pdf pic

บทที่ 8

 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

แผนการและความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์

 

การตั้งคำถามถูกวิธี

        ผมขอเสนอแนะสักสองสามอย่างในการถามคำถามของคุณ อย่างแรกคุณคงไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถาม  เพราะการถามอย่างตรึกตรอง  อย่างมีหัวคิด และอย่างมีความหมายนั้นคุณจะต้องรู้เนื้อหาของคุณเป็นอย่างดี ใครที่ฟังคำถามของคุณก็จะรู้ได้ว่าคุณไม่ได้รู้เนื้อหาของคุณจริงๆ  บางคำถามก็เป็นแค่การขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ผมพูดไปแล้ว  หัวใจของคนที่เป็นครูแทบจะฝ่อเมื่อผู้เรียนถามคำถามที่ครูได้ให้คำตอบไปแล้ว

         ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะพูดให้ง่ายและกระจ่างเท่าที่ทำได้ แต่บางครั้งบางประเด็นก็ไม่เป็นที่เข้าใจ  คนที่มีประสบการณ์ในการสอนคงรู้ว่ามันน่าผิดหวังยังไงเมื่อคนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่คุณเพิ่งจะอธิบายไป  ผมพยายามอย่างมากที่จะอธิบายสิ่งต่างๆให้ง่ายโดยไม่พูดสิ่งที่ยากเกินหรือพูดสิ่งที่ลึกซึ้งเกินไป  แต่ก็ดูเหมือนหลายคนจะยังไม่เข้าใจประเด็นเหล่านั้น

         ปัญหามีอยู่ว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ฝังลึกในเรานั้นทำให้ความคิดของเราคลุมเครือ  จิตใจสับสนไปด้วยความคิดที่ผิดๆ และคิดแบบไม่เฉียบคมอีกต่อไป  ผมรู้สภาพนั้นดีเพราะได้ปล้ำสู้กับสิ่งนี้มาสามปี  ไม่มีใครที่ฝังแน่นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพเหมือนอย่างผม  และถ้าคุณอยากจะออกจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพคุณคงต้องฝ่าฟันอย่างหนัก แต่ถ้าคุณไม่สนใจที่จะออกมาก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม เพราะคุณและผมจะต้องตอบกับองค์ผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว  หลังจากที่ผมได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ไปแล้ว ความรับผิดชอบของผมก็สิ้นสุดลง  และก็พ้นจากความรับผิดชอบต่อโลหิตของทุกคน (กิจการ 20:26)[1]

         อย่างที่สองเมื่อคุณถามคำถามก็ให้พยายามค้นหาคำตอบเองด้วย อย่าเอาแต่ถามอย่างเดียวแม้ว่าคุณจะไม่ได้คำตอบแต่อย่างน้อยก็ได้ลองคิดดู  แล้วจึงค่อยมาพูดกับผมว่า “ผมพยายามค้นแล้ว แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ หรือผมยังไม่พอใจกับคำตอบของผม  ช่วยบอกทีว่าผมพลาดตรงไหน?”  แม้ว่าคุณจะไม่ได้คำตอบ  ผมก็ยังชื่นใจที่รู้ว่าอย่างน้อยคุณก็ได้ปล้ำสู้กับมันแทนที่จะโยนมาให้ผม บางทีเนื้อหาอาจยากเกินไปสำหรับคุณก็ได้ หรือทักษะในการตีความของคุณอาจยังไม่เข้าเกณฑ์นั่นก็ยังยอมรับได้ถ้าคุณได้ลงมือพยายามบ้าง  มีบางคนทำอย่างนั้น “คำตอบของผม มีสามอย่างที่เป็นไปได้ ผมไม่รู้ว่าอันไหนถูก หรือว่าอาจไม่ถูกเลยสักอย่าง” นี่อย่างน้อยผมก็เห็นได้ว่าคนนั้นได้พยายามอย่างมากในการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้

         แต่คนส่วนมากไม่เป็นแบบนี้ คือจะโยนคำถามมาให้ผมโดยหวังจะให้ผมเป็นคนหาคำตอบให้ ผมจะเป็นคนหาคำตอบให้หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะสั่งให้ผมทำอะไร ผมไม่ได้กำลังขายพลาสเตอร์ยา[2]ที่ใครจะซื้อผลิตภัณฑ์หรือไม่ซื้อก็ช่าง หน้าที่ของผมที่เป็นผู้รับใช้ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็คือประกาศพระคำของพระเจ้า หลังจากนั้นความรับผิดชอบของผมก็เสร็จสิ้นลง  ผู้ฟังจะทำอะไรกับถ้อยคำเหล่านั้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว  แต่ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของคุณ  ผมต้องดูว่าคุณจริงจังกับเรื่องนั้นแค่ไหน  หากผมเห็นจากคำถามของคุณว่าคุณไม่ได้สนใจที่จะค้นหาคำตอบหรือไม่ได้พยายามที่จะค้นหาคำตอบในเรื่องนั้น ผมก็อาจไม่ตอบคำถามของคุณ  สิ่งสำคัญกับผมก็คือชีวิตในฝ่ายวิญญาณของพวกคุณที่ไปได้ดี  พวกคุณอยากจะรู้ความจริงไหม?

การส่งผลของความเชื่อที่ผิด

         ผมรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นว่าความเชื่อที่ผิดสามารถส่งผลต่อวิธีคิดของคนได้มากแค่ไหนที่เขาไม่สามารถจะมองสิ่งต่างๆจากมุมมองใดได้อีกนอกจากเฉพาะแต่มุมมองของเขาเอง  นี่เป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อคุณไม่สามารถอ่านข้อความพระคัมภีร์ในแบบอื่นได้นอกจากเฉพาะแต่แบบนั้นแบบเดียว  มีหลายตอนในพระคัมภีร์ที่เราเมื่อเชื่อในตรีเอกานุภาพจะตีความอยู่แบบเดียวอย่างเหนียวแน่น  เราไม่เคยหยุดที่จะถามว่า “มีทางอื่นไหมที่จะให้เข้าใจพระคัมภีร์ตอนนี้ได้อีก?”  แต่เมื่อคุณพร้อมจะมองพระคัมภีร์ตอนนั้นจากมุมที่ต่างกัน คุณเองจะต้องประหลาดใจทีเดียวกับคำตอบที่คุณได้รับ

         สิ่งที่เป็นปัญหากับการเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ผ่านมาของผมก็คือ มันกั้นไม่ให้ผมมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เห็น  การมองด้วยกรอบความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้ผมมองไม่เห็นความจริงเพราะผมได้ถูกสอนให้ตีความพระคัมภีร์หลายๆตอนในแบบเดียว

         อีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดที่ผมกล่าวในบทต่างๆนี้เชื่อถือได้ที่สุดในแง่ว่าไม่มีใครจะหักล้างได้บนหลักของพระคัมภีร์  ผมกล้าพูดอย่างนี้และพูดอย่างมั่นใจ  ไม่มีนักวิชาการพระคัมภีร์คนใดในโลกจะสามารถหักล้างคำกล่าวที่เป็นรากฐานสำคัญนี้ได้  สิ่งที่กล่าวไปนั้นเชื่อถือได้ที่สุดและไม่มีทางจะโต้แย้งพระคัมภีร์ได้ ผมไม่กลัวแม้แต่น้อยหากผมต้องเผชิญหน้ากับบรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลาย แม้จะห้าสิบต่อหนึ่งก็ตาม   พวกเขาก็ไม่สามารถล้มล้างสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วได้

         หนังสือที่ผมถืออยู่นี้เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์  นั่นเป็นตัวอย่างของคำกล่าวที่โต้แย้งไม่ได้  ไม่มีใครจะคัดค้านได้เพราะนี่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคุณคิดว่ามีแต่พระคัมภีร์เดิมเท่านั้นหรือที่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์? (คุณอาจไม่ได้คิดถึงพระยาห์เวห์เลย)  แล้วพระคัมภีร์ใหม่ล่ะ?  ถ้าคุณบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่หนังสือของพระยาห์เวห์ คุณก็ควรจะอ่านพระคัมภีร์ใหม่เสียใหม่โดยไม่อ่านด้วยกรอบความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพของคุณ  พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นหนังสือของพระยาห์เวห์

         ผมถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพชักนำให้เข้าใจผิด เพราะผมดื่มความเชื่อนี้เป็นน้ำนมฝ่ายจิตวิญญาณของผม ไม่ใช่เพราะว่าผมเองชื่นชอบในคำสอนนี้แต่เพราะว่าผมถูกกรอกด้วยคำสอนนี้  ผมจะไม่ทำผิดพลาดอีกแล้ว ผมรับประกันได้  คุณรู้ไหมว่าทำไมผมจะไม่ไปผิดทางอีก?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตอนนี้ผมรู้ว่านี่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์  พระยาห์เวห์ได้ประทานพระคำของพระองค์ให้กับผมและผมจะไม่ไปผิดทางอีกต่อไป  ไม่มีใครอยากจะไปผิดทางซ้ำสองหรอก

         คุณจะไม่ไปผิดทางถ้าพระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางและเส้นรอบวงของคุณ คือถ้าคุณรักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของคุณ  และถ้าคุณรักเพื่อนบ้านของคุณ (คนสำคัญสุดคือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นหัวปีของเชื้อสายมนุษย์) เหมือนรักตัวคุณเอง แต่เมื่อพระยาห์เวห์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป คุณก็จะไปผิดทางในทุกเรื่อง  เราไปผิดทางเพราะเหตุนี้

         ผมกล่าวไว้ครั้งก่อนว่า ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้กันพระยาห์เวห์ออกไป  เรามองข้ามพระองค์และอัญเชิญบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เราเรียกว่า “พระเจ้า” ผู้ที่ไม่ต้องการจะอยู่ตรงศูนย์กลางนั้น  พระเยซูไม่เคยประกาศตัวของพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าแต่เราก็ได้ยกพระองค์ให้เป็นพระเจ้า  ประเด็นของผมนี้เชื่อถือได้ที่สุดและไม่มีนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เดิมคนใดจะสามารถคัดค้านได้  พระเยซูไม่เคยอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า ขอให้นักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลายในโลกพยายามพิสูจน์ดูว่าผมผิดในเรื่องนี้  พวกเขาจะไม่สามารถพิสูจน์ได้  พวกเขาจะไม่พยายามอาสาด้วยเพราะพวกเขารู้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ว่าผมผิดในเรื่องนี้ พระเยซูไม่เคยอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า เราต่างหากที่ต้องการทำให้พระองค์เป็นพระเจ้า  เราจึงเดือดร้อนที่พระองค์ไม่ได้พยายามอ้างการเป็นพระเจ้า  พระคัมภีร์ใหม่ไม่เคยให้พระองค์เป็นพระเจ้าแต่เราทำให้พระองค์เป็น

หลักฐานเท็จในการอ้างความเป็นพระเจ้าของพระเยซู

         ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูจากพระคัมภีร์ใหม่ได้ก็คือ พิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระยาห์เวห์  แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น   เพราะตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองไม่ใช่พระองค์แรก

         ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนใช้คำกล่าวว่า “เราเป็น” ทั้งเจ็ดครั้งในพระกิตติคุณยอห์นเป็นหลักฐานว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า  คริสเตียนบางคนไม่รู้มาก่อนว่า “เราเป็น” เป็นชื่อของพระยาห์เวห์ ไม่ใช่ชื่อของพระเยซู  ถ้าพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์” (ซึ่งพระองค์ไม่เคยทำและไม่เคยคิดที่จะทำ)   สิ่งที่พระองค์จะอ้างได้ก็คือพระองค์เป็นพระยาห์เวห์  และถ้านั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการให้เป็น แล้วพวกเขากำลังพยายามจะพิสูจน์อะไรหรือ?  ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมองข้ามความจริงที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” นั้นมีมากกว่าเจ็ดครั้งเสียอีก   เรากำลังอ่านพระคัมภีร์อย่างถูกต้องไหม?

         ในทำนองเดียวกันบางคนก็พยายามจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจากอพยพ 3:14   แต่พวกเขารู้หรือไม่ว่า “เราเป็น” ในอพยพ 3:14[3] กล่าวถึงพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระเยซู?  มีสิ่งเดียวที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะสามารถพิสูจน์จากอพยพ 3:14 หรือจากคำกล่าว “เราเป็น” ทั้งเจ็ดประการ[4]ก็คือว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์  แต่พวกเขาไม่ต้องการจะพิสูจน์เช่นนั้น  เพราะถ้าพระเยซูคือพระยาห์เวห์  พวกเขาก็จะเขยิบใกล้สิ่งที่ผมได้พูดมาตลอดว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ในองค์พระคริสต์  แต่พวกเขาอยากจะพูดอย่างนั้นจริงๆไหม?

         ถ้าคุณยกอ้างตอนจากพระคัมภีร์มาพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ไม่นานคุณจะกลับมาเจอความจริงว่ามันกล่าวถึงพระยาห์เวห์  ถึงตอนนั้นคุณจะมีทางเลือกอยู่สองทาง คือยอมรับว่าพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ในองค์พระคริสต์ หรือยอมรับว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ยอมรับอันหลังเพราะจะทำให้ต้องทิ้งพระเจ้าพระองค์ที่สองไป  ความจริงแล้วไม่มีทางจะพิสูจน์ว่าเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองเพราะว่าทุกข้อความของพระคัมภีร์ใหม่ที่เกี่ยวกับพระเจ้านั้นอ้างถึงพระยาห์เวห์  ไม่ได้อ้างถึงพระเจ้าพระองค์ที่สอง

การกันพระเจ้าออกไป และกันมนุษย์ออกไป

         ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกันพระยาห์เวห์ออกไปและอัญเชิญพระเยซูมาแทนที่พระองค์  พวกเขาเอาข้อต่างๆที่อ้างอิงถึงพระยาห์เวห์มาใช้อ้างอิงถึงพระเยซู แล้วก็อ้างอย่างไร้สติว่าข้อต่างๆนั้นอ้างอิงถึงพระเจ้าพระองค์ที่สอง  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเหล่านั้นมีเหตุผลกันไหม? เมื่อมองย้อนกลับไปผมพูดได้แต่ว่า “ผมโง่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

         เราได้กันพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวออกไปและตั้งพระเจ้าพระองค์ที่สองที่ไม่ได้มีอยู่จริงมาแทนที่พระองค์ คำของผมที่กล่าวนี้เชื่อถือได้ที่สุดและผมก็ไม่กลัวการโต้แย้งจากใคร พระเจ้าพระองค์ที่สองจะมีอยู่ก็แต่ในคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้นและไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์  ขอให้นักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจงพิสูจน์กับผมดูทีว่ามีพระเจ้าพระองค์ที่สอง  พวกเขาทำไม่ได้หรอก  ผมเคยต่อสู้ให้กับฝ่ายพวกเขา ผมจึงรู้จุดยืนของฝ่ายตรงข้าม  แม้ที่ผ่านมาผมจะมีความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นแต่ผมก็ไม่สามารถจะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าพระองค์ที่สอง

         เราไม่ได้กันแต่พระเจ้าออกไปเท่านั้นแต่ยังได้กันมนุษย์ออกไปด้วย  พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้กันพระยาห์เวห์และมนุษย์ออกไปในคราวเดียวกันเพื่อมนุษย์จะเลือนหายไปจากภาพด้วย

         เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่เข้าใจพระคัมภีร์หลายตอน  ผมพยายามปรับพระคัมภีร์ตอนเหล่านั้นให้ใช้ได้และหาอ่านพระคัมภีร์ตอนเหล่านั้นจากคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ต่างๆเพื่อจะได้ความเข้าใจที่กระจ่าง  แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบอะไรที่น่าพอใจ  คุณรู้ไหมว่าทำไม?  เหตุผลมีว่าพระคัมภีร์พูดถึงมนุษย์เยอะมาก  พระคัมภีร์พูดถึงมนุษย์หรือ? คนที่ไม่สำคัญอย่างคุณและผมนี่นะ?  ถูกแล้ว!  พระคัมภีร์มีสิ่งมากมายที่พูดถึงคุณกับผม  แต่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ได้สูบถ่ายไปที่พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ข้อต่างๆที่เกี่ยวกับมนุษย์ได้เปลี่ยนถ่ายไปที่พระคริสต์  ผลก็คือมนุษย์ถูกกันออกไปจากภาพหรือไม่ก็ห้อยอยู่ริมภาพแบบติดแนบลางๆอยู่กับพระคริสต์ด้วยความหวังว่าจะรับสิทธิประโยชน์จากพระองค์บ้าง

         เราได้ปฏิเสธความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าตามพระคัมภีร์และความคิดเกี่ยวกับมนุษย์ตามพระคัมภีร์  ขอให้คุณจำไว้ว่ามนุษย์มีค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า นั่นอาจไม่ใช่คำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแต่มันเป็นคำสอนของพระคัมภีร์  ในคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นมนุษย์ไม่มีค่าอะไร  แม้ว่าเขาจะได้รับอานิสงส์จากพระเยซูบ้างก็ตาม

คุณค่าของพระคริสต์ต่อพระเจ้าในฐานะของมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะของพระเจ้า

          คุณค่าของพระคริสต์ต่อพระเจ้าอยู่ที่การเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  ไม่ใช่ที่การเป็นพระเจ้าของพระองค์  นั่นเป็นอีกคำกล่าวที่เชื่อถือได้ที่สุดตามพระคัมภีร์  ผมขอย้ำอีกครั้งว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วคุณค่าของพระคริสต์ก็คือพระคริสต์ที่เป็นมนุษย์  ถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ก็ไม่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า  คุณค่าทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของพระองค์ในการเป็นรูปเหมือน[5]ที่งดงามของพระเจ้า  คุณต้องการให้พระเยซูเป็นพระเจ้าไหม?  เชิญคุณให้พระองค์เป็นพระเจ้าเถิด  แต่พระองค์จะไม่เป็นพระเจ้าในพระคัมภีร์

          ผมตั้งใจจริงที่จะรักพระเยซูด้วยสุดใจของผมและเหมือนรักตัวผมเองเพราะนั่นเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงรักพระองค์  พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่รัก ทรงเป็นที่รักและหวงแหนของพระเจ้า  แต่คุณทราบไหมว่าในพระคัมภีร์ใหม่เราก็ถูกเรียกว่า “ที่รัก” บ่อยครั้งมากกว่าที่พระคริสต์ทรงถูกเรียกเสียอีก? เรื่องแบบนี้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่บอกให้คุณรู้

         มี​พระ​สุร​เสียงออก​​จากเมฆว่า “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา” (มัทธิว 17:5 ) เราจะคุ้นที่พระเจ้าทรงเรียกพระเยซูว่า “บุตรที่รักของเรา”  แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับ “ที่รัก” ที่คุณอาจไม่รู้  คุณลองค้นคำว่า “ที่รัก” ในศัพท์สัมพันธ์ดูว่ามีปรากฏกี่ครั้งในพระคัมภีร์ คุณจะค้นในศัพท์สัมพันธ์ภาษากรีกหรือศัพท์สัมพันธ์ภาษาอังกฤษก็ได้ แล้วลองนับดูว่าคำนี้กล่าวถึงพระคริสต์กี่ครั้งและกล่าวถึงมนุษย์กี่ครั้ง  คุณสามารถตรวจสอบความจริงได้ด้วยตัวคุณเอง  คำว่า “ที่รัก” มีปรากฏมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  มี 69 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งส่วนใหญ่อ้างอิงถึงคุณและผม  และก็มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่อ้างอิงถึงพระคริสต์  เราคุ้นเคยกับข้ออ้างอิงถึงพระคริสต์แต่เรามองข้ามข้ออ้างอิงมากมายถึงมนุษย์   เราตาบอดกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่ามนุษย์ไม่ได้สำคัญอะไร  จากหลักคำสอนเรื่องความเลวทรามไปหมดนั้น  มนุษย์จึงเป็นคนที่น่าสมเพชและเป็นคนบาปที่เลวทราม  ความเสื่อมลงในฝ่ายวิญญาณกำลังรอคอยการช่วยให้รอดจากขุมนรก

         นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมจึงแปลกใจที่พบว่ามนุษย์ถูกพูดถึงว่าเป็น “ที่รัก”  เกือบเจ็ดสิบครั้ง  เปาโลก็ยังพูดกับคริสตจักรทั้งหลายว่า “ที่รัก” (เช่น โรม 1:7 หรือ 1 เธสะโลนิกา 1:4)[6] นี่เป็นการพูดแค่พอเป็นพิธีไหม?  ไม่ใช่เลย  คุณเป็นที่รักของพระเจ้าอย่างแท้จริง! มนุษย์เป็นที่รักและพระเยซูทรงเป็นที่รักเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์  พระเยซูมักจะอ้างถึงตัวพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์” ซึ่งเป็นคำฮีบรูที่มีความหมายเพียงว่ามนุษย์  คำว่า “พระบุตร” ไม่ได้ให้ความหมายว่าเป็นพระเจ้า  เราจะไม่พบคำเรียก “พระเจ้าพระบุตร” ที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่  เหตุเพราะคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจึงทำให้เราไม่เห็นว่ามนุษย์มีค่าอะไร

     ผมรู้สึกโกรธที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้ผมเสียเวลากว่าค่อนชีวิตในการรับใช้ของผม   แต่ผมขอบคุณพระเจ้าว่าก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไป  พระองค์ทรงกรุณามากที่ทรงนำผมออกมาจากความมืดและเข้ามาในความสว่างของพระองค์  ถ้าผมไม่ได้มีชีวิตอยู่มาถึงเจ็ดสิบปีล่ะจะเป็นอย่างไร?  ผมจะได้เห็นความจริงไหม?  และผมจะยืนอยู่ตรงไหนในวันพิพากษา?  ผมคงถูกพิพากษาพร้อมกับเหล่าคนที่ไม่รู้ความจริง  แถมยังบอดมืดด้วยคำสอนที่กันทั้งพระเจ้าและมนุษย์ออกไป และก็ถูกกล่าวโทษร่วมกับเหล่าคนที่ยกพระเยซูขึ้นเป็นพระเจ้าแม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่เคยบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็ตาม

     ผมใช้เกือบทั้งชีวิตของผมพยายามพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยใช้ทุกข้อความที่จะสามารถขุดค้นได้จากพระคัมภีร์  ตอนนี้เมื่อผมดูข้อเดียวกันนั้นผมก็ถามตัวเองว่า “ผมมัวไปอยู่ที่ไหนมา?”  ผมช่ำชองในการตีความและผมได้ใช้มันพิสูจน์ให้กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งเป็นคำสอนที่ไม่มีทางจะแก้ต่างได้  ผมพยายามอย่างดีที่สุดและทำได้ดีด้วย  มันเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคุณใช้ความช่ำชองของคุณแก้ต่างให้กับความเชื่อที่ผิด  แต่ในตอนนี้ผมสามารถตีกลับข้อความเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ข้อเหล่านั้นจึงตกไปเมื่อผมตรวจสอบจากมุมมองของความจริง

ความรักของพระเจ้าจดจ่ออยู่กับมนุษย์

            ผมตั้งใจจะพูดถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์แม้จะไม่ครอบคลุมได้ทั้งหมดภายในบทนี้  สิ่งที่พิจารณากันจะยืนยันให้เห็นว่าพระเจ้ามองคุณและผมอย่างไร  ให้เราดูโยบ 7:17-18

17มนุษย์​เป็น​ผู้​ใด​เล่า พระ​องค์​จึง​ทรง​ถือ​ว่า​เขา​สำ​คัญ​นัก และ​เป็น​ผู้ที่​พระ​องค์​ใส่​พระ​ทัย  18ทรง​เยี่ยม​เขา​ทุก​เช้า ทรง​ทด​สอบ​เขา​ทุก​ขณะ (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         มนุษย์เป็นใครหนอ?[7]  คำถามนี้มาจากสดุดี 8:4   คำตอบทั่วไปก็คือมนุษย์ไม่สำคัญอะไร   แต่โยบ 7:17-18 กล่าวว่าพระเจ้าทรง​ถือ​ว่า​เขา​สำ​คัญ​นัก  กระทั่งทรง​ใส่​พระ​ทัยที่จะ​เยี่ยมเยียนเขา (หรือ​ทรง​ตรวจ​สอบ​เขา​) ทุก​เช้า

         ในการตีความจากพระคัมภีร์ตอนที่น่าสนใจนี้ สิ่งแรกให้เราสังเกตวิธีการแปลในแบบต่างๆ ของข้อ 18  “ทรงตรวจสอบเขาทุกเช้า”  หรือ “ทรงทดสอบเขาทุกเช้า”  หรือ “ลองดูเขาทุกเช้า[8]”  เนื่องจากมีหลายวิธีที่จะแปลข้อความนี้ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ต้นฉบับภาษาฮีบรู

     ในส่วนแรกของข้อ 18 (“ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า”)  คำฮีบรู “ch8 1'” (พากาด)[9] ที่แปลว่า “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ” สามารถใช้ในความหมายที่ต่างอย่างมากจาก “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ”  ตัวอย่างเช่น คำนี้จะแปลใน 1 ซามูเอล 20:6 ว่า “ขาดไป” (“ถ้าเสด็จพ่อของท่านทรงสังเกตจริงๆว่าข้าพเจ้าขาดไป”) มันหมายความว่ารู้สึกขาดใครบางคนไปหรือเฝ้าคิดถึงใครบางคน จากความหมายที่เป็นไปได้นี้เราจึงสามารถอ่านโยบ 7:18 ว่า “(พระเจ้า) ทรงเฝ้าคิดถึงเขา (มนุษย์) ทุกเช้า”   เมื่อฟังดูแล้วคุณรู้สึกอย่างไร?

     ในต้นฉบับเดิมของโยบ 7:18  (ch8 2) คุณจะเห็นคำ “ch8 3” (paqad “ทดสอบ” หรือ “ตรวจสอบ” ที่ทำเครื่องหมายเป็นเงาไว้)  ในการอ่านภาษาฮีบรูนั้นคุณจำเป็นต้องรู้รากของคำ  สิ่งที่ยากของคำฮีบรูก็คือมักจะมีคำนำหน้าและคำต่อท้าย   คำนำหน้าและคำต่อท้ายของ “ch8 3” ตรงนี้จะเห็นในข้อความที่ทำเครื่องหมายเป็นเงาไว้คือ “ch8 4” ที่คุณเห็นอยู่ตรงกลางก็คือรากของคำ “ch8 3” (paqad)  นี่แหละที่ทำให้ภาษาฮีบรูเรียนยากเพราะคุณจะงงถ้าหากคุณไม่รู้รากของคำนั้น  คำว่า “พากาด” (paqad)  ดูต่างไปเลยเมื่อมีคำนำหน้าและคำต่อท้าย

         พระเจ้าทรงทดสอบมนุษย์ หรือตรวจสอบมนุษย์ หรือเยี่ยมเยียนมนุษย์ “ทุกเช้า” หรือ “ในตอนเช้า” (ch8 5, liḇəqārîm)[10]  เราเพิ่งเห็นใน 1 ซามูเอล 20:6 ว่า “พากาด” (paqad) หมายถึง “ที่ขาดไป” มันจะซึ้งมากกว่าไหมถ้าจะแปลคำกล่าวของโยบว่า “ที่ขาดเขาไปทุกเช้า”? เมื่อคุณตื่นขึ้นและร้องเรียกว่า “ผู้เป็นที่รักของผมอยู่ที่ไหน?” โดยรู้ว่าพระเจ้าทรงเฝ้าคิดถึงคุณทุกเช้า ก่อนที่คุณจะลืมตาของคุณพระองค์ก็ทรงอยู่ตรงนั้นเช่นเคย  ทำไมจึงแปลตรงนี้ว่า “เยี่ยมเขาทุกเช้า” เพราะฟังดูเหมือนว่าพระเจ้าต้องเดินทางมาไกลเพื่อเยี่ยมเราในตอนเช้า?

     คำว่า “พากาด” (paqad) ยังสามารถหมายความว่า “สุขสบาย” หรือ “ทุกข์สุข”   ดังใน 1 ซามูเอล 17:18  “ดู​ว่า​พี่ชาย​ของ​เจ้า​ทุกข์​สุข​อย่าง​ไร แล้ว​รับ​ของ​ฝาก​มา​จาก​พวก​เขา​บ้าง” (ฉบับมาตรฐาน 2011)  เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์มันจะช่วยได้ถ้าคุณหาดูความหมายอื่นที่อาจเป็นได้ของข้อความนั้น อย่าอ่านพระคัมภีร์จากแง่มุมว่าต้องเป็นแบบนั้นได้แบบเดียวหรือจากแง่มุมของการแปล  การแปลอาจขาดจุดละเอียดของข้อความที่ลึกซึ้งและมีความหมาย

         “ดู​ว่า​พี่ชาย​ของ​เจ้า​ทุกข์​สุข​อย่าง​ไร” (1 ซามูเอล 17:18) พี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เขาสุขสบายดีไหม? ทุกเช้าพระเจ้าต้องการจะดูว่าคุณเป็นอย่างไรเพราะพระองค์ทรงคิดถึงคุณ มันน่าสนใจที่พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ[11]แปลคำนี้ว่า “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ” เหมือนกับว่าคุณต้องถูกตรวจสอบทุกเช้า  แต่เราก็เห็นจากข้อความว่าพระเจ้าทรงคิดถึงคุณทุกเช้าและเป็นห่วงความทุกข์สุขของคุณ

         เป็นไปได้ว่าโยบกำลังมองสิ่งต่างๆในทางลบในโยบ 7:17-18 ที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงทดสอบเขา นั่นเป็นความหมายที่เป็นไปได้ของคำนั้น  แต่เมื่อค้นดูพจนานุกรมฮีบรูเล่มไหนก็ได้คุณจะพบความหมายที่อาจเป็นได้หลายอย่างของคำนั้น ผู้แปลต้องเลือกเอาจากหลายๆความหมายนั้น และพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษหลายฉบับก็ได้ตัดสินใจใช้ “ทรงทดสอบเขาทุกเช้า” คำนี้ฟังดูแล้วไม่ได้ทำให้สุขสบายเลยถ้าหากพระเจ้าจะทรงตรวจสอบคุณและทำให้คุณกระดุกกระดิกไม่ได้ทุกเช้า

         หรืออาจจะเป็นว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากจนพระองค์ต้องคอยตรวจสอบข้อบกพร่องของคุณทุกอย่างดังที่คู่สามีภรรยาทำกันตลอดวัน  ซึ่งหมายความว่าโยบที่น่าสงสารไม่มีที่จะหลบได้เลย!  ภรรยาจะว่าสามี “เน็คไทของคุณเบี้ยว ผมของคุณก็ชี้  กินอาหารให้มันดีๆหน่อยได้ไหม?  เอานี่ กระดาษเช็ดปาก” เธอตรวจสอบคุณไม่ใช่แค่ “ทุกเช้า” แต่ทุกขณะ  และสามีก็ทำกับภรรยาอย่างเดียวกัน

     “มนุษย์​เป็น​ผู้​ใด​เล่า พระ​องค์​จึง​ทรง​ถือ​ว่า​เขา​สำ​คัญ​นัก และ​เป็น​ผู้​ที่พระ​องค์​ใส่​พระ​ทัย?”   โยบไม่ได้พูดถึงแต่เฉพาะพระคริสต์แต่พูดถึงมนุษย์โดยทั่วไป  เราตาบอดกับคำกล่าวอย่างตรงๆว่าความรักของพระเจ้าจดจ่ออยู่กับมนุษย์   ขณะเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราจะให้เหตุผลดีๆทุกอย่างกับพระเยซู  และอะไรที่แย่ๆทุกอย่างก็ลงกับพวกเราที่เป็นมนุษย์

         มนุษย์เป็นใครกัน?  เขาเป็นคนที่พระเจ้าคิดถึงและใส่พระทัยด้วย  พระเจ้าทรงใส่พระทัยคุณมาก!  ถ้าคุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ข้อนี้ก็กำลังพูดถึงคุณอยู่!  ผมเคยเชื่อว่าพระเจ้าทรงคิดถึงแต่พระเยซูเป็นส่วนใหญ่และคงใส่พระทัยผมก็เมื่อผมมีความเกี่ยวข้องกับพระเยซูเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่เกี่ยวข้องกับพระเยซู คุณกับผมไม่ได้มีค่าในตัวของเราเอง  แต่ตามในพระคัมภีร์แล้วคุณมีค่ามากและมีคุณค่ากับพระเจ้าโดยไม่ขึ้นกับพระเยซู   ที่จริงพระเยซูผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์ทรงมีคุณค่ากับพระเจ้าก็เพราะคุณ

         ให้เราดูโรม 8:32  เพื่อดูว่าคุณกับผมมีคุณค่าอะไรในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยไม่ขึ้นกับพระเยซู  เป็นได้ไหมว่าคุณมีคุณค่ามากกว่าและยิ่งกว่าพระเยซู?  นั่นเกือบจะเหลือเชื่อ  แต่จงดูข้อที่เราคุ้นเคยนี้ “พระ​องค์​ผู้​ไม่​ทรง​หวง​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​เอง แต่​ประ​ทาน​พระ​บุตร​นั้น​แก่​เรา​ทุก​คน ​พระ​องค์​จะ​ไม่ยิ่งทรงเมตตา​ประ​ทาน​สิ่ง​สาร​พัด​แก่​เรา​พร้อม​กับ​พระ​บุตร​หรือ? (โรม 8:32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

     พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์แต่ได้ประทานพระบุตรแก่เรา และเหมือนว่านั่นยังไม่พอ  พระเจ้าจะทรงประทานสิ่งสารพัดให้เรา “พร้อมกับ” พระบุตรด้วย!  คุณรู้ซึ้งหรือยัง?  เมื่อคุณไตร่ตรองเรื่องนี้คุณนึกถึงอะไรบ้าง? พระคริสต์มีคุณค่าอันดับแรกและเรามีคุณค่ารองลงมาในพระคริสต์หรือ?  คุณกับผมมีคุณค่าแต่เฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับพระคริสต์หรือ?  หรือว่าคุณกับผมมีคุณค่าแม้ว่าจะไม่ขึ้นกับพระคริสต์?

         การที่พระเจ้าทรงให้ความรักกับคุณและผมอย่างมากนั้น เป็นได้ไหมว่าพระองค์ทรงรักเรามากเหมือนที่ทรงรักพระคริสต์?  ถ้าเรามีคุณค่าน้อยกว่าพระบุตรแล้วทำไมพระองค์จึงให้พระบุตรของพระองค์มาไถ่คุณกับผมด้วย?  ประหนึ่งว่าแค่ให้พระบุตรก็ยังไม่พอ  พระองค์จะให้ทุกสิ่งกับเราพร้อมกับพระบุตรด้วย  ถ้าพระเจ้าไม่ได้หวงพระบุตรของพระองค์กับเรา แล้วจะมีอะไรอีกที่พระองค์จะประทานให้เราไม่ได้?

     ผมอยากให้คุณเห็นว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นคุณมีคุณค่าในตัวของคุณเอง  คุณค่าของคุณกับพระเจ้าไม่ขึ้นกับการเกี่ยวโยงกับพระคริสต์ เรามักจะคิดว่าพระเจ้าทรงรักพระคริสต์ แต่คุณสามารถ “เข้าร่วม” ได้อันเนื่องจากความเกี่ยวข้องของคุณกับพระคริสต์  นั่นเป็นวิธีที่เราคิดถึงมนุษย์  แต่เราลืมปฐมกาลไปหรือเปล่า?  พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งหมดเพราะพระองค์ไม่มีอะไรจะทำหรือจึงทรงฆ่าเวลาด้วยการกระดิกนิ้วเล่นอยู่ในสวรรค์และตรัสว่า “เราเบื่อแล้ว เราจะสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและดวงดาวสักหน่อย” เช่นนั้นหรือ?

         ถ้าคุณมีตาที่มองเห็นการสร้างด้วยมิติทางวิญญาณ คุณจะเห็นว่าในวันที่หกนั้นความสนใจทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ที่มนุษย์  จากเรื่องราวในปฐมกาลดูเหมือนว่าพระเจ้าได้เริ่มการสร้างของพระองค์อีกครั้ง  ครั้งนี้ทรงปั้นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ต่างๆด้วยแต่ความแตกต่างที่สำคัญคือว่าพระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไปในจมูกของมนุษย์ แต่ไม่ได้ทรงระบายลมหายใจเข้าไปในจมูกของสัตว์ทั้งหลาย  ลมหายใจไม่ได้มีเพียงเพื่อให้ร่างกายมีชีวิต  เพราะไม่เช่นนั้นพวกสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?  ปฐมกาลไม่เคยบันทึกว่าพระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าในสิงโต หมี หรือสัตว์อื่นๆ  แต่กระนั้นพวกมันก็มีชีวิตอยู่ได้

         เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของพระเจ้านั้นไม่ใช่แค่ให้ชีวิตร่างกาย  พระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไปในมนุษย์และมนุษย์จึงมาเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิต  พระเจ้าทรงปลูกสวนให้มนุษย์และทรงสามัคคีธรรมกับเขาที่นั่น  เมื่อมนุษย์ทำบาปพระเจ้าก็คลุมเขาด้วยหนังสัตว์และลบมลทินให้เขา  พระเจ้าตรัสกับงูด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของมันแหลก (ปฐมกาล 3:15)[12] ที่เปาโลกล่าวถึงในโรม 16:20 “ไม่​ช้า​พระ​เจ้า​แห่ง​สันติ​สุข  จะ​ทรง​ปราบ​ซาตาน​ให้​ยับเยิน​ลง​ใต้​ฝ่า​เท้า​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย”

     เราจำเป็นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งเพื่อเรา หน้าที่ของพระเยซูในแผนการของพระเจ้าก็คือทำให้แผนการที่มีกับมนุษย์นั้นสำเร็จ  ดังนั้นเราดำรงอยู่เพื่อพระเยซูหรือว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่เพื่อเรากันแน่?  คำตอบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือว่าเราดำรงอยู่เพื่อพระเยซู  เราควรจะหาดูคำตอบของพระคัมภีร์  แต่ตอนนี้ผมจะไม่เข้าไปในรายละเอียดนั้น

เราไม่สามารถยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระเยซูได้

          ก่อนที่จะออกจากเรื่องความเชื่อในตรีเอกานุภาพและเข้าเรื่องการอธิบายพระคัมภีร์  ผมอยากจะพูดหนึ่งหรือสองประเด็น  จากที่ได้ถามไปนั้นผมเห็นว่าคริสเตียนบางคนไม่รู้จักที่จะคิด  หรือไม่อยากจะคิดในทางอื่นนอกจากในทางความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  พวกคุณบางคนอาจสรุปแบบนี้ว่า

“เป็นความจริงที่เราไม่ได้ให้บทบาทที่สมควรกับพระยาห์เวห์พระบิดาของเราหรือไม่ได้ให้บทบาทอะไรกับพระองค์เลย  ชื่อของพระยาห์เวห์ไม่มีให้ได้ยินในคริสตจักรและก็ไม่ได้พบในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ ไม่พบแม้แต่ในพระคัมภีร์เดิม  นี่เป็นความจริงที่เราได้ปัดพระยาห์เวห์ออกไปอย่างสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นผมก็เห็นสมควรและยอมอะลุ้มอล่วย ผมจะให้ความสำคัญกับพระยาห์เวห์มากขึ้นในชีวิตของผม  พระยาห์เวห์จะทรงมีบทบาทร่วมกับพระเยซูในชีวิตของผมคือพระยาห์เวห์ 50% พระคริสต์ 50%   ทั้งสองพระองค์จะครองบัลลังก์ชีวิตของผม   ผมจะนมัสการพระยาห์เวห์แต่ผมก็จะนมัสการพระเยซูต่อไปเหมือนก่อน”

“ผมนมัสการพระเยซูมา 20 หรือ 30 ปี (ส่วนของผม 50 ปี)  พระเจ้าทรงดีต่อผมมาตลอด  ช่วงที่ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น พระเจ้าก็ทรงอวยพรผมและไม่เคยสาปผมให้ตาย  ด้านการเงินของผมก็ไปได้ดี  ผมไม่เคยต้องเจ็บหนัก  เพื่อนของผมบางคนเสียชีวิตไปแล้วแต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่  แล้วทำไมผมจึงควรหยุดอธิษฐานกับพระเยซูด้วย?  เงินในบัญชีของผมก็ไม่มีปัญหา  สุขภาพของผมก็ดี  การอธิษฐานกับพระเยซูพระเจ้าของเราก็ดูใช้ได้นี่”

“ผมยอมรับว่าชาวคานาอันได้อธิษฐานขอฝนกับพระบาอัลและฝนก็ตก[13] เป็นความจริงที่พระเจ้าไม่ได้ให้พวกเขาถูกฟ้าผ่าตาย  แม้พระองค์ได้ทรงส่งชนอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะกวาดล้างพวกเขาแต่พระเจ้าไม่ได้ทรงทำแบบนั้นกับเรา  เราอธิษฐานกับพระเยซูและเราก็สมบูรณ์พูนสุขและสุขภาพดี แล้วก็ไม่เคยต้องถูกฟ้าผ่าตาย  แต่ตอนนี้เราจะให้พระยาห์เวห์มีบทบาทมากขึ้น  เราจะอธิษฐานกับพระยาห์เวห์และเราก็จะอธิษฐานกับพระเยซู  แล้วทุกอย่างจะไปได้สวย”

          ปัญหามีว่า คุณกับผมได้นมัสการพระเยซูกันมาตลอดชีวิตของเรา  เราจึงไม่สามารถจะรับความจริงว่าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆได้  ที่บอกว่า “ธรรมดา” นั้นเราหมายถึงอะไร?  ก็หมายถึงพระเยซูเป็นมนุษย์คนหนึ่งและไม่ใช่พระเจ้า ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น  พระองค์อาจเป็นมนุษย์ที่พิเศษแต่ก็ยังเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง  ความเป็นจริงก็คือสำหรับเราแล้วพระเยซูไม่เคยเป็นมนุษย์แท้  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะยอมรับว่าพระเยซูทรงมีร่างกายของมนุษย์ คือกายเนื้อหนังเหมือนของคุณและของผม  แต่ข้างในกายนั้นเป็นพระเจ้าพระบุตรที่ประทับอยู่ที่ไม่ใช่มนุษย์        นั่นเป็นการกำหนดขึ้นของผู้เชื่อแบบอธานาเซียสหรือแบบตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ของศาสนศาสตร์ว่าเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์ตามแบบอเล็กซานเดรีย[14]ที่ได้ชัยชนะในการประชุมแห่งไนเซียและหลังจากนั้นมา

          เราไม่เคยคิดจริงๆว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์  เมื่อผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพพูดว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์จริงๆนั้นพวกเขาไม่ได้หมายความว่าพระเยซูทรงมีร่างกายมนุษย์เหมือนอย่างของเรา  ถ้าคุณตอกตะปูตรึงพระกายของพระองค์กับกางเขน โลหิตก็จะไหลออกมา  แต่ผู้ที่ถูกตรึงจริงๆก็คือพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็น “พระเจ้าที่ถูกตรึงบนกางเขน” ตามที่มอลท์มานน์[15]กล่าวไว้  ตามคำสอนของความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา พระองค์จะไม่มีทางเป็นเหมือนหนึ่งในพวกเราจริงๆตามข้อกำหนดที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อ้างถึงพระองค์  ตามหลักข้อเชื่ออธานาเซียสนั้นวิญญาณมนุษย์ที่สัพพัญญูของพระองค์ได้ถูกแทนที่โดยพระเจ้าพระบุตร  ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ในตอนที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี

          ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูไม่เคยเป็นมนุษย์ที่แท้จริง  ที่พระเยซูทรงถูกทดลองเหมือนกับเราทุกประการ (ในฮีบรู 4:15)[16] ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเพราะ​ว่า​ความ​ชั่ว​จะ​มา​ล่อ​พระ​เจ้า​ให้​หลง​ไม่ได้ (ยากอบ 1:13)[17]  ถ้าพระเจ้าพระบุตรผู้ที่อยู่ในพระเยซูไม่สามารถจะถูกทดลองได้  แล้วจะเป็นอะไรหรือที่จะสามารถถูกทดลองได้?  พระหัตถ์ของพระองค์หรือ? พระกรของพระองค์หรือ?  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพปฏิเสธพระคัมภีร์เมื่อกล่าวว่าสิ่งที่อยู่ข้างในพระเยซูคือพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์

         พระคัมภีร์พูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์คนที่สอง (1 โครินธ์ 15:47)[18] แต่การกำหนดของพระคัมภีร์เรื่องความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์[19]นี้ไม่อาจเป็นความจริงได้ในความเชื่อตรีเอกานุภาพ เพราะพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์คนแรก ที่จริงก็คือพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นไม่ได้มีแค่ร่างกายของมนุษย์แต่จะต้องมีจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วย  ถ้าไม่ได้มีวิญญาณมนุษย์อยู่ข้างในพระองค์  พระเยซูก็ไม่ใช่มนุษย์  นั่นเป็นสถานการณ์ลำบากที่บรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรในยุคแรกๆต้องต่อสู้  เนสโตเรียส[20]บ่งชัดว่าเพราะองค์ประกอบภายในที่มีร่างกายของมนุษย์แต่ไม่มีวิญญาณของมนุษย์ พระเยซูจึงไม่ใช่มนุษย์ ผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามเขารู้ว่าเขาพูดถูกแต่พวกเขาไม่สามารถจะหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ได้  มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระเจ้า 100 % และมนุษย์ 100 %  เพราะว่าผลลัพธ์ที่คุณได้ก็คือไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแต่เป็นการรวมสองบุคคลเข้าด้วยกันให้มีอยู่จริงที่ทำอะไรไม่ได้

         ทำไมผมจึงพูดเรื่องทั้งหมดนี้? ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพวกคุณบางคนต้องการจะอะลุ้มอล่วย  ผมกำลังจะบอกพวกคุณว่าการอะลุ้มอล่วยจะไม่ทำให้คุณได้อะไร เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับก็คือไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรือมนุษย์  ในพระคัมภีร์มีบอกว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระยาห์เวห์ แล้วก็ไม่มีผู้ใดที่เรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร”  คุณกำลังกันพระเจ้าพระยาห์เวห์และกันมนุษย์ออกไป  และสุดท้ายคุณก็จะได้คนที่เป็นพระเจ้าก็ไม่ใช่ เป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่  ในเทพนิยายจะมีครึ่งคนครึ่งสัตว์คือมีครึ่งหนึ่งเป็นคนและอีกครึ่งหนึ่งเป็นม้า หรือเช่นนางเงือกที่ครึ่งบนเป็นหญิงสาวและครึ่งล่างเป็นปลา ไม่ได้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  จะเป็นม้าก็ไม่ใช่และจะเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่  จะเป็นปลาก็ไม่ใช่และจะเป็นหญิงสาวก็ไม่ใช่ จะเป็นวัวก็ไม่ใช่และจะเป็นชายหนุ่มก็ไม่ใช่  เรากำลังทำให้พระคริสต์เป็นอะไรหรือ?  ผลที่ออกมาจากทั้งหมดนี้ก็คือเรากันพระยาห์เวห์ออกไปและกันมนุษย์ออกไป

พระเจ้าทรงรักมนุษย์ที่ไม่น่ารัก

          พระเจ้าทรงรักพระเยซูไม่ใช่เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์  ผมไม่ได้กำลังสนับสนุนความคิดของผมเองแต่นำสิ่งที่เห็นในพระคัมภีร์ออกมาให้เราเห็น  สิ่งที่ยิ่งน่าประหลาดใจก็คือพระเจ้าทรงรักพระเยซูก็เพราะว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับมนุษย์ที่น่ารักเลย! แต่กระนั้นพระเจ้าก็ทรงรักเราที่ไม่น่ารัก  พระองค์ทรงรักชนอิสราเอลและยังตรัสว่า “คน​อิสราเอล​เป็น​บุตร​หัวปี​ของ​เรา”[21]​ (อพยพ 4:22  ฉบับ 1971)

          การได้อยู่ในอิสราเอลเป็นเวลาหลายเดือน ผมจึงรู้ว่าคนยิวจัดอยู่ในกลุ่มคนที่รักได้ยากที่สุดในโลก  คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไรถ้าคุณใช้ชีวิตในหมู่พวกเขา  บางครั้งผมยังสงสัยเลยว่าทำไมพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกที่จะรักคนเหล่านี้ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกับคนยิว  ปกติแล้วผมเข้ากับพวกเขาได้ดีแต่คุณจะต้องมีใจกว้างมากที่จะให้อภัย

     เหตุอะไรหรือที่ทำให้รักคนยิวได้ยาก?  มีใครเคยถามคนเยอรมันโดยเฉพาะพวกนาซีไหมว่าทำไมจึงฆ่าชาวยิวหกล้านคนด้วยการบ่มแก๊สและด้วยวิธีอื่นๆ?  มีใครเคยอยากถามไหมว่าอะไรเป็นมูลรากของการไม่ชอบชาวยิว?[22]  เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะถูกเกลียดชังอย่างมากจากคนเยอรมันทั้งชาติทั้งๆที่พวกเขาก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วอายุและก็พูดภาษาเยอรมันเหมือนกับคนเยอรมัน?  นั่นเป็นเพราะชาวเยอรมันมีความวิปริตทางจิตหรือ?  พวกชาวยิวถูกเกลียดชังโดยไม่มีสาเหตุหรือ?  คุณลองอาศัยอยู่ในอิสราเอลดูสักพักก็จะพบคำตอบ

     ผมเกือบไม่ได้เข้ามาศึกษาในอิสราเอลเมื่อพวกเขาโกรธผมตอนที่ผมกำลังต่อวีซ่า    เจ้าหน้าที่แผนกวีซ่าพูดกับผมว่า “คนจีนคงจะมีเป็นล้านๆ และล้านๆสินะ” ผมตอบว่าใช่ แล้วเขาก็พูดว่า “คุณรู้ไหมว่ามีคนยิวจำนวนเท่าไหร่?  ก็แค่ไม่กี่ล้านหรอก แต่พวกเรามีอยู่ทุกที่ทุกแห่งในโลกนี้  แล้วคนจีนล่ะอยู่ที่ไหนกันมั่ง?”  ผมพูดอยู่ในใจขณะยืนอยู่ว่า “คนนี้ตาบอดไหมนี่?”  เขาจงใจพูดให้คนรำคาญ  เขามีปัญหาอะไรหรือ?  คนอื่นไม่เป็นธรรมกับเขาหรือ?  เขาเป็นคนมีปมด้อยหรือ?  คนจีนก็มีอยู่ทุกที่เช่นกันแต่ผมไม่อยากจะพูด  ผมมองเขาแล้วก็เดินออกไป  ผมไม่อยากจะเสียเวลากับชายคนนี้  เขาคิดว่าพูดอย่างนั้นแล้วจะผูกมิตรกับคุณอย่างนั้นหรือ?  หรือคุณกำลังประทับใจที่มีคนยิวอยู่ในทุกแห่งหนหรือ?  ท่าทีแบบนี้น่ารำคาญ ดังนั้นคุณจึงต้องมีใจกว้างมากที่จะให้อภัย

     คนเยอรมันส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เรื่องการทำลายล้างชาวยิวเมื่อตอนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น  แต่พวกที่รู้รวมทั้งทหารบางส่วนก็ยินดีร่วมมือ  ผมไม่ทราบว่าในสถานการณ์เหล่านั้นมีใครที่คัดค้านการกำจัดพวกยิวบ้าง?  ถ้าคุณถูกเกลียดชัง  คุณควรต้องถามว่าคุณได้ทำอะไรไหมที่จุดชนวนความเกลียดชังนั้น?

     แต่เมื่อผมตรึกตรองเรื่องนี้ ผมจึงพูดว่า “นี่เป็นคนที่ไม่น่าชอบที่สุด แต่กระนั้นพระเจ้าก็ทรงเลือกคนที่ไม่น่ารักที่จะทรงสำแดงความรักของพระองค์ด้วย”  คนในหลายประเทศนั้นรักได้ง่ายเพราะว่าพวกเขาเป็นคนใจดีและสุภาพอ่อนโยน  เมื่อผมไปเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ผมพูดกับตัวเองว่า “โอ้โห คนพวกนี้ช่างสุภาพดี”  คุณเดินเข้าไปในร้าน พวกเขาก็ทักทายคุณอย่างอบอุ่น  ทุกคนน่ารักและสุภาพ  คุณจะไม่เจอข้อบกพร่องของพวกเขาเลย  ผู้มาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ต่างก็กลับไปด้วยความประทับใจที่ดีๆ

     ผมเป็นเพื่อนกับไม่กี่คนในอิสราเอล มีพันเอกชาวดัทช์ พันตรีชาวฝรั่งเศส  นักวิชาการชาวนอร์เวย์ แต่ไม่มีชาวยิวสักคน พันเอกชาวดัทช์เป็นผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติพักอยู่ข้างบ้านของผมและเราได้มาเป็นเพื่อนกัน ภายหลังผมได้ไปเยี่ยมเขาในฮอลแลนด์  พันตรีชาวฝรั่งเศสพักอยู่ห้องตรงข้ามกับผมและเราก็มาเป็นเพื่อนกัน  ส่วนชาวนอร์เวย์นั้นเขากับผมได้เรียนภาษาฮีบรูด้วยกัน  ยังมีชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เรียนภาษาฮีบรูพร้อมกับผมและต่อมาภายหลังได้มาเป็นศาสตราจารย์สอนภาษาฮีบรู มันกลับเป็นว่าเพื่อนๆที่ผมมีในอิสราเอลนั้นไม่ใช่ชาวยิว  ผมจึงคิดว่า “จะหาเพื่อนชาวยิวได้ที่ไหน?”  ผมไปอิสราเอลเพื่อเรียนภาษาฮีบรูที่นั่นและผมคงจะมีความสุขที่ได้เป็นเพื่อนกับชาวยิว

     ประเด็นของผมก็คือว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกคุณและผมเพราะเราน่ารัก แต่เพราะว่าพระเจ้าทรงยินดีที่จะรักคนที่ไม่น่ารัก  นั่นยากที่จะเข้าใจได้  มีชาติไหนหรือชนชาติไหนที่เป็นเป้าของการถูกทำลายล้างถึงขนาดของชาวยิวไหม?  ชาวยิวถูกหมายหัวและไม่ใช่แต่ในเยอรมันเท่านั้น  ในหลายประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ไม่มีใครชอบพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโปแลนด์หรือที่อื่นๆ  ชาวยิวในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่พ้นจากปัญหานี้ คงเป็นเพราะพวกเขาอาจเรียนรู้ที่จะเข้ากับสังคม และคิดได้ว่าไม่จำเป็นที่พวกเขาเองต้องทำตัวให้ใครเกลียด

          พระเจ้าทรงเลือกที่จะรักคุณและผม  พระเยซูตรัสว่า “ข้า​พระ​องค์​อยู่​ใน​พวก​เขา​และ​พระ​องค์​ทรง​อยู่​ใน​ข้า​พระ​องค์ เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน​อย่าง​สม​บูรณ์ เพื่อ​โลก​จะ​ได้​รู้​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ใช้​ข้า​พระ​องค์​มา และ​พระ​องค์​ทรง​รัก​พวก​เขา​เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​รัก​ข้า​พระ​องค์” (ยอห์น 17:23)[23]

     พระเจ้าทรงรักเหล่าสาวกเหมือนที่ทรงรักพระเยซู! คุณเคยเข้าใจในเรื่องนี้ไหม?  นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักคุณและผมมากแค่ไหน!  และพระองค์ทรงรักพระเยซูแค่ไหนหรือ?  คุณอาจตอบว่า “พระเจ้าทรงรักพระเยซูโดยไม่มีขีดจำกัด!” แต่เกณฑ์ความรักของพระเจ้าที่มีกับพระเยซูนั้นก็เป็นเกณฑ์ความรักของพระเจ้าที่มีกับเหล่าสาวก! พระเจ้าทรงรักคุณและผมมากเท่ากับที่พระองค์ทรงรักพระเยซูจริงๆหรือ?  ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็จงค้นคำ “ch8 6(kathōs)[24] ในพจนานุกรมดู  มันแปลว่า “อย่างที่  ในทำนองเดียวกัน ในลักษณะเดียวกัน ในระดับเดียวกัน เท่ากันกับ”

     แนวคิดใหม่ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมองดูมนุษย์นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับหลักคำสอนของความเลวทรามไปหมด  เมื่อพระยาห์เวห์ทรงรักพระเยซู พระยาห์เวห์ก็ทรงรักคุณด้วยในแบบเดียวกัน (ch8 6, kathōs)  ดังนั้นคุณจึงจะซาบซึ้งใจว่าทำไมเราจึงต้องรักพระยาห์เวห์  เรารักพระองค์เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราก่อน

     ถ้าผมทำให้คุณเข้าใจจุดนี้ได้ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับครั้งนี้  พระเจ้าตรัสถึงพระเยซูว่าเป็น “บุตรที่รักของเรา” (มัทธิว 3:17) แต่พระเจ้าทรงรักคุณมากเท่ากับที่พระองค์ทรงรักพระบุตรที่รัก (ch8 7,  agapētos)[25]ของพระองค์

     ในข้อความกรีกจากยอห์น 17:23 คำกล่าว “และพระ​องค์​ทรง​รัก​พวก​เขา​เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​รัก​ข้า​พระ​องค์” คือ “ch8 8”  จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้สองคู่   คำที่ขีดเส้นใต้คู่ที่สอง “(ได้)ทรงรักข้าพระองค์” (“loved me”) นั้นอยู่ในรูปของกาลกริยาที่กระทำแล้ว(Aorist)[26]   ในคำที่ขีดเส้นใต้คู่แรก “(ได้)ทรงรักพวกเขา” (“loved them”)  คำว่า “ch8 9” (“ได้ทรงรัก”) คำเดียวกันก็อยู่ในรูปของกาลกริยาที่กระทำแล้วเหมือนกันซึ่งคราวนี้กำลังกล่าวถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเหล่าสาวก  พูดอีกอย่างว่าพระเยซูตรัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเหล่าสาวกและความรักของพระเจ้าที่มีต่อพระเยซูในประโยคเดียวกัน  รูปแบบของไวยากรณ์อย่างเดียวกันของทั้งสองส่วนนี้ที่เชื่อมด้วยคำ “ch8 6” (kathōs, เหมือนกันกับ ในแบบเดียวกัน) บอกกับเราว่าพระเจ้าทรงรักคุณเหมือนที่พระองค์ทรงรักพระเยซู  ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในอนาคตเท่านั้นแต่ในอดีตด้วย (แต่ Aorist ก็เป็นกาลกริยาที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่อดีต)  พระยาห์เวห์ทรงรักเหล่าสาวกเหมือนที่ทรงรักพระเยซู

เอเฟซัส 1: แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์

         ให้เราสำรวจเอเฟซัสบทที่หนึ่งเพื่อดูการเชื่อมโยงกันนี้   เราจะไม่ครอบคลุมหมดทั้งบทแต่ผมหวังว่าคุณจะอ่านเอเฟซัสในแบบที่คุณอาจไม่เคยอ่านมาก่อน

         เอเฟซัส 1:3 กล่าวว่า “สาธุ​การ​แด่​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา  ผู้​ประ​ทาน​พร​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ​​ทุกอย่างแก่​เรา​ใน​สวรรค​สถาน​โดย​พระ​คริสต์”​[27] พระเจ้าได้ประทานพระพรให้คุณและผมทางพระคริสต์  คุณคุ้นเคยกับคิดอย่างนั้นไหม?  คุณอาจจะคิดว่าพระเจ้าประทานพระพรให้พระคริสต์ แต่เราล่ะพระเจ้าประทานพระพรให้เราไหม? ความจริงมีว่าพระเจ้าได้ทรงส่งพระคริสต์มาเพื่อจะประทานพระพรให้เราไม่ใช่ในแบบที่จำกัด  แต่ “ด้วยพระพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างในสวรรคสถาน”! เปาโลจึงเผยให้เห็นความลึกและความสวยงามของความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา

4..ดังเช่นในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 5พระ​องค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้า​ด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ 6เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆในพระเยซูที่พระองค์ทรงรัก 7ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิดโดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า  8ซึ่งประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญาและความเข้าใจทุกอย่าง 9พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ 10ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์  (เอเฟซัส 1:4-10  ฉบับมาตรฐาน  2011)

          จงสังเกตคำที่พูดซ้ำ “แก่เรา” และ “เรา”  โดยทางพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานพระพรแก่เรา เลือกเรา กำหนดเรา ประทานพระคุณแก่เรา  ทรงยกโทษความผิดบาปของเรา  และทรงเผยความล้ำลึกของพระประสงค์ของพระองค์กับเรา   พระองค์ทรงเลือกเราเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเลือกพระคริสต์

         คุณรู้ไหมว่าคุณดำรงอยู่ก่อน?  มีบางคนถามผมเรื่องการทรงดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์   ตามพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วพระเจ้าได้ทรงเลือกเราในพระคริสต์ตั้งแต่เมื่อไร?  มันเกิดขึ้น “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก”  ยินดีด้วยที่คุณเพิ่งค้นพบว่าคุณดำรงอยู่ก่อน!  ผมชี้ข้อนี้ให้เห็นเพราะว่ามันมักจะถูกยกมาพิสูจน์การดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์  แต่ข้อนี้ไม่ได้กำลังพูดถึงพระคริสต์แต่กำลังพูดถึงการเลือกเราในพระคริสต์   สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นก่อน “การทรงสร้างโลก”  และด้วยจุดประสงค์อะไรหรือ?  จุดประสงค์ก็คือที่เราจะ “บริ​สุทธิ์​และ​ปราศ​จาก​ตำ​หนิ​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระ​องค์”

         ในข้อ 5 “พระ​องค์​ทรง​กำ​หนด​เรา​ไว้​ล่วง​หน้า​ให้​เป็น​บุตร​ของ​พระ​องค์​โดย​ทาง​พระ​เยซู​คริสต์” และนี่ก็ตั้ง​แต่​ก่อน​ทรง​สร้าง​โลก  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อว่าพระยาห์เวห์จะประทานพระพรแก่เราได้ในพระองค์หรือทางพระองค์   พระเจ้าทรงเลือกเราในพระคริสต์และทรงกำหนดเราไว้ “ตาม​​ความชอบ​พระ​ทัย​​ของ​พระ​องค์”[28]  หรือ “ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์”[29]

     นั่นเป็นความชอบพระทัยของพระเจ้าที่จะประทานพระพรให้เรา เลือกเรา และกำหนดเราไว้ล่วงหน้าให้เป็นบุตรของพระองค์ “เพื่อ​เป็น​ที่​ยก​ย่อง​พระ​คุณ​อัน​รุ่ง​โรจน์[30] (ของพระยาห์เวห์)  ​ที่​ทรง​ให้​แก่​เรา​เปล่าๆใน​พระ​เยซูที่​พระ​องค์​ทรง​รัก”​[31]  เราได้เห็นคำ “ที่รัก” (เช่น “บุตรที่รักของเรา” ในมัทธิว 3:17) คำนี้ในต้นฉบับภาษากรีกของเอเฟซัส 1:6 ไม่ได้อยู่ในรูปของคำนามหรือคุณศัพท์แต่อยู่ในรูปของกริยา (“ผู้ที่ทรงรัก”) มักจะถูกแปลในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษให้เป็นคำนาม (“ผู้เป็นที่รัก”)

         เปาโลกล่าวต่อไปว่า (ข้อต่อไปนี้ถูกอ้างอิงอีกพร้อมกับข้อสังเกตในวงเล็บ)

7ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิดโดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) 8ซึ่ง (พระยาห์เวห์) ประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญาและความเข้าใจทุกอย่าง 9พระเจ้า (พระยาห์เวห์) โปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ (พระยาห์เวห์) ตามความชอบพระทัยของพระองค์ (พระยาห์เวห์) ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ 10ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงาน (ของพระเจ้า) สำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์ (ฉบับมาตรฐาน 2011)

       คุณเห็นความรักที่เกินอธิบายของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเราไหม?  เปาโลกล่าวว่าพระยาห์เวห์ “ผู้​ประ​ทาน​พร​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ​ทุก​อย่าง​แก่​เรา​ใน​สวรรค​สถาน​โดย​พระ​คริสต์” (ข้อ 3)  แล้วเปาโลก็แจกแจงพระพรว่ามีอะไรบ้างโดยให้รายการพระพรยาวเหยียด  จากคำยืนยันที่เราได้รับพระพรด้วย “พร​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ​ทุกอย่างใน​สวรรค​สถาน​”  เราเห็นว่าไม่ใช่แต่พระยาห์เวห์จะอวยพรเราในอนาคต แต่พระองค์ยังได้ประทานมรดกฝ่ายวิญญาณให้เราด้วย  คุณรู้ไหมว่าคุณได้รับพระพรมากแค่ไหน?  เมื่อภาระทั้งหลายของโลกกำลังรุมล้อมและบีบคั้นคุณ  ขอให้จำไว้ว่าพระองค์ได้ทรงอวยพรคุณและได้เลือกคุณ

         ตรงนี้เป็นอีกอย่างที่ผมหวังจะให้คุณจดจำไว้ในใจของคุณว่าจริงๆแล้วทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ก็นำมาใช้กับเรา  เมื่อพระเยซูถูกเลือกไว้ เราก็ถูกเลือกไว้ เมื่อพระเยซูเป็นบุตร เราทั้งหลายก็เป็นบุตร

         ก่อนหน้านี้ผมได้ถามว่า  เราดำรงอยู่เพื่อพระคริสต์หรือว่าพระคริสต์ดำรงอยู่เพื่อเรา?  คำตอบในเอเฟซัสบท 1 ก็คือ พระเจ้ากำลังกระทำทุกสิ่งนี้เพื่อเราทางพระเยซูคริสต์  ในแผนการนิรันดร์ของพระเจ้านั้นพระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนที่เราได้รับพระพรของพระเจ้า เช่น การทรงเลือก การถูกรับเป็นบุตร การไถ่ และการยกโทษบาป สิ่งเหล่านี้เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณบางส่วนที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เรา “อย่างเหลือล้น”   คำว่า “อย่างเหลือล้น” หมายถึงว่าพระเจ้าทรงควักเงินจากกระเป๋าของพระองค์ยื่นให้เราอย่างนั้นหรือ?  การประทานให้ “อย่างเหลือล้น” หมายถึงอย่างนี้มากกว่า “เอ้านี่..เราให้หมดกระเป๋าของเรา เอาไปให้หมด เอาไปทั้งปึกเลย!” เมื่อเปาโลกำลังพูดถึงการประทานให้ “อย่างเหลือล้น” ของพระเจ้านั้นเขาไม่ได้กำลังกล่าวถึงพระคริสต์ แต่กำลังกล่าวถึงเราที่เป็นจุดมุ่งหมายของการประทานให้ “อย่างเหลือล้น” นี้

         เปาโลพูดต่อว่า “ซึ่ง​ประ​ทาน​แก่​เรา​อย่าง​เหลือ​ล้น​ด้วย​ปัญ​ญา​และ​ความ​เข้า​ใจ​ทุก​อย่าง  พระ​เจ้า​โปรด​ให้​เรา​รู้​ความ​ล้ำ​ลึก​แห่ง​พระ​ประ​สงค์​ของ​พระ​องค์​ตาม​ความ​ชอบ​พระ​ทัย​ของ​พระ​องค์​ที่​ทรง​ดำริ​ไว้​แล้ว​ใน​พระ​คริสต์” พระเจ้าทรงเผยความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์กับเราไม่ใช่กับพระคริสต์แม้ว่าพระคริสต์จะเป็นเครื่องมือหรือตัวแทนที่พระเจ้าทรงนำพระพรทุกอย่างมาถึงมนุษย์ เปาโลสรุปโดยบอกว่าทุกอย่างทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกถูกรวบรวมอยู่ในพระคริสต์

      ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  ผมคิดว่าพระคริสต์เป็นจุดศูนย์กลางของพระประสงค์ของพระเจ้าและเราเป็นเพียงส่วนเสริมหรือเพิ่มเติม  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารับการปลูกฝังให้เห็นว่าเป็น “พระเยซูคริสต์”  แต่ถ้าเราดูคำที่อ้างอิงซ้ำๆของเปาโลว่า “เรา” และ “แก่เรา” คุณจะเริ่มเห็นสิ่งที่ต่างกัน

ตั้งแต่แรกสร้างโลก

       คำว่า “ก่อนทรงสร้างโลก” นั้นไม่ได้มีเฉพาะแต่เอเฟซัส 1:4  เพราะมีข้อพระคัมภีร์อื่นที่พูดถึงการที่เราถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก   ความจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้คุณชอบใจกับการดำรงอยู่ก่อนของคุณ   พระเยซูตรัสว่า

ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา  จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลาย​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง​โลก”  (มัทธิว 25:34  ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ถ้อยคำจากอุปมาแกะกับแพะบอกว่าอาณาจักรนี้ได้เตรียมไว้สำหรับใคร? เตรียมไว้สำหรับพระเยซูหรือ?  ไม่ใช่เลย พระเยซูเองที่ตรัสว่า “เตรียม​ไว้​สำ​หรับ​ท่าน”  พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะรวมคุณอยู่ด้วยในอาณาจักรของพระองค์  อาณาจักรถูก “เตรียมไว้สำหรับท่าน”  จะมีประโยชน์อะไรหรือถ้าอาณาจักรหนึ่งๆนั้นไม่มีพระมหากษัตริย์หรือประชาชน?  อะไรมีความสำคัญกับอาณาจักรมากกว่ากันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน?   การที่จะมีพระมหากษัตริย์แต่ไม่มีประชาชนก็ไม่มีประโยชน์  แต่ถ้าคุณมีประชาชนคุณก็ต้องการพระมหากษัตริย์ที่จะปกครองพวกเขา  พระมหากษัตริย์มีไว้เพื่อประชาชนหรือว่าประชาชนมีไว้เพื่อพระมหากษัตริย์?  ผมจะกลับมาที่คำถามนี้  ตอนนี้ผมแค่จะเน้นย้ำ “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก”

         ถ้อยคำนี้ถูกใช้ในวิวรณ์ 13:8 “และ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก​จะ​บูชา​สัตว์​ร้าย​นั้น คือ​คน​ที่​ไม่​มี​ชื่อ​จด​ไว้​ใน​หนัง​สือ​แห่ง​ชีวิตของ​พระ​เมษ​โป​ดก​ผู้​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง​โลก (ฉบับมาตรฐาน 2011)

          คนเหล่านั้นที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตจะพินาศ  ชื่อของคุณถูกจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตเมื่อไร?  เมื่อวานนี้หรือ? วันที่คุณเกิดหรือ? วันที่คุณรับบัพติศมาหรือ?  อันที่จริงชื่อของคุณถูกจดไว้ “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก”  ตอนนี้คุณเชื่อมั่นเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของคุณหรือยัง?

         มีคำถามหลายคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู แต่ทำไมคุณจึงหยุดที่การดำรงอยู่ก่อนของพระองค์เล่า?  พระเยซูจะทรงดำรงอยู่ก่อนถ้าคุณดำรงอยู่ก่อน  แต่ผมขอเตือนคุณว่าถ้าคุณบอกว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนและมวลมนุษย์ที่เหลือไม่ได้ดำรงอยู่ก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นพระเยซูก็ไม่ใช่มนุษย์  คุณต้องเลือกเอา  ถ้าคุณต้องการจะนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่คุณเลือกเอง เพราะในวันนั้นคุณจะไม่ได้ตอบกับผมแต่จะตอบกับพระเจ้า

     เปาโลกล่าวใน 2 ทิโมธี 1:9 ว่า ​พระ​คุณ​ได้ประ​ทาน​แก่​เรา​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย” (ฉบับอีเอสวี)[32] หรือ “ตั้งแต่นิรันดร์กาล” (ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด)[33] หรือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของกาลเวลา” (ฉบับเอ็นไอวี)[34] หรือ “ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา” (ฉบับนิวคิงเจมส์)[35]  มาถึงตอนนี้คุณควรมั่นใจในการดำรงอยู่ก่อนของตัวคุณเอง  ไม่เช่นนั้นพระคุณจะประทานให้กับคุณ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย” ได้อย่างไรถ้าคุณไม่ได้ดำรงอยู่ตั้งแต่เวลานั้น?  หรือว่าเปาโลกำลังแค่พูดว่าในการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้านั้นพระองค์ทรงมีแผนการไว้นานมาแล้วที่จะประทานพระคุณนี้ให้คุณก่อนจะเริ่มยุคสมัยเสียอีก ก่อนที่คุณจะดำรงอยู่จริงเสียอีก?  อันไหนถูกกันแน่?  ให้จำไว้ว่าอะไรที่เป็นความจริงกับคุณก็เป็นความจริงกับพระคริสต์ด้วย เพราะเป็นหลักการอย่างเดียวกันของพระคัมภีร์และการตีความ  ตอนนี้คุณจะบอกไหมว่าคุณดำรงอยู่ก่อนด้วยพระคุณที่ประทานให้กับคุณ “ch8 11[36] ซึ่งก็คือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของกาลเวลา” หรือ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย”?

     ข้อต่อมากล่าวว่า “และ​บัด​นี้​ทรง​สำ​แดง​ให้​ประ​จักษ์ โดย​การ​เสด็จ​มา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​ผู้​ช่วย​ให้​รอด​ของ​เรา ผู้​ทรง​ทำลาย​ความ​ตาย​ให้​สูญ​สิ้น และ​ทรง​ทำ​ให้​ชีวิต​และ​สภาพ​อมตะ​ปรา​กฏ​ชัด​โดย​ทาง​ข่าว​ประ​เสริฐ” (ข้อ 10 ฉบับมาตรฐาน 2011) สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดตั้งแต่นิรันดร์กาล[37]นั้นตอนนี้ได้เปิดเผยให้เห็นโดย “ทรง​สำ​แดง​ให้​ประ​จักษ์ โดย​การ​เสด็จ​มา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​ผู้​ช่วย​ให้​รอด​ของ​เรา”  การสำแดงนี้มาถึงเราทางพระคริสต์ซึ่งเป็นตัวแทนที่พระเจ้า “ได้ทรงทำลายความตาย  และทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะมาสู่ความสว่างโดย​ทาง​ข่าว​ประ​เสริฐ”

         1 เปโตร 1:20 กล่าวว่าพระคริสต์ “​ทรง​ถูก​กำ​หนด​ไว้​ก่อน​ทรง​สร้าง​โลก แต่​ทรง​ปรา​กฏ​พระ​องค์​ใน​วาระ​สุด​ท้าย​นี้เพื่อ​พวก​ท่าน”[38]  เปโตรพูดว่า “เพื่อพระคริสต์” หรือ “เพื่อพวกท่าน”?  เปโตรพูดไว้อย่างชัดเจนว่า “เพื่อพวกท่าน” แต่คุณอาจรับเรื่องนี้ได้ยาก   สำหรับเราแล้วทุกสิ่งนั้นไม่ใช่เพื่อพวกเรา  แต่เพื่อพระคริสต์พระบุตรที่รักของพระเจ้า เพราะคุณกับผมไม่สำคัญอะไร  เรามีแนวโน้มที่จะคิดว่าเปโตรเข้าใจตรงนี้ผิด  ดังนั้นเราจึงเอาเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนทรงสร้างโลกที่เปโตรใช้กับเรานั้นมาใช้กับพระคริสต์

          เปาโลกล่าวว่า “เรา​รู้​ว่าทุกๆสิ่ง ​พระ​เจ้า​ทรง​ทำให้​เกิดผล​​ดี  แก่บรรดา​คน​ที่​รัก​พระ​องค์​  คือผู้ที่ได้ทรง​เรียก​ตาม​พระ​ประ​สงค์​ของ​พระ​องค์” (โรม 8:28 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)   ข้อนี้ดูคุ้นกับเรา แต่เรารู้จริงๆหรือเปล่าว่ามันกำลังบอกอะไร?  เปาโลบอกว่า “เรารู้” แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่รู้จริงๆหรอกว่าพระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งในจักรวาลนี้เพื่อทำให้เกิดผลดีแก่..... เปาโลบอกว่าเพื่อให้เกิดผลดีแก่พระคริสต์ไหม?  เราถูกสอนให้เชื่ออย่างนั้น แต่เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าทรงทำให้ทุกๆสิ่งเกิดผลดีกับบรรดาคนที่รักพระองค์  ถ้าคุณอยู่ในบรรดาคนเหล่านี้ที่รักพระเจ้าและถูกเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ก็จงคิดดูว่าพระยาห์เวห์ทรงรักคุณมากเพียงใด  พระองค์ทรงทำให้ทุกๆสิ่งทั่วจักรวาลนี้เกิดผลดีกับคุณในทุกสถานการณ์   ถ้านั่นไม่ได้ทำให้คุณแปลกใจ  คุณก็คงไม่เข้าใจในสิ่งที่เปาโลกำลังพูด

     คุณกำลังเจ็บป่วยอยู่ไหม? คุณกำลังทุกข์ทรมานอยู่ไหม? คุณเจอกับความโชคร้ายอะไรไหม?  คุณเชื่อไหมว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกๆสิ่งทั่วจักรวาลนี้เกิดผลดีกับคุณ?

         ข้อต่อมากล่าวว่า “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว  ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้(กำหนดไว้)[39] ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์  เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” (โรม 8:29 ฉบับ 1971) มันจะมีความหมายอะไรไหมที่จะเรียกใครสักคนว่าบุตรหัวปีถ้าหากเขาไม่ได้มีพี่น้องเลย? บุตรหัวปีหมายความว่ามีคนอื่นๆตามมาอีก  พระเยซูเป็นจุดเริ่มต้น เป็นคนแรกของพี่น้องทั้งหมดในการสร้างใหม่

         ข้อต่อมากล่าวว่า “และ​บรร​ดา​ผู้​ที่​​ทรง​กำ​หนด​ไว้​ก่อน​นั้น พระ​องค์​ทรง​เรียก​ด้วย  บรร​ดา​ผู้​ที่​พระ​องค์​ทรง​เรียก​ พระ​องค์​ก็ทรง​นับว่า​เป็น​ผู้​ชอบ​ธรรมด้วย  บรร​ดา​ผู้​ที่​ทรง​นับว่า​เป็น​ผู้​ชอบ​ธรรม​ พระ​องค์​ก็​ทรง​ให้รับ​พระเกียรติสิริ​ด้วย” (โรม 8:30 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำว่า “รับเกียรติสิริ”(ch8 12) อยู่ในรูปกาลกริยาของอดีตมากกว่ารูปของอนาคตซึ่งหมายความว่าเราได้รับเกียรติสิริแล้ว  แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไรในอดีตที่คุณได้รับเกียรติสิริหรือ? เมื่อวานนี้ไหม? วันที่คุณเกิดไหม?  ความจริงที่น่าอัศจรรย์ก็คือคุณถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก[40](เอเฟซัส 1:4-5)  เหมือนกับที่ชื่อของคุณได้ถูกจดไว้ตั้งแต่แรกสร้างโลก[41] (วิวรณ์ 13:8)  แต่เมื่อการรู้ล่วงหน้ามาก่อนการกำหนดไว้ล่วงหน้าในโรม 8:29  พระเจ้าจึงทรงรู้จักคุณล่วงหน้าก่อนทรงสร้างโลกเช่นกัน

     บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วพระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนด้วย  ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วพระองค์ก็ได้ทรงเรียกมาด้วย  ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นพระองค์ก็ทรงให้เป็นผู้ที่ชอบธรรมด้วย    ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นผู้ที่ชอบธรรมพระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย  พระเจ้าทรงเรียกคุณเมื่อไร?  คุณได้ยินการเรียกตั้งแต่แรกสร้างโลกไหม? แต่ในแผนการของพระเจ้านั้นคุณเป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกเพราะพระเมษโปดกได้ถูกประหารตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก  ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมพระองค์ก็ให้รับพระเกียรติสิริด้วย  คุณคงหวังว่าเปาโลจะพูดถึงเกียรติสิริของคุณโดยใช้รูปอนาคตกาล  แต่ในแผนการนิรันดร์ของพระเจ้านั้นคุณได้รับเกียรติสิริตั้งแต่ก่อนสร้างโลก

         “ตาม​ที่​มี​คำ​เขียน​ไว้​ใน​พระ​คัม​ภีร์​ว่า ‘เรา​ได้​ให้​เจ้า (อับราฮัม) เป็น​บิดา​ของ​ชน​หลาย​ชาติ’ เฉพาะ

พระ​พักตร์​พระ​องค์​ที่​ท่าน​เชื่อ  คือ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​ให้​ชีวิต​แก่​คน​ที่​ตาย​แล้ว และ​ทรง​เรียก​สิ่ง​ที่​ยัง​ไม่​ได้​เกิดให้​มี​ขึ้น” (โรม 4:17 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         พระเจ้าทรงบอกถึงสิ่งที่ยังไม่มีขึ้นเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีขึ้นแล้ว  พระองค์กำลังทำสิ่งนี้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก   นั่นคือเหตุที่พระเจ้าจึงสามารถประทานพระพรให้เรา  กำหนดเราไว้ล่วงหน้า ทรงเรียกเรา และให้เกียรติสิริเราเหมือนว่าเราดำรงอยู่แล้วในเมื่ออันที่จริงเรายังไม่ได้ดำรงอยู่เลย  คุณอยากจะพูดถึงสิ่งนี้ว่าเป็นการดำรงอยู่ก่อนก็ได้

         พระเจ้าทรงกล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่มีขึ้นเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีขึ้นแล้วเพราะว่าพระเจ้าทรงดำเนินการในนิรันดร์กาลที่ไม่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของเวลามากกว่าที่จะดำเนินการในกาลเวลา  เราดำเนินการในกาลเวลาแต่พระเจ้าดำเนินการในนิรันดร์กาลที่ไม่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของเวลา เวลาเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของนิรันดร์กาล  ในพระทัยของพระเจ้านั้นคุณดำรงอยู่ก่อนแล้ว  พระองค์ทรงจดชื่อของคุณในหนังสือแห่งชีวิตก่อนที่คุณจะมีตัวตนอยู่จริงเสียอีก  พระเยซูสามารถตรัสว่า “บัด​นี้​ข้า​แต่​พระ​บิดา ขอ​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ได้​รับ​เกียรติ​ต่อ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์ คือ​เกียรติ​ที่​ข้า​พระ​องค์​มี​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ก่อน​ที่​โลก​นี้​มี​มา[42]” (ยอห์น 17:5 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ในทำนองเดียวกันพระเจ้าก็ทรงรู้จักคุณ ให้เกียรติสิริคุณ  และจดชื่อของคุณในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก

     พระเยซูทรงเข้าใจพระทัยของพระเจ้าในแบบที่คุณกับผมไม่เข้าใจ  เรามักจะไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังตรัส เราตีความเกินจากที่มีในพระคำของพระองค์ ในแผนการของพระเจ้านั้นคุณได้รับเกียรติสิริแล้วในนิรันดร์กาล  ความเข้าใจของเราน้อยนิดที่จะเข้าใจความเป็นจริงนิรันดร์เหล่านี้  พระเจ้าทรงรู้จักคุณและผมตั้งแต่นิรันดร์กาล  พระเจ้ายังทรงรู้ล่วงหน้าว่าเรากำลังศึกษาพระคำของพระองค์อยู่ขณะนี้  พระเจ้าทรงรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงสามารถกระทำให้ทุกสิ่งเกิดผลดีกับเรา  เราไม่สามารถจะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ได้  ในการรู้ล่วงหน้าของพระองค์และพระปัญญาที่สมบูรณ์แบบของพระองค์นั้นพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในวิถีทางที่น่าอัศจรรย์  พระองค์ทรงรู้จักคุณก่อนนานมาแล้วและทรงให้เกียรติสิริกับคุณเพราะความรักของพระองค์ที่มีต่อคุณ

         เราได้เห็นว่าความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดาในพระกิตติคุณยอห์นนั้นรวมคนอื่นด้วย ไม่ได้ผูกขาดอยู่เฉพาะพระองค์   พระเยซูตามพระคัมภีร์ไม่เหมือนกับ “พระเจ้าพระบุตร” ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้ามากกว่าจะเป็นพระเจ้าพระบุตรนั้นทรงเป็นบุตรมนุษย์ผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วย ทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระเยซูก็นำมาใช้กับเราและทุกสิ่งที่นำมาใช้กับเราก็นำมาใช้กับพระเยซู

โคโลสี 1

          เราจะเริ่มที่โคโลสี 1 เฉพาะกับข้อ 12 ถึง 20  คริสเตียนบางคนเห็นว่าบทนี้เข้าใจยาก  มันจะยากก็เมื่อเราอ่านได้ในแบบเดียว  ถ้าคุณอ่านในแบบที่ถูกต้อง โคโลสีก็ไม่ได้เป็นพระคัมภีร์ตอนที่ยากแต่อย่างใด  แต่ถ้าหากคุณอ่านในแบบตรีเอกานุภาพ คุณจะเห็นว่าทุกอย่างในบทนี้กำลังใช้กับพระคริสต์และไม่ได้ใช้กับเรา  นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในหลายตอนที่ผมเคยใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์มาก่อนโดยเฉพาะข้อ 16 และ 17  ผมจะพิจารณาพระคัมภีร์ตอนนี้อย่างย่อๆ เพราะเป็นไปได้ยากที่จะตีความอย่างละเอียดในช่วงสั้นๆนี้   ข้อ 12 และ 13 บอกว่า

12ให้ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้เราทั้งหลายสมกับ[43]ที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิสุทธิชนในความสว่าง 13พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในอาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์.... (โคโลลี 1: 12-13 ฉบับไทยคิงเจมส์)

      เปาโลขอบคุณพระบิดาคือพระยาห์เวห์ที่พระองค์ทรงทำให้ “เราทั้งหลาย” มีคุณสมบัติเหมาะสม เรามักจะคิดว่าพระคัมภีร์ตอนนี้แสดงให้เห็นความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ แต่ตรงนี้เปาโลพูดถึง “เราทั้งหลาย” และไม่ได้พูดถึงพระคริสต์  พระบิดาทรงทำให้เราทั้งหลายสม​กับที่​จะ​เข้า​ส่วน​ได้รับ​มรดก​ด้วย​กัน​กับ​วิสุทธิ​ชน​ใน​ความ​สว่าง  พระ​องค์​ได้ทรง​ช่วย​เรา​ให้​พ้น​จาก​อำ​นาจ​ของ​ความ​มืดและ​ได้ทรง​ย้าย​เรา​มาตั้ง​ไว้​ในอา​ณา​จักร​แห่ง​พระ​บุตร​ที่​รัก​ของ​พระ​องค์  ในภาษากรีก “ที่รัก” อยู่ในรูปของกริยา (“ที่ทรงรัก”)[44] ไม่ได้อยู่ในรูปของคุณศัพท์ (“เป็นที่รัก”[45] อย่างในมัทธิว 3:17 “​เป็นบุตร​ที่​รัก​ของ​เรา”)[46]

         ข้อ 14 และ 15 มีต่อไปว่า “...ใน​พระ​บุตร​นั้น​เรา​ได้​รับ​การ​ไถ่ คือ​การ​ยก​โทษ​จาก​บาป​ทั้ง​หลาย   พระ​คริสต์ทรง​เป็น​พระ​ฉายา​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ไม่​ทรง​ปรา​กฏ​แก่​ตา  ทรง​เป็น​บุตร​หัวปี​เหนือ​ทุก​สิ่ง[47]​ที่​ทรง​สร้าง”(ฉบับมาตรฐาน 2011)

         พระเยซูทรงเป็น “บุตร​หัวปี​เหนือ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​สร้าง”  คำว่า “บุตรหัวปี” ปรากฏในข้อ 18 ด้วย (“บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นมาจากตาย”)[48] เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงทรงเป็นทั้ง “บุตรหัวปีของการทรงสร้าง” และทรงเป็น “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย”  ในการตีความนั้นเรากำลังเห็นการเปรียบกันสองสิ่ง  คือการทรงสร้างและการไถ่ซึ่งเกี่ยวข้องกันที่พระเยซูทรงเป็นบุตรหัวปีของทั้งสองสิ่ง

          ข้อ 16 กล่าวต่อไปว่า

เพราะว่าโดยพระองค์ทุกสิ่งได้รับการทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์แห่งพวกภูตผี หรือพวกภูตผีที่ปกครอง หรือพวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ (โคโลสี 1:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ตอนนี้คุณคงเห็นว่าทำไมผมจึงใช้ข้อนี้แก้ต่างให้กับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์  ผมพูดถึง “แก้ต่าง” เพราะการตีความข้อนี้ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก่อนหน้านี้ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรุกต่อไป   อันที่จริงดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำประกาศสำคัญในอิสยาห์ 44:24

          พระยาห์เวห์ผู้ไถ่ของเจ้า  ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า  “เราคือยาห์เวห์  ผู้​ทรงสร้างทุกสิ่ง 

          ผู้ขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง  ผู้กางแผ่นดินโลกด้วยตัวเอง” (อิสยาห์ 44:24 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งด้วยพระองค์เองโดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือใดๆเลย  ถ้าหากนี่เป็นความจริง  โคโลสี 1:16 ก็ต้องเป็นความเท็จหรือในทางกลับกันก็เป็นความจริง  อย่างหนึ่งอย่างใดจะต้องเป็นความเท็จ เพราะโคโลสี 1:16 กล่าวว่า  ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์ที่เป็นผู้ทำการสร้าง หรือไม่ก็ช่วยในการสร้าง  การแปลความไม่ว่าจะทางไหนโคโลสี 1:16 ก็ขัดแย้งกับอิสยาห์ 44:24 อยู่ดี  อันไหนถูกกันแน่? คุณก็เลือกเอาเอง

         เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็ได้เลือกของผม ผมไม่สนใจอิสยาห์ 44:24 และใช้โคโลสี 1:16 มาเถียงว่าพระคริสต์ทรงสร้างทุกสิ่ง  ผมไม่ทราบวิธีที่จะอ่านโคโลสี 1:16 ในแบบอื่น  แต่ผมขอแนะนำคุณว่ามีวิธีอ่านได้อีกวิธีหนึ่ง  เปาโลไม่ได้หมายถึงวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างแน่นอนเพราะการที่เขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างเคร่งครัดนั้น เขาจะไม่พูดอย่างเด็ดขาดว่ามีผู้อื่นอีกที่มีส่วนร่วมในการทรงสร้างนี้

          ผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่ให้คำอธิบายนี้กับคุณเป็นบางส่วน เช่นคำอธิบายจากฟีลิปปี 2 และโคโลสี 1  ผมจำได้ว่า เจมส์ ดันน์[49]กล่าวว่าข้อความในโคโลสี 1 นั้นควรต้องเข้าใจในแง่ของ “ความเข้าใจพระคริสต์ที่เกี่ยวข้องกับพระปัญญาของพระเจ้า”[50]  สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือพระคัมภีร์ตอนนี้จะต้องเข้าใจตามมุมมองของสุภาษิต  8:30  ที่กล่าวว่าพระปัญญามีส่วนในการสร้างอยู่เคียงข้างพระยาห์เวห์  เหมือนเป็นนายช่างหรือสถาปนิกของพระยาห์เวห์ “ข้าพเจ้า​ก็​อยู่​ข้าง​พระ​องค์​แล้ว​เหมือน​อย่าง​นาย​ช่าง ข้าพเจ้า​เป็น​ความ​ปีติ​ยินดี​ประ​จำ​วัน​ของ​พระ​องค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

     ในกรณีของโคโลสี 1 นั้น  ดันน์ (ผู้ปฏิเสธคำโต้แย้งของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ในพระคัมภีร์ตอนนี้) ได้กล่าวว่าพระบุตรซึ่งก็คือบุตรหัวปีของการทรงสร้างเป็นผู้ทำงานเคียงข้างพระยาห์เวห์เช่นเดียวกับพระปัญญาที่ร่วมในการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนร่วมแบบตรงคำแต่ในแบบคำกวีที่มุ่งหมายเพื่อจะเปรียบพระเยซูกับพระปัญญา

         ผมขอปฏิเสธการตีความแบบนั้น  แต่ดันน์คงจะเห็นด้วยกับคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมแม้ว่าเขาอาจไม่ได้อธิบายแบบเดียวกัน  ผมยังไม่ได้อ่านการอธิบายฟีลิปปี 2   หรือ โคโลสี 1 ของเขา  แต่ผมได้อ่านความคิดเห็นโดยรวมหรือความเข้าใจของเขากับพระคัมภีร์ตอนเหล่านี้ ดันน์กล่าวว่าจะต้องเข้าใจ ฟีลิปปี 2 ในแง่ของ “ความเข้าใจพระคริสต์ที่เกี่ยวข้องกับอาดัม”[51] ซึ่งเป็นคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมด้วย   ฉะนั้นคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมจึงไม่ใช่ต้นแบบ

     มีทางอื่นอีกไหมที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ในโคโลสีตอนนี้?  ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับคำ “ในพระองค์” ว่าเราหมายถึงอะไร (อย่างเช่น “เพราะว่าใน​พระ​องค์​สรรพ​สิ่ง​​ถูก​สร้าง​ขึ้น”)  เปาโลใช้คำ “ในพระองค์” หลายครั้ง  ตรงนี้หมายถึงว่าแผนการและพระประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์เนื่องจากพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเรา  เรารอดและได้รับการไถ่ในพระคริสต์และเราถูกสร้างขึ้นในพระคริสต์  มันไม่ได้หมายความว่าเราถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์แต่ที่เราถูกสร้างเนื่องจากพระคริสต์

         เราเพิ่งเห็นว่า “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง”  และ “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” เป็นคำกล่าวอย่างเดียวกัน “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง”  หมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นคนแรกของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง  แต่พระองค์ก็ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้างด้วย  “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” หมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากความตาย

         ในการตีความพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะหนีความจริงไม่ได้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้าง  แม้ว่าเราจะตีความ “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” ว่าหมายถึงเกียรติที่ให้พระคริสต์ในฐานะของบุตรหัวปี  แต่ความจริงก็คือเปาโลไม่ได้พูดว่าพระเยซูเป็น “เกียรติของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง”  หรือ “เกียรติของการเป็นขึ้นจากตาย”   ความเกี่ยวโยงที่แยกกันไม่ได้ระหว่าง “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” กับ “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” นั้นหมายถึงว่าพระคริสต์ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้าง   เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราได้ต่อสู้กับเรื่องนี้  ผมได้ค้นหาการตีความอื่นๆแต่ในที่สุดผมก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจะเป็นการที่ผมกำลังฝืนให้ “บุตรหัวปี” หมายความอย่างหนึ่งในข้อ 15 และหมายความอีกอย่างหนึ่งในข้อ 18 นั่นจะเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้อง

     ให้เราดูข้อ 16 อีกครั้ง

เพราะ​ว่า​โดย​พระ​องค์[52]​ทุก​สิ่ง​ได้​รับ​การ​ทรง​สร้าง​ขึ้น ทั้ง​สิ่ง​ที่​อยู่​บน​ท้อง​ฟ้า​และ​บน​แผ่น​ดิน​โลก ทั้ง​สิ่ง​ที่​มอง​เห็น​และ​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น ไม่​ว่า​จะ​เป็น​บัล​ลังก์​แห่ง​พวก​ภูต​ผี หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​ปก​ครอง หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​ครอบ​ครอง หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​มี​อำ​นาจ ทุก​สิ่ง​ถูก​สร้าง​ขึ้น​โดย​พระ​องค์​และ​เพื่อ​พระ​องค์ (โคโลสี 1:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         

         ในคำกล่าว “โดยพระองค์และเพื่อพระองค์” นั้น  คำว่า “โดย” คือ  “ch8 13[53] (โดยทาง)   และคำ “เพื่อ” คือ “ch8 14[54] (เข้าใน)  “ch8 13” ในข้อนี้ที่สัมพันธการกซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของ[55]สามารถเป็นการิตการกที่แสดงการเป็นผู้ถูกใช้[56] (“โดยทางพระองค์”)  แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราปฏิเสธที่จะแปลอย่างนั้น ผมได้เช็คภาษากรีกอย่างละเอียดในเรื่องนี้ แต่เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดในเวลาที่จำกัดนี้

          ผมแค่อยากจะฝากให้คิดว่าโคโลสี 1 สามารถเข้าใจได้ต่างจากการแปลความของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและก็ตรงกับพระคัมภีร์มากกว่า เมื่อก่อนนี้ผมพยายามจะยัดเยียดความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้โดยบอกว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์แม้ภาษากรีกจะไม่ได้บอกว่า “โดยพระองค์” แต่บอกว่า “ในพระองค์”

         ทุกสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์โดยพระเยซูทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์และหัวปีของมวลมนุษย์ เช่นเดียวกับที่อาดัมเป็นหัวปีของมวลมนุษย์ทางกาย  ดังนั้นพระเยซูจึงทรงเป็นหัวปีของมวลมนุษย์ทั้งทางจิตวิญญาณและทางกายในแง่ที่ว่าจุดประสงค์ท้ายที่สุดทางจิตวิญญาณจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่อาศัยทางกาย   เพราะจะต้องมีการสร้างทางกายก่อนที่จะมีการสร้างใหม่

         ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ชัดขึ้น  ทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น “โดยทางพระองค์” (ch8 15) ซึ่งเข้าใจได้จากต้นสายปลายเหตุเพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าใจถ้อยคำนี้  มันหมายความว่า “เนื่องจากพระองค์และเพื่อพระองค์” หรือ “เนื่องจากมนุษย์ในพระคริสต์และเพื่อมนุษย์” โดยที่พระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์

     ข้อ 17 กล่าวต่อไปว่า “พระ​องค์​ทรง​ดำ​รง​อยู่​ก่อน​ทุก​สิ่ง และ​ทุก​สิ่ง​ถูก​ยึด​เข้า​ด้วย​กัน​โดย​พระ​องค์” (โคโลสี 1: 17 ฉบับมาตรฐาน 2011)  พระคริสต์ (หรือเราในพระคริสต์) ผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์นั้นดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่งและตั้งแต่ก่อนสร้างโลก  คำว่า “ก่อน” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงในกาลเวลา  ผมเคยโต้เถียงว่าทุกสิ่งดำรงอยู่ก็เพราะพระเยซูทรงยึดทุกสิ่งเข้าด้วยกัน  การโต้เถียงของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ยอดเยี่ยมของผมยืนหยัดอยู่จนกระทั่งผมเริ่มจะเห็นว่าคำกล่าวนั้นสามารถหมายถึงอย่างอื่นได้อีก  คำกล่าว “ในพระองค์ทุกสิ่งถูกยึดเข้าด้วยกัน” หมายความว่าในพระคริสต์นั้นมนุษย์คือจุดประสงค์ของสิ่งทั้งหมด

       เราสามารถเข้าใจ “ในพระองค์” ในแง่ของการสร้างมนุษย์  นี่น่าจะเห็นได้ชัดจากปฐมกาลบท 1  วันที่หกของการสร้าง พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์  โดยเห็นว่ามนุษย์เป็นเป้าหมายและจุดประสงค์อันสุดท้ายของการสร้าง  มนุษย์เป็นใครถ้าไม่ใช่คุณกับผม?  พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งบนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกก็เพื่อเรา ทุกสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้  พวก​ภูต​ผี​ที่​ครอบ​ครอง หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​มี​อำ​นาจ  สิ่งทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยทางมนุษย์และเพื่อมนุษย์

         โคโลสีตรงนี้ซึ่งเหมือนกับในปฐมกาลบท 1  จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้มีคุณและผมขึ้นมา  เมื่อคุณมองดูหมู่ดาว มันเหลือเชื่อที่จะคิดว่า “พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดนั้นเพื่อเราหรือ?”  ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรา   แล้วพระเยซูทรงถูกสร้างเพื่อเราหรือว่าเราถูกสร้างเพื่อพระเยซู?  ผมให้คุณคิดดูเอง

         ข้อ 18 มีต่อว่า “พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นที่เริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง” (ฉบับไทยคิงเจมส์)

         คำว่า “ที่เริ่มต้น”[57] อาจทำให้เรานึกถึง “จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด” เราคิดว่ามันเป็นคำเรียกพระเจ้า  ผมจึงใช้มันอ้างความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดสิ้นสุด เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย  ทำไมเราจึงรับเอาว่ามันเป็นคำเรียกพระเจ้า?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าฟังดูเหมือนคำเรียกพระเจ้า  เพราะจะมีใครอีกนอกจากพระเจ้าที่สามารถเป็น “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” และ “เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด” ได้?  เราจะสังเกตว่าโคโลสี 1:18 พูดถึง “จุดเริ่มต้น” โดยไม่ได้พูดถึง “จุดสิ้นสุด”

         พระเยซูทรงเป็น “จุดเริ่มต้น  เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากความตาย”  พระองค์เป็น “จุดเริ่มต้นของการฟื้นขึ้นจากความตาย  นี่ก็ “เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง”  คำ “พระองค์” ตรงนี้หมายถึงพระคริสต์หรือว่าหมายถึงมนุษย์? ถ้าคุณอ่านว่าเป็นพระเยซู คุณก็สามารถอ่านว่าเป็นมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง ท้ายที่สุดแล้วพระองค์ผู้เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวงก็คือพระยาห์เวห์  ไม่ใช่พระเยซูหรือเรา

          แต่อะไรที่เป็นจริงกับพระเยซูมันก็เป็นจริงกับเรา คุณลองค้นพระคัมภีร์ใหม่และพิสูจน์ดูว่าผมพูดประเด็นนี้ผิดไปหรือไม่ อะไรที่เป็นจริงกับพระเยซูก็เป็นจริงกับเรา  อะไรที่ไม่เป็นจริงกับพระเยซูก็ไม่เป็นจริงกับเรา  ถึงแม้การเป็นเอกสุดในสรรพสิ่งทั้งปวงจะเป็นของพระยาห์เวห์  แต่ถ้ามีส่วนในทางใดที่พระเยซูทรงเป็นเอก พระองค์ก็ทรงรวมเราไว้ในพระองค์เพราะเราอยู่ในพระองค์และเป็นอวัยวะของพระกายพระองค์

         ข้อ 19 กล่าวว่า “เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​พอ​พระ​ทัย​ที่​จะ​ให้​ความ​บริ​บูรณ์​ทั้ง​หมด​ดำรง​อยู่​ใน​พระ​องค์”[58] นั่นคือเหตุที่พระเยซูทรงเป็นเอกและเราก็เป็นเอก เพราะความบริบูรณ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเราที่เป็นพระวิหารของพระองค์เช่นเดียวกัน

          ข้อ 20 กล่าวว่า “และ​โดย​พระ​องค์ พระเจ้า​ทรง​ให้​ทุก​สิ่ง​คืน​ดี​กับ​พระ​องค์​เอง ไม่​ว่า​สิ่ง​นั้น​จะ​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก​หรือ​อยู่​บน​สวรรค์ โดย​ทรง​ทำ​ให้​เกิด​สันติ​ภาพ​โดย​พระ​โลหิต​แห่ง​กาง​เขน​ของ​พระ​องค์”[59]

ทุกสิ่งเป็นของคุณ

          ผมเผยความคิดเหล่านี้ให้คุณคิด  ทุกสิ่งที่ทรงสร้างก็เพื่อเรา นี่เป็นคำกล่าวที่น่าตกใจแต่ทำไมจึงควรตกใจ?  การไถ่มีไว้เพื่ออะไรหรือถ้าไม่ใช่เพื่อเรา?  พระเยซูไม่จำเป็นต้องรับการไถ่หรือรับการคืนดี  ฉะนั้นการไถ่จึงเพื่อเรา

          การพูดว่าทุกสิ่งถูกสร้างเพื่อคุณและผมนั้น เราพูดอะไรเกินไปไหมในแง่ของพระคัมภีร์? 1 โครินธ์ 3:21-23 กล่าวว่า

เหตุฉะนั้น อย่าให้ผู้ใดยกมนุษย์ขึ้นอวด ด้วยว่าสิ่งสารพัดเป็นของท่านทั้งหลาย     จะเป็นเปาโล  อปอลโล  เคฟาส  โลก  ชีวิต  ความตาย สิ่งในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งในอนาคต สิ่งสารพัดนั้นเป็นของท่านทั้งหลาย และท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า (ฉบับไทยคิงเจมส์)

            ให้เราอ่านพระคัมภีร์แบบไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา[60]ไม่สนใจคำชี้แนะ ข้อนี้กล่าวว่า “ทุก​สิ่ง​นั้น​ล้วนเป็น​ของ​ท่านทั้งหลาย (ch8 16) ไม่ว่าจะเป็นเปาโลหรืออปอลโล หรือเคฟาส (เปโตร) หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือ​สิ่งในปัจ​จุบัน หรือ​สิ่งในอนา​คต  ​สิ่งสารพัด​นั้น​เป็น​ของ​ท่านทั้งหลาย”

          สิ่งสารพัดเป็นของเราหรือ? รวมทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินโลกหรือ?  ใช่แล้ว! ทั้งโลกทั้งจักรวาลเลย  คำที่แปลไว้ว่า “โลก” คือคำ “ch8 17” (คอสมอส) ซึ่งหมายถึง “จักรวาล”  ไม่ใช่เฉพาะโลก ไม่ใช่เฉพาะท้องฟ้าและแผ่นดินโลกเท่านั้นแต่ชีวิตและความตายด้วย ใช่แล้ว แม้กระทั่งความตาย!  ความตายในพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กลับเป็นผลดีและพระพรกับเรา  ทั้งสิ่งในปัจจุบันและสิ่งในอนาคตเป็นของเรา!    คุณจะสามารถเพิ่มอะไรได้อีกในเมื่อทุกสิ่งเป็นของคุณ?

         เปาโลไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของพระคริสต์  นี่ตรงกันข้ามกับที่เราหวังไว้เพราะในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งและเราไม่ได้สำคัญ แต่เปาโลเข้าใจความรักของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเรา  ไม่มีสิ่งใดในท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกที่ไม่ได้เป็นของเรา และนี่ก็รวมผู้ครองและผู้มีอำนาจ คุณกลัวผู้มีอำนาจแห่งฟ้าสวรรค์และโลกไหม? หรือกลัวภูตผีผู้มีอำนาจไหม? หรือกลัวศัตรูไหม?  แต่ไม่มีอะไรที่ไม่ได้เป็นของคุณแม้กระทั่งความตาย ความตายและชีวิตเป็นของคุณ!  ดวงดาว จักรวาล โลกนี้ สากลโลก  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสร้างเพื่อเรา

         พระบิดาได้ส่งพระเยซูเข้ามาในโลกเพื่อจะทำให้พระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์เพื่อคุณและผมสำเร็จ  นั่นเป็นเหตุให้เราจึงรู้สึกซาบซึ้งกับพระเยซู  พระองค์ถูกเลือกที่จะนำพระประสงค์ของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของเรา  เราถูกเลือกและพระเยซูทรงถูกเลือกเพื่อจุดประสงค์นั้น

         เปาโลกล่าวว่า “เพราะ​ว่า​ทุกๆ สิ่ง​ก็​เป็น​ไป​เพื่อ​ประ​โยชน์​ของ​ท่าน เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ​คุณ​มา​ถึง​คน​จำ​นวน​มาก​ขึ้น การ​ขอบ​พระ​คุณ​ก็​จะ​มี​มาก​ยิ่ง​ขึ้น อัน​เป็น​การ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า”  (2 โครินธ์ 4:15 ฉบับมาตรฐาน 2011)   ทุกๆสิ่งก็เพื่อประ​โยชน์​ของคุณ!  แผนการทั้งหมดเกี่ยวกับความรอด  การเสด็จมาในโลกนี้ของพระเยซู การตายของพระองค์ และการถูกตรึงบนกางเขนของพระองค์ก็เพื่อประ​โยชน์​ของคุณ  พระเจ้าผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เองจะประทานทุกสิ่งให้กับคุณเพื่อประโยชน์ของคุณ เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ​คุณ​มา​ถึง​คน​จำ​นวน​มาก​ขึ้น การ​ขอบ​พระ​คุณ​ก็​จะ​มี​มาก​ยิ่ง​ขึ้นอัน​เป็น​การ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า

         มันเป็นเรื่องน่าขำที่ผมต้องจูงใจคนทั้งหลายให้เชื่อว่าทุกสิ่งมีเพื่อประโยชน์ของพวกเขา  เรามองไม่เห็นพระคุณอันอุดมของพระเจ้าที่มีเหลือล้นกับเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ผมหวังว่าคุณจะเห็นบ้าง   จงสังเกตคำ “ทุกสิ่ง” ใน 2 โครินธ์ 4:15  “ch8 18 (ทุกสิ่งก็เพื่อประโยชน์ของคุณ)”[61]

     คุณได้รับการเป็นบุตรและมรดกเพราะพระเจ้าประทานทุกสิ่งให้กับคุณ  พระองค์ไม่ได้หวงสิ่งใดกับคุณ  นั่นเป็นพระเมตตาอันไพศาลของพระองค์ที่มีต่อคุณ  แม้ว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งให้กับคุณแต่คุณก็อาจมีชีวิตอย่างกับขอทานเพราะคุณไม่รู้ว่าการเป็นบุตรของคุณนั้นมีอะไรตกทอดถึงคุณบ้าง

         เปาโลกล่าวกับชาวกาลาเทียว่า “ข้าพ​เจ้า​หมาย​ความ​ว่า ตราบ​ใด​ที่​ทา​ยาท​ยัง​เป็น​เด็ก​อยู่ เขา​ก็​ไม่​ต่าง​อะไร​กับ​ทาส​เลย ถึง​แม้​เขา​จะ​เป็น​เจ้า​ของ​ทรัพย์​สม​บัติ​ทั้ง​หมด” (กาลาเทีย 4:1 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ข้อความกรีกกล่าวว่าเด็กเป็น “เจ้านายของทุกสิ่ง” (ch8 19)[62]  นี่เป็นคำเดียวกันกับคำ “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ซึ่งเป็นคำเรียกของพระเยซู และคำเดียวกันนี้ได้ถูกแปลในพระคัมภีร์เดิมด้วยตัวอักษรใหญ่ว่า “LORD”  ที่อ้างถึงพระยาห์เวห์

         คุณอาจเป็นเจ้านาย (lord) ของทุกสิ่ง  แต่คุณก็ไม่ดีไปกว่าทาสถ้าหากคุณไม่รู้ว่ามรดกอันอุดมของคุณมีอะไรบ้าง

        ผมอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ในช่วงการปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน  ผมมีเพื่อนเป็นชาวเยอรมัน (หลายปีต่อมาผมได้พบเขาอีกในประเทศสวิสเซอร์แลนด์) ที่คุณพ่อของเขาเป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์เยอรมัน  เพื่อนของผมนอนบนลังไม้ใบใหญ่เป็นเวลาหลายปี  เมื่อถึงเวลาที่ครอบครัวของเขาต้องออกจากประเทศจีน  พวกเขาต้องเก็บข้าวของทั้งหมด

         พวกเขาไม่ได้รวยมากแต่มีเพื่อนที่ร่ำรวยทิ้งข้าวของให้พวกเขาเมื่อต้องหนีออกจากประเทศจีน  อย่างหนึ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ก็คือลังไม้ขนาดใหญ่มาก  ครอบครัวของเพื่อนผมไม่รู้ว่ามีอะไรทิ้งไว้ในลังไม้จึงได้เอาที่นอนมาวางซ้อนไว้เพื่อประหยัดพื้นที่และเพื่อนของผมก็นอนบนที่นอนนี้

         เมื่อถึงตาที่พวกเขาต้องออกจากประเทศจีน  พวกเขาต้องจัดการกับลังใหญ่นี้  ลังใบนี้หนักมากจนพวกเขาเองก็ยกไม่ไหวแล้วก็ใส่กุญแจเอาไว้ด้วย  สันนิษฐานเอาว่าคนที่ทิ้งลังไม้นี้เอาไว้อาจคิดว่าชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์คงเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์ก็คงจะถูกขับออกจากเซี่ยงไฮ้  นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้กลับไปประเทศจีนอีกเพื่อเอาทรัพย์สมบัติของพวกเขาคืน แล้วก็ใช้ชีวิตที่หรูหราของพวกเขาต่อไปได้

         เมื่อถึงเวลาที่เพื่อนของผมจะต้องไปและก็มีโอกาสน้อยที่คนอื่นๆจะได้กลับมาอีก  พวกเขาจึงฉุกคิดว่าจะทำยังไงกับลังนี้ดีและคิดว่าของที่เก็บเอาไว้ในลังไม้คงเป็นอาวุธที่อาจเป็นปัญหาใหญ่ให้กับพวกเขา  พวกเขาจึงพูดกันว่า “เราควรโทรแจ้งตำรวจ”  เพราะถ้าตำรวจเจอระเบิดมือในลัง  พวกเราจะได้ไม่มีความผิดเพราะไม่เคยเปิดมันเลยและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย”

                ถ้าพวกเขาจะขนส่งลังนี้ออกนอกประเทศก็ต้องผ่านการตรวจของศุลกากร  เอกสารและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งออกนี้อาจสร้างปัญหาให้พวกเขาและอาจติดคุกได้ พวกเขาก็เลยโทรแจ้งตำรวจ  และเมื่อเปิดลังออกพวกเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตรงหน้าพวกเขามีทรัพย์สมบัติที่มีค่าทั้งนั้น มีแม้กระทั่งของใช้ที่ทำด้วยทองคำที่เพื่อนของพวกเขาบรรจุลงในลังก่อนจะหนีออกจากประเทศจีน

         เพื่อนคนนี้บอกผมว่า “ผมนอนทับลังนี้เป็นปีๆโดยไม่รู้ว่าผมกำลังนอนอยู่บนกองเงินกองทองและทรัพย์สมบัติอื่นๆที่อาจมีมูลค่าหลายแสนดอลลาร์  แต่เราก็ยังหาเช้ากินค่ำ” (สมัยนั้นรายได้ของผู้สื่อข่าวได้ไม่มาก)  เงินที่อยู่ในลังนั้นพอเพียงที่เพื่อนของผมจะใช้ได้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว  เป็นของแน่ที่ตำรวจดีใจที่จะได้ช่วยดูแลทรัพย์สมบัติเหล่านี้ “ในเมื่อของพวกนี้ไม่ใช่ของคุณ เราจะเป็นคนดูแลให้” พวกตำรวจจึงขนของทั้งหมดกลับไป

                ทุกสิ่งเป็นของคุณ  คุณเป็นนายของทุกสิ่ง (ch8 19)  เปาโลไม่ได้กำลังพูดถึงพระเยซูหรือพูดถึงพระเจ้า  แต่กำลังพูดถึงชาวกาลาเทีย!

         เราได้เห็นการดูพระคัมภีร์อีกวิธีหนึ่งที่เป็นความจริงตรงกันกับพระคำของพระเจ้า โดยที่พระคัมภีร์ในที่หนึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับอีกที่หนึ่ง ที่ทำให้คุณต้องปฏิเสธอันหนึ่งและยอมรับอีกอันหนึ่ง  เหมือนที่ผมพูดไปแล้วว่าสิ่งที่เราได้ทำไปตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือเราได้กันพระเจ้าและกันมนุษย์ออกไป  เราได้พลาดความจริงที่ว่าสิ่งที่ทรงสร้างทั้งสิ้นได้สร้างขึ้นเพื่อเรา  ​พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะทำให้แผนงานของพระองค์สำเร็จโดยทางพระคริสต์เพื่อประโยชน์ของเรา  เราจะเป็นนายของทุกสิ่งโดยมีพระคริสต์เป็นศีรษะของเรา  และเราเป็นพระกายของพระคริสต์ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์

         ทรัพย์สมบัติที่เป็นของเรานั้นถูกยึดไปจากเราด้วยคำสอนที่อ้างว่าทุกสิ่งเป็นของพระคริสต์ผู้เป็นเจ้าของสิ่งสารพัดที่ไม่ใช่ของคุณหรือของผม  แต่ในฐานะของผู้ติดตามที่สัตย์ซื่อขององค์ผู้เป็นเจ้า เราจะยอมรับอะไรก็ตามที่พระคัมภีร์พูด  เราจะไม่เป็นนายของทุกสิ่งถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงมีแผนการไว้ให้เรา  แต่กระนั้นพระเจ้าก็ได้สร้างทุกสิ่งเพื่อคุณและผม  เพื่อมวลมนุษย์  แต่ว่าความจริงที่ล้ำค่านั้นได้สูญหายไปเพราะเราคิดว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อพระคริสต์เท่านั้น  เปาโลกำลังบอกเราว่า “ทุกสิ่งเป็นของท่าน รวมทั้งข้าพเจ้า รวมทั้งเปโตร และมีมากกว่านั้นคือ รวมทั้งท้องฟ้าและโลก และชีวิตในอนาคต  ทุกสิ่งเป็นของท่านเพื่อประโยชน์ของท่าน” ทั้งหมดนี้ถูกยึดไปจากเราเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ตอนนี้ผมกำลังเริ่มจะเรียกทรัพย์สมบัติที่เป็นของเราคืนมา  ที่เราได้รับทุกสิ่งเป็นมรดกก็เพราะเราเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ (โรม 8:17)[63]


[1] กิจการ 20:26 “เพราะ​ฉะนั้น​ใน​วัน​นี้​ข้าพ​เจ้า​ขอ​ยืน​ยัน​ต่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า แม้​ท่าน​ทุก​คน​จะ​หลง​หาย​ไป ข้าพ​เจ้า​ก็​พ้น​โทษ​แล้ว”

[2] ต้นฉบับคือ “กอเอี๊ยะ” จากคำภาษาจีนว่า 膏药 (gāoyào)

[3] อพยพ 3:14-15  14พระ​เจ้า​จึง​ตรัส​กับ​โมเสส​ว่า “เรา​เป็น​ผู้​ซึ่ง​เรา​เป็น” แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​ว่า “ไป​บอก​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล​ดัง​นี้​ว่า ‘พระ​องค์​ผู้​ทรง​พระ​นาม​ว่า เรา​เป็น​ทรง​ใช้​ข้าพ​เจ้า​มา​หา​ท่าน​ทั้ง​หลาย’”  15พระ​เจ้า​จึง​ตรัส​กับ​โมเสส​อีก​ว่า “เจ้า​จง​กล่าว​แก่​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล​ดัง​นี้​ว่า ‘พระ​ยาห์​เวห์พระ​เจ้า​แห่ง​บรรพ​บุรุษ​ของ​พวก​ท่าน คือ​พระ​เจ้า​ของ​อับ​ราฮัม พระ​เจ้า​ของ​อิส​อัค และ​พระ​เจ้า​ของ​ยาโคบ ทรง​ใช้​ให้​ข้าพ​เจ้า​มา​หา​พวก​ท่าน’ นี่​เป็น​นาม​ของ​เรา​ตลอด​ไป​เป็น​นิตย์ เป็น​อนุ​สรณ์​ของ​เรา​ตลอด​ทุก​ชั่ว​ชาติ​พันธุ์”  (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[4] “เราเป็น” ที่พระเยซูตรัสว่าทรงเป็น 7 ประการในยอห์นคือ   เราเป็นอาหารแห่งชีวิต,  เราเป็นความสว่างของโลก,  เราเป็นประตู,  เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี,  เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต,   เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต, และ เราเป็นเถาองุ่น (ผู้แปล)

[5] หรือ “พระฉายา”

[6] โรม 1:7 “เรียนทุก​ท่าน​ที่​อยู่​ใน​กรุง​โรม​ผู้​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ทรง​รัก และ​ทรง​เรียก​ให้​เป็น​ธรร​มิก​ชน”

1 เธสะโลนิกา 1:4 “พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ผู้​เป็น​ที่​รัก​ของ​พระ​เจ้า เรา​ทราบ​แน่​ว่า​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​เลือก​สรร​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไว้​แล้ว”

[7] หรือในภาษาจีนว่า “人算什么”

[8] แปลตามฉบับ 1971 และฉบับไทยคิงเจมส์ (ผู้แปล)

[9] paqad

[10] คำอ่าน “ลีโบเกอริม”

[11] และฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า” ส่วนฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ตรวจตราเขาอยู่ทุกเช้า” (ผู้แปล)

[12] ปฐมกาล 3:15 “เรา​จะ​ให้​เจ้า​กับ​หญิง​นี้​เป็น​ศัตรู​กัน ทั้ง​พงศ์​พันธุ์​ของ​เจ้า และ​พงศ์​พันธุ์​ของ​นาง​ด้วย เขา​จะ​ทำ​ให้​หัว​ของ​เจ้า​แหลก และ​เจ้า​จะ​ทำ​ให้​ส้น​เท้า​ของ​เขา​ฟก​ช้ำ” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[13] ต้นฉบับมีภาษาจีนเพิ่มเติมว่า 要风得风, 要雨得雨 (หมายถึง อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น) -ผู้แปล

[14] Alexandrian Christ­ology

[15]  Moltmann นักศาสนศาสตร์ปฏิรูปแห่งศตวรรษที่ 20 (ผู้แปล)

[16] ฮีบรู 4:15  “เพราะ​ว่า​เรา​ไม่​ได้​มี​มหา​ปุโร​หิต​ที่​ไม่​สา​มารถ​จะ​เห็น​ใจ​ใน​ความ​อ่อน​แอ​ของ​เรา แต่​ทรง​เคย​ถูก​ทด​ลอง​ใจ​เหมือน​เรา​ทุก​อย่าง ถึง​กระ​นั้น​พระ​องค์​ก็​ยัง​ปราศ​จาก​บาป” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[17] ยากอบ 1:13 อย่า​ให้​คน​ที่​ถูก​ล่อ​ลวง​กล่าว​ว่า “พระ​เจ้า​ทรง​ล่อ​ลวง​ข้าพ​เจ้า” เพราะ​ว่า​พระเจ้า​จะ​ไม่​ถูก​ความ​ชั่ว​ล่อ​ลวง และ​พระ​องค์​เอง​ก็​ไม่​ทรง​ล่อ​ลวง​ใคร​เลย (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[18] 1 โครินธ์ 15:47  “มนุษย์​คน​แรก​นั้น​มา​จาก​ดิน​และ​เป็น​มนุษย์​ดิน มนุษย์​คน​ที่​สอง​นั้น​มา​จาก​สวรรค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[19] หรือ มานุษยวิทยา (anthropology)

[20] Nestorius  (บาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล)

[21] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลอพยพ 4:22 ว่า “พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า ‘คน​อิส​รา​เอล​เป็น​บุตร​ชาย​ของ​เรา บุตร​หัว​ปี​ของ​เรา’”  (ผู้แปล)

[22] anti-Semitism

[23] ฉบับมาตรฐาน 2011

[24]  Kathōs (คา-ธอส) แปลว่า “เหมือนอย่างที่” ในยอห์น 17:23 “และ​พระ​องค์​ทรง​รัก​พวก​เขา​เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​รัก​ข้า​พระ​องค์” 

(24) -ผู้แปล

[25]  อากาเปทอส

[26]  Aorist (แอริสต์) คือ กาลกริยาในไวยากรณ์  เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดๆหนึ่งในอดีตกาล แต่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่อดีต(ผู้แปล)

[27]  ฉบับมาตรฐาน 2011  ส่วนฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “สรรเสริญพระเจ้าพระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​​เจ้า​ของ​เรา ผู้​ประ​ทานพระพร​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ​นานัปการในพระคริสต์​แก่​เรา​ทั้งหลายใน​สวรรค​สถาน​” (ผู้แปล)

[28] ฉบับมาตรฐาน 2011

[29] ฉบับ 1971

[30] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง” (ผู้แปล)

[31] พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์ (CJB) แปลเอเฟซัส 1:6 ว่า “เพื่อ​เราจะถวายการยกย่องพระองค์ให้สมกับ​ความน่าสรรเสริญของ​พระ​คุณ​ที่พระ​องค์​​ทรง​ให้​แก่​เรา​ทางพระองค์ผู้เป็นที่​​รัก” (ผู้แปล)

[32] English Standard Version (ESV)  ฉบับ 1971 แปลว่า “ตั้งแต่​ดึก​ดำ​บรรพ์​มา” และฉบับคิงเจมส์แปลว่า “ก่อนโลกนี้มีมา” (ผู้แปล)

[33] New American Standard Version (NASV)

[34] New International Version (NIV)  แปลเหมือนกับฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (ผู้แปล)

[35] New King James Version (NIV)  แปลเหมือนกับฉบับมาตรฐาน 2011 (ผู้แปล)

[36] pro chronon aionion (โปร โครนอน เอโอนิออน)  -ผู้แปล

[37] หรือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา” (ผู้แปล)

[38] 1 เปโตร 1:20 “แท้จริง​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​กำหนด​พระ​คริสต์​นั้น​ไว้​ก่อน​ทรง​สร้าง​โลก แต่​ทรง​ให้​พระ​คริสต์​ปรากฏ​พระ​องค์​ใน​วาระ​สุดท้าย​นี้เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย” (ฉบับ 1971)​ -ผู้แปล

[39] โรม 8:29 “เพราะ​บรรดาผู้​ที่​พระ​องค์​ทรง​เลือก​ไว้​ล่วงหน้าแล้ว  พระ​องค์​ก็ทรง​กำ​หนด​ไว้​ก่อนแล้ว​ให้​เป็น​เหมือน​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ได้​เป็น​บุตร​หัว​ปี​ท่าม​กลาง​พี่​น้อง​​มากมาย”)

[40] เอเฟซัส 1:4-5  “ดัง​เช่น ใน​พระ​คริสต์ พระ​เจ้า​ทรง​เลือก​เรา​ตั้ง​แต่​ก่อน​ทรง​สร้าง​โลก เพื่อ​ให้​เรา​บริ​สุทธิ์​และ​ปราศ​จาก​ตำ​หนิ​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระ​องค์ พระ​องค์​ทรง​กำ​หนด​เรา​ไว้​ล่วง​หน้า​ด้วย​ความ​รัก  ให้​เป็น​บุตร​ของ​พระ​องค์​โดย​ทาง​พระ​เยซู​คริสต์ ตาม​ความ​ชอบ​พระ​ทัย​และ​พระ​ประ​สงค์​ของ​พระ​องค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) - ผู้แปล

[41] วิวรณ์ 13:8 และ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก​จะ​บูชา​สัตว์​ร้าย​นั้น คือ​คน​ที่​ไม่​มี​ชื่อ​จด​ไว้​ใน​หนัง​สือ​แห่ง​ชีวิตของ​พระ​เมษ​โป​ดก​ผู้​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง​โลก (ฉบับมาตรฐาน 2011) - ผู้แปล

[42] หรือ “ก่อนโลกเริ่มขึ้น” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[43] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย  แปลว่า “เหมาะสม” (โคโลสี 1:12  “ในการขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง) -ผู้แปล

[44] ความหมายตามต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)

[45] ความหมายตามต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)

[46] ในพระคัมภีร์เดิมนั้นคำ “ที่รัก” ปรากฏบ่อยสุดในเพลงโซโลมอน   คำ “ที่รัก” มีปรากฏ 39 ครั้งในพระคัมภีร์เดิม และ 31 ครั้งจะพบในเพลงซาโลมอนซึ่งทำให้ “ที่รัก” เป็นคำสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เพลงซาโลมอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร? มันเป็นแค่เพลงรักที่ใช้กล่าวแก่กันในพิธีแต่งงานหรือ? โดยสรุปแล้วเพลงซาโลมอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักระหว่างพระยาห์เวห์กับผู้ที่รักพระองค์  หลายคนรู้จักหนังสือเล่มนี้ว่ามีลักษณะที่ “มีความหมายซ่อนเร้น” ในแง่ของการสื่อถึงความสัมพันธ์ทางฝ่ายวิญญาณระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คู่มือศึกษาพระคัมภีร์หลายฉบับมองเพลงซาโลมอนจากมุมมองนั้นโดยมุ่งเน้นอยู่ที่ความรักระหว่างพระยาห์เวห์กับผู้เป็นที่รักของพระองค์ ผู้ที่รักพระองค์และผู้ที่พระองค์ทรงรัก

[47] แปลตรงตัวว่า “เป็นบุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ (พระเจ้า) ทรงสร้าง” (ผู้แปล)

[48] โคโลสี 1:18 “พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร  ทรงเป็นจุดเริ่มต้น  เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย  เพื่อพระองค์จะเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง”  (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย   และฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”) ฉบับ 1971 และฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “เป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตาย” (ผู้แปล)

[49] James Dunn (เจมส์ ดันน์) นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน  (ผู้แปล)

[50] “Wisdom Christology”

[51] “Adam Christology”

[52] ฉบับ 1971 แปลว่า “ในพระองค์” สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น (ผู้แปล)

[53] Dia (ดีอา)

[54] Eis (ไอซ์)

[55] Genitive (สัมพันธการก)

[56] Causative (การิตการก)

[57] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ทรงเป็นจุดเริ่มต้น”  ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971 แปลว่า “พระองค์ทรงเป็นปฐม” (ผู้เปล)

[58] โคโลสี 1:19 ฉบับมาตรฐาน 2011

[59] โคโลสี 1:20 ฉบับมาตรฐาน 2011

[60] จากคำภาษาจีน “耳边风”

[61] 2 โครินธ์ 4:15 “เพราะ​ว่า​ทุกๆ สิ่ง​ก็​เป็น​ไป​เพื่อ​ประ​โยชน์​ของ​ท่าน เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ​คุณ​มา​ถึง​คน​จำ​นวน​มาก​ขึ้น การ​ขอบ​พระ​คุณ​ก็​จะ​มี​มาก​ยิ่ง​ขึ้น อัน​เป็น​การ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[62] “lord of everything”

[63] โรม 8:17 “และ​ถ้า​เรา​เป็น​ลูก​แล้ว เรา​ก็​เป็น​ทา​ยาท คือ​เป็น​ทา​ยาท​ของ​พระ​เจ้า และ​เป็น​ทา​ยาท​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์ เมื่อ​เรา​ทน​ทุกข์​ทร​มาน​ด้วย​กัน​กับ​พระ​องค์​ก็​เพื่อ​จะ​ได้​ศักดิ์​ศรี​ด้วย​กัน​กับ​พระ​องค์​ด้วย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล