บทที่ 7
พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพหรือพระคริสต์ตามพระคัมภีร์?
คำต่างๆที่เรียกพระคริสต์พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ไหม?
บทที่แล้วเราค้นดูว่ามีคำสอน มีพระราชกิจ หรือมีคำเรียกพระคริสต์ที่ไหนบ้างที่บ่งชี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า คำเรียกว่า “ผู้เผยวจนะ” หรือ “ปุโรหิต” หรือ “กษัตริย์” บอกอะไรเราไหมว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า? เราได้เห็นว่าแม้แต่คำเรียก “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ก็ไม่อาจพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ได้เพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ถูกเรียกแบบนั้นเช่นกัน (ดาเนียล 2:37)[1] เช่นเดียวกับกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[2] (เอสรา 7:12)[3] ในยุคสมัยโบราณนั้นการจะเรียกพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะพระมหาจักรพรรดิว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหากพระองค์ทรงมีกษัตริย์อื่นๆอยู่ภายใต้อาณัติของพระองค์ เนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงมีกษัตริย์หลายพระองค์อยู่ภายใต้พระองค์รวมทั้งกษัตริย์ของอิสราเอลด้วย พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของบรรดากษัตริย์มากมาย ดังนั้นคำเรียกที่เด่นชัดของพระองค์จึงเป็น “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ที่ดาเนียลก็ยอมรับ เพราะฉะนั้นคำเรียกนี้จึงไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าเลย
คราวก่อนเราไม่ได้ค้นดูคำเรียก “บุตรมนุษย์” ที่พระเยซูทรงชอบให้เรียกพระองค์ เมื่อมหาปุโรหิตให้พระองค์สาบานเพื่อตอบคำถามว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” (มัทธิว 26:63)[4] พระเยซูทรงตอบอ้อมๆว่า “ท่านได้พูดแล้ว” แล้วพระองค์จึงเบนจุดจากพระบุตรของพระเจ้ามาที่บุตรมนุษย์ “ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็นบุตรมนุษย์...”[5] พระเยซูทรงปฏิเสธที่จะใช้คำ “พระบุตรของพระเจ้า” เรียกพระองค์เองเพราะมันมีความหมายต่างกับความคิดของประชาชนที่นั่นรวมถึงมหาปุโรหิต
พระเยซูชอบที่จะให้เรียกพระองค์มาตลอดว่า “บุตรมนุษย์” ซึ่งเป็นคำเรียกที่หมายความแค่ว่า “มนุษย์” ในภาษาฮีบรูโบราณและภาษาฮีบรูสมัยใหม่นั้น “บุตรมนุษย์” มีความหมายแค่ว่า “มนุษย์”
คำว่า “บุตรมนุษย์” ปรากฏ 88 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่และในพระกิตติคุณเป็นส่วนใหญ่ นอกจากพระกิตติคุณแล้วยังมีปรากฏที่อื่นเพียง 4 ครั้ง ตัวอย่างของคำ “บุตรมนุษย์” ที่ปรากฏส่วนใหญ่จะออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเยซูซึ่งตามจริงแล้วพระองค์เอ่ยถึงพระองค์เองว่าเป็นบุตรมนุษย์ประมาณ 80 ครั้ง
ในทางตรงกันข้าม คำ “บุตรของพระเจ้า” มีปรากฏเพียง 43 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มและมีน้อยครั้งที่มาจากพระโอษฐ์ของพระเยซู มีแต่ในยอห์นเท่านั้นที่พระเยซูเคยตรัสถึง “พระบุตรของพระเจ้า” และมีเพียงสามครั้งเท่านั้น (ยอห์น 5:25, 10:36 และ 11:4) จากตัวอย่างสามครั้งนี้มันน่าสนใจที่ดูเหมือนว่าพระเยซูจะตรัสถึงพระบุตรของพระเจ้าอย่างอ้อมๆและแบบไม่เต็มปากเต็มคำโดยไม่กล่าวถึงพระองค์ให้ชัดๆ เช่น “เราเป็นบุตรของพระเจ้า”
เราจะไม่พบคำเรียกหรือคำกล่าวในพระคัมภีร์ใหม่จากพระเยซูที่บ่งชี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เรากำลังกรุยทางเพื่อให้เห็นจุดสำคัญนี้
ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่สู้เต็มใจที่จะพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์
หลายปีที่ผ่านมาคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีผลกับผมอย่างมากจากทั้งคำสอนที่ผมได้รับและคำสอนที่ผมได้สอนไปจึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะพูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นมนุษย์ ผมคิดว่าผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทุกคนก็คงเป็นแบบนี้เช่นกัน
มนุษย์นั้นสำคัญไฉน? คำตอบที่ได้ยินประจำก็คือมนุษย์ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ช่วงวัยเรียนของผมเมื่ออยู่ในประเทศจีนเราถูกสอนว่ามนุษย์สืบเชื้อสายตามรูปแบบ[6]ลิง ไม่มีการพูดถึงการตามรูปแบบพระเจ้า แต่หลังจากที่ผมมาเป็นคริสเตียนมันกลับแย่กว่านั้นอีก ผมถูกสอนมาว่ามนุษย์เลวทรามสุดๆ เน่าเฟะจนถึงสันดานและไม่มีร่องรอยของความชอบธรรมในตัวของเขาเลย ตอนนี้เรามีรูปแบบที่แย่กว่าของลิงเสียอีก เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีใครพูดว่าลิงเลวทรามอย่างสุดๆ ลิงมีหน้าตาน่ารักและห้อยโหนตามต้นไม้ แต่ภาพของมนุษย์ที่เรามีตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นแย่ยิ่งกว่าภาพของมนุษย์ที่เรามีตามความเชื่อในวิวัฒนาการเสียอีก เพราะตอนนี้ในความเลวทรามอย่างสุดๆของมนุษย์นั้นมีความดีงามยังไม่เท่ากับลิงเลย เรื่องความเป็นมนุษย์ของพระเยซูจึงเป็นสิ่งที่เราพูดไม่ได้แบบเต็มปากเต็มคำและแทบไม่ยอมพูดถึง เพราะสำหรับเราแล้วพระเยซูต้องเป็นอะไรที่มากกว่าลิงและมากกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เลวทราม
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ถ้าพระเยซูทรงสืบเชื้อสายมาจากอาดัมตามลำดับวงศ์ที่บอกเราไว้ และถ้ามนุษย์เลวทรามสุดๆแล้วพระเยซูจะไม่ทรงเลวทรามสุดๆด้วยหรือ? ความคิดเรื่องการสืบทอดความบาปแต่กำเนิดของพระองค์นั้นเป็นปัญหาใหญ่ของพวกคาทอลิก พวกคาทอลิกจึงได้ให้มีข้อเชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของพระแม่มารี[7]เพื่อจะลบล้างคำสอนดั้งเดิมของพวกเขาเอง เราช่างเฉไฉจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งได้ง่ายๆโดยไม่มีหลักฐานอะไรจากพระคัมภีร์มาสนับสนุนทฤษฎีของเราสักนิด
จากพื้นหลังและการถูกปลูกฝังความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมนั้น ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในเรื่องที่พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราจึงพยายามกู้สถานการณ์โดยให้พระองค์เป็นพระเจ้าเสียเลย แต่นี่จะนำไปสู่ปัญหาที่พระเยซูก็จะไม่เหมือนกับพวกเรา คุณก็เลือกเอาว่าพระเยซูทรงเหมือนกับเราหรือว่าไม่เหมือน? เราจนแต้มที่ไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นอะไรแน่ ถ้ามนุษย์เลวทราม 100 % และถ้าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ตามหลักศาสนศาสตร์แล้วพระองค์ก็ต้องเลวทราม 100% เช่นกัน ไม่มีทางจะบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้ได้ คุณจะมีทั้งสองอย่างไม่ได้ สรุปแล้วพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ไหมหรือว่าพระองค์ไม่เป็น? ถ้าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์พระองค์ก็ทรงเลวทราม ถ้าพระองค์ไม่ทรงเลวทรามพระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์
แม้ผมจะเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแต่ผมก็ไม่เคยสอนหลักของความบาปแต่กำเนิด ผมค้านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเพราะผมเห็นว่าคำสอนนี้ไม่ได้ยืนตามหลักฐานของพระคัมภีร์
การให้พระคริสต์เป็นพระเจ้าทำให้พระบิดาหมดความจำเป็น
หากเราเอาความเป็นพระเจ้าออกไปจากพระเยซูแล้วจะเหลืออะไร? สิ่งที่เหลือก็คือพระองค์จะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ พระองค์จะถูกลดจากทุกสิ่ง (พระเจ้าพระบุตร) จนไม่มีอะไร สิ่งนี้อาจดูเหมือนสถานการณ์ที่แย่แต่ผมจะชี้ให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าคงจะต้องอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนเมื่อผมเจอทางออก ผมไม่รู้จริงๆว่าจะพูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นมนุษย์อย่างไรดี
สิ่งที่เราทำกันมาตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ ยกพระคริสต์ขึ้นเป็นพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่แค่ให้พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าโดยเนื้อแท้ของพระองค์เท่านั้นแต่จริงๆแล้วเราให้พระองค์ทรงเป็นมากกว่าพระเจ้าเสียอีกโดยมีความเป็นมนุษย์บวกเพิ่มกับความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเพียงอย่างเดียว “เท่านั้น” แต่พระเยซูทรงเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าที่สมบูรณ์และทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งในแง่ปฏิบัติแล้วทำให้พระองค์ทรงเป็นทุกอย่างที่เราต้องการและทำให้เห็นว่าพระเจ้าที่เป็นเพียงพระเจ้าอย่างเดียวนี้หมดความจำเป็นลง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นอะไรก็ตาม พระเจ้าที่เป็นมนุษย์จะเป็นมากยิ่งกว่าอีก
เราได้ทำสิ่งที่เป็นภัยอย่างยิ่ง มีพี่น้องท่านหนึ่งพูดกับผมหลังจบบทที่แล้วว่า “ดูเหมือนสิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำไปก็คือ เปลี่ยนพระเยซูให้เป็นปฏิปักษ์ของพระเจ้าเหมือนที่เราพูดถึงปฏิปักษ์ของพระคริสต์ พูดให้ง่ายก็คือเราเปลี่ยนให้พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาแทนพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรมาแทนพระบิดา เราไม่ต้องการพระบิดาอีกต่อไปเพราะพระองค์เป็น “แค่” พระเจ้าอย่างเดียวเท่านั้นในขณะที่พระเยซูเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นมนุษย์ผู้ทรงเป็นมากกว่าพระเจ้าอีก สิ่งที่เราได้สร้างขึ้นในความเชื่อตรีเอกานุภาพก็คือปฏิปักษ์ของพระยาห์เวห์ เหตุนี้เองที่พวกคริสเตียนจึงไม่ได้ให้ความสนใจพระยาห์เวห์เท่าไหร่ พวกเขาไม่ต้องการพระบิดา พวกเขาจึงสรรเสริญพระองค์แต่ปาก พี่น้องท่านหนึ่งได้บอกผมว่าเมื่อไรก็ตามที่เธอเรียก “พระบิดา” ในใจของเธอจริงๆนั้นหมายถึงพระเยซู ก็อิสยาห์ 9:6 กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ตามการตีความของผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ใช่หรือ?
เราได้ทำให้พระบุตรของพระเจ้ามาเป็นพระเจ้าพระบุตรผู้มาแทนที่พระบิดา ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องการพระยาห์เวห์อีกต่อไป สิ่งนี้จะถือว่าเป็นบาปเล็กหรือว่าเป็นบาปใหญ่กันแน่? ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่ยอมรับความบาปแบบนี้ แต่คำว่า “บาป” อาจเป็นคำที่เบาไปเมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
การออกมาจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังตื่นขึ้นจากยากล่อมประสาทสักอย่าง ผมเริ่มจะเห็นสิ่งร้ายแรงที่ผมได้ทำและที่ได้ทำไว้กับผม เราไม่ได้กำลังพูดถึงการแก้ไขข้อเชื่อย่อยๆในที่ต่างๆ แต่กำลังพูดถึงการแก้ไขอย่างมโหฬารและน่าสะพรึงกลัวเพราะเราได้เอาพระยาห์เวห์ออกไปจากชีวิตของเราและออกไปจากคริสตจักรของเรา
เมื่อเราอ่านถึงคำ “พระยาห์เวห์” ในพระคัมภีร์เดิม เรากลับไม่เห็นคำ “พระยาห์เวห์” แต่มีคำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” มาแทน ทุกครั้งที่เราเจอคำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” เราก็อ่านเป็น “พระเยซู” พระเยซูทรงอย่างนี้อย่างนั้น พระเยซูกำลังเสด็จมา พระเยซูทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทั้งหลายไม่ต้องการพระยาห์เวห์เพราะเราอ่านคำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ในพระคัมภีร์เดิมว่า “องค์พระเยซูเจ้า”
เมื่อผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของข้าพเจ้า”[8] องค์ผู้เป็นเจ้าองค์ไหนหรือที่คุณนึกถึง? คริสเตียนทั้งหลายจะคิดถึงยอห์น 10:10 ทันทีที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี” พระยาห์เวห์ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่สดุดี 23 กล่าวแบบตรงตามคำว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงของข้าพเจ้า”[9] แต่เราได้นำผู้เลี้ยงอื่นมาแทนที่พระยาห์เวห์ อันที่จริง “ผู้เลี้ยง” ที่ตรงกับพระเยซูนั้นไม่ใช่ผู้เลี้ยงในสดุดี 23 แต่เป็นผู้เลี้ยงในเศคาริยาห์ 13:7
พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า “ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อสู้ผู้เลี้ยงแกะของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา
จงตีผู้เลี้ยง และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป เราจะพลิกมือของเรามาต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
นี่คือผู้เลี้ยงที่ตรงกับพระเยซูผู้เป็นผู้เลี้ยงที่ดีจากยอห์นบท 10 พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะของพระยาห์เวห์ (“ผู้เลี้ยงแกะของเรา”) ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะผู้มาแทนที่พระยาห์เวห์และไม่ให้พระองค์เข้ามาเกี่ยวข้อง
พระคัมภีร์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ก่อนจะถึงส่วนสำคัญของบทนี้ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าพระคัมภีร์ฉบับต่างๆที่เรามีนั้น เป็นพระคัมภีร์ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย พระคัมภีร์ทั้งหมดถูกดัดแปลง ผมได้ตรวจสอบต้นฉบับภาษาเดิมและแม้แต่หลักฐานของต้นฉบับ และเห็นชัดเจนว่าฉบับแปลภาษาอังกฤษ ฉบับต่างๆนั้นได้มีการดัดแปลง บางครั้งการพิจารณาจากฉบับแปลต่างๆก็ช่วยได้ถ้าเราไม่รู้ภาษาเดิม แต่แม้จะทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยคุณมากเพราะฉบับต่างๆเหล่านั้นเป็นฉบับแปลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพทั้งสิ้น ไม่มีฉบับแปลภาษาอังกฤษฉบับใดที่ให้เราเชื่อถือได้
ผมเจอฉบับแปลฉบับหนึ่งที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนคือพระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์[10] พิมพ์เผยแพร่ในปี 1998 จึงไม่เก่ามาก ฉบับนี้ไม่ได้เป็นงานแปลที่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้ให้อีกทางเลือกหนึ่ง ฉบับนี้แปลสดุดี 23:1 ว่า “สดุดีของดาวิด อาโดนายเป็นผู้เลี้ยงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขาดสิ่งใด”[11] “อาโดนาย” เป็นการพูดตามแบบของชาวยิวที่กล่าวถึง “พระยาห์เวห์” สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระคัมภีร์ยิวฉบับนี้ก็คือมีพระคัมภีร์ใหม่รวมอยู่ด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่พระคัมภีร์ฉบับนี้หลีกเลี่ยงการแปลสิ่งที่อาจทำให้กระทบจิตใจของชาวยิว ตัวอย่างเช่น กิจการ 20:28 แปลไว้ว่า
จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเอง และฝูงแกะทั้งหลายซึ่ง รูอัค ฮาโคเดช (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้นำ และให้ดูแลชุมชนที่พระเจ้าเจิมไว้ ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยราคาของพระโลหิตพระบุตรของพระองค์เอง[12] (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)
พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์ก็ทำเหมือนกับที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำ ถ้อยคำตอนท้ายมีว่า “ด้วยราคาของพระโลหิตพระบุตรของพระองค์เอง” แม้ว่าจะไม่มีคำ “พระบุตร” อยู่ในต้นฉบับภาษากรีก ( แปลว่า “ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”) พวกเขาก็ใส่คำ “พระบุตร” เข้าไป มันน่าขำที่ฉบับแปลของชาวยิวจะมาแปลข้อนี้เหมือนกับของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีชาวยิวคนไหนจะทนรับความคิดแบบนี้ได้ที่พระเจ้าจะหลั่งพระโลหิตของพระองค์เอง และเมื่อพระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์กำลังแปลพันธสัญญาใหม่ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ของคริสเตียนจึงเพิ่มคำศัพท์คริสเตียนว่า “พระบุตร” เข้าไปในข้อความนี้
พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์อาจเป็นประโยชน์แต่ก็ยังเชื่อถือไม่ได้เสียทีเดียว ประโยชน์อย่างหนึ่งของพระคัมภีร์ฉบับนี้ก็คือ “พระยาห์เวห์” ถูกแปลเป็น “อาโดนาย” ในพระคัมภีร์เดิม และพระคริสต์ถูกแปลเป็น “เมสสิยาห์” ในพระคัมภีร์ใหม่ แม้จะมีข้อได้เปรียบนี้แต่พระคัมภีร์ยิวฉบับนี้ก็เบี่ยงเบนไปจากต้นฉบับเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดถึงพระโลหิตของพระเจ้า คุณสามารถใช้พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์นี้ได้หากคุณต้องการทางเลือกอื่นในการแปล ในบางที่ฉบับนี้ก็แปลได้ดีกว่าการแปลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพและที่อื่นๆก็แปลไม่ต่างกันนัก
การเห็นความจริงโดยพระคุณของพระเจ้า
โดยพระคุณของพระเจ้าผมจึงได้เห็นความจริงในพระคำของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง มันอาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นแต่อย่างน้อยผมก็เห็นความจริง หลังจากที่ผมต่อสู้อยู่สามปีและพ้นจากความสับสนกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพและหลุดจากพื้นหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ผมได้รับการปลูกฝังมานั้น ผมบอกคุณได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นส่งผลให้ผมมีความรู้สึกที่ปนกัน ความรู้สึกหนึ่งก็เสียใจและโกรธ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งผมก็โล่งใจที่ความจริงนี้ได้เริ่มปรากฏความชัดเจนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ผมอยากสรุปเรื่องทั้งหมดของการเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ในเจ็ดบทนี้ และหากมีความจำเป็นก็จะมีบทเสริมเพื่อให้ความกระจ่างกับประเด็นต่างๆเพิ่มเติม ผมหวังจะให้เรื่องทั้งหมดนี้จบในเจ็ดบท ผมไม่แน่ใจว่าใครบ้างจะทนรับกับ “ภาระของการเผยพระวจนะ” อันหนักอึ้งนี้ได้ที่พวกเราบางคนต้องแบกรับซึ่งไม่ใช่ทางเลือกของเราเอง ภาระนี้ได้ตกอยู่กับเรา ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกแต่จะเดินหน้าโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาจากการพูดความจริงนี้
พระผู้สร้างเดียว ผู้ช่วยให้รอดเดียว
ในพระคัมภีร์ (คำ “พระคัมภีร์”[13] ที่มีทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่นั้นหมายถึงพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู) มีเพียงพระผู้สร้างองค์เดียวและไม่มีผู้ใดอื่น อิสยาห์ 44:24 กล่าวว่า
พระยาห์เวห์ผู้ไถ่ของเจ้า ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า “เราคือยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง
ผู้ขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง ผู้กางแผ่นดินโลกด้วยตัวเอง” (ฉบับมาตรฐาน 2011)[14]
ขอพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้นได้ไหม? พระยาห์เวห์ตรัสซ้ำๆว่าไม่มีใครอยู่กับพระองค์ในการสร้าง มี “ผู้ไถ่” (หรือผู้ช่วยให้รอด) เดียว จุดนี้ได้ถูกกล่าวซ้ำอีกในอิสยาห์ 43:11 “เรา เราเองคือยาห์เวห์ และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด”[15] (ฉบับมาตรฐาน 2011) ความจริงง่ายๆมีว่าไม่มีผู้สร้างผู้อื่นและผู้ช่วยให้รอดผู้อื่น เราพลาดคำกล่าวที่ชัดเจนของพระคัมภีร์ไปเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพบดบังตาของเราไว้ อิสยาห์ 45: 21-22 กล่าวว่า
จงแจ้งสิ่งที่เกิดขึ้น เสนอมาสิ ให้พวกเขาปรึกษาหารือกัน ใครเล่าแจ้งเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว? ใครเล่าลั่นวาจาไว้ตั้งแต่อดีตกาลนานนม? ไม่ใช่เราผู้เป็นพระยาห์เวห์หรอกหรือ? นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าผู้ชอบธรรมและผู้ช่วยให้รอด ไม่มีใครอื่นนอกจากเรา มวลมนุษย์ทั่วโลก จงหันมาหาเราและรับการช่วยให้รอด เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
พระเจ้าจะต้องตรัสสักกี่ครั้งเราจึงจะเข้าใจเรื่องนี้ว่า “ไม่มีผู้ใดอื่น” หรือ “ไม่มีผู้ใดนอกเหนือจากเรา” หรือ “นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่น”? เราพลาดข้อความที่ชัดเจน เราจึงนำพระเจ้าอื่นหรือผู้ช่วยให้รอดอื่นเข้ามา ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะมีที่ว่างให้เพิ่มบุคคลอื่นๆเสมอ เมื่อคุณทิ้งการนับถือในพระเจ้าเพียงองค์เดียว คุณก็จะมีที่เพิ่มให้กับพระอื่นๆ ผู้ช่วยให้รอดอื่นๆ และผู้สร้างอื่นๆ
นี่ไม่ได้บอกว่าไม่มีผู้ช่วยให้รอดที่เป็นมนุษย์ในพระคัมภีร์เดิม ตัวอย่างเช่น บรรดาผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าทรงช่วยชนอิสราเอลให้รอดผ่านทางพวกเขา จุดประสงค์ที่พูดว่าพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้เดียวก็เพราะสุดท้ายแล้วเป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยให้รอดผ่านผู้ช่วยให้รอดที่เป็นมนุษย์ พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ช่วยให้รอดสูงสุดแต่เป็นเครื่องมือจากพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ พระผู้ช่วยให้รอดเพียงองค์เดียวเท่านั้น
อิสยาห์ 45:18 กล่าวว่า
เพราะพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ (พระองค์คือพระเจ้า) ผู้ทรงปั้นแผ่นดินโลกและทำมันไว้ (พระองค์ทรงสถาปนามันไว้ พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างมันให้ว่างเปล่า พระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีคนอาศัย) ตรัสดังนี้ว่า “เราคือยาห์เวห์ และไม่มีผู้อื่นอีก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
เราเข้าใจข้อความในข้อนี้ไหม? ผมจะต้องให้ข้ออ้างอิงอื่นๆเพิ่มอีกไหม? ทำไมจึงมีการพูดซ้ำอยู่เสมอว่าไม่มีผู้อื่นอีก? ข้อเหล่านี้พูดถึงพระยาห์เวห์ว่าเป็นผู้เดียวที่สร้างทุกสิ่ง แต่สำหรับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเยซูทรงเป็นผู้สร้าง
การตีความของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจากยอห์น 1:3 (“พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ”) นั้นเป็นพระเยซูที่สร้างทุกสิ่ง ดังนั้นจึงเข้าใจกันว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้สร้างทุกสิ่งด้วยตัวพระองค์เอง ซึ่งหมายความว่าอิสยาห์ 44:24 จะต้องพูดผิด ความคิดแบบตรีเอกานุภาพที่พระเยซูทรงสร้างทุกสิ่งนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นการไม่ยอมรับพระยาห์เวห์
แต่โคโลสี 1:16-17 ไม่ได้บอกหรอกหรือว่าพระเยซูทรงสร้างทุกสิ่ง? ใช่แล้ว..ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะเป็นอย่างนั้น ต่อไปนี้จะเป็นโคโลสี 1:16-17 จากฉบับภาษาอังกฤษสองฉบับพร้อมกับฉบับภาษากรีก
16เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเป็นเทพผู้ครองหรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ 17ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่งและในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[16]
16เพราะเนื่องด้วยพระองค์สรรพสิ่งจึงถูกสร้างขึ้น ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์หรือความเป็นเจ้าผู้ครองหรือผู้มีอำนาจ สิ่งเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นทางพระองค์และเพื่อพระองค์ 17พระองค์ดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และพระองค์ทรงยึดทุกสิ่งเข้าด้วยกัน (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[17]
เราจะสังเกตเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างพระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์และฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ข้อ 16 ในฉบับอมตธรรมร่วมสมัยกล่าวสองครั้งว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น “โดยพระองค์”[18] (ซึ่งก็คือโดยพระเยซู) ขณะที่พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์กล่าวอย่างถูกต้องว่า “ทางพระองค์” ()
คุณก็ตัดสินใจเอาเองเถิดว่าเป็นพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างทุกสิ่งด้วยตัวพระองค์เอง หรือว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตรที่ทรงสร้างทุกสิ่ง? หรือว่าเป็นพระเจ้าที่ทรงสร้างทุกสิ่งทางอีกผู้หนึ่งที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตร? คุณอยากจะตัดสินใจในเรื่องนี้ไหม? พระคัมภีร์เดิมเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงกันแน่?
ตัวอย่างความเอนเอียงในการแปลของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ
ขอให้เราพิจารณาดูสองข้อนี้คืออิสยาห์ 44:24 กับโคโลสี 1:16 ว่าขัดแย้งกันไหม? คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าทั้งสองข้อจะเป็นความจริงได้อย่างไรโดยไม่ตบตาเราและไม่ทำให้เราดูโง่ไปเลย? อิสยาห์ 44:24 บอกไว้อย่างชัดเจนว่า “เราคือยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ผู้ขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง ผู้กางแผ่นดินโลกด้วยตัวเอง” (ฉบับมาตรฐาน 2011)[19]
จงสังเกตคำสำคัญ “แต่ลำพัง” และ “ด้วยตัวเอง” พระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดด้วยตัวพระองค์เอง ดังนั้นข้อไหนถูก ข้อนี้หรือข้อในโคโลสี? ความเชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการจะมีทั้งสองอย่าง
พระยาห์เวห์ทรงสร้างทุกสิ่งด้วยตัวพระองค์เองหรือว่าพระองค์ทรงมีผู้ช่วยสร้าง? ทำไมพระองค์จึงต้องมีใครมาช่วยพระองค์สร้างด้วย? เรากำลังจะบอกว่าพระยาห์เวห์ไม่สามารถจะสร้างด้วยตัวพระองค์เองอย่างนั้นหรือ?
โฮเชยา 13:4 กล่าวว่า “เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า ตั้งแต่ครั้งแผ่นดินอียิปต์ เจ้าทั้งหลายไม่รู้จักพระเจ้าอื่นนอกจากเรา ไม่มีผู้ช่วยอื่นใดนอกจากเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) คุณจะเห็นอีกแล้วว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวและผู้ช่วยให้รอดเพียงองค์เดียว คำกล่าวนี้จำกัดใช้กับเฉพาะชนอิสราเอลและกับพระคัมภีร์เดิมหรือ? หรือว่าใช้ได้กับพระคัมภีร์ใหม่ด้วย? ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นอย่างคำแปลของพระคัมภีร์ใหม่ที่เรามี เช่นทิตัส 2:13 กล่าวว่า “...ในขณะที่เรากำลังรอคอยความหวังอันน่ายินดี และการมาปรากฏของพระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่คือพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)[20] การแปลนี้ซึ่งกล่าวว่าพระคริสต์เป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่และพระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้นคล้ายกับที่เราอ่านการแปลของฉบับอื่นๆส่วนใหญ่ แต่มีปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครได้สังเกต เราไม่ได้สังเกตความไม่สอดคล้องทีเดียวของคำเหล่านี้ตามที่อิสยาห์และโฮเชยาพูดถึงพระยาห์เวห์ว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวและเป็นผู้ช่วยให้รอดเพียงผู้เดียว แต่มีใครเคยทุกข์ร้อนที่จะสังเกตไหมว่าทิตัส 2:13 นั้นแปลผิด? ในความเป็นจริงแล้วคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่สนใจหรอกว่าจะแปลผิดหรือแปลถูกตราบที่มันสนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
ภาษากรีกกล่าวตรงตัวว่า “พระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่กล่าวถึงนั้นและของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา”[21] () คุณจะแปลให้เป็นว่า “พระสิริของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ของเราคือพระเยซูคริสต์” (the glory of our great God and savior, Jesus Christ) หรือแปลว่า “พระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่คือพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” ไม่ได้ เพราะเป็นการฝ่าฝืนหลักของภาษากรีก ที่เราเห็นในข้อความภาษากรีกก็คือ “พระเจ้ายิ่งใหญ่ (
, the great God) และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา (
) ในภาษาอังกฤษนั้นคำนำหน้านาม “the” (
, ที่กล่าวถึงนั้น)[22] ที่กล่าวถึงในส่วนแรกได้ถูกแทนที่ด้วยคำว่า “ของเรา” (our,
) ในส่วนหลัง เมื่อพูดว่า “แทนที่” เราก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้าคำนำหน้านาม “the” ที่กล่าวถึงนั้นเอาไปไว้ในส่วนที่สองโดยไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยคำ “our” (ของเรา) ก็จะเป็นการรวมคำที่ดูชอบกลว่า “ที่กล่าวถึงนั้นของเรา” (the our)[23] ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งในหลักของภาษากรีกและภาษาอังกฤษ แต่กระนั้นฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ดและนิวอินเตอร์เนชั่นแนล[24] ก็ฝ่าฝืนหลักของภาษากรีกด้วยการลบคำ “the” ออกจากส่วนแรกและย้ายเอาคำ “our” มาไว้ข้างหน้าคำพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด! (“our great God and Savior” ซึ่งควรจะเป็น “the great God and our Savior”)[25] การฝ่าฝืนหลักของภาษากรีกนั้นถูกจูงใจอย่างชัดเจนว่าเอนเอียงตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ดีที่ฉบับแปลของคนยิว (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์) ไม่ได้ฝ่าฝืนข้อความเดิมของภาษากรีกในแบบเดียวกันนี้ (“พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของเราและการปรากฏของพระผู้ไถ่ของเราคือเยชูวาพระเมสสิยาห์”)[26] ฉบับคิงเจมส์และไทยคิงเจมส์[27]ก็วางไว้ถูกที่ (พระเจ้าใหญ่ยิ่งและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา) การที่ฉบับนิวอินเตอร์เนชั่นแนล (NIV) ได้รับความนิยมในโลกที่พูดภาษาอังกฤษนั้นกล่าวได้ว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ถูกเอามาใส่ให้คนจำนวนมาก
คุณจะลังเลกับสองฝ่ายนี้นานเท่าไร?
ผมจำได้ว่าหลายปีมาแล้วกำลังเดินอยู่บนภูเขาคารเมลกับผู้ร่วมงานหลายคน ผมได้ไปเยี่ยมที่นั่นอย่างน้อยสองครั้งกับผู้อบรมทีมแรกครั้งหนึ่งและกับผู้อบรมทีมที่สามอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะกำลังเดินอยู่บนภูเขาคารเมลนั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมจะมาประกาศอย่างเดียวกับที่เอลียาห์ได้ประกาศบนภูเขาคารเมลเมื่อเผชิญหน้ากับปุโรหิตทั้งหลายของพระบาอัล ชนอิสราเอลล้วนแต่นมัสการติดตามพระ “บาอัล” กันหมด เอลียาห์กล่าวกับประชาชนดังนี้ว่า
และเอลียาห์ก็เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งปวง กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะลังเลใจอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานเท่าไร? ถ้าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด” แต่ประชาชนไม่ตอบท่านสักคำเดียว (1 พงศ์กษัตริย์ 18:21 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ประชาชนไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเพราะพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะยืนอยู่ข้างไหน ผมบอกกับพี่น้องผู้ร่วมงานที่รักของผมว่า เราได้มาถึงทางที่ต้องแยกกัน ถ้อยคำของเอลียาห์ก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว “พวกคุณจะลังเลกับสองฝ่ายนี้นานเท่าไร? ถ้าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าก็จงติดตามพระยาห์เวห์ ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้าก็จงติดตามพระบาอัลไปเถิด”
อีกประการหนึ่ง คำว่า “บาอัล” มีความหมายว่า “เจ้านาย”[28] ซึ่งเป็นคำเรียกที่ใช้กับพระเจ้าและใช้กับพระเยซูคริสต์ คุณจะต้องเลือกระหว่างองค์เจ้านายสององค์นี้ คุณจะมีองค์เจ้านายสององค์ไม่ได้ คุณจะตามองค์ไหนหรือ? ขอให้ตัดสินใจด้วย เราคงต้องแยกทางกันไม่ตอนนี้ก็ภายหลัง
บาอัลไม่ใช่พระใหม่ในอิสราเอลแต่มีอยู่มานานแล้วเมื่อนับย้อนไปตั้งแต่การตั้งรกรากแรกสุดในแผ่นดินอิสราเอล มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คำเรียกบาอัลถูกนำไปใช้กับพระยาห์เวห์แต่ต่อมาก็เลิกไปหลังจากที่บาอัลกลายเป็นชื่อที่นิยมใช้กับพระอื่นๆ คำเรียกบาอัล (lord-เจ้านาย) นี้เคยใช้กับพระยาห์เวห์อยู่เป็นเวลานานเหมือนที่ใช้กับพระอื่นๆ บาอัลเป็นพระของหลายชาติ พระบาอัลเป็นที่นับถือในหมู่ชนคานาอันว่าเป็นพระแห่งความอุดมสมบูรณ์ของผู้ทำการเกษตร และช่วงไม่นานหลังจากโมเสส คนอิสราเอลส่วนมากติดตามพระบาอัลและลืมพระยาห์เวห์ผู้ที่นำพวกเขาออกมาจากอิยิปต์ เหตุนี้เองที่บนภูเขาทุกลูก สถานที่บูชาทุกแห่งและใต้ต้นไม้ทุกต้น จะมีแท่นบูชาตั้งขึ้นให้พระบาอัล
เมื่อผมกำลังศึกษาอยู่ในประเทศอิสราเอล ผมพักที่บ้านรับรองของเซ็นต์แอนดรู เพื่อนร่วมงานที่ตามผมมาอิสราเอลทีหลังจะรู้ว่าบ้านรับรองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ช่วงที่ผมยังเรียนอยู่นั้นแท่นบูชาเก่าแก่ซึ่งก็คือสถานบูชาบนที่สูง[29]ก็ยังมีอยู่ แต่เมื่อผมกลับไปเยี่ยมที่นี่อีกครั้งในสิบห้าปีต่อมากับผู้อบรมรุ่นแรก แท่นบูชาเก่าแก่นี้ก็ถูกย้ายไปแล้ว แต่สถานบูชาบนที่สูงนั้นยังมีอยู่เมื่อผมไปอิสราเอลครั้งแรก อันที่จริงมีสิ่งอื่นอีกมากที่ยังอยู่ในสภาพเดิมเพราะในเวลานั้นแทบจะไม่มีเรื่องของการท่องเที่ยวในอิสราเอลเลย อิสราเอลเพิ่งก่อตั้งประเทศได้ไม่นานเมื่อผมเริ่มไปเรียนภาษาฮีบรูและผมสามารถจะเดินเที่ยวตามที่ต่างๆได้ตามสบาย แต่เมื่อผมกลับไปอิสราเอลกับทีมรุ่นแรก สถานที่เหล่านี้ก็กลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปแล้วยังต้องซื้อตั๋วเข้าชมอีกด้วย
เมื่อผมไปอยู่ในอิสราเอลครั้งแรกนั้นผมสามารถเดินไปรอบๆคาเปอรนาอูมซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่แทบจะไม่มีใครไปเดินแถวนั้น ผมปีนขึ้นเมซาดา[30]แต่ลำพังและบางครั้งก็ปีนกับนักปีนเขาคนอื่นและผมก็ไม่เห็นใครที่นั่นเลย แต่ในปัจจุบันนี้คุณจะต้องซื้อตั๋วขึ้นไปหรือจะขึ้นกระเช้าไฟฟ้าก็ได้
ช่วงแรกๆที่ผมอยู่ในอิสราเอล มีหลายสิ่งยังอยู่ในสภาพเดิมมาเกือบ 2000 ปี ผมเดินไปตามทะเลสาบกาลิลีซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพเดิมมาตั้งแต่สมัยของพระเยซู ผมเดินไปตามกำแพงโบราณที่เมื่อผมกลับไปอีกครั้งก็ถูกรื้อออกแล้ว บนกำแพงมีกิ้งก่าตัวใหญ่ยาวสองฟุตนอนเลื้อยอยู่ พวกมันจ้องมองผมด้วยความสนใจเมื่อผมเดินผ่านมัน พวกมันจ้องมาที่ผมเพราะไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ผมไม่ได้เป็นนักสำรวจสัตว์ป่าที่กำลังสำรวจพวกมัน แต่กลับเป็นผู้ที่พวกมันกำลังสำรวจผมยังกับว่าผมเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งอย่างนั้นแหละ เมื่อผมกลับไปที่นั่นอีก 15 ปีต่อมาก็ไม่มีกำแพงและไม่มีพวกกิ้งก่าเหลือให้เห็น นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างแห่กันมาเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้ แต่ก่อนหน้านี้ผมเห็นสถานบูชาบนที่สูงและแท่นบูชาต่างๆที่ถวายให้กับพระบาอัลอยู่ทั่วอิสราเอล
เมื่อชนอิสราเอลนมัสการพระบาอัลนั้นพวกเขาไม่ได้ลืมพระยาห์เวห์เสียทีเดียวแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการนมัสการอีกต่อไป เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะของพระองค์ก็ยังคงมีอิสระเดินทางเที่ยวไปในอิสราเอลและคนทั่วไปไม่ได้พยายามที่จะฆ่าเขา แต่บนภูเขาคารเมลมีผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียวคือตัวเอลียาห์เองที่เผชิญหน้ากับผู้เผยวจนะของพระบาอัล 450 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 18:19)
อัตราส่วน 450 ต่อ 1 นั้นความได้เปรียบจะเป็นอย่างไร? ลองนึกถึงคน 450 คนในค่ายอิสเตอร์ของเราดูแล้วคุณก็จะเห็นว่าผู้เผยวจนะ 450 คนของพระบาอัลที่เผชิญหน้านั้นเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียว! เอลียาห์คนที่ไม่สลักสำคัญลำพังคนเดียวยืนขึ้นท้าทายกองทัพผู้เผยวจนะ 450 คน เขายังพูดกับคนอิสราเอลว่า “ท่านจงตกลงใจว่าจะติดตามใคร จะติดตามพระยาห์เวห์หรือว่าพระบาอัล?”
ความเชื่อของคริสเตียนได้สร้างพระบาอัลด้วยดังนั้นเราจึงถูกบังคับให้เลือกเหมือนกัน ที่ผ่านมาผมได้พยายามอะลุ้มอล่วยระหว่างสองอย่างนี้ หรือหาวิธีให้ทั้งสองอย่างกลมกลืนกัน แต่หลังจากสามปีที่ลำบากใจผมจึงยอมแพ้ เพราะผมเห็นว่าไม่มีทางที่จะให้คำสอนสองอย่างที่ตรงกันข้ามกันและไม่เข้ากันให้กลมกลืนกันได้
องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่ทำให้ผมตกตะลึง
เมื่อผมตื่นขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ ผมก็เข้าเฝ้าองค์ผู้เป็นเจ้าตามปกติทันที แล้วพระองค์ก็ให้เรื่องทั้งหมดนี้กระจ่างกับผมจนผมแทบจะอยู่ในอาการตกตะลึง ผมจะให้คุณอ่านสิ่งที่ผมจดไว้หลังจากตื่นขึ้น หลังจากที่จดความคิดของผมแล้วผมก็คิดถึงชื่อเรียกสิ่งที่ผมเรียบเรียงขึ้น และผมก็เลือกชื่อสิ่งที่จดว่า “ตกตะลึง” ผมเขียนไว้อย่างนี้ว่า
หกบทที่ผ่านมาอะไรคือข้อสรุปที่เราเลี่ยงไม่ได้? วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2006 เมื่อผมตื่นขึ้นและเข้าเฝ้าองค์ผู้เป็นเจ้าตามปกติ พระองค์ได้ให้ข้อสรุป (ของหกบท) ที่ชัดเจนอย่างยิ่งกับผม แต่ผมยังไม่เห็นว่าข้อสรุปคืออะไรจนกระทั่งเวลานั้นเอง องค์ผู้เป็นเจ้าทรงนำผมแต่ละวัน (ให้ข้อสรุป) และผมก็มักจะไม่เห็นข้อสรุปนั้น แต่เมื่อผมเห็น ผมรู้สึกว่าจิตใจของผมหนักอึ้งอยู่ภายในและเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน (เฮเลน ภรรยาของผมเป็นพยานให้ผมได้ว่าผมไม่พูดไม่จาเพราะใจของผมหนักอึ้ง)
ทำไมจิตใจของผมจึงไม่ชื่นชมยินดีที่ได้เห็นความจริงนี้แต่ทำไมจึงต้องทุกข์ใจด้วย? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตอนนี้เมื่อพิจารณาตามความจริงแล้ว ผมเห็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก คือความเท็จที่เราถลำลงไป ข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงนี้คืออะไรหรือ? สิ่งนั้นก็คือว่าพระคริสต์ของคริสเตียนที่เชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ พระคริสต์องค์นี้ไม่ใช่พระคริสต์ตามที่ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคริสต์องค์นี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกันกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ แต่เป็นพระคริสต์ที่คริสเตียนต่างชาติคิดขึ้นบนพื้นฐานของความเข้าใจผิดและดังนั้นการตีความของพระคัมภีร์สองสามตอนจากพระคัมภีร์ใหม่จึงไม่ถูกต้อง
พระคริสต์ตามความเชื่อของคริสเตียนต่างชาติคือใครหรือ? คุณกับผมรู้คำตอบนี้ พระองค์ก็คือพระเจ้าพระบุตรผู้ทรงเป็นหนึ่งในสามพระองค์ในตรีเอกานุภาพที่เสด็จมาบังเกิด อีกสองพระองค์ก็คือพระเจ้าพระบิดาและพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเห็นปัญหาไหม? ถ้าหลังจากผ่านมาหกบทแล้วเรายังไม่เห็นปัญหาอะไร นั่นก็แสดงว่าเราถูกทำให้หลงตาม หลับใหล และมองไม่เห็นความเท็จของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกันขนาดไหน
ปัญหาก็คือ ไม่มี “พระเจ้าพระบุตร” ปรากฏที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตาสว่างว่าไม่มีบุคคลดังกล่าว พระคัมภีร์สี่ตอนหลักๆที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้พิสูจน์นั้นไม่ได้ให้หลักฐานการตีความใดถึงบุคคลที่ถูกเรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร” (ที่เราเห็นในบทก่อนๆกับข้ออ้างอิงถึงยอห์นบท 1 และฟีลิปปีบท 2) เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราได้สอนพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่าเป็นการมาบังเกิดของพระเจ้าพระบุตรผู้ที่ไม่มีอยู่จริง การจะให้ “พระเจ้าพระบุตร” ใช้ได้เหมือนๆกันนั้นเราจึงบอกว่า “พระบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่มีความหมายอย่างเดียวกันกับ “พระเจ้าพระบุตร” แต่ที่เราเห็นในบทที่แล้วก็คือทั้งสองอย่างไม่ได้หมายความอย่างเดียวกัน
ผมเขียนต่ออีกว่า
เมื่อผมไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ ใจของผมก็เริ่มร้อนเป็นไฟเหมือนไฟที่ไหม้พุ่มไม้บนภูเขาซีนายเมื่อพระยาห์เวห์เสด็จลงมาที่นั่น เพราะการที่ชนอิสราเอลทำรูปวัวทองคำด้วยทองจากอียิปต์และด้วยความเห็นชอบและการสนับสนุนของอาโรนจึงเหมือนกับการที่คริสเตียนต่างชาติทางตะวันตกได้ทำพระคริสต์ทองคำขึ้น (ทองเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า) เพราะเหตุนี้พระคริสต์ที่เป็นพระเจ้าหรือถูกยกให้เป็นพระเจ้าเช่นเดียวกันกับวัวทองคำ จึงได้รับการนมัสการแทนที่พระยาห์เวห์
อนึ่งลูกวัวผู้ก็คือลูกของวัวผู้ เป็นการพูดเหน็บแนมว่าลูกต้องเข้ามาเกี่ยวด้วย วัวผู้เป็นรูปเคารพในหลายอารยธรรมเก่าแก่รวมทั้งอียิปต์และบาบิโลน แต่เรารู้กันดีจากพระคัมภีร์ว่ามันเป็นตัวแทนของพระบาอัล (คุณจะหาดูในพจนานุกรมพระคัมภีร์เล่มไหนก็ได้) ผมเคยสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมจดหมายจากยอห์นฉบับแรกซึ่งเกี่ยวโยงกันอย่างมากกับพระกิตติคุณยอห์นนั้นอยู่ดีๆก็จบด้วยคำเตือนเรื่องรูปเคารพ (1 ยอห์น 5:21)[31] ตอนนี้ผมเริ่มจะเห็นแล้วว่าทำไม
พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นไม่ใช่พระคริสต์ตามพระคัมภีร์
พระเจ้าของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะแตกต่างจากพระเจ้าของพระคัมภีร์ เช่นเดียวกับพระคริสต์ที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพยกขึ้นเป็นพระเจ้าก็จะแตกต่างจากพระคริสต์ของพระคัมภีร์ อย่างหนึ่งก็คือพระเจ้าของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งไม่เหมือนกับพระเจ้าจากการเผยของพระคัมภีร์
ให้เรามาพิจารณาความแตกต่างเบื้องต้นระหว่างพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเรารู้ว่าพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นอย่างไร ฉะนั้นผมคงไม่ต้องให้รายละเอียด แต่เราจะฟื้นความจำกันเผื่อว่าจะยังสับสนเรื่องนี้อยู่ พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ “พระเจ้าพระบุตร” พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้เพราะพระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกด้าน เพราะเหตุที่พระบุตรทรงมีความเท่าเทียมกับพระบิดาในทุกด้านดังนั้นพระองค์จึงทรงเสมอภาคกับพระบิดาและทำหน้าที่โดยไม่ขึ้นกับพระบิดาในแง่ที่การเท่าเทียมกับพระบิดานั้นทำให้พระองค์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระบิดาในเรื่องใดเลย นี่คือเหตุที่พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจึงสามารถมาแทนที่และได้มาแทนที่พระบิดา พระบิดาหมดความสำคัญและไม่ได้จำเป็นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพเพราะพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เหลืออะไรให้พระบิดาทำและไม่มีอะไรจะต้องทำ ทั้งนี้ก็พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้สร้างของเรา เป็นพระผู้ไถ่ของเรา เป็นองค์ผู้เป็นเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์เป็นทุกสิ่งในพระองค์เอง[32]
ผมมาตระหนักว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ได้ใส่ใจเท่าไรกับหลักฐานตามพระคัมภีร์ เพราะหลักฐานนั้นไม่ได้เอื้อให้กับคำสอนของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราจะใช้เฉพาะแต่ข้อที่เข้ากับความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเราและไม่สนใจข้อที่ไม่เข้ากัน
ผมไม่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้ละเอียดไปกว่านี้ เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราแทนที่พระบิดาด้วยพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ง่ายๆเพราะพระคริส์ทรงเป็นทุกสิ่งกับเรา แต่พระคริสต์ของพระคัมภีร์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่ผมได้ประจักษ์ชัดหลังตื่นจากอาการมึนเมาในความเชื่อตรีเอกานุภาพของผม พระคริสต์ตามพระคัมภีร์ไม่มีอะไรที่เหมือนกับพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ พระคริสต์ทั้งสองเป็นพระคริสต์คนละองค์กัน คุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณจะติดตามพระคริสต์องค์ไหน พระคริสต์ตามพระคัมภีร์นั้นตรงกันข้ามกับพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างชัดเจนที่ตัวผมเองถึงกับตกตะลึงอย่างมาก
พระคริสต์ตามพระคัมภีร์ไม่มีสิ่งใดเลย เว้นแต่พระองค์จะได้รับจากพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์ ผมไม่รู้ว่าเราอ่านพระกิตติคุณยอห์นอย่างไรโดยไม่เห็นถ้อยคำที่พูดตรงๆนี้ ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือเราผูกอยู่กับความคิดที่เอาทั้งสองอย่าง เราคิดว่าส่วนนี้ใช้กับมนุษย์พระเยซู และส่วนนั้นใช้กับพระเจ้าพระเยซู พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือทรงเป็นมนุษย์กันแน่? จงตกลงใจเสียที เราบอกว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งสองอย่างและผูกอยู่กับความคิดที่เอาทั้งสองอย่าง ผมก็คล้อยตามความคิดที่เอาทั้งสองอย่างมาเสียนาน เราจะสลับไปมาระหว่างสองอย่างนี้ตามแต่โอกาส
การพึ่งพาพระบิดาอย่างทั้งหมดของพระเยซู
ให้เราดูยอห์น 6:57 เพื่อจะเห็นภาพของพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ชัดขึ้นที่ขัดกับพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ให้เราลองมาอ่านข้อนี้โดยไม่อ่านด้วยความคิดของตรีเอกานุภาพดูที “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะ[33]พระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) ที่กล่าวว่า “เรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร” เราเข้าใจไหมว่ามันหมายความอย่างไร? พระเยซูยังตรัสต่ออีกว่า “คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น” ความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซูก็เหมือนกันกับความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา
ผมขอยกคำของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ชื่อ ซี เค แบร์เรตท์[34] นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่คนสำคัญที่ผมจำได้ว่าสนิทกับเจมส์ ดันน์[35] เพราะช่วงหนึ่งทั้งสองเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แบร์เรตท์กล่าวไว้ในคำอธิบายพระคัมภีร์ยอห์นของเขาเกี่ยวกับ “โดยพระบิดา” () ว่า “พระองค์ซึ่งก็คือพระคริสต์ ไม่ได้มีชีวิตที่ไม่ขึ้นกับพระบิดาหรือมีสิทธิอำนาจที่แยกจากพระบิดา”
แบร์เรตท์กล่าวอย่างนี้ว่า พระเยซูไม่ได้มีชีวิตที่ไม่ขึ้นกับพระบิดาหรือมีสิทธิอำนาจที่แยกจากพระบิดา ทุกสิ่งที่พระคริสต์ตามพระคัมภีร์มีซึ่งรวมทั้งชีวิตของพระองค์เองนั้น พระองค์ทรงได้รับจากพระบิดา พระเยซูไม่มีอะไรเป็นของพระองค์เองเลยดังข้อเท็จจริงที่เราเห็นซ้ำๆในพระกิตติคุณยอห์น เช่น พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น” (ยอห์น 5:26 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองจากแหล่งชีวิตของพระองค์เอง และพระองค์ได้ให้ชีวิตกับพระบุตร พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองโดยพระบิดาและจากพระบิดา (เรามีชีวิตในตัวเราเองจากพระบิดาโดยทางพระคริสต์) ทั้งหมดที่พระบุตรมีก็เป็นสิ่งที่พระองค์ได้รับทั้งสิ้น
พระเยซูตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” (มัทธิว 28:18 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้มอบให้พระองค์ไม่ใช่เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แต่คำสอนของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพสอนกลับกันว่าพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจนี้ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจนี้ให้กับพระองค์
พระเยซูถูกเรียกว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” แต่ไม่ใช่เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เปโตรกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้น ให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์” (กิจการ 2:36 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระเยซูเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้พระองค์เป็นองค์ผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์
เราเรียกพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” เพราะเราคิดว่าพระองค์เป็นองค์ผู้เป็นเจ้าด้วยสิทธิของพระเจ้าโดยการเป็นพระเจ้าพระบุตร แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าก็เพราะพระเจ้าได้ทรงทำให้พระองค์เป็นองค์ผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ได้มีคำเรียกว่าองค์ผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์เว้นแต่ว่าพระยาห์เวห์จะประทานให้กับพระองค์ แต่เราก็อ้างข้อเช่น มัทธิว 28:18 ให้เหมือนกับว่าพระเยซูทรงมีทุกสิ่งด้วยสิทธิของการเป็นพระเจ้า แต่ตรงกันข้ามพระองค์ไม่มีสิทธิของการเป็นพระเจ้าเลย
มีข้ออื่นๆอีกมากที่พิสูจน์ประเด็นนี้แต่เราไม่มีเวลาจะดูทั้งหมด ให้เรากลับไปที่ยอห์น พระกิตติคุณที่มักจะถูกใช้บ่อยสุดเพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ความจริงมีว่าพระกิตติคุณยอห์นไม่ได้พิสูจน์การเป็นพระเจ้าของพระเยซู ในยอห์น 8:28 พระเยซูตรัสว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น” (ฉบับมาตรฐาน 2011) “เราไม่ได้ทำอะไร” ที่จริงหมายถึง “เราทำอะไรไม่ได้” พระเยซูไม่ได้ทำอะไรและตรัสอะไรนอกเหนือจากที่พระบิดาทรงบอกให้พระองค์ทำ
ในยอห์น 5:19 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน” (ฉบับมาตรฐาน 2011) พระเยซูไม่สามารถทำสิ่งใดตามใจได้ มีพระเจ้าไหนบ้างที่ไม่สามารถจะทำสิ่งใดตามใจของพระองค์ได้?
ในยอห์น 5:30 พระเยซูตรัสว่า “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) เราเห็นคำว่า “ทำสิ่งใดไม่ได้” ครั้งแล้วครั้งเล่าในพระกิตติคุณยอห์น แต่เราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ในยอห์น 12:49 พระเยซูตรัสว่า “เพราะเราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาได้ทรงบัญชาเราว่าจะพูดอะไรและพูดอย่างไร” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ผมหวังว่านักเทศน์ทุกคนจะสังเกตสิ่งนี้ เราจะเทศนาแต่สิ่งที่เราได้รับคำสั่งให้พูดเท่านั้นแม้กระทั่งวิธีที่เราพูด เมื่อคุณยืนอยู่บนธรรมาสน์คราวต่อไปก็จงวางข้อนั้นไว้ตรงหน้าของคุณด้วย แม้แต่พระเยซูเองก็ไม่พูดตามใจชอบของพระองค์
ผมหวังว่าพวกคุณจะมั่นใจเช่นกันว่า พระยาห์เวห์พระบิดาของผมได้ส่งผมและสั่งผมตามที่ผมได้พูดนั้น ผมไม่อาจหาญที่จะพูดเว้นแต่ว่าผมจะได้รับคำสั่งให้พูด ใครจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบในการพูดอย่างที่ผมพูดในวันนี้ได้? ผมจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อผมได้รับคำสั่งให้พูด ไม่เช่นนั้นผมก็ไม่อาจหาญที่จะพูด ผมยังต้องกลั่นกรองด้วยซ้ำว่าจะพูดอย่างไร และพวกคุณเองก็ต้องระวังเช่นกันว่าจะพูดอย่างไร
ในยอห์น 14:10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) พระราชกิจทั้งสิ้นที่พระเยซูทรงกระทำก็กระทำโดยพระบิดาที่อยู่ในพระองค์ นี่หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นหุ่นยนต์ไหม? นั่นไม่ใช่แน่นอน เพราะพระเยซูตรัสว่า “ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่ตรงกันข้าม เราสละชีวิตจากความสมัครใจของเราเอง เรามีสิทธิเลือกที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิเลือกที่จะรับคืนมาอีก นี่คือสิ่งที่พระบิดาของเรากำชับให้เราทำ” (ยอห์น 10:18 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[36]
พระเยซูกำลังตรัสว่า “เรามีสิทธิเลือกที่จะสละชีวิตของเรา เพราะคำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” อะไรนะ? พระเยซูทรงสละชีวิตของพระองค์เพราะพระบิดาสั่งพระองค์หรอกหรือ? จงอย่าด่วนสละชีวิตของคุณในเมื่อพระบิดาไม่ได้สั่งคุณให้ทำ เมื่อถึงคราวของคุณก็ให้แน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่พระบิดาทรงสั่งให้คุณทำ ตรงนี้เราจะเห็นใจสมัครที่กระทำด้วยการเชื่อฟังพระบิดาซึ่งพระเยซูทรงทำแบบนั้นเสมอ พระเยซูยังตรัสว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์[37]สำเร็จ” (ยอห์น 4:34 ฉบับมาตรฐาน 2011) สำหรับพระเยซูแล้ว การทำตามพระประสงค์ของพระยาห์เวห์นั้นจำเป็นกับชีวิต
ผมใช้เวลาพูดถึงข้อเหล่านี้เพื่อให้คุณเห็นว่าพระคริสต์ตามพระคัมภีร์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากพระคริสต์ที่มีทุกอย่างในพระองค์เองตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ คือพระคริสต์ที่เป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ ในพระกิตติคุณยอห์นนั้นพระเยซูทรงอยู่ใต้บัญชาของพระบิดาอย่างทั้งหมดและอย่างสิ้นเชิง แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพปฏิเสธข้อความอย่างตรงไปตรงมานี้ในพระกิตติคุณยอห์นโดยไม่ยอมให้พระบุตรอยู่ใต้บัญชาของพระบิดาเพราะจะทำให้พระองค์ลดความเสมอภาคกับพระเจ้า ผู้ใต้บัญชาของคุณจะเสมอภาคกับคุณอย่างไรได้ คุณก็เลือกเอาว่าพระบุตรทรงอยู่ใต้บัญชาของพระบิดาหรือว่าพระองค์เสมอภาคกับพระบิดา แต่คุณจะให้เป็นทั้งสองอย่างไม่ได้
พระคริสต์ผู้เป็นพระฉายา[38]ของพระเจ้ามาแทนที่พระเจ้า
พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแตกต่างอย่างแท้จริงจากพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ มันง่ายที่จะคิดถึงพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพโดยไม่ต้องคิดถึงพระบิดา เพราะพระบิดาไม่ได้มีความจำเป็นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ในความเชื่อในตรีเอกานุภาพและทางปฏิบัติตามนั้นเราเกี่ยวข้องกับพระบิดาน้อยมากซึ่งคุณและผมก็รู้ดีจากประสบการณ์
แต่สำหรับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์นั้นเมื่อคุณคิดถึงพระองค์คุณก็ต้องคิดถึงพระบิดา ความจริงแล้วการคิดถึงพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ก็คือการคิดถึงพระบิดา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อคุณคิดถึงรูปๆหนึ่งคุณก็ต้องคิดถึงผู้ที่รูปนั้นแสดงถึง เมื่อคุณดูภาพของคนๆหนึ่งคุณก็จะคิดถึงคนนั้นทันที พระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่าพระเยซูเป็นพระฉายาหรือเป็นรูปของพระบิดา นี่ไม่ใช่เรื่องของการเลือกระหว่างว่าจะมองดูพระเยซูกับจะมองดูพระบิดา เพราะเมื่อคุณมองดูพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ผู้ที่เป็นพระฉายาของพระบิดาคุณก็จะเห็นพระบิดา
ในทางตรงข้าม เราสามารถจะมองดูพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้โดยที่ไม่เห็นพระบิดาเพราะว่าพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพเข้ามาแทนที่พระบิดา ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะยอมให้พระเยซูเป็นรูปของพระบิดาก็แต่ในแง่ที่รูปมาแทนที่ตัวจริง รูปของพระเจ้ากลับกลายมาเป็นพระเจ้าเสียเอง ถ้าอย่างนั้นเราจะต้องการพระเจ้าสององค์ไปทำไมในเมื่อมีแค่องค์เดียวก็พอแล้ว?
ความจริงแล้วคุณจะจดจ่ออยู่กับพระเจ้าสององค์ไม่ได้ซึ่งคุณก็รู้จากประสบการณ์ คุณจะอธิษฐานกับพระเจ้าสององค์ในเวลาเดียวกันไม่ได้ คุณไม่สามารถจะให้ความรักภักดีทั้งหมดของคุณกับทั้งสองพระองค์ในเวลาเดียวกันได้ พระเยซูตรัสว่าคุณจะต้องรักอย่างหนึ่งและชังอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นความจริงไม่ใช่แค่ระหว่างพระเจ้ากับเงินทองเท่านั้นแต่ยังเป็นจริงเช่นกันระหว่างพระเจ้ากับพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ การผลักไสพระบิดาออกไปและทำให้พระองค์หมดความสำคัญนั้นเราก็ได้ชังพระองค์โดยไม่ตั้งใจ เราพูดคำที่รู้จักกันดีว่า “ข้าต้องการแต่พระเยซู” เพราะเราไม่ได้ต้องการพระบิดาจริงๆ เรายังมีมารยาทกับพระองค์อยู่ แต่ภารกิจจริงๆของเรานั้นอยู่กับพระบุตร
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับรูปเคารพก็คือว่ามันมาแทนที่พระที่มันแสดงถึง แรกเริ่มอาจเป็นแค่สัญลักษณ์ของพระอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายคุณกลับกราบไหว้รูปเคารพเสียเลยแทนที่จะกราบไหว้พระหรือเจ้านั้น เมื่อผมออกจากประเทศจีนครั้งแรกและกำลังเดินทางไปยุโรป ผมได้ไปเที่ยวพม่าที่ขณะนี้เรียกว่าเมียนมาร์ ขณะอยู่ในกรุงร่างกุ้ง[39]ซึ่งตอนนี้เรียกว่าย่างกุ้ง[40]ผมสะดุดตากับสิ่งที่ผมได้เห็นตรงเจดีย์ทองคำ ในวัดนั้นผมเห็นผู้คนมากมายกำลังสวดมนต์อ้อนวอนกับรูปเคารพ บางคนกำลังสรงน้ำให้รูปเคารพและผมก็คิดว่า “ทำอย่างนี้จะไม่เป็นการหมิ่นรูปเคารพหรอกหรือ?” แต่เปล่าเลย พวกเขารักภักดีกับรูปเคารพเหล่านั้นจริงๆ พวกเขากำลังสรงน้ำรูปเคารพ เทน้ำลงที่เศียรของรูปเคารพ ผมคิดในใจว่าถ้าทำอย่างนี้กับใครสักคนก็อาจเป็นการหมิ่นคนๆนั้น แต่พวกเขาบูชารูปเคารพเหล่านั้นจริงๆ จุดธูปเทียนและถวายสิ่งต่างๆให้
ในทางปฏิบัตินั้นรูปเคารพจะแสดงถึงอะไรก็ไม่สำคัญ ตัวรูปเคารพเองต่างหากที่สำคัญ ถ้าหากรูปเคารพจะแสดงให้เห็นว่าพระนั้นมีตัวตนอยู่ก็อาจทำให้พระนั้นอารมณ์ดี แต่ถ้าพระองค์ไม่มีตัวตนอยู่ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน สิ่งเดียวที่สำคัญคือการกราบไหว้รูปเคารพและก็มีรูปเคารพมากมายในย่างกุ้ง ผมคิดว่ามีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นที่มองไม่ออกว่ารูปที่เขาเคารพนั้นทำจากก้อนดินและหิน แต่ปรากฏว่าคนหนุ่มสาวก็กราบไหว้รูปเคารพด้วยและใจของผมก็เป็นทุกข์กับพวกเขา ทำไมคนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงกราบไหว้รูปเคารพหรือ?
สิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับรูปเคารพก็คือว่ามันสวมรอยเสียเอง มันอาจจะเป็นแค่รูปเหมือนแต่ก็จะทำให้เราค่อยๆลืมพระที่รูปเคารพนั้นกำลังแสดงถึง มันไม่สำคัญว่าพระนี้จะมีอยู่หรือไม่เพราะที่สำคัญก็คือรูปเคารพนั้น เมื่อโมเสสลงมาจากภูเขา ประชาชนทั้งหลายกำลังกราบไหว้รูปเคารพที่พวกเขาได้ทำขึ้น พวกเขาได้ลืมพระยาห์เวห์ขณะลิงโลดอยู่กับรูปเคารพทองคำนั้น
แต่คุณจะทำอย่างนั้นกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ไม่ได้ เพราะว่าทุกครั้งที่คุณมองพระองค์คุณกำลังมองกระจกที่ส่องสะท้อนพระยาห์เวห์อยู่ คุณมองพระเยซูและคุณก็เห็นพระยาห์เวห์ รูปนี้จะไม่เหมือนกับรูปเคารพตรงที่ไม่ได้เอาเกียรติและอำนาจของพระเจ้าไว้เสียเอง พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่เป็นกระจกของพระเจ้า เมื่อคุณมองที่พระเยซูคุณก็จะเห็นทางที่ไปถึงพระบิดา
นี่เป็นพระปัญญาของพระเจ้าที่เมื่อคุณเอ่ยพระนามของพระเยซูคุณก็ต้องเอ่ยถึงพระยาห์เวห์ เยชูวา[41](เยซู) หมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” ทุกครั้งที่คุณพูดว่า “พระเยซู” คุณก็กำลังพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” แล้วคุณทำให้พระเยซูเป็นรูปเคารพได้อย่างไรที่ทำให้พระยาห์เวห์หมดความสำคัญดังที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำ? ผมรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า “พระยาห์เวห์” เป็นชื่อที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์เดิมเกือบ 7,000 ครั้งหรือตัวเลขที่แน่นอนก็คือ 6,828 ครั้ง ผมหวังว่าในวันข้างหน้าคุณจะได้รู้จักกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์และเห็นว่าพระองค์ทรงแตกต่างจากพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างไร
อนา-ธมา
ครั้งก่อนผมได้ให้ความเข้าใจที่ผิดๆกับคุณว่าหลักข้อเชื่อไนเซีย[42]จบด้วยคำอนา-ธมา[43] คือด้วยคำสาปแช่งนั้นไม่ถูกต้อง หลักข้อเชื่อไนเซียไม่ได้จบด้วยอนา-ธมา แต่แปลกที่จบด้วย “อาเมน” ใครเล่าจะคิดว่าหลักข้อเชื่อไนเซียควรจะเป็นคำอธิษฐาน?
มันคงไม่ถูกต้องที่จะเสนอว่าข้อเชื่อทั้งหมดทุกฉบับจบด้วยอนา-ธมา แม้ว่าบางข้อเชื่ออย่างเช่นของสภาสังคายนาแคลซีดอน[44] (ค.ศ. 451) และสภาสังคายนาคอนสแตนติโนเปิ้ลครั้งที่สอง[45] (ค.ศ. 553) จะจบท้ายด้วยอนา-ธมาก็ตาม ประเด็นก็คือว่าคุณจะต้องยอมรับทุกข้อเชื่อที่ออกโดยคริสตจักรตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เช่นนั้นคุณจะพินาศ นั่นก็คือคุณจะต้องตกนรก เราลองมาดูหลักข้อเชื่ออธานาเซียส[46]เป็นตัวอย่าง อธานาเซียส[47]เป็นผู้ชักนำคริสตจักรของคนต่างชาติไปทางความเชื่อในตรีเอกานุภาพมากกว่าใครอื่นด้วยการยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ในย่อหน้าแรกของหลักข้อเชื่ออธานาเซียสมีว่า
ผู้ใดก็ตามที่ประสงค์จะอยู่ในฐานะที่รอด เขาผู้นั้นจำเป็นต้องยึดถือความเชื่อของคาทอลิก [ความเชื่อสากลที่คริสตจักรต่างๆในเวลานั้นยอมรับกันโดยทั่วไป] ความเชื่อที่ทุกคนจะต้องรักษาไว้ทั้งหมดและไม่ให้ด่างพร้อย ไม่เช่นนั้นเขาผู้นั้นจะพินาศนิรันดร์อย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นเป็นคำกล่าวที่ชอบกลเหมือนกับในข้อเชื่ออื่นๆทั้งหลายที่ไม่มีข้อพระคัมภีร์สักข้อจากพระคัมภีร์มาสนับสนุน
ในวรรคสุดท้ายของหลักข้อเชื่ออธานาเซียสเราจะอ่านพบว่า “นี่เป็นความเชื่อของคาทอลิกที่คนจะต้องเชื่ออย่างสัตย์ซื่อและเหนียวแน่น ไม่เช่นนั้นเขาคนนั้นจะไม่อยู่ในฐานะว่ารอด”[48] พูดอีกอย่างก็คือถ้าคุณไม่ยอมรับข้อเชื่อนี้ คุณจะต้องพินาศชั่วนิรันดร์ อนา-ธมาไม่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแต่บอกเป็นนัยอย่างหนักแน่นจนคุณอาจกล่าวได้ว่ามันชัดเจน
เปาโลใช้อนา-ธมาแค่ครั้งเดียว (1 โครินธ์ 16:22) แต่ใช้ในลักษณะที่แตกต่างจากข้อเชื่อเหล่านั้น ที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ได้สาปแช่งใครนอกพระกายพระคริสต์แต่กับผู้เชื่อ เปาโลกล่าวว่า “ถ้าใครไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ขอให้คนนั้นเป็นที่แช่งสาป ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเถิด[49]” (ฉบับมาตรฐาน 2011) คำว่า “ถูกแช่งสาป” ในภาษากรีกคือคำ “อนา-ธมา” () ข้อความ “
” มีความหมายว่า “ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป ขอองค์ผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเถิด”
เปาโลกำลังพูดกับบรรดาคริสเตียนที่ไม่มีความรักที่แท้จริงต่อพระคริสต์ตามที่ประกาศตัว เปาโลกำลังพยายามปกป้องคริสตจักรจากคนที่คืบคลานเข้ามาในคริสตจักรด้วยแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นและไม่มีความรักที่แท้จริงต่อองค์ผู้เป็นเจ้า แต่จงสังเกตว่าเปาโลจะเรียกร้องเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนกับข้อเชื่อเหล่านั้นก็คือให้คุณรักองค์ผู้เป็นเจ้า ถ้าคุณรักองค์ผู้เป็นเจ้า คุณก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายจากอนา-ธมา แต่ถ้าคุณไม่ได้รักองค์ผู้เป็นเจ้าคุณก็จะถูกอนา-ธมา นั่นแตกต่างกันมากจากคำขู่ว่าจะถูกแช่งสาปถ้าคุณไม่ยอมรับคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์
ความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์แบบอเล็กซานเดรียของหลักข้อเชื่ออธานาเซียส
นักวิชาการพระคัมภีร์กำหนดช่วงเวลาของหลักข้อเชื่ออธานาเซียสลำบาก มีความคิดกันว่าอยู่ในราวต้นศตวรรษที่ห้าและไม่สามารถจะกำหนดไปว่าตัวของอธานาเซียสเองเป็นคนเขียน ความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์[50]ของหลักข้อเชื่ออธานาเซียสนั้นแน่นอนว่าเป็นของอธานาเซียส แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนที่เขียนคำเหล่านั้น
หลักข้อเชื่ออธานาเซียสสะท้อนศาสนศาสตร์แบบอเล็กซานเดรีย[51]ว่าค้านกับศาสนศาสตร์แบบแอนติโอคีน[52] ซึ่งกล่าวว่าพระเยซูคือ “พระเจ้าที่สมบูรณ์และมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทรงดำรงอยู่โดยจิตวิญญาณที่สัพพัญญู[53]และในสภาพเนื้อหนังของมนุษย์” ย่อหน้าถัดมากล่าวว่า “เพราะจิตวิญญาณที่สัพพัญญูและสภาพเนื้อหนังอยู่ในมนุษย์คนเดียวกัน ดังนั้นพระเจ้ากับมนุษย์จึงเป็นคนเดียวกันในพระคริสต์”[54] หรือพูดอีกอย่างว่า เมื่อพูดถึงพระคริสต์ “จิตวิญญาณที่สัพพัญญู” ในพระคริสต์ก็คือพระเจ้าพระบุตร
จากที่กล่าวนี้องค์ประกอบของพระเยซูออกมาเป็นภาพอะไร? มนุษย์มีร่างกายและวิญญาณ วิญญาณถูกเรียกตามหลักข้อเชื่ออธานาเซียสว่า “จิตวิญญาณที่สัพพัญญู” ข้อเชื่อนี้กล่าวว่าในกรณีของพระคริสต์พระเจ้าที่เป็นมนุษย์นั้น “จิตวิญญาณที่สัพพัญญู” จะถูกแทนที่ด้วยพระเจ้าพระบุตร คุณเห็นภาพหรือยัง? ภาพที่เรามีคือพระเจ้าพระบุตรมีร่างกายที่มีเลือดเนื้อ นั่นคือความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์ตามมาตรฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
คุณใช้เวลาไตร่ตรองเพียงแค่อึดใจก็จะเห็นว่าบุคคลลักษณะนี้จะเป็นมนุษย์เหมือนที่เราเป็นไม่ได้ เพราะพระองค์ไม่มีวิญญาณของมนุษย์เนื่องจากถูกพระเจ้าพระบุตรเข้ามาแทนที่ ที่เรามีก็คือพระเจ้าพระบุตรที่เดินอยู่บนโลกนี้ในเนื้อหนังของมนุษย์ ตราบที่พระองค์มีเนื้อหนังพระองค์ก็รู้สึกร้อนหรือหนาว หิวหรือกระหายได้ พระองค์ผู้ทรงรู้สึกทั้งหมดนี้ก็คือพระเจ้าพระบุตร แต่พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ใช่มนุษย์แท้ในทางใดเลย พระองค์ไม่ใช่คนๆเดียวกันกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์เพราะพระคริสต์ตามพระคัมภีร์นั้นทรงเป็นมนุษย์แท้ๆเหมือนกันกับเรา
เนสโตเรียส[55]บาทหลวงแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลได้คัดค้านสิ่งที่อเล็กซานเดรียกำหนดขึ้น โดยกล่าวว่าพระคริสต์ที่อธิบายให้เห็นในข้อเชื่อต่างๆดังเช่นหลักข้อเชื่อไนเซียนั้นจะเป็นมนุษย์ไปไม่ได้ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระบุตรที่มาบังเกิดในเนื้อหนัง
แต่ทางแก้ปัญหาที่เนสโตเรียสเสนอก็ไม่ได้คลี่คลายขึ้นเลย เพราะได้เสนอการรวมพระเจ้าพระบุตรกับมนุษย์ที่สมบูรณ์เข้าด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่แค่รวมเนื้อหนังร่างกายแต่เป็นการรวมเนื้อหนังร่างกายและวิญญาณเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้พระเจ้าพระบุตรจึงรวมเข้ากับมนุษย์อย่างสมบูรณ์และทำให้พระคริสต์เป็นพระเจ้า 100% และมนุษย์ 100% การกำหนดของเนสโตเรียสถูกปฏิเสธเพราะมันจะหมายความว่าพระคริสต์มีวิญญาณของมนุษย์ แต่การคัดค้านในเบื้องต้นของเนสโตเรียสก็ยังคงใช้ได้ เพราะถ้าพระคริสต์ไม่มีวิญญาณของมนุษย์ (ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญมากสุดของมนุษย์) พระองค์ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้
การแยกกันคนละทาง
ผมกล่าวไปแล้วว่า พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นแตกต่างจากพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ แต่มีจุดพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ตรงกันระหว่างความเชื่อในตรีเอกานุภาพกับความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ (และนี่คือสิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพยอมรับความคล้ายกัน) ก็คือพระเจ้ามาบังเกิดในพระคริสต์
แต่นอกจากนี้สิ่งอื่นจะแตกต่างกัน เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งมาบังเกิดในพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่เป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าพระบุตร การดำรงอยู่ของผู้ที่หาไม่พบที่ไหนเลยในพระคัมภีร์เดิม การจะให้พระเจ้าพระบุตรดำรงอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นคงจะต้องให้ใครสักคนบิดเบือนพระคัมภีร์ตอนแล้วตอนเล่า ความจริงที่เห็นได้ชัดก็คือคำที่เรียก “พระเจ้าพระบุตร” นั้นหาไม่พบเลยสักที่ในพระคัมภีร์ ความจริงแล้วไม่มีบุคคลที่ว่าเลย นั่นเป็นการเปิดเผยที่น่าตกใจซึ่งทำให้ผมตื่นขึ้นในที่สุด ที่ผ่านมาผมคอยโต้เถียงให้กับผู้ที่การดำรงอยู่ของพระองค์ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้จากพระคัมภีร์ ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะชื่อ แต่บุคคลตามชื่อเรียกนั้นก็ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้เพราะพระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึง “พระเจ้าพระบุตร” ทั้งไม่เคยกล่าวถึงชื่อเรียกนั้นหรือบุคคลดังกล่าวนั้นเลย
วันนี้เป็นวันที่คุณต้องตัดสินใจเลือกแล้ว คุณจะเลือกเชื่อว่าในพระเยซูมีผู้ที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตรไหม? หรือคุณจะเลือกเชื่อว่าพระองค์ที่เสด็จเข้ามาสถิตในพระเยซูก็คือพระยาห์เวห์เอง? คุณต้องเลือกเอา แต่คุณจะมีทั้งสองอย่างไม่ได้ เพราะจะมีแต่ผู้นี้หรือไม่ก็ผู้อื่นที่มาบังเกิดในพระคริสต์ได้
ถ้าคุณใส่ใจเทพนิยายเกี่ยวกับพระเจ้าองค์ที่สองที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตรโดยเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในเทพนิยายนี้ได้มาบังเกิดในพระคริสต์ ถ้าเป็นเช่นนั้นความหวังเดียวของคุณก็คือที่พระคริสต์องค์นี้จะสามารถช่วยให้คุณรอดได้ ผมจะไม่มองเหตุการณ์ไปในทางดีอย่างนั้น เพราะไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดอื่นใดนอกจากพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้! พระองค์ได้บอกเราแล้วว่าชื่อ “เยซู” หมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” แต่ถ้าใครที่อยู่ตรงจุดที่ต้องไปคนละทางกันและเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าพระบุตร ก็ขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาคุณด้วย
การตีความยอห์นบทที่หนึ่งผิด
ผมสามารถจะตีความตามพระคัมภีร์ต่อไปอีกได้แต่คงจะใช้เวลามากเกินไป ผมเคยพูดเรื่องนี้ในยอห์นบท 1 มาบ้าง เราได้เห็นข้อผิดพลาดในความเชื่อตรีเอกานุภาพในสามส่วน
ส่วนแรกเราไม่ได้เห็นลักษณะที่เป็นคำกวีของยอห์นบท 1 ใครก็ตามที่ดูรูปแบบของยอห์นบท 1 แม้แต่การจัดรูปแบบในพระคัมภีร์หลายฉบับก็จะเห็นว่ามันเป็นคำกวี ถ้าคุณไม่รู้จักวิธีอ่านคำกวีเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณก็จะได้ข้อสรุปแปลกๆจากยอห์นบท 1 อันที่จริงแล้วภาษาของการเผยวจนะส่วนมากในพระคัมภีร์เป็นคำกวี
ส่วนที่สองและสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ไม่มีที่ไหนในพระกิตติคุณยอห์น หรือส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่ที่ “โลกอส”[56] (พระวาทะ, the word) เคยมีระบุไว้ว่าเป็นพระเยซู ไม่เคยมีระบุที่ไหนเลยว่า “พระเยซู” และ “โลกอส” คือสิ่งเดียวกันหรือบุคคลเดียวกัน เราพลาดสิ่งที่เป็นพื้นฐานและเข้าใจได้ง่ายแบบนั้นไปได้อย่างไร? แม้แต่ในพระกิตติคุณยอห์นคำ “โลกอส” ก็ไม่เคยระบุอย่างเจาะจงว่าเป็นพระเยซู ใครก็ตามที่คุ้นกับภาษากวีของพระคัมภีร์เดิมจะรู้ว่าพระวาทะของพระยาห์เวห์จะสรุปถึงความครบบริบูรณ์ของพระยาห์เวห์ที่แสดงถึงฤทธานุภาพของการทรงสร้างของพระองค์และการเปิดเผยพระองค์เอง การทรงสร้างและการเปิดเผยพระองค์เองมักจะเกี่ยวข้องต่อกันในพระคัมภีร์แม้แต่ในโรมบท 1 คุณจะรู้พระลักษณะของพระเจ้าได้จากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และสิ่งยอดสุดของการทรงสร้างของพระเจ้าก็คือมนุษย์ ถ้าพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แล้วพระองค์จะไม่ยิ่งเปิดเผยพระองค์เองในมนุษย์ผู้เป็นรูปเหมือนหรือพระฉายาของพระองค์โดยเฉพาะหรอกหรือ?
พระเจ้าไม่มีรูปร่างให้มองเห็นได้ แต่พระองค์ทรงสร้างรูปร่างให้กับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นโดยเฉพาะกับมนุษย์ผู้เปิดเผยความใหญ่ยิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ของพระองค์ ในแง่หนึ่งนั้นมนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า รูปร่างก็จัดอยู่ในพวกสัญลักษณ์ คนจีนจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ดีเพราะตัวอักษรจีนเป็นสัญลักษณ์ คุณสามารถใช้สัญลักษณ์กับสิ่งที่มองไม่เห็น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีนก็ทำได้ แต่คนจีนจะมีข้อได้เปรียบที่แตกต่างคือมีรูปร่างของตัวเขียนเป็นสัญลักษณ์
ถ้าคุณเดินไปตามท้องถนนและเห็นป้ายเป็นรูปสายฟ้าคุณก็จะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร คุณไม่จำเป็นต้องเป็นวิศวกรก็รู้ได้ว่ามันคือสัญลักษณ์ของประจุไฟฟ้าซึ่งอาจมีหม้อแปลงหรือสายไฟฟ้าแรงสูงอยู่ใกล้ๆ ภาพของสายฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของบางสิ่งที่ไม่มีรูปร่างหรือรูปแบบ ประจุไฟฟ้าไม่มีรูปร่างที่มองเห็นได้นอกจากสายแลบของฟ้า และแม้จะเป็นอย่างนั้นรูปแบบก็ไม่ได้ตายตัว
ในภาษาจีนเราสื่อความคิดที่เป็นนามธรรมด้วยตัวอักษรที่เป็นสัญลักษณ์ ตัวอย่างเช่น “พระเจ้า” จะเขียนว่า “神” (เฉิน) เมื่อคุณเห็นตัวอักษรนี้คุณจะรู้ว่าผู้เขียนกำลังกล่าวถึงพระเจ้าหรือไม่ก็วิญญาณ แม้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมหรือสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง (เช่น วิญญาณ) ก็สามารถสื่อความหมายด้วยตัวอักษรตัวหนึ่งได้ (เช่น 神) ในตัวอักษรนี้สิ่งที่มองไม่เห็นได้อยู่ในรูปร่างที่มองเห็นได้
พระเจ้าไม่มีรูปร่าง แต่ด้วยการมองที่มนุษย์ผู้เป็นรูปเหมือนของพระเจ้าจะทำให้คุณคิดถึงพระเจ้า น่าเสียดายที่สิ่งนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นเมื่อมีใครมองเรา แต่นี่ก็ไม่ได้ลบความตั้งพระทัยเดิมของพระเจ้าที่มีกับเรา ในกรณีของพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ (แต่ไม่ใช่พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ) คือเมื่อผมคิดถึงพระคริสต์ผมก็คิดถึงพระยาห์เวห์ เพราะว่าพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาได้ทรงสวมรูปร่างในพระคริสต์ มีข้ออ้างอิงมากมายในพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดถึงพระคริสต์ว่าเป็นรูปเหมือน[57]ของพระเจ้า
มีข้อผิดพลาดส่วนที่สามในการอ่านยอห์นบท 1 เป็นข้อความที่ผมได้ตรวจสอบอยู่หลายสัปดาห์ค้นกลับไปกลับมา (จากยอห์น 1:1 “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า”)[58] เราจะทึกทักกันผิดๆว่าคำ “อยู่กับพระเจ้า” ในภาษากรีก () จะต้องอ้างอิงถึงอีกผู้หนึ่ง ถ้าผมพูดว่าใครคนหนึ่งอยู่กับใครคนหนึ่ง คุณก็อาจเหมาเอาว่ามีอีกคนหนึ่งซึ่งนี่ก็คือความหมายที่สื่อถึงในการแปล “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” แต่การแปลแบบนี้เป็นปัญหา
เราถอดความข้อความนี้ผิดด้วยการตีความเกินจากที่มีในตัวบท ตอนนี้ “” (pros ton theon) อาจหมายถึง “อยู่กับพระเจ้า”[59] แต่ก็ยังอาจหมายความอย่างอื่นๆได้อีกมากเมื่อตรวจดูคร่าวๆกับพจนานุกรมกรีกก็จะบอกคุณได้ ที่จริงแล้วคำสันธาน “พรอส” (pros) ตามด้วยกรรมของวลี (อย่างในกรณีของ
) นั้นมีความหมายธรรมดาๆว่า “เกี่ยวกับพระเจ้า”[60] และไม่จำเป็นว่าต้องหมายถึง “อยู่กับพระเจ้า” ในแง่ของการอยู่ด้วยกับบุคคลที่สอง ความหมายอย่างหลังก็ยังเป็นไปได้ด้วยแต่ก็ไม่ใช่ความหมายเดียวของ “พรอส” (pros) ความหมายที่เป็นธรรมชาติมากกว่าก็คือ “เกี่ยวกับพระเจ้า” “โลกอส” (logos หมายถึงพระวาทะหรือคำตรัส)[61] นี้ได้อ้างถึงพระเจ้าซึ่งหมายถึง “โลกอส” ก็คือตัวพระเจ้าเอง
ถึงแม้จะรับในความหมายว่า “อยู่กับพระเจ้า” แต่ใครที่ช่ำชองภาษากวีของพระคัมภีร์เดิมจะคิดถึงสุภาษิต 8:30 ทันทีซึ่งพูดถึงปัญญาว่าก็อยู่ด้วย “กับพระเจ้า” ในตอนเริ่มต้นของการทรงสร้าง เรามักจะมองข้ามลักษณะของคำกวีของยอห์นบท 1 ไปง่ายๆ
ผมจะไม่พูดรายละเอียดทั้งหมดในครั้งนี้ เมื่อมีโอกาสผมจะให้คุณดูจากตอนอื่นๆอีก เช่น ฮีบรูบท 1 โคโลสีบท 1 เป็นต้น แล้วคุณจะเห็นว่าเมื่อเราเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพโดยเฉพาะตัวผมเองได้ใช้ความชำนาญในการตีความของผมช่วยเผยแพร่ข้อผิดพลาดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในตอนนี้ เวลานั้นผมอยู่ในความมืดแต่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าจึงทรงมองข้ามช่วงเวลาในความไม่รู้ของผม
ผมจะให้คุณเห็นการตีความที่เมื่อทำอย่างถูกต้องแล้วจะได้ข้อสรุปที่แตกต่างกันมาก ก่อนหน้านี้เราตีความให้เป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเรา และตีความเกินจากที่มีในตัวบทเพื่อให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบท เราได้ทำอย่างนั้นเช่นกับยอห์นบท 1 ฮีบรูบท 1 โคโลสีบท 1 เป็นต้น ส่วนวิวรณ์บท 1 นั้นเกือบจะไม่มีอะไรที่เป็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้เราหาเจอเลย
พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าไหมจึงจะช่วยเราให้รอดได้?
พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าไหมจึงจะช่วยเราให้รอดได้? การถามอย่างนี้ดูเหมือนเราจะลืมไปว่ายังมีพระยาห์เวห์ที่สามารถช่วยเราให้รอดได้ เราลืมพระยาห์เวห์ไปง่ายๆ เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ลบพระองค์ออกไปจากความคิดของเรานานแล้ว พระคัมภีร์พูดถึงพระผู้ช่วยให้รอด “เดียว” แต่พระเยซูเป็นผู้พระช่วยให้รอดเดียวที่เรารู้จักไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าเราไม่ต้องจบกันหรอกหรือ?
ผมขอพูดว่าฮาเลลูยา! “ฮาเลลูยา”[62] ( สดุดี 135:3)[63] หมายถึง “สรรเสริญพระยาห์เวห์” “ยา” (
) เป็นคำย่อสั้นๆของยาห์เวห์ คราวต่อไปก็อย่าร้องฮาเลลูยาเมื่อคุณกำลังพูดอยู่กับพระคริสต์พระเจ้าที่เป็นมนุษย์ คุณจะหมายถึงพระยาห์เวห์หรือไม่ได้หมายถึงพระยาห์เวห์ก็ให้ตกลงใจของคุณเสีย ผมขุ่นใจเมื่อกลุ่มคาริสแมติกร้องตะโกน “ฮาเลลูยา!” จนสุดเสียงในขณะที่พระยาห์เวห์อยู่ไกลจากจิตใจของพวกเขาที่สุด ที่พวกเขามีอยู่ในจิตใจก็ไม่ใช่พระเยซูด้วยซ้ำแต่เป็นพระวิญญาณและผมก็ไม่แน่ใจว่าพระวิญญาณที่พวกเขาคิดอยู่ในใจนั้นคือใคร
คนมักจะพูดกันว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าเราก็จะไม่รอด ตัวผมเองก็ทำสิ่งผิดนี้เสียเองเมื่อผมให้เหตุผล (ใช้การให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ที่มีข้อบกพร่อง) ว่าเพราะพระเยซูทรงไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นจึงสามารถรวมคนจำนวนมากแค่ไหนก็ได้ให้อยู่ในเครื่องหมายไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ถ้ามีคนเจ็ดพันล้านคนในโลกขณะนี้ก็ไม่มีปัญหาเพราะความไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะสามารถครอบคลุมทุกคนได้ คุณจะบวกอีกสองสามพันล้านคนก็ยังได้ จะได้รวมทุกคนในอดีตเข้ามาด้วย เราสามารถจะเพิ่มเลขศูนย์ไปได้เรื่อยๆจากซีกหนึ่งของจักรวาลไปจนถึงอีกซีกหนึ่งก็ยังไปไม่ถึงความไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นคนจะจำนวนมากแค่ไหนก็รอดได้ภายใต้ความไม่มีที่สิ้นสุดของพระเยซู ผมเห็นคนจำนวนมากยอมรับข้อสรุปนี้อย่างง่ายดาย แต่ผมไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ด้วยความตั้งใจที่จะหลอกลวงใคร ผมคิดจริงๆว่ามันเป็นความจริง
รอดโดยความเชื่อ
เราลืมไปหรือเปล่าว่าเรารอดโดยความเชื่อ? ตามพระคัมภีร์แล้วความเชื่อก็คือความเชื่อในพระคำของพระเจ้าเสมอ พระเจ้าตรัสเช่นนั้นและถ้าคุณเชื่ออย่างนั้นคุณก็รอด เราจะนึกถึงฮีบรูบท 11 แต่เราเข้าใจจริงๆไหม? แล้วนี่มาเกี่ยวอะไรกับความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์หรือ? ให้เรามาดูคำสอนของพระเยซูเองในยอห์น 3:14-15 เพื่อจะเห็นประเด็นนี้ชัดมากขึ้น ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซู ซึ่งก็คือพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ที่ตรงข้ามกับพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ตรัสว่า “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์”
ชนอิสราเอลกำลังจะตายอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพราะพวกเขาถูกงูพิษกัดเพื่อเป็นการลงโทษที่พวกเขาไม่เชื่อฟัง ดื้อรั้น และหัวแข็ง คำว่า “พิษ” นั้น เป็นไปได้ว่าน่าจะหมายถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการถูกกัดที่พิษวิ่งถึงหัวใจ เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในกันดารวิถี 21:7-9
ประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทำบาปเพราะเราต่อว่าพระยาห์เวห์และต่อว่าท่าน ขอทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ให้พระองค์ทรงนำงูไปจากเรา” ดังนั้นโมเสสจึงทูลวิงวอนเพื่อประชาชน และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูพิษตัวหนึ่งติดไว้บนเสา และทุกคนที่ถูกงูกัดมองดูงูนั้น ก็จะมีชีวิตอยู่ได้” ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใคร ถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้ (ฉบับมาตรฐาน 2011)
มีคนประมาณสองล้านคนในถิ่นทุรกันดาร ดังนั้นจึงต้องตั้งงูสัมฤทธิ์ให้สูงบนยอดเสา การมองไปที่งูทองสัมฤทธิ์จะช่วยใครให้รอดตายได้อย่างไร? ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะงูนั้นคือพระเจ้าหรือ? ประชาชนรอดชีวิตได้อย่างไร? พวกเขารอดชีวิตโดยความเชื่อ งูทองสัมฤทธิ์ซึ่งไม่ใช่งูที่มีชีวิตนั้นไม่ได้พิเศษอะไร มันเป็นการจำลองงูที่กำลังคร่าชีวิตผู้คน แต่พวกเขาถูกสั่งให้มองไปที่มัน สิ่งที่ช่วยชีวิตของพวกเขาก็คือการเชื่อในคำตรัสของพระเจ้า พระองค์บอกพวกเขาให้มองไปที่งูนั้น พวกเขาจึงมองไปที่มันแม้จะไม่ได้เข้าใจว่าการทำเช่นนั้นจะสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้อย่างไร? แน่นอนว่าไม่ใช่งูทองสัมฤทธิ์นั้นที่ช่วยชีวิตพวกเขา แต่เป็นพระยาห์เวห์ที่ช่วยพวกเขาให้รอดชีวิต
พระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็นเหมือนงูทองสัมฤทธิ์ที่อยู่บนเสา และเสานั้นคืออะไร? เสานั้นก็คือกางเขน พระเยซูกำลังตรัสว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้น ถ้าเจ้ามองมาที่เราที่ตายบนกางเขน เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเราเป็นพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า! พระองค์ได้ทรงกำหนดว่าเมื่อเจ้ามองมาที่เราบนกางเขน เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้ เราเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป” เปาโลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาป[64]เพื่อเรา เพื่อในพระองค์เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 5:21 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) การที่จะรอดชีวิตจากบาปนั้นเราจะต้องมองที่เครื่องถวายบูชาไถ่บาปบนกางเขน
ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้ว ทุกอย่างจะมีจุดรวมอยู่ที่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นเราจึงลืมพระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยเราให้รอด ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดอื่นนอกจากพระยาห์เวห์ แต่ถึงกระนั้นเราก็ให้ความเชื่อของเราอยู่ที่ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และคิดว่าเรารอดโดยพระองค์ไม่ใช่รอดโดยพระยาห์เวห์ พระคริสต์ตามพระคัมภีร์กำลังบอกเราว่า “วิธีที่เราช่วยให้รอดก็คือวิธีที่งูทองสัมฤทธิ์ในถิ่นกันดารได้ช่วยให้รอด งูไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ มันทำด้วยทองเหลืองในขณะที่เรามีเนื้อและเลือด แต่เพราะเราถูกยกขึ้นตามบัญชาของพระยาห์เวห์ ดังนั้นตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์แล้ว เมื่อเจ้ามองมาที่เรา เจ้าจะมีชีวิตรอดเพราะพระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” ชื่อของพระเยซูมีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด”
และเมื่อเรารอดโดยทางความเชื่อเราก็รอด “ในพระคริสต์” ในหนังสือ การมาเป็นคนใหม่[65] ผมได้ตรวจสอบคำว่า “ในพระคริสต์” เราอยู่ “ในอาดัม” ทางกำเนิด ดังนั้นวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะรอดชีวิตได้ก็คือการอยู่ “ในพระคริสต์” มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัมทางกำเนิด ผู้คนเจ็ดพันล้านคนในโลกทุกวันนี้อยู่ในอาดัมทั้งสิ้น ในลูกา 3:38 อาดัมถูกเรียกว่า “บุตรของพระเจ้า”[66] แม้ว่าเขาจะไม่มีความเป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้น “พระบุตรของพระเจ้า”[67] จึงไม่ใช่คำเรียกพระเจ้า การเป็นบุตรของพระเจ้าไม่ได้ทำให้อาดัมเป็นพระเจ้าจากคำเรียกนี้แต่อย่างใด เราอยู่ในอาดัมเพราะเราถือกำเนิดจากเขา แล้วเช่นนั้นเราจะอยู่ในพระคริสต์ได้อย่างไร? ก็โดยทางการเกิดใหม่ เพราะเราทุกคนเกิดในอาดัม ดังนั้นเราจึงต้องเกิดใหม่ในพระคริสต์ เรารอดด้วยงานการสร้างใหม่ที่พระเจ้าทรงกระทำในพระคริสต์
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ คนจะจำนวนเท่าใดก็สามารถเกิดในพระคริสต์ได้ตราบที่ยังให้เวลาอยู่ ตลอดช่วงประวัติศาสตร์คนก็สามารถเกิดในพระคริสต์ได้ จะจำนวนคนเท่าไรก็ได้ จะหนึ่งพันล้านหรือสิบพันล้านหรือจะล้านล้านคนก็ตาม แต่เราจะเกิดในพระคริสต์อย่างไร? เปาโลกล่าวในโรมบท 6 และในที่อื่นอีกว่าบังเกิดด้วยการรับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าในกายเดียวกัน (1 โครินธ์ 12:13) เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่บัพติศมาเราและให้เราเข้าในกายเดียวกัน (“บัพติศมา” มีความหมายแค่ว่า “วาง” ) และเพราะว่าเราถูกวางลงในกายนั้น เราจึงถูกทำให้มีชีวิตขึ้นใหม่ในพระคริสต์
คนจะจำนวนเท่าไรก็สามารถบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ได้เพราะว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยพระวิญญาณของพระองค์เอง พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่แยกต่างหากจากพระเจ้า แต่เป็นความบริบูรณ์ของพระยาห์เวห์ในฤทธิ์อำนาจที่ช่วยให้รอดของพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงอยู่ในการสร้างเก่าและการสร้างใหม่ ฤทธิ์อำนาจในการช่วยให้รอดของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์กำลังทำงานอยู่ ทำการบัพติศมาเราและวางเราไว้ในพระคริสต์ หากคนเจ็ดล้านคนในโลกปัจจุบันนี้ต้องการจะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาทุกคนจะถูกวางไว้ในพระคริสต์ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความไม่มีที่สิ้นสุดของพระคริสต์แต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจในการช่วยให้รอดที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระยาห์เวห์ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องเอาความคิดเรื่องความไม่มีที่สิ้นสุดหรือเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าจะพูดตามพระคัมภีร์แล้วการที่พระเยซูเป็นพระเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรอดของเราเลย
เรายังคงค้นการเชื่อผิดของตรีเอกานุภาพกันต่อไป ใจผมเป็นทุกข์หนักเพราะเราได้เผยแพร่ความเชื่อผิดๆจากที่พระคัมภีร์สอน ความรอดของเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้าพระบุตรผู้ไม่มีที่สิ้นสุดที่ถูกกล่าวถึง แต่มันเกี่ยวข้องกับถ้อยคำที่ช่วยให้รอดของพระยาห์เวห์และการที่พระองค์ทรงนำเราเข้าในพระคริสต์โดยพระวิญญาณของพระองค์ให้บังเกิดใหม่ เปลี่ยนเราใหม่ และสุดท้ายให้เราดีพร้อม
พระเยซูจะทรงล้มเหลวได้ไหม?
ท้ายบทนี้ผมอยากจะไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระยาห์เวห์กับพระเยซู ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความรอดของเรา ผมจึงขอตั้งคำถามอย่างนี้ว่า พระเยซูจะทรงล้มเหลวได้ไหม? เราคงสะดุ้งเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ถ้าหากพระองค์ทรงล้มเหลว บางทีการเป็นพระเจ้าของพระองค์อาจให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์จะไม่มีทางล้มเหลวได้ นี่อาจเป็นเหตุให้เราอยากเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่การเชื่ออย่างนั้นก็เท่ากับว่าเรากำลังฝากความมั่นใจในความรอดของเราไว้กับการไม่เป็นมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งหมายถึงว่าผู้ที่ตายเพื่อเรานั้นไม่ใช่มนุษย์
ทูตสวรรค์สามารถตายเพื่อเราได้ไหม? พระเจ้าทรงสามารถตายเพื่อเราได้ไหม? แต่พระเจ้าจะทรงตายไม่ได้เพราะว่าพระองค์ทรงอมตะ ทูตสวรรค์ก็ตายไม่ได้เพราะว่าเหล่าทูตสวรรค์ก็เป็นอมตะ ยิ่งกว่านั้นเหล่าทูตสวรรค์ไม่มีร่างกายในขณะที่พระเยซูทรงแบกบาปของเราในพระกายของพระองค์บนกางเขน เราได้รับการไถ่ด้วยโลหิต เพราะถ้าไม่มีโลหิตไหลออกก็จะไม่มีการชดใช้บาป (เลวีนิติ 17:11 ฮีบรู 9:22)[68] แต่เหล่าทูตสวรรค์ไม่มีโลหิตที่จะไหลเพื่อลบล้างบาปได้ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่ทรงให้พระสัญญาของพระองค์กับเราทางทูตสวรรค์ แต่เป็นทางพระบุตรของพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดที่พระยาห์เวห์ทรงแต่งตั้ง พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าแต่ไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร
พระเยซูจะทรงล้มเหลวได้ไหม? นั่นคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจที่จะพิจารณากัน ถ้าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ก็น่าจะล้มเหลวได้อย่างแน่นอนใช่ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้นความรอดของเราก็คงจะสูญกัน เรื่องนี้จะเป็นข้อถกเถียงที่น่าสนใจที่มีฝ่ายหนึ่งโต้แย้งกรณีที่พระเยซูไม่สามารถจะล้มเหลวได้ แต่นี่ก็จะหมายความว่าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ อีกฝ่ายหนึ่งจะแก้ต่างกรณีนี้ว่าพระเยซูทรงสามารถล้มเหลวได้เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นความรอดของเราก็คงจะสูญหมดนะสิ
อะไรคือคำตอบจากพระคัมภีร์ในเรื่องนี้? คำตอบก็คือว่าพระเยซูทรงล้มเหลวได้อย่างแน่นอนเพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถูกทดลองได้และจะทรงยอมแพ้การทดลองก็ได้ ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นที่สวนเกทเสมนีเราก็คงต้องกังวลใจบ้าง คุณอาจจะคิดว่าความทุกข์ทรมานของพระเยซูที่เกทเสมนีนั้นเป็นการแสดงหลอกๆให้เชื่อเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะทรงล้มเหลวได้ แต่ความเป็นจริงก็คือว่า พระเยซูทรงต่อสู้จนน้ำพระเนตรและเหงื่อออกมาเป็นเลือด นี่จึงไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายว่าพระองค์ทรงล้มเหลวไม่ได้ แต่ถ้าความทุกข์ทรมานจนเหงื่อและน้ำพระเนตรหลั่งออกมาเป็นเลือดจะพิสูจน์สิ่งใดละก็ สิ่งที่จะพิสูจน์ก็คือพระเยซูทรงมีโอกาสมากที่จะล้มเหลว หรือจะใช้คำพูดว่าพระองค์ทรงผ่านมาได้อย่าง “ฉิวเฉียด”
พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีใครชิงชีวิต(ของเรา)ไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:18 ฉบับมาตรฐาน 2011) พระเยซูสละชีวิตของพระองค์เองด้วยการเชื่อฟังพระบิดา คุณลองนึกภาพที่พระองค์กล่าวว่า “เราไม่อยากจะทำ แต่เราจะทำด้วยการเชื่อฟังพระบิดาของเรา ไม่มีใครบังคับให้เราทำ เราสละชีวิตด้วยความยินยอมของเราเอง แต่ด้วยการเชื่อฟังพระบิดาด้วย” การเชื่อฟังของพระองค์เกือบจะถูกทดสอบจนถึงขีดสุด เพราะการถูกตรึงบนกางเขนรออยู่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
สำหรับพระเยซูนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเผชิญหน้ากับความตายมากเท่ากับการเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้มนุษย์ พวกเราไม่มีใครเคยเจอเรื่องนี้ดังนั้นเราจึงไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นไร ความเจ็บปวดนี้เป็นความน่ากลัวกับพระเยซูอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ทรง “ร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล” ต่อพระบิดา และพระเจ้าทรงสดับฟัง (ฮีบรู 5:7)[69] ตรงนี้เราเห็นความสัมพันธ์ที่มหัศจรรย์ของพระยาห์เวห์กับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์ พระคริสต์ตามพระคัมภีร์ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากพระยาห์เวห์ ความจริงแล้วพระองค์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยปราศจากพระยาห์เวห์และจะไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยปราศจากพระยาห์เวห์ ภาพที่เราเห็นตรงนี้ไม่ใช่พระคริสต์ที่ไม่ขึ้นกับใคร ไม่พึ่งใคร ผู้ทรงทำทุกอย่างสำเร็จด้วยพระกำลังของพระองค์เอง แต่พระคริสต์ตามพระคัมภีร์ผู้ที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริงต้องเผชิญความน่ากลัวกับการตายที่เสียลสะนี้ตามลำพัง ตามลำพังไม่ใช่ในแง่ของการถูกทอดทิ้งแต่ในแง่ของความรู้สึกที่โดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว
มีหลายคนสงสัยว่าทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งพระองค์ “พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6, ฮีบรู 13:5)[70] เป็นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะที่คุ้นๆกันในพระคัมภีร์เดิม
ในยามที่คุณทุกข์ทรมานอย่างสุดๆคุณเคยรู้สึกไหมว่าคุณถูกลืม? ความทุกข์ทรมานเป็นเรื่องหนักเฉพาะตัว คนใกล้ชิดคุณที่สุดก็ทุกข์ทรมานกับคุณด้วยไม่ได้ เพราะคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องแบกความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทรมานในรูปแบบใดก็ตามโดยอาจจะเป็นความเจ็บปวดจากโรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบที่เจ้าทุกข์จะทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว เขาจะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกทอดทิ้งก็ตามเพราะไม่มีใครที่จะรู้สึกได้อย่างที่เขารู้สึก
ผมเคยนั่งข้างๆคนที่ใกล้ตาย ผมสิ้นหวังสุดๆเมื่อผมเห็นใครกำลังจะตายเพราะผมรู้ว่าผมไม่สามารถจะพูดอะไรหรือทำอะไรที่จะปลอบใจเจ้าทุกข์ได้ เขาหรือเธอผู้นั้นต้องโดดเดี่ยวสุดๆในช่วงสุดท้ายของการตาย มันเป็นเรื่องเจ็บปวดที่จะเฝ้าดูโดยรู้ว่าคุณไม่มีหวัง โดยเฉพาะในกรณีของเจ้าทุกข์ที่อายุยังน้อยอยู่ คุณไม่สามารถจถช่วยอะไรคนนั้นได้เลย? เขาและเธอต้องเผชิญกับมันตามลำพัง
จากประสบการณ์ความทุกข์ทรมานของผม เมื่อผมรู้สึกเจ็บปวดร่างกายอย่างรุนแรง ผมรู้ว่าเฮเลนที่นั่งอยู่ข้างๆผมเดาไม่ออกเลยว่าผมกำลังเผชิญอะไรบ้าง เธอไม่สามารถจะรู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก ในเมื่อเส้นประสาทของเธอไม่ได้ติดอยู่กับของผม แล้วเธอจะรู้สึกได้อย่างไร? เธอก็ได้แค่มองดูและแค่เห็นสีหน้าของผม ช่วงเวลานั้นคุณอยู่เพียงลำพังคนเดียว เราทุกคนก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างไม่มากก็น้อย
ในความทุกข์ทรมานหนักที่สุดของพระองค์นั้น พระเยซูร้องเสียงดังว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27:46) พระเยซูไม่ได้ถูกทอดทิ้ง แต่พระองค์ทรงรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง นั่นคือจุดประสงค์ทั้งหมดของคำกวีที่คำกวีสามารถสื่อสิ่งที่คำตรงๆไม่สามารถสื่อออกมาได้ แต่เราก็รับภาษากวีแบบตรงตามคำเขียนโดยคิดว่าพระเยซูทรงถูกทอดทิ้งตามที่เขียนนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงถูกทอดทิ้งและพระยาห์เวห์ไม่เคยทอดทิ้งพระองค์เลย
พระเยซูจะทรงล้มเหลวได้ไหม? ใช่แล้วพระองค์สามารถจะล้มเหลวได้ ความจริงแล้วมีหลายครั้งที่พระองค์ดูเหมือนจะละล้าละลัง พระองค์เฝ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ถึงสามครั้ง ทรงต่อสู้จนเหงื่อและน้ำตาเป็นเลือด และแต่ละครั้งก็ตรัสว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” ถ้าจะตามพระทัยของพระองค์เองที่นอกเหนือจากพระทัยของพระบิดา พระองค์ก็อาจจะไม่ไปต่อ แต่พระองค์ทรงไปต่อเพราะพระองค์ได้รับคำบัญชาจากพระบิดา ฉะนั้นพระองค์จะไปต่อจนถึงที่สุดแม้ว่าพระองค์จะต้องถูกทอดทิ้งก็ตาม
ทำไมพระยาห์เวห์จึงเสด็จเข้ามาในองค์พระเยซูตอนพระองค์ทรงบังเกิดและสถิตอยู่กับพระองค์ทุกนาทีตั้งแต่ต้นจนถึงสุดท้ายตลอดช่วง 33 ปี? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อจะทรงให้แน่ใจว่าด้วยการสถิตอยู่เป็นพิเศษของพระองค์นั้น พระเยซูจะทรงได้รับการค้ำจุนจนลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ เพราะถ้าพระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตอยู่ด้วย พระเยซูก็จะล้มเหลวอย่างแน่นอน พระองค์จะไม่สามารถจะไปต่อได้แม้แค่นาทีเดียว
ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าจะไม่ทำบาป
มันก็เหมือนกับชีวิตคริสเตียนของเราที่คุณและผมจะประสบความสำเร็จไม่ได้แม้สักนาทีเดียวในชีวิตคริสเตียนหากพระองค์ไม่ได้สถิตอยู่ด้วย คุณคิดไหมว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับเรา? หรือทำไมจึงให้เราเป็นพระวิหารของพระองค์? เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพื่อให้การสถิตของพระองค์อยู่กับเราทุกขณะไปตลอดเส้นทาง คุณเห็นอย่างนี้จากประสบการณ์ของคุณเองไหม? ผมสังเกตจากประสบการณ์ของผมว่า ตราบใดที่ผมสัมพันธ์อยู่กับพระยาห์เวห์ ตราบใดที่พระองค์ดำเนินชีวิตในผมและผมก็ติดต่อกับพระองค์ ผมจะไม่ล้มเหลว ผมสามารถไปต่อได้อีกนานโดยไม่ล้มเหลวแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะทะนงตนแต่เพราะความจริงว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในผม ยอห์นกล่าวว่า “ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้น และเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า” (1 ยอห์น 3:9 ฉบับมาตรฐาน 2011)
ผมพูดด้วยความมั่นใจที่สุดว่าเราจะสามารถก้าวผ่านชีวิตนี้ได้โดยไม่ผิดพลาดแม้สักครั้งเดียวตราบใดที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในเราและเรารู้ตัวว่าติดต่อสัมพันธ์อยู่กับพระยาห์เวห์ น่าเสียดายที่เราส่วนใหญ่ผิดพลาดกันเรื่อยๆซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราให้สายตาของเราหันจากองค์ผู้เป็นเจ้าไปมองที่อื่นสักประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนกับเปโตร หลังจากล้มลงเราก็เริ่มต้นที่จะลุกขึ้นมา เราร้องคร่ำครวญต่อองค์ผู้เป็นเจ้าโดยหวังว่าจะไม่ต้องล้มลงและไม่ต้องใช้เวลานานมากที่จะลุกขึ้นมา
จากประสบการณ์ของผมและผมก็หวังว่าเป็นประสบการณ์ของคุณด้วยเช่นกัน ผมพูดได้ด้วยจิตสำนึกอย่างถูกต้องว่าผมสามารถจะไปต่อได้เป็นเวลานานโดยไม่ล้มเหลวเลยสักครั้งแม้จะมีการทดลองและสิ่งยั่วยวนใจจะเป็นกี่วันกี่อาทิตย์ผมก็ไม่ล้มเหลว ผมรู้ตัวดีว่าผมมีความสามารถเต็มๆที่จะล้มเหลว แต่ผมก็ไม่ล้มเหลว นั่นเป็นเพราะในความอ่อนแอของผมนั้นพระเจ้าทรงค้ำจุนผมและทรงยึดผมไว้ทุกขณะของวันนั้น
พระเยซูน่าจะทรงล้มเหลวแต่พระองค์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น “แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮีบรู 4:15 ฉบับมาตรฐาน 2011) ชัยชนะของพระองค์อยู่กับความจริงว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์อย่างสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์มีอยู่ในเวลานั้นที่จะค้ำจุนพระเยซูเพื่อช่วยคุณและผมให้รอด
พระยาห์เวห์ทรงทุกข์ทรมานในความทุกข์ทรมานของพระคริสต์
พระยาห์เวห์ทรงทุกข์ทรมานมากอยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นความกระหาย ความหิว หรือการตรึงบนกางเขนและทรงอยู่ด้วยกับพระคริสต์จนถึงนาทีสุดท้าย เราอาจจะไม่สามารถทุกข์ทรมานกับคนที่กำลังทุกข์ทรมานได้ แต่คุณรู้อะไรไหม? บางครั้งเราต้องทุกข์ทรมานมากกว่าคนที่ทุกข์ทรมานเสียอีกเพราะความสงสารที่เรามีต่อคนนั้น พวกเราที่เป็นพ่อจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ เมื่อผู้หญิงกำลังคลอดบุตร ผมไม่แน่ใจว่าใครจะทุกข์มากกว่ากัน เป็นภรรยาที่กำลังคลอดหรือว่าสามีที่กำลังเฝ้าดูและฟังเสียงร้องของเธอ
ภายในห้องคลอดพวกพยาบาลอาจจะตะคอกสุดเสียง เพราะความเจ็บปวดในการคลอดนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนที่พวกเขารัก แต่เมื่อมาเป็นภรรยาและลูกของคุณเองสิ เสียงร้องทุกครั้งมันเจ็บสะท้านลงไปถึงกระดูก ผมได้อยู่ในห้องคลอดจนถึงตอนภรรยาคลอดลูกสาว เมื่อผมได้ยินเสียงคนกรีดร้องในห้องคลอด ผมจึงถามขึ้นว่า “มันเจ็บปวดอย่างเสียงที่ร้องไหม?” เมื่อมีคนบอกผมว่ามันไม่ได้เจ็บปวดอย่างเสียงที่ร้องหรอก ผมจึงโล่งใจขึ้นบ้าง
เมื่อพระยาห์เวห์ทรงเห็นความทุกข์ทรมานของพระเยซู ผมไม่แปลกใจเลยที่พระองค์จะทรงทุกข์ทรมานมากกว่าพระเยซูเสียอีก แม้เราจะไม่สามารถรู้สึกกับความทุกข์ทรมานของผู้นั้นได้โดยตรง เราก็สามารถจะเข้าอกเข้าใจผู้นั้นในความพยายามจะเข้าใจความทุกข์ทรมานนั้น แต่ก็ขึ้นกับว่าเราเป็นคนแบบไหน คนที่ไม่รู้สึกอะไรง่ายๆก็จะไม่ทุกข์ทรมานในแบบนี้ แต่ผมรู้แน่ว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาจะทรงรู้สึกกับความทุกข์ทรมานของคนทั้งหลายได้ไวมาก คำ “ความรักความเมตตา”[71] นี้ถูกใช้ซ้ำๆกับพระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิม พระองค์ทรงทุกข์ทรมานกับประชากรของพระองค์ก็เพราะความเมตตาสงสารอย่างที่สุดของพระองค์ “พระองค์ทุกข์พระทัยในความทุกข์ทั้งหมดของเขา” (อิสยาห์ 63:9 ฉบับมาตรฐาน 2011)
พระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในองค์พระเยซูไม่ใช่เพียงแค่จะค้ำจุนพระเยซู แต่ทรงดำเนินชีวิตอยู่กับพระองค์ ทรงอาศัยอยู่ในเต็นท์ซึ่งก็คือพระกายของพระเยซู พระองค์สถิตอยู่กับพระเยซู 33 ปี คุณสามารถเห็นความสัมพันธ์สนิทที่ลึกซึ้งและสวยงามระหว่างพระยาห์เวห์กับพระคริสต์ได้ โมเสสพูดคุยกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า แต่มีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นเกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ก็คือความสัมพันธ์สนิทภายในระหว่างมนุษย์พระเยซูคริสต์กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตด้วยกันทุกขณะ และพระยาห์เวห์เองจะไม่ให้พระเยซูจะทรงล้มเหลวแต่จะให้ฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นที่จำเป็นกับพระเยซูเพื่อให้พันธกิจของพระองค์เพื่อความรอดของเราเป็นผลสำเร็จ นี่เป็นภาพที่สวยงามใช่ไหม?
การแยกทางกัน
สรุปว่าเรามาถึงทางแยกที่ต้องแยกทางกัน เราจะต้องเลือกระหว่างพระคริสต์ตามพระคัมภีร์หรือว่าพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตรผู้ดำรงอยู่ที่เราหาไม่พบในพันธสัญญาเดิมและผู้ที่ดำรงอยู่ในพันธสัญญาใหม่ตามการตีความผิดๆและตีความเกินจากที่มีในตัวบทเพื่อให้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวบท ผมได้แต่ขอให้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงยกโทษให้ในความไม่รู้ของเราช่วงนั้นที่เราทำไปด้วยความร้อนรนเพื่อพระเจ้า เหมือนที่เซาโลข่มเหงคริสตจักรด้วยความร้อนรนที่ผิดทางด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
พระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาแทนที่พระยาห์เวห์และทำให้พระองค์หมดความจำเป็น เพราะพระคริสต์ผู้นี้ทรงมีทุกสิ่งที่เราต้องการและพระองค์ทำอย่างนี้โดยไม่ต้องพึ่งพาพระยาห์เวห์ แต่พระคริสต์ตามพระคัมภีร์ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกไว้ตั้งแต่วางรากสร้างโลก ทรงไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้แม้แต่อึดใจเดียวโดยไม่พึ่งพาพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับพระองค์ทุกย่างก้าวจนถึงวินาทีสุดท้ายเมื่อทรงหายใจเฮือกสุดท้ายและมอบจิตวิญญาณของพระองค์ไว้กับพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงชุบพระเยซูให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ และทรงตั้งพระคริสต์ไว้สูงและให้นามของพระองค์อยู่เหนือนามทุกนามที่ทุกเข่าจะกราบลง
พระเยซูทรงมีความสำคัญมากเพียงใดกับพระยาห์เวห์ และเราแต่ละคนจะมีความสำคัญมากเพียงใดกับพระยาห์เวห์หลังจากที่เราได้ต่อสู้จนผ่านพ้นความมืดของโลกนี้ มันเป็นการสู้รบที่ยาก เราได้ต่อสู้ท่ามกลางคำสอนเท็จ ท่ามกลางการสะดุดอยู่ในความมืด แต่ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายด้วยการเสริมกำลังและการสถิตอยู่ของพระเจ้า เราสามารถจะเข้าใจได้ดีขึ้นถึงความสำคัญมากที่พระเยซูมีต่อพระยาห์เวห์โดยดูจากเรื่องของโยเซฟที่ฟาโรห์ให้ชื่อของเขาอยู่เหนือนามทุกนามในอิยิปต์ โดยในนามของโยเซฟนั้นเมื่อตราของฟาโรห์ถูกยกขึ้นทุกเข่าจะต้องคุกลงต่อโยเซฟ ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระยาห์เวห์จากภาพตัวอย่างที่ดีในฝ่ายวิญญาณของโยเซฟและโมเสสนั้นเปรียบให้เห็นในทำนองเดียวกันที่พระเยซูก็ได้ทรงพาเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์และให้เรามีอิสรภาพในชีวิตใหม่ นั่นคือความงดงามของพระเยซู
ความสับสนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ “พระบิดา” ที่หมายถึงนั้นแตกต่างจากพระบิดาในพระคัมภีร์และ“พระคริสต์” ที่หมายถึงก็แตกต่างจากพระคริสต์ในพระคัมภีร์ ที่ผ่านมาเราไม่สามารถจะบอกความแตกต่างได้เพราะว่าเราได้ถูกปลูกฝังเช่นนั้น แต่ตอนนี้เราเห็นชัดเจนโดยพระคุณของพระเจ้า
ผมขอประกาศถ้อยคำของเอลียาห์ว่า จงเลือกเสียในวันนี้ว่าคุณจะรับใช้ผู้ใด เพราะจะไม่มีการอะลุ้มอล่วยอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้ หรือดังที่โมเสสกล่าวในอพยพ 32:26 หลังจากที่ประชาชนสร้างวัวทองคำว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์?”[72] ถ้อยคำนี้มักจะแปลผิดว่า “ใครอยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า?”[73] คุณจำเป็นต้องตัดสินใจเลือก ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์? วันนี้ผมก็ขอเรียกร้องคุณ จงกลับมาหาพระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราเพียงผู้เดียว ความนิรันดร์ของคุณขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของคุณ แต่สำหรับผมและครอบครัว เราจะปรนนิบัติองค์ผู้เป็นเจ้าผู้ที่คือพระยาห์เวห์[74] แล้วคุณล่ะปรนนิบัติผู้ใด?
[1] ดาเนียล 2:37 “ข้าแต่พระราชา พระราชาเหนือพระราชาทั้งหลาย ผู้ซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดชและศักดิ์ศรี” (ฉบับมาตรฐาน 2011) และฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “โอข้าแต่กษัตริย์ กษัตริย์จอมกษัตริย์ทั้งหลายซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ทรงประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดช และสง่าราศี”
[2] Artaxerxes
[3] เอสรา 7:12 “อารทาเซอร์ซีสกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ถึงเอสราปุโรหิต ธรรมาจารย์ของธรรมบัญญัติแห่งพระเจ้าของฟ้าสวรรค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[4] มัทธิว 26:63 แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ท่านมหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[5] มัทธิว 26:64 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านได้พูดแล้ว แต่เราจะบอกท่านทั้งหลายด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็น บุตรมนุษย์ ประทับข้าง ขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[6] หรือ “ฉายา”
[7] Immaculate Conception of Mary
[8] “The Lord is my shepherd” (พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเกือบทุกฉบับแปลเหมือนกัน) -ผู้แปล
[9] ฉบับ 1971 แปลสดุดี 23:1 ว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ” (ผู้แปล)
[10] The Complete Jewish Bible (CJB)
[11] Psalm 23:1 “A psalm of David: ADONAI is my shepherd; I lack nothing.” (CJB)
พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” (ผู้แปล)
[12] ฉบับ 1971 แปลกิจการ 20:28 ว่า “ ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้ปกครองคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง” (ผู้แปล)
ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลกิจการ 20:28 ว่า “จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์” (ผู้แปล)
[13] Scriptures
[14] ฉบับ 1971 แปลว่า “พระเจ้าผู้ไถ่ของเจ้า ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า ‘เราคือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสิ่งสารพัด ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์แต่ ลำพัง ผู้ทรงกางแผ่นดินโลก ผู้ใดอยู่กับเราเล่า’” (ผู้แปล)
[15] ฉบับ 1971 แปลว่า “เรา เราคือพระเจ้า และนอกจากเราไม่มีพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด” (ผู้แปล)
[16] The New International Version (NIV) ซึ่งแปลตรงกับภาษาไทยฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (ผู้แปล)
[17] Complete Jewish Bible (CJB), “16 because in connection with him were created all things—in heaven and on earth, visible and invisible, whether thrones, lordships, rulers or authorities—they have all been created through him and for him. 17 He existed before all things, and he holds everything together.” (Col 1:16 CJB) -ผู้แปล
[18] ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับไทยคิงเจมส์ ก็ใช้คำ “โดยพระองค์” (ผู้แปล)
[19] อิสยาห์ 44:24 “เราคือพระยาห์เวห์ ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง เราแต่ผู้เดียวคลี่ฟ้าสวรรค์ออกมา เราเองเป็นผู้กางแผ่นดินโลกออก” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) – ผู้แปล
[20] Titus 2:13 says, “…looking for the blessed hope and the appearing of the glory of our great God and Savior, Christ Jesus” (NASB)
ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “การปรากฏอันทรงสง่าราศีของพระเจ้าใหญ่ยิ่งและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ผู้แปล)
[21] “the glory of the great God and our savior Jesus Christ”
[22] “the” เป็นคำนำหน้านาม “God” ที่ชี้เฉพาะว่าเป็นพระเจ้า “พระองค์นี้” แต่ไม่มีในภาษาไทย (ผู้แปล)
[23] หรือ “great God and the our savior Jesus Christ” (ผู้แปล)
[24] NASB (New American Standard Bible) และ NIV (New International Version)
[25] หมายถึง “พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ของเรา” แทนที่จะเป็น “พระเจ้ายิ่งใหญ่และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา”
(ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่และพระผู้ช่วยให้รอดของเราคือพระเยซูคริสต์” ฉบับ 1971 แปลว่า “พระเจ้าใหญ่ยิ่งคือพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “พระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ของเราคือพระเยซูคริสต์” ที่ทำให้เข้าใจว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” และ “พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด” ที่หมายถึงคนๆเดียวกัน) -ผู้แปล
[26] Titus 2:13 “our great God and the appearing of our Deliverer, Yeshua the Messiah.” (CJB)
[27] Titus 2:13 “the great God and our Saviour Jesus Christ” (KJV)
ทิตัส 2:13 “การปรากฏอันทรงสง่าราศีของพระเจ้าใหญ่ยิ่งและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ฉบับไทยคิงเจมส์) -ผู้แปล
[28] “บาอัล” เป็นคำเรียกพระของคนคานาอันและชนเมโสโปเตเมีย ในยุคต้นๆคำนี้ก็ใช้กับพระเจ้าพระยาห์เวห์ด้วย “บาอัล” มาจากคำฮีบรู หมายถึง “เจ้าของ” ที่ให้ความหมายว่า “เจ้านาย” หรือ “สามี” (โฮเชยา 2:16 “พระยาห์เวห์ตรัสว่า ในวันนั้นเจ้าจะเรียกเราว่า ‘สามีของฉัน’ เจ้าจะไม่เรียกเราว่า ‘พระบาอัลของฉัน’ อีกต่อไป”) - ผู้แปล เพิ่มเติมข้อมูลจากคู่มือพระคัมภีร์และวิกีพีเดีย)
[29] หรือ “ปูชนียสถานสูง”
[30] Masada เป็นที่ตั้งของพระราชวังและป้อมปราการโบราณในเขตทางใต้ของอิสราเอล (ผู้แปล)
[31] “ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพ” (1 ยอห์น 5:21 ฉบับมาตรฐาน 2011)
[32] เมื่อผมพูดถึงการที่พระคริสต์ทรงอยู่ใต้บัญชาในการประชุมของผู้ดูแลระดับภูมิภาคที่บาหลี (ปี 2005) พวกคุณอาจไม่เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นขัดกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ความเชื่อในตรีเอกานุภาพปฏิเสธการที่พระบุตรอยู่ใต้บัญชาของพระบิดา สิ่งนี้เรียกว่าการเชื่อผิดในเรื่องการอยู่ใต้บัญชา ในบาหลีผมตั้งใจพูดอย่างนั้นเพราะผมรู้ถึงความสับสนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง พวกคุณที่รู้เรื่องความเชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่บ้างก็จะรู้ว่าเมื่อผมพูดถึงพระบุตรทรงอยู่ใต้บัญชานั้น เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพรับไม่ได้ แม้ว่าจะมีหลักฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องนี้ก็ตาม
[33] หรือแปลว่า “โดย” ตามต้นฉบับภาษากรีกคือ “และเรามีชีวิตโดยพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตโดยเราอย่างนั้น” (ผู้แปล)
[34] C.K. Barrett นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ที่มีอิทธิพลมากที่สุดของศตวรรษที่ 20 (ผู้แปล)
[35] James Dunn นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)
[36] John 10:18 “No one takes it away from me; on the contrary, I lay it down of my own free will. I have the power to lay it down, and I have the power to take it up again. This is what my Father commanded me to do.” (Complete Jewish Bible)
[37] หมายถึง “ผู้ที่ทรงใช้เรามา” (ผู้แปล)
[38] หรือแปลว่า “รูปเหมือน”
[39] Rangoon
[40] Yangon (อ่านว่า “ยานโกน”)
[41] Yeshua
[42] Nicene Creed
[43] anathema
[44] Council of Chalcedon
[45] the Second Council of Constantinople
[46] Athanasian Creed
[47] Athanasius (หัวหน้าบาทหลวงแห่งอเล็กซานเดรีย)-ผู้แปล
[48] “This is the Catholic faith which except a man shall have believed faithfully and firmly, he cannot be in a state of salvation.”
[49] ในฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด (NASB) คือคำ “Maranatha” (“มารานาธา” เป็นภาษาอาราเมค แปลว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จ เถิด”) -ผู้แปล
[50] Christology หรือ “ศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์”
[51] Alexandrian theology
[52] Antiochene theology
[53] “reasoning soul” แปลจากหลักข้อเชื่ออธานาเซียส ข้อ 32 (ผู้แปล)
[54] จากข้อ 37 ของหลักข้อเชื่ออธานาเซียส (ผู้แปล)
[55] Nestorius
[56] logos
[57] หรือ “พระฉายา”
[58] ผู้แปลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนอ้างอิง
[59] “with God”
[60] “with reference to God”
[61] ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แปล
[62] มาจากคำฮีบรูว่า “Halleluyah” (ฮาลเลลูยาห์) ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Hallelujah” ฉบับภาษาไทยใช้ “ฮาเลลูยา” (ผู้แปล)
[63] สดุดี 135:3 “จงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ จงร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงพระเมตตา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[64] หรือ เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
[65] Becoming a New Person by Eric H. H. Chang
[66] “son of God” (ลูกา 3:38 “ไคนานเป็นบุตรของเอโนส เอโนสเป็นบุตรของเสท เสทเป็นบุตรของอาดัม อาดัมเป็นบุตรของพระเจ้า”)
[67] “Son of God”
[68] เลวีนิติ 17:11 “เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทุกตัวอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าทั้งหลายเพื่อใช้บนแท่นบูชา เพื่อจะลบมลทินของเจ้าทั้งหลาย เพราะว่าโลหิตเป็นสิ่งที่ใช้ลบมลทิน เพราะชีวิตเป็นเหตุ” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ฮีบรู 9:22 “แท้จริงตามธรรมบัญญัตินั้นถือว่าเกือบทุกสิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ด้วยเลือด และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการยกโทษบาปเลย” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[69] ฮีบรู 5:7 “ในระหว่างที่พระคริสต์ประทับในโลก พระองค์ทรงถวายคำอธิษฐาน และคำร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าทรงสดับเนื่องจากความยำเกรงของพระคริสต์” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
[70] เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6 “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน” (ฉบับมาตรฐาน 2011)
ฮีบรู 13:5 “ท่านอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย”
[71] หรือ “ความรักมั่นคง” (lovingkindness)
[72] อพยพ 32:26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์? จงมาหาเราเถิด” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[73] ฉบับภาษาอังกฤษเกือบทุกฉบับแปลคำ “พระยาห์เวห์” เป็น “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ตามการแปลในภาษากรีก แต่พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระยาห์เวห์” ส่วนฉบับ 1971 แปลว่า “พระเจ้า” และฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “พระเยโฮวาห์” (ผู้แปล)
[74] โยชูวา 24:15 “แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล