pdf pic

บทที่ 2

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

 

คำนำ

          ผมร้อนใจที่จะให้คำสอนรุดหน้าเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะให้ความจริงในเรื่องนี้ถูกสอนออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้และความเชื่อที่ผิดๆจะได้สิ้นสุดลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำเสนอความจริงที่ให้ภาพทั้งหมดออกมาชัดเจนและเข้าใจง่าย

          ผมกำลังให้คุณเห็นทัศนียภาพทั้งหมด  ทัศนียภาพคือภาพมุมกว้างที่ผู้ดูสามารถกวาดสายตาไปได้ทั่วโดยไม่ต้องมาจดจ้องอยู่ตรงจุดเดียวแล้วก็ไปต่ออีกจุดหนึ่งด้วยความข้องใจว่าจุดเหล่านั้นเชื่อมโยงกันอย่างไร  ถ้าผมเริ่มข้อพิจารณาของผมวันนี้ด้วยการวิเคราะห์แบบเป็นข้อๆ แบบข้อนี้ทีข้อโน้นทีก็จะทำให้คุณสับสนเพราะคุณจะไม่รู้ว่าข้อเหล่านั้นเชื่อมโยงกันอย่างไร   แต่โดยพระคุณของพระเจ้า  ผมจะนำเสนอภาพในวงกว้างให้เราได้พิจารณา  ภายหลังเมื่อเรามองส่วนนี้และส่วนโน้นของภาพเราก็จะรู้ว่าส่วนต่างๆเหล่านั้นเข้ากันพอดีได้อย่างไร  

     ครั้งนี้ผมจะให้รายละเอียดส่วนสำคัญบางอย่างที่ผมเกริ่นไว้คราวก่อน  ในมุมมองแบบกว้างนั้น  คราวก่อนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับศาสนศาสตร์และเกี่ยวกับพระคัมภีร์บางประการที่ผมไม่ได้ขยายความไว้เพราะผมแค่วาดให้เห็นภาพแบบกว้างๆ  แต่คราวนี้ผมจะดูประเด็นเหล่านี้ในบางส่วนและหลักสำคัญในประเด็นเหล่านั้น

พระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลาง

      จุดสำคัญข้อแรกก็คือพระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงในพระคัมภีร์เดิม  บทก่อนผมชี้ให้เห็นแล้วว่าคำ “พระเจ้า” มีปรากฏ 2,500 ครั้งซึ่งน้อยกว่าคำ “ยาห์เวห์” ที่มีปรากฏราว 7,000 ครั้งอยู่มาก  พระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์เดิมที่ไม่อาจปฏิเสธได้

          น่าเสียดายที่ไม่มีคำยาห์เวห์ในภาษาจีน  คำที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ “เยเหอหัว”[1] ซึ่งก็คือเยโฮวาห์   “เยโฮวาห์” เป็นคำผสมที่ไม่พบในต้นฉบับเดิมภาษาฮีบรูและที่จริงแล้วไม่มีคำนี้จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 16 เมื่อมีคนประสมคำขึ้นโดยผสมพยัญชนะจาก “ยาห์เวห์” กับสระจาก “อาโดนาย”[2]

     ในพระคัมภีร์ภาษาจีนมีคำ “เยโฮวาห์” ถึงแม้จะไม่พบคำนี้ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ  พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษแปลคำ “ยาห์เวห์” ว่า “LORD” (ลอร์ด) เป็นตัวพิมพ์ใหญ่โดยได้รับอิทธิพลจากการที่พระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับเซปทัวจินต์แปลคำ “ยาห์เวห์” เป็น “คูริออส”[3] (Lord หรือ องค์ผู้เป็นเจ้า)              เซปทัวจินต์[4]คือพระคัมภีร์เดิมฉบับแปลเป็นภาษากรีกฉบับสำคัญสุดที่ทราบกันว่าแปลโดยคนเจ็ดสิบคน   คำว่า “เซปทัวจินต์” มีความหมายว่าเจ็ดสิบ  ดังนั้นเซปทัวจินต์หรือที่เรียกกันว่า LXX[5] จึงเป็นการแปลของคนเจ็ดสิบคน (แต่บรรดานักวิชาการไม่แน่ใจว่าจำนวนผู้แปลจะมีเจ็ดสิบคนพอดี)  ฉบับเซปทัวจินต์แทนที่จะคงชื่อ “ยาห์เวห์” ไว้แต่กลับแปลให้เหมือนว่าชื่อนี้คือ “อาโดนาย” (Lord หรือ องค์ผู้เป็นเจ้า) ดังนั้นเองทั้ง “ยาห์เวห์” และ “อาโดนาย” จึงถูกแปลเป็น “ลอร์ด” (Lord)  สิ่งนี้สร้างความสับสนอย่างมากมานานกว่าหลายศตวรรษที่แม้กระทั่งคำเฉพาะเจาะจงว่า “Adonai Yahweh  (Lord Yahweh)”[6] ก็ถูกแปลเป็น “องค์ผู้เป็นเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord LORD ที่มีคำ “ลอร์ด” ซ้อนกัน)[7]

     พระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงของพระคัมภีร์เดิม  แต่ในภาษาจีนไม่มีคำที่ถูกต้องให้กับชื่อเฉพาะของพระเจ้า   หลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วดูเหมือนว่าการแปลทับศัพท์ที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดของยาห์เวห์ควรจะเป็น “ย่าเหว่ย”[8] ซึ่งพอจะใกล้เคียงกับ “ยาห์เวห์”  และก็ดีกว่าคำดั้งเดิมว่า “เยเหอหัว”[9]  ความเป็นไปได้อย่างอื่นที่จะลดคำ “เยเหอหัว” มาเป็น “เยเหอ” โดยเอา “หัว” ออกไปนั้นก็ไม่เหมาะสมเพราะ “หัว” เป็นคำที่เกี่ยวข้องอย่างมากกับประเทศจีนและมีความหมายกับคนจีน   แต่การเลือก “ย่าเหว่ย” (“ย่า” หมายถึง “เอเชีย” และ “เหว่ย” หมายถึง “ยิ่งใหญ่”) มากกว่าจะเลือก “เยเหอหัว (“หัว” หมายถึงเกี่ยวกับประเทศจีน)” นั้นเราจะได้ภาพที่กว้างไกลกว่าคือจากประเทศจีนไปไกลจนทั่วเอเชียจึงนำมาสู่การเปลี่ยนจาก “หัว” (จีน) มาเป็น “ย่า” (เอเชีย) (ข้อมูลปัจจุบัน: การแปลที่ดีกว่าสำหรับยาห์เวห์ตอนนี้คือ “หยาเหว่ย”[10])

     พระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงของพระคัมภีร์เดิม ในพระคัมภีร์เดิมนั้นไม่มีใครอื่นเป็นพระเจ้านอกจากพระยาห์เวห์  ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือว่าคุณจะไม่พบพระเจ้าพระองค์ที่สอง[11] และยิ่งจะไม่พบพระเจ้าพระองค์ที่สาม[12]ในพระคัมภีร์เดิมเลย  นักวิชาการพระคัมภีร์เดิมทุกคนรู้ดีว่าคุณจะไม่พบพระเจ้าสามพระองค์ในพระคัมภีร์เดิม  พระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น  ผมพูดอย่างนี้โดยไม่กลัวการโต้แย้งจากใครๆแม้แต่จากบรรดานักวิชาการฮีบรูชั้นแนวหน้า (ผมเคยศึกษากับนักวิชาการฮีบรูบางท่านที่มีชื่อเสียงมาก  อาจารย์ที่ดูแลผมคือศาสตราจารย์แอ็คครอยด์[13] ท่านเป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้าคนหนึ่งในสหราชอาณาจักรอังกฤษ)  ไม่ว่าคุณจะมีมุมมองศาสนศาสตร์ในแบบไหนผมก็กล้าพูดด้วยความมั่นใจที่สุดว่าไม่มีพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สามที่รวมอยู่ในพระเจ้า มีแต่พระยาห์เวห์เดียวและพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นในพระคัมภีร์ฮีบรู

     ตอนนี้คุณเริ่มจะเห็นถึงปัญหาที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเจอเมื่อเขาค้นในพระคัมภีร์เดิมจากพระคัมภีร์ฉบับของความเชื่อตรีเอกานุภาพที่ไม่มีคำนี้อยู่เลยและจะไม่พบแม้แต่ข้อเดียว  ชื่อพระยาห์เวห์ปรากฏเกือบ 7,000 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมโดยไม่รวมกับพระอื่นๆ

ความตรงข้ามกันกับการสถิตอยู่ใกล้ของพระเจ้า

      จุดสำคัญข้อที่สองที่ผมพูดถึงคราวก่อนแต่ไม่ได้ขยายความก็คือเรื่องเกี่ยวกับการสถิตอยู่ไกลของพระเจ้า  ศาสนศาสตร์ของประเทศตะวันตกเชื่อว่าพระเจ้าสถิตอยู่ไกล  ความคิดเช่นนี้เป็นแนวคิดแบบกรีกซึ่งเห็นได้ง่ายมากกับผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพยุคแรกๆซึ่งเป็นชาวกรีกเสียส่วนใหญ่แต่มีชาวยิวอยู่น้อยอย่างน่าตกใจ  เมื่อมาถึงช่วงสภาสังคายนาไนเซีย[14]ก็แทบไม่มีคนยิวหลงเหลืออยู่ในคริสตจักร  ผมไม่เคยรับรู้ว่ามีผู้นำชาวยิวหลงเหลืออยู่บ้างในคริสตจักรในช่วงการประชุมแห่งไนเซียราวศตวรรษที่สามและสี่  เนื่องด้วยพัฒนาการที่อันตรายเช่นนี้ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวจึงถูกขจัดทิ้งไป  และความเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์ที่อำพรางตัวอยู่ก็เข้ามาและครอบงำคริสตจักร

          ในความคิดแบบกรีกเกี่ยวกับการสถิตอยู่ไกลนั้นเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากโลกมากและถูกยกให้สูงอยู่ในสวรรค์   ความคิดเช่นนี้แทนที่จะเป็นการถวายเกียรติพระเจ้าแต่กลับให้ภาพว่าพระเจ้าไม่ทรงห่วงใยและไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้

     จากการเข้าไปดูหลายเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมคราวก่อนผมได้ชี้ให้เห็นว่าความคิดเกี่ยวกับพระเจ้านั้นผิดเพี้ยนไปเลย  ความจริงแล้วพระเจ้าทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้จริงๆจนอาดัมได้ยินเสียงฝีเท้าของพระองค์   พระยาห์เวห์เดินอยู่ ไม่ใช่ผีหรือกายที่ไม่มีตัวตนซึ่งไม่มีเสียง  เราไม่รู้ลักษณะรูปร่างของพระองค์จริงๆว่าเป็นอย่างไรแต่ก็อยู่ในรูปที่มีตัวตนที่คุณสามารถสัมผัสพระองค์ได้ มองเห็นพระองค์ได้และได้ยินพระองค์  เมื่อพระองค์เดินคุณสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของพระองค์

     แนวคิดที่พระเจ้าสถิตอยู่ใกล้นั้นความคิดแบบกรีกไม่สามารถจะเข้าใจได้  ตามความคิดแบบกรีกแล้วพระเจ้าทรงอยู่ไกลโพ้นในสวรรค์และไม่ค่อยจะสนใจโลกนี้  เหตุผลก็คือว่าตามความคิดแบบกรีกถือว่าโลกแห่งวัตถุเป็นสภาพที่ต่ำสุดของสิ่งที่ดำรงอยู่และเป็นที่ที่ความบาปและความชั่วอาศัยอยู่ 

     ตั้งแต่ศตวรรษที่สองราว 100 ปีหลังจากช่วงสมัยของพระคริสต์มีคนหนึ่งที่ชื่อมาร์กิโอน[15]ประกาศว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกแห่งวัตถุนี้จะเป็นพระเจ้าที่แสนดีไปไม่ได้เพราะโลกแห่งวัตถุนี้ชั่วร้าย  และไม่มีพระเจ้าที่แสนดีองค์ไหนจะทรงสร้างโลกที่เป็นวัตถุขึ้นมา  ด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกันนี้เองร่างกายของมนุษย์จึงถูกถือว่าชั่วช้าเพราะเป็นกายวัตถุและเป็นที่ที่ความบาปและความชั่วอาศัยอยู่  ฉะนั้นจุดประสงค์ของความรอดก็คือการหลุดพ้นออกจากโลกแห่งวัตถุนี้

     แนวคิดแบบนี้อาจฟังดูแปลกๆกับคุณ แต่มันเป็นแนวคิดที่ครอบงำความคิดของชาวกรีกในเวลานั้น  แนวคิดแบบนี้เฟื่องฟูไปพร้อมๆกับการแพร่หลักคำสอนแบบนอสติก[16] ซึ่งเป็นประเด็นที่แพร่หลายในทุกวันนี้จากอิทธิพลของหนังสือรหัสลับดาวินชี[17]  ตอนนี้หลักคำสอนแบบนอสติกกำลังหวนกลับมาแพร่หลายอีกครั้ง  ร้านหนังสือในประเทศแคนาดาต่างก็มีหนังสือเกี่ยวกับคำสอนแบบนอสติกอยู่ในสต๊อกของร้าน

     หลักคำสอนเกี่ยวกับความเชื่อแบบนอสติกคืออะไร?  พูดให้ง่ายก็คือการรอดโดยทางความรู้   จากคำกรีก “ch2 1p” (นอสซิส)[18] ซึ่งหมายถึง “ความรู้”  ในความเชื่อแบบนอสติกนั้นคุณจะได้ยินว่า “นอสซิส” คือความรู้ที่เป็นเคล็ดลับของการหลุดพ้นจากโลกแห่งวัตถุ  และขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้นถึงชั้นของสรวงสวรรค์จนคุณหลุดจากการยึดชีวิตนี้ไว้และเข้าไปในชีวิตฝ่ายวิญญาณและชีวิตที่ไม่มีตัวตน  มันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อแบบกรีกว่าวัตถุทางกายมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ข้างใน

          แนวคิดนี้มีผลตามมาหลายอย่างมีอิทธิพลมาก  หนึ่งในนั้นคือมุมมองที่แพร่หลายในคริสตจักร (และยังคงแพร่หลายในวงกว้างของคริสตจักรทุกวันนี้)ว่าความสัมพันธ์ต่างๆในทางเพศนั้นไม่ดี (พูดอย่างเบาสุด) และยิ่งกว่านั้นแล้วยังบาปอีก (พูดอย่างแรงสุด) เรื่องเพศถูกเข้าใจว่าเป็นรูปแบบของการถูกจองจำอยู่กับโลกของวัตถุ  นั่นคือความคิดที่อยู่เบื้องหลังมุมมองที่บรรดาบาทหลวงคาทอลิกไม่ควรจะแต่งงาน

     ความเชื่อเรื่องการอุทิศตัวให้กับศาสนา[19]ก็เป็นผลอีกอย่างของมุมมองแบบกรีกต่อโลกของวัตถุ  ที่พระนักบวชมีแรงบันดาลใจหันจากโลกของวัตถุที่มีความเสื่อมทรามเป็นที่ตั้ง  และจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ของชีวิตฝ่ายวิญญาณในที่กันดารที่ห่างไกลจากความเจริญให้มากที่สุด  เพื่อจะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์จากร่างกายเนื้อหนังของพวกเขา มีการถือศีลอดและการเฆี่ยนตีตัวเอง  พระนักบวชจะอดอาหารและทุบตีตัวเองจนเลือดไหลเหมือนว่านี่เป็นการปลดปล่อยตัวเองจากร่างกายนี้

          มาร์กิโอนถึงกับพูดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นพระเจ้าที่ชั่วร้าย เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้  นี่ชี้ให้เห็นว่าการแยกพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมกับพระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่ในคริสตจักรของคนต่างชาตินั้นจะต้องมาถึงขั้นที่คืบหน้าจนทำให้คำสอนแบบนี้เกิดขึ้นและแผ่ขยายไปทั่วคริสตจักร  ใครที่คุ้นกับประวัติศาสตร์ของคริสตจักรจะรู้ว่ามาร์กิโอนเป็นคนมีชื่อเสียง  เขาเป็นคนที่เสนอแนะหลักคำสอนการรอดโดยความรู้ให้คริสเตียน   หลักคำสอนการรอดโดยความรู้นี้มีพูดเป็นนัยแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ที่บรรดาคริสเตียนในยุคแรกได้ต่อสู้ในเรื่องนี้  1 ยอห์น 4:2-3 กล่าวว่า “พวก​ท่าน​ก็​จะ​รู้​จัก​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​โดย​ข้อ​นี้ คือ​วิญ​ญาณ​ทุก​ดวง​ที่​ยอม​รับ​ว่า​พระ​เยซู​คริสต์​ได้​เสด็จ​มา​เป็น​มนุษย์ วิญ​ญาณ​นั้น​ก็​มา​จาก​พระ​เจ้า    และ​วิญ​ญาณ​ทุก​ดวง​ที่​ไม่​ยอม​รับ​พระ​เยซู วิญ​ญาณ​นั้น​ก็​ไม่​ได้​มา​จาก​พระ​เจ้า วิญ​ญาณ​นั้น​แหละ​เป็น​ศัตรู​ของ​พระ​คริสต์ ซึ่ง​พวก​ท่าน​ได้​ยิน​ว่า​จะ​มา และ​ขณะ​นี้​ก็​อยู่​ใน​โลก​แล้ว” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

     ตามความเชื่อของมาร์กิโอนและความเชื่อที่รอดโดยความรู้ของคริสเตียนแล้ว พระเยซูไม่น่าจะเสด็จมาในเนื้อหนัง เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ยอมให้ตัวพระองค์เองเปรอะเปื้อนโดยการเข้ามาอยู่ในเนื้อหนัง  พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในเนื้อหนัง  พระองค์แค่มีรูปลักษณะของมนุษย์  พระเยซูมองดูเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง  และพูดคุยเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง  แต่พระองค์ไม่ได้มีร่างกายเหมือนพวกเราจริงๆ  นี่คือหลักคำสอนแบบโดซีติก[20]ที่รู้จักกันดี (คำกรีกหมายถึง “มองดูเหมือน”)  แต่ถ้าหากพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พระองค์ก็คงถูกตรึงบนกางเขนไม่ได้  และถ้าหากพระองค์ไม่ได้ถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ก็คงไม่ได้สิ้นพระชนม์จริง

     หลักคำสอนเหล่านี้อาจฟังดูแปลกๆกับคุณ  แต่เมื่อกลับไปเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ของคริสตจักรหรือศาสนศาสตร์อิงประวัติศาสตร์เล่มไหนๆ คุณก็จะเห็นถึงอิทธิพลอย่างมากของคำสอนแบบนี้ ความคิดที่พระเจ้าสถิตอยู่ไกลสืบเนื่องมาจากความเชื่อเบื้องต้นว่าเนื้อหนังนั้นไม่ดี ร่างกายนั้นไม่ดี เรื่องเพศนั้นไม่ดี  และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัตถุนั้นไม่ดี   คำสอนเช่นนั้นแตกต่างจากมุมมองของคนฮีบรูอย่างสิ้นเชิงที่ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นสิ่งที่ดี  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างเสร็จ  พระองค์ทรงเห็นว่าการสร้างของพระองค์ “ดียิ่งนัก”  และไม่ใช่แค่ “ดี”  ตรงนี้เราเห็นความแตกต่างสำคัญระหว่างความคิดของคนฮีบรูกับความคิดของคนกรีกซึ่งเป็นคนต่างชาติ

          ร่างกายเป็นสิ่งดี  เพศนั้นพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น  ทุกสิ่งดีเพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างมันดี  มนุษย์อาจทำให้สิ่งที่พระเจ้าสร้างเสื่อมทรามลง  แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีมาตั้งแต่ต้น

     ความคิดแบบปรัชญากรีกมีฐานจากความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกล และบรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรในยุคแรกๆ (บรรดาผู้นำคริสตจักรที่ไม่ใช่ชาวยิว) ถูกหล่อหลอมด้วยความคิดแบบนี้

     พระธรรมปฐมกาลสนับสนุนความคิดเรื่องการสถิตอยู่ไกลไหม?   เราเห็นคราวก่อนว่าอาดัมและเอวายังได้ยินเสียงฝีเท้าของพระเจ้า  ยิ่งกว่านั้นก่อนหน้านั้นพระเจ้าก็ได้ทรงปั้นมนุษย์อย่างสวยงามจากดินด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระองค์ทรงปลูกสวนอีกด้วย แล้วพระองค์ก็ยังทรงทำหน้าที่ของปุโรหิตในการฆ่าสัตว์และเอาหนังของมันมาทำเป็นเสื้อให้กับอาดัมและเอวาสวมใส่หลังจากที่พวกเขาทำบาป

     พระคัมภีร์ปฏิเสธความคิดแบบกรีกเรื่องพระเจ้าทรงสถิตอยู่ไกล แต่นี่เป็นข้อสนับสนุนสำคัญของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะพระเจ้าถูกกล่าวว่าทรงสถิตอยู่ไกลโพ้น เราจึงจำเป็นต้องมีผู้ปรองดองที่ยืนอยู่ตรงกลาง ผู้ที่ส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้าและส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์  เมื่อถึงตอนที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพยึดครองพระคัมภีร์ใหม่นั้นพวกเขาก็ทำให้เนื้อความเสียหายไปหมด  ถึงแม้จะมีความจริงที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์เดิมแต่นั่นก็ยังไม่สามารถจะยับยั้งการทำให้พระยาห์เวห์หายไปจากพระคัมภีร์ใหม่ตามการแปลความของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้

     ที่มาร์กิโอนสามารถพูดว่าพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมไม่ใช่พระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่นั้นแสดงให้เห็นว่าภายในเวลา 100 ปีหลังสมัยของพระคริสต์ คริสตจักรได้ถูกครอบคลุมด้วยปรัชญากรีกมากแค่ไหน  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพช่วงสมัยการประชุมแห่งไนเซียไม่ได้ไปไกลขนาดนั้นและพวกเขาก็ปฏิเสธถูกต้องแล้วว่ามาร์กิโอนเป็นคนนอกศาสนา  พวกเขาแสวงหาทางสายกลางระหว่างความคิดแบบกรีกกับความคิดแบบฮีบรู  แต่ที่น่าเศร้าก็คือสุดท้ายพวกเขาก็เลือกทางที่กำหนดโดยคนกลุ่มแรกไม่ใช่โดยคนกลุ่มหลัง

     การคิดแบบนี้เป็นเหตุให้ไม่มี “พระยาห์เวห์” อยู่ในพระคัมภีร์ใหม่  ถ้าคุณดูพระคัมภีร์ใหม่คุณจะไม่เห็นข้ออ้างอิงถึงพระยาห์เวห์เพราะว่าฉบับเซปทัวจินต์ได้เอาชื่อของพระยาห์เวห์ออกไปจากพระคัมภีร์เดิมโดยใช้คำกลางๆแทนว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord)   คราวก่อนที่ผมถามคุณว่าคุณอธิษฐานกับใคร  เมื่อคุณตอบว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” บางคนตอบว่า “พระบิดา”  และบางคนตอบว่า “พระบุตร” นั้นแสดงให้เห็นถึงความสับสนอย่างมาก   และเมื่อความเชื่อในตรีเอกานุภาพยึดครองพระคัมภีร์ใหม่จึงเป็นความสับสนโดยสมบูรณ์   เมื่อคุณพูดคำว่า “พระเจ้า” ก็ไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังหมายถึงใคร

     สรุปข้อแรกคือพระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์เดิม  ข้อสองคือความคิดแบบกรีกเรื่องที่พระเจ้าสถิตอยู่ไกลนั้นขัดกับคำสอนของพระคัมภีร์  พระยาห์เวห์สถิตอยู่ไกลจริง (แต่ไม่ใช่ในความหมายแบบกรีก)  นอกจากนั้นพระคัมภีร์ก็เน้นการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์มากกว่าการอยู่ไกลของพระองค์  พระองค์เสด็จลงมาในโลก และยิ่งกว่านั้นทรงใส่พระทัยแม้กระทั่งเส้นผมที่ร่วงจากศีรษะของคุณ

การกันพระเจ้าออกไป

          การที่ “พระยาห์เวห์” หายไปจากพระคัมภีร์ใหม่นั้นจึงทำให้พระเยซูเป็นจุดศูนย์กลางของพระคัมภีร์ใหม่  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพถือว่าพระคัมภีร์ใหม่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระคริสต์[21]

          ผมมองย้อนกลับไปด้วยความกลัวที่ผม (และคนอื่นๆ) ได้ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียวองค์นี้หมดความสำคัญลง  ผมสงสัยว่าพระเจ้าจะทรงอภัยความผิดมหันต์ให้เราไหมที่บิดเบือนความจริงที่สำคัญดังกล่าวเกี่ยวกับพระองค์  พระเจ้าไม่ได้เป็นศูนย์กลางอีกต่อไปแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ร้อน  ความสำคัญทั้งสิ้นอยู่ที่พระเยซู  เราให้ความสนใจกับการตั้งพระเยซูให้เป็นพระเจ้า  และถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าเราก็ไม่ต้องการพระบิดา  คุณจะต้องการพระบิดาไปทำไมในเมื่อคุณมีพระเจ้าในพระบุตรอยู่แล้ว? คริสเตียนบางคนยังพูดถึงพระบุตรว่าเป็นพระบิดาจึงทำให้พระบุตรก็คือพระบิดาและพระบิดาก็คือพระบุตร

     มันสำคัญไหมว่าเราจะต้องเชื่อในตรีเอกานุภาพ?  จงไตร่ตรองจากมุมมองของพระยาห์เวห์แล้วลองทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดู  เรากำลังให้เกียรติพระเยซูเป็นจุดศูนย์กลางของการนมัสการแทนที่จะเป็นพระยาห์เวห์  พระเยซูเป็น “ผู้ที่สำคัญที่สุด” แม้ในการมาเป็นคริสเตียนของเรา  เราให้ความนับถือพระยาห์เวห์เพียงน้อยนิด แต่ให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงในการนมัสการของเรา

     ผมแปลกใจที่บางคนยังใส่ใจกับการยึดความเป็นพระเจ้าของพระเยซูอย่างมาก  พวกเขาจะถามผมว่า “คุณหมายความว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าอย่างงั้นหรือ?”  เราใส่ใจกับการให้เกียรติพระเยซูมากกว่าและใส่ใจที่จะให้เกียรติพระยาห์เวห์ไม่ถึงครึ่งของพระเยซูอย่างงั้นหรือ?  ทำไมจึงไม่มีใครสนใจพระยาห์เวห์อีกต่อไป?  เราได้ทำอะไรกับองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราหรือ? เราอยากจะพูดถึงแต่พระเยซูและร้องเพลงถวายพระองค์เท่านั้น

     ผมรู้สึกผิดอย่างมากในเรื่องนี้  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนหนึ่งในบรรดาผู้เชื่อตรีเอกานุภาพทั้งหลายผมยังได้แต่งเพลงว่า “ข้าพระองค์ถวายทั้งหมดแด่พระเยซู” ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเยซู  วันก่อนผมปรึกษากับเฮเลนว่าจะทำยังไงกับเพลงนี้  ขอพระเจ้าทรงอภัยให้ผมด้วย  ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  เพลงที่ยกย่องบูชานี้ชี้ไปที่พระเยซู ไม่ได้ชี้ไปที่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ในความคิดของเรานั้นพระเยซูทรงทำทุกสิ่ง  พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงทำให้ความรอดของเราสัมฤทธิ์ผล เช่นนั้นแล้วเราจะต้องการพระบิดาไปเพื่ออะไร?

          เป็นไรไหมที่เราจะยังเชื่อในตรีเอกานุภาพต่อไป?  จะเป็นไรไหมในวันที่เรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้พิพากษาแห่งสวรรค์และโลก  และยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายการพิพากษาไว้?  เราคิดว่าเรากำลังทำให้พระเยซูพอพระทัย  แต่ผมนึกได้ด้วยความตกใจว่าเรากำลังทำสิ่งที่ตรงข้ามอย่างมากกับที่พระเยซูได้ทรงสอนไว้  คราวก่อนผมอ้างอิงมาระโก 12:29[22] ที่พระเยซูตรัสอ้างอิงจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 ว่า  “โอ คน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด พระ​ยาห์​เวห์ พระ​ยาห์​เวห์​เท่า​นั้น​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​เรา”[23] (ฉบับมาตรฐาน 2011)  มีพระยาห์เวห์เดียวและเพียงผู้เดียว

         พระเยซูตรัสในข้อต่อมาว่า “พวก​ท่าน​จง​รัก​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​เจ้า​ด้วย​สุด​ใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​จิต​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​ของ​ท่านและ​ด้วย​สุด​กำ​ลัง​ของ​ท่าน” (มาระโก 12:30  ที่พระเยซูตรัสอ้างอิงจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:5 ข้อต่อมาว่า “ท่าน​จง​รัก​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ด้วย​สุด​จิต​สุด​ใจ​และ​สุด​กำลัง​ของ​ท่าน”)[24]

     พระเยซูทรงสอนเราให้รักพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของเรา สิ้นสุดจิตของเรา สิ้นสุดความคิดของเรา สิ้นสุดกำลังของเรา  ในวันที่เรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู เราจะพูดกับพระองค์อย่างนี้ไหมว่า “พระเยซูเจ้า  ข้าพระองค์ได้พยายามทำให้พระองค์พอพระทัย”   “แล้วทำไมเจ้าจึงไม่ฟังคำสอนของเรา?  ทำไมเจ้าจึงเรียกเราว่าองค์ผู้เป็นเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้ทำตามสิ่งที่เราสอนเล่า?[25]  เราได้บอกเจ้าแล้วว่ามีเพียงพระยาห์เวห์ผู้เดียวเท่านั้นที่เจ้าจะต้องรักด้วยสิ้นสุดทั้งหมดของเจ้า”

     เมื่อตอนผมกลับมาถึงแคนาดาปีที่แล้วและหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ ทันใดนั้นเหตุการณ์ของยอห์นบท 6 ก็ตอกย้ำในใจผม  ฝูงชนอยากจะตั้งพระเยซูเป็นกษัตริย์  เราและเหล่าสาวกอาจเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องอย่างที่ควรแต่พระเยซูคงจะไม่มีความคิดแบบนี้  พระองค์ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์  ดังนั้นพระองค์จึงทรงหลบไปจากพวกเขา[26]

     คุณต้องการตั้งพระเยซูให้เป็นกษัตริย์ในชีวิตของคุณไหม? นั่นเป็นสิ่งที่ดี  แต่ว่าพระเยซูทรงต้องการเป็นกษัตริย์ในชีวิตของคุณเพียงเพราะคุณต้องการตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์หรือ?  พระเยซูกำลังตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราไม่ได้แสวงหาเกียรติจากมนุษย์ ดังนั้นจงอย่าตั้งให้เราเป็นกษัตริย์  มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เราต้องการถวายเกียรติ  และผู้นั้นก็คือพระยาห์เวห์ พระบิดาของเรา”

     พระเยซูทรงตั้งมาตรฐานให้เราทำตาม  แต่เราก็คิดว่าเรากำลังทำให้พระองค์พอพระทัยด้วยการยกย่องพระองค์ให้อยู่ในฐานะที่สำคัญและผลักไสพระบิดาของพระองค์ออกไปแม้เราจะยินดีให้เกียรติพระบิดาแบบพอเป็นพิธีอยู่บ้าง   ที่จริงความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าพระยาห์เวห์เพราะพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งของเราแล้ว  ก็โคโลสี 1:16 ไม่ได้กล่าวไว้หรอกหรือว่าพระเยซูทรงสร้างทุกสิ่ง?[27]

     ความคิดของเราถูกครอบงำอย่างมากด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพจนเราไม่เห็นความร้ายแรงที่เราได้ทำ  นี่ไม่ใช่ความบาปเล็กๆ  เราจะถูกกล่าวโทษว่าไหว้รูปเคารพเพราะว่าเราได้ตั้งให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางของการนมัสการซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้สอนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่

     ผมครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้วันแล้ววันเล่าเฝ้าหวังกับองค์ผู้เป็นเจ้า  ตอนแรกผมมองไม่เห็นความร้ายแรงกับสิ่งที่ผมได้ทำในการสอนและเผยแพร่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ต่อมาผมก็เริ่มเห็นความจริงในเรื่องนี้  ในแง่หนึ่งผมมีความยินดีที่เห็นความจริง  แต่ในอีกแง่หนึ่งผมเสียใจกับการเชื่อผิดที่ร้ายแรงของเรา  เราได้ทำสิ่งที่พระเยซูจะไม่ทรงพอพระทัยในวันที่เราพบพระองค์หน้าต่อหน้า “ทำไมเจ้าจึงเรียกเราว่า องค์ผู้เป็นเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า? เจ้าไม่ได้อ่านที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์หรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูดแล้วพูดอีกในยอห์นหรอกหรือว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะทำตามอำเภอใจของเรา  แต่กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา?”

          พระเยซูตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่เพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเราก็จะมีชีวิตอยู่เพราะเราฉันนั้น” (ยอห์น 6:57 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) พระองค์ตรัสซ้ำๆถึงการที่พระองค์พึ่งพาพระบิดาของพระองค์  ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำและตรัสนั้นเป็นพระบิดาผู้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่ในพระองค์

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์ใหม่

          พระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์เดิม  และที่ผมจะกล่าวต่อไปก็คือพระองค์ยังทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์ใหม่ด้วย   คำว่า “พระเจ้า” (theos) ปรากฏ 1,317 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  ในขณะที่พระนาม “พระเยซู” มีปรากฏ 917 ครั้ง หรือมีปรากฏน้อยกว่า 400 ครั้ง

          เราสามารถจะพูดถึงพระเจ้าได้ทั้งวันโดยคิดว่าเรากำลังพูดถึงพระเยซูขณะที่ในความเป็นจริงแล้วคำว่า “พระเจ้า” ในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ (ที่นอกเหนือจากพระเทียมเท็จ)[28] หมายถึงพระยาห์เวห์และไม่มีใครอื่นอีก  ผมพูดเรื่องนี้อย่างชัดๆโดยไม่กลัวการแย้งจากนักวิชาการท่านใดในโลกนี้  แม้แต่นักวิชาการคนสำคัญอย่าง เอช เอ ดับบลิว เมเยอร์[29]ก็ยอมรับว่าพระเยซูไม่เคยกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าและพระคัมภีร์ใหม่ก็ไม่เคยกล่าวถึงพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า

     ข้อพิสูจน์ทั้งหมดเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ขึ้นอยู่กับพระคัมภีร์ใหม่สองตอนเป็นหลัก  ตอนแรกคือยอห์น 1:1-18 (คำขึ้นต้นของยอห์น)  และอีกตอนคือฟีลิปปี 2:6-11  มีเพียงพระคัมภีร์สองตอนหลักๆนี้เท่านั้น  การให้หลักคำสอนทั้งหมดขึ้นกับพระคัมภีร์สองตอนนี้ (ซึ่งค้านและแย้งกันในตัวเองในแง่ว่าบรรดานักวิชาการไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการแปลพระคัมภีร์สองตอนนี้) แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ใหม่ตามพื้นฐานความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นขาดน้ำหนักแค่ไหน

     เราได้เห็นว่าประการแรกพระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางไม่เพียงกับพระคัมภีร์เดิมเท่านั้นแต่กับพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

     ประการที่สอง ตามพระคัมภีร์แล้วความคิดแบบกรีกเรื่องการสถิตอยู่ไกลของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ผิดถนัด  พระเจ้าทรงสถิตอยู่ไกลเหนือจักรวาลก็จริง แต่เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ทรงเลือกที่จะสถิตอยู่ด้วย  พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกกับอาดัม กับเอโนค กับอับราฮัม กับโมเสส และกับบรรดาผู้เผยพระวจนะ  และพระองค์ทรงหวังที่จะเดินกับเราแต่ก็มีโอกาสอย่างนั้นน้อยเต็มทีเพราะเราได้ตัดสินใจที่จะเดินกับผู้อื่นซึ่งก็คือพระเยซู  เราได้ให้พระบุตร (ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกส่งมา) มาแทนที่พระบิดา (ซึ่งเป็นผู้ส่ง)                   ประการที่สาม  เราใช้คำ “พระเจ้า” อย่างกว้างๆจนไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงใคร (ความสับสนนี้เป็นลักษณะของความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ที่มีพระหลายหลากมากมาย)  ถ้าคุณพูดว่า “พระเจ้า” โดยไม่ได้เจาะจงว่าคุณหมายถึงใคร  ผมจะไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงใคร  คุณกำลังหมายถึงพระบิดา หรือว่าพระบุตร หรือว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์?  หรือว่าทั้งสามพระองค์ หรือแค่สองพระองค์?  คำว่า “พระเจ้า” คลุมเครือมากจนเราไม่รู้ว่าหมายถึงใคร

          ผมยังเห็นบางอย่างที่ตอกย้ำผมเต็มแรง  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะอยู่รอดต่อไปได้ก็ต่อเมื่อความคลุมเครือนี้ยังคงมีอยู่ต่อไป  ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรับมือกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือการยืนหยัดกับความหมายที่ถูกต้องของคำโดยทำให้ชัดเจนว่าพระเจ้าหมายถึงอะไร  บางครั้งความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะให้ความหมายกับพระเจ้าว่าเป็นสสารและบางครั้งหมายถึงสามบุคคล ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะดำรงอยู่ต่อไปได้ก็โดยการให้ความคลุมเครือเช่นนี้มีอยู่ต่อไปอย่างถาวร ความคลุมเครือเป็นสิ่งที่ศาลสถิตยุติธรรมไม่ยอมรับและกฎของภาษาถือว่าฟังไม่ขึ้น  ตัวบทกฎหมายและภาษาจะขึ้นกับการให้ความหมายที่ชัดเจน  ฉะนั้นหากคุณไม่ได้ระบุว่า “พระเจ้า” เป็นใคร  หรือหากคุณจะเปลี่ยนความหมายของ “พระเจ้า” ไปเรื่อยๆ ผมก็จะไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร

          คำว่า “พระเจ้า” มีความหมายที่ชัดเจนในพระคัมภีร์เพราะมันหมายถึงพระยาห์เวห์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับบรรดาพระเทียมเท็จของอัสซีเรีย บาบิโลน หรือโรม   “พระเจ้า” จะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอผู้เป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียว  พระเยซูผู้ยึดมั่นกับการเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว  ทรงยอมรับพระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียวนี้  “และ​นี่​แหละ​คือ​ชีวิต​นิรันดร์  คือ​การ​ที่​พวก​เขา​รู้​จัก​พระ​องค์ ผู้​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​เที่ยง​แท้​องค์​เดียว และ​รู้​จัก​พระ​เยซู​คริสต์​ที่​พระ​องค์​ทรง​ใช้​มา” (ยอห์น 17:3)[30]  แต่เราได้ตัดสินใจที่จะไปคนละทางจนถึงกับให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งแทนที่พระยาห์เวห์

พระเจ้าทรงสื่อสาร

          คราวก่อนเราเห็นที่พระคัมภีร์พูดถึงพระเจ้าว่าทรงเอาใจใส่และทรงเมตตา  ฉบับแปลบางฉบับ เช่นฉบับอิงลิชแสตนดาร์ด[31] บอกถึงความปรานีของพระเจ้าด้วยคำที่สวยงามว่า “ความรักมั่นคง”   เป็นความรักที่ยังคงจริงแท้และมั่นคง  แต่สำหรับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วจะเป็นพระเยซูที่ทรงอยู่ใกล้มากและพระเจ้าทรงห่างเหินและอยู่ไกลซึ่งเป็นความเท็จอีกอย่างหนึ่งที่เราทำให้มันคงอยู่อย่างถาวร  ความจริงในพระคัมภีร์มีว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้มาก  และเมื่อมาถึงพระคัมภีร์ใหม่พระองค์ก็ทรงอยู่ใกล้ขึ้น

          คราวก่อนเราได้เห็นตัวอย่างความรักและความห่วงใยของพระเจ้าและตัวอย่างที่พระองค์ทรงปรารถนาจะสื่อสารกับเรา  พระยาห์เวห์ทรงพูดคุยกับมนุษย์อย่างต่อเนื่องในปฐมกาลและในพระคัมภีร์เดิม  การสื่อสารขึ้นอยู่กับสิ่งที่สำคัญมากซึ่งก็คือถ้อยคำ  ถ้อยคำเป็นเครื่องมือเดียวของการสื่อสาร  ถ้าคุณกับผมไม่ได้มีภาษาเดียวกัน  เราก็จะไม่สามารถสื่อสารต่อกันได้

     พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับเรา นี่เป็นเหตุที่เรียกพระคัมภีร์ว่าพระคำของพระเจ้า  พระคัมภีร์เดิมบรรจุถ้อยคำของพระเจ้า  เป็นการสื่อสารของพระเจ้าในสามรูปแบบ  รูปแบบแรกคือบทบัญญัติ  รูปแบบที่สองคือคำประพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คำประพันธ์แห่งปัญญา” หรือวรรณกรรมที่เกี่ยวกับปัญญา  รูปแบบที่สามคือการเผยพระวจนะและการสำแดง  บทบัญญัติ คำประพันธ์ การสำแดง  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับคำของพระเจ้าและการสื่อสารกับเรา

     พระคัมภีร์ใหม่ก็มีสามส่วนเหมือนกันคือ พระกิตติคุณ จดหมาย และวิวรณ์  ส่วนกิจการนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มพระกิตติคุณทั้งสี่ เพราะลูกาและกิจการเดิมทีแล้วเป็นเล่มเดียวกันไม่ได้แยกเล่มอย่างที่มีในพระคัมภีร์ของเราทุกวันนี้

     พระคัมภีร์ใหม่จึงเริ่มด้วยห้าเล่ม คือพระกิตติคุณสี่เล่มและกิจการ ซึ่งเหมือนกันกับห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมที่เรียกว่าเบญจบรรณ[32]

     ลำดับของพระกิตติคุณที่เรามีในทุกวันนี้ไม่ได้เป็นตามลำดับดั้งเดิม  บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ยอมรับว่ามาระโกเป็นพระกิตติคุณเล่มแรก  แต่พระคัมภีร์ของเรามีมัทธิวเป็นพระกิตติคุณเล่มแรก  ตามข้อสันนิษฐานทางเอกสารแล้ว (ซึ่งผมจะไม่เข้าไปในรายละเอียด) มาระโกเป็นพระกิตติคุณลำดับแรกที่มัทธิวและลูกาได้ใช้เป็นข้อมูลของพวกเขา

     รายชื่อเล่มต่างๆในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่[33]ที่ได้รับการเห็นชอบจากคริสตจักรให้บรรจุเป็นพระคัมภีร์ใหม่ถูกจัดเรียงลำดับที่ค่อนข้างตามใจชอบ  ผมติดใจว่าในแผนการศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้านั้น  พระกิตติคุณยอห์นน่าจะถูกมุ่งหมายให้เป็นเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่  ถ้าเป็นเช่นนั้นพระคัมภีร์ใหม่ก็จะเริ่มต้นเหมือนกันกับพระคัมภีร์เดิม  พระคัมภีร์ใหม่จะขึ้นต้นว่า “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่” ซึ่งตรงกับคำเริ่มต้นของปฐมกาล “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน”

     มันสมเหตุสมผล(เหมาะสม)อย่างที่สุดที่ให้ยอห์นเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่  ไม่เพียงแต่เพราะยอห์นเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่  แต่ยังเป็นเพราะในพระคัมภีร์ที่เรามีทุกวันนี้ได้แทรกยอห์นไว้ระหว่างลูกากับกิจการทำให้คั่นความเชื่อมต่อของสองเล่ม   การจัดเรียงที่เราเสนอให้กับพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มน่าจะเป็น ยอห์น มัทธิว มาระโก และลูกา โดยให้ลูกาอยู่ติดกับกิจการ

          คริสตจักรในยุคแรกผิดพลาดอย่างเห็นชัดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องแยกลูกากับกิจการซึ่งเป็นสองเล่มที่ควรอยู่ด้วยกันออกจากกันแล้วแทรกยอห์นไว้ตรงกลาง  ถ้าวางยอห์นไว้เป็นเล่มแรกมันก็ไม่ทำให้โครงสร้างของพระกิตติคุณเสียหาย อันที่จริงนี่จะทำให้พระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น  แต่คริสตจักรไม่ได้สมบูรณ์แบบ  นี่จึงไม่ใช่ความผิดพลาดเรื่องเดียวที่คริสตจักรได้ทำไปและก็ไม่ใช่ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด

พระวาทะคำของพระเจ้า

          พระคำเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับเรา  นี่ยังเป็นจริงในแวดวงของมนุษย์ด้วยเพราะเราไม่สามารถจะสื่อสารต่อกันได้นอกจากจะผ่านทางถ้อยคำ  เราจะดูเรื่องนี้กันคร่าวๆ จากปฐมกาล 15 ที่เราจะพบตัวอย่างแรกของ “ถ้อยคำของพระเจ้า”[34] ในพระคัมภีร์   เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพระคัมภีร์ตอนนี้เพราะมันไม่ค่อยจะเข้าแบบแผนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

          ผมไม่เคยเห็นคำอธิบายถึงถ้อยคำหรือ “พระวาทะ”[35]ในยอห์น 1:1 ได้อ้างกลับไปปฐมกาลบท 15 ที่มีคำ “พระวาทะ” ปรากฏเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์   ปฐมกาล 15:1 กล่าวว่า “ภาย​หลัง​สิ่ง​เหล่า​นี้​พระ​ดำรัส(พระวาทะ)[36]​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ทาง​นิมิต​ว่า “อับ​ราม​เอ๋ย เจ้า​อย่า​กลัว​เลย เรา​เป็น​โล่​ของเจ้า บำเหน็จ​ของ​เจ้า​จะ​มาก​มาย​นัก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

          ในต้นฉบับฮีบรูของข้อนี้ “พระดำรัส” (the word) คือ “ha debarim”[37] ซึ่งเป็นพหูพจน์ของ “dabar”[38] เป็นคำภาษาฮีบรูทั่วไปของ “ถ้อยคำ” (word)  พระคัมภีร์ฉบับเซปทัวจินต์แปล “dabar” เป็นคำกรีกตามใจชอบที่บางครั้งก็แปลเป็น “logos”[39] และบางครั้งก็เป็น “rhēma”[40]   ในปฐมกาล 15:1 พระคัมภีร์ฉบับเซปทัวจินต์แปล dabar เป็น rhēma  (หรือ  rhēmata,  the words)

     คำตรัสของพระยาห์เวห์มาถึงอับราฮัมใน “นิมิต” และไม่จำเป็นจะต้องเป็นเสียง  สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดคือนิมิตที่อับราฮัมได้เห็นบางสิ่ง เราไม่รู้ลักษณะที่ชัดเจนของการเห็นนี้แต่อับราฮัมได้เห็นคำตรัสของพระยาห์เวห์  คำตรัสของพระยาห์เวห์จะเป็นการเปิดเผยพระองค์เองเสมอ  ในกรณีนี้พระยาห์เวห์ได้เปิดเผยพระองค์เองกับอับราฮัมเหมือนดั่งโล่ของอับราฮัม ที่จะปกป้องและประทานบำเหน็จให้กับเขา

          ข้อ 4 ก็พูดถึงคำตรัสของพระยาห์เวห์ “เวลา​นั้น​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ว่า..”[41]  ตรงนี้ “คำตรัสของพระยาห์เวห์” คือ dabar Adonai [42](ch2 2p) ที่มี dabar (ch2 3) คำฮีบรูทั่วไปที่หมายถึง “ถ้อยคำ”  คำศัพท์ว่า dabar Adonai  ในภาษาฮีบรูเป็นการผูกคำที่เชื่อมด้วยยติภังค์คือขีดด้านบน (-)

     แต่ตรงนี้คำแปลภาษากรีกของ dabar นั้นไม่ได้แปลเป็น logos หรือ rhēma   ข้อความภาษากรีกกล่าวว่า  ch2 8[43] (“และทันใดนั้นพระสุรเสียงขององค์ผู้เป็นเจ้าก็มาถึงเขากล่าวว่า..”)  “คำตรัส” (dabar) ตรงนี้ได้ถูกแปลเป็น “เสียง” (ch2 9, โฟเน)  และ Adonai ก็ถูกแปลเป็น ch2 10 (คูริอู “Lord”) ในรูปของสัมพันธการก[44]ของผู้เป็นเจ้าของเสียง

     คำ “ch2 11” (พรอส) ตรงนี้มีความหมายว่าคำตรัสของพระยาห์เวห์มา “ถึงเขา” หรือ “อ้างอิงถึงเขา”  แต่ไม่ใช่ “กับเขา” (ch2 11 ยังใช้ในยอห์น 1:1 ด้วยจาก “พระวาทะเป็นการอ้างอิงถึงพระเจ้า-ch2 12”  ข้อเท็จจริงที่จะมีความสำคัญในภายหลังเมื่อเราดูยอห์น 1:1  ที่พระคัมภีร์ส่วนใหญ่แปล “ch2 11” ว่า “กับ” จึงทำให้มีการแปลข้อนี้ว่า “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” the Word was with God)[45]

         ครั้งนี้คำของพระยาห์เวห์มาถึงอับราฮัมโดยไม่ได้อ้างถึงว่าเป็นนิมิต (แม้มันจะยังเกี่ยวโยงกับนิมิตเดิมในข้อ 1) แต่เป็นเสียง  “เวลา​นั้น​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ว่า..”  ดังนั้นคำตรัสของพระยาห์เวห์จึงสามารถมาทางนิมิตที่เห็นหรือทางเสียง

พระเจ้าเสด็จกลับมายังโลก

          เรากำลังเคลื่อนไปตามเส้นโคจร  ในวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจรวดนั้นเส้นโคจรคือเส้นทางที่จรวดจะวิ่งไป  เส้นโคจรนี้สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์และวาดเป็นเส้นกราฟได้  มันจะให้ข้อมูลเช่นว่าทิศทางของการวิ่งและตำแหน่งที่ลง  คุณสามารถจะคำนวณความเร็วตรงจุดไหนก็ได้ของการโคจร

          คราวก่อนที่ให้ทัศนียภาพกว้างๆนั้นผมได้ร่างภาพให้เห็นช่วงแรกของการโคจร  ถ้าคุณไม่เห็นทัศนียภาพทั้งหมดคุณก็จะไม่รู้ว่าการโคจรมุ่งหน้าไปทางไหนและจะตรวจสอบส่วนนี้หรือส่วนนั้นของการโคจรไม่ได้  ผมได้ร่างส่วนเริ่มแรกของการโคจรให้คุณเห็นว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน เราได้เห็นในพระคัมภีร์เดิมว่าพระเจ้ากำลังอยู่ห่างออกไปไกลทุกที  ในหนังสือปฐมกาลจรวดยังคงอยู่บนพื้นดิน แต่หลังจากนั้นพระเจ้ายิ่งห่างไปไกลขึ้นไกลขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อมาถึงหนังสืออิสยาห์ พระเจ้าก็ได้ทรงถูกยกไว้สูงในฟ้าสวรรค์เสียแล้ว

         เอเสเคียลมีนิมิตเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ที่ดูเหมือนรถรบ  ในคำสอนของศาสนายิวจะเรียกนิมิตนี้ว่า “เมอร์กาบาห์”[46]  เมอร์กาบาห์มาจากคำฮีบรูว่า “รถรบ”  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นนิมิตของรถรบ  ผู้ถืออาคมชาวยิวจะเห็นสิ่งลี้ลับมากมายในนิมิตนั้นแต่เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้  สิ่งที่เราเห็นก็คือว่าการโคจรกำลังไปสูงขึ้นและสูงขึ้นและดูเหมือนพระยาห์เวห์จะทรงห่างจากเราไปไกลขึ้นและไกลขึ้น

         คุณอาจกำลังคิดว่าถ้าพระเจ้ากำลังทรงห่างไปไกลขึ้นและไกลขึ้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตหรือ?  จรวดก็น่าจะเลี้ยวโค้งกลับลงมา  พระเจ้าจะเสด็จกลับมายังโลก!  อิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาสู่โลกครั้งสำคัญของพระยาห์เวห์  ในอิสยาห์ 40 เราได้ยินเสียงร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมทางของพระเจ้า![47]  การโคจรกำลังจะลงมา   ทำไมคุณจะต้องเตรียมทางด้วยถ้าไม่ใช่เพราะว่าพระองค์กำลังจะเสด็จกลับมา?  และมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นพระสิริของพระเจ้า

          นอกจากนี้เรายังมีคำกล่าวที่น่าประหลาดใจเช่นในอิสยาห์ 7:14  “เพราะ​ฉะนั้น องค์​เจ้า​นาย​จะ​ประ​ทาน​หมาย​สำ​คัญ​ด้วย​พระ​องค์​เอง นี่แน่ะ หญิง​สาว​คน​หนึ่ง​จะ​ตั้ง​ครรภ์ และ​คลอด​บุตร​ชาย​คน​หนึ่ง และ​คน​จะ​เรียก​นาม​ของ​เขา​ว่า อิม​มา​นู​เอล” (ฉบับมาตรฐาน 2011)  ข้อนี้ถูกอ้างอิงในมัทธิว 1:23  ที่เกี่ยวโยงกับการประสูติของพระเยซู

          ครั้งก่อนเรายังพูดถึงอิสยาห์ 9:6 “ด้วย​มี​เด็ก​คน​หนึ่ง​เกิด​มา​เพื่อ​เรา มี​บุตร​ชาย​คน​หนึ่ง​ประ​ทาน​มา​ให้​เรา และ​การ​ปก​ครอง​จะ​อยู่​บน​บ่า​ของ​ท่าน และ​เขา​จะ​ขนาน​นาม​ของ​ท่าน​ว่า ที่​ปรึก​ษา​มหัศ​จรรย์ พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​มหิทธิ​ฤทธิ์ พระ​บิดา​นิรันดร์ และ​องค์​สันติ​ราช” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

          “อิมมานูเอล” หมายถึง “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”  คำฮีบรู “อิมมานูเอล” นี้มาจากคำสองคำ (ch2 13) ในขณะที่ภาษาอังกฤษและภาษากรีกมีคำเดียว (คือ Immanuel และ ch2 14)  คำฮีบรูคำแรก “อิมมานู” (ch2 15)[48] หมายถึง “อยู่กับเรา”  และคำที่สอง “เอล” (ch2 16)[49] หมายถึง “พระเจ้า” รวมกันแล้วหมายถึง “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

         พระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมคือพระยาห์เวห์และพระยาห์เวห์ก็คือพระเจ้า  พระเจ้าจะเสด็จลงมายังโลกเพื่ออยู่กับเราผ่านผู้ที่จะเกิดมาจากหญิงพรหมจารี  การโคจรกลับมายังโลกมาในการเกิดแบบพรหมจารี

     เราเข้าใจ “พระบิดานิรันดร์” ในอิสยาห์ 9:6 อย่างไร?  ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนำมาใช้กับพระเยซูอย่างตามใจชอบ  แต่ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรอยู่แล้วเราจะให้เป็นพระบิดาอีกได้อย่างไร?  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นปัญหาเช่นนี้ไม่ได้กวนใจเราเลยเพราะถ้าพระเยซูคือพระเจ้าฉะนั้นข้อไหนๆที่ใช้กับพระเจ้าก็ใช้กับพระเยซูด้วยเช่นกัน  แต่จะมีปัญหาในเรื่องนี้แม้ในข้อสรุปของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองก็ไม่ได้เรียกพระเยซูว่าพระบิดาและพระเยซูก็ไม่ใช่พระบิดา  แต่นั่นก็ไม่ได้กวนใจเราที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแม้ว่านี่ไม่ได้เป็นความจริงตามพระคำของพระเจ้า

         นักวิชาการบางคนเลี่ยงปัญหานี้ด้วยการบอกว่าชื่อเรียกต่างๆในอิสยาห์ 9:6 นั้นไม่ได้อ้างถึงพระเจ้าแต่อ้างถึงผู้ที่จะมาบังเกิด   เพราะว่า “พระบิดานิรันดร์” มีความหมายว่ากษัตริย์ผู้เป็นมนุษย์นี้จะเป็นบิดาของราชอาณาจักรของพระองค์เอง  และเพราะราชอาณาจักรของพระองค์นั้นนิรันดร์  พระองค์จึงเป็นพระบิดานิรันดร์  ส่วนชื่อเรียกพระเจ้าอย่างเช่น “พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์” พวกเขาชี้ว่าแม้แต่พระเยซูก็ตรัสว่า

“ใน​พระ​คัม​ภีร์​ของ​ท่าน​มี​คำ​เขียน​ไว้​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า ‘เรา​กล่าว​ว่า​พวก​ท่าน​เป็น​พระ[50]’  ถ้า​คน​ที่​รับ​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า​ได้​ชื่อ​ว่า​เป็น​พระ...”  (ยอห์น 10:34-35)[51]

          การตีความเช่นนี้ที่ชื่อเรียกดังกล่าวไม่ได้หมายถึงพระเจ้าแต่จะหมายถึงกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ซึ่งกำลังจะเสด็จมา จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักวิชาการพระคัมภีร์เดิมหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการที่มีความคิดแบบเสรี

         แต่ถ้าเราให้ “อิมมานูเอล” หมายถึงว่าพระเจ้าจะเสด็จลงมาอยู่กับเราทางการประสูติของพระเยซูและในองค์พระเยซูแล้วจะเป็นปัญหาอะไรหรือ?  ในพระคัมภีร์เดิมนั้นพระยาห์เวห์ก็คือพระบิดาโดยไม่ต้องสงสัย  เฉลยธรรมบัญญัติ 32:6 กล่าวว่า  “พระ​องค์(พระยาห์เวห์)ไม่​ใช่​พระ​บิดาผู้​ทรง​สร้าง​ท่าน ผู้​ทรง​สรรค์​ท่านและ​สถา​ปนา​ท่าน​ไว้​หรือ?”  หรือสดุดี 68:4-5 กล่าวว่า “จง​ยก​ย่อง​พระ​องค์​ผู้​ทรง​เมฆ​เป็น​พา​หนะ พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​คือ​พระ​ยาห์​เวห์  จง​ลิง​โลด​เฉพาะ​พระ​พักตร์​พระ​องค์  ทรง​เป็น​พระ​บิดา​ของ​เด็ก​กำ​พร้า..”[52]  ความคิดที่พระยาห์เวห์เป็นพระบิดานั้นฝังแน่นอยู่ในพระคัมภีร์เดิมแล้วก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ในพระคัมภีร์ใหม่

          ในเยเรมีย์ 3:4 พระยาห์เวห์ถูกเรียกว่า “พระบิดาของข้าพระองค์”  มันน่าสนใจที่แม้แต่ “คนโง่เขลาและคนเบาปัญญา” ก็เรียกพระองค์ว่าพระบิดา   คนเหล่านี้ไม่ได้เคร่งครัดในศาสนาและยังคล้ายกันกับผู้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนสมัยนี้คือไม่ลังเลจะอธิษฐานว่า “พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์”  คนอิสราเอลทั้งที่เคร่งศาสนาและที่ไม่เคร่งศาสนาในสมัยของเยเรมีย์จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” กันเป็นปกติ

         คุณเห็นไหมว่าการโคจรกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน?  นอกจากนี้ยังมีมีคาห์ 5:2[53] ที่พูดถึงผู้ปกครองของอิสราเอลผู้ที่จะออกมาจากเบธเลเฮม เอฟราธาห์ (คำที่มักจะเห็นตามบัตรอวยพรคริสต์มาส)

“โลกอส” (พระวาทะ) จากยอห์น 1:1

          คำนี้มีหมายความอย่างไรกับเรา?  ให้เราดูยอห์น       1:1 “ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ (logos)[54]​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า (ch2 17p) และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า”  ผมจะยังไม่เข้าไปในเรื่องหลักของภาษากรีกแต่จะดูอย่างกว้างๆอีกครั้ง   ผมใช้เวลาเป็นวันๆและเป็นอาทิตย์ๆในการตรวจสอบพระคัมภีร์ตอนนี้และศึกษาคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ต่างๆในเรื่องนี้

          เจมส์ ดัน[55] ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความคิดเรื่อง “logos” (โลกอส) ไว้บ้าง   ถ้าคุณค้นดูพจนานุกรมพระคัมภีร์หรือสารานุกรมพระคัมภีร์และเมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้วคุณจะเห็นความสับสนอย่างมาก   นี่เป็นเหตุที่ทำไมผมจึงใช้เวลามากในการตรวจสอบเรื่องนี้

         ลองดูข้ออ้างอิงจากที่อื่นๆในพระคัมภีร์ของคุณ เผื่อว่าจะมีข้ออ้างอิงถึงคำ  “logos” สักหนึ่งข้อในพระคัมภีร์เดิม  ถ้าคุณมีระบบข้ออ้างอิงอย่างละเอียดในพระคัมภีร์หรือเครื่องมือศึกษาพระคัมภีร์ของคุณ  คุณอาจพบข้ออ้างอิงหนึ่งในสดุดี 33:6 “โดย​พระ​ดำรัส​ของ​องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระ​ยาห์​เวห์) ฟ้า​สวรรค์​ก็​อุบัติ​ขึ้น​ ดวงดาวทั้งปวงมีขึ้นโ​ดย​ลม​พระ​โอษฐ์​ของ​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[56]

         แต่สดุดี 33:6 ไม่ได้ช่วยอะไรมากในการตีความตามความเชื่อแบบตรีเอกานุภาพจากยอห์น 1:1-3[57]  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าตรงนี้พูดถึงการสร้างฟ้าสวรรค์ไม่ใช่การสร้างโลก ข้อต่อมา (ข้อ 7) พูดถึงการรวบรวมน้ำทะเล  แต่ก็ไม่มีการอ้างอิงถึงการสร้างโลกในนั้น

         ไม่มีตัวอย่างในพระคัมภีร์เดิมมาก่อนที่ “logos” (พระวาทะ) สนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  และยิ่งกว่านั้นความเข้าใจว่า “logos” (ที่คำกรีกหมายถึงพระวจนะ พระดำรัส หรือพระวาทะ)[58] เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่แยกจากพระยาห์เวห์ก็ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์เดิมเลย  ถ้าเช่นนั้นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะหันไปพึ่งอะไรในเมื่อพระคัมภีร์เดิมไม่มีตัวอย่างที่สนับสนุน “logos” (พระวาทะ) มาก่อนว่าเป็นบุคคล?  ปรัชญากรีกจึงเป็นทางหนึ่งที่เป็นไปได้และอันที่จริงบรรดานักวิชาการที่เชื่อในตรีเอกานุภาพก็ทราบว่าในปรัชญากรีก (เช่น ปรัชญากรีกแบบสโตอิก)[59] มีแนวคิดเกี่ยวกับ “logos” (พระวาทะ) ว่าเป็นหลักการเหตุผลที่ควบคุมทุกสิ่งในการสร้าง  แต่ทว่าความพยายามที่จะใช้ “logos” (พระวาทะ) กับพระเยซูนั้นไม่สามารถทำได้เพราะในปรัชญากรีก “logos” (พระวาทะ) ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นเพียงหลักการ  ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ยอห์นผู้เป็นยิวที่เคร่งครัดกับการเชื่ออย่างฝังรากลึกในพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์เดิม จะรับเอาความคิดเกี่ยวกับ “logos (พระวาทะ)” มาจากปรัชญากรีก

         เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?  เห็นทีว่าไฟโล[60]นักปรัชญาชาวยิวอาจช่วยได้  เขาสนับสนุนความเชื่อว่า  “logos” (พระวาทะ) เป็นพระเจ้าชั้นรองลงมา หรือเป็นพระที่ไม่เท่าเทียมกับพระเจ้าแม้ว่าอาจจะสูงกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย   “logos” (พระวาทะ) นี้ยังมีส่วนร่วมในการสร้างอีกด้วย  ไฟโลจะค่อนไปทางผสมแนวคิดแบบกรีกกับแนวคิดของพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู คงด้วยจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนชาวกรีกให้มาเชื่อตามความเชื่อของยิว  วิธีการของเขาก็คือนำเสนอศาสนายิว[61] ในลักษณะที่ชาวกรีกยอมรับได้และเน้นว่าศาสนายิวมีสิ่งที่เหมือนกับปรัชญากรีก   “Logos” (พระวาทะ) ที่เป็นพระเจ้าหรือกึ่งพระเจ้านั้นควรที่พวกกรีกซึ่งเชื่อถือในพระเจ้าหลายองค์พอจะรับได้  เพราะจะมีพระเจ้าอีกสักองค์หนึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร  ดังที่เปาโลบอกถึงสภาพการณ์ของการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ในช่วงสมัยของเขาว่า    

และ​แม้​จะ​มี​หลาย​สิ่ง​ที่​เขา​เรียก​กัน​ว่า​เจ้า​ใน​สวรรค์​และ​บน​แผ่น​ดิน​โลก ราว​กับ​ว่า​มี​พระ​เจ้า​และ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​มาก​มาย   แต่​ว่า​สำ​หรับ​เรา​นั้น​มี​พระ​เจ้า​องค์​เดียว​คือ​พระ​บิดา ทุก​สิ่ง​เกิดมา​จาก​พระ​องค์​และ​เรา​อยู่​เพื่อ​พระ​องค์ และ​มี​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เพียง​องค์​เดียว ทุก​สิ่ง​เกิด​มา​โดย​พระ​องค์​และ​เรา​ก็​เป็น​มา​โดย​พระ​องค์  (1 โครินธ์ 8:5-6 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         เปาโลชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพระเจ้าพระบิดากับพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้า    จะเห็นว่าไม่มีความสับสนเลยระหว่างสองพระองค์   มีพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ (พระบิดา) และมีพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้า  เปาโลแยกให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนและไม่มีความสับสนอย่างที่ครอบงำในความเชื่อตรีเอกานุภาพ

     ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะหาได้แต่เพียงข้อสนับสนุนที่อ่อนและกำกวมจากไฟโลและปรัชญากรีกในการตีความยอห์น 1:1 ของพวกเขา  ไฟโลดัดแปลงปรัชญากรีกให้ใกล้เคียงกับพระคัมภีร์เดิม  ที่จริงไฟโลไม่ได้มีพื้นฐานทางพระคัมภีร์เดิมที่จะทำเช่นนั้น  เขาแค่พยายามที่จะเข้าถึงพวกกรีกด้วยการทำให้พวกเขาชอบพระคัมภีร์เดิมมากขึ้นหน่อย   แต่ในความพยายามที่จะชนะใจคนต่างชาติทำให้เขายอมทำสิ่งร้ายแรงในลักษณะที่อะลุ้มอล่วยกับความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว  แต่ถึงอย่างนั้นนักวิชาการคริสเตียนทุกคนก็รู้ว่าไฟโลเป็นผู้เชื่อที่แน่วแน่ในพระเจ้าองค์เดียวด้วยใจจริงที่เขาจะไม่ยอมทิ้งความเชื่อของเขาที่มีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียวเป็นอันขาด

         เนื่องจากแนวคิดเกี่ยวกับ “logos” (พระวาทะ) ไม่ได้ทำให้พระเยซูเป็นอย่างที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพต้องการให้พระองค์เป็น  กล่าวคือเป็นพระเจ้าผู้ที่มีความเท่าเทียมกันและมีความนิรันดร์กาลเหมือนกันกับพระบิดา  พวกเขาจึงมีความคิดขึ้นว่ายอห์นก็รับเอาแนวคิดเกี่ยวกับ “logos” (พระวาทะ)  จากไฟโลแล้วทำให้เป็นแนวคิดแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ทฤษฎีนี้ไม่มีหลักเกณฑ์นอกจากจะเชื่อมโยงกับไฟโลและปรัชญากรีกอยู่บ้างซึ่งจะไม่ทำให้ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพถึงจุดหมายที่ตั้งใจ  ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยืนกรานว่ายอห์นดัดแปลงความคิดเกี่ยวกับ “logos” (พระวาทะ) และทำให้เป็นบุคคลที่เท่าเทียมกับพระบิดาโดยใช้ยอห์น 1:1 “ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า” เป็นพื้นฐานพระคัมภีร์ของพวกเขา  ฉบับภาษากรีกกล่าวว่า

  ch2 19p (ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​​ดำรง​อยู่), ch2 20p  

  (และ​พระ​วาทะอยู่​กับ​พระเจ้า),  ch2 21p  (และ​​พระ​วาทะเป็นพระเจ้า)

          ตามที่เราตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่าคำ “pros” (ch2 11)[62]ที่ยอห์นใช้ตรงนี้หมายถึง “มาถึง” ในปฐมกาล 15 (พระ​ดำรัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​)[63]   ถึงอย่างนั้นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็ยืนยันว่า “pros” ต้องแปลว่า “กับ” (“พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า”)  เมื่อดูคำ “pros” ในพจนานุกรมกรีก[64]คุณจะพบว่าแม้บางครั้ง “pros” จะหมายถึง “กับ” แต่ก็ยังหมายถึงอย่างอื่นอีกหลายอย่างเช่น “มาถึง” ในความหมายของ “อ้างถึง” คำแปลที่ถูกต้องสมบูรณ์ควรเป็น “และพระวาทะมาถึงพระเจ้า” นั่นก็คือพระวาทะอ้างถึงพระเจ้า[65]

         ตรงนี้มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ[66] ch2 22  อยู่ข้างหน้า ch2 23 (พระเจ้า) ดังนั้นสองคำจึงรวมเป็น ch2 22 ch2 23(พระเจ้าที่เจาะจงนี้)  คำที่ใช้ตามจริงในต้นฉบับกรีกก็คือ “และพระวาทะ ch2 11 (มาถึง) พระเจ้า” (“ch2 24p”)  ถ้อยคำต่อมามักจะแปลกันว่า “และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (“ch2 25p”)  แต่คราวนี้คำว่า “พระเจ้า (ch2 26)” ไม่ได้มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะอยู่ข้างหน้า  ดังนั้นข้อความกรีกจึงกล่าวว่า “และพระเจ้าทรงเป็นพระวาทะ”  แต่พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษได้แปลกลับลำดับกัน (“และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า”) แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรง

         คำ “พระเจ้า” มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะใน “พระวาทะ “pros” พระเจ้า” แต่ไม่มีคำนำหน้าใน “พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” ทำไมคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะจึงอยู่ในถ้อยคำหนึ่ง แล้วไม่มีอยู่ในอีกถ้อยคำหนึ่ง    ถ้อยคำ “พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ที่พระคัมภีร์ฉบับต่างๆแปลไว้) และ “และพระเจ้าทรงเป็นพระวาทะ” (ที่แปลตรงตามคำกรีก) ในข้อความหลังนั้นคำ “พระเจ้า” ถูกกล่าวซ้ำหรือถูกขยายว่าพระองค์เป็นใคร[67]  นั่นก็คือ “พระเจ้า” ถูกกล่าวซ้ำด้วยคำ “logos (พระวาทะ)” ที่มาขยายเพื่อกล่าวถึงพระเจ้าว่าเป็นใคร หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “logos (พระวาทะ)” ถูกอธิบายให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นพระวาทะ (“ch2 25p”)[68]

         จงลองพยายามคิดตรงนี้อย่างผู้เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว  มันเป็นเรื่องยากที่เราจะเปลี่ยนจากการคิดว่าพระเจ้ามีหลายองค์มาคิดว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น  การถูกฝึกให้คิดว่าพระเจ้ามีหลายองค์จึงทำให้เราไม่แคลงใจในการคิดที่มีหลายพระองค์หรือสามพระองค์เป็นพระเจ้า  แต่ว่าในพระคัมภีร์ “พระเจ้า” (theos)[69] จะหมายถึงพระยาห์เวห์ผู้เป็นพระบิดาเสมอ   จงลองพยายามคิดอย่างผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเหมือนยอห์นที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว   “ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​​ดำรง​อยู่และ​พระ​วาทะ​​ “pros” (อ้างถึง) ​พระ​ยาห์เวห์  และ​พระ​ยาห์เวห์ทรง​​เป็นพระ​วาทะ”  คุณจะรับเรื่องนี้ได้ไหม?  มันยากเพราะเราไม่รู้วิธีที่จะคิดอย่างผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว

         ความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้ความหมายซ้ำซ้อนกับ “theos”  เดี๋ยว “theos” ก็หมายถึงพระยาห์เวห์เดี๋ยวก็หมายถึงพระองค์อื่น  บรรดานักวิชาการส่วนมากต่างยอมรับว่าในคำกล่าวที่มี “pros” นั้นพระวาทะมีการอ้างอิงถึงพระยาห์เวห์   นั่นคือ “theos” หมายถึงพระยาห์เวห์   แต่ในคำกล่าวถัดมาที่ว่า “พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” นั้นความเชื่อในตรีเอกานุภาพเปลี่ยนความหมายของ “theos” เพื่อให้ตอนนี้หมายถึงพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ “ในพระเจ้า”!  เพราะการที่จะให้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่รอดต่อไปได้ คุณจะต้องให้ “theos” มีความหมายได้หลายอย่าง

         ผมใช้เวลานานกว่าจะหลุดจากความคิดแบบที่เชื่อในตรีเอกานุภาพของผมได้   คำ “theos” ที่อ้างถึงพระเจ้านั้นมีสองความหมายในพระคัมภีร์ใหม่ตั้งแต่เมื่อไรหรือ?  มันมีแค่ความหมายเดียวเท่านั้นแต่กับผู้อ่านชาวกรีกแล้วมันง่ายที่จะรับแบบหลายความหมาย  ด้วยพื้นหลังของการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์แบบกรีกของเขานั้นทำให้ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะยอมรับว่า “logos” (พระวาทะ) เป็นพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้าและผลสุดท้ายของทั้งหมดนี้จึงมาเป็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

         ในที่สุดเมื่อผมเริ่มเข้าใจเรื่องนี้  ผมเห็นจริงว่า “theos” (พระเจ้า) ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีสองความหมาย  แต่ที่จะให้บรรลุจุดประสงค์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นจึงต้องกำหนดให้ “theos” มีหลายความหมาย   เมื่อดูประเด็นนี้จากอีกมุมหนึ่งก็คือถ้า “theos” ในความหมายที่สองไม่ใช่พระยาห์เวห์ถ้าเป็นเช่นนั้น “theos” ก็จะหมายความเพียงแค่ “ความเป็นพระเจ้า” ซึ่งก็คือ “logos” ไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือเทียบเทียมกับพระยาห์เวห์ แต่แค่มีลักษณะของความเป็นพระเจ้า   เมื่อ “theos” ถูกลดให้เป็นพระลักษณะของพระเจ้า “logos” จึงถูกลดให้เป็นพระลักษณะของพระเจ้าด้วย  สิ่งนี้ไม่ได้ส่งเสริมความเชื่อในตรีเอกานุภาพเท่าไรเพราะการมีลักษณะของพระเจ้าก็ไม่ได้เท่ากันกับการเป็นพระเจ้า  ใน 2 เปโตร 1:4[70] กล่าวว่า  เราเอง​ก็มี​ส่วน​ใน​พระ​ลักษณะ​ของ​พระ​เจ้า  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นพระเจ้า

พระวาทะได้มาอยู่ในเนื้อหนังและอยู่ท่ามกลางเรา

          ยอห์น 1:14  กล่าวเพิ่มเติมว่า  “พระ​วาทะ​ (logos) ทรงเกิด​เป็น​มนุษย์​และ​ทรงอยู่​ท่าม​กลาง​เรา[71] เรา​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์ คือ พระ​สิริ​ที่​สม​กับ​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระบิดา บริ​บูรณ์​ด้วย​พระ​คุณ​และ​ความ​จริง (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ผมอยากจะชี้ให้เห็นบางสิ่งที่หายไปในการแปลฉบับภาษาอังกฤษโดยไม่เข้าไปในรายละเอียดเฉพาะ  “พระ​วาทะ​ทรงบัง​เกิด​เป็น​มนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา” ข้อความกรีกคือ “ch2 28p ตรงนี้มีคำสำคัญแต่ได้หายไปในการแปลฉบับภาษาอังกฤษ คำสำคัญนี้คือ ch2 29 (เอสคีโนเซน eskēnōsen) จากคำกริยา ch2 30 (สคีโนโอ skēnoō) ที่เกี่ยวโยงกับคำนาม ch2 31  (สคีนี  skēnē)

         คำนี้หมายความว่าอย่างไร?   เพื่อให้เข้าใจความสำคัญของคำนี้เราจะต้องกลับไปที่พระคัมภีร์เดิมและไปที่วิวรณ์  คำกริยา “สคีโนโอ” (skēnoō) หมายถึง “การอาศัยอยู่ในเต็นท์ ในพลับพลา”  เพราะฉะนั้น “ทรงอยู่ท่ามกลางเรา” ไม่ได้หมายถึงการอยู่ในแบบธรรมดาแต่ในความหมายแบบเจาะจงว่า “ทรงพลับพลาอยู่ท่ามกลางเรา”  พลับพลาคือสิ่งที่รู้จักกันดีในพระคัมภีร์เดิมจากหลายตัวอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพลับพลาอยู่กับประชากรของพระองค์  ความคิดเช่นนี้ไม่ได้เริ่มจากพระคัมภีร์ใหม่แต่มีที่มาจากพระคัมภีร์เดิม  ยอห์นนำเสนอความคิดที่สำคัญนี้ในยอห์น 1:14  แต่ในฉบับแปลภาษาอังกฤษความคิดนี้จะหายไป

         พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่  พระองค์ทรงตั้งพลับพลาอยู่กับประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร  พลับพลาเป็นเต็นท์ใหญ่ที่ไปกับชนอิสราเอลในทุกที่ที่พวกเขาเดินทางในถิ่นทุรกันดาร  ในเต็นท์นั้นเองที่โมเสสและเหล่าผู้นำของอิสราเอลได้พบกับพระยาห์เวห์  พระยาห์เวห์ได้ปรากฏกับพวกเขาในเต็นท์หรือที่ประตูเต็นท์  ภายในเต็นท์นั้นก็มีหีบพันธสัญญา

         หลังจากนั้นเต็นท์ก็ถูกพระวิหารเข้ามาแทนที่ด้วยโครงสร้างที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สร้างโดยโซโลมอน  แต่โซโลมอนก็ยังพูดเกี่ยวกับการตั้งเต็นท์และการมาสถิตอยู่ของพระเจ้ากับเรา  เขาอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ดู​สิ ฟ้า​สวรรค์​และ​ฟ้า​สวรรค์​อัน​สูง​สุด​ยัง​รับ​พระ​องค์​อยู่​ไม่​ได้ แล้ว​พระ​นิเวศ​นี้​ซึ่ง​ข้า​พระ​องค์​ได้​สร้าง​ขึ้นจะ​รับ​พระ​องค์​ได้​อย่าง​ไร?”  (1 พงศ์กษัตริย์ 8:27) และอธิบายซ้ำๆว่าพระวิหารเป็น “ที่ประทับของพระองค์” (ข้อ 30, 39, 43, 49)

         พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าผู้ที่ตลอดประวัติศาสตร์ของอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิมนั้นได้ทรงพลับพลาอยู่ (ch2 30) และสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์  จากนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น  ในการโคจรนั้นเราได้ร่างภาพคร่าวๆว่าพระเจ้าทรงไปไกลจากมนุษย์ยิ่งขึ้นๆ  ตอนแรกพระองค์ทรงอยู่ในพระวิหาร  แต่ต่อมาภายหลังเมื่อชนอิสราเอลยังคงอยู่ในความบาป  พระสิริของพระเจ้าก็ออกไปจากพระวิหาร (เอเสเคียล 10)  สุดท้ายตัวพระวิหารก็ถูกไฟเผา (2 พงศาวดาร 36:19)

         แต่กระนั้นพระเจ้าจะเสด็จกลับมาตั้งพลับพลาอยู่กับเรา!  หลายปีมาแล้วมีช่วงเวลาหนึ่งที่พระองค์สถิตอยู่กับชนอิสราเอลและทรงดำเนินกับพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี  พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารและน้ำให้พวกเขาและพำนักอยู่ท่ามกลางพวกเขา  เรื่องราวต่างๆในพระคัมภีร์เดิมช่วยให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์  แต่ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงจากพวกเขาไปและไม่ปรากฏพระพักตร์ของพระองค์อีกต่อไป

         แต่คำกรีกคำเดียวก็สามารถเปลี่ยนภาพทั้งหมดได้ถ้าคุณเข้าใจความสำคัญของมันในพระคัมภีร์เดิม   ตอนท้ายของหนังสือวิวรณ์คำนั้นก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง “ดูเถิด พลับพลา​ (สคีนี ch2 31) ของ​พระ​เจ้า​อยู่​กับ​มนุษย์​แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา” (วิวรณ์ 21:3 ฉบับ 1971)[72]  นครเยรูซาเล็มใหม่ในสวรรค์ (ข้อ 2) พระยาห์เวห์และพระเมษโปดกจะตั้งพลับพลาอีกครั้งท่ามกลางเหล่าประชากร  คำว่า “อยู่”(สคีโนโอ,ch2 30, พลับพลาอยู่) ตรงนี้เป็นคำเดียวกันกับที่ใช้ในยอห์น 1:14  “พระวาทะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทรง(พลับพลา)อยู่ท่ามกลางเรา”   คำนี้ไม่ได้มีอยู่น้อยและไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในยอห์น 1:14  ที่จริงแล้วคำนี้มีปรากฏ 82 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่

         เปาโลอธิบายถึงร่างกายของเขาว่าเป็นเต็นท์[73] (2 โครินธ์ 5:1-4) ซึ่งในวันหนึ่งจะถูกทำลายไป  (ทุกวันนี้ผมกำลังคุ้นเคยกับความจริงข้อนี้มากขึ้น และอีกไม่นานก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไป) ในขณะนี้เรากำลังพลับพลาอยู่ หรือ “กางเต็นท์” อยู่ในร่างกายของเรา  ในขณะเดียวกันเราก็เป็นพระวิหารของพระเจ้าด้วยที่พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่หรือทรงพลับพลาอยู่ในเรา  ความคิดเช่นนี้มีอานุภาพและลึกซึ้งและผมไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่สอนกันอีกต่อไป

         คุณเห็นไหมว่าการโคจรกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน?  การที่จะทำให้พระสัญญาในอิสยาห์สำเร็จนั้นพระยาห์เวห์จึงเสด็จกลับมายังโลกนี้มาสถิตอยู่ในองค์พระเยซู  ไม่ใช่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระยาห์เวห์แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ในพระกายของพระเยซู “เพราะ​ว่า​ความ​เป็น​พระ​เจ้า​ที่​ครบ​บริ​บูรณ์​ทั้ง​สิ้น​ดำ​รง​อยู่​ใน​พระ​กาย​ของ​พระ​องค์ (พระเยซู)”[74] (โคโลสี 2:9 ฉบับมาตรฐาน 2011)

         แนวคิดที่พระเจ้าทรงตั้งพลับพลาอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์นั้นกล่าวถึงพระยาห์เวห์และไม่ใช่ใครอื่นอีก  ถ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์ผู้ทรงพลับพลาอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์แล้วจะเป็นใครได้? แต่เราก็ยืนกรานว่าไม่ใช่พระยาห์เวห์ผู้เสด็จเข้ามาในโลกนี้แต่เป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองผู้ที่ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์เดิมเลย  ทำไมเราจึงต้องยืนกรานอยู่กับพระเจ้าพระองค์ที่สองแทนที่จะเป็นพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียวซึ่งเป็นผู้ที่เสด็จกลับมาในองค์พระเยซู?  ทำไมเราจึงมองไม่เห็นว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ทรงเดินกับอาดัมและเอวาและกับคนอื่นๆอีกมากมาย  และผู้ทำการอัศจรรย์ต่างๆที่มีผลต่อโลกนั้น   ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงอาศัยอยู่ในเนื้อหนังขององค์พระเยซู

         คำ “เนื้อหนัง” ในภาษากรีกหมายถึงร่างกาย  เป็นคำทั่วไปใช้กับชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์  พระยาห์เวห์เลือกที่จะตั้งพลับพลาอยู่ในกายของเนื้อหนังซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่เคยทำมาก่อน  พระองค์ได้สถิตอยู่ในพลับพลาและภายหลังในพระวิหารอันงดงามที่โซโลมอนสร้างขึ้น  นานมาแล้วพระเจ้าสถิตอยู่ในพระวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์  แต่บัดนี้พระองค์อาศัยอยู่ในวิหารคือพระเยซูที่พระองค์เองเป็นผู้ทรงสร้าง

         ตอนนี้เราเริ่มจะเห็นความจริงที่น่าตกใจซึ่งถูกปิดบังมาอย่างยาวนาน  เราหลงคิดมานานว่าพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้าได้เสด็จเข้ามาในโลก  ทำไมเราจึงเต็มใจอย่างมากที่จะกันและผลักพระยาห์เวห์ออกไปโดยยืนกรานว่าผู้เสด็จเข้ามาในโลกไม่ใช่พระบิดาคือพระยาห์เวห์เอง แต่เป็นพระเจ้าพระองค์ที่สอง?   จงลองค้นหาให้ทั่วพระคัมภีร์เดิมและดูซิว่าคุณจะหาพระองค์ที่สองหรือที่สามที่เป็นพระเจ้าพบหรือไม่  ทั้งสองพระองค์นั้นไม่ได้มีอยู่จริง

         ตรงนี้เราเห็นการเชื่อมโยงกันอย่างมหัศจรรย์ระหว่างพระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่จากการเปิดเผยที่น่าประหลาดใจว่าพระยาห์เวห์พระองค์เองได้เสด็จกลับมา[75]  ผมขอยืนยันกับคุณว่านี่เป็นการเปิดเผยที่น่าอัศจรรย์ของพระคัมภีร์ใหม่และสำเร็จตามพระสัญญาต่างๆของพระคัมภีร์เดิม

         ถ้าเราเชื่อได้ง่ายๆว่าพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้าได้เสด็จเข้ามาในโลกในพระกายและในองค์พระเยซู  แล้วทำไมมันจึงยากเหลือเกินที่เราจะเชื่อว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์เองได้เสด็จกลับเข้ามาในโลกที่พระองค์ได้ทรงย่างพระบาทมาก่อนแล้ว จะทรงมาเดินกับมนุษย์อีกครั้งไม่ได้หรือ?  พระเจ้าองค์นี้คือพระยาห์เวห์ผู้ทำหน้าที่เหมือนปุโรหิต ทรงฆ่าสัตว์และทำเสื้อคลุมกายอาดัมกับเอวา ทรงลบมลทินให้พวกเขา (“ปกปิด” และ “ลบมลทิน” มีรากศัพท์เดียวกันในภาษาฮีบรู)  พระยาห์เวห์องค์เดียวกันนี้ได้เสด็จมาช่วยเราให้รอด

         “คือพระเจ้าผู้ทรงสถิตในองค์พระคริสต์ ทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์เอง  มิได้ทรงถือโทษในการละเมิดของเขา  และทรงมอบพระวจนะแห่งการคืนดีกันนั้นไว้กับเรา”[76] (2 โครินธ์ 5:19 ฉบับไทยคิงเจมส์)  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพบอกว่า พระคริสต์เสด็จลงมาและทำให้โลกคืนดีกันกับพระเจ้า   พระคริสต์ทรงทำให้โลกคืนดีกับพระเจ้าก็จริงแต่ว่าเป็นพระยาห์เวห์ในพระคริสต์ที่เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อทำให้โลกกลับมาคืนดีกับพระองค์เอง  พระองค์ไม่ได้ทรงนับการละเมิดของเราเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงมีพระเมตตากับอาดัม เอวา และคาอิน  “และทรงมอบพระวจนะแห่งการคืนดีกันนั้นไว้กับเรา” (ตรงนี้ “พระวจนะ”[77] คือ “โลกอน, lo,gon” เป็นกรรมการก[78] คือกรรมตรงของกริยาแท้ของ “โลกอส, ch2 33”)

“พระวาทะ” ไม่เคยเป็นชื่อเรียกพระเยซู

         นี่นำเราไปสู่อีกประเด็นของการตีความในยอห์น 1:1 ที่คำ “Logos” (พระวาทะ) ไม่เคยถูกใช้เป็นชื่อเรียกพระเยซูในพระกิตติคุณยอห์นเลย   นอกจากนั้นพระเยซูก็ไม่เคยถูกเรียกว่า “logos (พระวาทะ)” ในข้อต่างๆหลังยอห์น 1:1  แท้จริงแล้วคำ “logos” ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มไม่เคยถูกนำมาใช้กับพระเยซู  มีเพียงข้อเดียวที่อาจใช้กับพระเยซูคือวิวรณ์ 19:13 แต่ก็ยังเป็นข้อสงสัยของนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่หลายคน   ในข้อนี้ผู้ที่เรียกว่า “พระวาทะของพระเจ้า” ทรงม้าขาว “พระ​องค์​ทรง​ฉลอง​พระ​องค์​ที่​ได้​จุ่ม​ใน​เลือด  และ​พระ​นาม​ที่​เรียก​พระ​องค์​นั้น​คือ พระ​วาทะ​ของ​พระ​เจ้า”  (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ยอห์น 1:1 พูดถึง “พระวาทะ” ว่าเป็น “พระวจนะ[79]ของพระเจ้า” มากกว่า   ในพระคัมภีร์ “พระวจนะของพระเจ้า” จะหมายถึงการเปิดเผยของพระเจ้าเสมอ และไม่เคยหมายถึงองค์พระคริสต์   ข้อยกเว้นข้อเดียวที่เป็นไปได้ก็คือวิวรณ์ 19:13 ที่เพิ่งกล่าวถึง   แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วแม้ข้อนี้ก็ไม่น่าจะหมายถึงพระเยซู  คุณอาจคิดว่า “จุ่มลงในเลือด” นั้นหมายถึงพระเยซู แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะที่จริงเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นที่จริงสำเร็จตามคำเผยพระวจนะในอิสยาห์ 63

2ทำไม​ฉลอง​พระ​องค์​ของ​พระ​องค์​จึง​มี​สี​แดง   และ​เครื่องทรง​ของ​พระ​องค์​เหมือน​ของ​คน​ย่ำ​ใน​บ่อ​ย่ำ​องุ่น  3“เรา​ย่ำ​บ่อ​องุ่นตาม​ลำ​พัง  และ​ไม่​มี​ใคร​จาก​ชน​ชาติ​ทั้ง​หลาย​อยู่​กับ​เรา​เลย  เรา​ย่ำ​มัน​ด้วย​ความ​โกรธ​ของ​เรา  เรา​เหยียบ​มัน​ด้วย​ความ​พิโรธ​ของ​เรา  โล​หิต​ของ​เขา​เปื้อน​อยู่​บน​เสื้อ​ผ้า​ของ​เรา  และ​เรา​ทำ​ให้​เครื่อง​แต่งกาย​ของ​เรา​เลอะ​ไป​หมด 4เพราะ​วัน​แห่ง​การ​แก้​แค้น​อยู่​ใน​ใจ​เรา และ​ปี​แห่ง​การ​ไถ่​ของ​เรา​มา​ถึง  5เรา​มองดู แต่​ไม่​มี​ใคร​ช่วย​เหลือ  เรา​ประ​หลาด​ใจ แต่​ไม่​มี​ผู้​เกื้อหนุน  แขน​ของ​เรา​เอง​จึง​นำ​การ​ช่วย​กู้​มา​ให้​เรา   และ​ความ​โกรธ​ของ​เรา​นั้น​เกื้อหนุน​เรา​  6เรา​เหยียบ​ชน​ชาติ​ทั้ง​หลาย​ลง​ด้วย​ความ​โกรธ​ของ​เรา   เรา​ทำ​ให้​เขา​เมา​ด้วย​ความ​พิโรธ​ของ​เรา  และ​เรา​เท​โล​หิต​ของ​พวก​เขา​บน​แผ่น​ดิน​โลก”  (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         พระยาห์เวห์​เหยียบ​มัน​ด้วย​ความ​พิโรธ​  ฉลอง​พระ​องค์​ของพระองค์ที่​​จุ่ม​ใน​เลือดของศัตรูของพระองค์ไม่ใช่พระโลหิตของพระองค์เอง  เมื่อคุณดูต่อไปในวิวรณ์คุณจะเจอนิมิตของกองทัพทั้งหลายในสวรรค์ที่นำโดยพระยาห์เวห์พระองค์เอง “กอง​ทัพ​ทั้ง​หลาย​ใน​สวรรค์​นุ่ง​ห่ม​ผ้า​ป่าน​เนื้อ​ละเอียด สี​ขาว​สะอาด ขี่​ม้า​ขาว​ตาม​เสด็จ​พระ​องค์​ไป” (วิวรณ์ 19:14 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ชื่อหนึ่งของพระยาห์เวห์คือพระเจ้าจอมโยธา  หรือพระเจ้าแห่งกองทัพ

       วิวรณ์ 19:14  อาจกล่าวถึงพระเยซูแต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเช่นนั้น  ข้อ 16 พูดถึง​​กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลายและ​​เจ้านาย​เหนือ​​เจ้านายทั้ง​หลาย  บางคนมองว่านี่เป็นชื่อที่เรียกพระเยซู  มันอาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่   ใน 1 ทิโมธี 6:15  ผู้เป็น​พระ​มหา​กษัตริย์​เหนือ​กษัตริย์​ทั้ง​หลายและ​เป็น​องค์​เจ้านาย​เหนือ​บรร​ดา​เจ้านายนั้นคือพระยาห์เวห์พระเจ้า

         มีอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับยอห์น 1:1  คือผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่า  พระวาทะ (Logos) กับพระเยซูเป็นบุคคลเดียวกันและเหมือนกัน  แต่นั่นคือสิ่งที่ถูกคิดขึ้นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ในยอห์น 1:1 พระวาทะ (Logos) ดำรงอยู่ก่อนและหมายถึงคำตรัสของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งพระคัมภีร์เดิม  การเสด็จเข้ามาในโลกของพระยาห์เวห์ในองค์พระเยซูนั้นเป็นการเปิดเผยพระองค์เองมากสุดเท่าที่เคยมีในพระวาทะสุดท้ายนี้  พระวาทะนี้คือพระยาห์เวห์เองเพราะ “พระวาทะเป็นพระเจ้า” (“the Word was God”)

         ยอห์น 1:1  มีรูปแบบคล้ายกันกับ  1 ยอห์น 1:1    ในเล่มหลัง “พระวาทะ” ไม่ได้หมายถึงบุคคลแต่หมายถึงถ้อยคำของพระเจ้าและเป็นการเปิดเผยพระองค์เองซึ่งตอนนี้เห็นประจักษ์ในพระเยซู  “​สิ่ง​ที่​มี​มา​ตั้ง​แต่​ปฐม​กาล  ซึ่ง​เรา​ได้​ยิน ได้​เห็น​กับ​ตา ได้​พินิจ​ดู และ​จับ​ต้อง​ด้วย​มือ​ของ​เรา​นั้น คือ​พระ​วาทะ​แห่ง​ชีวิต” (1 ยอห์น 1:1  ฉบับมาตรฐาน 2011)   รูปแบบเดียวกันที่ปรากฏให้เห็นคือ “ตั้ง​แต่​ปฐม​กาล” ใน 1 ยอห์น 1:1 เทียบได้กับ “ในปฐมกาล” ในยอห์น 1:1    และ “พระวาทะแห่งชีวิต” ก็เทียบได้กับ “พระวาทะ”   พระวาทะที่ “จับต้องด้วยมือของเรา” นั้นบอกถึงการเสด็จมาอย่างมีตัวตนของพระยาห์เวห์ในองค์พระเยซูในกายเนื้อหนัง

ทูตของพระเจ้า

          สิ่งนี้เตือนเราถึงความจริงที่น่าประหลาดใจว่า  ในพระคัมภีร์เดิมทูตของพระเจ้ามักจะปรากฏตัวเป็นมนุษย์และมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนของพระเจ้า          ในผู้วินิจฉัย 13 ทูตของพระเจ้าปรากฏกับมาโนอาห์และภรรยาของเขา   ผู้เป็นพ่อแม่ของแซมสันในเวลาต่อมา  พวกเขาคิดว่ากำลังพูดอยู่กับคนของพระเจ้าแต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นมนุษย์  แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มเห็นว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแต่ทว่าเป็นทูตของพระเจ้า

          ในพระคัมภีร์เดิมเมื่อทูตของพระเจ้า(หรือทูตสวรรค์องค์หนึ่งองค์ใด)ปรากฏกับผู้คนก็มักจะมองดูเหมือนกับมนุษย์  ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพวกทูตสวรรค์ว่ามีปีกใหญ่ๆที่สามารถถอดออกได้เพราะพวกทูตสวรรค์จะไม่ปรากฏตัวกับเหล่ามนุษย์พร้อมกับปีก  เราจะเห็นว่าพวกทูตสวรรค์บางองค์มีปีก   เครูบเป็นพวกทูตสวรรค์ที่กางปีกคลุมหีบพันธสัญญาซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นภาพ  เสราฟิมมีปีกแต่ไม่ค่อยได้ถูกกล่าวถึงนอกจากในอิสยาห์บท 6  ที่เป็นภาพในสวรรค์  เมื่อเหล่าทูตสวรรค์อยู่ในสวรรคสถานก็จะเห็นภาพว่ามีปีก  แต่เมื่อพวกทูตสวรรค์ปฏิสัมพันธ์กับเหล่ามนุษย์ก็จะปรากฏตัวโดยไม่มีปีกและมองไม่แตกต่างจากพวกมนุษย์

          “อย่า​ละ​เลย​ที่​จะ​ต้อน​รับ​แขก​แปลก​หน้า เพราะ​ว่า​โดย​การ​ทำ​เช่น​นั้น บาง​คน​ก็​ได้​ต้อน​รับ​ทูต​สวรรค์​โดย​ไม่​รู้​ตัว” (ฮีบรู 13:2 ฉบับมาตรฐาน 2011)  บางคนได้ต้อนรับเหล่าทูตสวรรค์ที่ปรากฏตัวในรูปของมนุษย์  จงอย่าแปลกใจถ้าวันหนึ่งวันใดคุณอาจได้จับมือทักทายกับใครสักคนแล้วพบว่าเขาเป็นทูตสวรรค์

     มาโนอาห์วิงวอนผู้ที่เขาคิดว่าเป็นมนุษย์แต่ที่จริงเป็นทูตของพระเจ้าให้อยู่ต่อ  เขาจะได้เตรียมลูกแพะมาให้เป็นการขอบคุณที่บอกข่าวว่าเขากับภรรยาจะมีบุตรชาย  ทูตของพระเจ้าไม่ยอมกินอาหารของเขาแต่บอกให้มาโนอาห์ถวายลูกแพะเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์  มาโนอาห์ก็ทำตามที่ทูตของพระเจ้าบอก  และเขาเตรียมลูกแพะเป็นเครื่องเผาบูชาพร้อมกับธัญบูชาและถวายกับพระเจ้า  เมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นถึงสวรรค์  ทูต​ของ​พระ​เจ้าก็​ขึ้น​ไป​ตาม​เปลว​ไฟ​และหายไป  มาโนอาห์กับภรรยาจึงรู้ว่าพวกเขาได้พูดอยู่กับทูตของพระเจ้า  มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า  “เรา​คง​จะ​ตาย​แน่ๆ เพราะ​เรา​ได้​เห็น​พระ​เจ้า” (ผู้วินิจฉัย 13:22 ฉบับมาตรฐาน 2011) และอัศจรรย์ใจว่าที่พวกเขาไม่ตายที่ได้เห็นพระเจ้า  แต่ภรรยาของมาโนอาห์ให้เหตุผล(ได้ถูกต้อง)ว่าถ้าพระเจ้าต้องการจะฆ่าพวกเขา  พระองค์ก็คงไม่รับเครื่องเผาบูชาและธัญบูชาของพวกเขาหรือสำแดงสิ่งพิเศษเหล่านี้กับพวกเขา (ข้อ 23)

         ลูกา 24 บอกเราว่าในวันฟื้นคืนพระชนม์มีทูตสวรรค์สององค์สวมเครื่องแต่งกายส่องแสงแวววาวมาปรากฏกับพวกผู้หญิงกลุ่มเล็กๆที่อุโมงค์ของพระเยซู  พวกผู้หญิงมองไม่ออกว่าพวกทูตแตกต่างจากมนุษย์ด้วยกันเว้นก็แต่ความวาววับจากเสื้อผ้าของพวกเขา  ในเวลาต่อมาพวกเขาจึงรู้ว่าพวกเขาได้พูดคุยอยู่กับพวกทูตสวรรค์

         ที่ผ่านมาผมคิดว่า ผมสามารถใช้แนวคิดเรื่องทูตของพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองหรือว่าเป็นพระวาทะ (Logos) แม้ว่าผมจะไม่พบความเกี่ยวโยงชัดๆระหว่างพระวาทะ (Logos) กับทูต​ของ​พระ​เจ้า  เมื่อผมศึกษาเรื่องนี้ผมพบว่าตามบันทึกของพระคัมภีร์เดิมนั้นมีทูต​ของ​พระ​เจ้าปรากฏถึงหกสิบครั้งซึ่งที่จริงก็คือพระยาห์เวห์ที่ปรากฏในรูปมนุษย์   การที่พระยาห์เวห์ทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้และพูดคุยกับผู้คนจึงเป็นเรื่องไม่น่าสงสัยเลย (เปรียบดูได้กับการปรากฏกับอับราฮัมที่ต้นโอ๊กแห่งมัมเรในปฐมกาล 18)

พระเจ้าทรงอยู่กับเรา

      เมื่อเราเห็นความรัก พระสิริ และความงดงามของพระยาห์เวห์  แล้วทำไมเรายังจะผลักพระองค์ออกไปหรือ?  ขอให้คิดดูสักครู่ก่อนที่เราจะด่วนปกป้องความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ (เหมือนที่ผมได้ทำ) ทำไมเราจึงเฉยเมยกับพระสิริของพระยาห์เวห์จนเรากำลังจะผลักพระองค์ออกไปเพื่อให้พระเยซูเป็นพระเจ้าที่เราต้องการให้เป็น?  นั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูไม่ต้องการให้เราทำ  พระองค์ไม่ได้แสวงหาทางที่จะเท่าเทียมกับพระบิดาแต่กระนั้นเราก็ทำให้ทั้งสองพระองค์เท่าเทียมกัน  ทำไมเราจึงทำในสิ่งที่พระเยซูทรงบอกไม่ให้เราทำ?  และทำไมเราจึงไม่ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราทำ เช่นการถวายเกียรติพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์?

         “และ​เรา​ก็​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​พระ​บิดา และ​กับ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์” (1 ยอห์น 1:3)  ผมไม่ได้กำลังบอกว่าเราไม่ต้องการพระเยซูหรือว่าเราควรจะลืมพระองค์เสีย  เราจะกำจัดพระเยซูออกไปไม่ได้เพราะว่า “คือ​พระ​เจ้า​ผู้ทรง​สถิตในองค์พระคริสต์ ทรงให้​โลก​นี้​คืน​ดี​กันกับ​พระ​องค์เอง” (2 โครินธ์ 5:19 ฉบับไทยคิงเจมส์)[80]  ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากทางพระเยซูผู้เป็นทางนั้น  พระยาห์เวห์ทรงอยากให้แน่ใจว่าเราจะต้องไม่กันพระเยซูออกไปเช่นเดียวกับที่เราจะต้องไม่กันพระยาห์เวห์ ผู้ที่เสด็จมาช่วยเราออกไป

     “เยซู” (เยชูวา)[81] เป็นคำเรียกสั้นๆของ “โยชูวา” (เยโฮชูวา)[82]มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” เพราะว่าเป็นพระยาห์เวห์ที่ช่วยเราให้รอด   ดังนั้นชื่อ “ยาห์เวห์” จึงปรากฏอยู่ในชื่อ “เยซู”  คุณจะเอ่ยถึงพระเยซูโดยไม่ได้เอ่ยถึง “พระยาห์เวห์” ด้วยไม่ได้  และคุณก็จะกันพระยาห์เวห์ออกโดยที่คุณไม่ได้กันพระเยซูด้วยไม่ได้เช่นกัน  เมื่อเราพูดว่า “ในพระนามของพระเยซู” นั้นเรากำลังพูดว่า “ในพระนามของพระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยเราให้รอด” ทั้งหมดนี้มาจากพระปัญญาของพระเจ้าเพื่อเราจะรู้ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึกในความรักของพระคริสต์

         พวกคุณอาจอยู่ในหมู่คนที่มีสิทธิพิเศษที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักร  ผมเข้าใจว่าคำสอนนี้ไม่เคยมีสอนที่ไหนเลยนับตั้งแต่ศตวรรษแรกเป็นต้นมา  เป็นคำสอนที่รวมพระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์  และการโคจรในการเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าก็มาบรรจบกันอย่างสมบูรณ์  พระเจ้าเสด็จกลับมายังโลก ทรงแฝงพระกายอยู่ในพระเยซูเพื่อให้มวลมนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์  ผมคุ้นเคยอย่างดีกับหลักคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์และความเชื่อผิดๆที่เกี่ยวข้องกับองค์พระคริสต์ในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร  ผมแปลกใจที่คำสอนที่ผมได้สอนพวกคุณนี้ไม่เคยถูกสอนมาก่อนตั้งแต่ครั้งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีชัยชนะและครอบงำคริสตจักร และได้ขับไล่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวออกไปจากคริสตจักร  แต่การมีสิทธิพิเศษที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าจึงต้องมีความรับผิดชอบตามมาในการประกาศพระคำแห่งการคืนดี

     นั่นเป็นถ้อยคำที่อัศจรรย์ พระยาห์เวห์ได้เสด็จจากพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์เข้ามาในโลก  พระคัมภีร์เดิมจะกล่าวบ่อยครั้งถึงการเสด็จมาในโลกมนุษย์ของพระยาห์เวห์  พระเจ้าเสด็จลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่หอบาเบล  พระเจ้าเสด็จลงมาที่ภูเขาซีนาย  และพระเยซูก็ตรัสด้วยวิญญาณจิตอย่างเดียวกันว่าพระองค์เสด็จมาเป็นอาหารแห่งชีวิต

     ในสองบทนี้ผมกำลังวางรากฐานให้เข้าใจการเปิดเผยพระองค์เองของพระยาห์เวห์ในองค์พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นการเปิดเผยที่สำคัญ


[1] มาจากภาษาจีนว่า  “耶和华”

[2] “Adonai”

[3] มาจากภาษากรีกว่า  “kurios” แปลว่า “เจ้านาย” (ผู้แปล)

[4] “Septuagint”

[5] คือตัวเลข 70 ของโรมัน ( L มีค่าเท่ากับ 50,  X มีค่าเท่ากับ 10,  LXX จึงมีค่าเท่ากับ 70) -ผู้แปล

[6] หรือ “อาโดนาย ยาห์เวห์” ที่ควรแปลว่า “พระยาห์เวห์องค์ผู้เป็นเจ้า” (ผู้แปล)

[7] ที่อาจเป็น “Lord God (พระเจ้าองค์ผู้เป็นเจ้า)” ในฉบับภาษาอังกฤษเนื่องจากความไม่สอดคล้องที่จะใช้ “Lord  LORD” ซ้ำซ้อนกัน (ผู้แปล)

[8] มาจากคำภาษาจีนว่า “亚伟” (Yawei)

[9] มาจากคำภาษาจีนว่า  “耶和华” (Yehehua)

[10] มาจากคำภาษาจีนว่า “雅伟” (yǎwěi)

[11] หรือ พระองค์ที่สองที่เป็นพระเจ้าในตรีเอกานุภาพ

[12] หรือ พระองค์ที่สามที่เป็นพระเจ้าในตรีเอกานุภาพ

[13] Professor Ackroyd

[14] Council of Nicaea

[15] Marcion  บิช็อปของคริสเตียนในยุคแรกๆ

[16] Gnosticism คือความเชื่อว่าความรู้เป็นทางไปสู่ความรอดในการหลุดพ้นจากโลกแห่งวัตถุซึ่งมีสิ่งชั่วร้ายและเข้าไปในชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ช่วยให้รอดได้ (ผู้แปล)

[17] The Da Vinci Code ชื่อภาพพยนต์ที่โด่งดังจากนวนิยายแนวลึกลับแบบสืบสวนของแดน บราวน์ซึ่งอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงส่วนหนึ่งเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่ามีหลักฐานสนับสนุนความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา (ผู้แปล)

[18] มาจากคำกรีกว่า “gnosis”

[19] Monasticism คือความเชื่อเรื่องการอุทิศตัวให้กับศาสนาโดยการสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม (ผู้แปล)

[20] Docetism  คือหลักคำสอนของคริสเตียนในยุคแรกที่เชื่อว่าพระคริสต์ไม่ได้มีร่างกายของมนุษย์แต่เป็นกายวิญญาณที่ทุกข์ทรมานและตายบนกางเขน เป็นความเชื่อที่ถูกต่อต้านและถือว่าเชื่อผิดในสมัยของคริสเตียนยุคแรกๆ (ผู้แปล)

[21] Christocentric

[22] มาระโก 12:29 พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ตอบ​คน​นั้น​ว่า “พระ​บัญ​ญัติ​อัน​ดับ​แรก​คือ โอ ชน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าของ​เรา​เป็น​พระ​เจ้า​องค์​เดียว” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล

[23] “Hear O Israel, the LORD our God, the LORD is one.” (Deuteronomy 6:4)

[24] จากฉบับมาตรฐาน 2011 ส่วนฉบับ 1971 แปลไว้ว่า “และ​พวก​ท่าน​จง​รัก​พระ​เจ้า​ด้วย​สุด​จิต​สุดใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​และ​ด้วย​สิ้นสุด​กำลัง​ของ​ท่าน” (ผู้แปลเพิ่มเติม)

[25] ลูกา 6:46 “ทำไม​พวก​ท่าน​เรียก​เรา​ว่า ‘องค์พระ​ผู้​เป็น​เจ้า’ แต่​ไม่​ทำ​ตาม​สิ่ง​ที่​เรา​บอก​นั้น?” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

ฉบับ 1971 แปลว่า  “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า  ‘พระองค์เจ้าข้า  พระองค์เจ้าข้า’ แต่ไม่กระทำตามที่เราบอกนั้น”(ผู้แปล)

[26] ยอห์น 6:15 “พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาตั้งใจจะมาใช้กำลังบังคับให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงเสด็จเลี่ยงขึ้นไปบนภูเขาแต่ลำพังอีก” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[27] “โดย​พระ​องค์​ทุก​สิ่ง​ได้​รับ​การ​ทรง​สร้าง​ขึ้น” (โคโลสี 1:16 ฉบับมาตรฐาน 2011)

[28] คำว่า “พระเจ้า” หรือ “theos” ใช้เรียกพระเจ้าของอิสราเอล หรือเรียกพระอื่นๆ (ผู้แปล)

[29] H.A.W. Meyer ผู้เขียนคู่มืออรรถาธิบายพระคัมภีร์ใหม่ของศตวรรษที่ 19 (ผู้แปล)

[30] ฉบับมาตรฐาน 2011

[31] English Standard Version

[32] Pentateuch (เพนทาทูค) penta “เพนทา” หมายถึง “ห้า”

[33] The New Testament canon

[34]  “word of the Lord”

[35]  “the Word” หรือแปลได้อีกว่า “ถ้อยคำ พระคำ หรือพระดำรัส” (ผู้แปล)

[36]  คือ “the word” คำเดียวกันซึ่งแปลได้ว่า “ถ้อยคำ พระคำ พระดำรัส หรือพระวาทะ” (ผู้แปล)

[37]  มาจากคำฮีบรู “37” (ฮา เดบาร์อิม) คำอังกฤษคือ “the words”

[38]  มาจากคำฮีบรู “38” (ดาบาร์) คำอังกฤษคือ “word”

[39]  มาจากคำกรีก “39” (โลกอส)

[40]  มาจากคำกรีก “40” (เรม่า)  

[41] ปฐมกาล 15:4 เวลา​นั้น​พระ​ดำรัสของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ว่า “คน​นี้​จะ​ไม่​ได้​เป็น​ผู้​รับ​มรดก​ของ​เจ้า แต่​บุตร​ชาย​ที่​เกิด​จาก​เจ้า​จะ​เป็น​ผู้​รับ​มรดก​ของ​เจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[42]  มาจากคำฮีบรู 42 (ดาบาร์-ยาห์เวห์)  แต่อ่านเป็นว่า  “ดาบาร์-อาโดนาย” ภาษาฮีบรูจะอ่านจากขวามาซ้าย (ผู้แปล)

[43] ปฐมกาล 15:4 “เวลา​นั้น​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ว่า...” (ฉบับมาตรฐาน 2011)-ผู้แปล

[44] genitive  หมายถึงคำที่แสดงความเป็นเจ้าของ

[45] ผู้แปลเพิ่มเติมในส่วนท้ายเพื่อช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนหมายถึงจากยอห์น 1:1 กับความหมายของ “45

[46] Merkabah

[47] อิสยาห์ 40:3  เสียง​หนึ่ง​ร้อง​ว่า “จง​เตรียม​มรร​คา​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร จง​ทำ​ทาง​หลวง​ใน​ที่​ราบ​แห้ง​แล้ง​ให้​ตรง​สำ​หรับ​พระ​เจ้า​ของเรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[48] คือคำ  “Im’anu”

[49] คือคำ  “El”

[50] หรือแปลว่า “เจ้า” มาจากคำว่า “gods” (ภาษากรีกเป็นคำเดียวกันกับ “God”) ข้ออ้างอิงจากต้นฉบับ ยอห์น 10:34-35 ฉบับอีเอสวี

 “Is it not written in your Law, ‘I said you are gods’? If he called them gods to whom the word of God came..” (ผู้แปล)

[51] อ้างอิงจากสดุดี 82:6 “เราได้กล่าวว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นพระ  เป็นบุตรองค์ผู้สูงสุด เจ้าทุกคนนั่นแหละ’” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[52] ฉบับมาตรฐาน 2011

[53] มีคาห์ 5:2  “แต่​เจ้า เบธ​เล​เฮม เอฟ​รา​ธาห์ ผู้​เป็น​หน่วย​เล็ก​ใน​บรร​ดา​ตระ​กูล​ของ​ยู​ดาห์ จาก​เจ้า จะ​มี​ผู้​หนึ่ง​ออก​มา​เพื่อ​เรา เป็น​ผู้​ที่​จะ​ปก​ครอง​ใน​อิส​รา​เอล” (ผู้แปล)

[54] จากคำกรีก “54” (โลกอส) หรือ “word” แปลว่า ถ้อยคำ คำพูด วจนะ หรือ วาทะ (ผู้แปล)

[55] James Dunn นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน (ผู้แปล)

[56] ฉบับ 1971 และฉบับมาตรฐาน 2011 แปลสดุดี 33:6 ว่า “โดย​พระ​วจนะ​ของ​พระเจ้า(พระ​ยาห์​เวห์) ฟ้า​สวรรค์​ก็​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา กับ​บริ​วาร​ทั้ง​ปวง ก็​ด้วย​ลม​พระ​โอษฐ์​ของ​พระ​องค์” (ผู้แปล)

[57] ยอห์น 1:1-3  1ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า  2 ใน​ปฐม​กาล​พระ​องค์​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า 3 พระ​เจ้า​ทรง​สร้าง​สรรพ​สิ่ง​ขึ้น​มา​โดย​พระ​วาทะ ใน​บรร​ดา​สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​นั้น ไม่​มี​สัก​สิ่ง​เดียว​ที่​เป็น​อยู่​นอก​เหนือ​พระ​วาทะ (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[58] ผู้แปลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น

[59] Greek Stoic philosophy (ปรัชญาของการมีชีวิตที่หาความสงบภายใน วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ชีวิตทุกอย่างอย่างพอดีๆ)-ผู้แปล

[60] Philo of Alexandria (นักปรัชญายิว ช่วงก่อน ค.ศ.20-ค.ศ.50) เขาได้พยายามผสมผสานปรัชญากรีกกับปรัชญายิวเข้าด้วยกัน (ผู้แปล)

[61] Judaism

[62] อ่านว่า “พรอส”

[63] ปฐมกาล 15:4    เวลา​นั้น​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ถึง​อับ​ราม​ว่า  “คน​นี้​จะ​ไม่​ได้​เป็น​ผู้​รับ​มรดก​ของ​เจ้า แต่​บุตร​ชาย​ที่​เกิด​จาก​เจ้า​จะ​เป็น​ผู้​รับ​มรดก​ของ​เจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[64] Greek lexicon

[65] “And the logos was to God”

[66] definite article

[67] Predicative คือภาคแสดงของประโยคซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับประธานที่ใช้เพื่อกล่าวซ้ำถึงประธานว่าเป็นใคร (ในกรณีนี้ พระเจ้าเป็นวาทะ หรือ คำตรัส)

[68] หรือ “and God was the Word” (ผู้แปล)

[69] อ่านว่า “เธ-ออส” แปลว่า “พระเจ้า” หรือ “พระ” หรือ “เจ้า” (ภาษาอังกฤษคือคำ “God” หรือ “god”) -ผู้แปล

[70] 2 เปโตร 1:4  “โดย​สิ่ง​เหล่า​นี้​พระ​องค์​จึง​ได้​ประ​ทาน​พระ​สัญ​ญา​อัน​ล้ำ​ค่า​และ​ยิ่ง​ใหญ่​แก่​เรา เพื่อ​ว่า​โดย​พระ​สัญ​ญา​เหล่า​นี้ พวก​ท่าน​จะ​พ้น​จาก​ความ​เสื่อม​ทราม​ที่​มี​อยู่​ใน​โลก​อัน​เกิด​จาก​ความ​ปรารถ​นา​ชั่ว และ​จะ​มี​ส่วน​ใน​พระ​ลักษณะ​ของ​พระ​เจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[71] ฉบับไทยคิงเจมส์แปลยอห์น 1:14 ว่า  “พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนังและทรงอยู่ท่ามกลางเรา”

[72] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลวิวรณ์ 21:3 ว่า “ที่​ประ​ทับ​ของ​พระ​เจ้า​อยู่​กับ​มนุษย์​แล้ว และ​พระ​องค์​จะ​ประ​ทับ​กับ​เขา​ทั้ง​หลาย” (ผู้แปล)

[73] 2 โครินธ์ 5:1, 4  “1บัดนี้เรารู้อยู่ว่าหากเต็นท์ฝ่ายโลกนี้ที่เราอาศัยอยู่ถูกทำลายลง เราก็มีบ้านจากพระเจ้า  คือบ้านนิรันดร์ในสวรรค์  ซึ่งไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์...4เพราะขณะเรายังอยู่ในเต็นท์นี้” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

2 โครินธ์ 5:1, 4  “1เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนดินแห่งพลับพลาของเรานี่จะพังทำลายเสีย  เราก็ยังมีที่อาศัยที่พระเจ้าโปรดประทานให้ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์...4เพราะว่าเราอาศัยในพลับพลานี้ (ฉบับไทยคิงเจมส์)

2 โครินธ์ 5:1,4  “1เพราะ​เรา​รู้​ว่า​ถ้า​เรือน​กาย1 ​บน​โลก​ที่​เรา​อา​ศัย​อยู่​นี้​ถูก​ทำ​ลาย​ไป เรา​ก็​ยัง​มี​ที่​อา​ศัย​ซึ่ง​มา​จาก​พระเจ้า ที่​ไม่​ได้​สร้าง​ด้วย​มือ​มนุษย์... 4เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้คร่ำครวญและเป็นทุกข์” (ฉบับมาตรฐาน  1คำ​ว่า เรือน​กาย​ใน​ข้อ​นี้ และข้อ 4 ภา​ษา​กรีก​แปล​ตรง​ตัว​ว่า เต็นท์​หรือ​กระ​โจม) - ผู้แปล

[74] จากฉบับมาตรฐาน 2011

โคโลสี 2:9 ฉบับ 1971  “เพราะ​ว่า​ใน​พระ​องค์​(หมายถึงพระเยซู)นั้น  สภาพ​ของ​พระ​เจ้า​ดำรง​อยู่​อย่าง​บริบูรณ์”

โคโลสี 2:9 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์

[75] เราไม่จำเป็นต้องถามคำถามเช่น “ถ้าพระยาห์เวห์ทรงอยู่บนโลกนี้ แฝงพระองค์ในพระเยซู แล้วใครจะดูแลสวรรค์และโลกในช่วงนั้น คำถามนี้ตอบไม่ยาก เมื่อพระยาห์เวห์กำลังทรงพลับพลาอยู่กับชนอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปีนั้นได้เกิดกลียุคอะไรไหมกับสวรรค์และโลก? แล้วสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆในช่วงสี่สิบปีที่พระยาห์เวห์ทรงใช้เวลากับชนอิสราเอลไหม? พระยาห์เวห์ทรงใช้เวลาน้อยกว่านั้นคือราว 33 ปีที่สถิตอยู่ในพระกายของพระเยซูด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ไม่จำเป็นที่พระเจ้าต้องให้ส่วนหนึ่งของพระองค์อยู่ในสวรรค์เพื่อมั่นใจว่าจักรวาลของพระองค์จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น  พระองค์ทรงสามารถดูแลจักรวาลของพระองค์เองจากที่ไหนก็ได้ และในสภาวะใดก็ได้

[76] ฉบับ 1971 และฉบับมาตรฐาน 2012 แปล 2 โครินธ์ 5:19 เหมือนกันว่า  “คือ​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​โลก​นี้​คืน​ดี​กับ​พระ​องค์​โดย​พระ​คริสต์ไม่​ทรง​ถือ​โทษ​ใน​ความ​ผิด​ของ​พวก​เขา และ​ทรง​มอบ​เรื่อง​ราว​การ​คืน​ดี​นี้​ให้​เรา​ประ​กาศ” (ผู้แปล)

[77] หรือ “พระวาทะ” มาจากคำกรีก 39“”คำเดียวกัน (ผู้แปล)

[78] accusative หมายถึง คำที่ทำหน้าเป็นที่กรรมของประโยค (ผู้แปล)

[79] หรือบางทีใช้คำว่า “พระดำรัส” หรือ “คำตรัส” (ผู้แปล)

[80] ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971 แปล 2 โครินธ์ 5:19 ว่า “คือ​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​โลก​นี้​คืน​ดี​กับ​พระ​องค์​โดย​พระ​คริสต์”

[81]  Yeshua

[82] Yehoshua