดำรงอยู่ก่อน
ทำไมพระกิตติคุณยอห์นจึงถูกเขียนขึ้น
มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับยอห์นที่จะให้ชาวยิวรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือที่จะให้ชาวยิวรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์[38] แต่เราตีความให้เป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเราเพื่อให้ยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าทั้งๆที่ยอห์นไม่เคยสอนเช่นนั้น ยอห์นได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากให้เราโดยบอกถึงจุดประสงค์ของการเขียนพระกิตติคุณของเขาว่า “แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ยอห์น 20:31 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ยอห์นเขียนพระกิตติคุณของเขาเพื่อจะบอกให้โลกรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้า เราได้เห็นว่า “พระบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่หมายถึงพระเมสสิยาห์ เบื้องหลังพระคัมภีร์เดิมของข้อนี้ก็คือสดุดีบท 2 เป็นบทสดุดีของพระเมสสิยาห์เกี่ยวกับผู้ที่พระเจ้า “ทรงเจิมไว้” (ข้อ 2)[39] ผู้ที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว” (ข้อ 7)
พระกิตติคุณยอห์นไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เขียนขึ้นเพื่อจะพิสูจน์กับชาวยิวว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ เมื่อถึงเวลาที่เราจะประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวยิวอีกครั้ง เราเองจะต้องบอกพวกเขาด้วยว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ถ้าคุณไม่คิดว่าข่าวดีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำคัญมากพอคุณก็ไม่รู้จริงๆว่าพระเมสสิยาห์คือกษัตริย์ของอิสราเอลและผู้ช่วยให้รอดของโลก ตามคำสอนของชาวยิวและพระคัมภีร์แล้ว พระเมสสิยาห์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นมนุษย์ จนถึงทุกวันนี้ชาวยิวก็ยังเฝ้าคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอลและของโลก
คริสตจักรของพระเจ้า – การแบ่งปันจากใจ
ผมขอแบ่งปันบางอย่างจากใจของผมกับภาระที่มีในเรื่องนี้ บางครั้งผมจะพูดกับองค์ผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงให้งานนี้กับผม?” งานพันธกิจนี้ช่างเป็นภาระที่บีบเค้นอยู่ในใจของผม แต่องค์ผู้เป็นเจ้าก็ให้ภาระนี้กับผม
บางครั้งผมจะออกไปเดินและใคร่ครวญเรื่องนี้ ผมจะยืนอยู่ข้างนอกที่พักในดิสคอฟเวอรี่เบย์[40]ดูแสงระยิบระยับของขอบฟ้าฮ่องกงที่พาดบนพื้นน้ำและครุ่นคิดถึงความหมายของพันธกิจ ครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตและครุ่นคิดถึงประวัติศาสตร์ของคริสตจักรสมัยแรกและจุดเริ่มต้นของคริสตจักรไม่นานหลังจากพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่เหลือเชื่อและไม่เคยมีมาก่อนในพระคัมภีร์เดิม คือพระยาห์เวห์เสด็จมายังโลกและสถิตในมนุษย์ การเสด็จมาของพระองค์ไม่ได้แค่เป็นการมาปรากฏของพระเจ้าในรูปของมนุษย์ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้งในพระคัมภีร์เดิมที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ แต่บางครั้งก็ทรงปรากฏในรูปของ “ทูตสวรรค์ของพระเจ้า”
ในยุคสุดท้ายนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกที่จะเสด็จมาในทางที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ในรูปกายของมนุษย์แบบชั่วครั้งชั่วคราวแต่ในองค์พระเยซูจริงๆ พระองค์มาปรากฏในร่างพระเยซูเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในองค์พระเยซูผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ก่อนที่จะทรงสร้างโลก ผู้เป็นมนุษย์แท้ที่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพผู้ที่ไม่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ พระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ที่พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ภายใน พระองค์ทรงสามารถจะสามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์ สามารถพูดคุยกับพระองค์แบบหน้าต่อหน้าและสามารถเป็นพยานกับโลกว่าพระองค์ได้เห็นพระบิดา
ใครที่มีประสบการณ์การสามัคคีธรรมอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าก็จะเข้าใจประสบการณ์ของพระเยซู ผมมีประสบการณ์การสามัคคีธรรมแบบนี้กับพระเจ้าที่แทบจะเหมือนแบบหน้าต่อหน้า ไม่ใช่ว่าผมเห็นพระองค์จริงๆแต่ผมก็เห็นพระองค์แบบสลัวๆเหมือนดูในกระจก พระเยซูทรงมองพระยาห์เวห์ชัดกว่ามากเพราะพระองค์ทรงคุยกันอย่างสนิทสนมกับพระยาห์เวห์จนถึงกับกระทำสิ่งต่างๆตามที่พระองค์เห็นพระบิดาทำ และตรัสในสิ่งที่พระองค์ได้ยินพระบิดาตรัสแล้วยังตรัสถ้อยคำจริงของพระบิดา ผมก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ผมจึงสามารถยืนยันคำกล่าวขององค์ผู้เป็นเจ้าได้จากประสบการณ์ของผมเองแม้ว่าจะในระดับที่น้อยกว่ามาก
เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกในองค์พระเยซู พระองค์ทรงทำงานผ่านทางพระเยซู ตรัสผ่านทางพระเยซู และทรงสอนผู้คนผ่านทางพระเยซู (เช่นในคำเทศนาบนภูเขา) จากนั้นพระเยซูทรงได้รับการยกย่อง(ถูกตรึง) แต่ก็หลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเสริมกำลังพระเยซูด้วยการสถิตอยู่ของพระองค์เองเพื่อให้แน่ใจกับชัยชนะครั้งสุดท้ายของพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอดของโลก หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มของบรรดาผู้เชื่อเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มและมีคริสตจักรตามมาอีกมากมาย
วันก่อนผมถามคำถามเชาว์กับเฮเลนว่าคำ “คริสตจักรของพระคริสต์” มีปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่กี่ครั้ง? เธอคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงบอกว่า “ไม่เกินสิบสองครั้ง” ผมพูดว่า “คุณจะต้องแปลกใจกับคำตอบแน่ๆ ว่าไม่เคยมีการกล่าวถึงเลยในพระคัมภีร์แม้แต่ครั้งเดียว!” โรม 16:16 พูดถึง “บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์” แต่นี่เป็นคำทั่วไปที่ใช้กับกลุ่มที่ประชุม[41]ที่ยอมรับพระเยซู แต่คำ “คริสตจักรของพระคริสต์” ในความหมายของ “คริสตจักรที่เป็นของพระเยซูคริสต์” นั้นไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่
ถ้าไม่ได้เรียกคริสตจักรสากลว่า “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” (แม้ว่าพระคริสต์จะทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรและเพราะฉะนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของกาย) แล้วจะเรียกคริสตจักรว่าอย่างไร? มันก็เรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” คำเรียกนี้จะพบ 12 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ฉบับภาษากรีกแต่คุณจะต้องค้นหาในหลายวิธี ดังนั้นเองสิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดคือ คริสตจักรเป็นคริสตจักรของพระเจ้า และพระเจ้าคือพระยาห์เวห์
เปาโลกล่าวว่า “จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร[42]ของพระองค์” (กิจการ 20:28 ฉบับมาตรฐาน 2011) เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมประหลาดใจที่พบว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า และไม่ได้เรียกว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์
ผมมีนิมิตหนึ่งซึ่งจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ในมโนภาพของผม ผมเห็นพระยาห์เวห์เสด็จมา จากนั้นพระองค์ก็ตั้งคริสตจักรของพระองค์และบรรดาดวงไฟเล็กๆของคริสตจักรเล็กๆแห่งนี้ก็ส่องออกไปในความมืดของโลก และยังมีดวงไฟเล็กๆอีกมากที่ห่างออกไปและไกลออกไปจากเยรูซาเล็ม ในช่วงร้อยปีแรกดวงไฟเล็กๆทั้งหลายได้กำเนิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มแล้วขยายวงออกไปในตะวันออกกลาง แล้วก็แถบเมดิเตอร์เรเนียนก่อนที่จะขยับเข้าไปในส่วนที่เหลือของโลก
ในขณะเดียวกันซาตานก็กำลังมองดูเรื่องทั้งหมดนี้แล้วบอกกับตัวเองว่า “ไม่ดีแน่ ดวงไฟเหล่านี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน เปาโลกำลังจุดดวงไฟในทุกที่ทุกแห่ง (ตั้งแต่ตุรกีในปัจจุบันไปจนถึงกรีกในปัจจุบัน) และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังเสปน เห็นจะไม่ได้การแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
ซาตาน-จอมวางแผนที่หลักแหลม
คุณเคยอ่าน “จดหมายจากสกรูเทป”[43] เขียนโดย ซี เอส ลูอิสไหม? หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของเหล่ามารร้ายที่รวมตัวกันหารือวิธีการให้คริสเตียนหมดความปรารถนาในสิ่งฝ่ายวิญญาณและส่งเขาให้ร่วงลงในนรกแบบไม่เป็นท่า มันเป็นหนังสือเพื่อสอนคริสเตียนให้ระมัดระวังกลอุบายของมารซาตานที่มีไว้ดักคุณและทำให้คุณล้มลง หนังสือเล่มนี้มีความคิดที่ดีแต่ขอบเขตของมันยังแคบไป ซาตานมีแผนการที่ใหญ่กว่าการทำให้คริสเตียนแค่หยิบมือพ่ายแพ้
ในชีวิตจริงนั้นซาตานมีวิธีที่หลักแหลมยิ่งขึ้น! ผมยกนิ้วให้เลย ในศิลปะการต่อสู้นั้นคุณอาจต่อสู้กับคู่แข่งของคุณจนถึงตาย แต่คุณก็ยังคงเคารพในความสามารถของเขาว่าเป็นยอดฝีมือ[44] แม้หลังการต่อสู้แบบเป็นแบบตายจะเสร็จสิ้นลงนักรบทั้งสองฝ่ายก็ยังก้มคำนับให้กันและกัน มันเป็นมารยาทต่อกันแต่ก็เป็นการยอมรับฝีมือของคู่ต่อสู้ด้วย ผมยอมรับว่าฝีมือของซาตานนั้นน่าประทับใจ มันจะต่อสู้กับเราจนถึงตาย แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ามันหลักแหลม!
หลักแหลมอย่างไรหรือ? ขณะที่ผมกำลังพยายามจะลบล้างความเสียหายที่มันทำไป ผมต้องบอกว่าซาตานทำให้งานของเราลำบากขึ้น มันทำได้สำเร็จที่ทำให้ความคิดของเราสับสนจนเราคิดอย่างชัดๆไม่เป็น มีความสับสนระหว่างพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ เราไม่รู้วิธีอ่านพระคัมภีร์อย่างอื่นนอกจากจะอ่านตามวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้น เราทุกคนได้ถูกล้างสมองและถูกปลูกฝังความเชื่อ และผู้แปลพระคัมภีร์ได้แปลความพระคัมภีร์ให้คุณตามวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มันจึงไม่ได้ช่วยอะไร
ในมโนภาพของผมนั้นซาตานมองพระยาห์เวห์และต้องการจะหันความสนใจของเราไปจากพระองค์ ช่างหลักแหลมจริงๆ! ดังนั้นมันจึงตั้งอีกผู้หนึ่งที่เป็นพิมพ์เดียวกันเลยกับพระยาห์เวห์ และเป็นผู้มีความเท่าเทียมกันและนิรันดร์กาลเท่ากันกับพระองค์ คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่า พระเจ้าพระบุตรแตกต่างจากพระเจ้าพระบิดาอย่างไรนอกจากชื่อของสองพระองค์? ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่ยอมให้พระบุตรมีความนิรันดร์กาลตามหลังพระบิดาแม้แต่อึดใจเดียว ฉะนั้นเราจึงไม่รู้เลยว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าในแง่ไหน
พระคัมภีร์เรียกพระเยซูว่าพระบุตรของพระเจ้าเพราะว่าพระองค์บังเกิดจากนางมารีย์ (ลูกา 1:35) แต่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกสิ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมพระองค์จึงถูกเรียกว่าพระบุตร? ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระบิดาเป็นพระเจ้าองค์แรก พระบุตรเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง และพระวิญญาณเป็นพระเจ้าองค์ที่สามอย่างนั้นหรือ?
ซาตานได้ใส่เราไว้ในบ้านกระจก เมื่อคุณมองกระจกรอบตัว คุณจะเห็นคนยืนอยู่ตรงนี้และตรงโน้นไปทั่ว แต่ซาตานไม่ต้องการให้คุณมองเห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว
ไม่นานมานี้มีคนถามผมว่า ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่เคยถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่? คำตอบก็คือว่า ถ้าคุณเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว (เหมือนที่ชาวยิวเชื่อ) ดังนั้นเมื่อใดที่ผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็จะรู้ทันทีว่าผมกำลังพูดถึงใคร แต่เพราะคุณอยู่ในข่ายของผู้นับถือพระเจ้าหลายๆองค์ที่เชื่อในพระเจ้าสามองค์ ฉะนั้นเมื่อผมพูดว่า “พระเจ้า” คุณก็ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดถึงพระองค์ไหน ผมอาจจะหมายถึงทั้งสามพระองค์หรือหมายถึงหนึ่งในสามพระองค์ นี่แหละคือกลลวงของบ้านกระจก คุณไม่รู้ว่าใครเป็นใครอีกต่อไป จุดรวมความสนใจของคุณมันกระจัดกระจาย[45] ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระคัมภีร์ใหม่แต่อยู่ที่เรา
เมื่อเปาโลพูดถึงพระเจ้า เขาก็หมายถึงพระเจ้าแน่นอนเพราะสำหรับเปาโลแล้วมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (1โครินธ์ 8:6, 1ทิโมธี 2:5) พระเยซูพูดกับพระบิดาของพระองค์ว่า “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว” (ยอห์น 17:3) พระยาห์เวห์ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่ก็เพราะว่าทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียวคือพระยาห์เวห์ของพระคัมภีร์เดิม แต่การมาจากเบื้องหลังที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์เราจึงแปล “พระเจ้า” คำแรกในยอห์น 1:1 ว่าเป็นพระเจ้าพระบิดา และแปล “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระเจ้าพระบุตร แล้วพระเจ้าพระบุตรเข้ามาเกี่ยวโยงได้อย่างไร? เราตีความเกินจากที่มีในตัวบท กลลวงบ้านกระจกของซาตานนั้นหลักแหลมมากที่ชักจูงคุณให้ถามว่า “ทำไมพระยาห์เวห์จึงไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่?” แม้แต่ในอิสราเอลปัจจุบันนี้ชาวยิวก็ไม่พูดว่า “ยาห์เวห์” เมื่อพวกเขากำลังพูดถึงพระองค์ยิ่งกว่านี้สำหรับพวกเขาแล้วพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อชาวยิวเอ่ยถึงพระเจ้า พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้ที่พวกเขาเอ่ยถึงเพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น
แต่สถานการณ์ของคริสตจักรเปลี่ยนแปลงอย่างมากในศตวรรษที่สี่เมื่อมีการประชุมสภาสังคายนาไนเซีย[46] แม้ก่อนหน้านั้นคริสตจักรได้กลายเป็นคริสจักรที่มีจำนวนคนต่างชาติมากกว่า บรรดาผู้นำคริสตจักรก็คือบรรดาคนต่างชาติที่มาจากเบื้องหลังความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ พวกเขาไม่ได้เห็นปัญหาในการมีหลายองค์อยู่ในพระเจ้าทั้งๆที่ความจริงแล้วพระคัมภีร์ใหม่เขียนขึ้นโดยบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว และคริสตจักรของพระคัมภีร์ใหม่ก็เชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว สิ่งที่ผมสอนในวันนี้ไม่ได้สอนอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากพระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้กำลังสอนสิ่งใหม่แต่เป็นสิ่งที่มีมานานมาก
สำหรับยอห์นกับเปาโลและอัครทูตคนอื่นๆแล้วพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ถ้าคุณแปลความ“พระเจ้า” คำแรกในยอห์น 1:1 ว่าเป็นพระบิดา และ “พระเจ้า” คำที่สองว่าเป็นพระบุตร ยอห์นจะเรียกคุณว่าคนนอกรีต มีเรื่องเล่ากันว่านักบุญยอห์นได้พบกับเซรินธุส[47]คนนอกรีตที่ลือชื่อในที่อาบน้ำสาธารณะของเมืองเอเฟซัส คนนอกรีตถามนักบุญยอห์นว่า “คุณจำผมได้ไหม?” และนักบุญยอห์นตอบว่า “จำได้สิ คุณเป็นลูกของมาร”
ซาตานหยุดเส้นทางของคริสตจักรและเป็นจุดจบทางฝ่ายวิญญาณจากศตวรรษที่สามเป็นต้นมา คริสตจักรเริ่มพูดถึงพระเจ้าสามองค์ ไม่ว่าคุณจะพูดยังไงมันก็ยังเป็นสามองค์อยู่ดีคือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นพระเจ้าทั้งสามพระองค์
พวกผู้นำคริสตจักรรุ่นแรกๆเป็นชาวยิวที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวโดยไม่มีใครยกเว้น ในศตวรรษที่สองคนต่างชาติที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักร พอมาถึงศตวรรษที่สามก็ไม่มีผู้นำชาวยิวหลงเหลืออยู่ในคริสตจักร แต่ในศตวรรษที่สองก็แทบจะไม่หลงเหลือชาวยิวอยู่ในคริสตจักรแล้ว และไม่นานคริสตจักรก็ไม่ได้ยึดมั่นกับความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอีกต่อไป แต่พวกผู้นำคริสตจักรที่แม้จะมีพื้นหลังของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ก็ยังตระหนักถึงลักษณะของพระคัมภีร์ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้นพวกเขาจึงรักษาความคล้ายคลึงกันเฉพาะแต่ชื่อว่ามีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวด้วยการเล่นคำว่าสามรวมเป็นหนึ่งและหนึ่งรวมอยู่ในสาม
ซาตานช่างหลักแหลม มันไม่ได้แค่สร้างภาพเหมือนของพระยาห์เวห์สองภาพในกระจก คือพระเยซูกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันได้ยกผู้ที่อยู่ตรงกลางคือพระเยซูคริสต์ให้อยู่เหนืออีกสองพระองค์ เหมือนเนื้อเพลงที่ว่า “ข้าต้องการแต่พระเยซู” พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น พระเยซูตลอดเวลา เมื่อคุณร้องเพลงที่ไพเราะนี้จบแล้วจะมีใครที่ต้องการพระยาห์เวห์ไหม?
จะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
คุณอาจถามว่าเปาโลไม่ได้พูดไว้หรือว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าขณะอยู่กับท่าน จะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[48] ทำไมเราจึงยกข้อนี้แยกจากพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือ? ข้อนี้จะต้องอ่านตามบริบทจากจดหมายฉบับแรกของเปาโลถึงชาวโครินธ์คือเรื่องของพระเยซูทำให้ชาวยิวสะดุดและพวกต่างชาติก็ถือว่าเป็นเรื่องโง่ (1 โครินธ์ 1:23)[49] ในข้อเดียวกัน (ข้อ 23) เปาโลพูดถึง “ประกาศเรื่องพระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” ในข้อต่อมา (ข้อ 24) เขาพูดถึง “พระปัญญาของพระเจ้า” มันขัดกับฉากหลังสถานการณ์ของโครินธ์ที่เปาโลแสดงความตั้งใจที่จะรู้เรื่องการถูกตรึงของพระคริสต์เท่านั้น (พระปัญญาของพระเจ้า) ซึ่งเป็นความคิดที่บางคนถือว่าอ่อนแอและโง่เขลา
ถ้าคุณจะใช้ข้อนี้เป็นตัวกำหนดหลักคำสอนของคริสเตียนก็ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาคุณเถิด การยกข้อนี้ข้อเดียวโดดๆจะหมายความว่าเราไม่จำเป็นจะต้องรู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระคริสต์เว้นเรื่องที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน มุมมองที่จำกัดในกรณีนี้จำกัดเฉพาะแง่มุมเดียวของพระคริสต์ซึ่งมักจะส่งผลเมื่อเราให้หลักคำสอนขึ้นอยู่กับข้อเพียงข้อเดียว มันหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีกเกี่ยวกับพระคริสต์หรือเกี่ยวกับพระคัมภีร์ใหม่ คุณจะไม่รอดด้วยหลักคำสอนเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีใครเคยรอดโดยแค่เชื่อว่าพระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน เปาโลกล่าวว่า
ถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจว่าพระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด (โรม 10:9-10 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ไม่มีใครจะรอดเพียงเพราะเชื่อใน “พระคริสต์ที่ทรงถูกตรึงกางเขน” เราต้องยอมรับด้วยปากของเราว่าพระเยซูเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าและเชื่อในใจของเราว่าพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย
ซาตานมีความช่ำชองมากที่มันหลอกลวงเราให้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พระเยซูและกันพระยาห์เวห์พระบิดาของเราออกไป “พระเจ้าพระบุตร” ก็คือพระเยซูของหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งไม่ใช่พระเยซูของพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้าพระบุตร หลักความเชื่อที่ตั้งบนรากฐานที่ง่อนแง่นอย่างมากจะมาเป็นศิลามุมเอกของหลักคำสอนของคริสตจักรได้อย่างไร? นี่เป็นผลงานการหลอกลวงที่เหลือขนาด ผมก็ถูกหลอกด้วยจนกระทั่งเมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์
อย่าทำผิดพลาดอย่างเดียวกันนี้
ขออย่าได้ยอมรับสิ่งที่ผมพูดแม้แต่คำเดียวจนกว่าคุณจะตรวจสอบเสียก่อน ให้คุณตรวจสอบกับพระคัมภีร์ด้วยตัวคุณเองอีกสองสามรอบ หากคุณพบข้อผิดพลาดในการตีความของผม ผมจะขอบคุณถ้าคุณจะชี้ให้ผมเห็น อย่ายอมรับอะไรเพียงเพราะว่าอิริค ชางพูดเช่นนั้น จงตรวจสอบดูว่ามีการยืนยันเช่นนั้นจากพระคำของพระเจ้าหรือไม่
อย่าทำผิดพลาดเหมือนอย่างผมที่ยอมรับหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพโดยไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานจากพระคัมภีร์ ผมไม่ได้คิดจะตรวจสอบเพราะผมคิดว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะต้องเป็นความจริงและคงไม่มีใครพยายามจะหลอกลวงผม ที่จริงไม่มีใครที่เจตนาจะหลอกลวงผม เราทุกคนถูกหลอกและเราก็หลอกคนอื่นโดยไม่เจตนาที่จะหลอกแม้แต่น้อย
ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อผมคิดถึงว่าซาตานช่างคิดแผนหลอกลวงที่หลักแหลมอะไรเช่นนี้ ถ้าเราพยายามที่จะเปลี่ยนกลับมา เราอาจถูกหินขว้างตายจากคนที่คิดว่าเราผิดเพี้ยน ในนิมิตของผม ผมกำลังคิดถึงหนังสือของ ซี เอส ลูอิส เกี่ยวกับกลุ่มของมารร้ายที่รวมหัวกันทำให้คริสเตียนพ่ายแพ้ด้วยการทดลองเขาทางเนื้อหนัง แล้วเรื่องทำให้เขาพ่ายแพ้ด้วยคำสอนเท็จล่ะ? คริสตจักรยุคแรกๆก้าวหน้าขึ้นในฝ่ายวิญญานแต่ซาตานก็หยุดยั้งพวกเขาเสีย และตั้งแต่นั้นมาเราจึงมีคำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนี้ คำว่า “นอกรีต” อาจฟังดูแรง แต่มันแค่หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงกับพระคำของพระเจ้า คำสอนที่นอกรีตของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้แพร่ไปทั่วโลกและตอนนี้ก็เข้าไปในประเทศจีน มันเหมือนกับคลื่นสึนามิที่กวาดโลกและกวาดเอาทุกสิ่งไปด้วย และผมก็เป็นเสียงเดียวโดดๆ ถ้าจะพูดแบบปุถุชนธรรมดาแล้วคุณกับผมมีโอกาสเท่ากับศูนย์ที่จะต้านกระแสเดิมได้ ความจริงมักจะเป็นเสียงเล็กๆที่ร้องอยู่ในถิ่นกันดารเหมือนกรณีที่เกิดกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งสุดท้ายแล้วศีรษะของเขาก็ถูกตัดใส่ถาด เราจะเห็นสิ่งที่รอเราอยู่
มองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของผม
ในนิมิตของผม (ไม่ใช่นิมิตในความหมายทางฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นภาพที่เข้ามาในความคิดของผม) ผมมองย้อนกลับไปในชีวิตคริสเตียนของตัวเองและการมารู้จักองค์ผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ๆผมเห็นความสวยงามของพระเจ้าโดยเฉพาะในชีวิตของเฮ็นรี่ ชอย[50]ที่ผมซาบซึ้งอย่างไม่มีวันลืม มีอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาที่ให้ผมเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่ในเขา (มันยากที่จะหาคำพูดมาอธิบาย) ไม่ถึงหกเดือนต่อมาเขาก็ถูกจับ เขาเสียชีวิตในค่ายกักกันสักแห่งน่าจะในสภาพที่แย่มากๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณของเขาชั่วชีวิต
ผมมีชีวิตใหม่ที่ได้เดินกับพระคริสต์ สามัคคีธรรมกับพระองค์และพูดคุยกับพระองค์เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่หวานชื่นนี่เองที่ทำให้ผมหันหลังให้กับทุกสิ่งในโลกนี้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีความหมายกับผม และความทะเยอทะยานทั้งสิ้นของผมที่เกี่ยวกับโลกค่อยๆหมดไปเพราะไม่มีสิ่งใดจะเทียบกับความหวานชื่นในการเดินกับพระคริสต์ในแต่ละวันได้ ผมจะตื่นในตอนเช้าแล้วก็เข้าสนทนากับพระองค์อย่างหวานชื่นทันที ผมจะเดินกับพระองค์ไปตลอดวันและก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันตลอดหลายปี มันเป็นประสบการณ์ที่สุดวิเศษจนไม่สามารถจะสรรหาคำพูดได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆจึงไม่ยินดีกับสามัคคีธรรมเช่นนี้กับพระองค์
มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงกำลังแบ่งปันเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์กับคุณ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” (ยอห์น 8:31-32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
องค์ผู้เป็นเจ้าทรงรักษาคำตรัสของพระองค์ ผมขอบคุณพระองค์อย่างสุดซึ้งที่สุดท้ายแล้วจากคำหลอกลวงทั้งหมดที่ผมถูกสอนมา จากกลลวงทั้งสิ้นของซาตาน จากกระจกเงาแห่งความสับสนทั้งหลายที่ซาตานจัดให้นั้น พระเยซูได้ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงเป็นมิตรสหายแท้ พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกเราว่า “คนรับใช้” แต่ทรงเรียกเราว่ามิตรสหาย เพราะว่า “ทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดา เราสำแดงแก่พวกท่านแล้ว” (ยอห์น 15:15) ด้วยความรักที่ผมมีต่อพระองค์และความร้อนรนที่จะศึกษาพระคำของพระเจ้าโดยได้อ่านหนังสือศาสนศาสตร์อย่างนับจำนวนไม่ถ้วนและจดบันทึกไว้อย่างละเอียดนี่เอง องค์ผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงนำผมมาโดยตลอด
ถ้าคุณประมวลสิ่งที่ผมได้พูดและสอนว่าผมกำลังผลักพระเยซูออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจผมเลยจริงๆ เพราะถ้าไม่ได้มีการสำแดงพระองค์เองและการช่วยทูลขอของพระองค์ (ฮีบรู 7:25)[51] ผมก็คงไม่ได้มาถึงวันนี้ ผมได้แต่นึกภาพว่าจะต้องมีการทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้ามากแค่ไหนจนในที่สุดได้เปิดตาของผมที่บอดด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้เห็นว่าใครคือพระบิดาและใครคือพระเยซู
ไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้มิตรภาพของผมกับพระเยซูลดน้อยลงได้ ถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าพระบุตร นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรักพระองค์น้อยลงเลย พระเยซูทรงผูกหัวใจของผมไว้กับพระองค์อย่างแน่นเหนียวโดยที่ห้าสิบกว่าปีที่ได้เดินกับพระองค์และเห็นการอัศจรรย์ต่างๆนั้นผมก็ได้สามัคคีธรรมกับพระยาห์เวห์มาตลอดโดยไม่รู้ตัว จากนั้นผมก็ตื่นขึ้น (เหมือนอย่างยาโคบ) พูดได้เพียงว่า “พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในที่นี้ แต่ผมไม่รู้เลย!”[52]
พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในพระคริสต์มาตลอด ดังนั้นในการพูดคุยกับพระเยซูผู้เป็นมิตรสหายเลิศนี้ผมก็กำลังพูดอยู่กับพระยาห์เวห์ด้วย ถ้าไม่มีพระเยซูก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงพระบิดาได้
ในที่สุดพระเยซูก็ทรงเปิดเผยความจริงกับผม ความจริงที่ทำให้เป็นไท “อิริค เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อเจ้าพูดอยู่กับเรา เจ้าก็กำลังพูดอยู่กับพระบิดาของเราด้วย?” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา” (ยอห์น 14:23 ฉบับมาตรฐาน 2011) คุณจะมีพระเยซูโดยที่ไม่มีพระยาห์เวห์ไม่ได้ และคุณก็จะมีพระยาห์เวห์โดยไม่มีพระเยซูไม่ได้ พระเยซูได้ทรงนำผมให้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์แล้ว แต่ผมไม่รู้เพราะว่าผมถูกบังตาด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เรามีสหายเลิศคือพระเยซู!
พระเยซูได้ทรงอยู่ด้วยกับผมและพระบิดาได้ทรงอยู่ด้วยกับผมมาตลอด ผมทูลขอพระบิดาให้ยกโทษผมที่ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดและสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์ ในขณะเดียวกันพระเยซูได้พยายามจะบอกผมว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็นอยู่ก็เพราะพระบิดา
ผมซาบซึ้งไม่มีวันจบสำหรับมิตรภาพของผมกับพระเยซู มิตรภาพที่แข็งแกร่งมากจนผมไม่ต้องการอะไรและใครอีก (พูดอย่างจริงใจ) ผมสามารถใช้ชีวิตตามลำพังกับพระเยซูได้ บางครั้งผมต้องขอโทษเฮเลนที่ความสัมพันธ์สนิทของผมกับพระเยซูอาจทำให้เธอรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ที่จริงแล้วผมไม่จำเป็นจะต้องแต่งงาน ที่ผมแต่งงานก็เพราะการเป็นคนโสดในฐานะที่เป็นผู้นำคริสตจักรนั้นทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมากมายได้ แต่ผมคิดว่าเธอเข้าใจที่ผมพอใจกับการอยู่กับพระเยซูตามลำพัง ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าโดยพระคุณของพระเจ้าแล้วคงไม่มีใครในห้องนี้หรือคงไม่มีใครในโลกนี้จะรักพระเยซูมากกว่าผม มากเท่ากับผมก็ใช่ แต่ไม่มากกว่าผม
ถ้ามีใครยก 1 โครินธ์ 2:2 เพื่อจะบอกผมว่าผมต้องรู้จักพระเยซูเพียงผู้เดียว ผมก็จะพูดกับเขาว่า คุณจะรู้จักแต่พระเยซูเท่านั้นไม่ได้ เพราะเมื่อคุณรู้จักพระองค์จริงๆคุณจะมีทั้งพระบิดาและพระบุตรสถิตอยู่ในคุณ จะไม่มี “แต่พระเยซูเท่านั้น” นั่นคือสิ่งที่ซาตานต้องการให้คุณเชื่อ คุณสามารถจะเชื่ออย่างนั้นตามความเพ้อฝันแต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงในฝ่ายวิญญาณ เพราะในความเป็นจริงแล้วพระเยซูจะแยกจากพระบิดาไม่ได้เลย
ผมขอจบด้วยการทิ้งเรื่องนี้ไว้ในใจและความคิดของคุณ ที่ผมสอนเรื่องทั้งหมดนี้ก็พราะว่าพระเยซูได้ทรงนำผมให้ทำสิ่งนี้ ถ้าผมฉุกคิดแม้สักนิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่พระเยซูไม่พอพระทัย ผมก็คงจะหยุดอยู่ตรงนั้น แต่ที่ผมทำอยู่นี้ก็เพราะองค์ผู้เป็นเจ้าและมิตรสหายของผมได้บอกให้ผมทำ พระองค์ทรงเปิดตาของผม ทรงให้ผมเห็นความสว่างและทรงนำผมเข้ามามีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ เมื่อคุณได้รู้จักพระยาห์เวห์ คุณจะไม่มีวันเหินห่างจากพระเยซู ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซูจะยิ่งใกล้ชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดที่ผมกำลังสอนคุณในวันนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการศึกษาอบรมทางการตีความและทางวิชาการมาเป็นเวลานานปี แต่เป็นผลมาจากการเดินของผมกับพระเยซู
ผมหวังว่าคุณจะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้มีค่าลดน้อยลงกับเราเมื่อเรายกย่องพระยาห์เวห์ การยกย่องพระยาห์เวห์เป็นสิ่งหนึ่งที่พระเยซูทรงต้องการให้ผมทำตลอดเวลา พระองค์ทรงต้องการให้ผมพูดกับพระบิดาแม้ในขณะที่ผมกำลังพูดอยู่กับพระเยซู พระเยซูทรงกรุณาและมีเมตตามากที่ในที่สุดผมก็ค้นพบว่าผมได้พูดคุยกับพระบิดามาโดยตลอด บางครั้งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจก็ไหลออกมาเมื่อผมคิดถึงมิตรภาพที่สุดวิเศษของผมกับพระเยซู
[1] “I will raise it again in three days” (ผู้แปล)
[2] “he was raised from the dead” (ผู้แปล)
[3] “กรรตุวาจก” กับ “กรรมวาจก” (the active voice versus the passive voice “กริยาที่ประธานเป็นผู้กระทำ” กับ “กริยาที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ” หรือ “ตนเป็นผู้กระทำเอง” กับ “ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ”) “raise” (ข้อ19) อยู่ในรูปของกรรตุวาจกที่พระเยซูเป็นผู้กระทำเอง และ “was raised” (ข้อ 22) อยู่ในรูปของกรรมวาจกคือพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้พระเยซู คือพระเจ้าเป็นผู้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมา พระเยซูไม่ได้เป็นผู้ชุบพระองค์เอง (ผู้แปล)
[4] คำว่า “ยกขึ้น” หรือ “ชุบขึ้น” มาจากคำภาษาอังกฤษคำเดียวกัน “raise” และคำภาษากรีกคำเดียวกันคือ “” (ผู้แปล)
[5] “ipsissima verba” คำภาษาลาตินที่เป็นคำต้นฉบับของเจ้าของคำพูดแบบคำต่อคำ (ผู้แปล)
[6] ฉบับ 1971
[7] Synoptics (พระกิตติคุณมัทธิว มาระโก และลูกา ที่กล่าวถึงชีวิตและพันธกิจของพระเยซูจากมุมมองที่เหมือนกัน) -ผู้แปล
[8] ฉบับมาตรฐาน 2011 (ข้อ 58 “เราเป็นอยู่แล้ว” ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “I am” (“I tell you the truth,” Jesus answered, “before Abraham was born, I am!” John 8:53-58, NIV) -ผู้แปล
[9] “พระเมสสิยาห์” หมายถึง “พระคริสต์” (ผู้แปล)
[10] “I am”
[11] “I am who I am”
[12] หรือแปลว่า “มาก่อน” (ผู้แปล)
[13] “The Word was God” John 1:1 ( In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God)
[14] อิสยาห์ 45:5 “เราคือยาห์เวห์ และไม่มีผู้อื่นอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[15] แปลตรงตามคำกรีกได้ว่า “แรกเริ่มเดิมทีพระคำดำรงอยู่ และพระคำอ้างอิงถึงพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคำ” (ผู้แปล)
[16] “In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God.”
[17] ในภาษากรีกหมายถึง “พระคำ” (โลกอส)
[18] กิจการ 2:22 “ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล จงฟังเรื่องต่อไปนี้ คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองต่อท่านทั้งหลาย โดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำโดยพระองค์(พระเยซูชาวนาซาเร็ธ)ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ดังที่พวกท่านทราบอยู่แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[19] หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์”
[20] Jurgen Moltmann นักศาสนศาสตร์ปฏิรูปชาวเยอรมันผู้เขียนเรื่อง “พระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน” (The Crucified God) -ผู้แปล
[21] Nestorius () เป็นหัวหน้าบาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลระหว่างปี ค.ศ. 428-431 (ผู้แปล)
[22] ลมปราณแห่งชีวิต
[23] อิสยาห์ 45:5-6 5“เราคือยาห์เวห์ และไม่มีผู้อื่นอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้า เราคาดอาวุธให้เจ้า แม้เจ้าไม่รู้จักเรา 6 เพื่อว่าคนจะรู้ตั้งแต่ที่ตะวันขึ้นและจากที่ตะวันตกว่า ไม่มีใครนอกจากเรา เราคือยาห์เวห์ และไม่มีผู้อื่นอีก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[24] ฉบับมาตรฐาน 2011
[25] จากฉบับมาตรฐาน 2011 เป็นคำเดียวกับ “เกียรติ” ในยอห์น 17:5 และยอห์น 17:24 ที่มาจากคำกรีกคำเดียวกันคือ “δόξα” (doxa) และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลคำนี้ว่า “เกียรติสิริ”(ผู้แปล)
[26] เอเฟซัส 1:4 “ดังเช่นในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[27] “คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก” (วิวรณ์ 13:8 ฉบับมาตรฐาน 2011)
[28] “เราเป็น” ที่พบในข้อนี้ถ้าจะบอกว่าอ้างถึง “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 ก็น่าขำ เพราะจะทำให้พระยาห์เวห์เท่าเทียมกับบุตรมนุษย์ นี่จะเป็นปัญหาทางศาสนศาสตร์ แล้วยังทำให้พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่พูดว่า “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาสอนเราอย่างไรเราก็กล่าวอย่างนั้น” ถ้อยคำดังกล่าวนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พระยาห์เวห์จะเป็นผู้ตรัส พระเยซูตรัสในยอห์น 14:24 ว่า “คำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” เพราะสำหรับพระเยซูแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์
[29] อ่านว่า “ฮุปโซโอ” (hupsoō) -ผู้แปล
[30] ฉบับมาตรฐาน 2011 หรือฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ตั้งแต่ก่อนโลกเริ่มขึ้น” (ผู้แปล)
[31] คำกรีก “เมษโปดก” ปรากฏ 29 ครั้งในวิวรณ์ มีหนึ่งครั้งที่อ้างถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เหลือ 28 ครั้งอ้างถึงพระเยซู (28 คือ 4 คูณ 7 ที่ 4 กับ 7 เป็นตัวเลขสำคัญในวิวรณ์)
[32] อ่านว่า “โปร-ออ-อิดโซ” (proorizō) -ผู้แปล
[33] โรม 8:29 “พระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์” (ฉบับไทยคิงเจมส์) ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์” (ผู้แปล)
[34] “Genitive” การกทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (ผู้แปล)
[35] (ยอห์น 16:27 BGT)-ผู้แปล
[36] (ยอห์น 6:46 BGT)-ผู้แปล
[37] แปลตรงตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)
ยอห์น 1:6 “มีชายคนหนึ่งถูกส่งมา ชื่อของเขาคือยอห์น” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ยอห์น 1:6 “มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น” (ฉบับ 1971 ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับไทยคิงเจมส์)-ผู้แปล
ยอห์น 1:6 ฉบับภาษาอังกฤษ “There came a man who was sent from God; his name was John” (NIV)
ยอห์น 1:6 ฉบับภาษากรีก (BGT)
[38] “พระเมสสิยาห์” (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ และแปลได้อีกว่าผู้รับการเจิมในยอห์น 1:41) -ผู้แปล
[39] สดุดี 2:2 “บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองปรึกษากัน ต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[40] Discovery Bay
[41] หรือกลุ่มคริสตชน (ผู้แปล)
[42] ฉบับ 1971 แปลว่า “ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”
ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ซึ่งทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”
ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า “พระโลหิตของผู้ที่เป็นของพระองค์เอง” (กิจการ 20:28 คำอธิบายจากฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[43] “The Screwtape Letters” by C.S. Lewis
[44] มาจากคำภาษาจีนว่า 高手(gāoshǒu “เกาโฉ่ว”)
[45] คำภาษาจีนคือ “注意力分散了”
[46] Council of Nicaea
[47] Cerinthus ช่วง ค.ศ. 100 (ผู้แปล)
[48] “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2 ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
“ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าความรู้เดียวที่ข้าพเจ้ามีเมื่ออยู่ในหมู่พวกท่านก็คือความรู้เรื่องพระเยซู และเรื่องพระองค์ผู้เป็นพระคริสต์ได้ถูกตรึงที่กางเขน” (1โครินธ์ 2:2 แปลจากฉบับนิวเยรูซาเล็ม, NJB) – ผู้แปล
[49] 1 โครินธ์ 1:23 “แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่พวกยิวสะดุด และพวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[50] Henry Choi
[51] ฮีบรู 7:25 เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[52] ปฐมกาล 28:16 ยาโคบตื่นขึ้นจากหลับก็พูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าเองไม่รู้” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล