บทที่ 10
การตีความพระคัมภีร์กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ศาสนศาสตร์และมนุษยวิทยา
ในเจ็ดบทแรกเราได้พิจารณาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวและในสองบทหลังเราได้ดูเรื่องมนุษย์ในบริบทของแผนการของพระเจ้าและพระประสงค์สำหรับมนุษย์ ดังนั้นเจ็ดบทแรกจึงเป็นศาสนศาสตร์[1]ตามพระคัมภีร์และสองบทหลังเป็นมนุษยวิทยาตามพระคัมภีร์ ภายในศาสนศาสตร์ตามพระคัมภีร์นั้นบางครั้งผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะแยกความแตกต่างระหว่าง “ศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระเจ้า(พระบิดา)”[2] กับศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์[3] แม้พวกเขาจะยังคงถือว่าศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์เป็นส่วนหนึ่งของศาสนศาสตร์ตามพระคัมภีร์เพราะพระเยซูถูกกล่าวว่าเป็นพระเจ้าตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ถึงแม้จะมีการแยกให้แตกต่างระหว่าง “ศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์กับศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระเจ้า (พระบิดา)” แต่ก็ยังหมายความว่าศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์คือ “ศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่รวมอยู่ในบุคคลเดียว”[4] ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดกระทบกระเทียบที่เกินจริงในเรื่องนี้
เรายังได้พิจารณาเกี่ยวกับมานุษยวิทยา (เทียบเคียง ) ซึ่งเป็นคำสอนเกี่ยวกับมนุษย์ตามพระคัมภีร์ การเข้าใจศาสนศาสตร์ตามพระคัมภีร์และมนุษยวิทยาตามพระคัมภีร์นั้น เราจำเป็นต้องมีความคิดใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับพระเจ้าและความคิดใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่กับความคิดของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ถ้าเราอยากจะเข้าใจพระคริสต์อย่างถูกต้องและเข้าใจความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงและเห็นมนุษย์ได้รับการยกย่องในแผนการของพระเจ้าละก็ เราจะต้องเปลี่ยนความคิดทั้งหมดของเราเกี่ยวกับมนุษย์เสียใหม่
ที่ผ่านมาเราเมินเฉยคำสอนของพระคัมภีร์ที่ว่ามนุษย์ต่ำกว่าพระเจ้าเพียงหน่อยเดียว (สดุดี 8:5 มีคำ “เอโลฮิม” อยู่ในข้อความภาษาฮีบรู) ที่จริงแล้วพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าพระองค์เองหน่อยเดียว ซึ่งก็หมายถึงว่ามนุษย์ไม่มีทางจะสูงกว่านี้ที่จะเท่าเทียมกับพระเจ้าได้ เราจึงรับได้ยากอย่างยิ่งว่าพระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์เพราะเราถือว่ามนุษย์ไร้ค่าและยังเลวทรามอีก มันเป็นไปได้ที่แต่ละคนจะเลวทราม แต่นั่นก็ไม่เหมือนอย่างที่ศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้าของประเทศตะวันตกได้สอนไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเลวทรามจนถึงสันดานของเขาเลยทีเดียว แต่เมื่อความคิดของเราเปลี่ยนไปอย่างทั้งหมดเราจึงจะสามารถเข้าใจมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง และเมื่อผมดูมนุษย์ตามความจริงในพระคัมภีร์ มันเหมือนว่าได้เอาม่านที่บังตาออกจากหน้าของผมและตอนนี้ผมเห็นพระประสงค์อันเยี่ยมยอดของพระเจ้าที่มีสำหรับมนุษย์ได้อย่างชัดเจนโดยมีพระคริสต์เป็นหัวปีของมนุษยชาติใหม่ ไม่มีการยกย่องพระคริสต์ที่มากกว่านี้ในพระคัมภีร์เว้นแต่ว่าเราจะยกพระองค์ขึ้นและทำให้พระองค์เป็นพระเจ้าในความหมายอย่างนั้นจริงๆ ผมพูดว่า “ความหมายอย่างนั้นจริงๆ” ก็เพราะคำว่า “พระเจ้า” ไม่ว่าจะเป็นคำ “เอโลฮิม”[5] () ในพระคัมภีร์เดิม หรือเป็นคำ “เธ-ออส”[6] (
) ในพระคัมภีร์ใหม่ยังใช้กับมนุษย์ด้วยซึ่งสามารถยืนยันได้โดยการค้นดูในพจนานุกรมภาษาฮีบรูหรือภาษากรีก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องหลักของเราในตอนนี้และเราก็ไม่ต้องการจะข้ามเส้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อย่างแน่นอน อาดัมกับเอวาได้ข้ามเส้นนั้นที่พวกเขาอยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า แต่พระเยซูไม่เคยข้ามเส้นนั้น (แม้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะได้ข้ามเส้นให้พระองค์โดยการทำให้พระองค์เป็นพระเจ้า)
ใครจะเป็นคนที่ใช้ดาบของพระวิญญาณ?
เรามาถึงเรื่องสำคัญของการตีความพระคัมภีร์ที่มีน้อยคนจะเข้าใจ แม้ผมจะอธิบายการตีความพระคัมภีร์กับคุณมากแค่ไหนมันก็จะไม่แตกต่างอะไรจนกว่าคุณจะรู้วิธีทำการตีความด้วยตัวของคุณเอง สิ่งที่ผมเป็นห่วงจริงๆขณะที่ผมเฉียดเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีก็คือ ใครจะเป็นคนรับช่วงทำการตีความพระคัมภีร์ต่อจากผมและทำต่อไป มันยากที่จะเห็นใครสักคนใต้ขอบฟ้านี้ที่สามารถรับมือในการตีความพระคัมภีร์ได้ มันเป็นทักษะ เป็นศิลป์ เป็นศาสตร์ เป็นทั้งหมดรวมๆกัน พวกเราบางคนจะชำนาญในด้านหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่ง และคนอื่นๆจะชำนาญกว่าในด้านอื่น แต่ไม่มีใครจะเก่งไปเสียทุกด้าน เรื่องนี้ไม่ได้เป็นกับเฉพาะผู้ร่วมงานของผมเท่านั้น แต่ยังเป็นกับบรรดาผู้นำของคริสตจักรและบรรดานักศาสนศาสตร์ทั่วโลกด้วย ทุกวันนี้เราจะหางานการตีความที่ดีสักชิ้นจากตอนใดๆของพระคัมภีร์ที่มีความสมดุลและถูกต้องและตรงกับพระคัมภีร์ได้ยาก
แต่ซาตานกลัวการตีความพระคัมภีร์มากกว่าสิ่งใด ผมไม่ได้พูดเกินจริงเมื่อผมบอกว่ามารมันตัวสั่นเมื่อผมชักดาบของพระวิญญาณออกมา อาวุธอันน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นดาบที่มีคมสองด้านของพระวิญญาณซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้าที่จะทำให้มารตัวสั่น เพราะมันจะเฉือนความเชื่อผิดหรือความเท็จออกเป็นชิ้นๆไม่ว่าจะมีการแก้ต่างอย่างหนักแน่นหรือจะให้เหตุผลอย่างน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม
เมื่อผมหันคมดาบไปที่ข้อพิสูจน์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ข้อพิสูจน์เหล่านั้นก็ล้มไม่เป็นท่าและแหลกไม่มีชิ้นดีตรงปลายคมดาบ สิ่งนี้ทำให้ผมประทับใจเพราะเมื่อก่อนผมได้แกว่งดาบไปที่อีกด้านหนึ่งของข้อพิสูจน์ เวลานั้นผมไม่รู้ว่าดาบนี้ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อปกป้องคำสอนเทียมเท็จแต่มีประสิทธิภาพในการทำลายมัน วันนี้ผมจะให้ตัวอย่างความมีประสิทธิภาพของดาบแห่งพระวิญญาณซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้า หลักคำสอนจะยืนหยัดอยู่ได้ก็เมื่อมันตั้งอยู่บนการตีความที่ถูกต้อง คำสอนใดๆที่ขาดรากฐานการตีความที่หนักแน่น สุดท้ายก็จะพบว่าเป็นความเท็จดังที่ผมค้นพบว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นอย่างนั้น
คราวก่อนผมได้พูดถึงศิลปะการต่อสู้และขุนศึกที่ยิ่งใหญ่ จอมยุทธ์คนเดียวที่สามารถประมือกับคู่อริถึงห้าหรือสิบคนหรือทั้งกองทัพได้ นี่คือแรมโบ้ในแบบจีน ไม่มีใครล้มเขาได้เพราะดาบของเขากวัดแกว่งเอาชนะคู่อริทุกคน บางครั้งเขาจะบุกลิ่วเข้าไปในค่ายของศัตรูแล้วจัดการกับทั้งกองทัพแล้วมีผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด มีเรื่องราวมากมายของจอมยุทธ์เหล่านี้กับชัยชนะของพวกเขาทั้งในประวัติศาสตร์หรือในตำนาน และสิ่งเหล่านี้ก็สอนให้เรารู้ถึงการอุทิศตัว ความช่ำชอง และการฝึกฝนที่หนักหน่วงในวิทยายุทธ์ของพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครจะเปรียบได้กับคนที่รู้วิธีการใช้ดาบของพระวิญญาณ ปัญหาในทุกวันนี้ก็คือมีคนน้อยมากที่รู้วิธีใช้มัน นั่นเป็นสภาพการณ์ของเราในปัจจุบันที่ทำให้ผมเป็นห่วงอย่างมาก ใครจะเป็นคนที่ต่อสู้ต่อไปเมื่อถึงเวลาที่ผมจะวางดาบและจากพันธกิจของผมในโลกนี้ ผมยังไม่เห็นนักดาบฝีมือดีสักคนที่รู้วิธีใช้พระคำของพระเจ้า
เรายังคงติดอยู่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่คอยชี้ให้ผมดูข้อความตรงนี้ตรงนั้นของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้วิธีใช้ข้อความพระคัมภีร์เหล่านี้หลังจากที่ได้ฝึกฝนอบรมมาหลายปี พวกคุณคงจะไม่ถามคำถามง่ายๆเช่นนี้กับผมหากพวกคุณรู้วิธีที่จะใช้ข้อความพระคัมภีร์เหล่านี้ คุณลองพยายามหาคำตอบเหล่านั้นด้วยตัวคุณเอง มันเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีใครรู้วิธีรับมือกับคำถามเหล่านี้หลังจากรับการอบรมมาหลายปี มันเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีใครรู้จักวิธีที่จะใช้ดาบแห่งพระวิญญาณทะลุทะลวงความสับสนและแก้ปัญหาทั้งหมดนี้?
สิ่งที่นักตีความต้องมี
ผมขอสรุปสิ่งที่นักตีความต้องมีและคุณสมบัติที่คุณจะต้องเป็นนักตีความที่เชี่ยวชาญเพื่อนำความจริงในพระคำของพระเจ้าออกมาให้เห็น การตีความคือการนำเอาสิ่งที่อยู่ในพระคำของพระเจ้าออกมาอย่างไม่ขาดและไม่เกิน “การตีความ”[7] เป็นคำผสมของ “” (ex ออกมาจาก) กับ “-egesis” จากคำ “
”( agō การนำ) การผสมของ “
” หมายถึง “การนำออกมา” หรือ “นำออกมาให้เห็น” นำสิ่งที่อยู่ในพระคำของพระเจ้าออกมาให้เห็น ถ้าการตีความไม่ได้ทำหน้าที่เช่นนี้ก็จะเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเราทำการตีความเหมือนกับผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราก็ทำอย่างเดียวกับที่เราได้ประณามคือการตีความเกินจากสิ่งที่มีในตัวบท มีเพียงวิธีเดียวที่จะปกป้องคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไว้ก็คือการตีความสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตัวบทเพื่อให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบท[8] แต่ถ้าคุณทำการตีความอย่างถูกต้องคุณก็จะนำเอาแต่เฉพาะสิ่งที่มีอยู่ในข้อความนั้นออกมาและหลีกเลี่ยงการตีความเกินจากที่มีในตัวบทตามความคิดหรือคำสอนของคุณเอง[9]
สิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรกที่นักตีความต้องมีก็คือเป็นคนฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงและรวมถึงการรักความจริงอย่างแท้จริง ถ้าความจริงจะทำลายหลักคำสอนที่ผมยึดมั่นมาก็ให้เป็นไปเถอะ เพราะผมไม่มีหลักคำสอนหรือข้อเชื่ออะไรที่จะปกป้องหรือที่จะยึดเอาไว้ ทั้งหมดที่ผมอยากรู้ก็คือความจริงในพระคำของพระเจ้า ผมคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่องค์ผู้เป็นเจ้าจึงได้มอบหมายงานที่ยิ่งใหญ่ที่ผมไม่ได้ไปเสาะหามาเองให้ผมรับมือกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพในยุคสุดท้ายนี้ เมื่อคุณมีใจรักความจริงคุณก็พร้อมจะยอมปล่อยทุกสิ่งที่มีค่ายิ่งของคุณ และคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งของผม คุณจะยอมฟังสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังตรัสกับคุณในพระคำของพระองค์ เรื่องของความเป็นคนฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ใช่สิ่งที่สูงและสูงส่งแต่เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่คุณฟังความจริงของพระองค์ เพราะความจริงจะทำให้คุณเป็นไท (ยอห์น 8:32) ที่ผมกำลังเป็นอยู่ขณะนี้ในระดับที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
อย่างที่สองที่เราจำเป็นต้องมีในการตีความก็คือความเข้าใจที่กระจ่างและความคิดที่ชัดเจน มีน้อยคนที่สามารถจะคิดได้ชัดเจนแม้กับเรื่องในชีวิตประจำวัน ผมมักจะเจอคำพูดที่คลุมเครือและสับสนมากจนผมไม่คิดจะถามว่า “ช่วยบอกทีว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร?” คำพูดสับสนมากและเข้าใจยากจนผมไม่อยากจะขบคิด ความสามารถในการมองเห็นและการคิดอย่างชัดเจนเป็นทักษะที่หายากจนน่าแปลกใจ เมื่อผมอ่านหนังสือผมมักจะเจอคำกล่าวที่ไม่ชัดเจนและสับสนแบบไร้สาระจริงๆ นักเขียนก็คงไม่ได้คิดหรอกว่าพวกเขาไร้สาระ ผมต้องขอโทษที่ปฏิกิริยาทันทีของผมต่อคำกล่าวที่ไร้สาระก็คือการพูดว่า “เหลวไหล” หรือ “ไร้สาระ” หรือ “ไม่เข้าเรื่อง” แต่ที่ผมพูดแบบนี้ส่วนมากเป็นเพราะความผิดหวัง
อย่างที่สามคุณจะต้องมีความเข้าใจพระคำของพระเจ้าอย่างเหนียวแน่นทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ มีน้อยคนมากที่มีคุณสมบัตินี้ เมื่อคุณฟังคำเทศนาคุณจะมองออกว่านักเทศน์ไม่ได้เข้าใจในพระคำของพระเจ้าดีเท่าไร คำเทศนาที่ขึ้นกับความรู้ในพระคัมภีร์อย่างผิวเผินนั้นจะไม่เลี้ยงหรือเสริมสร้างคริสตจักร การจะได้ความเข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งที่จะเกิดผลมากนั้นต้องใช้เวลาเป็นปีๆในการใคร่ครวญและทำงานอย่างหนัก แต่คนส่วนมากไม่ชอบที่ต้องทำงานอย่างหนักแบบนี้ แต่ถ้าคุณลงมือทำงานอย่างหนักด้วยพระคุณของพระเจ้าเมื่อคนที่รักความจริงฟังคำเทศนาของคุณ เขาจะบอกว่า “เข้าใจได้ดี” หากมีบางสิ่งในพระคำของพระเจ้าพูดกับใจของคุณ เมื่อคุณแบ่งปันออกไปมันก็จะพูดกับใจของคนอื่นด้วย แต่คำเทศนาโดยมากจะเป็นตามหัวข้อ คุณตั้งหัวข้อหนึ่งขึ้นมาแล้วคุณก็พูดถึงหัวข้อนั้น แต่สิ่งที่คุณแบ่งปันไม่มีความลึกในฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถจะเจาะใจของผู้ที่ฟังคุณได้
อย่างที่สี่ก็คือความเข้าใจภาษาฮีบรูกับภาษากรีกที่ขาดอย่างมากในหมู่ผู้ร่วมงานของเราและในหมู่นักศึกษาศาสนศาสตร์ทั่วไป ผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แต่คุณต้องพร้อมจะทำงานหนักในการเข้าใจพื้นฐานของภาษา ภาษาที่พูดถึงนี้ก็คือภาษาของพระวจนะของพระเจ้า คุณต้องตั้งใจที่จะค้นดูข้ออ้างอิงต่างๆซึ่งเป็นงานที่ทำได้ง่ายขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์นี้ เมื่อก่อนโต๊ะของผมจะมีแต่หนังสือ มีพจนานุกรมและศัพท์สัมพันธ์กองซ้อนเป็นตั้งๆ หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือเล่มหนาๆจึงต้องออกกำลังเยอะเวลายก ผมจะดึงเล่มหนึ่งออกมาดูแล้วก็ดึงอีกเล่มที่ถูกทับอยู่ข้างใต้กองออกมาดู ในยุคสมัยของคอมพิวเตอร์นี้เราไม่ต้องยกอะไรหนักๆแล้ว เราจึงไม่มีข้อแก้ตัวว่าขี้เกียจ
โปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์ค 7 จะให้คุณถึงสิบสองชุดอ้างอิงหรือโปรแกรมอ้างอิงที่ติดตั้งในหน้าต่างเดียวเพียงแค่กดอันที่คุณต้องการ ก่อนรุ่นที่ 7 จะออกมาผมต้องใช้สองโปรแกรมคู่กัน (ไบเบิ้ลเวิร์ค 5 และไบเบิ้ลเวิร์ค 6) เพื่อใช้สลับไปมา แต่ตอนนี้ผมมีทั้งสิบสองชุดอ้างอิงอยู่ตรงหน้าผม ไม่มีอะไรเป็นข้ออ้างให้ขี้เกียจได้อีกแล้ว ถ้าคุณไม่มีโปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์ค 7[10] ก็ต้องใช้ความพยายามอีกหน่อยกับไบเบิ้ลเวิร์ค 5 และ 6 เหมือนที่ผมทำมาหลายปี
โปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์คมีแหล่งข้อมูลและแหล่งอ้างอิงมากมายที่เข้าถึงได้จากหน้าต่างเดียวกัน พจนานุกรมภาษากรีกทั้งหมดก็มีเรียงรายเป็นแถวพร้อมจะให้ความหมายเพียงแค่คลิกที่เมาส์ เมื่อก่อนคุณต้องดึงพจนานุกรมเล่มหนักๆออกมาและพลิกหน้าเยอะแยะแล้วก็ต้องดึงพจนานุกรมอีกเล่มหนึ่งและพลิกหน้าเหล่านั้น แต่ถึงแม้จะใช้คอมพิวเตอร์กันในสมัยนี้มันยังคงเป็นงานหนัก แต่ประเด็นของผมก็คือคุณสามารถจะทำอะไรได้มากขึ้นในเวลาที่ใช้เท่าๆกันหรือด้วยการลงแรงที่เท่าๆกัน
อย่างที่ห้าในการเป็นนักตีความก็คือความตั้งใจที่จะทำงานอย่างหนัก ผมสงสัยว่าที่หลายคนไม่ได้เป็นนักตีความก็เพราะความเกียจคร้าน การตีความเป็นงานหนักจริงๆแม้กระทั่งต้องปาดเหงื่อกันทีเดียว
ผมอธิษฐานให้มีบางคนปรารถนาจะเชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้าก่อนที่มันจะสายเกินไป
“ยาห์เวห์” ในภาษาจีน
ที่ผ่านมาผมพูดว่าคริสตจักรจะต้องเรียนรู้พระนามของพระเจ้า นี่เป็นการพลิกกลับปัญหาที่คริสตจักรรับทอดกันมาหลายศตวรรษที่ผ่านมาเพราะผลจากที่ชาวยิวไม่สู้เต็มใจจะออกเสียงพระนามของพระเจ้าด้วยเหตุผลที่ผมอยากจะพูดว่าเป็นความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล พระนามของพระเจ้าไม่ควรเก็บเงียบไว้ ความกลัวที่จะออกเสียงผิดหรือใช้พระนามอย่างผิดๆนั้นไม่ได้เป็นเหตุผลอันสมควรในการหยุดยั้งใช้พระนามของพระเจ้าด้วยประการทั้งปวง คนจีนได้เปรียบที่พระคัมภีร์ภาษาจีนใช้ “เยเหอหัว”[11] (หรือ เยโฮวาห์) แม้ว่า “เยโฮวาห์”[12] จะไม่ได้ใช้ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษอีกต่อไปยกเว้นในหนึ่งหรือสองฉบับ
เนื่องจาก “耶和華” (เยโฮวาห์) ไม่ได้แปลอย่างถูกต้องว่า “ยาห์เวห์” ผมจึงเสนอคำที่อาจใช้ได้ “亞偉”[13] (หยาเหว่ย) ที่อักษรตัวแรก “亞” ในภาษาจีนหมายถึง “เอเชีย” และตัวที่สอง “偉” หมายถึง “ยิ่งใหญ่” มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งให้ข้อคิดเห็นว่าคำที่ผสมกันนี้ฟังดูเหมือนภาษาพูดบางคำที่ไม่ค่อยดีในภาษากวางตุ้ง และผู้ร่วมงานคนนี้ยังบอกว่าในหนังสือศาสนศาสตร์ภาษาจีนเล่มเก่าๆ บางเล่มจะทับศัพท์ว่า “雅巍”[14] (หย่าเวย) ตัวอักษรแรก “雅”[15] (หย่า) มาจาก “文雅”[16] (เหวินหย่า) ตัวที่สอง “巍”[17] (เวย) เขียนยากเพราะมีขีดเยอะ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของตัวอักษรนี้ก็คือมีตัว “鬼”[18] (กุ่ย) ห้อยอยู่ตรงมุมล่างขวาที่หมายถึง “ผี” ตัว “巍” (เวย) เองหมายถึงสูงส่งและผ่าเผย ดังนั้นในการผสมคำ “雅巍” (หย่าเวย) คือความผ่าเผยและงดงามนั้น อักษรตัวที่สอง “巍” (เวย) ก็มีปัญหาหลายอย่างคือมีขีดมากไปที่คนจีนส่วนใหญ่ไม่คุ้นและก็มีตัว “ผี” รวมอยู่ด้วย
ผมปรึกษาเรื่องนี้กับผู้ร่วมงานด้านสถานีวิทยุซึ่งเป็นผู้ที่จะออกอากาศพระนามของพระเจ้าทางวิทยุ มีข้อเสนอหนึ่งคือให้คงตัว “雅” (หย่า) ไว้ อีกข้อคิดเห็นหนึ่งก็คือไม่มีอะไรผิดปกติกับตัว “偉” (เหว่ย) เพราะฉะนั้นเราสามารถจะรวมสองตัวอักษรนี้เป็นคำ “雅偉” (หยาเหว่ย)[19] ตัวอักษรทั้งสองที่คนคุ้นเคย มีความหมาย และออกเสียงง่าย คุณมีข้อเสนอแนะอย่างอื่นไหม?
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้คงพระนามอันเดิม “耶和華” (“เยโฮวาห์”) เอาไว้ก่อน เพราะเป็นพระนามของพระเจ้าที่คุ้นกันมากที่สุดในหมู่คนจีน เมื่อคุณกำลังคุยกับพี่น้องคุณก็ไม่ควรจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ “หยาเหว่ย”(雅偉) ทันที ให้ใช้ชื่อเดิม “耶和華” (เยโฮวาห์) ไปก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็สอน “耶和華雅偉” (เยเหอหัว หยาเหว่ย)[20] ให้พวกเขาด้วย พวกเขาจะได้เรียนรู้ทั้งสองชื่อนี้
คนจีนมีความได้เปรียบที่รู้จักชื่อ “เยโฮวาห์” (耶和華) ซึ่งมีเสียงที่น่าฟังแม้การออกเสียงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ถ้าเราเริ่มด้วย “เยเหอหัว หยาเหว่ย“ (耶和華雅偉) คนก็จะเริ่มคุ้นเคยกับชื่อใหม่โดยไม่ต้องปรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขายังคงสามารถใช้ “เยโฮวาห์” (耶和華) ต่อไปเป็นขั้นแรกแล้วค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นชื่อใหม่ ในฉบับภาษาอังกฤษไม่มีข้อได้เปรียบนี้เพราะไม่ได้ใช้ “เยโฮวาห์” แม้ว่าสามารถใช้ได้ถ้าคุณอยากจะใช้ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะไม่คุ้นกับชื่อ “เยโฮวาห์” แต่คนรุ่นก่อนอาจยังจำเพลงชีวิตคริสเตียนที่พูดถึงพระเยโฮวาห์ได้ (ปัจจุบันพระคัมภีร์ภาษาไทยมีฉบับแก้ไขล่าสุดคือ “ฉบับมาตรฐาน 2011”[21] โดยสมาคมพระคริสตธรรมแห่งประเทศไทยที่ใช้ “พระยาห์เวห์” กับพระนามของพระเจ้าอย่างชัดเจนในทุกที่ๆมีคำนี้ปรากฏ–ผู้แปล)
ใครเป็นคนพูด พระเยซูหรือพระยาห์เวห์?
มีพระคัมภีร์หลายตอนที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพชอบใช้อ้างอิง แต่คงต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ถ้าจะพูดให้ครอบคลุมทั้งหมด การพิจารณาวิธีที่ควรจะตีความพระคัมภีร์ตอนเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์มากกว่า เราจะไปอย่างช้าๆในบทนี้ และผมหวังว่าโดยพระคุณของพระเจ้าแล้วคุณคงได้ความเข้าใจในเบื้องต้นถึงวิธีการตีความ
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า มีความแตกต่างที่สำคัญกับวิธีที่เราดูถ้อยความพระกิตติคุณกับวิธีที่เราดูถ้อยความที่ไม่ใช่พระกิตติคุณ (คือจดหมายต่างๆและวิวรณ์) เพราะพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ในองค์พระคริสต์ที่พระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ในพระคริสต์ จึงมีสิ่งที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมเมื่อเราตีความพระกิตติคุณ เนื่องจากพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซูจึงมีคำถามขึ้นมาว่า เมื่อพระเยซูตรัสนั้นใครเป็นผู้ที่กำลังพูด? ผู้ที่กำลังพูดคือพระเยซูคริสต์ผู้เป็นมนุษย์หรือว่าผู้ที่กำลังพูดคือพระยาห์เวห์ ในกรณีหลังทำให้นึกถึงผู้เผยพระวจนะของพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าจะเป็นอิสยาห์หรือมาลาคีหรือผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆที่ประกาศว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า”[22] แล้วก็มีคำตรัสของพระยาห์เวห์ตามมาแทนที่จะเป็นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ คือว่าคำสรรพนาม “เรา” (“I”) ในคำประกาศนั้นไม่ได้หมายถึงผู้เผยพระวจนะแต่หมายถึงพระยาห์เวห์ผู้ที่กำลังพูดผ่านผู้เผยพระวจนะคนนั้น แต่ในบางสถานการณ์ก็เป็นตัวผู้เผยพระวจนะเองที่กำลังพูดคำของเขาเองเพื่อบอกถึงพระประสงค์ หรือความตั้งพระทัย หรือพระดำริของพระยาห์เวห์ คุณจะเห็นเรื่องนี้ได้จากผู้เผยพระวจนะก่อนหน้านี้ เช่น ซามูเอล
เมื่อซามูเอลยืนต่อหน้าบรรดาบุตรของเจสซีเพื่อชี้ตัวว่าใครเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล (1 ซามูเอล 16:1-13) เขาไม่ได้เริ่มด้วยคำพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เราได้เลือกคนนี้!” ซามูเอลยืนอยู่ตรงนั้นมองดูเอลีอับบุตรชายคนโตและคิดว่าเขาอาจเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่าอย่ามองดูรูปร่างภายนอกหรือความสูง เพราะพระเจ้าไม่ได้ดูอย่างที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่จิตใจ (ข้อ 7)[23] หลังจากได้ดูบรรดาบุตรชายของเจสซีทีละคนแล้วซามูเอลก็ประกาศว่ายังไม่มีใครสักคนที่พระเจ้าทรงเลือก เขาจึงถามเจสซีว่ายังมีบุตรชายอีกไหมและปรากฏว่ายังมีบุตรคนเล็กอีกคนคือดาวิดที่ออกไปเลี้ยงแกะ ซามูเอลจึงให้เจสซีใช้คนไปตามดาวิดมา และเมื่อดาวิดมาอยู่ต่อหน้าซามูเอล พระยาห์เวห์ได้ทรงสั่งซามูเอลให้เจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์ (ข้อ 12)[24]
ซามูเอลเผชิญหน้ากับซาอูลมาก่อนหน้านี้เรื่องการไม่เชื่อฟังของเขา (1 ซามูเอล 15:10-31) ซามูเอลไม่ได้พูดกับซาอูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า” แต่ใช้คำพูดของเขาเองประกาศกับซาอูลว่าพระยาห์เวห์ทรงถอดเขาจากการเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลและราชอาณาจักรอิสราเอลจะถูกมอบให้คนอื่น (ข้อ 26-28)[25] แต่ซามูเอลยังคงพูดในฐานะของผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์
ดังนั้นมีสองหนทางที่ผู้เผยพระวจนะจะพูด ทางหนึ่งก็คือผู้เผยพระวจนะพูดถ้อยคำของเขาเองเพื่อถ่ายทอดความคิดและพระประสงค์ของพระยาห์เวห์ อีกทางก็คือสิ่งที่ออกมาจากปากของผู้เผยพระวจนะก็คือคำของพระยาห์เวห์ และเมื่อมาถึงเรื่องถ้อยคำของพระเยซูจึงมีคำถามทิ้งท้ายให้เราว่าเป็นคำพูดของพระเยซูหรือว่าเป็นคำพูดของพระยาห์เวห์ที่กำลังพูดอยู่
คำเทศนาบนภูเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข” นั้นใครเป็นคนพูด? ผมไม่ได้ถามว่าพูดออกจากปากของใครเพราะเห็นชัดว่าพูดออกจากพระโอษฐ์ของพระเยซู แต่ผมกำลังถามว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำของพระเยซูหรือเป็นถ้อยคำของพระยาห์เวห์? ในพระกิตติคุณเล่มต่างๆนั้นเราสามารถบอกโดยรวมๆได้ว่าเป็นถ้อยคำของใครด้วยการตรวจสอบเนื้อหาของถ้อยคำนั้นๆ ในกรณีนี้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นพระยาห์เวห์ที่กำลังพูดซึ่งหมายถึงว่าพระเยซูกำลังพูดในลักษณะเดียวกับที่ผู้เผยพระวจนะคนสำคัญๆของพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวถ้อยคำของพระยาห์เวห์
เมื่อพระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขาว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งคนแต่เก่าก่อนกล่าวไว้ว่า...ส่วนเราบอกพวกท่านว่า...” คำสรุปของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ “เราบอก” นั้นอ้างถึงพระเยซูซึ่งหมายถึงว่าพระเยซูกำลังทำให้พระองค์เองมีอำนาจเหนือคนทั้งหลายในพระคัมภีร์เดิมที่แม้แต่กับโมเสส ด้วยการล้มเลิกหรือการเปลี่ยนสิ่งที่เหล่าคนแต่เก่าก่อนสั่งสอนไว้ เราไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเพราะเราได้ยกพระคริสต์ให้เป็นพระเจ้าแล้วและถือว่าพระองค์มีอำนาจที่จะยกเลิกธรรมบัญญัติแม้แต่ธรรมบัญญัติของโมเสส แต่เราควรระวังที่จะไม่ด่วนสรุปเช่นนั้นเพราะพระเยซูตรัสในคำสอนของพระองค์ว่า “คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 14:24) ดังนั้นข้อสรุปของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่าพระเยซูกำลังตรัสด้วยอำนาจของพระองค์เองที่อยู่เหนืออำนาจของธรรมบัญญัตินั้นจึงไม่สามารถจะสนับสนุนได้ พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่กำลังบอกเราผ่านทางพระเยซูว่า “เราบอกท่านว่า เมื่อเทียบกับธรรมบัญญัติที่ให้ไว้มาก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีมาตรฐานสูงขึ้นในแผ่นดินสวรรค์” เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะว่าไม่มีอำนาจที่สูงกว่าพระยาห์เวห์ ข้อเรียกร้องที่สูงขึ้นในอาณาจักรของพระเจ้านั้นเหมาะสมเพราะเราได้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคแห่งพระคุณที่มีมาตรฐานสูงขึ้น เมื่อก่อนถ้าคุณไม่ได้ละเมิดพระบัญญัติที่เป็นข้อปฏิบัติแต่ภายนอกก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ในอาณาจักรสวรรค์พระเจ้าทรงมองเข้าไปในใจของเราเพื่อดูว่าความคิดและแรงจูงใจของเราบริสุทธิ์หรือไม่ มีมาตรฐานที่สูงขึ้นในอาณาจักรของพระเจ้าที่ไม่ได้วัดกันในแง่ของการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติแต่ภายนอก
ถ้าพูดถึงการตีความพระกิตติคุณเล่มต่างๆ เรื่องการสถิตของพระยาห์เวห์ในพระเยซูจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการพิจารณา ในพระคัมภีร์บางตอนได้เห็นชัดว่าเรากำลังฟังถ้อยคำของพระเยซูเองที่ไม่ใช่ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ซึ่งในกรณีนี้พระเยซูไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของพระยาห์เวห์เช่นในกรณีของผู้เผยพระวจนะคนสำคัญๆของพระคัมภีร์เดิม ยกตัวอย่างเช่น “คำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา”[26] เห็นได้ชัดว่าเป็นคำของพระเยซูไม่ใช่คำของพระยาห์เวห์ เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นว่าพระยาห์เวห์ก็กำลังปฏิเสธคำของพระองค์เอง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ “พระบุตรไม่อาจทำสิ่งใดโดยลำพังพระองค์เอง พระองค์สามารถทำได้แต่เพียงสิ่งที่เห็นพระบิดาของพระองค์ทรงกระทำ เพราะพระบิดาทรงกระทำสิ่งใด พระบุตรก็กระทำสิ่งนั้นด้วย” (ยอห์น 5:19 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ถ้อยคำเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดของพระเยซู
กรณีที่น่าสนใจคือยอห์น 2:19-22
19พระเยซูจึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้น[27]ในสามวัน” 20พวกยิวจึงทูลว่า “พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ” 21แต่พระวิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ 22เหตุฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสดังนี้ และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูตรัสนั้น (ยอห์น 2:19-22 ฉบับ 1971)
ตรงนี้มีปัญหาในการตีความ ข้อ 19 กล่าวว่า “เราจะยกขึ้นในสามวัน” ขณะที่ข้อ 22 กล่าวว่า “เมื่อพระองค์ทรงถูกชุบ (หรือถูกยก)[28] ให้เป็นขึ้นมาแล้ว” มีการเปลี่ยนจากบุคคลที่หนึ่งมาเป็นบุคคลที่สาม นี่คือความขัดแย้งกันเพราะในกรณีแรกพระเยซูเป็นผู้ยกขึ้นในขณะที่กรณีหลังพระเยซูเป็นผู้ถูกยกขึ้น พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะยกพระวิหารที่ตรัสถึงพระกายของพระองค์เองขึ้น ซึ่งน่าจะหมายถึงว่าพระเยซูจะทรงยก(หรือชุบ)พระกายของพระองค์เองขึ้น สิ่งนี้ขัดแย้งกับข้อความพระคัมภีร์ที่กล่าวเสมอว่าพระเจ้าหรือพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ชุบพระเยซูขึ้นจากความตาย
ปัญหาจะหมดไปเมื่อเราเข้าใจว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ที่กำลังตรัสผ่านพระเยซู “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน” (ข้อ 19) คำว่า “เรา” ก็คือพระยาห์เวห์ ไม่ใช่พระเยซู และนี่ก็ได้รับการสนับสนุนจากคำสอนที่คงเส้นคงวาของพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชุบพระเยซูขึ้นจากความตาย ไม่เคยมีในพระคัมภีร์ที่พระเยซูเคยทรงชุบพระองค์เองขึ้นจากความตาย ถ้าคุณพร้อมที่จะทำงานหนักในการตีความเพื่อจะยืนยันเรื่องนี้ก็จงลงมือตรวจสอบข้ออ้างอิงต่างๆได้เลย มีตัวอย่างหนึ่งที่จะพบในคำเทศนาแรกของเปโตร (คำเทศนาช่วงต้นในหนังสือกิจการมีความสำคัญกับการทำความเข้าใจการประกาศพระกิตติคุณ)
แต่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์คืนพระชนม์ ทรงให้พ้นจากความตายอันปวดร้าว เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ (กิจการ 2:24 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้ (กิจการ 2:32 ฉบับมาตรฐาน 2011)
เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้พระเยซูคืนพระชนม์ซึ่งเห็นได้ในข้ออ้างอิงอื่นๆอีกมากมายในกิจการและในจดหมายของเปาโลด้วย (เช่น โรม 4:24 โรม 6:4 กาลาเทีย 1:1 เอเฟซัส 1:20 โคโลสี 2:12) และในข้ออื่นอีกเช่น 1 เปโตร 1:21 การตรวจสอบข้ออ้างอิงนั้นต้องทำงานอย่างมาก เหตุนี้เองผมจึงพูดว่าการเป็นนักตีความนั้นคุณจะต้องทำงานอย่างหนักและจะต้องเช็คข้ออ้างอิงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งธรรมดาจะหลายสิบข้อและบางทีก็เป็นร้อยข้อ เมื่อเราทำงานอย่างหนักเราจะเห็นว่าพระคัมภีร์ยืนยันมาโดยตลอดว่า พระยาห์เวห์เป็นผู้ชุบพระเยซูขึ้นจากความตาย และพระเยซูไม่เคยชุบพระองค์เอง คำกล่าวว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน” จะเป็นถ้อยคำของพระเยซูไปไม่ได้แต่เป็นตัวอย่างให้เห็นจากสิ่งที่พระเยซูตรัสในยอห์น 14:24 ว่า “คำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา”
ใจเอนเอียงในการแปล
ให้เราดูยอห์น 10:17-18 และจงสังเกตคำกล่าวที่ขีดเส้นใต้สามแห่ง
17 เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 18ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา (ฉบับมาตรฐาน 2011)
“เราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก” ฟังดูเหมือนว่าพระเยซูทรงสามารถชุบพระองค์เองขึ้นจากความตายได้ซึ่งจะขัดแย้งกับสิ่งที่เราเห็นตลอดทั่วพระคัมภีร์ เราคิดว่าหมดปัญหาแล้วที่ดูเหมือนพระเยซูจะทรงบอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิตของพระองค์คืนมาอีก ฟังเหมือนว่าพระองค์ทรงสามารถชุบชีวิตของพระองค์เองได้ แต่พระคัมภีร์ทั้งหมดล้วนแต่กล่าวว่าพระบิดาได้ทรงชุบพระองค์ขึ้น คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?
การเป็นนักตีความพระคัมภีร์นั้น คุณจะต้องค้นดูจากภาษาต้นฉบับเพราะพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆแปลขึ้นโดยผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่เลือกใช้คำเข้าข้างความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ให้เราดูภาษากรีกที่ขีดเส้นใต้ข้อความเหมือนกันสามแห่ง
ข้อความที่ขีดเส้นใต้อันแรกตรงกับ “เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก”[30] ข้อความที่สองตรงกับ “เรามีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก”[31] ข้อความที่สามตรงกับ “คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”
ในข้อความแรกที่ขีดเส้นใต้เราจะเห็นคำ “”[33] (“ลาโบ”, to take up หรือ “รับคืนมา”) ในข้อความที่สอง เราจะเห็นคำ “
”[34] (“ลาบิน”, to take up, หรือ “รับคืนมา” ในรูปกริยาอินฟินิทีฟ[35]) ในข้อความที่สามเราจะเห็นคำ “
”[36] (“เอลาบอน”, to take up หรือ “รับคืนมา” ในกาลกริยาแอริสต์[37])
สามคำนี้ () เป็นคำกรีกคำเดียวกันแต่มีความแตกต่างที่รูปไวยากรณ์ แต่จงสังเกตความไม่คงเส้นคงวาในการแปลของฉบับภาษาอังกฤษ สองตัวอย่างแรกแปลว่า “รับคืนมา” (take) ในขณะที่ตัวอย่างที่สามแปลว่า “ได้รับ” (receive) ตัวอย่างที่สามแปลอย่างถูกต้องว่า “ได้รับ” เพื่อให้สอดคล้องกัน แต่สองตัวอย่างแรกสามารถเป็นได้ทั้ง “รับคืนมา” หรือ “ได้รับ” (คำกรีกสามารถหมายถึงได้ทั้งสองอย่าง) ดังนั้นในประโยคเดียวกัน คำกรีกคำเดียวกันถูกแปลเป็นสองแบบที่ต่างกันคือ “รับคืนมา” (take) กับ “ได้รับ” (received) ถ้าคุณมองออกคุณจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่น่าเคลือบแคลงเกิดขึ้น ทำไมคำๆเดียวกันแต่ที่หนึ่งแปลว่า “รับคืนมา” และอีกที่หนึ่งแปลว่า “ได้รับ” อันที่จริงไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลในเรื่องนี้ ถ้าคุณพร้อมที่จะทำงานอย่างหนักในการตีความคุณก็สามารถตรวจสอบคำ
หรือ
[38] ที่ปรากฏทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่แล้วคุณจะพบว่าจากการปรากฏทั้งหมด 46 ครั้งในหนังสือยอห์นจะมีประมาณ 30 ครั้งที่แปลว่า “ได้รับ”(receive) และที่เหลือ (น้อยกว่า 20 ครั้ง) แปลว่า “รับมา” (take)
คนแปลจะรู้ดีว่าคำนี้สามารถแปลได้สองแบบ และที่ปรากฏค่อนข้างมากในยอห์นนั้นแปลว่า “ได้รับ (receive)” มากกว่า “รับมา (take)” จะเกิดอะไรขึ้นในพระคัมภีร์ตอนนี้จากยอห์น 10:17-18 ถ้าคุณเปลี่ยนคำนี้แบบคงเส้นคงวาจาก “รับคืนมา” มาเป็น “ได้รับ”? ในข้อ 17 พระเยซูก็จะตรัสว่า “เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะได้รับชีวิตอีกครั้ง[39]” การแปลแบบนี้สมเหตุสมผลทีเดียวเพราะพระเยซูน่าจะบอกว่าพระองค์เชื่อว่าพระบิดาของพระองค์จะประทานชีวิตของพระองค์กลับคืนมา
ในข้อความ “เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก”[40] (ข้อ 18) คำว่า “สิทธิอำนาจ” ()[41] สามารถหมายถึง “สิทธิ”[42] หรือ “มีอำนาจ” และที่จริงคำกล่าวจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อคำนี้แปลว่า “สิทธิ” มากกว่าจะเป็น “อำนาจ” โดยปกติจะไม่มีใครพูดถึงการมีอำนาจที่จะสละชีวิตของคนๆหนึ่งแต่จะพูดว่าพระเยซูมีสิทธิที่จะสละชีวิตของพระองค์ คำกรีกนี้สามารถแปลได้ทั้งสองอย่าง แต่ผู้แปลที่เชื่อในตรีเอกานุภาพจงใจเลือกแปลคำนี้ว่า “อำนาจ”[43] แต่ถ้าแปลว่า “สิทธิ” แทนที่จะเป็น “มีอำนาจ”[44]ก็จะทำให้คำกล่าวของพระเยซูดูเป็นไปได้กว่า เพราะมันจะหมายถึงว่าพระองค์มีสิทธิที่จะสละชีวิตของพระองค์โดยที่ไม่มีใครบังคับให้พระองค์ทำและพระองค์ทรงมีสิทธิที่จะ “ได้รับอีกครั้ง” (มากกว่าที่จะ “รับคืนมาอีก”)[45] และตอนท้ายพระเยซูก็ตรัสว่าพระองค์ได้รับพระบัญชานี้จากพระบิดาของพระองค์
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆที่เรามีในปัจจุบันนี้ได้แปลโดยผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ถ้าคุณจะยึดจากพระคัมภีร์เหล่านี้คุณอาจได้ความหมายผิดๆ ผู้แปลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะเลือกคำที่เขาต้องการจะใช้และถ้าคุณไม่รู้ต้นฉบับเดิมคุณก็ต้องแล้วแต่คนแปลเพียงอย่างเดียว
ถ้าจะอ่านยอห์น 10:17-18 อย่างถูกต้องก็จะหมายความว่าพระเยซูทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อจะได้รับชีวิตอีกครั้ง นี่จะทำให้ได้ความหมายอย่างสมบูรณ์และเข้ากันกับสิ่งอื่นๆ นอกจากนี้ยังเลี่ยงจากข้อที่ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ชุบชีวิตพระองค์เองขึ้น
ถ้าคุณตรวจดูข้อความกรีกในยอห์น 10:17-18 คุณจะเห็นดังที่เอ่ยข้างต้นว่ามีคำเดียวกันปรากฏสามครั้งแต่คุณจะไม่รู้เมื่อดูจากฉบับภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน คุณจะต้องขึ้นกับคนแปลเพียงอย่างเดียว ผมขอบอกคุณว่าความเอนเอียงนี้ไม่ใช่แต่จะพบในพระคัมภีร์ตอนนี้แต่มีให้เห็นอีกเรื่อยๆในพระคัมภีร์ใหม่ ผู้แปลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะสลับใช้คำเหล่านี้ให้เข้ากับหลักความเชื่อของเขา
คำกรีกบางคำสามารถเข้าใจได้สองทาง สิ่งที่น่าแปลกสุดก็คือคำ “” สามารถแปลว่า “รับมา” (take) หรือ “ได้รับ” (receive) 65% จากตัวอย่างของคำนี้ในพระกิตติคุณยอห์นจะหมายความว่า “ได้รับ” มีเพียง 35% ของคำนี้ที่ปรากฏจะหมายถึง “รับมา” ความหมายที่ชัดๆในยอห์น 10:18 ส่วนท้ายก็คือ “ได้รับ” (“คำบัญชานี้เราได้รับ”) เพราะโดยปกติเราจะคิดถึง “การได้รับคำบัญชา” มากกว่าจะเป็นการ “รับคำบัญชามา”[46]
ถึงตอนนี้เราได้เห็นสองสิ่ง สิ่งแรกในยอห์น 2:19 “เราจะยก(ชุบ)ขึ้นในสามวัน[47]” เป็นตัวอย่างที่พระยาห์เวห์กำลังตรัสผ่านพระเยซูเพราะไม่เช่นนั้นพระเยซูก็กำลังพูดขัดแย้งกับข้อ 22 (“พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา”[48] แต่ข้อขัดแย้งจะหมดไปถ้าพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่กำลังตรัสผ่านพระเยซูในข้อ 19 อันที่จริงพวกสาวกไม่เคยเห็นความขัดแย้งกัน และสิ่งที่สอง “หลังจากที่พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสดังนี้ และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูได้ตรัสแล้วนั้น” (ข้อ 22) พวกเขาไม่เคยคัดค้านเรื่องที่พระเยซูตรัสไว้ว่าพระองค์จะชุบพระองค์เองให้เป็นขึ้นแต่แล้วพระองค์ก็ไม่เคยทำเช่นนั้น พวกเขารู้ว่าถ้อยคำที่มาจากพระโอษฐ์ของพระเยซูนั้นเป็นถ้อยคำของพระยาห์เวห์
นั่นคือสิ่งที่สวยงามและสิ่งที่ท้าทายของการศึกษาพระคัมภีร์ คุณอาจสงสัยว่าทำไมข้อความหนึ่งจึงขัดแย้งกับอีกข้อความหนึ่งก่อนที่คุณจะเข้าใจว่าที่จริงมันไม่ขัดแย้งกันเลย ในกรณีหนึ่งคือถ้อยคำของพระยาห์เวห์ ในอีกกรณีหนึ่งคือถ้อยคำของพระเยซู การจะบอกได้ว่าอันไหนเป็นถ้อยคำของใคร คุณก็แค่ดูที่บริบทตรงนั้น (“พระองค์[49]ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว”) และดูที่บริบทส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์ใหม่ (พระคัมภีร์ใหม่จะพูดอย่างคงเส้นคงวาว่าพระเจ้าเป็นผู้ชุบพระเยซูขึ้นจากความตาย)
ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษบางฉบับ เช่น ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด[50] ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ใส่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพเข้าไปโดยใช้อักษรตัวใหญ่กับคำสรรพนามที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเพื่อบอกถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ดังนั้นจึงทำให้คำที่ควรจะเขียนเป็น “he” ก็กลายเป็น “He”[51] และ “you” ก็กลายเป็น “You”[52] เป็นต้น ผมรู้สึกผิดที่ในหนังสือ “การเป็นคนใหม่”[53] ก็ใช้อักษรตัวใหญ่ขึ้นต้นทุกคำสรรพนามที่กล่าวถึงพระเยซู
ก่อนอับราฮัมเกิดเราเป็นอยู่แล้ว
ให้เราดูยอห์น 8:58
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว”[54]
ตรงนี้พระเยซูตรัสว่า “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” ดังนั้นเราจึงสรุปเอาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า! มีเหตุผลสองอย่างที่เรามาถึงข้อสรุปนี้ที่ว่าพระเยซูเป็นอยู่ “ก่อนอับราฮัม” และพระเยซูคือผู้ที่ “เราเป็น” ซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าในอพยพ 3:14[55] ก่อนหน้านี้เราเห็นว่ามันเป็นปัญหาที่จะตีความ “เราเป็น” ว่าอ้างถึงอพยพ 3:14 เพราะ “เราเป็น” ในอพยพ 3:14 อ้างถึงพระยาห์เวห์ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะไม่ใช่พระเยซูแต่เป็นพระยาห์เวห์ที่กำลังตรัสในยอห์น 8:58 การตีความเช่นนี้ยังเป็นปัญหาด้วยเพราะ “เราเป็น” ในยอห์น 8:58 โดยความเป็นจริงไม่ได้มีการอ้างอิงถึงอพยพ 3:14 ตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ นี่คือข้อความภาษากรีกจากอพยพ 3:14
พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” พระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “ไปบอกชนชาติอิสรา เอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” (อพยพ 3:14)
เราจะสังเกตเห็นคำที่ขีดเส้นใต้ “” (“เราเป็น”) ในอพยพ 3:14 มีบางอย่างในอพยพ 3:14 ที่ขาดหายไปอย่างเด่นชัดในยอห์น 8:58 ซึ่งก็คือสองคำนี้ “
” ที่เห็นขีดเส้นซ้อน คำกล่าวว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” ตรงกับ “
” (“เราเป็นผู้ที่เป็นอยู่”) คำกล่าวนี้ไม่ใช่แค่ “เราเป็น” แต่ว่า “เราเป็นอย่างที่เราเป็น” หรือ “เราเป็นผู้ที่เป็นอยู่” ส่วน “เราเป็น” ในยอห์น 8:58 นั้นไม่ใช่พระนามของพระยาห์เวห์แต่เป็นแค่ส่วนแรกของ “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” และไม่ใช่ส่วนที่สองที่สำคัญมาก ที่จริงแล้ว “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” นั้นแปลไม่ถูกต้องด้วยซ้ำ หากคุณรู้ภาษาฮีบรูไม่มากคุณสามารถจะหาคำแปลอย่างอื่นที่มีอยู่ด้านล่างของพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษของคุณ คำแปลของภาษาฮีบรูที่ดีกว่าน่าจะเป็น “เราจะเป็นอย่างที่เราจะเป็น” ซึ่งหมายถึงว่า “ไม่มีใครจะมากำหนดเรา เรากำหนดทุกสิ่ง” นี่คือความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำแปลภาษากรีกของ “
” (ผู้ที่เป็นอยู่)
พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่กำลังพูดผ่านพระเยซูในยอห์น 8:58 ใช่ไหม? มันเป็นไปได้แต่ก็ไม่แน่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคำกล่าวของพระยาห์เวห์ที่พระองค์มาก่อนอับราฮัมก็ไม่น่าประทับใจ เพราะอับราฮัมไม่ได้อยู่ย้อนไปถึงช่วงประวัติศาสตร์ของการทรงสร้าง อะไรคือความเป็นไปได้อย่างอื่น? ให้เราดูบริบทยอห์น 8:53-58
53ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ? พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ท่านจะอวดอ้างว่าท่านเป็นใคร?” 54พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย ผู้ที่ทรงให้เกียรติเรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ที่พวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของท่าน 55พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์ 56อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี” 57พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” 58พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” (ยอห์น 8:53-58 ฉบับมาตรฐาน 2011)
มีคำถามว่าใครเป็นใหญ่กว่ากันระหว่างพระเยซูกับอับราฮัม คนที่เป็นใหญ่กว่าน่าจะเป็นอับราฮัมผู้เป็นบิดาของชนชาติยิวที่ตายไปเช่นเดียวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะหรือไม่? (ชาวยิวหยิบยกเรื่องการตายของอับราฮัมเพื่อตอบสิ่งที่พระเยซูตรัสในข้อ 51 “ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย”
จงสังเกตการกล่าวซ้ำๆของคำ “ให้เกียรติ” หรือ “เกียรติ” หรือ “ทรงให้เกียรติ” (ที่ขีดเส้นใต้ข้างบน) เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นว่าใครเป็นใหญ่กว่ากัน พระเยซูตรัสว่าถ้าพระองค์ให้เกียรติพระองค์เอง เกียรติของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย แต่พระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมก็เพราะว่าพระบิดาทรงให้เกียรติพระเยซู
ยังมีประเด็นของอายุอีกด้วย ถ้าพระเยซู “ยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี” พระองค์ก็คงไม่ได้อยู่ก่อนอับราฮัม นี่จะเป็นประเด็นของการมาก่อนในเรื่องของช่วงเวลาไหมหรือว่าจะเป็นประเด็นของสถานภาพ? หรือพูดง่ายๆก็คือเป็นประเด็นว่าใครมาก่อนหรือว่าเป็นประเด็นว่าใครเป็นใหญ่กว่าใคร? และการมาก่อนจะทำให้คนนั้นเป็นใหญ่กว่าไหม?
ถ้าพระเยซูมาก่อนอับราฮัมในแง่ของกาลเวลา มันก็จะหมายถึงว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อน แต่นี่เป็นการถกเถียงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ก่อนไหม? ไม่มีหลักฐานในเรื่องนั้นจากพระคัมภีร์ตอนนี้แม้แต่จากคำกล่าว “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” หากมีการใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูก็จะไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพแต่จะพิสูจน์ว่าเป็นพระองค์แรกในตรีเอกานุภาพ[56] ถ้าคุณจะแย้งว่า “เราเป็น” อ้างถึงอพยพ 3:14 สิ่งที่คุณจะพิสูจน์ได้ก็มีเพียงว่าพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์ซึ่งไม่ใช่ข้อสรุปที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพหวังจะได้รับ เมื่อผมหันคมดาบแห่งพระวิญญาณเข้าหาคำโต้แย้งของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเขาก็ต้องจำนนกับมุมมองของเขา เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะสามารถพิสูจน์ได้จากข้อความนี้ก็คือพระเยซูคือพระยาห์เวห์ คุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองที่ดำรงอยู่ก่อนเพราะไม่มีอะไรในข้อความนี้ที่พิสูจน์เช่นนั้น มันไม่ได้พิสูจน์เช่นกันว่าพระเยซูเป็นพระยาห์เวห์และก็ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยในเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซู
แล้วมีทางเลือกอะไรอีก? ทางเลือกง่ายๆมีอย่างนี้ว่า พระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม นี่จะช่วยผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพให้พ้นจากภาวะลำบากที่จะสรุปว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์ แต่ไม่ว่าจะตีความพระคัมภีร์ตอนนี้อย่างใดก็ไม่ช่วยข้อพิสูจน์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเลย ไม่ว่าคุณจะยอมรับอย่างใดก็ยังคงต้องจำนนอยู่ดีเพราะจนมุม มันเปล่าประโยชน์ที่จะยกอ้างข้อนี้เพราะมันไม่ได้พิสูจน์ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ว่าจะทางใด
เรื่องการมาก่อนของพระเยซูนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึงพระเยซูว่า “ยอห์นเป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า ‘นี่คือผู้ที่เราได้บอกไว้ว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังเราทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’” (ยอห์น 1:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) พระเยซูดูจะทรงดำรงอยู่ก่อนยอห์นผู้ให้บัพติศมาจากการยอมรับของยอห์นเอง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรถ้าพระเยซูทรงบังเกิดทีหลังยอห์น? นั่นเป็นไปไม่ได้ในทางร่างกาย นี่ไม่ใช่เรื่องของการดำรงอยู่ก่อนแต่เป็นเรื่องการจัดอันดับดังที่ระบุไว้จากการแปลข้อนี้ของฉบับต่างๆว่า “เหนือกว่า”(NIV) หรือ “ยิ่งใหญ่กว่า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)[57] หรือ “เป็นใหญ่กว่า” (ฉบับ 1971)[58] หรือ “ลำดับก่อนข้าพเจ้า” (CJB, NRSV) หรือ “ลำดับใหญ่กว่าข้าพเจ้า” (ESV) หรือ “ลำดับสูงกว่าข้าพเจ้า(NASB)
ในข้อ 30 ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวทำนองเดียวกันว่า “ภายหลังข้าพเจ้า จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” (ยอห์น 1:30 ฉบับ 1971) นี่เป็นเรื่องของความเป็นใหญ่กว่า ไม่ได้เป็นเรื่องของกาลเวลาและลำดับเวลา แต่ถ้าหากจะให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องลำดับเวลามันก็ยังเข้าใจได้ถ้าเรานึกออกว่าพระเยซูคือผู้ที่พระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ใน
พระเยซูทรงเป็นใหญ่กว่าโยนาห์ (มัทธิว 12:41 ลูกา 11:32 ) และทรงเป็นใหญ่กว่าโซโลมอน (มัทธิว 12:42 ลูกา 11:31) มันไม่ได้เป็นเรื่องของการดำรงอยู่ก่อน แต่เป็นเรื่องของความเป็นใหญ่ พระเยซูยังทรงเป็นใหญ่กว่าโมเสสด้วย “เพราะธรรมบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์” (ยอห์น 1:17 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระองค์ทรงอยู่ในรูปกายของพระเจ้า
ตอนนี้เราจะดูฟีลิปปี 2 โดยจดจ่อที่ข้อ 6 ถึง 11 ซึ่งเป็นป้อมปราการสำคัญของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า[59]แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู 11และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า (ฉบับ 1971)
การตีความพระคัมภีร์ตอนนี้ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าก็เพราะพระองค์ทรงอยู่ใน “รูปกาย[60]ของพระเจ้า” ข้อปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่อง “รูปกายของพระเจ้า” นั้นเป็นเรื่องใหญ่มากจนหนังสือบางเล่มเขียนถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ อะไรคือปัญหา? ปัญหาก็คือคุณจะไม่พบ “รูปกายของพระเจ้า” ที่ไหนอีกในพระคัมภีร์หรือที่พระเจ้าทรงมีรูปกาย ([61] มอร์เฟ่) พระเจ้าทรงไม่มีรูปกายฉะนั้นเราจึงจนปัญญาตั้งแต่แรก ถ้าพระเจ้าไม่มีรูปกายและพระเยซูมีรูปกายของพระเจ้าแล้วเราจะเริ่มจากตรงนี้อย่างไร? เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเรามักจะมองข้ามปัญหานี้ไป ถ้าฟีลิปปี 2:6 กล่าวถึงพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า เราจะเจอปัญหาใหญ่หรือไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะหมดไป
“รูปกาย” เป็นคำสำคัญในพระคัมภีร์ตอนนี้ดังที่เห็นในคำพูดเช่น “รูปกาย[62]ของพระเจ้า” และ “รูปกาย[63]ของทาสรับใช้” ในทั้งสองกรณีนี้ใช้ “,” (morphē) คำเดียวกัน (ดูคำที่ขีดเส้นใต้สองคำแรกข้างบน) การจะดูความหมายของคำนี้ก็ให้ค้นดูคำ “
,” (morphē) ในพจนานุกรมซึ่งสามารถทำได้ง่ายในโปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์คส์
คำ “,” (morphē รูปกาย) มีอยู่ในภาษาอังกฤษ เช่นในคำ “metamorphosis”[64] คำนำหน้า “meta”[65] มีความหมายหลักๆว่า “เปลี่ยน” ในขณะที่ “morphosis”[66] มาจาก “
,” (morphē “รูปกาย”) ฉะนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนรูป ตัวอย่างเช่น เราจะบอกว่าดักแด้ได้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนไปเป็นผีเสื้อ รูปกายที่ปรากฏภายนอกได้เปลี่ยนไปแม้ว่าภายในมันยังคงเป็นแมลงตัวเดียวกัน
ตอนเด็กๆผมชอบเลี้ยงตัวไหม หลังจากผ่านระยะของการกินใบหม่อนแล้วตัวหนอนจะชักใยห่อหุ้มเป็นรังไหมและอาศัยอยู่ข้างในนั้น ต่อมาตัวมอดไหมจะออกมาจากรังไหมแล้วก็วางไข่หนอนรุ่นต่อไปและเราจะได้เส้นไหมจากรังไหม มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากหนอนสีขาวมาเป็นแมลง เป็นการเปลี่ยนรูปแม้ว่าข้างในจะเป็นแมลงตัวเดียวกัน
เราจะเห็นจากพจนานุกรมกรีกเล่มใดก็ได้ว่า “รูป” จะเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นภายนอก ไม่ใช่แก่นแท้ภายใน พระเยซูทรงมีรูปลักษณ์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงไม่มีรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นภายนอกแต่มีข้อยกเว้นที่สำคัญอย่างหนึ่งคือจะปรากฏให้เห็นโดยรูปเหมือนหรือพระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์ เราเห็นมาก่อนว่ารูปและรูปเหมือนนั้นเป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกัน คือที่ไหนที่มีรูปเหมือนก็ต้องมีต้นแบบ ที่ไหนที่มีต้นแบบก็ต้องมีรูปเหมือน ทั้งสองมีแนวคิดที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระคัมภีร์ตอนนี้ในฟีลิปปี 2 ซึ่งพูดเกี่ยวกับรูปของพระเจ้าก็กำลังพูดเกี่ยวกับรูปเหมือนของพระเจ้าด้วย
มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในพระคัมภีร์และพระองค์คือพระยาห์เวห์ซึ่งหมายความว่า “รูปของพระเจ้า” ก็คือ “รูปของพระยาห์เวห์” จงสังเกตดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับมุมมองที่น่าสลดใจของผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ น่าสลดใจเพราะไม่ว่าพวกเขาจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาพวกเขาก็ถูกคมของดาบสองคม พวกเขาหันไปทางนี้ก็จะถูกคมของด้านนี้ พวกเขาหันไปอีกทางก็ถูกคมของด้านหนึ่ง หากพวกเขาสามารถจะพิสูจน์อะไรเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระเยซูสิ่งที่พิสูจน์ได้ก็จะเป็นว่าพระเยซูก็คือพระยาห์เวห์เอง เพราะพระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้พูดถึงพระองค์ที่สองที่เป็นพระเจ้าแต่อย่างใด ถ้าพวกเขาจะโต้แย้งว่ารูปไม่ได้หมายถึงรูปเหมือนแต่หมายถึงแก่นแท้ข้างใน พวกเขาก็จะเจอปัญหาว่าพระเยซูจะต้องเป็นพระยาห์เวห์
คุณจะหันไปทางนี้คุณก็เจอพระยาห์เวห์ จะหันไปอีกทางคุณก็เจอพระยาห์เวห์ ไม่มีทางจะหนีจากพระยาห์เวห์ไปได้ ยิ่งกว่านั้นในพระคัมภีร์ใหม่ก็มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ความเป็นไปได้ที่มีหลายพระองค์เป็นพระเจ้าเป็นแนวคิดทางปรัชญาที่รับมาจากความคิดของคนต่างชาติและความคิดที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ที่ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ มันเป็นความคิดที่นำเข้ามาในตัวบทเพราะไม่ได้มีอยู่ในตัวบท
ปัญหาต่อมาที่มีกับข้อโต้แย้งของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือเท่าเทียมกับพระเจ้า พระเยซูก็ไม่จำเป็นจะต้องถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ ([67] กำลังยึดไว้อยู่ หรือการยึดครอง)
ตรงนี้มีความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผลอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือพระองค์ไม่ได้เป็น ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็ไม่จำเป็นจะต้องยึดความเท่าเทียมกับพระเจ้า เพราะว่าคุณจะยึดไว้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่ของคุณเอง ถ้ามันเป็นของคุณอยู่แล้วคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดไว้ มีเพียงสิ่งเดียวที่คุณอาจจะทำก็คือรักษาสิ่งที่คุณมีไว้ต่อไป ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า พระองค์ก็เพียงแค่รักษาความเป็นพระเจ้าของพระองค์ไว้และปัญหาของการยึดถือไว้ก็ไม่สัมพันธ์กัน
พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์[68]กล่าวว่าพระคริสต์ “ไม่ได้ถือว่าความเท่าเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะยึดครองไว้” ถ้าพระเยซูทรงเท่าเทียมกับพระเจ้าพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้อง “ยึดไว้[69]
แต่ถ้าเราดูข้อนี้จากทัศนะของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว (ที่พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า) ทุกอย่างก็เข้าใจได้ แม้พระองค์จะอยู่ในรูปกายของพระเจ้า พระองค์ก็ไม่เคยที่จะยึดความเท่าเทียมกับพระเจ้า การยึดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของๆคุณเองคือความผิดพลาดอย่างชัดเจนของอาดัม
เปาโลพูดต่ออีกว่าพระคริสต์ “ทรงทำให้พระองค์เองไม่มีอะไร (ฟีลิปปี 2:7 พระคัมภีร์ภาษาไทยส่วนใหญ่แปลว่าสละพระองค์เอง)”[70] ไม่มีใครสามารถจะทำให้ตัวเองไม่มีอะไรข้างในทางกายภาพจริงๆ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจลักษณะบทกวี (เพราะคนส่วนมากไม่เข้าใจลักษณะบทกวี) บทกวีเป็นวิธีพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและจับใจ “พระองค์ทรงทำให้พระองค์เองไม่มีอะไร” หมายความว่าเลือกไม่สนใจพระองค์เองและทำให้ตัวพระองค์เองให้ไม่มีอะไรในแง่ประโยชน์ของพระองค์เอง มันหมายถึงการละตัวเองเสีย ประหารตัวเองให้ตาย พระเยซูทรงลดพระองค์เองลงจนไม่เหลืออะไร จนเป็นศูนย์ ให้จำไว้ว่าพระคัมภีร์ทั้งตอนนี้เป็นบทกวี ถ้าคุณจะรับเอาการไม่มีอะไรนี้แบบตรงตามคำ คุณจะได้ความคิดเขลาๆว่าคนๆหนึ่งกำลังดึงทึ้งสิ่งต่างๆออกมาจากร่างกายของเขา
พระคัมภีร์ทั้งตอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูป ถ้าคุณไม่เห็นสิ่งนี้ คุณก็จะพลาดประเด็นของพระคัมภีร์ตอนนี้ จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้
6พระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพ[71]ของพระเจ้า มิได้ทรงเห็นว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นการแย่งชิงเอาไปเสีย[72] 7แต่ได้ทรงกระทำพระองค์เองให้ไม่มีชื่อเสียงใดๆ[73] และทรงรับสภาพ[74]อย่างผู้รับใช้ ทรงถือกำเนิดในลักษณะของมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟัง จนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน (ฟีลิปปี 2: 6-8 ฉบับไทยคิงเจมส์)[75]
เปาโลใช้คำซ้ำๆที่มีกรอบความคิดของรูปกายว่า “ในสภาพ”[76] “ในลักษณะ”[77] และ “ปรากฏ”[78] มีการใช้คำกรีกสามคำที่ต่างกัน () จากสี่ตัวอย่างตรงนี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองเห็นภายนอก เปาโลกำลังเน้นสิ่งที่มองเห็นได้หรือสิ่งที่เห็นภายนอกมากกว่าแก่นแท้ภายใน
รูปเหมือนทำให้สิ่งนั้นมองเห็นได้ การอยู่ “ในรูปกาย(ในสภาพ)ของพระเจ้า” ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูจะเป็นพระเจ้ามากไปกว่า “ทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์” ที่หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ความสำคัญโดยรวมของพระคัมภีร์ตอนนี้ก็คือ มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้มนุษย์และจักรวาลมองเห็นได้ซึ่งก็คือความเป็นมนุษย์ของพระเยซูและความเหมือนกับพระเจ้าของพระองค์ที่เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า[79] ความจริงแล้วคำกรีกสามคำที่กล่าวมาข้างต้นนี้ (จากสี่ตัวอย่าง) ทั้งหมดมีความหมายพื้นฐานเหมือนกันว่า รูปร่าง รูปกาย หรือรูปลักษณ์ภายนอก
เปาโลกล่าวก่อนหน้านี้ในฟีลิปปี 2 ข้อ 5 ว่า “ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์”[80] เปาโลกำลังขอให้พี่น้องชาวฟีลิปปีมีท่าทีของพระคริสต์ และให้ท่าทีนี้มองเห็นได้จากการประพฤติของพวกเขา ดังที่มองเห็นได้ในพระคริสต์จากสิ่งที่พระองค์ได้กระทำแม้กระทั่งความตายของพระองค์ที่กางเขน พระคริสต์ผู้เป็นรูปเหมือนที่แท้จริงของพระเจ้า ทรงเป็นตัวอย่างให้เราเห็นและทำตาม เพราะฉะนั้นพระคัมภีร์ตอนนี้จึงไม่ได้มีไว้ให้ถกเถียงกันทางศาสนศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์อย่างที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้เป็น แต่เป็นการแนะนำในทางปฏิบัติเกี่ยวกับชีวิตในฝ่ายวิญญาณ แรงจูงใจภายใน และการประพฤติตัวที่เห็นได้ภายนอกในฐานะที่เป็นผู้ติดตามพระคริสต์ แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้เปลี่ยนให้พระคัมภีร์ตอนนี้ให้เป็นเรื่องศาสนศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ซึ่งเป็นการพลาดประเด็นทั้งหมดของพระคัมภีร์ตอนนี้ไปเลย
พระนามเหนือนามทั้งหมด
ในข้อ 9 เปาโลกล่าวว่า
“เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ผู้เป็นนักตีความจะไม่ตรวจสอบแต่เฉพาะข้อความภาษากรีกจากฉบับเดียว แต่จะตรวจสอบจากหลายฉบับ ในข้อนี้บางฉบับจะพูดถึง “พระนาม” (the name) โดยมีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ ในขณะที่ฉบับอื่นพูดถึงแค่ “พระนาม” (name) เฉยๆโดยไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ ข้อความกรีกที่เห็นตรงนี้จากฉบับของสหสมาคมพระคริสตธรรม[81]จะมีคำนำหน้านาม “พระนาม (the name)” ที่ขีดเส้นใต้ไว้ () แต่ควรจำไว้ว่าฉบับของสหสมาคมพระคริสตธรรมนั้นเลือกใช้ข้อความ นั่นก็คือบรรดาผู้เรียบเรียงได้คัดเลือกข้อความให้คุณ คุณยังต้องดูความแตกต่างที่เกี่ยวกับตัวบทไม่เช่นนั้นคุณจะพลาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป ถ้าคุณสังเกตดูตัวบทฉบับกรีกของสหสมาคมพระคริสตธรรม คุณจะเห็นว่าฉบับกรีกหลายฉบับไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ (the) ซึ่งหมายความว่าคำนั้นสามารถจะแปลว่า “นามใดนามหนึ่ง” (a name) หรือแปลว่า “นามเฉพาะนั้น” (the name) ข้อ 9 นี้บรรดาผู้เรียบเรียงได้เลือกแปลเป็น “พระนามเฉพาะนั้น” (the name) แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าพระนามนั้นคืออะไร
พระคัมภีร์เดิมตอนที่เหมือนกับข้อนี้อยู่ในสดุดี 89:27 “เราจะตั้งเขาเป็นบุตรหัวปีของเรา และ ให้เขาได้รับการยกย่องเทิดทูนสูงสุด ในหมู่กษัตริย์ของแผ่นดินโลก (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) หรือ “และเราจะให้เขาเป็นบุตรหัวปี สูงที่สุดในบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก”(ฉบับ 1971)
ข้อพระคัมภีร์เดิมตอนที่เหมือนกันมีความสำคัญเพราะข้อเหล่านั้นอาจบ่งชี้ว่าพระคัมภีร์ใหม่ตอนที่พิจารณาอยู่กำลังเป็นจริงตามพระคัมภีร์เดิม ในสดุดี 89:27 นี้พระเจ้ากำลังยกผู้หนึ่งขึ้นสูงสุดในบรรดากษัตริย์ทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่าพระนามของพระองค์จะอยู่เหนือนามทั้งหมดในบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลกเหมือนกันกับ “ประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์” (ฟีลิปปี 2:9) คำว่า “บุตรหัวปี” ในสดุดี 89:27 เป็นคำที่คุ้นเคยในพระคัมภีร์และใช้กับพระคริสต์ในคำพูด เช่น “ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง” และ “เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย” (โคโลสี 1:15, 18 ฉบับไทยคิงเจมส์)
ในอิสยาห์ 45:23 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราปฏิญาณไว้แล้วด้วยตัวของเราเอง เราเองลั่นวาจาไว้ด้วยความชอบธรรม ไม่มีวันคืนคำ คือทุกคนจะคุกเข่ากราบลงต่อเรา และทุกลิ้นจะปฏิญาณโดยอ้างถึงเรา” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เราเห็นรูปแบบที่น่าสังเกตในคำที่ใช้กับพระยาห์เวห์ตรงนี้ก็ใช้กับพระเยซูในฟีลิปปี 2:9 สิ่งนี้พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าไหม? ถ้าจะพิสูจน์มันจะพิสูจน์แต่เพียงว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์และไม่ได้เป็นพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพ[82] ตรงนี้เราเห็นสถานการณ์สิ้นหวังกับข้อพิสูจน์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะคุณจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าได้ก็โดยที่พิสูจน์ว่าพระองค์คือพระยาห์เวห์[83] เพราะทุกข้อความจะกลับไปหาพระยาห์เวห์ พระคัมภีร์ทั้งหมดเป็นถ้อยคำของพระยาห์เวห์ คุณจะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นพระองค์อื่น กลวิธีที่เด่นสุดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือพิสูจน์ให้ได้ว่ามีสามพระองค์[84]จากหนังสือที่พูดถึงพระเจ้าองค์เดียว
คุณเคยเล่นไพ่มายากลกับเด็กๆไหม? ผมเคยเล่นไพ่มายากลให้คนมากมายประทับใจ ผมจะบอกพวกเขาว่า “ดึงไพ่ออกมาใบหนึ่ง” แล้วผมก็บอกให้พวกเขาใส่มันกลับเข้าไปในกอง ผมจะสับไพ่กองนั้นแล้วก็ดึงไพ่ใบที่พวกเขาใส่เอาไว้ออกมาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาอ้าปากค้าง (บางคนอาจรู้จักกลนี้) หรือบางทีผมก็ให้ทุกคนดูเหรียญ ผมปิดมือแล้วเปิดมือ เหรียญก็หายไปแล้ว! พวกเขาพากันมองหาเหรียญที่หายไป เมื่อผมเปิดมืออีกครั้งเหรียญก็ยังอยู่ คำเฉลยก็คือการใช้ความสามารถพิเศษตบตาคนอื่น
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้เล่นกลเพื่อพิสูจน์ให้เห็นพระเจ้าสามพระองค์จากพระคัมภีร์ที่พูดถึงพระเจ้าเพียงองค์เดียว เราเล่นกลนี้มานานและทำให้คนจำนวนมากสับสน
ตอนนี้ผมอยากบอกกับผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพว่า “คุณอยากจะทำยังไงกับข้อความพระคัมภีร์ของคุณก็เชิญ? คุณอยากจะพิสูจน์จริงๆว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์หรือ?” นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการจะพิสูจน์ แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาจะพิสูจน์ได้แบบนั้น เมื่อคุณเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งคุณก็จะรู้กลนี้แล้วจะไม่มีใครเล่นกลนี้กับคุณได้อีก ถ้าคุณรู้วิธีทำให้เหรียญหายไปได้ก็จะไม่มีใครหลอกคุณได้ เพราะเหตุที่ผมรู้วิธีการที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพใช้ ผมจึงสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ท้ายที่สุดเปาโลกล่าวในฟีลิปปี 2:11 ว่า “และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ทุกสิ่งนั้นก็เพื่อ “เป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา” แต่นั่นจะเป็นได้อย่างไรถ้าทุกเข่าไม่ได้คุกลงกราบพระบิดาแต่คุกลงกราบพระเยซู[85] และถ้าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า? คุณจะยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระยาห์เวห์ได้อย่างไร? เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราไม่ได้เดือดร้อนกับข้อนี้ เราไม่ได้สนใจเพราะเราทำอะไรไม่ได้ แน่ทีเดียวที่พระเกียรติสิริทั้งสิ้นจะต้องถวายแด่พระเยซูใช่ไหม? การที่ทุกเข่าจะคุกลงกราบพระเยซูและทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้านั้น การทำเช่นนี้จะเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดาอย่างไร? มีหนทางเดียวเท่านั้นก็คือว่าในการคุกลงกราบพระเยซูนั้นคุณก็กำลังคุกลงกราบพระยาห์เวห์ ไม่มีทางอื่นอีก พระเยซูจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง คือเป็นพระยาห์เวห์ (ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการจะพิสูจน์) หรือไม่พระเยซูก็เป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ซึ่งเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ตอนทั้งหมดนี้พูดถึงคือรูปกายและรูปลักษณ์ เมื่อคุณเห็นความสำคัญที่พระเยซูทรงอยู่ในรูปกาย ในรูปร่าง และในรูปลักษณ์ของพระเจ้า คุณก็จะเข้าใจว่าเมื่อคุณคุกลงกราบรูปเหมือนนี้ คุณก็กำลังคุกลงกราบพระยาห์เวห์ที่พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระองค์
มีบางอย่างที่คล้ายกันในวิวรณ์ 13 คือถ้าคุณกราบบูชารูปของสัตว์ร้ายคุณก็กำลังกราบบูชาตัวของสัตว์ร้าย (ตัวอย่างเช่น วิวรณ์ 13:14, 15 วิวรณ์ 20:4) สัตว์ร้ายมีรูปที่ทำจากตัวของมัน (เลียนแบบพระยาห์เวห์ผู้ที่ปั้นมนุษย์ตามพระฉายาพระองค์) ดังนั้นเมื่อคุณกราบบูชารูปของสัตว์ร้าย ก็เหมือนคุณกราบบูชาตัวสัตว์ร้ายนั้น เมื่อเราเห็นว่าพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์เราก็จะเข้าใจความหมายของการกราบลงต่อหน้ารูปนั้นภายใต้คำสั่งของพระยาห์เวห์ ลักษณะของคำสั่งนี้ยังพบในกรณีของสัตว์ร้ายที่สั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่ในโลกให้กราบบูชารูปจำลองของสัตว์ร้าย (วิวรณ์ 13:15)[86] และในกรณีของเนบูคัดเนสซาร์ผู้สั่งให้ทุกคนในจักรวรรดิของพระองค์กราบนมัสการรูปปฏิมากรที่พระองค์ได้สร้างขึ้น (ดานิเอล 3:6)[87]
ด้วยเหตุเพราะพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ดังนั้นเมื่อกราบลงต่อรูปเหมือนนั้นก็เหมือนคุณกราบลงต่อพระยาห์เวห์ ถ้าคุณทำอย่างนี้คุณจะต้องเข้าใจว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าแต่ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า เราสามารถนมัสการพระเยซูได้ถ้าเราเข้าใจว่าเราไม่ได้กำลังนมัสการพระองค์เป็นพระเจ้าแต่เข้าใจว่าทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อใดที่คุณบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าคุณก็จะกลายเป็นผู้ไหว้รูปเคารพ
มีบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับการไหว้รูปเคารพก็คือไม่มีคนไหว้รูปเคารพคนไหนหรอกที่เคยคิดว่าเขาเป็นคนไหว้รูปเคารพ ถ้าเขาคิดว่ารูปเคารพไม่ใช่เทพเจ้าหรือไม่สามารถทำอะไรได้ เขาก็คงไม่กราบไหว้มัน คุณลองไปเที่ยววัดเจ้าแม่กวนอิมดูแล้วคุณจะเห็นว่าผู้นมัสการเหล่านั้นคิดว่าเจ้าแม่กวนอิมเป็นแค่รูปปั้นหรือเปล่า คุณคงจะน่วมแน่ถ้าคุณไปบอกว่าเป็นแค่รูปปั้น เช่นเดียวกันที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่คิดว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ไหว้รูปเคารพ
ก่อนที่เราจะไปต่อมีบางสิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงคือเมื่อพระคัมภีร์ใหม่ใช้คำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า” กับพระเยซูนั้นมันไม่ได้หมายถึงพระยาห์เวห์ หรือ “อาโดนาย” (วิธีพูดของชาวยิวเมื่อเอ่ยถึงพระยาห์เวห์) เรื่องนี้จะเห็นได้ในสองข้อต่อไปนี้ (จากหลายข้อ)
แต่สำหรับพวกเรามีพระเจ้าองค์เดียว คือพระบิดา ผู้ทรงเป็นที่มาของสิ่งสารพัด เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ สิ่งสารพัดเป็นมาโดยทางพระองค์ และเรามีชีวิตอยู่โดยทางพระองค์ (1 โครินธ์ 8:6 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
โดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระเจ้าทรงให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นจากตาย และพระองค์จะทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นใหม่ด้วย (1 โครินธ์ 6:14 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระคัมภีร์สองตอนนี้เผยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง “พระเจ้า” และ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ “องค์ผู้เป็นเจ้า” หมายถึงพระเยซู มีพระเจ้าองค์เดียวและองค์ผู้เป็นเจ้าองค์เดียว และไม่มีอะไรที่น่าสับสนกับทั้งสองพระองค์ พระคัมภีร์ตอนที่สองบอกเราว่าพระเยซูไม่ได้ชุบพระองค์เองขึ้นจากความตาย แม้คำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า” พระยาห์เวห์ก็เป็นผู้ประทานให้กับพระเยซูและไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบของพระองค์
ยอห์น 1
ให้เราดู ยอห์น 1:1 ข้อที่รู้จักกันดี การตีความของข้อนี้แบบเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นมีเหตุผลเพราะมันอยู่บนรากฐานที่หนักแน่นของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
ไม่ว่าคำขึ้นต้นของยอห์นจะเป็นบทกวีหรือไม่ มันก็ไม่ทำให้คำอธิบายของข้อนี้แตกต่างกัน และนั่นก็ตรงกับ “”( logos ถ้อยคำ) ไม่ว่าเราจะรับแบบตามคำเขียนหรือรับแบบเป็นบทกวี
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคงต้องอธิบายว่าทำไมเขาจึงสันนิษฐานว่า “” เป็นบุคคล มีหลักฐานของเรื่องนี้ที่ไหนในพระคัมภีร์ไหม? มายากลที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้ก็คือใส่สิ่งที่ตนเองอยากให้มีเข้าไปในตัวบท พูดให้ง่ายก็คือผมสามารถทำให้มีบุคคลอยู่ในตัวบทได้ถ้าผมอ่านเกินจากตัวบท แต่ทว่าไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ที่ “
” จะเคยอ้างอิงถึงบุคคล มันง่ายถึงขนาดนั้น การอ่านให้มีพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพจากพระคัมภีร์ตอนนี้เราก็ต้องอ่านให้มีพระองค์อยู่ในนั้น
งานของนักตีความก็คือคุณจะต้องตรวจสอบคำ “” ทุกคำที่ปรากฏซึ่งอาจดูได้ในโปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์คที่คุณจะเจอข้ออ้างอิงเป็นร้อย คำ “
” ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนอกจากว่า “ถ้อยคำ” สิ่งนั้นไม่ทำให้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพประสบผลสำเร็จเพราะไม่เคยมีตัวอย่างของคำนี้ที่อ้างถึงบุคคลเลย ถ้าคุณค้นหา “ถ้อยคำของพระเจ้า”[88](word of God) คุณจะพบ 34 ข้ออ้างอิงซึ่งรวมยอห์น 1:1 ส่วนอีก 33 ข้ออ้างอิงนั้นไม่มีสักข้อที่อ้างอิงถึงบุคคล ถ้าคุณอยากจะให้มีบุคคลจากยอห์น 1:1 คุณก็คงต้องอ่านให้มีบุคคลอยู่ในนั้น
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการให้คุณเชื่อว่า “” เป็นบุคคล ถ้าคุณไม่ยอมรับอย่างนั้นและคุณก็ไม่ควรจะยอมรับเพราะไม่มีรากฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องนี้ ข้อพิสูจน์ก็จะหยุดอยู่แค่นี้และไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าคุณตรวจสอบข้ออ้างอิง “พระวจนะของพระเจ้า” อีก 33 ข้อในพระคัมภีร์ใหม่ คุณจะเห็นว่ามันไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนอกจากจะหมายถึงพระคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้า การเปิดเผยของพระเจ้า หรือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสหรือเผย การทำให้ยอห์น 1:1 เป็นข้อความตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นคุณจะต้องพลิกแพลงโดยพูดว่า “
” เป็นบุคคล
แม้แต่ในวิวรณ์ 19:13 ที่ “พระวาทะของพระเจ้า” ทรงม้าขาวนั้นก็ไม่สามารถจะแสดงให้เห็นว่า “พระวาทะของพระเจ้า” เป็นบุคคล บริบทชี้ไปที่ความรุดหน้าของพระกิตติคุณหรือการพิพากษาในโลกนี้ของพระเจ้าแทน ไม่มีใครสามารถแสดงให้เห็นว่ามันอ้างอิงถึงพระคริสต์
พระวาทะอยู่ “กับ” พระเจ้า
หนึ่งในกลต่างๆของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือแปลคำ “” ผิดๆ (ดูคำที่ขีดเส้นใต้)
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
คำ “”[89] (พรอส) หมายถึงอะไรในคำกล่าว “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า”? เราไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษากรีกก็รู้ได้ว่า “
” (พรอส) โดยทั่วไปแล้วไม่ได้หมายความว่า “กับ” แม้ว่าพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษทุกฉบับจะแปลว่า “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” แบบเรียนภาษากรีกเบื้องต้นเล่มไหนก็ตามจะบอกคุณว่าความหมายพื้นฐานที่สุดของ “
” ก็คือ “ต่อ” หรือ “ในเรื่องเกี่ยวกับ” ไม่ใช่ “กับ” ในความหมายของการอยู่ในที่นั้น ถ้าคุณอยากจะใช้คำ “กับ” คำนี้ไม่ได้เป็นคำมาตรฐานที่จะใช้
กลนี้ก็คือการแปลถ้อยคำ “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” ให้มีความหมายว่าอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ดังนั้นจึงทำให้มีหมายความได้สองอย่างคือ “” อยู่กับพระเจ้า และ “
” อาจเป็นบุคคล ผมพูดว่า “อาจเป็น” ก็เพราะไม่ใช่บุคคลก็สามารถอยู่ต่อพระพักตร์กับพระเจ้าได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าในการทรงสร้าง
ข้าพเจ้าก็อยู่ข้างพระองค์แล้วเหมือนอย่างนายช่าง ข้าพเจ้าเป็นความปีติยินดีประจำวันของพระ
องค์ เปรมปรีดิ์อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ทุกเวลา (สุภาษิต 8:30 ฉบับมาตรฐาน 2011 )
คำที่ขีดเส้นใต้ “”[90] (พารา) โดยทั่วไปหมายถึง “ข้างๆกับ” หรือ “อยู่ที่นั่นกับ” พระปัญญาอยู่ที่นั่นกับพระเจ้าในการทรงสร้าง อยู่ข้างๆพระองค์เลย คำนี้เกี่ยวข้องกับ “
”[91] ที่แปลว่า “ผู้ปลอบประโลมใจ”[92] ในยอห์น 14:26 นั่นก็คือ ใครคนหนึ่งที่อยู่กับคุณและอยู่ข้างๆคุณ
ให้เรากลับไปดู “” ว่าคำนี้ใช้อย่างไรในโรม 5:1
เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (ฉบับไทยคิงเจมส์)
จงสังเกตคำ “” ที่ขีดเส้นใต้และคำ “กับ” ที่คล้ายกัน ถ้อยคำว่า “สันติสุขกับพระเจ้า” ไม่ได้หมายความว่าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่พูดถึงบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเราต่อพระเจ้า ความคิดหลักของ “
” คือ “ต่อ” (to) เสมอ ในกรณีนี้ความสัมพันธ์ของเรา “ต่อ” พระเจ้าเป็นอย่างหนึ่งของสันติสุขและการคืนดี เรามี “สันติสุขกับพระเจ้า” หรือ “สันติสุขในความสัมพันธ์ต่อพระเจ้า”[93] การแปลทั้งสองแบบถูกต้อง
ให้เราดูมัทธิว 13:56 ซึ่งจะเป็นแห่งเดียวที่ “” เมื่อมองแวบแรกดูเหมือนจะบ่งบอกถึงการอยู่ด้วย แต่เมื่อตรวจสอบละเอียดขึ้นก็ไม่ใช่
และน้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน? (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ “” และ “กับ” เมื่อมองแวบแรกคำว่า “กับเรา” ดูเหมือนจะมีความหมายที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพกำลังมองหา (มันน่าสลดใจที่จะสร้างหลักคำสอนโดยอาศัยข้อนี้ เพราะการปรากฏของ “
” ในข้ออื่นๆก็ไม่มีข้อไหนที่มีความหมายนี้เลย) “
” ตรงนี้ทำหน้าของกรรมการก[94] คำว่า “กับเรา” อาจดูเหมือนจะบอกถึงการที่ตัวอยู่ด้วยต่อหน้า แต่ปัญหาก็คือที่จริงแล้วน้องสาวทุกคนของพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย คนเหล่านั้นก็พูดไม่ได้ว่า “ดูสิ บรรดาน้องสาวของพระเยซูก็อยู่ที่นี่” แต่ได้แต่พูดว่า “น้องสาวทุกคนของพระองค์ก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” ข้อนี้ไม่ได้ช่วยในการตีความของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจากยอห์น 1:1 เพราะในที่นี้ “
” หมายถึง “ต่อ” หรือ “ในเรื่องเกี่ยวกับ” นั่นก็คือ “เราไม่ได้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของพระเยซูหรอกหรือ?” โดยไม่ได้หมายความว่าพวกเธออยู่ที่นั่นในขณะนั้น เราคงนึกภาพออกที่พวกเขากำลังพูดว่า “ตอนนี้น้องสาวทุกคนของพระองค์คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในอิสราเอล เรารู้จักพวกเธอ เราพูดคุยกับพวกเธอที่ถนน และเราก็ซื้อผลไม้จากพวกเธอ” พวกเขารู้ว่าน้องสาวเหล่านั้นเป็นใครแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าตัวพวกเธอจะอยู่ที่นั่นด้วย สิ่งนี้สำคัญกับการตีความยอห์น 1:1 ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ให้เราดูการใช้ “” ในอีกตัวอย่างหนึ่ง นักตีความจะต้องไม่หาดูความหมายในพจนานุกรมเท่านั้น เขายังตรวจสอบดูว่าคำเหล่านั้นใช้ในพระคัมภีร์ใหม่อย่างไร ผมพูดแล้วว่าในการตีความนั้นต้องทำงานหนัก หากคุณกำลังดูคำบุพบท เช่นคำ “
” คุณจำเป็นต้องเช็คดูหน้าที่ทางไวยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกัน ความหมายของคำบุพบทกรีกรวมทั้ง “
” มักจะมีผลจากการก[95]ของคำที่ตามมาว่ามันเป็นกรรมตรง หรือกรรมรอง หรือบอกความเป็นเจ้าของไหม? ให้เราดูยอห์น 12:32
“เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา”[96]
ตรงนี้เรามี “” ที่มากับกรรมตรง (ดูที่ขีดเส้นใต้) เหมือนที่มีในยอห์น 1:1 ด้วย ตรงนี้ไม่ได้แปลว่า “กับเรา” แต่แปลว่า “มาหาเรา”
เราจะดูตัวอย่างสุดท้ายจากเรื่องของเซาโลบนถนนไปดามัสกัสในกิจการ 26:14
พวกข้าพระบาททั้งหมดล้มลงบนพื้น และข้าพระบาทได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับข้าพระบาทเป็นภาษาอารเมคว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม? เป็นการยากที่เจ้าจะขัดขืนความประสงค์ของเรา’
ในข้อนี้เราจะพบ “” ในคำ “พูดกับข้าพระบาท” (ดูที่ขีดเส้นใต้) เมื่อคุณตรวจสอบว่าในพระคัมภีร์ใหม่ใช้ “
” อย่างไร คุณก็จะรู้ว่ามันเป็นปัญหาในการแปล “
” ในยอห์น 1:1 ว่า “กับ” ในแง่ของการปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า
ถ้าคุณไม่สามารถจะยืนยันถึงอีกบุคคลหนึ่งในยอห์น 1:1 บนพื้นฐานของ “” แล้วคำกล่าวนั้นจะหมายความว่าอย่างไรจริงๆ? นักไวยากรณ์ท่านหนึ่งที่ให้ “
” หมายถึง “ต่อ” ได้พยายามพูดว่าพระวาทะกำลัง “อยู่ตรงหน้า” พระเจ้า แต่คำ “
” ไม่ได้หมายถึง “อยู่ตรงหน้า” แต่หมายถึงการเคลื่อนไปทาง หรือ การพูดกับ หรือการออกไปหา ในกรณีนี้ไปหาพระเจ้า
อิสยาห์ 55:11 กล่าวเกี่ยวกับถ้อยคำของพระเจ้าว่า “ทำนองเดียวกัน คำของเราที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระคำของพระเจ้าออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์และสำเร็จผลตามพระประสงค์ก่อนที่จะกลับมา ความสัมพันธ์ของพระคำของพระเจ้ากับพระเจ้าในแง่ที่เป็นวงจรคือมันออกไปแล้วกลับมา ประเด็นก็คือว่าพระคำเกี่ยวข้องกับพระเจ้าในลักษณะที่มีพลังขับเคลื่อนและปฏิบัติการ พูดง่ายๆก็คือคำ“” จริงๆแล้วเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับพระเจ้า อาจเป็นได้ว่าวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการตีความคำกล่าวของยอห์นก็คือ “แรกเริ่มเดิมทีพระคำดำรงอยู่ และพระคำเกี่ยวข้องอย่างมีพลังกับพระเจ้า” หรือพูดง่ายๆก็คือ “พระคำเกี่ยวข้องกับพระเจ้า” พระคำของพระยาห์เวห์ถูกส่งออกจากพระองค์และกลับมาหาพระองค์หลังจากที่สำเร็จตามพระประสงค์ซึ่งต่างจากคำของมนุษย์ นั่นคือลักษณะพิเศษของพระคำของพระยาห์เวห์ คำของมนุษย์นั้นต่างกัน เมื่อมีการจัดพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งขึ้น มันจะออกไปแต่อาจไม่กลับมา คุณอาจพิมพ์เป็นหมื่นๆเล่มเพื่อแจกจ่ายไปทั่วโลกแต่หนังสือส่วนมากจะไม่กลับมา แต่พระคำของพระยาห์เวห์ออกไปและกลับมา
การช่วยสงเคราะห์แบบ “คู เดอ กราส”
สุดท้ายนี้ผมจะให้ “คู เดอ กราส” (coup de grâce)[97] กับการตีความยอห์น 1:1 ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ คำพูด “คู เดอ กราส” ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงช่วยให้ตายทันที คุณคงเห็นได้จากคำว่า “grâce” มันเป็นความกรุณาที่ช่วยให้ตายทันทีโดยไม่ต้องทุกข์ทรมาน มีคนกำลังชักดิ้นชักงออย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน คุณก็เลยช่วยสงเคราะห์ด้วย “คู เดอ กราส” ทำให้เขาพ้นจากความเจ็บปวดทรมาน
ในการต่อสู้กับการตีความยอห์น 1:1 ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมจะใช้สิ่งที่เรียกว่า “ข้อพิสูจน์ที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหล” จากคำลาตินว่า reductio ad absurdum วิธีการนี้บางครั้งจะใช้ในข้อโต้แย้งทางกฎหมาย คำ “reductio” เกี่ยวโยงกับคำภาษาอังกฤษว่า “การลดทอนลง”[98] คำว่า “ad” หมายถึง “ไปสู่” และ “absurdum” หมายถึง “เหลวไหล น่าหัวเราะ” วิธีการนี้ทำอย่างไร? คุณก็จะพูดกับฝ่ายตรงข้ามของคุณว่า “ให้เราเอาข้อโต้แย้งอย่างที่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น และทำตามหลักเหตุผลของคุณไปจนถึงข้อสรุปสุดท้ายตามหลักเหตุผลนั้น” แล้วคุณจึงแสดงให้พวกเขาเห็นว่าข้อสรุปตามหลักเหตุผลของเขานั้นเป็นเรื่องเหลวไหล หรือไม่ใช่ข้อสรุปอย่างที่เขาอยากให้เป็น นั่นเป็นการลดทอนหลักเหตุผลของเขาให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหล
การตามเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพและหลักฐานที่ว่า พระวาทะ[99]คืออีกพระองค์หนึ่งที่เป็นพระเจ้านั้น ผมก็สามารถแสดงให้เห็นข้อพิสูจน์ที่เป็นเรื่องเหลวไหลได้ว่าไม่ได้มีแค่อีกบุคคลหนึ่งที่รวมอยู่ในพระเจ้าแต่มีได้ถึงสี่หรือห้า
ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีกลวิธีสองอย่าง อย่างแรกก็คือ จะต้องถ่ายทอดความคิดว่า “” ในยอห์น 1:1 เป็นบุคคล อย่างที่สองคือบุคคลผู้นี้เป็นคนละคนกับพระเจ้าซึ่งก็คือพระยาห์เวห์ แต่เดี๋ยวก่อน! พระเจ้าเป็นใคร? คุณเพิ่งจะสับเปลี่ยนความหมายของพระเจ้านี่!
มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นคือพระยาห์เวห์ ถ้าคำกล่าวของยอห์นอ่านเป็นว่า “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะเกี่ยวข้องกับพระยาห์เวห์ และพระวาทะคือพระยาห์เวห์” เราก็คงเข้าใจตรงกับสิ่งที่ยอห์นหมายถึงและไม่ได้ให้ความหมายที่คลุมเครือกับพระยาห์เวห์ ท่อนสุดท้าย “พระวาทะคือพระยาห์เวห์” ที่ยังคงความถูกต้องเมื่ออ่านด้วยความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่การอ่านแบบนี้เป็นเรื่องถึงเป็นถึงตายกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ดังนั้นคุณจะทำให้พระวาทะ (หรือพระคำ) กลายมาเป็นพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพได้อย่างไรในเมื่อไม่มีการกล่าวถึงบุคคลใดๆเลย? ยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีที่ไหนเลยที่พระเยซูถูกเปรียบเทียบกับพระคำ และพระคัมภีร์ตอนนี้ก็ไม่ได้พูดว่า “พระวาทะของพระเจ้า” แต่พูดแค่ว่า “พระวาทะ” แต่เพื่อประโยชน์ของข้อโต้แย้งก็ให้เราบอกว่าพระวาทะของพระเจ้าก็คือพระเจ้า แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
สดุดี 85:10 กล่าวว่า “ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์จะพบกัน ความชอบธรรมและสันติภาพจะจูบกัน”[100] (ฉบับมาตรฐาน 2011) นี่จะเป็นบทกวีหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็นในการโต้แย้งกันตอนนี้ ความชอบธรรมกับสันติสุขจะมาจูบกันได้อย่างไร? มีมนุษย์เท่านั้นที่จะจูบกัน แต่ตรงนี้เราสามารถใส่ความคิดให้เป็นบุคคลได้ถูกต้องตามหลักการอ่านตรงตามคำเขียน การโต้แย้งตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้า (ไม่เหมือนในยอห์น 1:1) ดังนั้นเราจึงไม่ถูกจำกัดด้วยข้อเสนอแนะของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตรงนี้เรากำลังพูดถึงสองบุคคลที่น่าอัศจรรย์คือความชอบธรรมกับสันติสุขที่จูบกันและกัน คุณรับสิ่งนี้ว่าเป็นการเขียนแบบบทกวีหรือแบบตามคำเขียน? ตอนนี้ผมกำลังอ่านแบบตามคำเขียนแม้ว่าการจูบเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในบทกวีด้วย
ถ้าคุณบอกว่าพระวาทะเป็นบุคคล ผมจะโต้แย้งด้วยข้อพิสูจน์ที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหล[101]ตามหลักฐานและหลักเหตุผลของคุณ ถ้าเราใช้ “กับ” ให้หมายความว่าพระวาทะเป็นบุคคลที่หมายถึงพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพ ฉะนั้นความชอบธรรมและสันติสุขก็จะต้องเป็นบุคคลด้วยเช่นกัน เพราะทั้งสองจูบกันและกัน ฮาเลลูยา! ดังนั้นจึงหมายความว่าในการรวมเป็นพระเจ้านั้นเราก็จะมี พระวาทะ พระความชอบธรรม และพระสันติสุข ซึ่งเปรียบได้กับพระคำของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้า และสันติสุขของพระเจ้า เราได้มาอีกสามพระองค์ซึ่งถึงอย่างไรความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์น่าจะยอมรับได้ ตอนนี้เราจึงมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร ตลอดจนพระเจ้าความชอบธรรม พระเจ้าสันติสุข และก็คงมีพระเจ้าความสัตย์ซื่อ และพระเจ้าความรักมั่นคงได้อีก ถ้ามีเวลามากกว่านี้ เราจะสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นหลายพระองค์ที่รวมอยู่ในพระเจ้าได้ ผมทำให้เป็นอย่างนั้นได้ง่ายๆโดยทำตามหลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ และพิสูจน์ให้คุณเห็นว่ามีอีกอย่างน้อยสี่พระองค์ พระองค์หนึ่งคือ “พระเจ้าความรักมั่นคง”[102] และอีกพระองค์หนึ่งคือ “พระเจ้าความสัตย์ซื่อ” “พระเจ้าความรักมั่นคง” เปรียบได้กับ “” (eleos เมตตา) ในขณะที่ “พระเจ้าความสัตย์ซื่อ” เปรียบได้กับ “
” (alētheia ความจริง)
ผมสามารถจะพิสูจน์ตามหลักเหตุผลนี้ให้เห็นอีกสี่พระองค์ที่รวมอยู่ในพระเจ้าที่นอกเหนือจากพระวาทะ เราจะทำให้ดูจาก “ความชอบธรรม” ไม่มีตัวอย่างของ “” ที่อ้างอิงถึงบุคคลแต่มีหลายตัวอย่างของ “ความชอบธรรม” ที่ดูเหมือนจะอ้างถึงบุคคล สดุดี 85:10-13 กล่าวว่า
10ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์จะพบกัน ความชอบธรรมและสันติภาพจะจูบกัน 11ความซื่อสัตย์จะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ 12เออ พระยาห์เวห์จะประทานสิ่งที่ดีๆ และแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเกิดผล 13 ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และทำทางเดินให้ย่างพระบาทของพระองค์ (ฉบับมาตรฐาน 2011)
คำว่า “พบกัน” บอกถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ให้น้ำหนักกับข้อโต้แย้งว่าถ้อยคำเหล่านี้เอ่ยถึงหลายบุคคล เพราะฉะนั้นความเมตตาและความจริงจึงพบกันเช่นเดียวกับบุคคล เมื่อเราดู “ความชอบธรรม” ในข้อ 11 และ 13 จะเห็นว่าความชอบธรรมน่าจะเป็นบุคคลมากยิ่งกว่า “” ในพระคัมภีร์ใหม่เสียอีก
“ความซื่อสัตย์จะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์”
ความชอบธรรมตรงนี้น่าจะต้องเป็นบุคคล เพราะถ้าไม่ใช่บุคคลก็จะไม่สามารถมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ได้ “ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และทำทางเดินให้ย่างพระบาทของพระองค์” ความชอบธรรมในพระคัมภีร์ตอนนี้ทำสิ่งยอดเยี่ยมมากมาย แต่ไม่เคยมีอะไรที่พูดอย่างนี้กับ “” ถ้อยคำเหล่านี้อ้างถึงบุคคลเพราะสิ่งเหล่านี้สามารถทำสิ่งที่บุคคลเท่านั้นสามารถทำได้ แต่ตรงกันข้าม ผมหา “
” ไม่พบเลยสักตัวอย่างในพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ที่หมายความเช่นนี้ ดังนั้นการใช้เหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนี้ ผมจึงขอวางหลักฐานพยานของผมไว้ตรงหน้าคุณและท้าทายให้ใครก็ได้มาหักล้างคำกล่าวของผมด้วยหลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่าความชอบธรรมเป็นบุคคล หรือความชอบธรรมของพระเจ้าเป็นพระองค์หนึ่งที่รวมอยู่ในพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ข้อพิสูจน์ที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหล” กรณีที่ความชอบธรรมของพระเจ้าเป็นพระองค์หนึ่งที่รวมอยู่ในพระเจ้านั้นหนักแน่นยิ่งกว่ากรณีพระวาทะของพระเจ้าที่เป็นพระองค์หนึ่งที่รวมอยู่ในพระเจ้า กรณีแรกสามารถพิสูจน์ได้แต่กรณีหลังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าหลักฐานพยานของผมถูกนำเสนอในศาล มันก็จะชนะโดยไม่ต้องออกแรง
มีข้ออ้างอิงอื่นมากมายเกี่ยวกับความชอบธรรมแต่เราจะดูข้ออ้างอิงเดียวเท่านั้น ข้ออ้างอิงคราวนี้มาจากพระคัมภีร์ใหม่ว่า “เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’” (โรม 1:17)
ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ “สำแดง” หรือ “เปิดเผย” คำนี้ถูกใช้บ่อยๆกับพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เอง คำนี้จะใช้กับคนโดยทั่วไปแต่จะใช้กับพระเจ้าโดยเฉพาะ สิ่งที่ถูกสำแดงก็คือความชอบธรรมของพระเจ้าดังในฟีลิปปี 2 ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูผู้ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นพระเจ้า เราสามารถโต้แย้งว่ารูปเหมือนของพระเจ้าเป็นบุคคลๆหนึ่งซึ่งเป็นจริงในกรณีนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้เป็นพระองค์หนึ่งที่รวมอยู่ในพระเจ้าของตรีเอกานุภาพ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะมีพระเจ้าเพิ่มมากขึ้นในพระเจ้ารวมของตรีเอกานุภาพ และที่มีอยู่ก็มากเกินไปอยู่แล้ว
มีข้ออ้างอิงอื่นๆที่สะดุดตายิ่งกว่า แต่ให้เราจดจ่อกับคำ “สำแดง” ใน 2 เธสะโลนิกา 2:3-8 เราจะเห็นการสำแดงที่ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ จงสังเกตถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้สามแห่ง
3อย่าให้ใครล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการกบฏเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัว คือลูกแห่งความพินาศ 4ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้ทุกสิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นพระ หรือสิ่งที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็จะนั่งในพระวิหารของพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า 5พวกท่านจำไม่ได้หรือว่าเมื่อยังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้แล้ว? 6และท่านก็รู้จักสิ่งนั้นที่กำลังยับยั้งมันไว้ในขณะนี้ เพื่อมันจะปรากฏออกมาได้ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน 7เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว แต่ผู้ที่คอยยับยั้งมันเดี๋ยวนี้นั้นจะยังอยู่จนถูกปลดออกไปให้พ้น 8ขณะนั้นคนนอกกฎหมายก็จะปรากฏตัวขึ้น และพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการเสด็จมาอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ (2 เธสะโลนิกา 2:3-8 ฉบับมาตรฐาน 2011)[103]
ในถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ เราจะเห็นว่าคนนอกกฎหมายจะปรากฏตัว (ข้อ 3) เมื่อถึงเวลา (ข้อ 6) และมันจะถูกพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าประหาร (ข้อ 8) คำ “ปรากฏตัว” ตรงนี้เป็นคำเดียวกับ “สำแดงออก” ในโรม 1:17 ผมสามารถพิสูจน์ให้ดูจากหลักในการตีความที่หนักแน่นกว่าว่าสามารถจะกล่าวอ้างความชอบธรรมของพระเจ้าให้เป็นบุคคลๆหนึ่งได้มากกว่าจะกล่าวอ้างพระวาทะในยอห์น 1:1 ว่าเป็นบุคคลๆหนึ่งเสียอีก นี่คือวิธีการหักล้างข้อพิสูจน์ที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหล
คุณสามารถทำเช่นเดียวกันกับ “สันติสุข” และพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบุคคลๆหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อคำกริยาหลายคำอธิบายสิ่งที่สันติสุขทำ ตัวอย่างเช่น สันติสุขสามารถคุ้มครองจิตใจของคุณได้ “แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟีลิปปี 4:7) การคุ้มครองป้องกันเป็นสิ่งที่ทหารทำ คำกรีกว่า “คุ้มครอง” ตรงนี้ยังใช้ใน 2 โครินธ์ 11:32 ที่ทหารกำลังทำหน้าที่ “เฝ้าไว้”[104]
โคโลสี 3:15 กล่าวว่าสันติสุขครองใจของเรา “จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองใจท่าน เพราะพระเจ้าทรงเรียกท่านมาเป็นอวัยวะของกายเดียวกัน เพื่อท่านจะได้รับสันติสุขนี้ และจงมีใจขอบพระคุณ” (ฉบับอมตร่วมสมัย) คำว่า “ครอง” มักจะใช้กับกษัตริย์หรือผู้ครองเมือง ดังนั้นสันติสุขของพระเจ้าจึงกำลังทำสิ่งที่มีอานุภาพเมื่อมันคุ้มครองหรือครองใจของคุณ
ผมสามารถทำให้เห็นว่าแนวคิดอื่นๆที่นอกเหนือจากสันติสุขหรือความชอบธรรมนั้นเกี่ยวข้องกับกริยาที่แสดงถึงแนวคิดเหล่านั้นในแง่ของบุคคลต่างๆหรือกิจกรรมของมนุษย์ วิธีนี้คุณยังสามารถยกฤทธานุภาพของพระเจ้าให้เป็นพระเจ้าได้เพราะว่ามันใช้กับคำกริยาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆหรือกิจกรรมของมนุษย์
ผมสามารถโค่นมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพในยอห์น 1:1 ลงและทำให้ทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหลได้ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย ดังนั้นผลสุดท้ายแล้วการใช้หลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะทำให้เรามีหก เจ็ด หรือ แปดพระองค์รวมอยู่ในพระเจ้า ทั้งหมดนี้ใช้หลักของการตีความที่หนักแน่นที่แนะนำโดยหลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่การตีความนั้นจะล้มเหลวหากเราไม่ทำตามหลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือจะไม่มีเรื่องเหลวไหลหรือปัญหาเช่นนั้นกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวอย่างแท้จริง
หากคุณคิดในแง่หลักเหตุผลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ คุณก็จะพบจุดจบ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะเจอกับความตายอย่างเฉียบพลันด้วยการช่วยสงเคราะห์ให้ตายทันที[105] พระคำของพระเจ้าเป็นดาบที่น่ากลัวที่จะเฉือนความเชื่อผิดๆออกเป็นชิ้นๆ นี่ผมยังไม่ได้ชักดาบแห่งพระวิญญาณคือดาบแห่งพระคำของพระเจ้าออกมาต่อต้านความเชื่อในตรีเอกานุภาพเลย ผมไม่มีความตั้งใจใดๆที่จะดูหมิ่นพวกเขา ผมแค่ต้องการแสดงให้คุณเห็นสิ่งที่ดาบนี้สามารถทำได้ มันทำลายล้างอย่างแท้จริง ไม่มีใครจะสามารถยืนต้านมันได้เพราะมันจะเฉือนข้อพิสูจน์ทุกข้อให้เป็นชิ้นๆและถูกฝังกลบอยู่ตรงนั้นเลย ผมหวังว่าคุณจะเห็นอานุภาพของการตีความในเรื่องนี้มากกว่าแค่การสาธิตแบบง่ายๆ และหวังว่าคุณจะเข้าใจความเป็นห่วงของผมที่จะมีบางคนสืบทอดงานนี้ต่อและฝึกใช้ดาบนี้ ที่จะใช้มันตามจุดประสงค์ที่มีไว้ให้ จนเมื่อไม่มีศัตรูของความจริงจะสามารถยืนต้านมันได้
[1] หรือ “ศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้า” หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า” (Theology) -ผู้แปล
[2] Theology proper หรือ “ศาสตร์เกี่ยวกับพระบิดา” (Paterology) -ผู้แปล
[3] Christology หรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์” (ผู้แปล)
[4] Theology improper
[5] Elohim หมายถึง “พระเจ้า” เป็นคำฮีบรูคำเดียวกับ “พระ หรือ เจ้า หรือผู้ครอง หรือเทพ หรือทูตสวรรค์ เป็นต้น” เช่นใน ผู้วินิจฉัย 8:33 “คนอิสราเอลก็หันกลับไปเล่นชู้กับพระบาอัลทั้งหลาย ถือว่าบาอัลเบรีทเป็นพระของเขาทั้งหลาย” (ผู้แปล)
[6] Theos แปลว่า “พระเจ้า” เป็นคำกรีกคำเดียวกันกับ “พระ หรือ เจ้า” เช่น 2 โครินธ์ 4:4 “พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป” หรือใน 1 โครินธ์ 8:5 “ถึงแม้จะมีสิ่งต่างๆในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ที่เขาเรียกว่าพระ ก็เป็นเหมือนมีพระมากและเจ้ามาก” (ผู้แปล)
[7] Exegesis
[8] หรือ ตีความเกินจากที่มีในตัวบท
[9] หรือตีความเกินจากที่มีโดยเอาความคิดหรือคำสอนของคุณเองใส่เข้าไปในตัวบทนั้น
[10] ปัจจุบันมีโปรแกรมไบเบิ้ลเวิร์คถึงชุดที่ 9 (ผู้แปล)
[11] อ่านว่า yēhéhuá (耶和華)
[12] Jehovah (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ 1971 ใช้ “เยโฮวาห์” ฉบับมาตรฐาน 2011 ใช้ “ยาห์เวห์”) - ผู้แปล
[13] อ่านว่า Yàwěi (จาก 亞洲的亞, 偉大的偉)
[14] อ่านว่า Yǎwēi
[15] อ่านว่า yǎ
[16] อ่านว่า wényǎ หมายถึง “สง่า” (ผู้แปล)
[17] อ่านว่า wēi
[18] อ่านว่า guǐ
[19] ไม่อ่านว่า “หย่าเหว่ย” เพราะถ้าคำสองคำที่มีเสียงเดียวกันมาอยู่คู่กัน คำแรกต้องเป็นเสียงจัตวาคือ “หยา” จึงเป็น “หยาเหว่ย” (ผู้แปล)
[20] Yēhéhuá Yǎwěi (เยโฮวาห์ ยาห์เวห์)
[21] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลทุกคำที่ปรากฏพระนาม “พระยาห์เวห์” ตรงตามต้นฉบับเดิมภาษาฮีบรูซึ่งไม่ปรากฏในฉบับภาษากรีก หรือ ฉบับภาษาอังกฤษ (ยกเว้นหนึ่งหรือสองฉบับ) ที่แปลจากภาษากรีก (ผู้แปล)
[22] แปลตามพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษจะแปลตามพระคัมภีร์เดิมฉบับเซปทัวจินต์ว่า “Thus says the Lord” พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าตรัสว่า” หรือฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสตรัสดังนี้ว่า” หรือฉบับ 1971 แปลว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า” หรือฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า” (ผู้แปล)
[23] 1 ซามูเอล 16:7 แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล
[24] 1 ซามูเอล 16:12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา เขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาดีและรูปร่างงาม และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเจิมเขาไว้เพราะเป็นคนนี้” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล
[25] 1 ซามูเอล 15:26-28 26 และซามูเอลทูลซาอูลว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล” 27 พอซามูเอลหันจะไป ซาอูลก็ยึดชายเสื้อของท่านไว้และเสื้อนั้นก็ขาด 28 และซามูเอลทูลท่านว่า “ในวันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงฉีกราชอาณาจักรอิสราเอลเสียจากท่านแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน 29 ยิ่งกว่านั้นองค์พระสิริแห่งอิสราเอลจะไม่ทรงมุสาหรือเปลี่ยนพระทัย เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นมนุษย์ที่เปลี่ยนใจ” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[26] ยอห์น 14:24 “คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) ผู้แปล
[27] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” (ผู้แปล)
[28] เป็นคำเดียวกันกับ “ยกขึ้น” ในข้อ 19 (ภาษาอังกฤษและภาษากรีกใช้คำเดียวกันคือ “raise” หรือ “”) –ผู้แปล
[29] 17 For this reason the Father loves me, because I lay down my life in order to take it up again. 18 No one takes it from me, but I lay it down of my own accord. I have power to lay it down, and I have power to take it up again. I have received this command from my Father. (NRSV)
[30] หรือ “in order to take it up again”
[31] หรือ “I have power to take it up again”
[32] หรือ “I have received this command from my Father”
[33] labō
[34] labein
[35] Infinitive (กริยารูปปกติ)
[36] elabon (ฉบับภาษาอังกฤษแปลว่า “to take up” เป็นกาลกริยา aorist) -ผู้แปล
[37] Aorist (กาลกริยาในไวยากรณ์) -ผู้แปล
[38] อ่านว่า “ลัมบาโน”
[39] “receive it again”
[40] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตและมีสิทธิที่จะรับชีวิตคืนมาอีก เราได้รับคำบัญชานี้จากพระบิดาของเรา” (ผู้แปล)
[41] Exousian (คำกรีกแปลว่า “เสรีภาพที่จะเลือก สิทธิที่จะทำ หรือ ตัดสินใจ”) พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษจะใช้คำ “power” (ผู้แปล)
[42] “right”
[43] ฉบับภาษาอังกฤษส่วนใหญ่แปลว่า “สิทธิอำนาจ” หรือ “อำนาจ” (ผู้แปล)
[44] “authority”
[45] “take it up again”
[46] “receiving a command” มากกว่าจะเป็น “taking a command” (ผู้แปล)
[47] ฉบับ 1971 “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน” ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “I will raise it again in three days” (ผู้แปล)
[48] ฉบับ 1971 ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “he was raised from the dead” (ผู้แปล)
[49] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระเจ้า” (“เมื่อพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว”) -ผู้แปล
[50] New American Standard Bible
[51] ในพระคัมภีร์ภาษาไทยจะไม่เห็นความแตกต่างเพราะใช้คำเหมือนกันว่า “พระองค์” (ผู้แปล)
[52] ในพระคัมภีร์ภาษาไทยจะไม่เห็นความแตกต่างเพราะใช้คำเหมือนกันว่า “พระองค์” (ผู้แปล)
[53] Becoming a New Person
[54] ฉบับมาตรฐาน 2011 แต่ฉบับ 1971 แปลว่า “พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเกิด’” (ผู้แปล)
[55] อพยพ 3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[56] “the second person, the first person” ในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (ผู้แปล)
[57] ผู้แปลเพิ่มเติม
[58] ผู้แปลเพิ่มเติม
[59] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า” ฉบับไทยคิงเจมส์ แปลว่า “พระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพของพระเจ้า”
ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ผู้ทรงสภาพ*พระเจ้า” (หรือ *เป็นเหมือน*พระเจ้า) -ผู้แปล
[60] พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลว่า “ทรงสภาพ” (ฉบับ 1971 และฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) หรือ “ทรงอยู่ในสภาพของพระเจ้า” (ฉบับไทยคิงเจมส์) หรือ “ทรงสภาพเป็นพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[61] morphē
[62] หรือ “ในสภาพ”
[63] หรือ “รับสภาพ”
[64] “เมททะมอร์โฟซิส”
[65] “เมททะ”
[66] “มอร์โฟซิส”
[67] harpagmos
[68] Complete Jewish Bible
[69] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้”
[70] “emptied himself” พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับอมตธรรมร่วมสมัย แปลคล้ายกันว่า “แต่ทรงสละพระองค์เองและมารับสภาพทาส” ส่วนฉบับไทยคิงเจมส์แปลฟีลิปปี 2:7 ว่า “แต่ได้ทรงกระทำพระองค์เองให้ไม่มีชื่อเสียงใดๆ และทรงรับสภาพอย่างผู้รับใช้” (ผู้แปล)
[71] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลได้อีกว่า “เป็นเหมือนพระเจ้า” ในคำอธิบายเชิงอรรถ (ผู้แปล)
[72] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “เป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้” และฉบับ 1971 แปลว่า “เป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ” (ผู้แปล)
[73] ฉบับ ESV และ NIV แปลเหมือนกันว่า “made himself nothing” ซึ่งแปลว่า “ทำให้พระองค์เป็นผู้ไม่สำคัญ” (ผู้แปล)
[74] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลได้อีกว่า “เป็นเหมือนทาส” ในคำอธิบายเชิงอรรถ (ผู้แปล)
[75] 6 who, although He existed in the form of God, did not regard equality with God a thing to be grasped, 7 but emptied Himself, taking the form of a bond-servant, and being made in the likeness of men. 8 And being found in appearance as a man, He humbled Himself by becoming obedient to the point of death, even death on a cross. (Philippians 2:6-8, NASB)
[76] “form”
[77] “likeness”
[78] “appearance”
[79] พระฉายาของพระเจ้า
[80] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย, ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลฟีลิปปี 2:5 ว่า “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์”(ผู้แปล)
[81] The United Bible Societies (USB)
[82] “a second person” ในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (ผู้แปล)
[83] หรือ “เพราะคุณจะสามารถพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าได้ก็ต้องพิสูจน์ว่าพระองค์คือพระยาห์เวห์”
[84] “three persons”
[85] ฟิีลิปปี 2:10 “เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่าในสวรรค์ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล
[86] วิวรณ์ 13:15 “ทรงยอมให้มันมีอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปสัตว์นั้น เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นพูดได้ และให้มีอำนาจที่จะกระทำให้บรรดาคนที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้น ถึงแก่ความตายได้” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล
[87] ดาเนียล 3:6 “ผู้ใดไม่กราบนมัสการก็ให้โยนผู้นั้นเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ทันที” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[88] หรือแปลว่า “พระวจนะของพระเจ้า”, “พระวาทะของพระเจ้า”, “พระดำรัสของพระเจ้า” หรือ “คำตรัสของพระเจ้า” (ผู้แปล)
[89] pros
[90] para
[91] Paraklētos (พาราเคลทอส)
[92] ฉบับไทยคิงเจมส์ (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “องค์ที่ปรีกษา” ฉบับ 1971 และฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “องค์ผู้ช่วย”) -ผู้แปล
[93] “peace in relation to God”
[94] ทำหน้าที่เป็นกรรม (accusative) – ผู้แปล
[95] หน้าที่ของคำ (case of the word)
[96] ฉบับมาตรฐาน 2011 ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก NIV คือ "But I, when I am lifted up from the earth, will draw all men to myself” (ผู้แปล)
[97] หรือ “การุณฆาต” (ผู้แปล)
[98] Reduction (หรือแปลว่า “การทำให้เจือจางลง”)
[99] หรือ “พระคำ” (the Word) -ผู้แปล
[100] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย แปลว่า “ความรักและความซื่อสัตย์มาพบกัน ความชอบธรรมและสันติภาพมา จุมพิตกัน” (ผู้แปล)
[101] reductio ad absurdum
[102] “steadfast love” (ในภาษาฮีบรูเป็นคำๆเดียว)
[103] 2 Thessalonians 2:3-8 3 Don’t let anyone deceive you in any way, for that day will not come until the rebellion occurs and the man of lawlessness is revealed, the man doomed to destruction. 4 He will oppose and will exalt himself over everything that is called God or is worshiped, so that he sets himself up in God’s temple, proclaiming himself to be God. 5 Don’t you remember that when I was with you I used to tell you these things? 6 And now you know what is holding him back, so that he may be revealed at the proper time. 7 For the secret power of lawless ness is already at work; but the one who now holds it back will continue to do so till he is taken out of the way. 8 And then the lawless one will be revealed, whom the Lord Jesus will overthrow with the breath of his mouth and destroy by the splendor of his coming. (NIV)
[104] 2 โครินธ์ 11:32 “ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสในนครดามัสกัส ให้ทหารเฝ้านครดามัสกัสไว้ เพื่อจะจับตัวข้าพเจ้า” (ฉบับ 1971)
[105] ด้วย coup de grâce