บทที่ 8
แผนการและความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์
การตั้งคำถามถูกวิธี
ผมขอเสนอแนะสักสองสามอย่างในการถามคำถามของคุณ อย่างแรกคุณคงไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถาม เพราะการถามอย่างตรึกตรอง อย่างมีหัวคิด และอย่างมีความหมายนั้นคุณจะต้องรู้เนื้อหาของคุณเป็นอย่างดี ใครที่ฟังคำถามของคุณก็จะรู้ได้ว่าคุณไม่ได้รู้เนื้อหาของคุณจริงๆ บางคำถามก็เป็นแค่การขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ผมพูดไปแล้ว หัวใจของคนที่เป็นครูแทบจะฝ่อเมื่อผู้เรียนถามคำถามที่ครูได้ให้คำตอบไปแล้ว
ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะพูดให้ง่ายและกระจ่างเท่าที่ทำได้ แต่บางครั้งบางประเด็นก็ไม่เป็นที่เข้าใจ คนที่มีประสบการณ์ในการสอนคงรู้ว่ามันน่าผิดหวังยังไงเมื่อคนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่คุณเพิ่งจะอธิบายไป ผมพยายามอย่างมากที่จะอธิบายสิ่งต่างๆให้ง่ายโดยไม่พูดสิ่งที่ยากเกินหรือพูดสิ่งที่ลึกซึ้งเกินไป แต่ก็ดูเหมือนหลายคนจะยังไม่เข้าใจประเด็นเหล่านั้น
ปัญหามีอยู่ว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ฝังลึกในเรานั้นทำให้ความคิดของเราคลุมเครือ จิตใจสับสนไปด้วยความคิดที่ผิดๆ และคิดแบบไม่เฉียบคมอีกต่อไป ผมรู้สภาพนั้นดีเพราะได้ปล้ำสู้กับสิ่งนี้มาสามปี ไม่มีใครที่ฝังแน่นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพเหมือนอย่างผม และถ้าคุณอยากจะออกจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพคุณคงต้องฝ่าฟันอย่างหนัก แต่ถ้าคุณไม่สนใจที่จะออกมาก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม เพราะคุณและผมจะต้องตอบกับองค์ผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่ผมได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ไปแล้ว ความรับผิดชอบของผมก็สิ้นสุดลง และก็พ้นจากความรับผิดชอบต่อโลหิตของทุกคน (กิจการ 20:26)[1]
อย่างที่สองเมื่อคุณถามคำถามก็ให้พยายามค้นหาคำตอบเองด้วย อย่าเอาแต่ถามอย่างเดียวแม้ว่าคุณจะไม่ได้คำตอบแต่อย่างน้อยก็ได้ลองคิดดู แล้วจึงค่อยมาพูดกับผมว่า “ผมพยายามค้นแล้ว แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ หรือผมยังไม่พอใจกับคำตอบของผม ช่วยบอกทีว่าผมพลาดตรงไหน?” แม้ว่าคุณจะไม่ได้คำตอบ ผมก็ยังชื่นใจที่รู้ว่าอย่างน้อยคุณก็ได้ปล้ำสู้กับมันแทนที่จะโยนมาให้ผม บางทีเนื้อหาอาจยากเกินไปสำหรับคุณก็ได้ หรือทักษะในการตีความของคุณอาจยังไม่เข้าเกณฑ์นั่นก็ยังยอมรับได้ถ้าคุณได้ลงมือพยายามบ้าง มีบางคนทำอย่างนั้น “คำตอบของผม มีสามอย่างที่เป็นไปได้ ผมไม่รู้ว่าอันไหนถูก หรือว่าอาจไม่ถูกเลยสักอย่าง” นี่อย่างน้อยผมก็เห็นได้ว่าคนนั้นได้พยายามอย่างมากในการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้
แต่คนส่วนมากไม่เป็นแบบนี้ คือจะโยนคำถามมาให้ผมโดยหวังจะให้ผมเป็นคนหาคำตอบให้ ผมจะเป็นคนหาคำตอบให้หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะสั่งให้ผมทำอะไร ผมไม่ได้กำลังขายพลาสเตอร์ยา[2]ที่ใครจะซื้อผลิตภัณฑ์หรือไม่ซื้อก็ช่าง หน้าที่ของผมที่เป็นผู้รับใช้ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็คือประกาศพระคำของพระเจ้า หลังจากนั้นความรับผิดชอบของผมก็เสร็จสิ้นลง ผู้ฟังจะทำอะไรกับถ้อยคำเหล่านั้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของคุณ ผมต้องดูว่าคุณจริงจังกับเรื่องนั้นแค่ไหน หากผมเห็นจากคำถามของคุณว่าคุณไม่ได้สนใจที่จะค้นหาคำตอบหรือไม่ได้พยายามที่จะค้นหาคำตอบในเรื่องนั้น ผมก็อาจไม่ตอบคำถามของคุณ สิ่งสำคัญกับผมก็คือชีวิตในฝ่ายวิญญาณของพวกคุณที่ไปได้ดี พวกคุณอยากจะรู้ความจริงไหม?
การส่งผลของความเชื่อที่ผิด
ผมรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นว่าความเชื่อที่ผิดสามารถส่งผลต่อวิธีคิดของคนได้มากแค่ไหนที่เขาไม่สามารถจะมองสิ่งต่างๆจากมุมมองใดได้อีกนอกจากเฉพาะแต่มุมมองของเขาเอง นี่เป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อคุณไม่สามารถอ่านข้อความพระคัมภีร์ในแบบอื่นได้นอกจากเฉพาะแต่แบบนั้นแบบเดียว มีหลายตอนในพระคัมภีร์ที่เราเมื่อเชื่อในตรีเอกานุภาพจะตีความอยู่แบบเดียวอย่างเหนียวแน่น เราไม่เคยหยุดที่จะถามว่า “มีทางอื่นไหมที่จะให้เข้าใจพระคัมภีร์ตอนนี้ได้อีก?” แต่เมื่อคุณพร้อมจะมองพระคัมภีร์ตอนนั้นจากมุมที่ต่างกัน คุณเองจะต้องประหลาดใจทีเดียวกับคำตอบที่คุณได้รับ
สิ่งที่เป็นปัญหากับการเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ผ่านมาของผมก็คือ มันกั้นไม่ให้ผมมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เห็น การมองด้วยกรอบความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้ผมมองไม่เห็นความจริงเพราะผมได้ถูกสอนให้ตีความพระคัมภีร์หลายๆตอนในแบบเดียว
อีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดที่ผมกล่าวในบทต่างๆนี้เชื่อถือได้ที่สุดในแง่ว่าไม่มีใครจะหักล้างได้บนหลักของพระคัมภีร์ ผมกล้าพูดอย่างนี้และพูดอย่างมั่นใจ ไม่มีนักวิชาการพระคัมภีร์คนใดในโลกจะสามารถหักล้างคำกล่าวที่เป็นรากฐานสำคัญนี้ได้ สิ่งที่กล่าวไปนั้นเชื่อถือได้ที่สุดและไม่มีทางจะโต้แย้งพระคัมภีร์ได้ ผมไม่กลัวแม้แต่น้อยหากผมต้องเผชิญหน้ากับบรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลาย แม้จะห้าสิบต่อหนึ่งก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถล้มล้างสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วได้
หนังสือที่ผมถืออยู่นี้เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์ นั่นเป็นตัวอย่างของคำกล่าวที่โต้แย้งไม่ได้ ไม่มีใครจะคัดค้านได้เพราะนี่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์ เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคุณคิดว่ามีแต่พระคัมภีร์เดิมเท่านั้นหรือที่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์? (คุณอาจไม่ได้คิดถึงพระยาห์เวห์เลย) แล้วพระคัมภีร์ใหม่ล่ะ? ถ้าคุณบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่หนังสือของพระยาห์เวห์ คุณก็ควรจะอ่านพระคัมภีร์ใหม่เสียใหม่โดยไม่อ่านด้วยกรอบความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพของคุณ พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นหนังสือของพระยาห์เวห์
ผมถูกความเชื่อในตรีเอกานุภาพชักนำให้เข้าใจผิด เพราะผมดื่มความเชื่อนี้เป็นน้ำนมฝ่ายจิตวิญญาณของผม ไม่ใช่เพราะว่าผมเองชื่นชอบในคำสอนนี้แต่เพราะว่าผมถูกกรอกด้วยคำสอนนี้ ผมจะไม่ทำผิดพลาดอีกแล้ว ผมรับประกันได้ คุณรู้ไหมว่าทำไมผมจะไม่ไปผิดทางอีก? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตอนนี้ผมรู้ว่านี่เป็นหนังสือของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ได้ประทานพระคำของพระองค์ให้กับผมและผมจะไม่ไปผิดทางอีกต่อไป ไม่มีใครอยากจะไปผิดทางซ้ำสองหรอก
คุณจะไม่ไปผิดทางถ้าพระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางและเส้นรอบวงของคุณ คือถ้าคุณรักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของคุณ และถ้าคุณรักเพื่อนบ้านของคุณ (คนสำคัญสุดคือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นหัวปีของเชื้อสายมนุษย์) เหมือนรักตัวคุณเอง แต่เมื่อพระยาห์เวห์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป คุณก็จะไปผิดทางในทุกเรื่อง เราไปผิดทางเพราะเหตุนี้
ผมกล่าวไว้ครั้งก่อนว่า ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้กันพระยาห์เวห์ออกไป เรามองข้ามพระองค์และอัญเชิญบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เราเรียกว่า “พระเจ้า” ผู้ที่ไม่ต้องการจะอยู่ตรงศูนย์กลางนั้น พระเยซูไม่เคยประกาศตัวของพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าแต่เราก็ได้ยกพระองค์ให้เป็นพระเจ้า ประเด็นของผมนี้เชื่อถือได้ที่สุดและไม่มีนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เดิมคนใดจะสามารถคัดค้านได้ พระเยซูไม่เคยอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า ขอให้นักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลายในโลกพยายามพิสูจน์ดูว่าผมผิดในเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ พวกเขาจะไม่พยายามอาสาด้วยเพราะพวกเขารู้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ว่าผมผิดในเรื่องนี้ พระเยซูไม่เคยอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า เราต่างหากที่ต้องการทำให้พระองค์เป็นพระเจ้า เราจึงเดือดร้อนที่พระองค์ไม่ได้พยายามอ้างการเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ใหม่ไม่เคยให้พระองค์เป็นพระเจ้าแต่เราทำให้พระองค์เป็น
หลักฐานเท็จในการอ้างความเป็นพระเจ้าของพระเยซู
ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูจากพระคัมภีร์ใหม่ได้ก็คือ พิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระยาห์เวห์ แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น เพราะตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองไม่ใช่พระองค์แรก
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนใช้คำกล่าวว่า “เราเป็น” ทั้งเจ็ดครั้งในพระกิตติคุณยอห์นเป็นหลักฐานว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า คริสเตียนบางคนไม่รู้มาก่อนว่า “เราเป็น” เป็นชื่อของพระยาห์เวห์ ไม่ใช่ชื่อของพระเยซู ถ้าพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์” (ซึ่งพระองค์ไม่เคยทำและไม่เคยคิดที่จะทำ) สิ่งที่พระองค์จะอ้างได้ก็คือพระองค์เป็นพระยาห์เวห์ และถ้านั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการให้เป็น แล้วพวกเขากำลังพยายามจะพิสูจน์อะไรหรือ? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมองข้ามความจริงที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” นั้นมีมากกว่าเจ็ดครั้งเสียอีก เรากำลังอ่านพระคัมภีร์อย่างถูกต้องไหม?
ในทำนองเดียวกันบางคนก็พยายามจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจากอพยพ 3:14 แต่พวกเขารู้หรือไม่ว่า “เราเป็น” ในอพยพ 3:14[3] กล่าวถึงพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระเยซู? มีสิ่งเดียวที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะสามารถพิสูจน์จากอพยพ 3:14 หรือจากคำกล่าว “เราเป็น” ทั้งเจ็ดประการ[4]ก็คือว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการจะพิสูจน์เช่นนั้น เพราะถ้าพระเยซูคือพระยาห์เวห์ พวกเขาก็จะเขยิบใกล้สิ่งที่ผมได้พูดมาตลอดว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ในองค์พระคริสต์ แต่พวกเขาอยากจะพูดอย่างนั้นจริงๆไหม?
ถ้าคุณยกอ้างตอนจากพระคัมภีร์มาพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ไม่นานคุณจะกลับมาเจอความจริงว่ามันกล่าวถึงพระยาห์เวห์ ถึงตอนนั้นคุณจะมีทางเลือกอยู่สองทาง คือยอมรับว่าพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ในองค์พระคริสต์ หรือยอมรับว่าพระเยซูคือพระยาห์เวห์ ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ยอมรับอันหลังเพราะจะทำให้ต้องทิ้งพระเจ้าพระองค์ที่สองไป ความจริงแล้วไม่มีทางจะพิสูจน์ว่าเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองเพราะว่าทุกข้อความของพระคัมภีร์ใหม่ที่เกี่ยวกับพระเจ้านั้นอ้างถึงพระยาห์เวห์ ไม่ได้อ้างถึงพระเจ้าพระองค์ที่สอง
การกันพระเจ้าออกไป และกันมนุษย์ออกไป
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกันพระยาห์เวห์ออกไปและอัญเชิญพระเยซูมาแทนที่พระองค์ พวกเขาเอาข้อต่างๆที่อ้างอิงถึงพระยาห์เวห์มาใช้อ้างอิงถึงพระเยซู แล้วก็อ้างอย่างไร้สติว่าข้อต่างๆนั้นอ้างอิงถึงพระเจ้าพระองค์ที่สอง ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเหล่านั้นมีเหตุผลกันไหม? เมื่อมองย้อนกลับไปผมพูดได้แต่ว่า “ผมโง่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เราได้กันพระยาห์เวห์พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวออกไปและตั้งพระเจ้าพระองค์ที่สองที่ไม่ได้มีอยู่จริงมาแทนที่พระองค์ คำของผมที่กล่าวนี้เชื่อถือได้ที่สุดและผมก็ไม่กลัวการโต้แย้งจากใคร พระเจ้าพระองค์ที่สองจะมีอยู่ก็แต่ในคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่านั้นและไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ ขอให้นักวิชาการพระคัมภีร์ทั้งหลายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจงพิสูจน์กับผมดูทีว่ามีพระเจ้าพระองค์ที่สอง พวกเขาทำไม่ได้หรอก ผมเคยต่อสู้ให้กับฝ่ายพวกเขา ผมจึงรู้จุดยืนของฝ่ายตรงข้าม แม้ที่ผ่านมาผมจะมีความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นแต่ผมก็ไม่สามารถจะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าพระองค์ที่สอง
เราไม่ได้กันแต่พระเจ้าออกไปเท่านั้นแต่ยังได้กันมนุษย์ออกไปด้วย พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้กันพระยาห์เวห์และมนุษย์ออกไปในคราวเดียวกันเพื่อมนุษย์จะเลือนหายไปจากภาพด้วย
เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่เข้าใจพระคัมภีร์หลายตอน ผมพยายามปรับพระคัมภีร์ตอนเหล่านั้นให้ใช้ได้และหาอ่านพระคัมภีร์ตอนเหล่านั้นจากคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ต่างๆเพื่อจะได้ความเข้าใจที่กระจ่าง แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบอะไรที่น่าพอใจ คุณรู้ไหมว่าทำไม? เหตุผลมีว่าพระคัมภีร์พูดถึงมนุษย์เยอะมาก พระคัมภีร์พูดถึงมนุษย์หรือ? คนที่ไม่สำคัญอย่างคุณและผมนี่นะ? ถูกแล้ว! พระคัมภีร์มีสิ่งมากมายที่พูดถึงคุณกับผม แต่กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ได้สูบถ่ายไปที่พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ข้อต่างๆที่เกี่ยวกับมนุษย์ได้เปลี่ยนถ่ายไปที่พระคริสต์ ผลก็คือมนุษย์ถูกกันออกไปจากภาพหรือไม่ก็ห้อยอยู่ริมภาพแบบติดแนบลางๆอยู่กับพระคริสต์ด้วยความหวังว่าจะรับสิทธิประโยชน์จากพระองค์บ้าง
เราได้ปฏิเสธความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าตามพระคัมภีร์และความคิดเกี่ยวกับมนุษย์ตามพระคัมภีร์ ขอให้คุณจำไว้ว่ามนุษย์มีค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า นั่นอาจไม่ใช่คำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแต่มันเป็นคำสอนของพระคัมภีร์ ในคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นมนุษย์ไม่มีค่าอะไร แม้ว่าเขาจะได้รับอานิสงส์จากพระเยซูบ้างก็ตาม
คุณค่าของพระคริสต์ต่อพระเจ้าในฐานะของมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะของพระเจ้า
คุณค่าของพระคริสต์ต่อพระเจ้าอยู่ที่การเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ ไม่ใช่ที่การเป็นพระเจ้าของพระองค์ นั่นเป็นอีกคำกล่าวที่เชื่อถือได้ที่สุดตามพระคัมภีร์ ผมขอย้ำอีกครั้งว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วคุณค่าของพระคริสต์ก็คือพระคริสต์ที่เป็นมนุษย์ ถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ก็ไม่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า คุณค่าทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของพระองค์ในการเป็นรูปเหมือน[5]ที่งดงามของพระเจ้า คุณต้องการให้พระเยซูเป็นพระเจ้าไหม? เชิญคุณให้พระองค์เป็นพระเจ้าเถิด แต่พระองค์จะไม่เป็นพระเจ้าในพระคัมภีร์
ผมตั้งใจจริงที่จะรักพระเยซูด้วยสุดใจของผมและเหมือนรักตัวผมเองเพราะนั่นเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงรักพระองค์ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่รัก ทรงเป็นที่รักและหวงแหนของพระเจ้า แต่คุณทราบไหมว่าในพระคัมภีร์ใหม่เราก็ถูกเรียกว่า “ที่รัก” บ่อยครั้งมากกว่าที่พระคริสต์ทรงถูกเรียกเสียอีก? เรื่องแบบนี้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่บอกให้คุณรู้
มีพระสุรเสียงออกจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา” (มัทธิว 17:5 ) เราจะคุ้นที่พระเจ้าทรงเรียกพระเยซูว่า “บุตรที่รักของเรา” แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับ “ที่รัก” ที่คุณอาจไม่รู้ คุณลองค้นคำว่า “ที่รัก” ในศัพท์สัมพันธ์ดูว่ามีปรากฏกี่ครั้งในพระคัมภีร์ คุณจะค้นในศัพท์สัมพันธ์ภาษากรีกหรือศัพท์สัมพันธ์ภาษาอังกฤษก็ได้ แล้วลองนับดูว่าคำนี้กล่าวถึงพระคริสต์กี่ครั้งและกล่าวถึงมนุษย์กี่ครั้ง คุณสามารถตรวจสอบความจริงได้ด้วยตัวคุณเอง คำว่า “ที่รัก” มีปรากฏมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม มี 69 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งส่วนใหญ่อ้างอิงถึงคุณและผม และก็มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่อ้างอิงถึงพระคริสต์ เราคุ้นเคยกับข้ออ้างอิงถึงพระคริสต์แต่เรามองข้ามข้ออ้างอิงมากมายถึงมนุษย์ เราตาบอดกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่ามนุษย์ไม่ได้สำคัญอะไร จากหลักคำสอนเรื่องความเลวทรามไปหมดนั้น มนุษย์จึงเป็นคนที่น่าสมเพชและเป็นคนบาปที่เลวทราม ความเสื่อมลงในฝ่ายวิญญาณกำลังรอคอยการช่วยให้รอดจากขุมนรก
นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมจึงแปลกใจที่พบว่ามนุษย์ถูกพูดถึงว่าเป็น “ที่รัก” เกือบเจ็ดสิบครั้ง เปาโลก็ยังพูดกับคริสตจักรทั้งหลายว่า “ที่รัก” (เช่น โรม 1:7 หรือ 1 เธสะโลนิกา 1:4)[6] นี่เป็นการพูดแค่พอเป็นพิธีไหม? ไม่ใช่เลย คุณเป็นที่รักของพระเจ้าอย่างแท้จริง! มนุษย์เป็นที่รักและพระเยซูทรงเป็นที่รักเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระเยซูมักจะอ้างถึงตัวพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์” ซึ่งเป็นคำฮีบรูที่มีความหมายเพียงว่ามนุษย์ คำว่า “พระบุตร” ไม่ได้ให้ความหมายว่าเป็นพระเจ้า เราจะไม่พบคำเรียก “พระเจ้าพระบุตร” ที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่ เหตุเพราะคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจึงทำให้เราไม่เห็นว่ามนุษย์มีค่าอะไร
ผมรู้สึกโกรธที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้ผมเสียเวลากว่าค่อนชีวิตในการรับใช้ของผม แต่ผมขอบคุณพระเจ้าว่าก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไป พระองค์ทรงกรุณามากที่ทรงนำผมออกมาจากความมืดและเข้ามาในความสว่างของพระองค์ ถ้าผมไม่ได้มีชีวิตอยู่มาถึงเจ็ดสิบปีล่ะจะเป็นอย่างไร? ผมจะได้เห็นความจริงไหม? และผมจะยืนอยู่ตรงไหนในวันพิพากษา? ผมคงถูกพิพากษาพร้อมกับเหล่าคนที่ไม่รู้ความจริง แถมยังบอดมืดด้วยคำสอนที่กันทั้งพระเจ้าและมนุษย์ออกไป และก็ถูกกล่าวโทษร่วมกับเหล่าคนที่ยกพระเยซูขึ้นเป็นพระเจ้าแม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่เคยบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็ตาม
ผมใช้เกือบทั้งชีวิตของผมพยายามพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยใช้ทุกข้อความที่จะสามารถขุดค้นได้จากพระคัมภีร์ ตอนนี้เมื่อผมดูข้อเดียวกันนั้นผมก็ถามตัวเองว่า “ผมมัวไปอยู่ที่ไหนมา?” ผมช่ำชองในการตีความและผมได้ใช้มันพิสูจน์ให้กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งเป็นคำสอนที่ไม่มีทางจะแก้ต่างได้ ผมพยายามอย่างดีที่สุดและทำได้ดีด้วย มันเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคุณใช้ความช่ำชองของคุณแก้ต่างให้กับความเชื่อที่ผิด แต่ในตอนนี้ผมสามารถตีกลับข้อความเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ข้อเหล่านั้นจึงตกไปเมื่อผมตรวจสอบจากมุมมองของความจริง
ความรักของพระเจ้าจดจ่ออยู่กับมนุษย์
ผมตั้งใจจะพูดถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์แม้จะไม่ครอบคลุมได้ทั้งหมดภายในบทนี้ สิ่งที่พิจารณากันจะยืนยันให้เห็นว่าพระเจ้ามองคุณและผมอย่างไร ให้เราดูโยบ 7:17-18
17มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า พระองค์จึงทรงถือว่าเขาสำคัญนัก และเป็นผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย 18ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า ทรงทดสอบเขาทุกขณะ (ฉบับมาตรฐาน 2011)
มนุษย์เป็นใครหนอ?[7] คำถามนี้มาจากสดุดี 8:4 คำตอบทั่วไปก็คือมนุษย์ไม่สำคัญอะไร แต่โยบ 7:17-18 กล่าวว่าพระเจ้าทรงถือว่าเขาสำคัญนัก กระทั่งทรงใส่พระทัยที่จะเยี่ยมเยียนเขา (หรือทรงตรวจสอบเขา) ทุกเช้า
ในการตีความจากพระคัมภีร์ตอนที่น่าสนใจนี้ สิ่งแรกให้เราสังเกตวิธีการแปลในแบบต่างๆ ของข้อ 18 “ทรงตรวจสอบเขาทุกเช้า” หรือ “ทรงทดสอบเขาทุกเช้า” หรือ “ลองดูเขาทุกเช้า[8]” เนื่องจากมีหลายวิธีที่จะแปลข้อความนี้ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ต้นฉบับภาษาฮีบรู
ในส่วนแรกของข้อ 18 (“ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า”) คำฮีบรู “'” (พากาด)[9] ที่แปลว่า “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ” สามารถใช้ในความหมายที่ต่างอย่างมากจาก “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ” ตัวอย่างเช่น คำนี้จะแปลใน 1 ซามูเอล 20:6 ว่า “ขาดไป” (“ถ้าเสด็จพ่อของท่านทรงสังเกตจริงๆว่าข้าพเจ้าขาดไป”) มันหมายความว่ารู้สึกขาดใครบางคนไปหรือเฝ้าคิดถึงใครบางคน จากความหมายที่เป็นไปได้นี้เราจึงสามารถอ่านโยบ 7:18 ว่า “(พระเจ้า) ทรงเฝ้าคิดถึงเขา (มนุษย์) ทุกเช้า” เมื่อฟังดูแล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
ในต้นฉบับเดิมของโยบ 7:18 () คุณจะเห็นคำ “
” (paqad “ทดสอบ” หรือ “ตรวจสอบ” ที่ทำเครื่องหมายเป็นเงาไว้) ในการอ่านภาษาฮีบรูนั้นคุณจำเป็นต้องรู้รากของคำ สิ่งที่ยากของคำฮีบรูก็คือมักจะมีคำนำหน้าและคำต่อท้าย คำนำหน้าและคำต่อท้ายของ “
” ตรงนี้จะเห็นในข้อความที่ทำเครื่องหมายเป็นเงาไว้คือ “
” ที่คุณเห็นอยู่ตรงกลางก็คือรากของคำ “
” (paqad) นี่แหละที่ทำให้ภาษาฮีบรูเรียนยากเพราะคุณจะงงถ้าหากคุณไม่รู้รากของคำนั้น คำว่า “พากาด” (paqad) ดูต่างไปเลยเมื่อมีคำนำหน้าและคำต่อท้าย
พระเจ้าทรงทดสอบมนุษย์ หรือตรวจสอบมนุษย์ หรือเยี่ยมเยียนมนุษย์ “ทุกเช้า” หรือ “ในตอนเช้า” (, liḇəqārîm)[10] เราเพิ่งเห็นใน 1 ซามูเอล 20:6 ว่า “พากาด” (paqad) หมายถึง “ที่ขาดไป” มันจะซึ้งมากกว่าไหมถ้าจะแปลคำกล่าวของโยบว่า “ที่ขาดเขาไปทุกเช้า”? เมื่อคุณตื่นขึ้นและร้องเรียกว่า “ผู้เป็นที่รักของผมอยู่ที่ไหน?” โดยรู้ว่าพระเจ้าทรงเฝ้าคิดถึงคุณทุกเช้า ก่อนที่คุณจะลืมตาของคุณพระองค์ก็ทรงอยู่ตรงนั้นเช่นเคย ทำไมจึงแปลตรงนี้ว่า “เยี่ยมเขาทุกเช้า” เพราะฟังดูเหมือนว่าพระเจ้าต้องเดินทางมาไกลเพื่อเยี่ยมเราในตอนเช้า?
คำว่า “พากาด” (paqad) ยังสามารถหมายความว่า “สุขสบาย” หรือ “ทุกข์สุข” ดังใน 1 ซามูเอล 17:18 “ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วรับของฝากมาจากพวกเขาบ้าง” (ฉบับมาตรฐาน 2011) เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์มันจะช่วยได้ถ้าคุณหาดูความหมายอื่นที่อาจเป็นได้ของข้อความนั้น อย่าอ่านพระคัมภีร์จากแง่มุมว่าต้องเป็นแบบนั้นได้แบบเดียวหรือจากแง่มุมของการแปล การแปลอาจขาดจุดละเอียดของข้อความที่ลึกซึ้งและมีความหมาย
“ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร” (1 ซามูเอล 17:18) พี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เขาสุขสบายดีไหม? ทุกเช้าพระเจ้าต้องการจะดูว่าคุณเป็นอย่างไรเพราะพระองค์ทรงคิดถึงคุณ มันน่าสนใจที่พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ[11]แปลคำนี้ว่า “เยี่ยม” หรือ “ตรวจสอบ” เหมือนกับว่าคุณต้องถูกตรวจสอบทุกเช้า แต่เราก็เห็นจากข้อความว่าพระเจ้าทรงคิดถึงคุณทุกเช้าและเป็นห่วงความทุกข์สุขของคุณ
เป็นไปได้ว่าโยบกำลังมองสิ่งต่างๆในทางลบในโยบ 7:17-18 ที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงทดสอบเขา นั่นเป็นความหมายที่เป็นไปได้ของคำนั้น แต่เมื่อค้นดูพจนานุกรมฮีบรูเล่มไหนก็ได้คุณจะพบความหมายที่อาจเป็นได้หลายอย่างของคำนั้น ผู้แปลต้องเลือกเอาจากหลายๆความหมายนั้น และพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษหลายฉบับก็ได้ตัดสินใจใช้ “ทรงทดสอบเขาทุกเช้า” คำนี้ฟังดูแล้วไม่ได้ทำให้สุขสบายเลยถ้าหากพระเจ้าจะทรงตรวจสอบคุณและทำให้คุณกระดุกกระดิกไม่ได้ทุกเช้า
หรืออาจจะเป็นว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากจนพระองค์ต้องคอยตรวจสอบข้อบกพร่องของคุณทุกอย่างดังที่คู่สามีภรรยาทำกันตลอดวัน ซึ่งหมายความว่าโยบที่น่าสงสารไม่มีที่จะหลบได้เลย! ภรรยาจะว่าสามี “เน็คไทของคุณเบี้ยว ผมของคุณก็ชี้ กินอาหารให้มันดีๆหน่อยได้ไหม? เอานี่ กระดาษเช็ดปาก” เธอตรวจสอบคุณไม่ใช่แค่ “ทุกเช้า” แต่ทุกขณะ และสามีก็ทำกับภรรยาอย่างเดียวกัน
“มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า พระองค์จึงทรงถือว่าเขาสำคัญนัก และเป็นผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย?” โยบไม่ได้พูดถึงแต่เฉพาะพระคริสต์แต่พูดถึงมนุษย์โดยทั่วไป เราตาบอดกับคำกล่าวอย่างตรงๆว่าความรักของพระเจ้าจดจ่ออยู่กับมนุษย์ ขณะเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราจะให้เหตุผลดีๆทุกอย่างกับพระเยซู และอะไรที่แย่ๆทุกอย่างก็ลงกับพวกเราที่เป็นมนุษย์
มนุษย์เป็นใครกัน? เขาเป็นคนที่พระเจ้าคิดถึงและใส่พระทัยด้วย พระเจ้าทรงใส่พระทัยคุณมาก! ถ้าคุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ข้อนี้ก็กำลังพูดถึงคุณอยู่! ผมเคยเชื่อว่าพระเจ้าทรงคิดถึงแต่พระเยซูเป็นส่วนใหญ่และคงใส่พระทัยผมก็เมื่อผมมีความเกี่ยวข้องกับพระเยซูเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่เกี่ยวข้องกับพระเยซู คุณกับผมไม่ได้มีค่าในตัวของเราเอง แต่ตามในพระคัมภีร์แล้วคุณมีค่ามากและมีคุณค่ากับพระเจ้าโดยไม่ขึ้นกับพระเยซู ที่จริงพระเยซูผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์ทรงมีคุณค่ากับพระเจ้าก็เพราะคุณ
ให้เราดูโรม 8:32 เพื่อดูว่าคุณกับผมมีคุณค่าอะไรในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยไม่ขึ้นกับพระเยซู เป็นได้ไหมว่าคุณมีคุณค่ามากกว่าและยิ่งกว่าพระเยซู? นั่นเกือบจะเหลือเชื่อ แต่จงดูข้อที่เราคุ้นเคยนี้ “พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เราพร้อมกับพระบุตรหรือ? (โรม 8:32 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์แต่ได้ประทานพระบุตรแก่เรา และเหมือนว่านั่นยังไม่พอ พระเจ้าจะทรงประทานสิ่งสารพัดให้เรา “พร้อมกับ” พระบุตรด้วย! คุณรู้ซึ้งหรือยัง? เมื่อคุณไตร่ตรองเรื่องนี้คุณนึกถึงอะไรบ้าง? พระคริสต์มีคุณค่าอันดับแรกและเรามีคุณค่ารองลงมาในพระคริสต์หรือ? คุณกับผมมีคุณค่าแต่เฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับพระคริสต์หรือ? หรือว่าคุณกับผมมีคุณค่าแม้ว่าจะไม่ขึ้นกับพระคริสต์?
การที่พระเจ้าทรงให้ความรักกับคุณและผมอย่างมากนั้น เป็นได้ไหมว่าพระองค์ทรงรักเรามากเหมือนที่ทรงรักพระคริสต์? ถ้าเรามีคุณค่าน้อยกว่าพระบุตรแล้วทำไมพระองค์จึงให้พระบุตรของพระองค์มาไถ่คุณกับผมด้วย? ประหนึ่งว่าแค่ให้พระบุตรก็ยังไม่พอ พระองค์จะให้ทุกสิ่งกับเราพร้อมกับพระบุตรด้วย ถ้าพระเจ้าไม่ได้หวงพระบุตรของพระองค์กับเรา แล้วจะมีอะไรอีกที่พระองค์จะประทานให้เราไม่ได้?
ผมอยากให้คุณเห็นว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นคุณมีคุณค่าในตัวของคุณเอง คุณค่าของคุณกับพระเจ้าไม่ขึ้นกับการเกี่ยวโยงกับพระคริสต์ เรามักจะคิดว่าพระเจ้าทรงรักพระคริสต์ แต่คุณสามารถ “เข้าร่วม” ได้อันเนื่องจากความเกี่ยวข้องของคุณกับพระคริสต์ นั่นเป็นวิธีที่เราคิดถึงมนุษย์ แต่เราลืมปฐมกาลไปหรือเปล่า? พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งหมดเพราะพระองค์ไม่มีอะไรจะทำหรือจึงทรงฆ่าเวลาด้วยการกระดิกนิ้วเล่นอยู่ในสวรรค์และตรัสว่า “เราเบื่อแล้ว เราจะสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและดวงดาวสักหน่อย” เช่นนั้นหรือ?
ถ้าคุณมีตาที่มองเห็นการสร้างด้วยมิติทางวิญญาณ คุณจะเห็นว่าในวันที่หกนั้นความสนใจทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ที่มนุษย์ จากเรื่องราวในปฐมกาลดูเหมือนว่าพระเจ้าได้เริ่มการสร้างของพระองค์อีกครั้ง ครั้งนี้ทรงปั้นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ต่างๆด้วยแต่ความแตกต่างที่สำคัญคือว่าพระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไปในจมูกของมนุษย์ แต่ไม่ได้ทรงระบายลมหายใจเข้าไปในจมูกของสัตว์ทั้งหลาย ลมหายใจไม่ได้มีเพียงเพื่อให้ร่างกายมีชีวิต เพราะไม่เช่นนั้นพวกสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ปฐมกาลไม่เคยบันทึกว่าพระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าในสิงโต หมี หรือสัตว์อื่นๆ แต่กระนั้นพวกมันก็มีชีวิตอยู่ได้
เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของพระเจ้านั้นไม่ใช่แค่ให้ชีวิตร่างกาย พระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไปในมนุษย์และมนุษย์จึงมาเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิต พระเจ้าทรงปลูกสวนให้มนุษย์และทรงสามัคคีธรรมกับเขาที่นั่น เมื่อมนุษย์ทำบาปพระเจ้าก็คลุมเขาด้วยหนังสัตว์และลบมลทินให้เขา พระเจ้าตรัสกับงูด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของมันแหลก (ปฐมกาล 3:15)[12] ที่เปาโลกล่าวถึงในโรม 16:20 “ไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติสุข จะทรงปราบซาตานให้ยับเยินลงใต้ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลาย”
เราจำเป็นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งเพื่อเรา หน้าที่ของพระเยซูในแผนการของพระเจ้าก็คือทำให้แผนการที่มีกับมนุษย์นั้นสำเร็จ ดังนั้นเราดำรงอยู่เพื่อพระเยซูหรือว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่เพื่อเรากันแน่? คำตอบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือว่าเราดำรงอยู่เพื่อพระเยซู เราควรจะหาดูคำตอบของพระคัมภีร์ แต่ตอนนี้ผมจะไม่เข้าไปในรายละเอียดนั้น
เราไม่สามารถยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระเยซูได้
ก่อนที่จะออกจากเรื่องความเชื่อในตรีเอกานุภาพและเข้าเรื่องการอธิบายพระคัมภีร์ ผมอยากจะพูดหนึ่งหรือสองประเด็น จากที่ได้ถามไปนั้นผมเห็นว่าคริสเตียนบางคนไม่รู้จักที่จะคิด หรือไม่อยากจะคิดในทางอื่นนอกจากในทางความเชื่อในตรีเอกานุภาพ พวกคุณบางคนอาจสรุปแบบนี้ว่า
“เป็นความจริงที่เราไม่ได้ให้บทบาทที่สมควรกับพระยาห์เวห์พระบิดาของเราหรือไม่ได้ให้บทบาทอะไรกับพระองค์เลย ชื่อของพระยาห์เวห์ไม่มีให้ได้ยินในคริสตจักรและก็ไม่ได้พบในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ ไม่พบแม้แต่ในพระคัมภีร์เดิม นี่เป็นความจริงที่เราได้ปัดพระยาห์เวห์ออกไปอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผมก็เห็นสมควรและยอมอะลุ้มอล่วย ผมจะให้ความสำคัญกับพระยาห์เวห์มากขึ้นในชีวิตของผม พระยาห์เวห์จะทรงมีบทบาทร่วมกับพระเยซูในชีวิตของผมคือพระยาห์เวห์ 50% พระคริสต์ 50% ทั้งสองพระองค์จะครองบัลลังก์ชีวิตของผม ผมจะนมัสการพระยาห์เวห์แต่ผมก็จะนมัสการพระเยซูต่อไปเหมือนก่อน”
“ผมนมัสการพระเยซูมา 20 หรือ 30 ปี (ส่วนของผม 50 ปี) พระเจ้าทรงดีต่อผมมาตลอด ช่วงที่ผมเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น พระเจ้าก็ทรงอวยพรผมและไม่เคยสาปผมให้ตาย ด้านการเงินของผมก็ไปได้ดี ผมไม่เคยต้องเจ็บหนัก เพื่อนของผมบางคนเสียชีวิตไปแล้วแต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมผมจึงควรหยุดอธิษฐานกับพระเยซูด้วย? เงินในบัญชีของผมก็ไม่มีปัญหา สุขภาพของผมก็ดี การอธิษฐานกับพระเยซูพระเจ้าของเราก็ดูใช้ได้นี่”
“ผมยอมรับว่าชาวคานาอันได้อธิษฐานขอฝนกับพระบาอัลและฝนก็ตก[13] เป็นความจริงที่พระเจ้าไม่ได้ให้พวกเขาถูกฟ้าผ่าตาย แม้พระองค์ได้ทรงส่งชนอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะกวาดล้างพวกเขาแต่พระเจ้าไม่ได้ทรงทำแบบนั้นกับเรา เราอธิษฐานกับพระเยซูและเราก็สมบูรณ์พูนสุขและสุขภาพดี แล้วก็ไม่เคยต้องถูกฟ้าผ่าตาย แต่ตอนนี้เราจะให้พระยาห์เวห์มีบทบาทมากขึ้น เราจะอธิษฐานกับพระยาห์เวห์และเราก็จะอธิษฐานกับพระเยซู แล้วทุกอย่างจะไปได้สวย”
ปัญหามีว่า คุณกับผมได้นมัสการพระเยซูกันมาตลอดชีวิตของเรา เราจึงไม่สามารถจะรับความจริงว่าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆได้ ที่บอกว่า “ธรรมดา” นั้นเราหมายถึงอะไร? ก็หมายถึงพระเยซูเป็นมนุษย์คนหนึ่งและไม่ใช่พระเจ้า ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น พระองค์อาจเป็นมนุษย์ที่พิเศษแต่ก็ยังเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ความเป็นจริงก็คือสำหรับเราแล้วพระเยซูไม่เคยเป็นมนุษย์แท้ ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะยอมรับว่าพระเยซูทรงมีร่างกายของมนุษย์ คือกายเนื้อหนังเหมือนของคุณและของผม แต่ข้างในกายนั้นเป็นพระเจ้าพระบุตรที่ประทับอยู่ที่ไม่ใช่มนุษย์ นั่นเป็นการกำหนดขึ้นของผู้เชื่อแบบอธานาเซียสหรือแบบตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ของศาสนศาสตร์ว่าเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์ตามแบบอเล็กซานเดรีย[14]ที่ได้ชัยชนะในการประชุมแห่งไนเซียและหลังจากนั้นมา
เราไม่เคยคิดจริงๆว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ เมื่อผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพพูดว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์จริงๆนั้นพวกเขาไม่ได้หมายความว่าพระเยซูทรงมีร่างกายมนุษย์เหมือนอย่างของเรา ถ้าคุณตอกตะปูตรึงพระกายของพระองค์กับกางเขน โลหิตก็จะไหลออกมา แต่ผู้ที่ถูกตรึงจริงๆก็คือพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็น “พระเจ้าที่ถูกตรึงบนกางเขน” ตามที่มอลท์มานน์[15]กล่าวไว้ ตามคำสอนของความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา พระองค์จะไม่มีทางเป็นเหมือนหนึ่งในพวกเราจริงๆตามข้อกำหนดที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อ้างถึงพระองค์ ตามหลักข้อเชื่ออธานาเซียสนั้นวิญญาณมนุษย์ที่สัพพัญญูของพระองค์ได้ถูกแทนที่โดยพระเจ้าพระบุตร ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ในตอนที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูไม่เคยเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ที่พระเยซูทรงถูกทดลองเหมือนกับเราทุกประการ (ในฮีบรู 4:15)[16] ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ (ยากอบ 1:13)[17] ถ้าพระเจ้าพระบุตรผู้ที่อยู่ในพระเยซูไม่สามารถจะถูกทดลองได้ แล้วจะเป็นอะไรหรือที่จะสามารถถูกทดลองได้? พระหัตถ์ของพระองค์หรือ? พระกรของพระองค์หรือ? ความเชื่อในตรีเอกานุภาพปฏิเสธพระคัมภีร์เมื่อกล่าวว่าสิ่งที่อยู่ข้างในพระเยซูคือพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์
พระคัมภีร์พูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์คนที่สอง (1 โครินธ์ 15:47)[18] แต่การกำหนดของพระคัมภีร์เรื่องความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์[19]นี้ไม่อาจเป็นความจริงได้ในความเชื่อตรีเอกานุภาพ เพราะพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์คนแรก ที่จริงก็คือพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นไม่ได้มีแค่ร่างกายของมนุษย์แต่จะต้องมีจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วย ถ้าไม่ได้มีวิญญาณมนุษย์อยู่ข้างในพระองค์ พระเยซูก็ไม่ใช่มนุษย์ นั่นเป็นสถานการณ์ลำบากที่บรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรในยุคแรกๆต้องต่อสู้ เนสโตเรียส[20]บ่งชัดว่าเพราะองค์ประกอบภายในที่มีร่างกายของมนุษย์แต่ไม่มีวิญญาณของมนุษย์ พระเยซูจึงไม่ใช่มนุษย์ ผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามเขารู้ว่าเขาพูดถูกแต่พวกเขาไม่สามารถจะหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระเจ้า 100 % และมนุษย์ 100 % เพราะว่าผลลัพธ์ที่คุณได้ก็คือไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแต่เป็นการรวมสองบุคคลเข้าด้วยกันให้มีอยู่จริงที่ทำอะไรไม่ได้
ทำไมผมจึงพูดเรื่องทั้งหมดนี้? ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพวกคุณบางคนต้องการจะอะลุ้มอล่วย ผมกำลังจะบอกพวกคุณว่าการอะลุ้มอล่วยจะไม่ทำให้คุณได้อะไร เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับก็คือไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรือมนุษย์ ในพระคัมภีร์มีบอกว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระยาห์เวห์ แล้วก็ไม่มีผู้ใดที่เรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร” คุณกำลังกันพระเจ้าพระยาห์เวห์และกันมนุษย์ออกไป และสุดท้ายคุณก็จะได้คนที่เป็นพระเจ้าก็ไม่ใช่ เป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ ในเทพนิยายจะมีครึ่งคนครึ่งสัตว์คือมีครึ่งหนึ่งเป็นคนและอีกครึ่งหนึ่งเป็นม้า หรือเช่นนางเงือกที่ครึ่งบนเป็นหญิงสาวและครึ่งล่างเป็นปลา ไม่ได้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นม้าก็ไม่ใช่และจะเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ จะเป็นปลาก็ไม่ใช่และจะเป็นหญิงสาวก็ไม่ใช่ จะเป็นวัวก็ไม่ใช่และจะเป็นชายหนุ่มก็ไม่ใช่ เรากำลังทำให้พระคริสต์เป็นอะไรหรือ? ผลที่ออกมาจากทั้งหมดนี้ก็คือเรากันพระยาห์เวห์ออกไปและกันมนุษย์ออกไป
พระเจ้าทรงรักมนุษย์ที่ไม่น่ารัก
พระเจ้าทรงรักพระเยซูไม่ใช่เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ผมไม่ได้กำลังสนับสนุนความคิดของผมเองแต่นำสิ่งที่เห็นในพระคัมภีร์ออกมาให้เราเห็น สิ่งที่ยิ่งน่าประหลาดใจก็คือพระเจ้าทรงรักพระเยซูก็เพราะว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับมนุษย์ที่น่ารักเลย! แต่กระนั้นพระเจ้าก็ทรงรักเราที่ไม่น่ารัก พระองค์ทรงรักชนอิสราเอลและยังตรัสว่า “คนอิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของเรา”[21] (อพยพ 4:22 ฉบับ 1971)
การได้อยู่ในอิสราเอลเป็นเวลาหลายเดือน ผมจึงรู้ว่าคนยิวจัดอยู่ในกลุ่มคนที่รักได้ยากที่สุดในโลก คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไรถ้าคุณใช้ชีวิตในหมู่พวกเขา บางครั้งผมยังสงสัยเลยว่าทำไมพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกที่จะรักคนเหล่านี้ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกับคนยิว ปกติแล้วผมเข้ากับพวกเขาได้ดีแต่คุณจะต้องมีใจกว้างมากที่จะให้อภัย
เหตุอะไรหรือที่ทำให้รักคนยิวได้ยาก? มีใครเคยถามคนเยอรมันโดยเฉพาะพวกนาซีไหมว่าทำไมจึงฆ่าชาวยิวหกล้านคนด้วยการบ่มแก๊สและด้วยวิธีอื่นๆ? มีใครเคยอยากถามไหมว่าอะไรเป็นมูลรากของการไม่ชอบชาวยิว?[22] เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะถูกเกลียดชังอย่างมากจากคนเยอรมันทั้งชาติทั้งๆที่พวกเขาก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วอายุและก็พูดภาษาเยอรมันเหมือนกับคนเยอรมัน? นั่นเป็นเพราะชาวเยอรมันมีความวิปริตทางจิตหรือ? พวกชาวยิวถูกเกลียดชังโดยไม่มีสาเหตุหรือ? คุณลองอาศัยอยู่ในอิสราเอลดูสักพักก็จะพบคำตอบ
ผมเกือบไม่ได้เข้ามาศึกษาในอิสราเอลเมื่อพวกเขาโกรธผมตอนที่ผมกำลังต่อวีซ่า เจ้าหน้าที่แผนกวีซ่าพูดกับผมว่า “คนจีนคงจะมีเป็นล้านๆ และล้านๆสินะ” ผมตอบว่าใช่ แล้วเขาก็พูดว่า “คุณรู้ไหมว่ามีคนยิวจำนวนเท่าไหร่? ก็แค่ไม่กี่ล้านหรอก แต่พวกเรามีอยู่ทุกที่ทุกแห่งในโลกนี้ แล้วคนจีนล่ะอยู่ที่ไหนกันมั่ง?” ผมพูดอยู่ในใจขณะยืนอยู่ว่า “คนนี้ตาบอดไหมนี่?” เขาจงใจพูดให้คนรำคาญ เขามีปัญหาอะไรหรือ? คนอื่นไม่เป็นธรรมกับเขาหรือ? เขาเป็นคนมีปมด้อยหรือ? คนจีนก็มีอยู่ทุกที่เช่นกันแต่ผมไม่อยากจะพูด ผมมองเขาแล้วก็เดินออกไป ผมไม่อยากจะเสียเวลากับชายคนนี้ เขาคิดว่าพูดอย่างนั้นแล้วจะผูกมิตรกับคุณอย่างนั้นหรือ? หรือคุณกำลังประทับใจที่มีคนยิวอยู่ในทุกแห่งหนหรือ? ท่าทีแบบนี้น่ารำคาญ ดังนั้นคุณจึงต้องมีใจกว้างมากที่จะให้อภัย
คนเยอรมันส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เรื่องการทำลายล้างชาวยิวเมื่อตอนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่พวกที่รู้รวมทั้งทหารบางส่วนก็ยินดีร่วมมือ ผมไม่ทราบว่าในสถานการณ์เหล่านั้นมีใครที่คัดค้านการกำจัดพวกยิวบ้าง? ถ้าคุณถูกเกลียดชัง คุณควรต้องถามว่าคุณได้ทำอะไรไหมที่จุดชนวนความเกลียดชังนั้น?
แต่เมื่อผมตรึกตรองเรื่องนี้ ผมจึงพูดว่า “นี่เป็นคนที่ไม่น่าชอบที่สุด แต่กระนั้นพระเจ้าก็ทรงเลือกคนที่ไม่น่ารักที่จะทรงสำแดงความรักของพระองค์ด้วย” คนในหลายประเทศนั้นรักได้ง่ายเพราะว่าพวกเขาเป็นคนใจดีและสุภาพอ่อนโยน เมื่อผมไปเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ผมพูดกับตัวเองว่า “โอ้โห คนพวกนี้ช่างสุภาพดี” คุณเดินเข้าไปในร้าน พวกเขาก็ทักทายคุณอย่างอบอุ่น ทุกคนน่ารักและสุภาพ คุณจะไม่เจอข้อบกพร่องของพวกเขาเลย ผู้มาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ต่างก็กลับไปด้วยความประทับใจที่ดีๆ
ผมเป็นเพื่อนกับไม่กี่คนในอิสราเอล มีพันเอกชาวดัทช์ พันตรีชาวฝรั่งเศส นักวิชาการชาวนอร์เวย์ แต่ไม่มีชาวยิวสักคน พันเอกชาวดัทช์เป็นผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติพักอยู่ข้างบ้านของผมและเราได้มาเป็นเพื่อนกัน ภายหลังผมได้ไปเยี่ยมเขาในฮอลแลนด์ พันตรีชาวฝรั่งเศสพักอยู่ห้องตรงข้ามกับผมและเราก็มาเป็นเพื่อนกัน ส่วนชาวนอร์เวย์นั้นเขากับผมได้เรียนภาษาฮีบรูด้วยกัน ยังมีชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เรียนภาษาฮีบรูพร้อมกับผมและต่อมาภายหลังได้มาเป็นศาสตราจารย์สอนภาษาฮีบรู มันกลับเป็นว่าเพื่อนๆที่ผมมีในอิสราเอลนั้นไม่ใช่ชาวยิว ผมจึงคิดว่า “จะหาเพื่อนชาวยิวได้ที่ไหน?” ผมไปอิสราเอลเพื่อเรียนภาษาฮีบรูที่นั่นและผมคงจะมีความสุขที่ได้เป็นเพื่อนกับชาวยิว
ประเด็นของผมก็คือว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกคุณและผมเพราะเราน่ารัก แต่เพราะว่าพระเจ้าทรงยินดีที่จะรักคนที่ไม่น่ารัก นั่นยากที่จะเข้าใจได้ มีชาติไหนหรือชนชาติไหนที่เป็นเป้าของการถูกทำลายล้างถึงขนาดของชาวยิวไหม? ชาวยิวถูกหมายหัวและไม่ใช่แต่ในเยอรมันเท่านั้น ในหลายประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ไม่มีใครชอบพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโปแลนด์หรือที่อื่นๆ ชาวยิวในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่พ้นจากปัญหานี้ คงเป็นเพราะพวกเขาอาจเรียนรู้ที่จะเข้ากับสังคม และคิดได้ว่าไม่จำเป็นที่พวกเขาเองต้องทำตัวให้ใครเกลียด
พระเจ้าทรงเลือกที่จะรักคุณและผม พระเยซูตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” (ยอห์น 17:23)[23]
พระเจ้าทรงรักเหล่าสาวกเหมือนที่ทรงรักพระเยซู! คุณเคยเข้าใจในเรื่องนี้ไหม? นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักคุณและผมมากแค่ไหน! และพระองค์ทรงรักพระเยซูแค่ไหนหรือ? คุณอาจตอบว่า “พระเจ้าทรงรักพระเยซูโดยไม่มีขีดจำกัด!” แต่เกณฑ์ความรักของพระเจ้าที่มีกับพระเยซูนั้นก็เป็นเกณฑ์ความรักของพระเจ้าที่มีกับเหล่าสาวก! พระเจ้าทรงรักคุณและผมมากเท่ากับที่พระองค์ทรงรักพระเยซูจริงๆหรือ? ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็จงค้นคำ “” (kathōs)[24] ในพจนานุกรมดู มันแปลว่า “อย่างที่ ในทำนองเดียวกัน ในลักษณะเดียวกัน ในระดับเดียวกัน เท่ากันกับ”
แนวคิดใหม่ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมองดูมนุษย์นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับหลักคำสอนของความเลวทรามไปหมด เมื่อพระยาห์เวห์ทรงรักพระเยซู พระยาห์เวห์ก็ทรงรักคุณด้วยในแบบเดียวกัน (, kathōs) ดังนั้นคุณจึงจะซาบซึ้งใจว่าทำไมเราจึงต้องรักพระยาห์เวห์ เรารักพระองค์เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราก่อน
ถ้าผมทำให้คุณเข้าใจจุดนี้ได้ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับครั้งนี้ พระเจ้าตรัสถึงพระเยซูว่าเป็น “บุตรที่รักของเรา” (มัทธิว 3:17) แต่พระเจ้าทรงรักคุณมากเท่ากับที่พระองค์ทรงรักพระบุตรที่รัก (, agapētos)[25]ของพระองค์
ในข้อความกรีกจากยอห์น 17:23 คำกล่าว “และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” คือ “” จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้สองคู่ คำที่ขีดเส้นใต้คู่ที่สอง “(ได้)ทรงรักข้าพระองค์” (“loved me”) นั้นอยู่ในรูปของกาลกริยาที่กระทำแล้ว(Aorist)[26] ในคำที่ขีดเส้นใต้คู่แรก “(ได้)ทรงรักพวกเขา” (“loved them”) คำว่า “
” (“ได้ทรงรัก”) คำเดียวกันก็อยู่ในรูปของกาลกริยาที่กระทำแล้วเหมือนกันซึ่งคราวนี้กำลังกล่าวถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเหล่าสาวก พูดอีกอย่างว่าพระเยซูตรัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเหล่าสาวกและความรักของพระเจ้าที่มีต่อพระเยซูในประโยคเดียวกัน รูปแบบของไวยากรณ์อย่างเดียวกันของทั้งสองส่วนนี้ที่เชื่อมด้วยคำ “
” (kathōs, เหมือนกันกับ ในแบบเดียวกัน) บอกกับเราว่าพระเจ้าทรงรักคุณเหมือนที่พระองค์ทรงรักพระเยซู ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในอนาคตเท่านั้นแต่ในอดีตด้วย (แต่ Aorist ก็เป็นกาลกริยาที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่อดีต) พระยาห์เวห์ทรงรักเหล่าสาวกเหมือนที่ทรงรักพระเยซู
เอเฟซัส 1: แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์
ให้เราสำรวจเอเฟซัสบทที่หนึ่งเพื่อดูการเชื่อมโยงกันนี้ เราจะไม่ครอบคลุมหมดทั้งบทแต่ผมหวังว่าคุณจะอ่านเอเฟซัสในแบบที่คุณอาจไม่เคยอ่านมาก่อน
เอเฟซัส 1:3 กล่าวว่า “สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์”[27] พระเจ้าได้ประทานพระพรให้คุณและผมทางพระคริสต์ คุณคุ้นเคยกับคิดอย่างนั้นไหม? คุณอาจจะคิดว่าพระเจ้าประทานพระพรให้พระคริสต์ แต่เราล่ะพระเจ้าประทานพระพรให้เราไหม? ความจริงมีว่าพระเจ้าได้ทรงส่งพระคริสต์มาเพื่อจะประทานพระพรให้เราไม่ใช่ในแบบที่จำกัด แต่ “ด้วยพระพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างในสวรรคสถาน”! เปาโลจึงเผยให้เห็นความลึกและความสวยงามของความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา
4..ดังเช่นในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 5พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ 6เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆในพระเยซูที่พระองค์ทรงรัก 7ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิดโดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า 8ซึ่งประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญาและความเข้าใจทุกอย่าง 9พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ 10ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์ (เอเฟซัส 1:4-10 ฉบับมาตรฐาน 2011)
จงสังเกตคำที่พูดซ้ำ “แก่เรา” และ “เรา” โดยทางพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานพระพรแก่เรา เลือกเรา กำหนดเรา ประทานพระคุณแก่เรา ทรงยกโทษความผิดบาปของเรา และทรงเผยความล้ำลึกของพระประสงค์ของพระองค์กับเรา พระองค์ทรงเลือกเราเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเลือกพระคริสต์
คุณรู้ไหมว่าคุณดำรงอยู่ก่อน? มีบางคนถามผมเรื่องการทรงดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ ตามพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วพระเจ้าได้ทรงเลือกเราในพระคริสต์ตั้งแต่เมื่อไร? มันเกิดขึ้น “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก” ยินดีด้วยที่คุณเพิ่งค้นพบว่าคุณดำรงอยู่ก่อน! ผมชี้ข้อนี้ให้เห็นเพราะว่ามันมักจะถูกยกมาพิสูจน์การดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ แต่ข้อนี้ไม่ได้กำลังพูดถึงพระคริสต์แต่กำลังพูดถึงการเลือกเราในพระคริสต์ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นก่อน “การทรงสร้างโลก” และด้วยจุดประสงค์อะไรหรือ? จุดประสงค์ก็คือที่เราจะ “บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์”
ในข้อ 5 “พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์” และนี่ก็ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก พระคริสต์เสด็จมาเพื่อว่าพระยาห์เวห์จะประทานพระพรแก่เราได้ในพระองค์หรือทางพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกเราในพระคริสต์และทรงกำหนดเราไว้ “ตามความชอบพระทัยของพระองค์”[28] หรือ “ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์”[29]
นั่นเป็นความชอบพระทัยของพระเจ้าที่จะประทานพระพรให้เรา เลือกเรา และกำหนดเราไว้ล่วงหน้าให้เป็นบุตรของพระองค์ “เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์[30] (ของพระยาห์เวห์) ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆในพระเยซูที่พระองค์ทรงรัก”[31] เราได้เห็นคำ “ที่รัก” (เช่น “บุตรที่รักของเรา” ในมัทธิว 3:17) คำนี้ในต้นฉบับภาษากรีกของเอเฟซัส 1:6 ไม่ได้อยู่ในรูปของคำนามหรือคุณศัพท์แต่อยู่ในรูปของกริยา (“ผู้ที่ทรงรัก”) มักจะถูกแปลในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษให้เป็นคำนาม (“ผู้เป็นที่รัก”)
เปาโลกล่าวต่อไปว่า (ข้อต่อไปนี้ถูกอ้างอิงอีกพร้อมกับข้อสังเกตในวงเล็บ)
7ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิดโดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) 8ซึ่ง (พระยาห์เวห์) ประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญาและความเข้าใจทุกอย่าง 9พระเจ้า (พระยาห์เวห์) โปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ (พระยาห์เวห์) ตามความชอบพระทัยของพระองค์ (พระยาห์เวห์) ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ 10ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงาน (ของพระเจ้า) สำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์ (ฉบับมาตรฐาน 2011)
คุณเห็นความรักที่เกินอธิบายของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเราไหม? เปาโลกล่าวว่าพระยาห์เวห์ “ผู้ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์” (ข้อ 3) แล้วเปาโลก็แจกแจงพระพรว่ามีอะไรบ้างโดยให้รายการพระพรยาวเหยียด จากคำยืนยันที่เราได้รับพระพรด้วย “พรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างในสวรรคสถาน” เราเห็นว่าไม่ใช่แต่พระยาห์เวห์จะอวยพรเราในอนาคต แต่พระองค์ยังได้ประทานมรดกฝ่ายวิญญาณให้เราด้วย คุณรู้ไหมว่าคุณได้รับพระพรมากแค่ไหน? เมื่อภาระทั้งหลายของโลกกำลังรุมล้อมและบีบคั้นคุณ ขอให้จำไว้ว่าพระองค์ได้ทรงอวยพรคุณและได้เลือกคุณ
ตรงนี้เป็นอีกอย่างที่ผมหวังจะให้คุณจดจำไว้ในใจของคุณว่าจริงๆแล้วทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ก็นำมาใช้กับเรา เมื่อพระเยซูถูกเลือกไว้ เราก็ถูกเลือกไว้ เมื่อพระเยซูเป็นบุตร เราทั้งหลายก็เป็นบุตร
ก่อนหน้านี้ผมได้ถามว่า เราดำรงอยู่เพื่อพระคริสต์หรือว่าพระคริสต์ดำรงอยู่เพื่อเรา? คำตอบในเอเฟซัสบท 1 ก็คือ พระเจ้ากำลังกระทำทุกสิ่งนี้เพื่อเราทางพระเยซูคริสต์ ในแผนการนิรันดร์ของพระเจ้านั้นพระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนที่เราได้รับพระพรของพระเจ้า เช่น การทรงเลือก การถูกรับเป็นบุตร การไถ่ และการยกโทษบาป สิ่งเหล่านี้เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณบางส่วนที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เรา “อย่างเหลือล้น” คำว่า “อย่างเหลือล้น” หมายถึงว่าพระเจ้าทรงควักเงินจากกระเป๋าของพระองค์ยื่นให้เราอย่างนั้นหรือ? การประทานให้ “อย่างเหลือล้น” หมายถึงอย่างนี้มากกว่า “เอ้านี่..เราให้หมดกระเป๋าของเรา เอาไปให้หมด เอาไปทั้งปึกเลย!” เมื่อเปาโลกำลังพูดถึงการประทานให้ “อย่างเหลือล้น” ของพระเจ้านั้นเขาไม่ได้กำลังกล่าวถึงพระคริสต์ แต่กำลังกล่าวถึงเราที่เป็นจุดมุ่งหมายของการประทานให้ “อย่างเหลือล้น” นี้
เปาโลพูดต่อว่า “ซึ่งประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญาและความเข้าใจทุกอย่าง พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์” พระเจ้าทรงเผยความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์กับเราไม่ใช่กับพระคริสต์แม้ว่าพระคริสต์จะเป็นเครื่องมือหรือตัวแทนที่พระเจ้าทรงนำพระพรทุกอย่างมาถึงมนุษย์ เปาโลสรุปโดยบอกว่าทุกอย่างทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกถูกรวบรวมอยู่ในพระคริสต์
ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ผมคิดว่าพระคริสต์เป็นจุดศูนย์กลางของพระประสงค์ของพระเจ้าและเราเป็นเพียงส่วนเสริมหรือเพิ่มเติม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารับการปลูกฝังให้เห็นว่าเป็น “พระเยซูคริสต์” แต่ถ้าเราดูคำที่อ้างอิงซ้ำๆของเปาโลว่า “เรา” และ “แก่เรา” คุณจะเริ่มเห็นสิ่งที่ต่างกัน
ตั้งแต่แรกสร้างโลก
คำว่า “ก่อนทรงสร้างโลก” นั้นไม่ได้มีเฉพาะแต่เอเฟซัส 1:4 เพราะมีข้อพระคัมภีร์อื่นที่พูดถึงการที่เราถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ความจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้คุณชอบใจกับการดำรงอยู่ก่อนของคุณ พระเยซูตรัสว่า
ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก” (มัทธิว 25:34 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ถ้อยคำจากอุปมาแกะกับแพะบอกว่าอาณาจักรนี้ได้เตรียมไว้สำหรับใคร? เตรียมไว้สำหรับพระเยซูหรือ? ไม่ใช่เลย พระเยซูเองที่ตรัสว่า “เตรียมไว้สำหรับท่าน” พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะรวมคุณอยู่ด้วยในอาณาจักรของพระองค์ อาณาจักรถูก “เตรียมไว้สำหรับท่าน” จะมีประโยชน์อะไรหรือถ้าอาณาจักรหนึ่งๆนั้นไม่มีพระมหากษัตริย์หรือประชาชน? อะไรมีความสำคัญกับอาณาจักรมากกว่ากันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน? การที่จะมีพระมหากษัตริย์แต่ไม่มีประชาชนก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณมีประชาชนคุณก็ต้องการพระมหากษัตริย์ที่จะปกครองพวกเขา พระมหากษัตริย์มีไว้เพื่อประชาชนหรือว่าประชาชนมีไว้เพื่อพระมหากษัตริย์? ผมจะกลับมาที่คำถามนี้ ตอนนี้ผมแค่จะเน้นย้ำ “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก”
ถ้อยคำนี้ถูกใช้ในวิวรณ์ 13:8 “และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก (ฉบับมาตรฐาน 2011)
คนเหล่านั้นที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตจะพินาศ ชื่อของคุณถูกจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตเมื่อไร? เมื่อวานนี้หรือ? วันที่คุณเกิดหรือ? วันที่คุณรับบัพติศมาหรือ? อันที่จริงชื่อของคุณถูกจดไว้ “ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก” ตอนนี้คุณเชื่อมั่นเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของคุณหรือยัง?
มีคำถามหลายคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ก่อนของพระเยซู แต่ทำไมคุณจึงหยุดที่การดำรงอยู่ก่อนของพระองค์เล่า? พระเยซูจะทรงดำรงอยู่ก่อนถ้าคุณดำรงอยู่ก่อน แต่ผมขอเตือนคุณว่าถ้าคุณบอกว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนและมวลมนุษย์ที่เหลือไม่ได้ดำรงอยู่ก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นพระเยซูก็ไม่ใช่มนุษย์ คุณต้องเลือกเอา ถ้าคุณต้องการจะนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่คุณเลือกเอง เพราะในวันนั้นคุณจะไม่ได้ตอบกับผมแต่จะตอบกับพระเจ้า
เปาโลกล่าวใน 2 ทิโมธี 1:9 ว่า พระคุณได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย” (ฉบับอีเอสวี)[32] หรือ “ตั้งแต่นิรันดร์กาล” (ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด)[33] หรือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของกาลเวลา” (ฉบับเอ็นไอวี)[34] หรือ “ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา” (ฉบับนิวคิงเจมส์)[35] มาถึงตอนนี้คุณควรมั่นใจในการดำรงอยู่ก่อนของตัวคุณเอง ไม่เช่นนั้นพระคุณจะประทานให้กับคุณ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย” ได้อย่างไรถ้าคุณไม่ได้ดำรงอยู่ตั้งแต่เวลานั้น? หรือว่าเปาโลกำลังแค่พูดว่าในการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้านั้นพระองค์ทรงมีแผนการไว้นานมาแล้วที่จะประทานพระคุณนี้ให้คุณก่อนจะเริ่มยุคสมัยเสียอีก ก่อนที่คุณจะดำรงอยู่จริงเสียอีก? อันไหนถูกกันแน่? ให้จำไว้ว่าอะไรที่เป็นความจริงกับคุณก็เป็นความจริงกับพระคริสต์ด้วย เพราะเป็นหลักการอย่างเดียวกันของพระคัมภีร์และการตีความ ตอนนี้คุณจะบอกไหมว่าคุณดำรงอยู่ก่อนด้วยพระคุณที่ประทานให้กับคุณ “”[36] ซึ่งก็คือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของกาลเวลา” หรือ “นานมาก่อนเริ่มยุคสมัย”?
ข้อต่อมากล่าวว่า “และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ” (ข้อ 10 ฉบับมาตรฐาน 2011) สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดตั้งแต่นิรันดร์กาล[37]นั้นตอนนี้ได้เปิดเผยให้เห็นโดย “ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” การสำแดงนี้มาถึงเราทางพระคริสต์ซึ่งเป็นตัวแทนที่พระเจ้า “ได้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะมาสู่ความสว่างโดยทางข่าวประเสริฐ”
1 เปโตร 1:20 กล่าวว่าพระคริสต์ “ทรงถูกกำหนดไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้เพื่อพวกท่าน”[38] เปโตรพูดว่า “เพื่อพระคริสต์” หรือ “เพื่อพวกท่าน”? เปโตรพูดไว้อย่างชัดเจนว่า “เพื่อพวกท่าน” แต่คุณอาจรับเรื่องนี้ได้ยาก สำหรับเราแล้วทุกสิ่งนั้นไม่ใช่เพื่อพวกเรา แต่เพื่อพระคริสต์พระบุตรที่รักของพระเจ้า เพราะคุณกับผมไม่สำคัญอะไร เรามีแนวโน้มที่จะคิดว่าเปโตรเข้าใจตรงนี้ผิด ดังนั้นเราจึงเอาเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนทรงสร้างโลกที่เปโตรใช้กับเรานั้นมาใช้กับพระคริสต์
เปาโลกล่าวว่า “เรารู้ว่าทุกๆสิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาคนที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” (โรม 8:28 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ข้อนี้ดูคุ้นกับเรา แต่เรารู้จริงๆหรือเปล่าว่ามันกำลังบอกอะไร? เปาโลบอกว่า “เรารู้” แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่รู้จริงๆหรอกว่าพระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งในจักรวาลนี้เพื่อทำให้เกิดผลดีแก่..... เปาโลบอกว่าเพื่อให้เกิดผลดีแก่พระคริสต์ไหม? เราถูกสอนให้เชื่ออย่างนั้น แต่เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าทรงทำให้ทุกๆสิ่งเกิดผลดีกับบรรดาคนที่รักพระองค์ ถ้าคุณอยู่ในบรรดาคนเหล่านี้ที่รักพระเจ้าและถูกเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ก็จงคิดดูว่าพระยาห์เวห์ทรงรักคุณมากเพียงใด พระองค์ทรงทำให้ทุกๆสิ่งทั่วจักรวาลนี้เกิดผลดีกับคุณในทุกสถานการณ์ ถ้านั่นไม่ได้ทำให้คุณแปลกใจ คุณก็คงไม่เข้าใจในสิ่งที่เปาโลกำลังพูด
คุณกำลังเจ็บป่วยอยู่ไหม? คุณกำลังทุกข์ทรมานอยู่ไหม? คุณเจอกับความโชคร้ายอะไรไหม? คุณเชื่อไหมว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกๆสิ่งทั่วจักรวาลนี้เกิดผลดีกับคุณ?
ข้อต่อมากล่าวว่า “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้(กำหนดไว้)[39] ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” (โรม 8:29 ฉบับ 1971) มันจะมีความหมายอะไรไหมที่จะเรียกใครสักคนว่าบุตรหัวปีถ้าหากเขาไม่ได้มีพี่น้องเลย? บุตรหัวปีหมายความว่ามีคนอื่นๆตามมาอีก พระเยซูเป็นจุดเริ่มต้น เป็นคนแรกของพี่น้องทั้งหมดในการสร้างใหม่
ข้อต่อมากล่าวว่า “และบรรดาผู้ที่ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย” (โรม 8:30 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) คำว่า “รับเกียรติสิริ”() อยู่ในรูปกาลกริยาของอดีตมากกว่ารูปของอนาคตซึ่งหมายความว่าเราได้รับเกียรติสิริแล้ว แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไรในอดีตที่คุณได้รับเกียรติสิริหรือ? เมื่อวานนี้ไหม? วันที่คุณเกิดไหม? ความจริงที่น่าอัศจรรย์ก็คือคุณถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก[40](เอเฟซัส 1:4-5) เหมือนกับที่ชื่อของคุณได้ถูกจดไว้ตั้งแต่แรกสร้างโลก[41] (วิวรณ์ 13:8) แต่เมื่อการรู้ล่วงหน้ามาก่อนการกำหนดไว้ล่วงหน้าในโรม 8:29 พระเจ้าจึงทรงรู้จักคุณล่วงหน้าก่อนทรงสร้างโลกเช่นกัน
บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วพระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนด้วย ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วพระองค์ก็ได้ทรงเรียกมาด้วย ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นพระองค์ก็ทรงให้เป็นผู้ที่ชอบธรรมด้วย ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นผู้ที่ชอบธรรมพระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย พระเจ้าทรงเรียกคุณเมื่อไร? คุณได้ยินการเรียกตั้งแต่แรกสร้างโลกไหม? แต่ในแผนการของพระเจ้านั้นคุณเป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกเพราะพระเมษโปดกได้ถูกประหารตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมพระองค์ก็ให้รับพระเกียรติสิริด้วย คุณคงหวังว่าเปาโลจะพูดถึงเกียรติสิริของคุณโดยใช้รูปอนาคตกาล แต่ในแผนการนิรันดร์ของพระเจ้านั้นคุณได้รับเกียรติสิริตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
“ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราได้ให้เจ้า (อับราฮัม) เป็นบิดาของชนหลายชาติ’ เฉพาะ
พระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้ชีวิตแก่คนที่ตายแล้ว และทรงเรียกสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดให้มีขึ้น” (โรม 4:17 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระเจ้าทรงบอกถึงสิ่งที่ยังไม่มีขึ้นเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีขึ้นแล้ว พระองค์กำลังทำสิ่งนี้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก นั่นคือเหตุที่พระเจ้าจึงสามารถประทานพระพรให้เรา กำหนดเราไว้ล่วงหน้า ทรงเรียกเรา และให้เกียรติสิริเราเหมือนว่าเราดำรงอยู่แล้วในเมื่ออันที่จริงเรายังไม่ได้ดำรงอยู่เลย คุณอยากจะพูดถึงสิ่งนี้ว่าเป็นการดำรงอยู่ก่อนก็ได้
พระเจ้าทรงกล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่มีขึ้นเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีขึ้นแล้วเพราะว่าพระเจ้าทรงดำเนินการในนิรันดร์กาลที่ไม่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของเวลามากกว่าที่จะดำเนินการในกาลเวลา เราดำเนินการในกาลเวลาแต่พระเจ้าดำเนินการในนิรันดร์กาลที่ไม่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของเวลา เวลาเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของนิรันดร์กาล ในพระทัยของพระเจ้านั้นคุณดำรงอยู่ก่อนแล้ว พระองค์ทรงจดชื่อของคุณในหนังสือแห่งชีวิตก่อนที่คุณจะมีตัวตนอยู่จริงเสียอีก พระเยซูสามารถตรัสว่า “บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา[42]” (ยอห์น 17:5 ฉบับมาตรฐาน 2011) ในทำนองเดียวกันพระเจ้าก็ทรงรู้จักคุณ ให้เกียรติสิริคุณ และจดชื่อของคุณในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก
พระเยซูทรงเข้าใจพระทัยของพระเจ้าในแบบที่คุณกับผมไม่เข้าใจ เรามักจะไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังตรัส เราตีความเกินจากที่มีในพระคำของพระองค์ ในแผนการของพระเจ้านั้นคุณได้รับเกียรติสิริแล้วในนิรันดร์กาล ความเข้าใจของเราน้อยนิดที่จะเข้าใจความเป็นจริงนิรันดร์เหล่านี้ พระเจ้าทรงรู้จักคุณและผมตั้งแต่นิรันดร์กาล พระเจ้ายังทรงรู้ล่วงหน้าว่าเรากำลังศึกษาพระคำของพระองค์อยู่ขณะนี้ พระเจ้าทรงรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงสามารถกระทำให้ทุกสิ่งเกิดผลดีกับเรา เราไม่สามารถจะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ได้ ในการรู้ล่วงหน้าของพระองค์และพระปัญญาที่สมบูรณ์แบบของพระองค์นั้นพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในวิถีทางที่น่าอัศจรรย์ พระองค์ทรงรู้จักคุณก่อนนานมาแล้วและทรงให้เกียรติสิริกับคุณเพราะความรักของพระองค์ที่มีต่อคุณ
เราได้เห็นว่าความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดาในพระกิตติคุณยอห์นนั้นรวมคนอื่นด้วย ไม่ได้ผูกขาดอยู่เฉพาะพระองค์ พระเยซูตามพระคัมภีร์ไม่เหมือนกับ “พระเจ้าพระบุตร” ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้ามากกว่าจะเป็นพระเจ้าพระบุตรนั้นทรงเป็นบุตรมนุษย์ผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วย ทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระเยซูก็นำมาใช้กับเราและทุกสิ่งที่นำมาใช้กับเราก็นำมาใช้กับพระเยซู
โคโลสี 1
เราจะเริ่มที่โคโลสี 1 เฉพาะกับข้อ 12 ถึง 20 คริสเตียนบางคนเห็นว่าบทนี้เข้าใจยาก มันจะยากก็เมื่อเราอ่านได้ในแบบเดียว ถ้าคุณอ่านในแบบที่ถูกต้อง โคโลสีก็ไม่ได้เป็นพระคัมภีร์ตอนที่ยากแต่อย่างใด แต่ถ้าหากคุณอ่านในแบบตรีเอกานุภาพ คุณจะเห็นว่าทุกอย่างในบทนี้กำลังใช้กับพระคริสต์และไม่ได้ใช้กับเรา นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในหลายตอนที่ผมเคยใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์มาก่อนโดยเฉพาะข้อ 16 และ 17 ผมจะพิจารณาพระคัมภีร์ตอนนี้อย่างย่อๆ เพราะเป็นไปได้ยากที่จะตีความอย่างละเอียดในช่วงสั้นๆนี้ ข้อ 12 และ 13 บอกว่า
12ให้ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้เราทั้งหลายสมกับ[43]ที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิสุทธิชนในความสว่าง 13พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในอาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์.... (โคโลลี 1: 12-13 ฉบับไทยคิงเจมส์)
เปาโลขอบคุณพระบิดาคือพระยาห์เวห์ที่พระองค์ทรงทำให้ “เราทั้งหลาย” มีคุณสมบัติเหมาะสม เรามักจะคิดว่าพระคัมภีร์ตอนนี้แสดงให้เห็นความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ แต่ตรงนี้เปาโลพูดถึง “เราทั้งหลาย” และไม่ได้พูดถึงพระคริสต์ พระบิดาทรงทำให้เราทั้งหลายสมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิสุทธิชนในความสว่าง พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืดและได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในอาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์ ในภาษากรีก “ที่รัก” อยู่ในรูปของกริยา (“ที่ทรงรัก”)[44] ไม่ได้อยู่ในรูปของคุณศัพท์ (“เป็นที่รัก”[45] อย่างในมัทธิว 3:17 “เป็นบุตรที่รักของเรา”)[46]
ข้อ 14 และ 15 มีต่อไปว่า “...ในพระบุตรนั้นเราได้รับการไถ่ คือการยกโทษจากบาปทั้งหลาย พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือทุกสิ่ง[47]ที่ทรงสร้าง”(ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระเยซูทรงเป็น “บุตรหัวปีเหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” คำว่า “บุตรหัวปี” ปรากฏในข้อ 18 ด้วย (“บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นมาจากตาย”)[48] เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงทรงเป็นทั้ง “บุตรหัวปีของการทรงสร้าง” และทรงเป็น “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” ในการตีความนั้นเรากำลังเห็นการเปรียบกันสองสิ่ง คือการทรงสร้างและการไถ่ซึ่งเกี่ยวข้องกันที่พระเยซูทรงเป็นบุตรหัวปีของทั้งสองสิ่ง
ข้อ 16 กล่าวต่อไปว่า
เพราะว่าโดยพระองค์ทุกสิ่งได้รับการทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์แห่งพวกภูตผี หรือพวกภูตผีที่ปกครอง หรือพวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ (โคโลสี 1:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ตอนนี้คุณคงเห็นว่าทำไมผมจึงใช้ข้อนี้แก้ต่างให้กับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ผมพูดถึง “แก้ต่าง” เพราะการตีความข้อนี้ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก่อนหน้านี้ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรุกต่อไป อันที่จริงดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำประกาศสำคัญในอิสยาห์ 44:24
พระยาห์เวห์ผู้ไถ่ของเจ้า ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า “เราคือยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง
ผู้ขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง ผู้กางแผ่นดินโลกด้วยตัวเอง” (อิสยาห์ 44:24 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งด้วยพระองค์เองโดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือใดๆเลย ถ้าหากนี่เป็นความจริง โคโลสี 1:16 ก็ต้องเป็นความเท็จหรือในทางกลับกันก็เป็นความจริง อย่างหนึ่งอย่างใดจะต้องเป็นความเท็จ เพราะโคโลสี 1:16 กล่าวว่า ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์ที่เป็นผู้ทำการสร้าง หรือไม่ก็ช่วยในการสร้าง การแปลความไม่ว่าจะทางไหนโคโลสี 1:16 ก็ขัดแย้งกับอิสยาห์ 44:24 อยู่ดี อันไหนถูกกันแน่? คุณก็เลือกเอาเอง
เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็ได้เลือกของผม ผมไม่สนใจอิสยาห์ 44:24 และใช้โคโลสี 1:16 มาเถียงว่าพระคริสต์ทรงสร้างทุกสิ่ง ผมไม่ทราบวิธีที่จะอ่านโคโลสี 1:16 ในแบบอื่น แต่ผมขอแนะนำคุณว่ามีวิธีอ่านได้อีกวิธีหนึ่ง เปาโลไม่ได้หมายถึงวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างแน่นอนเพราะการที่เขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างเคร่งครัดนั้น เขาจะไม่พูดอย่างเด็ดขาดว่ามีผู้อื่นอีกที่มีส่วนร่วมในการทรงสร้างนี้
ผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่ให้คำอธิบายนี้กับคุณเป็นบางส่วน เช่นคำอธิบายจากฟีลิปปี 2 และโคโลสี 1 ผมจำได้ว่า เจมส์ ดันน์[49]กล่าวว่าข้อความในโคโลสี 1 นั้นควรต้องเข้าใจในแง่ของ “ความเข้าใจพระคริสต์ที่เกี่ยวข้องกับพระปัญญาของพระเจ้า”[50] สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือพระคัมภีร์ตอนนี้จะต้องเข้าใจตามมุมมองของสุภาษิต 8:30 ที่กล่าวว่าพระปัญญามีส่วนในการสร้างอยู่เคียงข้างพระยาห์เวห์ เหมือนเป็นนายช่างหรือสถาปนิกของพระยาห์เวห์ “ข้าพเจ้าก็อยู่ข้างพระองค์แล้วเหมือนอย่างนายช่าง ข้าพเจ้าเป็นความปีติยินดีประจำวันของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ในกรณีของโคโลสี 1 นั้น ดันน์ (ผู้ปฏิเสธคำโต้แย้งของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ในพระคัมภีร์ตอนนี้) ได้กล่าวว่าพระบุตรซึ่งก็คือบุตรหัวปีของการทรงสร้างเป็นผู้ทำงานเคียงข้างพระยาห์เวห์เช่นเดียวกับพระปัญญาที่ร่วมในการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนร่วมแบบตรงคำแต่ในแบบคำกวีที่มุ่งหมายเพื่อจะเปรียบพระเยซูกับพระปัญญา
ผมขอปฏิเสธการตีความแบบนั้น แต่ดันน์คงจะเห็นด้วยกับคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมแม้ว่าเขาอาจไม่ได้อธิบายแบบเดียวกัน ผมยังไม่ได้อ่านการอธิบายฟีลิปปี 2 หรือ โคโลสี 1 ของเขา แต่ผมได้อ่านความคิดเห็นโดยรวมหรือความเข้าใจของเขากับพระคัมภีร์ตอนเหล่านี้ ดันน์กล่าวว่าจะต้องเข้าใจ ฟีลิปปี 2 ในแง่ของ “ความเข้าใจพระคริสต์ที่เกี่ยวข้องกับอาดัม”[51] ซึ่งเป็นคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมด้วย ฉะนั้นคำอธิบายฟีลิปปี 2 ของผมจึงไม่ใช่ต้นแบบ
มีทางอื่นอีกไหมที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ในโคโลสีตอนนี้? ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับคำ “ในพระองค์” ว่าเราหมายถึงอะไร (อย่างเช่น “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้น”) เปาโลใช้คำ “ในพระองค์” หลายครั้ง ตรงนี้หมายถึงว่าแผนการและพระประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์เนื่องจากพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเรา เรารอดและได้รับการไถ่ในพระคริสต์และเราถูกสร้างขึ้นในพระคริสต์ มันไม่ได้หมายความว่าเราถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์แต่ที่เราถูกสร้างเนื่องจากพระคริสต์
เราเพิ่งเห็นว่า “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” และ “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” เป็นคำกล่าวอย่างเดียวกัน “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” หมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นคนแรกของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง แต่พระองค์ก็ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้างด้วย “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” หมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
ในการตีความพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะหนีความจริงไม่ได้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้าง แม้ว่าเราจะตีความ “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” ว่าหมายถึงเกียรติที่ให้พระคริสต์ในฐานะของบุตรหัวปี แต่ความจริงก็คือเปาโลไม่ได้พูดว่าพระเยซูเป็น “เกียรติของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” หรือ “เกียรติของการเป็นขึ้นจากตาย” ความเกี่ยวโยงที่แยกกันไม่ได้ระหว่าง “บุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง” กับ “บุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย” นั้นหมายถึงว่าพระคริสต์ทรงเป็นส่วนของการทรงสร้าง เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราได้ต่อสู้กับเรื่องนี้ ผมได้ค้นหาการตีความอื่นๆแต่ในที่สุดผมก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจะเป็นการที่ผมกำลังฝืนให้ “บุตรหัวปี” หมายความอย่างหนึ่งในข้อ 15 และหมายความอีกอย่างหนึ่งในข้อ 18 นั่นจะเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้อง
ให้เราดูข้อ 16 อีกครั้ง
เพราะว่าโดยพระองค์[52]ทุกสิ่งได้รับการทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์แห่งพวกภูตผี หรือพวกภูตผีที่ปกครอง หรือพวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ (โคโลสี 1:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ในคำกล่าว “โดยพระองค์และเพื่อพระองค์” นั้น คำว่า “โดย” คือ “”[53] (โดยทาง) และคำ “เพื่อ” คือ “
”[54] (เข้าใน) “
” ในข้อนี้ที่สัมพันธการกซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของ[55]สามารถเป็นการิตการกที่แสดงการเป็นผู้ถูกใช้[56] (“โดยทางพระองค์”) แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราปฏิเสธที่จะแปลอย่างนั้น ผมได้เช็คภาษากรีกอย่างละเอียดในเรื่องนี้ แต่เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดในเวลาที่จำกัดนี้
ผมแค่อยากจะฝากให้คิดว่าโคโลสี 1 สามารถเข้าใจได้ต่างจากการแปลความของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและก็ตรงกับพระคัมภีร์มากกว่า เมื่อก่อนนี้ผมพยายามจะยัดเยียดความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้โดยบอกว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระคริสต์แม้ภาษากรีกจะไม่ได้บอกว่า “โดยพระองค์” แต่บอกว่า “ในพระองค์”
ทุกสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์โดยพระเยซูทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์และหัวปีของมวลมนุษย์ เช่นเดียวกับที่อาดัมเป็นหัวปีของมวลมนุษย์ทางกาย ดังนั้นพระเยซูจึงทรงเป็นหัวปีของมวลมนุษย์ทั้งทางจิตวิญญาณและทางกายในแง่ที่ว่าจุดประสงค์ท้ายที่สุดทางจิตวิญญาณจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่อาศัยทางกาย เพราะจะต้องมีการสร้างทางกายก่อนที่จะมีการสร้างใหม่
ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ชัดขึ้น ทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น “โดยทางพระองค์” () ซึ่งเข้าใจได้จากต้นสายปลายเหตุเพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าใจถ้อยคำนี้ มันหมายความว่า “เนื่องจากพระองค์และเพื่อพระองค์” หรือ “เนื่องจากมนุษย์ในพระคริสต์และเพื่อมนุษย์” โดยที่พระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์
ข้อ 17 กล่าวต่อไปว่า “พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และทุกสิ่งถูกยึดเข้าด้วยกันโดยพระองค์” (โคโลสี 1: 17 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระคริสต์ (หรือเราในพระคริสต์) ผู้เป็นตัวแทนของมนุษย์นั้นดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่งและตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คำว่า “ก่อน” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงในกาลเวลา ผมเคยโต้เถียงว่าทุกสิ่งดำรงอยู่ก็เพราะพระเยซูทรงยึดทุกสิ่งเข้าด้วยกัน การโต้เถียงของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ยอดเยี่ยมของผมยืนหยัดอยู่จนกระทั่งผมเริ่มจะเห็นว่าคำกล่าวนั้นสามารถหมายถึงอย่างอื่นได้อีก คำกล่าว “ในพระองค์ทุกสิ่งถูกยึดเข้าด้วยกัน” หมายความว่าในพระคริสต์นั้นมนุษย์คือจุดประสงค์ของสิ่งทั้งหมด
เราสามารถเข้าใจ “ในพระองค์” ในแง่ของการสร้างมนุษย์ นี่น่าจะเห็นได้ชัดจากปฐมกาลบท 1 วันที่หกของการสร้าง พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ โดยเห็นว่ามนุษย์เป็นเป้าหมายและจุดประสงค์อันสุดท้ายของการสร้าง มนุษย์เป็นใครถ้าไม่ใช่คุณกับผม? พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งบนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกก็เพื่อเรา ทุกสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ พวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ สิ่งทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยทางมนุษย์และเพื่อมนุษย์
โคโลสีตรงนี้ซึ่งเหมือนกับในปฐมกาลบท 1 จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้มีคุณและผมขึ้นมา เมื่อคุณมองดูหมู่ดาว มันเหลือเชื่อที่จะคิดว่า “พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดนั้นเพื่อเราหรือ?” ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรา แล้วพระเยซูทรงถูกสร้างเพื่อเราหรือว่าเราถูกสร้างเพื่อพระเยซู? ผมให้คุณคิดดูเอง
ข้อ 18 มีต่อว่า “พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นที่เริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง” (ฉบับไทยคิงเจมส์)
คำว่า “ที่เริ่มต้น”[57] อาจทำให้เรานึกถึง “จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด” เราคิดว่ามันเป็นคำเรียกพระเจ้า ผมจึงใช้มันอ้างความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดสิ้นสุด เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ทำไมเราจึงรับเอาว่ามันเป็นคำเรียกพระเจ้า? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าฟังดูเหมือนคำเรียกพระเจ้า เพราะจะมีใครอีกนอกจากพระเจ้าที่สามารถเป็น “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” และ “เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด” ได้? เราจะสังเกตว่าโคโลสี 1:18 พูดถึง “จุดเริ่มต้น” โดยไม่ได้พูดถึง “จุดสิ้นสุด”
พระเยซูทรงเป็น “จุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากความตาย” พระองค์เป็น “จุดเริ่มต้นของการฟื้นขึ้นจากความตาย นี่ก็ “เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง” คำ “พระองค์” ตรงนี้หมายถึงพระคริสต์หรือว่าหมายถึงมนุษย์? ถ้าคุณอ่านว่าเป็นพระเยซู คุณก็สามารถอ่านว่าเป็นมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง ท้ายที่สุดแล้วพระองค์ผู้เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวงก็คือพระยาห์เวห์ ไม่ใช่พระเยซูหรือเรา
แต่อะไรที่เป็นจริงกับพระเยซูมันก็เป็นจริงกับเรา คุณลองค้นพระคัมภีร์ใหม่และพิสูจน์ดูว่าผมพูดประเด็นนี้ผิดไปหรือไม่ อะไรที่เป็นจริงกับพระเยซูก็เป็นจริงกับเรา อะไรที่ไม่เป็นจริงกับพระเยซูก็ไม่เป็นจริงกับเรา ถึงแม้การเป็นเอกสุดในสรรพสิ่งทั้งปวงจะเป็นของพระยาห์เวห์ แต่ถ้ามีส่วนในทางใดที่พระเยซูทรงเป็นเอก พระองค์ก็ทรงรวมเราไว้ในพระองค์เพราะเราอยู่ในพระองค์และเป็นอวัยวะของพระกายพระองค์
ข้อ 19 กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระองค์”[58] นั่นคือเหตุที่พระเยซูทรงเป็นเอกและเราก็เป็นเอก เพราะความบริบูรณ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเราที่เป็นพระวิหารของพระองค์เช่นเดียวกัน
ข้อ 20 กล่าวว่า “และโดยพระองค์ พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งคืนดีกับพระองค์เอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่บนแผ่นดินโลกหรืออยู่บนสวรรค์ โดยทรงทำให้เกิดสันติภาพโดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์”[59]
ทุกสิ่งเป็นของคุณ
ผมเผยความคิดเหล่านี้ให้คุณคิด ทุกสิ่งที่ทรงสร้างก็เพื่อเรา นี่เป็นคำกล่าวที่น่าตกใจแต่ทำไมจึงควรตกใจ? การไถ่มีไว้เพื่ออะไรหรือถ้าไม่ใช่เพื่อเรา? พระเยซูไม่จำเป็นต้องรับการไถ่หรือรับการคืนดี ฉะนั้นการไถ่จึงเพื่อเรา
การพูดว่าทุกสิ่งถูกสร้างเพื่อคุณและผมนั้น เราพูดอะไรเกินไปไหมในแง่ของพระคัมภีร์? 1 โครินธ์ 3:21-23 กล่าวว่า
เหตุฉะนั้น อย่าให้ผู้ใดยกมนุษย์ขึ้นอวด ด้วยว่าสิ่งสารพัดเป็นของท่านทั้งหลาย จะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งในอนาคต สิ่งสารพัดนั้นเป็นของท่านทั้งหลาย และท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า (ฉบับไทยคิงเจมส์)
ให้เราอ่านพระคัมภีร์แบบไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา[60]ไม่สนใจคำชี้แนะ ข้อนี้กล่าวว่า “ทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นของท่านทั้งหลาย () ไม่ว่าจะเป็นเปาโลหรืออปอลโล หรือเคฟาส (เปโตร) หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือสิ่งในปัจจุบัน หรือสิ่งในอนาคต สิ่งสารพัดนั้นเป็นของท่านทั้งหลาย”
สิ่งสารพัดเป็นของเราหรือ? รวมทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินโลกหรือ? ใช่แล้ว! ทั้งโลกทั้งจักรวาลเลย คำที่แปลไว้ว่า “โลก” คือคำ “” (คอสมอส) ซึ่งหมายถึง “จักรวาล” ไม่ใช่เฉพาะโลก ไม่ใช่เฉพาะท้องฟ้าและแผ่นดินโลกเท่านั้นแต่ชีวิตและความตายด้วย ใช่แล้ว แม้กระทั่งความตาย! ความตายในพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กลับเป็นผลดีและพระพรกับเรา ทั้งสิ่งในปัจจุบันและสิ่งในอนาคตเป็นของเรา! คุณจะสามารถเพิ่มอะไรได้อีกในเมื่อทุกสิ่งเป็นของคุณ?
เปาโลไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของพระคริสต์ นี่ตรงกันข้ามกับที่เราหวังไว้เพราะในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งและเราไม่ได้สำคัญ แต่เปาโลเข้าใจความรักของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเรา ไม่มีสิ่งใดในท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลกที่ไม่ได้เป็นของเรา และนี่ก็รวมผู้ครองและผู้มีอำนาจ คุณกลัวผู้มีอำนาจแห่งฟ้าสวรรค์และโลกไหม? หรือกลัวภูตผีผู้มีอำนาจไหม? หรือกลัวศัตรูไหม? แต่ไม่มีอะไรที่ไม่ได้เป็นของคุณแม้กระทั่งความตาย ความตายและชีวิตเป็นของคุณ! ดวงดาว จักรวาล โลกนี้ สากลโลก สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสร้างเพื่อเรา
พระบิดาได้ส่งพระเยซูเข้ามาในโลกเพื่อจะทำให้พระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์เพื่อคุณและผมสำเร็จ นั่นเป็นเหตุให้เราจึงรู้สึกซาบซึ้งกับพระเยซู พระองค์ถูกเลือกที่จะนำพระประสงค์ของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของเรา เราถูกเลือกและพระเยซูทรงถูกเลือกเพื่อจุดประสงค์นั้น
เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าทุกๆ สิ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนจำนวนมากขึ้น การขอบพระคุณก็จะมีมากยิ่งขึ้น อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (2 โครินธ์ 4:15 ฉบับมาตรฐาน 2011) ทุกๆสิ่งก็เพื่อประโยชน์ของคุณ! แผนการทั้งหมดเกี่ยวกับความรอด การเสด็จมาในโลกนี้ของพระเยซู การตายของพระองค์ และการถูกตรึงบนกางเขนของพระองค์ก็เพื่อประโยชน์ของคุณ พระเจ้าผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เองจะประทานทุกสิ่งให้กับคุณเพื่อประโยชน์ของคุณ เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนจำนวนมากขึ้น การขอบพระคุณก็จะมีมากยิ่งขึ้นอันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
มันเป็นเรื่องน่าขำที่ผมต้องจูงใจคนทั้งหลายให้เชื่อว่าทุกสิ่งมีเพื่อประโยชน์ของพวกเขา เรามองไม่เห็นพระคุณอันอุดมของพระเจ้าที่มีเหลือล้นกับเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ผมหวังว่าคุณจะเห็นบ้าง จงสังเกตคำ “ทุกสิ่ง” ใน 2 โครินธ์ 4:15 “ (ทุกสิ่งก็เพื่อประโยชน์ของคุณ)”[61]
คุณได้รับการเป็นบุตรและมรดกเพราะพระเจ้าประทานทุกสิ่งให้กับคุณ พระองค์ไม่ได้หวงสิ่งใดกับคุณ นั่นเป็นพระเมตตาอันไพศาลของพระองค์ที่มีต่อคุณ แม้ว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งให้กับคุณแต่คุณก็อาจมีชีวิตอย่างกับขอทานเพราะคุณไม่รู้ว่าการเป็นบุตรของคุณนั้นมีอะไรตกทอดถึงคุณบ้าง
เปาโลกล่าวกับชาวกาลาเทียว่า “ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด” (กาลาเทีย 4:1 ฉบับมาตรฐาน 2011) ข้อความกรีกกล่าวว่าเด็กเป็น “เจ้านายของทุกสิ่ง” ()[62] นี่เป็นคำเดียวกันกับคำ “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ซึ่งเป็นคำเรียกของพระเยซู และคำเดียวกันนี้ได้ถูกแปลในพระคัมภีร์เดิมด้วยตัวอักษรใหญ่ว่า “LORD” ที่อ้างถึงพระยาห์เวห์
คุณอาจเป็นเจ้านาย (lord) ของทุกสิ่ง แต่คุณก็ไม่ดีไปกว่าทาสถ้าหากคุณไม่รู้ว่ามรดกอันอุดมของคุณมีอะไรบ้าง
ผมอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ในช่วงการปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน ผมมีเพื่อนเป็นชาวเยอรมัน (หลายปีต่อมาผมได้พบเขาอีกในประเทศสวิสเซอร์แลนด์) ที่คุณพ่อของเขาเป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์เยอรมัน เพื่อนของผมนอนบนลังไม้ใบใหญ่เป็นเวลาหลายปี เมื่อถึงเวลาที่ครอบครัวของเขาต้องออกจากประเทศจีน พวกเขาต้องเก็บข้าวของทั้งหมด
พวกเขาไม่ได้รวยมากแต่มีเพื่อนที่ร่ำรวยทิ้งข้าวของให้พวกเขาเมื่อต้องหนีออกจากประเทศจีน อย่างหนึ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ก็คือลังไม้ขนาดใหญ่มาก ครอบครัวของเพื่อนผมไม่รู้ว่ามีอะไรทิ้งไว้ในลังไม้จึงได้เอาที่นอนมาวางซ้อนไว้เพื่อประหยัดพื้นที่และเพื่อนของผมก็นอนบนที่นอนนี้
เมื่อถึงตาที่พวกเขาต้องออกจากประเทศจีน พวกเขาต้องจัดการกับลังใหญ่นี้ ลังใบนี้หนักมากจนพวกเขาเองก็ยกไม่ไหวแล้วก็ใส่กุญแจเอาไว้ด้วย สันนิษฐานเอาว่าคนที่ทิ้งลังไม้นี้เอาไว้อาจคิดว่าชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์คงเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์ก็คงจะถูกขับออกจากเซี่ยงไฮ้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้กลับไปประเทศจีนอีกเพื่อเอาทรัพย์สมบัติของพวกเขาคืน แล้วก็ใช้ชีวิตที่หรูหราของพวกเขาต่อไปได้
เมื่อถึงเวลาที่เพื่อนของผมจะต้องไปและก็มีโอกาสน้อยที่คนอื่นๆจะได้กลับมาอีก พวกเขาจึงฉุกคิดว่าจะทำยังไงกับลังนี้ดีและคิดว่าของที่เก็บเอาไว้ในลังไม้คงเป็นอาวุธที่อาจเป็นปัญหาใหญ่ให้กับพวกเขา พวกเขาจึงพูดกันว่า “เราควรโทรแจ้งตำรวจ” เพราะถ้าตำรวจเจอระเบิดมือในลัง พวกเราจะได้ไม่มีความผิดเพราะไม่เคยเปิดมันเลยและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย”
ถ้าพวกเขาจะขนส่งลังนี้ออกนอกประเทศก็ต้องผ่านการตรวจของศุลกากร เอกสารและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งออกนี้อาจสร้างปัญหาให้พวกเขาและอาจติดคุกได้ พวกเขาก็เลยโทรแจ้งตำรวจ และเมื่อเปิดลังออกพวกเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตรงหน้าพวกเขามีทรัพย์สมบัติที่มีค่าทั้งนั้น มีแม้กระทั่งของใช้ที่ทำด้วยทองคำที่เพื่อนของพวกเขาบรรจุลงในลังก่อนจะหนีออกจากประเทศจีน
เพื่อนคนนี้บอกผมว่า “ผมนอนทับลังนี้เป็นปีๆโดยไม่รู้ว่าผมกำลังนอนอยู่บนกองเงินกองทองและทรัพย์สมบัติอื่นๆที่อาจมีมูลค่าหลายแสนดอลลาร์ แต่เราก็ยังหาเช้ากินค่ำ” (สมัยนั้นรายได้ของผู้สื่อข่าวได้ไม่มาก) เงินที่อยู่ในลังนั้นพอเพียงที่เพื่อนของผมจะใช้ได้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว เป็นของแน่ที่ตำรวจดีใจที่จะได้ช่วยดูแลทรัพย์สมบัติเหล่านี้ “ในเมื่อของพวกนี้ไม่ใช่ของคุณ เราจะเป็นคนดูแลให้” พวกตำรวจจึงขนของทั้งหมดกลับไป
ทุกสิ่งเป็นของคุณ คุณเป็นนายของทุกสิ่ง () เปาโลไม่ได้กำลังพูดถึงพระเยซูหรือพูดถึงพระเจ้า แต่กำลังพูดถึงชาวกาลาเทีย!
เราได้เห็นการดูพระคัมภีร์อีกวิธีหนึ่งที่เป็นความจริงตรงกันกับพระคำของพระเจ้า โดยที่พระคัมภีร์ในที่หนึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับอีกที่หนึ่ง ที่ทำให้คุณต้องปฏิเสธอันหนึ่งและยอมรับอีกอันหนึ่ง เหมือนที่ผมพูดไปแล้วว่าสิ่งที่เราได้ทำไปตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือเราได้กันพระเจ้าและกันมนุษย์ออกไป เราได้พลาดความจริงที่ว่าสิ่งที่ทรงสร้างทั้งสิ้นได้สร้างขึ้นเพื่อเรา พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะทำให้แผนงานของพระองค์สำเร็จโดยทางพระคริสต์เพื่อประโยชน์ของเรา เราจะเป็นนายของทุกสิ่งโดยมีพระคริสต์เป็นศีรษะของเรา และเราเป็นพระกายของพระคริสต์ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์
ทรัพย์สมบัติที่เป็นของเรานั้นถูกยึดไปจากเราด้วยคำสอนที่อ้างว่าทุกสิ่งเป็นของพระคริสต์ผู้เป็นเจ้าของสิ่งสารพัดที่ไม่ใช่ของคุณหรือของผม แต่ในฐานะของผู้ติดตามที่สัตย์ซื่อขององค์ผู้เป็นเจ้า เราจะยอมรับอะไรก็ตามที่พระคัมภีร์พูด เราจะไม่เป็นนายของทุกสิ่งถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงมีแผนการไว้ให้เรา แต่กระนั้นพระเจ้าก็ได้สร้างทุกสิ่งเพื่อคุณและผม เพื่อมวลมนุษย์ แต่ว่าความจริงที่ล้ำค่านั้นได้สูญหายไปเพราะเราคิดว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อพระคริสต์เท่านั้น เปาโลกำลังบอกเราว่า “ทุกสิ่งเป็นของท่าน รวมทั้งข้าพเจ้า รวมทั้งเปโตร และมีมากกว่านั้นคือ รวมทั้งท้องฟ้าและโลก และชีวิตในอนาคต ทุกสิ่งเป็นของท่านเพื่อประโยชน์ของท่าน” ทั้งหมดนี้ถูกยึดไปจากเราเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตอนนี้ผมกำลังเริ่มจะเรียกทรัพย์สมบัติที่เป็นของเราคืนมา ที่เราได้รับทุกสิ่งเป็นมรดกก็เพราะเราเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ (โรม 8:17)[63]
[1] กิจการ 20:26 “เพราะฉะนั้นในวันนี้ข้าพเจ้าขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า แม้ท่านทุกคนจะหลงหายไป ข้าพเจ้าก็พ้นโทษแล้ว”
[2] ต้นฉบับคือ “กอเอี๊ยะ” จากคำภาษาจีนว่า 膏药 (gāoyào)
[3] อพยพ 3:14-15 14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” 15พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า “เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[4] “เราเป็น” ที่พระเยซูตรัสว่าทรงเป็น 7 ประการในยอห์นคือ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต, เราเป็นความสว่างของโลก, เราเป็นประตู, เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี, เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต, เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต, และ เราเป็นเถาองุ่น (ผู้แปล)
[5] หรือ “พระฉายา”
[6] โรม 1:7 “เรียนทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรมผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชน”
1 เธสะโลนิกา 1:4 “พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า เราทราบแน่ว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรท่านทั้งหลายไว้แล้ว”
[7] หรือในภาษาจีนว่า “人算什么”
[8] แปลตามฉบับ 1971 และฉบับไทยคิงเจมส์ (ผู้แปล)
[9] paqad
[10] คำอ่าน “ลีโบเกอริม”
[11] และฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า” ส่วนฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ตรวจตราเขาอยู่ทุกเช้า” (ผู้แปล)
[12] ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[13] ต้นฉบับมีภาษาจีนเพิ่มเติมว่า 要风得风, 要雨得雨 (หมายถึง อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น) -ผู้แปล
[14] Alexandrian Christology
[15] Moltmann นักศาสนศาสตร์ปฏิรูปแห่งศตวรรษที่ 20 (ผู้แปล)
[16] ฮีบรู 4:15 “เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[17] ยากอบ 1:13 อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[18] 1 โครินธ์ 15:47 “มนุษย์คนแรกนั้นมาจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองนั้นมาจากสวรรค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[19] หรือ มานุษยวิทยา (anthropology)
[20] Nestorius (บาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล)
[21] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลอพยพ 4:22 ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘คนอิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา บุตรหัวปีของเรา’” (ผู้แปล)
[22] anti-Semitism
[23] ฉบับมาตรฐาน 2011
[24] Kathōs (คา-ธอส) แปลว่า “เหมือนอย่างที่” ในยอห์น 17:23 “และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”
() -ผู้แปล
[25] อากาเปทอส
[26] Aorist (แอริสต์) คือ กาลกริยาในไวยากรณ์ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดๆหนึ่งในอดีตกาล แต่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่อดีต(ผู้แปล)
[27] ฉบับมาตรฐาน 2011 ส่วนฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน” (ผู้แปล)
[28] ฉบับมาตรฐาน 2011
[29] ฉบับ 1971
[30] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง” (ผู้แปล)
[31] พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์ (CJB) แปลเอเฟซัส 1:6 ว่า “เพื่อเราจะถวายการยกย่องพระองค์ให้สมกับความน่าสรรเสริญของพระคุณที่พระองค์ทรงให้แก่เราทางพระองค์ผู้เป็นที่รัก” (ผู้แปล)
[32] English Standard Version (ESV) ฉบับ 1971 แปลว่า “ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา” และฉบับคิงเจมส์แปลว่า “ก่อนโลกนี้มีมา” (ผู้แปล)
[33] New American Standard Version (NASV)
[34] New International Version (NIV) แปลเหมือนกับฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (ผู้แปล)
[35] New King James Version (NIV) แปลเหมือนกับฉบับมาตรฐาน 2011 (ผู้แปล)
[36] pro chronon aionion (โปร โครนอน เอโอนิออน) -ผู้แปล
[37] หรือ “ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา” (ผู้แปล)
[38] 1 เปโตร 1:20 “แท้จริงพระเจ้าได้ทรงกำหนดพระคริสต์นั้นไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้เพื่อท่านทั้งหลาย” (ฉบับ 1971) -ผู้แปล
[39] โรม 8:29 “เพราะบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องมากมาย”)
[40] เอเฟซัส 1:4-5 “ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) - ผู้แปล
[41] วิวรณ์ 13:8 และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกสร้างโลก (ฉบับมาตรฐาน 2011) - ผู้แปล
[42] หรือ “ก่อนโลกเริ่มขึ้น” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล
[43] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย แปลว่า “เหมาะสม” (โคโลสี 1:12 “ในการขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง) -ผู้แปล
[44] ความหมายตามต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)
[45] ความหมายตามต้นฉบับภาษากรีก (ผู้แปล)
[46] ในพระคัมภีร์เดิมนั้นคำ “ที่รัก” ปรากฏบ่อยสุดในเพลงโซโลมอน คำ “ที่รัก” มีปรากฏ 39 ครั้งในพระคัมภีร์เดิม และ 31 ครั้งจะพบในเพลงซาโลมอนซึ่งทำให้ “ที่รัก” เป็นคำสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เพลงซาโลมอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร? มันเป็นแค่เพลงรักที่ใช้กล่าวแก่กันในพิธีแต่งงานหรือ? โดยสรุปแล้วเพลงซาโลมอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักระหว่างพระยาห์เวห์กับผู้ที่รักพระองค์ หลายคนรู้จักหนังสือเล่มนี้ว่ามีลักษณะที่ “มีความหมายซ่อนเร้น” ในแง่ของการสื่อถึงความสัมพันธ์ทางฝ่ายวิญญาณระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คู่มือศึกษาพระคัมภีร์หลายฉบับมองเพลงซาโลมอนจากมุมมองนั้นโดยมุ่งเน้นอยู่ที่ความรักระหว่างพระยาห์เวห์กับผู้เป็นที่รักของพระองค์ ผู้ที่รักพระองค์และผู้ที่พระองค์ทรงรัก
[47] แปลตรงตัวว่า “เป็นบุตรหัวปีของทุกสิ่งที่ (พระเจ้า) ทรงสร้าง” (ผู้แปล)
[48] โคโลสี 1:18 “พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย และฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”) ฉบับ 1971 และฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “เป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตาย” (ผู้แปล)
[49] James Dunn (เจมส์ ดันน์) นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)
[50] “Wisdom Christology”
[51] “Adam Christology”
[52] ฉบับ 1971 แปลว่า “ในพระองค์” สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น (ผู้แปล)
[53] Dia (ดีอา)
[54] Eis (ไอซ์)
[55] Genitive (สัมพันธการก)
[56] Causative (การิตการก)
[57] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ทรงเป็นจุดเริ่มต้น” ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971 แปลว่า “พระองค์ทรงเป็นปฐม” (ผู้เปล)
[58] โคโลสี 1:19 ฉบับมาตรฐาน 2011
[59] โคโลสี 1:20 ฉบับมาตรฐาน 2011
[60] จากคำภาษาจีน “耳边风”
[61] 2 โครินธ์ 4:15 “เพราะว่าทุกๆ สิ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนจำนวนมากขึ้น การขอบพระคุณก็จะมีมากยิ่งขึ้น อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[62] “lord of everything”
[63] โรม 8:17 “และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล