pdf pic

บทที่ 3

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

ความสับสนกับตัวบุคคล

 

พระบัญญัติหายไปจากอิสราเอล

          ผมกำลังเดินหน้าศึกษาบทต่อๆไปโดยกำลังมุ่งไปในทิศทางที่จะนำเรากลับไปที่พระวจนะของพระเจ้าในแบบที่ไม่เคยทำกันมาก่อน  ข้อความของพระคัมภีร์ใหม่และที่จริงของพระคัมภีร์ทั้งเล่มได้หายไปนานหลายปี  แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรหรือในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล

         พระบัญญัติได้ให้ไว้กับชนอิสราเอลผ่านทางโมเสสและพวกเขาดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติซึ่งก็คือพระวจนะของพระเจ้าอยู่ช่วงหนึ่ง  แต่สุดท้ายพระวจนะของพระเจ้าก็หายไปจากอิสราเอลจนกระทั่งถึงปี 622 หรือ 621 ก่อนคริสตกาลในรัชสมัยของโยสิยาห์ที่ชนอิสราเอลได้ค้นเจอหนังสือพระบัญญัติขณะกำลังซ่อมแซมพระวิหาร  การ “ค้นเจอ” พระบัญญัติเป็นเรื่องน่าแปลกใจเพราะใครๆก็คิดเสมอว่าคนอิสราเอลคงจะมีชีวิตอยู่กับพระบัญญัติมาตลอดแต่ก็พบว่ามีช่วงประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่พระคำของพระเจ้าได้สูญหายไปนานและประชาชาติก็ถลำลึกขึ้นและลึกขึ้นไปไหว้รูปเคารพ

  พระเจ้าจึงทรงพิโรธชนอิสราเอล  ในศตวรรษที่หกพระวิหารได้ถูกทำลายและชนอิสราเอลก็ถูกเนรเทศ แต่ก็หลังจากที่พวกเขามีโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะรู้พระวจนะของพระเจ้า  โอกาสครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบหนังสือพระบัญญัติในรัชสมัยของโยสิยาห์ โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ที่อายุค่อนข้างน้อย (เขาเพิ่งจะอายุได้แปดปีเมื่อขึ้นครองราชย์)  แต่มารดาของเขาได้สอนเขาเป็นอย่างดีและใจของเขาก็ร้อนรนด้วยความรักต่อพระเจ้าและต่อความจริง

         โยสิยาห์มีคำสั่งให้ซ่อมแซมพระวิหารที่มีอายุสามร้อยกว่าปีหลังจากรัชสมัยของซาโลมอนซึ่งทุกส่วนตกอยู่ในสภาพทรุดโทรม ขณะกำลังซ่อมแซมและขุดลงไปตรงฐานของพระวิหารก็มีคนพบสำเนาของพระบัญญัติ เมื่อนำมาให้โยสิยาห์ดูก็ทำให้เขาถึงกับแทบใจจะแตกสลายว่า “เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาพระวจนะของพระเจ้าไปอยู่เสียที่ไหนหรือ?”  ไม่มีการสอนพระบัญญัติในอิสราเอลอีกต่อไปและประชาชนได้กราบไหว้บาอัลพระของคนคานาอันยิ่งหนักขึ้นๆ

กราบไหว้พระบาอัล

         แต่สภาพการณ์ของการเชื่อถือศาสนาไม่ได้ง่ายเช่นนั้น  พระบาอัล[1]เป็นพระที่กราบไหว้กันในอิสราเอลก่อนที่กลายมาเป็นพระของคนคานาอันที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล  อันที่จริงพระบาอัลเป็นที่นับถือกราบไหว้กันในอาณาบริเวณกว้างใหญ่จากด้านตะวันออกคือบาบิโลน (ประเทศอิรักในปัจจุบัน) ไปจนถึงด้านตะวันตกคือคาร์เธจ[2] (ประเทศตูนิเซียในปัจจุบัน) กราบไหว้พระบาอัลครอบคลุมพื้นที่เกือบจะทั้งตะวันออกกลางตั้งแต่อิรักไปจนถึงตูนิเซียที่เป็นชนมุสลิมในปัจจุบันนี้

          บาอัลเป็นพระของภูมิภาคที่กว้างใหญ่นี้หรือพูดให้ชัดขึ้นก็คือมีพระบาอัลอยู่มากมาย มีผู้คนกราบไหว้พระหลายหลากมากมายที่พวกเขาเรียกว่า “บาอัล” ซึ่งเป็นชื่อเรียกทั่วไปที่หมายถึง “เจ้านาย”(lord)[3] นอกจากนี้พระบาอัลยังเป็นที่นับถือในประเทศอิสราเอลด้วยเพราะคนอิสราเอลก็คิดถึงพระเจ้าว่าเป็นองค์เจ้านายของพวกเขาเช่นกัน  ความสับสนของการใช้คำทำให้คนอิสราเอลนมัสการเจ้านายผิดองค์ซึ่งก็คือพระบาอัลได้ง่ายๆ

         ทุกวันนี้เราก็เผชิญปัญหาอย่างเดียวกันที่สับสนกับคำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า หรือ องค์เจ้านาย” (Lord) คำกรีกของ “องค์ผู้เป็นเจ้า หรือ องค์เจ้านาย” ก็คือ “คูริออส” (ch3 1) ซึ่งอาจหมายถึงพระยาห์เวห์หรืออาจหมายถึงพระเยซู หรืออาจหมายถึงใครก็ได้ที่เป็นเจ้านายหรือนาย  ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เรียกเจ้าของทาสว่า “คูริออส”[4] เป็นคำเรียกที่สุภาพเหมือนกับคำว่า “ท่าน”[5] หรือ “คุณ”[6] บางครั้งพระเยซูก็ถูกเรียกในความหมายนี้ ตัวอย่างคำเรียกแบบนี้ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษบางฉบับจะใช้คำว่า “ท่านเจ้าคะ หรือ นายเจ้าข้า”[7]  แต่ถ้าคุณดูต้นฉบับภาษากรีกก็จะเห็นว่าเป็นคำ “คูริออส” (Lord) คำเดียวกันทั้งหมด 

         เรื่องความสับสนในการใช้คำนั้นปัจจุบันเราก็อยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกับสมัยของโยสิยาห์ที่บทบัญญัติของโมเสสได้หายไป  ผมอยากจะเห็นการค้นคว้าเรื่องพระบัญญัติและการนมัสการพระยาห์เวห์ที่อยู่ดีๆก็หายไป  เนื่องจากว่าพระยาห์เวห์ก็ถูกเรียกว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า หรือ องค์เจ้านาย” ด้วยนี่จึงทำให้เกิด​​ความสับสนระหว่างพระยาห์เวห์กับพระเทียมเท็จที่เรียกว่าบาอัลซึ่งเป็นคำที่หมายถึง “ผู้เป็นเจ้าหรือเจ้านาย” ในภาษาฮีบรูด้วยเช่นกัน ถ้าเราอยากให้ข้อผิดพลาดหมดไปเราจำเป็นต้องกำหนดความหมายของคำที่เราใช้ให้ชัดเจน

         โยสิยาห์ร่ำไห้เมื่อเขาเห็นหนังสือพระบัญญัติและใจของเขาสลายเมื่อรู้ความจริงว่าพระคำของพระเจ้าเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจนเมื่อมาถึงในรัชสมัยของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะหากหนังสือพระบัญญัติปรากฏตัวขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์องค์อื่นๆก็อาจถูกโยนเข้ากองไฟไปแล้วก็เป็นได้  พระเจ้าทรงเห็นว่าพระบัญญัติควรให้ค้นพบเมื่อโยสิยาห์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของอิสราเอลนั้นมีกษัตริย์ที่ดีเพียงสามพระองค์เท่านั้นคือ ดาวิด เฮเซคียาห์ และโยสิยาห์

      ก่อนหน้านี้เฮเซคียาห์มีความพยายามที่จะปฏิรูปเพื่อช่วยกู้ชนอิสราเอลจากการนมัสการบรรดาพระบาอัล[8] มีพระมากมายและผู้เป็นเจ้ามากมายในอิสราเอล เมื่อเปาโลพูดถึง “มีพระเจ้าและองค์ผู้เป็นเจ้ามากมาย”[9] (1 โครินธ์ 8:5) เขาไม่ได้กำลังพูดถึงคนต่างชาติเท่านั้นแต่ยังนึกถึงสภาพที่น่าเศร้าของการถือศาสนาในประวัติศาสตร์ฮีบรูโบราณด้วย

        เฮเซคียาห์ได้ทำลายสถานที่บูชาทั้งหลายที่มีการกราบไหว้พระบาอัล หรือบรรดาผู้เป็นเจ้า หรือบรรดาพระทั้งหลายบนแท่นบูชาต่างๆที่สร้างที่นั่น  แต่เมื่อเฮเซคียาห์ล่วงลับไป ชนอิสราเอลก็ตกต่ำลงจนกระทั่งมีการฟื้นฟูในรัชสมัยของโยสิยาห์ น่าเสียดายที่แม้จะมีการฟื้นฟูแต่ก็เป็นแค่เพียงช่วงสั้นๆเพราะโยสิยาห์เป็นกษัตริย์ที่อายุค่อนข้างน้อยจึงขาดสติปัญญาในการจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง   เมื่อฟาโรห์เนโค[10]ของอียิปต์เดินทัพขึ้นเหนือเข้าโจมตีประเทศอัสซีเรียและมหาอำนาจอื่นๆ โยสิยาห์คิดว่านี่จะเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอลและราชอาณาจักรยูดาห์ เขาจึงทำสิ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ต่อสู้กับฟาโรห์เนโคโดยนำกองทัพที่เทียบเท่าหยิบมือเข้าสู้กับกองทัพอียิปต์ที่ชำนาญศึก  โยสิยาห์จึงถูกฆ่าตายในการสู้รบ

         ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การปฏิรูปของเขาต้องสิ้นสุดลง โยสิยาห์ทำหลายอย่างที่ดีมากในสมัย​​ของเขา  เขาทำลายสถานที่บูชาทั้งหลายที่มีการกราบไหว้พระเทียมเท็จ เขารื้อฟื้นให้นำพระบัญญัติกลับมาใช้ใหม่และให้มีเทศกาลปัสกาเหมือนเดิม  นั่นเป็นสภาพจิตวิญญาณซึ่งเกือบจะจบสิ้นลงของอิสราเอลจนแม้แต่เทศกาลปัสกาก็ต้องถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่  โยสิยาห์นำการปฏิรูปที่ดีมากเข้ามาแต่เขาก็ก้าวพลาด  เราจะก้าวพลาดในชีวิตของเราไม่ได้ เราต้องแน่ใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้า

  โยสิยาห์สิ้นชีวิตในการรบที่มีชื่อเสียงแห่งเมกิดโด[11] ในหนังสือวิวรณ์เรียกเมกิดโดว่า “อารมาเกดโดน”[12]  ในภาษากรีก “อาร” ในคำ “อารมาเกดโดน” เปลี่ยนจากพยัญชนะ “ฮา” ของฮีบรูเพราะภาษากรีกไม่มีพยัญชนะต้น “ฮ” ตัวที่ใกล้เคียงที่สุดจึงเป็น “อ” ที่มีเสียงหนัก  ดังนั้น “อารมาเกดโดน” จึงเป็นคำเดียวกับคำฮีบรูว่า “ฮารมาเกดโดน”[13] ซึ่งหมายถึงภูเขาเมกิดโด (“ฮาร”[14]หมายถึง “เนินเขา” หรือ“ภูเขา” ในภาษาฮีบรู)  มีการสู้รบที่เมกิดโด หรือฮารเมกิดโด ซึ่งก็คือภูเขาเมกิดโด  ผู้ที่เคยไปเที่ยวภูเขาเมกิดโดแถบไฮฟาในปัจจุบันจะเรียกที่นี่ว่าเนินสูงไม่ใช่ภูเขาเพราะมันเตี้ยกว่ายอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะในทวีปอื่นๆมาก  แต่ในอิสราเอลจะถือว่าเป็นภูเขา

         หลังจากโยสิยาห์ถูกฆ่าตายในการสู้รบก็ได้มีการไว้ทุกข์ครั้งใหญ่ในอิสราเอล ประชาชนร่ำไห้เหมือนกับว่าร่ำไห้ให้กับบุตรชายของตนเอง (2 พงศาวดาร 35:24-25) เมื่อโยสิยาห์ล่วงลับไป ชนอิสราเอลก็ไม่มีผู้ที่นำทางจิตวิญญาณและการฟื้นฟูทางจิตวิญญาณของเขาต้องพังลงทันที  พระบัญญัติจึงได้ถูกลืมอีกครั้งหนึ่งและพระพิโรธของพระเจ้าก็ตกอยู่กับชนอิสราเอล หลังจากนั้นไม่นานก็ไม่มีชนชาติอิสราเอลหลงเหลืออีกและประชาชนก็ถูกเนรเทศตามคำเผยวจนะที่ว่าจะถูกเป็นเชลยเจ็ดสิบปีแล้วคนที่เหลืออยู่จะกลับไปอิสราเอล   ทั้งหมดนั้นเป็นประวัติศาสตร์

มันสายเกินไปไหม?

        ประเด็นของผมก็คือว่าความจริงหรือการเปิดเผยจากพระเจ้านั้นอาจถูกลืมได้  หลังจากที่พระบัญญัติได้ให้ไว้ทางโมเสสและสุดท้ายก็สูญหายไปจากประเทศอิสราเอล มีการรื้อฟื้นขึ้นมาระยะหนึ่งแต่เมื่อถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปตามที่นักวิเคราะห์และนักประวัติศาสตร์บางคนได้ตั้งข้อสังเกตไว้ อิสราเอลเสื่อมลงอย่างเต็มที่ช่วงหลายปีที่ไม่สามารถจะรักษาความจริงไว้ได้อีกต่อไปและไม่นานประเทศชาติก็พังพินาศลง  เรื่องทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมเพื่อสอนเรา

         ดังนั้นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ สองพันปีมาแล้วที่ความจริงฝ่ายวิญญาณในเรื่องความรอดของมวลมนุษย์ได้ถูกเปิดเผยในพระเยซูคริสต์  แต่แล้วภายในเวลา 100 หรือ 150 ปีความจริงฝ่ายวิญญาณนี้ก็รับอิทธิพลผิดๆจากหลักคำสอนของคนต่างชาติและจากนั้นความจริงนี้ก็สูญหายไปราว 1800 ปีที่ผ่านมา  ความจริงนี้อาจกำลังถูกค้นพบใหม่ในสมัยของเราโดยพระคุณของพระเจ้าก็เป็นได้    แต่ว่ามันจะสายเกินไปสำหรับเราไหมเหมือนอย่างที่เป็นกับชนอิสราเอล?  คนอิสราเอลปลาบปลื้มที่ได้เห็นความเป็นกษัตริย์ที่ดีในโยสิยาห์ แต่ทว่าการปฏิรูปของพระองค์มาสายเกินไปเพราะเมื่อถึงตอนนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่สามารถมองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้อีกต่อไป

         ไม่ว่าเวลานี้จะสายเกินไปหรือไม่ก็มีแต่องค์ผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา ความรับผิดชอบของผมก็คือบอกพวกคุณว่าองค์ผู้เป็นเจ้าได้ประทานความจริงนี้ให้คุณอีกครั้ง คนทั้งหลายจะยอมรับหรือจะปฏิเสธก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขากับองค์ผู้เป็นเจ้า  มันอาจจะสายไปสำหรับคริสตจักรในยุคสุดท้ายนี้แต่เราก็ยังหวังว่าคริสตจักรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคุณของพระเจ้า

การประกาศข่าวประเสริฐกับชนมุสลิม

            การประกาศอีซา (พระเยซู)[15] (ชื่อโครงการประกาศพระกิตติคุณกับชนมุสลิม) ซึ่งเป็นผลมาจากการทรงนำและแผนการขององค์ผู้เป็นเจ้าสำหรับคริสตจักรของเรา  จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับคริสเตียนแต่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับชนมุสลิม  ผมไม่ได้สนใจที่จะประกาศกับคริสเตียนเว้นแต่ว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงนำผมอย่างชัดเจนให้ทำเช่นนั้นแต่ในเวลานี้ผมไม่ได้รับการทรงนำ ผมแค่ทำตามการทรงนำและวิธีการของพระองค์ตามแต่จะทรงนำไปทางไหนแม้ว่าจะเป็นการประกาศกับชาวมุสลิมด้วยจุดประสงค์เพื่อทำให้บรรดาคริสเตียนเกิดความอิจฉาเหมือนกับวิธีการของเปาโลที่ประกาศกับชาวต่างชาติเพื่อทำให้ชาวยิวเกิดความอิจฉาก็ตาม  เปาโลทำให้พวกเขาเกิดความอิจฉาบ้างไหม? ก็ไม่เลย  ผมก็ไม่ทราบว่าเราจะทำให้บรรดาคริสเตียนเกิดความอิจฉาหรือไม่ นั่นอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้เป็นเจ้า  แต่เปาโลก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสั่งสอนพระคำของพระเจ้าที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็วในหมู่คนต่างชาติซึ่งไม่เป็นอย่างนั้นในหมู่คนยิว  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือหลังจากที่เปาโลและบรรดาผู้รับใช้คนสำคัญๆของพระเจ้าล่วงลับไปแล้ว พวกคริสเตียนต่างชาติก็ได้บิดเบือนพระคำของพระเจ้าไปเต็มๆเหมือนที่คนยิวได้บิดเบือนพระบัญญัติที่ให้พวกเขาผ่านทางโมเสสในตอนต้นดังที่เราเห็นในบทก่อนหน้านี้

          พระเจ้าทรงเห็นควรให้ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลถูกบันทึกและคงอยู่เพื่อสั่งสอนเรา  จงดูพันธกิจของเปาโลไปยังคนต่างชาติเป็นตัวอย่างที่นำพระคำของพระเจ้าไปยังโลกของคนต่างชาติจนเป็นผลสำเร็จ เราอาจจะเห็นพระคำของพระเจ้าไปถึงโลกของอาหรับในช่วงชีวิตของเราก็เป็นได้ บางทีไฟจะถูกจุดขึ้นก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือที่พระคำของพระเจ้าจะไปถึงชาวอาหรับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาวอิสลาม สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่มันอาจเป็นผลสำเร็จในสมัยของเราโดยพระคุณของพระเจ้า   เมื่อถึงเวลานั้นความรับผิดชอบของเราก็หมดลง

          เมื่อก่อนผมคิดว่าพระเยซูอาจเสด็จกลับมาในปี 2006 หรือ 2007  แล้วผมก็คิดถึงที่องค์ผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “ข่าว​ประ​เสริฐ​เรื่อง​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า​นี้​จะ​ถูก​ประ​กาศ​ไป​ทั่ว​โลก ให้​เป็น​คำ​พยาน​แก่​บรร​ดา​ประ​ชา​ชาติ แล้ว​ที่​สุด​ปลาย​จะ​มา​ถึง” (มัทธิว 24:14 ฉบับมาตรฐาน 2011) ความจริงที่น่าเศร้าก็คือพระกิตติคุณยังไปไม่ถึงประเทศส่วนใหญ่ แม้จะมีประเทศอาหรับอยู่เป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่มีสักประเทศที่พระกิตติคุณไปถึงและสามารถพูดแบบเดียวกันว่าพระกิตติคุณยังไปไม่ถึงชาวมุสลิมจำนวน 1.3 พันล้านคนในโลก (จากสถิติล่าสุด)

         บางทีโดยพระเมตตาของพระเจ้าอาจทำให้ผู้ไม่มีโอกาสรู้เรื่องพระเยซูที่ชาวอิสลามเรียกพระองค์ว่า “อีซา” หรือรู้เรื่องสำคัญๆที่พระยาห์เวห์ทรงทำผ่านทางพระเยซู พวกเขาอาจได้รับโอกาสสุดท้ายก่อนจะสิ้นยุคก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นพระกิตติคุณก็จะไปถึงทุกๆชาติ แต่ถ้าเป็นตามสภาพของคริสเตียนและพระกิตติคุณที่ประกาศออกไปอย่างในทุกวันนี้แล้วละก็ข่าวประเสริฐคงจะไม่มีวันไปถึงโลกมุสลิมได้เลย  ความเชื่อของคริสเตียนไม่ได้เข้าถึงชนมุสลิมใน 1,300 ปีที่ผ่านมาและพวกเขาก็จะไม่มีทางทำสำเร็จ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเสียก่อน ก่อนที่ภารกิจการนำพระกิตติคุณไปถึงชนทุกประเทศจะสำเร็จลงได้  นั่นคือภารกิจของคุณและผม

      ที่กล่าวมาข้างต้นคือคำนำเรื่องที่ผมจะสอนในบทนี้ ผมได้พูดครอบคลุมจุดสำคัญบางอย่างเพื่อให้กรอบความคิดที่กว้างขึ้นกับคุณในการศึกษาของเราเกี่ยวกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว

การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

        จากข้อสรุปสองบทที่ผ่านมาในบทแรกผมพูดถึงพระลักษณะของพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์และผู้ที่ยังมาเดินในสวนเพื่อพูดคุยกับมนุษย์  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยและทรงมีความห่วงใยอย่างใกล้ชิดต่อโลกนี้  แต่ในปรัชญากรีกและในศาสนศาสตร์[16]ของคริสเตียนได้วาดภาพพระเจ้าไว้สูงเหนือฟ้าสวรรค์เกินกว่าจะมาเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ ฉะนั้นพระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้มีบุคคลที่สองมาเชื่อมกลางระหว่างพระเจ้ากับเราเพื่อเป็นคนกลางระหว่างสองฝ่าย แต่เมื่อดูในพระคัมภีร์เดิมเราจะไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น  เราจำเป็นต้องแก้ไขความคิดของเราเกี่ยวกับพระเจ้าเสียใหม่และไม่นำเอาความคิดของเราแบบคนต่างชาติเข้ามาใส่ในพระคัมภีร์

         คุณอาจสงสัยว่าทำไมในบทแรกผมจึงบอกคุณถึงเรื่องราวจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระยาห์เวห์ พระคัมภีร์เดิมเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่คุ้นชินเกี่ยวกับพระเจ้า  แต่คุณอาจรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่คุ้นหูคู่ขนานไปกับสิ่งที่ไม่คุ้นหู  เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพระยาห์เวห์เราฟังคุ้นหูเพราะเรื่องเหล่านั้นทำให้เรานึกถึงพระเยซูผู้ที่มาเดินอยู่บนโลกนี้ ผู้ที่พูดคุยและปะปนอยู่กับผู้คนมากมายและแม้กระทั่งเรียกผู้คนให้ติดตามพระองค์

         พระคัมภีร์กล่าวว่าพระยาห์เวห์ทรงทำเสื้อให้อาดัมกับเอวา  แต่เรารู้สึกว่างานแบบนี้ไม่น่าจะเป็นงานที่พระเจ้าผู้สูงสุดและผู้อยู่ไกลลิบควรจะทำ แต่เมื่อดูตามพระคัมภีร์แล้วเราจะเห็นว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น  ถ้าตาของเรามองเห็นและหูของเราได้ยินเราจะพบว่ามีรายละเอียดสำคัญๆหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่ทั่วพระคัมภีร์   เช่นที่พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ที่ปิดประตูเรือเพื่อให้โนอาห์และครอบครัวอยู่รอดและปลอดภัยอยู่ข้างใน  เมื่อโมเสสสิ้นชีวิตบนภูเขาพระยาห์เวห์ก็ทรงฝังเขา   ชาวยิวเองก็รับเรื่องนี้ยากเพราะชาวยิวตีความว่าผู้ฝังโมเสสคือทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ แม้แต่ชาวยิวก็มีปัญหาเรื่องการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าและไม่พ้นจากอิทธิพลความคิดแบบกรีกเรื่องการสถิตอยู่ไกลของพระเจ้า

         ทำไมเราจึงรับคำที่พระคัมภีร์กล่าวตรงๆไม่ได้?  ทำไมเราจึงเอาความคิดที่ฝังหัวของเราใส่ในพระวจนะของพระเจ้า  ถึงแม้จะมีข้อความที่ชัดเจนจากพระคัมภีร์แต่เราก็ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงฝังศพโมเสสและให้พระหัตถ์ของพระองค์เปื้อนดินหรือจะทรงปิดประตูเรือ  หรือว่านั่นจะเป็นทูตสวรรค์ที่ทำ?

         ในเรื่องราวเหล่านี้เรารับรู้บางสิ่งที่คุ้นหูคู่ขนานไปกับสิ่งที่ไม่คุ้นหูเพราะพระยาห์เวห์ทรงทำหลายสิ่งที่ทำให้เรานึกถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำ  ขณะที่เหล่าสาวกของพระองค์ออกไปจับปลาพระเยซูก็เริ่มก่อไฟด้วยพระหัตถ์ของพระองค์และทรงทำอาหารเช้าให้พวกเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์  การที่พระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์มาทำอาหารให้เหล่าสาวกของพระองค์เตือนเราให้นึกถึงหลายสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงทำในพระคัมภีร์เดิม  เรารู้สึกว่าน่าจะเป็นพระเยซูที่จะทำสิ่งแบบนี้ก็เพราะ “เหมือน​บุตร​มนุษย์​ที่​ไม่​ได้​มา​เพื่อ​รับ​การ​ปรน​นิบัติ แต่​มา​เพื่อ​ปรน​นิบัติ​คน​อื่น” (มัทธิว 20:28 เปรียบเทียบกับ ฟีลิปปี  2:7)

         ในขณะเดียวกันเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมก็ฟังดูไม่คุ้นเพราะเราเองไม่อยากจะเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดาจะมาทำสิ่งที่ติดดินแบบนี้  ถ้าเป็นพระเยซูล่ะก็ใช่ แต่ถ้าเป็นพระบิดาน่ะไม่ใช่  พระบิดาทรงอยู่ไกลลิบและสูงส่งในสวรรค์ฉะนั้นจึงต้องเป็นพระเยซูที่เสด็จเข้ามาในโลกและทำสิ่งที่ติดดินแบบนี้ คริสเตียนบางคนยังสรุปด้วยซ้ำว่าเป็นพระเยซูเองที่พูดกับอาดัมและเอวาในสวนนั้น หรือเป็นผู้ที่ปิดประตูเรือ หรือเป็นผู้ที่ฝังศพโมเสส  เพราะพระเยซูก็ทำสิ่งที่คล้ายกันนี้ในพระคัมภีร์ใหม่  เราช่างใส่ความคิดของเราให้กับพระคัมภีร์เดิมได้ง่ายๆ

พระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลก 

        เราเห็นในบทที่สองว่าพระองค์ผู้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพระยาห์เวห์  เราพบความจริงในพระคัมภีร์ที่น่าตกตะลึงและยากที่จะเข้าใจ  แต่เมื่อผมยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งประหลาดใจเพราะความจริงในเรื่องนี้สอดคล้องกับพระลักษณะของพระเจ้าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์เดิม  การเสด็จเข้ามาในโลกนี่แหละเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทำ  แต่ความคิดความเข้าใจของเราได้ถูกล้างสมองให้เชื่อว่างานแบบนี้ได้ถูกถ่ายโอนไปให้พระเยซู  ในความคิดของเราแล้วพระยาห์เวห์จะไม่เสด็จเข้ามาในโลกแต่จะเป็นพระเยซูที่เสด็จมา  เราคิดแบบนี้แม้จะไม่มีการสนับสนุนจากพระคัมภีร์ในการตีความเช่นนี้ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  เพราะไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์เดิมที่เราจะพบพระองค์ที่สอง หรือที่พระองค์ที่สามที่เป็นพระเจ้า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียวและความจริงนี้ก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากพระเยซู[17]

         เราจะยอมรับความคิดนี้ไม่ได้หรือว่าในการเฉลิมฉลองคริสต์มาสนั้นผู้ที่เสด็จเข้ามาในโลกคือพระยาห์เวห์และไม่ใช่ใครอื่นเลย? ทำไมเราจึงยืนกรานว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราชในอิสยาห์ 9:6 ไม่ใช่พระยาห์เวห์?  เราตั้งพระเยซูให้เป็นพระบิดานิรันดร์อย่างน่าขบขันว่าพระบุตรคือพระบิดาและพระบิดาก็คือพระบุตร  นั่นคือความหมิ่นเหม่และความสับสนที่มีในความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

  ถ้าดูตามมาตรฐานของพระคัมภีร์เดิมแล้วเรามาถึงจุดที่ควรถูกกล่าวหาว่าไหว้รูปเคารพ  เราไวที่จะติเตียนชาวยิวว่าไหว้รูปเคารพและกราบไหว้บรรดาพระอื่นๆ แต่เราเองก็ได้ทำอย่างเดียวกันมาตลอดชีวิตคริสเตียนของเรา  โดยพระคุณของพระเจ้าตอนนี้ผมเริ่มจะเห็นถึงความร้ายแรงของความยุ่งเหยิงในฝ่ายวิญญาณอย่างที่ผมไม่อาจเห็นมาก่อนแม้แต่ปีที่ผ่านมา

       ในบทที่สองเราดูการเปิดเผยอย่างน่าอัศจรรย์ที่พระยาห์เวห์เองเสด็จเข้ามาในโลก มาถึงตอนนี้พระคัมภีร์เดิมหลายตอนเริ่มจะสอดคล้องกัน เราจะเห็นว่าอิสยาห์ 9:6[18]ไม่ได้กล่าวถึงพระเจ้าพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สามแต่อย่างใด เราสามารถจะบิดเบือนชื่อเรียกต่างๆของพระเจ้าในอิสยาห์ 9:6 ให้มาเป็นชื่อเรียกของมนุษย์ หรือว่าเราจะยอมรับชื่อเรียกเหล่านั้นตามที่ปรากฏอยู่ว่าเป็นชื่อเรียกของพระยาห์เวห์และไม่มีผู้ใดอื่นอีก

         เนื่องจากคำ “องค์” (Prince)[19] ในคำ “องค์สันติราช” (Prince of Peace) ไม่ได้มีความหมายอย่างที่ภาษาอังกฤษหมายถึงว่าเป็นราชบุตรของกษัตริย์  คำภาษาฮีบรูนี้หมายถึง “ผู้ปกครอง” ด้วยเหตุนี้ถ้อยคำนี้จึงควรจะแปลว่า “ผู้ปกครองแห่งสันติ”[20]

         ส่วนเรื่อง “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” นั้นคุณคงจะจำได้ว่าเมื่อทูตของพระเจ้ามาปรากฏกับมาโนอาห์และภรรยาของเขา มาโนอาห์ได้ถามชื่อของท่านและทูตของพระเจ้าตอบว่า “ถาม​ชื่อ​เรา​ทำไม ชื่อ​เรา​ก็​มหัศจรรย์​เกิน​ความ​เข้าใจ​ของ​เจ้า[21] (ผู้วินิจฉัย 13:18) ทูตของพระเจ้าที่ปรากฏนี้ไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นพระยาห์เวห์ที่ปรากฏพระองค์ในรูปของมนุษย์ สิ่งที่เราได้ทำตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือให้สิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงเป็นมาถ่ายโอนให้กับพระเจ้าพระองค์ที่สองทุกอย่าง

         ผมไม่ได้กำลังเน้นศาสนศาสตร์หรือวิชาการในบทเหล่านี้ แต่จะเน้นความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าซึ่งขึ้นกับการที่เราเชื่อฟังพระองค์  หากเราไม่เชื่อฟังพระเจ้าเราก็จะไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่การที่จะเชื่อฟังพระเจ้านั้นเราจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือความจริงที่จะให้เราเชื่อฟัง

ความสับสนของคำที่ใช้

         บทก่อนเราได้ดูมาระโก 12:28-30 ที่ธรรมาจารย์ถามพระเยซูถึงบัญญัติข้อสำคัญที่สุด พระเยซูตรัสตอบโดยยกเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 ว่า “โอ คน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด พระ​ยาห์​เวห์ พระ​ยาห์​เวห์​เท่า​นั้น​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​เรา” (ฉบับมาตรฐาน 2011 แปล “LORD” ว่า “พระยาห์เวห์” ตรงตามต้นฉบับภาษาฮีบรู)[22] จะเห็นว่าในภาษาฮีบรูมีคำ “ยาห์เวห์” ปรากฏสองครั้ง “พระ​ยาห์​เวห์ พระ​ยาห์​เวห์​เท่า​นั้น​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​เรา” ซึ่งไม่ได้กล่าวอะไรเลยถึงสามบุคคล  ทุกคนจำเป็นต้องยอมรับว่าในคำกล่าวนี้มีเพียงแค่บุคคลเดียวคือพระยาห์เวห์  ไม่ได้มีสามบุคคล  หรือมีสามพระยาห์เวห์  หรือว่ามีสามบุคคลในพระยาห์เวห์เดียว

    ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวในภาษาฮีบรูพร้อมคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ

     ch3 2

     Shema Yisra’el Yahweh Eloheynu Yahweh ehad

           เชมา ยิสราเอล ยาห์เวห์ เอโลเฮนู ยาห์เวห์ เอหาด

         แม้คุณจะไม่รู้ภาษาฮีบรูเลยแต่คุณแค่ใช้ความพยายามนิดเดียวก็จะเห็นคำ ch3 3 (ยาห์เวห์) ปรากฏตรงนี้สองครั้ง ภาษาฮีบรูจะอ่านจากขวามาซ้ายขณะที่คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษจะอ่านจากซ้ายไปขวาตามลำดับ “เชมา ยิสราเอล (จง​ฟัง​เถิด คน​อิส​รา​เอล)  ยาห์เวห์ เอโลเฮนู (พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า)  ยาห์เวห์ เอหาด (พระ​ยาห์​เวห์​เดียว)”[23]

         แต่มีสิ่งสำคัญบางอย่างหายไปในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษ ในฉบับภาษากรีกก็หายไปเช่นกันเพราะเซปทัวจินท์[24] (พระคัมภีร์ภาษากรีกที่แปลมาจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู) แปลคำ “ยาห์เวห์” (Yahweh) ด้วยคำที่คลุมเครือว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” (kurios -คูริออส หรือ Lord -ลอร์ด)  ด้วยเหตุนี้ชื่อ “ยาห์เวห์” จึงถูกลบออกจากฉบับภาษากรีก  ความสับสนของคำที่ใช้เกิดขึ้นจากการแทนที่ชื่อของพระเจ้าคือ “ยาห์เวห์” ด้วยคำที่คลุมเครือว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ที่ทำให้เข้าใจผิดและหมิ่นเหม่  ถ้าคุณอยากให้ความสับสนนี้หมดไปละก็เมื่อคุณพบคำว่า “LORD”[25] ที่ไหนในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษก็ให้คุณอ่านว่า “Yahweh”   วิธีการนี้ไม่ยุ่งยากและยังตรงกับต้นฉบับภาษาฮีบรู

         ความสับสนมีเพิ่มขึ้นเมื่อคำฮีบรูอีกคำหนึ่งคือ “Adonai” (อาโดนาย) ซึ่งมีความหมายว่า “lord” (ผู้เป็นเจ้านาย) ด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆว่าคำฮีบรูสองคำที่ต่างกันนี้คือ “Yahweh” กับ “Adonai” ได้ถูกแปลมาเป็นคำกรีกคำเดียวกันว่า “kurios” (คูริออส) แล้วก็แปลมาเป็นคำภาษาอังกฤษคำเดียวกันว่า “Lord” (ผู้เป็นเจ้านาย)  ความแตกต่างระหว่างคำ “Yahweh” กับ “Adonai” ในภาษากรีกได้หายไป  ฉบับแปลภาษาอังกฤษส่วนมากยังคงความแตกต่างให้เห็นอยู่บ้างโดยแปลคำ “Adonai” ให้เป็นตัวพิมพ์เล็กว่า “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า หรือ องค์เจ้านาย) และแปลคำ “Yahweh” ให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “LORD” (ยาห์เวห์)

เราได้เปลี่ยนใจรักภักดีของเรา

          เมื่อเข้าใจว่าเป็นพระยาห์เวห์เดียวแล้วเราจะทำอะไรต่อไป?  ข้อต่อมากล่าวว่า “ท่าน​จง​รัก​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ด้วย​สุด​จิต​ สุด​ใจ​ และ​สุด​กำลัง​ของ​ท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5 ฉบับมาตรฐาน 2011)[26] จุดประสงค์ที่เราพิจารณากันอยู่นี้ไม่ใช่เพื่อเป็นความรู้เชิงวิชาการหรือเพื่อเพิ่มพูนภูมิปัญญาแต่เพื่อจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า  เราจะต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา ด้วยสุดจิตของเรา และด้วยสุดกำลังของเรา

         สิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีผลกับผมควรทำให้คุณต้องกลัวและตัวสั่น  ผมเป็นคนที่แต่ง “เพลงแห่งการยกย่องและจงรักภักดี”[27]ต่อพระเยซู คุณสังเกตเห็นไหมว่าในเพลงนี้พระเยซูทรงเป็นทุกสิ่ง?  ผมรักพระเยซูด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของผม  แต่ว่าเดี๋ยวก่อน! พระคัมภีร์สงวนคำเหล่านี้ไว้สำหรับพระยาห์เวห์ไม่ใช่สำหรับพระเยซู!  ผมควรจะร่ำไห้เหมือนกับโยสิยาห์เพราะที่ถูกแล้วสิ่งที่ควรจะเป็นของพระยาห์เวห์แต่กลับไปให้ผู้อื่นเสีย  คุณกำลังทำอย่างเดียวกันนี้ไหม?  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ดีเราก็ทำแบบนี้ตลอดเวลา  พวกคุณอธิษฐานกับใคร? หรือนมัสการใคร? หรือประกาศความจงรักภักดีกับใคร?  คำตอบก็คือกับพระเยซู!

         เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ออกไป  เราไม่ต้องการพระองค์เพราะเรามีพระเยซู  เราให้พระบิดาหมดความสำคัญและให้พระบุตรเป็นศูนย์กลาง  เราได้ปฏิเสธพระบิดาแม้จะไม่ใช่ด้วยคำพูดมากมายแต่ด้วยการทำให้พระเยซูเป็นศูนย์รวมความรักภักดีของเรา  เมื่อผมถามคราวก่อนว่ามีกี่คนที่อธิษฐานกับพระบิดาก็มีไม่กี่คนที่ยกมือ  และมีใครที่อธิษฐานโดยใช้พระนามพระยาห์เวห์ไหม?  ก็ปรากฏว่าไม่มีใครเลย

         ในที่นี้เราไม่ได้กำลังพูดกันทางวิชาการ  ถ้าไม่มีใครที่อธิษฐานกับพระยาห์เวห์ก็หมายความว่าไม่มีใครที่รักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิดและสุดกำลัง  มันหมายความว่าไม่มีใครเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าเพราะเราได้ให้ความรักภักดีทั้งหมดกับพระเยซูเหตุเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

            ผมอยากจะเปลี่ยนเนื้อเพลงนี้แต่ก็สายไปแล้ว ผมพูดได้แค่ว่า “ขอให้เพลงนี้เป็นหลักฐานว่าผมเคยเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพยิ่งกว่าใครๆ” ผมได้ทำสิ่งที่ส่งผลให้กับผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมากกว่าที่คริสเตียนส่วนใหญ่ได้ทำเสียอีก  มันสายเกินไปที่จะเรียกเพลงนี้กลับคืนมา  ถ้าเราเอาเพลงนี้ออกทั้งซีดีก็ไม่เหลืออะไรเพราะเพลงนี้เป็นเพลงนำและชื่อของแผ่นซีดีด้วย

จงระวังเมื่อกล่าวถึง “พระบิดา”

          ทุกครั้งที่กล่าวถึงพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่ก็คือการกล่าวถึงพระยาห์เวห์พระบิดา เราจะต้องระวังเมื่อเราใช้คำ “พระบิดา” เพราะเราอาจจะใช้คำนี้ให้มีความหมายว่ามีพระเจ้าพระบุตร  (นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสถึง “พระบิดา”) แต่เราก็ทำให้ “พระบิดา” ทรงเป็นในสิ่งที่พระเยซูไม่ได้ต้องการให้พระองค์เป็น

         เมื่อคุณตรวจดูคำว่า “บุตรของพระเจ้า” หรือ “บรรดาบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่ คุณจะเห็นว่าคำเหล่านี้กล่าวถึงแต่พวกมนุษย์หรือไม่ก็บรรดาทูตสวรรค์ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่เรียกว่า “พระบุตร” ไม่ว่าจะทั้งในพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่และก็ไม่มีใครที่ถูกเรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร” ในพระคัมภีร์  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้สับเปลี่ยน “พระบุตรพระเจ้า” ให้เป็น “พระเจ้าพระบุตร”  คำที่ใช้นั้นกลับกันและทำให้ความหมายผิดไป  ผมก็ทำแบบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ  ไม่มีผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนใดจะตั้งใจทำเช่นนี้  เราทุกคนเข้าใจผิดไปเพราะคำสอนของคนต่างชาติ

พระบัญญัติข้อสำคัญที่สุด
          ให้เรากลับไปดูมาระโก 12:29-30  ที่ธรรมาจารย์ทูลถามพระเยซูว่า “พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?” และนี่คือคำตอบขององค์ผู้เป็นเจ้า

29พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ตอบ​คน​นั้น​ว่า “พระ​บัญ​ญัติ​อัน​ดับ​แรก​คือ โอ ชน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าของ​เรา​เป็น​พระ​เจ้า​องค์​เดียว 30พวก​ท่าน​จง​รัก​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​เจ้า​ด้วย​สุด​ใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​จิต​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​ของ​ท่านและ​ด้วย​สุด​กำ​ลัง​ของ​ท่าน” (ฉบับมาตรฐาน  2011)

         สิ่งแรกจงสังเกตว่าผู้ที่ตอบคำถามของธรรมาจารย์ผู้นี้ก็คือพระเยซูเอง การสังเกตนี้สำคัญเพราะเราบอกว่าเราเป็นผู้ติดตามพระเยซูและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์  พระเยซูทรงสอนไว้อย่างชัดเจนว่ามีพระเจ้าเดียวและเราจะต้องรักพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดทั้งหมดของเรา (พระเยซูทรงกำลังกล่าวถึงพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ทรงกำลังอ้างอิงจากเฉลยธรรมบัญญัติบท 6) สิ่งที่พระเยซูตรัสสอนตรงนี้ไม่ได้กล่าวเฉพาะในมาระโกแต่ทรงกล่าวย้ำอย่างเดียวกันในมัทธิวและลูกา ในพระกิตติคุณเหล่านี้พระเยซูทรงกำลังบอกเราว่าการรักพระยาห์เวห์ด้วยความรักภักดีอย่างสุดๆนั้นคือพระบัญญัติข้อแรกและข้อสำคัญสุด

คำตอบของธรรมาจารย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติได้ถูกบันทึกไว้ในข้อ 32-34 ว่า

32ธรร​มา​จารย์​คน​นั้น​จึง​ทูล​ว่า  “จริง​ที​เดียว​ท่าน​อา​จารย์ ท่าน​กล่าว​ถูก​ต้องที่​ว่า พระ​เจ้า​ (พระยาห์เวห์) มี​แต่​องค์​เดียว  นอก​จาก​พระ​องค์​แล้ว ไม่​มี​พระ​เจ้า​อื่น​อีก​เลย   33และ​​การที่​จะรัก​พระ​องค์​ด้วย​สุด​ใจ  สุด​ความ​เข้าใจ และ​สุด​กำ​ลัง และ​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตน​เอง ก็​สำ​คัญยิ่ง​กว่า​เครื่อง​เผา​บูชา​และ​ของ​ถวาย​ทั้ง​สิ้น” 34เมื่อ​พระ​เยซู​ทรง​เห็น​ว่า​คน​นั้น​ตอบ​สนอง​อย่าง​มี​ปัญ​ญาจึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ท่าน​ไม่​ไกล​จาก​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า” ตั้ง​แต่​นั้น​มา​ไม่​มี​ใคร​กล้า​ถาม​พระ​องค์​อีก (มาระโก 12:32-34 ฉบับมาตรฐาน  2011)[28]

          ธรรมาจารย์เห็นด้วยกับพระเยซูอย่างสุดใจว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว  และนอก​จาก​พระ​องค์​แล้วไม่​มี​ผู้ใด​อื่น​อีกเลย   เราเข้าใจภาษาง่ายๆตรงนี้ไหม?  ไม่มีใครอื่นอีกไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง หรือพระเจ้าองค์ที่สาม  พระเยซูไม่ได้พูดแค่ว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่น” แต่พูดว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นอีกเลย”

         กลวิธีของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือแสดงให้เห็นว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ในพระเจ้ามีสามบุคคล  เราไม่ควรลองหาวิธีให้มีพระเจ้าหลายพระองค์โดยเสนอความคิดเช่นว่ามีสามพระองค์อยู่ในพระเจ้าเดียวและอะไรทำนองนั้น  ความจริงที่เข้าใจได้ไม่ยากก็มีอยู่แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นอีก

         ธรรมาจารย์ยืนยันอีกครั้งถึงสิ่งที่พระเยซูเพิ่งจะตรัส ว่าเราจะต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ สุดกำลังของเรา และต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมาจารย์พูดต่อไปอีกว่าสิ่งนี้ “สำคัญยิ่งกว่า” เครื่องบูชาและของถวายทั้งสิ้น   นั่นเป็นคำกล่าวที่น่าแปลกใจที่ได้ยินจากธรรมาจารย์เพราะเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติศาสนกิจทั้งสิ้นในงานของพระวิหารนั้นเทียบไม่ได้กับการรักพระยาห์เวห์

         การตอบของพระเยซูต่อความเห็นของธรรมาจารย์ก็สำคัญพอๆกัน พระเยซูไม่ได้ตรัสกับเขาว่า “ท่านพูดเกินความจริงไปแล้ว” แต่ทรงชมเขาที่ตอบ “อย่างรู้แจ้ง”  พระเยซูยังตรัสกับเขาอีกว่า “ท่านไม่​ไกล​จาก​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า” ธรรมาจารย์เข้าไปใกล้แผ่นดินของพระเจ้ามากและเขาก็เข้าใจบทบัญญัติได้อย่างถูกต้อง ด้วยความที่เป็นธรรมาจารย์เขาจึงทราบดีว่ามีพระเจ้าองค์เดียวและไม่มีผู้ใดอื่นอีกและความรักภักดีทั้งหมดจะต้องมีจุดศูนย์รวมอยู่ที่พระยาห์เวห์

         แต่เราก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น!   ธรรมาจารย์คนนั้นดีกว่าพวกเราที่เป็นคริสเตียน  เราก้าวไปขั้นที่สองในการมอบความวางใจกับพระคริสต์ แต่เราก้าวข้ามขั้นแรกในการมอบความวางใจกับพระยาห์เวห์ (เป็นไปได้ทีเดียวที่ธรรมาจารย์ผู้นี้ก็ได้ก้าวข้ามไปขั้นที่สองเช่นกัน) แต่เราได้ข้ามขั้นแรกไปเมื่อเรามอบความวางใจกับพระคริสต์โดยไม่รู้ว่าความรักภักดีทั้งหมดของเราจะต้องมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระเจ้าองค์เดียวและเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นเช่นกันและได้ให้ความรักภักดีทั้งหมดกับพระเยซูแม้ความจริงแล้วพระเยซูได้บอกให้เรารักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิดและสุดกำลังของเรา

         แต่คุณอาจถามว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้เสด็จมาอยู่ในองค์พระเยซูหรอกหรือ? นั่นถูกต้องแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือองค์เดียวกันและเป็นบุคคลเดียวกัน การรักพระวิหารก็ไม่เหมือนกันกับการรักพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ในพระวิหาร  พระเยซูกำลังตรัสถึง “วิหารคือพระกายของพระองค์”[29]  เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้า​ทำ​ลาย​วิหาร​นี้ เรา​จะ​สร้าง​ขึ้น​ภาย​ใน​สาม​วัน”  (ยอห์น 2:19, 21)   พระเยซูเป็นวิหารที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ แต่พระเยซูไม่ได้เป็นบุคคลเดียวกันกับพระยาห์เวห์

  เราต้องไม่สับสนประเด็นหรือว่าเราจะทิ้งความรอดของเรา  เราได้ผิดพลาดพอแล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องผิดพลาดไปมากกว่านี้  ฉะนั้นครั้งนี้ก็ให้ความคิดของเราชัดเจนไปเลย ผมเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงเมตตาอภัยโทษในความไม่รู้ที่ผ่านมาของเรา  เราได้ทำผิดอย่างร้ายแรงที่ให้พระบุตรมาแทนที่พระบิดา  เราได้เอาพระลักษณะที่ประเสริฐของพระยาห์เวห์ (ได้กล่าวไว้ในบทแรก) อย่างเช่น ความรักของพระองค์ ความเมตตาสงสารของพระองค์  พระปัญญาของพระองค์  มาถ่ายโอนทั้งหมดไปที่พระเยซู

  ในทางปฏิบัติจริงแล้วเราไม่ต้องการพระยาห์เวห์พระบิดา  พวกคุณส่วนมากหรือทุกคนได้อธิษฐานกับพระเยซูแทน  แต่พระเยซูทรงสอนเราอย่างไรในเรื่องการอธิษฐานหรือ?  “พวก​ท่าน​จง​อธิษ​ฐาน​เช่น​นี้​ว่า  ‘ข้า​แต่​พระ​บิดา​ของ​ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์ ขอ​ให้​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​เป็น​ที่​เคา​รพ​สัก​การะ’” (มัทธิว 6:9) แต่เราก็ไม่ได้อธิษฐานอย่างนั้นใช่ไหม?  ยกเว้นว่าเราจะอธิษฐานไปตามธรรมเนียมปฏิบัติอย่างในคริสตจักรนิกายแองกลิกัน[30]ที่ผู้เชื่อจะท่องปากเปล่าว่า “ข้า​แต่​พระ​บิดา​ของ​ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์ ขอ​ให้​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​เป็น​ที่​เคา​รพ​สัก​การะ”  มีผู้ร่วมงานของเราหลายคนที่อธิษฐานกับพระเยซูและลงท้ายคำอธิษฐานในพระนามของพระเยซู  ส่วนพระบิดานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร

ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา

          พระคัมภีร์เดิมไม่เคยกล่าวอะไรถึงพระองค์ที่สองที่รวมอยู่ในพระเจ้า  แต่มีบางคนถามผมว่า “แล้วในปฐมกาล 1:26 ล่ะที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา’”?  เราเอาคำพหูพจน์ “เรา” และ “ของเรา” มาจากไหนหรือ?  ที่ผ่านมาเราตีความหมายคำนี้ว่ามีมากกว่าหนึ่งพระองค์ที่รวมอยู่ในพระเจ้า ตามความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้หมายความในลักษณะนั้นเลย เราคงต้องถามความหมายจากชาวยิวดูเพราะสุดท้ายแล้วมันก็มาจากพระคัมภีร์ของเขาและมาจากเชื้อสายความเชื่อที่เคร่งครัดในพระเจ้าเพียงองค์เดียวของเขา

         ก่อนหน้านี้ผมพูดไว้ว่าคำสรรพนามพหูพจน์ในปฐมกาล1:26    คือ  “‘เรา’ ที่ใช้กับกษัตริย์”[31]  เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ขอความเห็นนักวิชาการพระคัมภีร์เดิมซึ่งที่จริงเป็นนักค้นคว้าพระคัมภีร์เดิมของโลกอีแวนเจลิคอล[32] เพื่อดูว่ามุมมองของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพพูดถึงปฐมกาล 1:26 อย่างไร แต่ผลปรากฏว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นพูดถึงข้อนี้น้อยมากจากมุมมองของผู้เชื่อตรีเอกานุภาพเนื่องจากตระหนักถึงหลักฐานที่มี

         ตัวอย่างที่เห็นได้มาจากคู่มืออธิบายพระคัมภีร์หลายชุดของคีลและเดอลิซช์[33]ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นคู่มืออธิบายพระคัมภีร์เดิมที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในเวลานี้ของโลกอีแวนเจลิคอล  ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ข้อนี้ คีลและเดอลิซช์ได้กล่าวว่าบรรพบุรุษของคริสตจักรและนักศาสนศาสตร์ยุคแรกๆ (ที่ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษกรีกเพราะไม่มีพวกผู้นำชาวยิวเหลืออยู่ในคริสตจักร) ได้ตีความพระคัมภีร์ตอนนี้เกือบจะเป็นเอกฉันท์ว่าอ้างถึงตรีเอกานุภาพ แต่คีลและเดอลิซช์กล่าวต่อไปว่านักวิชาการสมัยใหม่รวมถึงนักวิชาการของโลกอีแวนเจลิคอลดังเช่นตัวพวกเขาเองโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ยอมรับมุมมองนี้ เพราะมุมมองเช่นนี้ไม่สอดคล้องทางวิชาการของพระคัมภีร์เดิม

         ที่จริงคีลและเดอลิซช์มองปฐมกาล 1:26 ว่าเป็น “‘เรา’ที่กษัตริย์ใช้” แม้จะไม่พูดคำนี้ตรงๆ  พวกเขาใช้คำลาตินที่น่าประทับใจและฟังดูใหญ่โตว่า “พลูราลิส มาเจสตาติส”(pluralis majestatis)[34]  ในภาษาลาตินคำ “พลูราลิส” หมายถึง “พหูพจน์” ด้วยเหตุนี้คำนี้จึงหมายถึง “คำพหูพจน์สำหรับกษัตริย์”  นี่เป็นคำเรียกที่บรรดากษัตริย์จะใช้แทนตัวพระองค์เอง   คีลและเดอลิซช์กล่าวไว้ดังนี้ว่า

การสร้างมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยคำที่พระเจ้าตรัสกับโลก แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากคำบัญชาของพระเจ้าว่า “เราจะสร้างมนุษย์ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”[35] ซึ่งประกาศตั้งแต่ต้นถึงความแตกต่างและความโดดเด่นของมนุษย์ที่เหนือสิ่งที่ถูกสร้างอื่นๆทั้งหมดในโลกนี้ คำพหูพจน์ “เรา” คำนี้บรรพบุรุษและนักศาสนศาสตร์ก่อนหน้านี้ลงความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์ว่าบ่งบอกถึงความเป็นตรีเอกานุภาพของพระเจ้า  ซึ่งกลับกันกับผู้อธิบายพระคัมภีร์ยุคใหม่ที่เห็นว่าเป็น “คำพหูพจน์สำหรับกษัตริย์” หรือเป็นการที่พระเจ้าตรัสกับตัวพระองค์เอง   ที่ประธาน(ผู้พูด) และกรรม(ผู้ที่พูดด้วย) เป็นคนเดียวกัน   หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นการสื่อสาร หรือการกล่าวกับเหล่าวิญญาณหรือเหล่าทูตสวรรค์ที่ยืนเฝ้าอยู่รายล้อมพระเจ้าและเป็นสภามนตรีของพระองค์

         คีลและเดอลิซช์กล่าวต่อไปว่าคำพหูพจน์สำหรับกษัตริย์ “พลูราลิส มาเจสตาติส” คือ “การอ้างถึงความครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นด้วยฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ในความเป็นพระเจ้าซึ่งพระองค์(พระยาห์เวห์)ครอบครอง” นั่นคือคำพหูพจน์ “เรา” ที่ไม่ได้หมายความว่ามีมากกว่าหนึ่งบุคคลแต่กล่าวถึงความครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น (เปรียบเทียบกับ “ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น”ในโคโลสี 2:9)[36] ของ “ฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ในความเป็นพระเจ้าที่พระองค์ครอบครอง”  แต่หลังจากที่ยอมรับว่า “ไม่มีคำอธิบายอย่างอื่นให้อธิบายได้” ฉะนั้นจึงต้องถือว่าเป็น “คำพหูพจน์สำหรับกษัตริย์” คีลและเดอลิซช์ซึ่งเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตัวยงกล่าวต่อไปว่า “ฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ในความเป็นพระเจ้า” เหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นหลายบุคคล[37]  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพดังนั้นคีลและเดอลิซช์จึงยกระดับ “ฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ในความเป็นพระเจ้า” ให้เป็นหลายบุคคลแม้พวกเขาจะยอมรับว่าจะไม่พบสิ่งนี้ในภาษาฮีบรู ผมไม่มั่นใจการตีความอย่างนี้จนกว่าพวกเขาจะสามารถให้ข้อพระคัมภีร์ที่สนับสนุนสิ่งนี้ได้ (แต่ไม่มีให้ไว้เลย)

         แม้จะมีพื้นหลังของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแต่คีลและเดอลิซช์ก็เข้าใจปฐมกาล 1:26 ในแนวเดียวกันกับนักวิชาการพระคัมภีร์เดิมของสมัยนี้ คือคำกล่าวนั้นจะสามารถเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อแสดงถึงความครบบริบูรณ์ของฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ของพระเจ้าในแง่ของความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

          เนื่องจากปฐมกาล 1:26 ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นพหูพจน์ของหลายบุคคล  ซึ่งเสริมกับการที่ “เอโลฮิม” (Elohim -พระเจ้า) เป็นคำพหูพจน์ในภาษาฮีบรูแต่ถูกแปลว่า “พระเจ้า” ที่เป็นเอกพจน์ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ ทำไมคำพหูพจน์จึงแปลมาเป็นคำเอกพจน์ได้? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันมีความหมายเป็นเอกพจน์  แต่ทำไมจึงเป็นคำพหูพจน์ตั้งแต่แรก? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีความเข้าใจกันว่าเทพทั้งมวลครอบครอง “ฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้” ตามที่คีลและเดอลิซช์พูดถึง  และยังถือกันว่าเหล่าเทพอยู่เหนือมนุษย์และมีอำนาจมากมายหลายเท่า  ดังนั้นชาวยิวและไม่ใช่ยิวจึงพูดถึงเหล่าเทพนี้เป็นพหูพจน์

          เราจะพบตัวอย่างของ “ฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ของพระเจ้า” ในสุภาษิต 8:30  “ข้าพเจ้า​ก็​อยู่​ข้าง​พระ​องค์​แล้ว​เหมือน​อย่าง​นาย​ช่าง ข้าพเจ้า​เป็น​ความ​ปีติ​ยินดี​ประ​จำ​วัน​ของ​พระ​องค์ เปรม​ปรีดิ์​อยู่​เฉพาะ​พระ​พักตร์​พระ​องค์​ทุก​เวลา” (ฉบับมาตรฐาน 2011) ที่คำว่า “พระองค์” และ “ของพระองค์” กล่าวถึงพระยาห์เวห์   แต่ตรงนี้ใครเป็นคนพูด? ในข้อนี้ “ข้าพเจ้า” ผู้ที่พูดคือปัญญา  พระปัญญาของพระยาห์เวห์เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตคือถูกพูดถึงว่าเป็นคน  ปัญญาไม่ได้เป็นคนจริงๆแต่ในหนังสือสุภาษิตได้พูดราวกับว่าปัญญาเป็นคนคนหนึ่ง ในงานของการสร้างนั้น “พระปัญญาอยู่ข้างๆพระองค์” ใครก็อาจกล่าวได้ว่าพระยาห์เวห์กำลังพูดคุยหรือหารือกับพระปัญญาของพระองค์เอง  พระปัญญาถูกพูดถึงเหมือนกับว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่ง

พระวิญญาณของพระเจ้ารู้ความคิดของพระเจ้า

          เราจะเห็นความเกี่ยวข้องกันในเรื่องนี้จาก  1 โครินธ์  2:10-11 ซึ่งกล่าวสิ่งที่สำคัญมากและผมก็แปลกใจที่ไม่มีนักวิชาการพระคัมภีร์คนไหนเอ่ยถึงเลย

....พระ​เจ้า​ได้​ทรง​สำ​แดง​สิ่ง​เหล่า​นี้​กับ​เรา​ทาง​พระ​วิญ​ญาณ เพราะ​ว่า​พระ​วิญ​ญาณ​ทรง​หยั่ง​รู้​ทุก​สิ่ง​แม้​เป็น​ความ​ล้ำ​ลึก​ของ​พระ​เจ้า อัน​ความ​คิด​ของ​มนุษย์​นั้นจะ​มี​ใคร​หยั่ง​รู้​ได้​ถ้า​ไม่​ใช่​จิต​วิญ​ญาณ​ของ​มนุษย์​คน​นั้น​เอง พระ​ดำริ​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ไม่​มี​ใคร​หยั่ง​รู้​ได้​เว้น​แต่​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​เช่น​กัน (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ไม่ใช่แต่พระปัญญาของพระเจ้าเท่านั้นที่ถูกพูดถึงแต่พระวิญญาณของพระเจ้าก็ยังถูกพูดถึงอย่างน่าสนใจทีเดียว  เปาโลพูดว่าพระเจ้าได้ทรงเผยสิ่งนี้กับเรา “โดยพระวิญญาณของพระองค์”  สำหรับผู้เชื่อตรีเอกานุภาพแล้วเห็นว่าพระวิญญาณเป็นอีกบุคคลหนึ่ง  แต่จากพระคำตรงนี้เราไม่ได้เห็นเช่นนั้น    เปาโลกล่าวว่าพระ​วิญ​ญาณ​​หยั่งรู้​​ทุก​สิ่งแม้​เป็น​ความ​ล้ำ​ลึก​ของ​พระ​เจ้า  “อัน​ความ​คิด​ของ​มนุษย์​นั้น จะ​มี​ใคร​หยั่ง​รู้​ได้​ถ้า​ไม่​ใช่​จิต​วิญ​ญาณ​ของ​มนุษย์​คน​นั้น​เอง พระ​ดำริ​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ไม่​มี​ใคร​หยั่ง​รู้​ได้​เว้น​แต่​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​เช่น​กัน”

          เปาโลกำลังให้ภาพเปรียบเทียบระหว่างจิตวิญญาณของมนุษย์กับพระวิญญาณของพระเจ้า  ก็เหมือนอย่างที่จิตวิญญาณของมนุษย์เข้าใจความคิดของเขาเอง ดังนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าก็เข้าใจความคิดของพระองค์เองเช่นกัน  พระ​วิญ​ญาณ​​หยั่งรู้​ทุก​สิ่งแม้​แต่ความ​ล้ำ​ลึก​ของ​พระ​เจ้า  ก็เหมือนกับที่จิตวิญญาณของเราหยั่งรู้สิ่งลึกๆภายในตัวเรา  จิตวิญญาณของเราไม่ได้เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่แยกต่างหากจากเราแต่เป็นส่วนที่สำคัญของตัวเรา จิตวิญญาณของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์อยู่   ถ้าเอาจิตวิญญาณไปจากเราเสียเราก็ไม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป  เมื่อมนุษย์ตายไป “จิตวิญญาณของเขาก็กลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานจิตวิญญาณให้มานั้น” (ปัญญาจารย์ 12:7)

         คุณเคยพูดคุยกับตัวเองไหม? คนจะชอบพูดกับตัวเองตลอดเวลา การคิดก็คือกระบวนการที่คุณพูดกับตัวเองและสื่อสารกับตัวเอง “ฉันจะไปไหนดี? ฉันจะซื้ออะไรดี?” เมื่อคุณกำลังคิดนั้นคุณกำลังพูดกับตัวเอง

         ในอุปมาฟาริสีกับคนเก็บภาษี “คน​ฟา​ริสี​นั้น​ยืนนึก​ในใจ​​ของตนอธิษ​ฐาน​ว่า ‘ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​องค์​ที่​ข้า​พระ​องค์​ไม่​เหมือน​คน​อื่น​ซึ่ง​เป็น​คน​ฉ้อ​โกง ​เป็นคน​อธรรม และเป็น​คน​ล่วง​ประ​เวณี และ​ไม่​เหมือน​คน​เก็บ​ภาษี​คน​นี้’” (ลูกา 18:11 ฉบับมาตรฐาน 2011) คนฟา​ริสี​กำลังอธิษ​ฐานกับตัวเอง  ทำให้ตัวเขาเป็นพระเจ้าเสียเองอย่างได้ผล

         ในอุปมาบุตรน้อยหลงหาย บุตรที่หลงระเริงคนนี้เมื่อ​เขา​คิดขึ้นได้จึง​กล่าว​ว่า “บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน  พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ  แต่นี่เรากำลังอดตาย!” (ลูกา 15:17 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เขากำลังพูดกับตัวเองถึงเรื่องต่างๆ อย่างเช่น การกินอาหารหมูและการกลับไปหาบิดาของเขา

         ดังนั้นการที่พระเจ้าจะพูดกับตัวพระองค์เองจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร นักวิชาการพระคัมภีร์บางท่านกล่าวว่าในปฐมกาล 1:26 นั้นพระเจ้ากำลังทรงหารือกับวิญญาณของพระองค์เองถึงเรื่องสำคัญในการสร้างมนุษย์  พระเจ้าไม่ได้แค่ตรัสว่า “เราจะสร้างมนุษย์” พระองค์ได้ทรงดำริอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการสร้างมนุษย์ และได้ทรงสื่อสารกับตัวพระองค์เองที่อยู่ข้างในตัวของพระองค์เอง

  เมื่อคุณกำลังพูดคุยกับตัวเองคือตัวคุณพูดกับจิตวิญญาณของคุณ คือที่ทั้งสองส่วนของคุณมีส่วนร่วมกัน เมื่อมีการพูดต่อไปเรื่อยๆจากที่มีสองและแน่นขึ้นเป็นสาม เมื่อมีฝ่ายที่สามเข้ามาร่วมด้วยก็จะมีความสับสนเพราะคุณก็จะพูดกับอีกสองส่วนที่อยู่ภายในคุณ นี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจิตเภทเมื่อพวกเขาพูดกับคนนี้ทีคนโน้นทีอยู่คนเดียว

         เท่าที่ผมรู้นั้นไม่มีใครที่อธิบายปฐมกาล 1:26 แล้วเคยอ้างอิง 1 โครินธ์ 2:10-11 ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ที่จะอธิบายสุภาษิต 8:30 ด้วย  ในการพูดคุยกับพระปัญญาของพระองค์(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เอง)นั้น พระเจ้าทรงกำลังพูดคุยกับตัวของพระองค์เอง เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราได้เอาความคิดของเรามาใส่ในปฐมกาล 1:26 แม้ว่าจะมีไม่มีข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์เดิมถึงบุคคลที่สองแม้แต่ข้อเดียว  นี่คือข้อเท็จจริงที่นักวิชาการทั้งหลายตระหนักดี

การคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวหรือแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์

       คำเฉลยที่จะชนะความสับสนนี้ก็คือการบัญญัติศัพท์ของคุณไปเลย ไม่เช่นนั้นคุณก็จะลงเอยด้วยการบิดเบือนความคิดให้เป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็พูดอย่างกำกวมที่เดี๋ยวคุณก็หมายถึงอย่างนี้ เดี๋ยวต่อมาคุณก็หมายถึงอย่างโน้น  การทำให้หมดจากความสับสนและความคิดเห็นที่ผิดก็คือเมื่อคุณเห็นคำ “พระเจ้า” ที่ไหนในพระคัมภีร์ก็ให้อ่านเป็น “พระเจ้าพระยาห์เวห์”

         เราอ่านพระคำของพระเจ้าหนึ่งในสองวิธีนี้คือ อ่านแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว หรือไม่ก็แบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์   ชาวยิวที่ยึดมั่นก็จะคิดถึงพระเจ้าที่มีเพียงองค์เดียวแต่คนต่างชาติไม่มีปัญหากับการคิดว่าพระเจ้ามีหลายองค์  ถ้าคุณคิดถึงพระเจ้าแบบเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์คุณก็จะคิดว่าพระเจ้าหมายถึงองค์นี้และต่อมาก็หมายถึงองค์โน้น ในความเชื่อแบบตรีเอกานุภาพนั้นมีพระเจ้าพระบิดา (พระเจ้าพระองค์แรก) พระเจ้าพระบุตร (พระเจ้าพระองค์ที่สอง) และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ (พระเจ้าพระองค์ที่สาม) ไม่ว่าจะนิยามแบบไหนมันก็หมายความถึงการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ซึ่งแม้แต่เหล่านักวิชาการที่เชื่อในตรีเอกานุภาพก็ตระหนักดี  ผมเคยพูดถึงหนังสือที่ชื่อว่า “ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว”[38] ซึ่งมีบทวิจารณ์ความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่แท้จริงจากผู้สนับสนุนความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ตัวของพวกเขาเองเข้าใจเอาว่าเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว

  อย่าลืมว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่แท้จริง  นี่คือคำกล่าวจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองโดยตรงว่า  “และ​นี่​แหละ​คือ​ชีวิต​นิรันดร์  คือ​การ​ที่​พวก​เขา​รู้​จัก​พระ​องค์ผู้​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​เที่ยง​แท้​องค์​เดียว  และ​รู้​จัก​พระ​เยซู​คริสต์​ที่​พระ​องค์ทรง​ใช้​มา” (ยอห์น 17:3 ฉบับมาตรฐาน  2011)  ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามพระเยซูเราจึงควรจะเปลี่ยนมาฟังพระองค์มากที่สุด   ภาษากรีกกล่าวว่า

     ch3 4      (และ​นี่​แหละ​คือ​ชีวิต​นิรันดร์)

      ch3 5                      (คือการ​ที่​พวก​เขา​รู้​จัก​พระ​องค์)

         ch3 6             (​ผู้ทรงเป็นพระ​เจ้า​ที่​แท้​องค์​เดียว)

         ch3 7 (และ​พระ​เยซู​คริสต์​ที่​พระ​องค์​ทรง​ใช้มา)

          คำสำคัญสองคำที่ขีดเส้นใต้ไว้ คำแรกคือ “เดียว” หรือ “ch3 8-โมนอส” (“ch3 9-โมนอน” เป็นกรรมการก[39]ของ  “ch3 10-โมนอส”) คำที่สองคือ “พระเจ้า” หรือ “ch3 11-เธ-ออส” (“ch3 12-เธ-ออน” เป็นกรรมการกของ “ch3 13-เธ-ออส”) เมื่อเอาสองคำมาประสมกัน “monos + theos”(โมนอส + เธ-ออส) เราจะได้คำ “monotheism” (หรือความเชื่อว่าพระเจ้ามีองค์เดียว) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคงคาดหวังจากพระเยซูผู้ที่เชื่ออย่างเคร่งครัดว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว

          ถ้าคุณคิดอย่างผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเหมือนที่พระเยซูทรงคิด คุณจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดกับการเชื่อพระเจ้าในตรีเอกานุภาพ เราไปไม่ถูกทางเพราะเรากำลังคิดอย่างเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์  คุณสามารถจะอ่านยอห์น 1:1 ได้ทั้งแบบที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวหรือแบบที่เชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์  นี่ไม่ใช่เรื่องของการตีความแต่เป็นวิธีที่คุณคิด  ถ้าคุณคิดแบบเฉพาะเจาะจงคุณจะได้ข้อสรุปที่สอดคล้องกัน ยอห์น 1:1 กล่าวว่า “ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่  และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​” อยู่กับพระยาห์เวห์หรือว่าอยู่กับคนอื่น?  “และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​” เป็นพระยาห์เวห์หรือหรือว่าเป็นคนอื่น?  ถ้าคุณบอกว่าเป็น “คนอื่น” นั่นจะเป็นความคิดอย่างที่เชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์เพราะตอนนี้ “พระเจ้า” จะหมายถึงผู้นี้แต่ต่อมา “พระเจ้า” จะหมายถึงอีกผู้หนึ่ง

       เราไม่รู้จักการคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว เพราะเราได้ถูกฝึกให้คิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์  แต่ถ้าคุณอ่านยอห์น 1:1 แบบที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  “พระเจ้า” จะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอเหมือนกับที่พระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่หมายถึง  แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำตามแนวคิดของการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์  ตอนนี้ “พระเจ้า” จะหมายถึงอย่างนี้แต่ต่อมา “พระเจ้า” ก็หมายถึงอีกอย่างหนึ่ง  ข้อผิดพลาดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของการตีความแต่เป็นเรื่องของการคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์  และก็เป็นอย่างนั้นจากอีกหลายข้อในพระคัมภีร์ไม่ใช่เฉพาะแต่ในยอห์น 1:1 เท่านั้น  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ครอบงำคุณเมื่อคุณคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์    แต่เมื่อคุณคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  คุณก็ไม่มีโอกาสที่จะอ่านว่าเป็นพระองค์ที่สองตรงข้อความนั้น

       พระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้หลายอย่างดังที่คีลและเดอลิซช์สังเกตการณ์ไว้ได้ถูกต้องและดังที่พระคัมภีร์เดิมได้ให้ภาพพระองค์ไว้  ใครๆก็อาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงครองครองพระปัญญาของพระองค์ ทรงครอบครองพระคำของพระองค์ และครอบครองพระวิญญาณของพระองค์  ยังมีพระลักษณะอื่นอีกมากแต่ที่กล่าวมานี้เป็นพระลักษณะหลักๆ แต่ก็มีคริสเตียนบางคนที่ถึงแม้จะยอมรับว่าพระยาห์เวห์ทรงมีฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้หลายอย่างแต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นว่า “พระคำ” (พระวาทะ)[40] (เช่นเดียวกับพระปัญญาหรือพระวิญญาณ) ก็เป็นส่วนหนึ่งของฤทธิ์อำนาจและแก่นแท้ของพระเจ้า   ถ้าเรามีคำแบบเดียวกันนี้คือ “ใน​ปฐม​กาล​พระ​วิญญาณทรง​ดำรง​อยู่ และพระวิญญาณทรงอยู่กับพระเจ้า  และพระวิญญาณทรงเป็นพระเจ้า” คุณจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจเรื่องนี้ไหม? คุณจะไม่มีปัญหาถ้าคุณรู้ว่าพระวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของพระเจ้า  แต่ถ้าคุณคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ละก็ เมื่อไรที่คุณเห็นคำว่า “พระวาทะ” (พระคำ)[41] ในยอห์น 1:1 คุณก็จะคิดถึงอีกพระองค์หนึ่งทันที

     “พระวาทะ” (“Word” หรือ “พระคำ”) แสดงถึงการเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองโดยพระวาทะของพระองค์ “พระวิญญาณ” แสดงถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าในการดำเนินการ “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่โดยวิญญาณของเรา” (เศคาริยาห์ 4:6 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) “พระปัญญา” ของพระเจ้าแสดงถึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งของพระเจ้าในวิธีที่พระองค์ทรงจัดระบบระเบียบและวางโครงสร้างทุกสิ่ง

       ทั้งสามส่วนนี้มีส่วนร่วมในการสร้าง  พระวิญญาณมีส่วนร่วม  พระวาทะมีส่วนร่วม และพระปัญญาของพระเจ้าก็มีส่วนร่วม  ทั้งหมดมีส่วนร่วมในการสร้างเพราะส่วนเหล่านี้อันประกอบด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า  การเผยพระองค์เองของพระเจ้า  และแผนการและความเข้าพระทัยของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการทำการสร้าง

         ถ้าเราเข้าใจหลักการนี้ เราก็จะไม่ตกในสภาพที่ผิดพลาดในการเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์   ยอห์น 1:14 (“พระ​วาทะทรงเกิดมาเป็น​มนุษย์  และ​ทรง​อยู่​ท่าม​กลาง​เรา”) บอกเราว่า ณ เวลานี้พระเจ้าทรงเผยพระองค์เองในร่างของมนุษย์ พระเจ้าทรงเผยพระองค์เองในกายที่มีเนื้อหนัง  ไม่ว่าจะในพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่คำ “เนื้อหนัง” จะระบุถึงชีวิตของมนุษย์  พระยาห์เวห์ได้เสด็จเข้ามาในชีวิตของมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางพวกเราและเราได้เห็นพระสิริของพระองค์  ในข้อความภาษากรีก “ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเรา” เป็นคำเจาะจง “ch3 14” หมายถึง “ตั้งพลับพลาอยู่” (จากคำกริยาว่า “ch3 15”-สเคโนโอ) ซึ่งหมายความว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซูแบบเดียวกันกับที่พระองค์สถิตอยู่ในเต็นท์นัดพบ  พระองค์ทรงตั้งเต็นท์[42]อยู่ท่ามกลางเราและทรงตั้งพลับพลา[43]อยู่ท่ามกลางเรา

เมื่อคุณเข้าใจยอห์น 1:1 แล้วคุณจะเข้าใจข้อ 14   ทำไมเราจะต้องนำเอาอีกพระองค์เข้ามาด้วยในเมื่อพระยาห์เวห์เองที่เสด็จเข้ามาในโลก? ที่สรุปเอาว่าผู้ที่เสด็จมาไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่เป็นผู้อื่นนั้นเรามีกรอบความคิดจากไหน?  พระองค์ที่สองนี้มาจากไหนหรือ?  พระองค์ที่สองนี้ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์แน่นอน

  เราได้ความคิดที่ผิดๆนี้มาอย่างได้อย่างไร และผมได้ความคิดที่ผิดๆนี้มาได้อย่างไร? ผมรู้แต่วิธีที่จะคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้าประกอบด้วยหลายพระองค์   แต่โดยพระคุณของพระเจ้าในที่สุดผมก็เห็นความจริงเมื่อผมทูลพระเจ้าว่า “ขอทรงเปลี่ยนความคิดจิตใจของข้าพระองค์ใหม่ และขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์คิดอย่างที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์คิดด้วยเถิด” (เปรียบเทียบกับการรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ในโรม 12:2)  เราจำเป็นต้องคิดอย่างที่พระคัมภีร์สอน  และอย่างที่ธรรมาจารย์ในมาระโก 12 เข้าใจเป็นอย่างดีว่า พระ​เจ้า​มี​แต่​องค์​เดียว นอก​จาก​พระ​องค์​แล้ว ไม่​มี​พระ​เจ้า​อื่น​อีก​เลย  คำกล่าวนี้ไม่เปิดช่องที่จะส่งพระเจ้าพระองค์อื่นอีกให้เข้ามาในโลกนี้  และถ้าเราจะยังคงยืนยันว่ามีผู้อื่นอีกนอกเหนือจากพระยาห์เวห์ที่เข้ามาในโลกนี้  ก็จะเหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ  พระเจ้าได้ทรงส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมา  แล้วเราพร้อมหรือไม่ที่จะบอกว่าพระเยซูทรงเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่ง? ยอห์นไม่เคยบอกว่าพระวาทะคือทูตสวรรค์  พระวาทะก็คือพระยาห์เวห์เอง  ซึ่งเป็นความจริงที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าการส่งใครอื่นเข้ามาในโลกเสียอีก

         ที่จริงถ้าหากพระยาห์เวห์ส่งผู้อื่นเข้ามาในโลกก็น่าจะเป็นปัญหาเพราะว่าพระบิดาจะเป็นผู้ที่อยู่เฉยๆในขณะที่พระองค์ส่งพระบุตรมาตายเพื่อเรา พระบุตรทำทุกอย่างแล้วพระบิดาทำอะไรบ้าง?  พระองค์อาจจะวางแผนทั้งหมดแล้วคุยกับพระบุตร  หรือพระบุตรอาจทรงอาสาที่จะไปเองแล้วพระบิดาก็ทรงส่งพระบุตรไปพร้อมกับคำอวยพรของพระองค์

     ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบิดาทรงมีส่วนกับความรอดของเราน้อยกว่าพระเยซูผู้ที่ทำทุกสิ่งเพื่อเรา หากเป็นเช่นนั้นจะมีพระบิดาไว้เพื่ออะไร? พระบิดาก็เป็นผู้จัดเตรียมพระบุตรให้นะสิ  นั่นเป็นเรื่องตลกที่น่าเศร้า  เพราะถ้าพระบิดาส่งพระบุตรมาตายในขณะที่พระบิดาทรงอยู่เบื้องหลังเฉยๆ เราก็น่าจะถามว่า “ขอทรงอภัยด้วยพระบิดา  ทำไมพระองค์จึงต้องส่งพระบุตรของพระองค์มา? พระองค์จะเสด็จมาในโลกนี้เองไม่ได้หรือ?”   แต่จากที่เรารู้จักพระลักษณะของพระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิมมาแล้วเราจะรู้ว่าพระองค์จะไม่ส่งใครอื่น  ความจริงที่น่ามหัศจรรย์ก็คือว่าเป็นพระองค์เองที่เสด็จมาช่วยเราให้รอดและนั่นก็ไม่ได้ขึ้นกับว่าจะมีหรือไม่มีพระบุตร  ขนาดบิดาที่เป็นมนุษย์ก็ยังมาเองเสียดีกว่าที่บุตรของตนเองจะมาตาย  พระเจ้าจะทำสิ่งน้อยหน้ากว่าบิดาที่เป็นมนุษย์ไหม?  ถ้าคุณเป็นพ่อหรือแม่ คุณจะส่งลูกของคุณเองให้ตกอยู่ในอันตรายไหม?  ผมแทบจะไม่กล้าคิดอย่างนั้นเลย

     ผมยิ่งคิดเรื่องความเชื่อในตรีเอกานุภาพผมก็ยิ่งเห็นว่าฟังไม่ขึ้น  พระเจ้าของผมไม่ได้เป็นเช่นนั้น  นี่จึงไม่แปลกเลยที่เราไม่กระตือรือร้นที่จะนมัสการพระบิดาถ้าหากพระองค์ปล่อยให้คนอื่นมารับเอาความทุกข์ทรมานทั้งหมดไว้ในขณะที่พระองค์ทรงคอยอยู่เบื้องหลังเพื่อเฝ้าจักรวาลไว้ไม่ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ  พระเจ้าที่เราพูดถึงเป็นพระเจ้าแบบไหนหรือ?  ผมยิ่งคิดผมก็ยิ่งถามตัวเองมากขึ้นว่า  ผมมัวไปเสียเวลาทำอะไรอยู่?  เพราะการคิดแบบเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์นี่เองผมจึงมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงดียอดเยี่ยมเกินกว่าที่เราสามารถจะนึกคิดให้พระองค์เป็นในความเชื่อตรีเอกานุภาพ

ประกาศกับชาวมุสลิม

          มันคงไม่ง่ายที่เราจะประกาศความจริงนี้กับชาวมุสลิมเพราะพวกเขาเองก็มีมุมมองด้วยว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกล ตามจารีตประเพณีของชาวมุสลิมนั้นพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับมูฮัมหมัด[44]โดยตรง  แต่ได้ทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาพูดคุยกับเขา   การเอาชนะอุปสรรคที่จะให้พวกเขาเห็นความจริงนั้นทำได้แต่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างสิ้นเชิงเพื่อชาวมุสลิมจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ไกลเกินจนพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ไม่ได้

         เราไม่เคยจะปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเราเพื่อให้เหมาะกับชาวมุสลิม  และผมก็จะไม่ “โอนอ่อนผ่อนตาม” ผมจะไม่อะลุ้มอล่วยกับถ้อยคำของพระกิตติคุณเพื่อเอาอกเอาใจชาวมุสลิม  ผมไม่ใช่คนที่จะอะลุ้มอล่วยกับอะไรก็ตาม   เราต้องสั่งสอนความจริง

  คุณเห็นว่าสิ่งที่สอนนี้รับยากไหม? ผมก็รับยากเช่นกัน  มันไม่ง่ายสำหรับผมที่มีพื้นหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะยอมรับเรื่องนี้ซึ่งยากพอๆกับชาวมุสลิมที่มีพื้นหลังมุสลิมของพวกเขา พวกเขาได้เปรียบที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยในเมื่อพวกเขายังฝังแน่นกับความคิดที่พระเจ้าทรงอยู่ไกลเกิน  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าของพวกเขาไม่ได้ตรัสกับมูฮัมหมัดโดยตรง  แต่ต้องส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปพูดกับเขา  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชาวมุสลิมจะหลุดจากการคิดแบบนี้นอกเสียจากว่าพวกเขาอยากจะฟังความจริง

  ผมต้องการพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่า ผมไม่ได้มาเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเพราะจะให้ชาวมุสลิมยอมรับพระกิตติคุณได้ง่ายขึ้น อันที่จริงการเปิดเผยให้เห็นว่าพระยาห์เวห์เองได้เสด็จเข้ามาในโลกไม่ได้ทำให้งานนี้ง่ายขึ้นสำหรับเราเลย  ความจริงที่พระยาห์เวห์ได้เสด็จมาในโลกนี้จะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่ชาวมุสลิมจะยอมรับ  แต่พระเจ้าทรงมีคนของพระองค์ที่จะฟังความจริงและผมคิดว่าคุณเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือก  ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะยังคงอยู่กับเราที่นี่  พวกคุณก็คงจะหายหน้ากันไปนานแล้วหลังจากที่ได้ฟังและตัวคุณเองต้องต่อสู้กับคำสอนในเรื่องนี้ มันยากสำหรับตัวผมเองด้วยที่จะยอมรับ  แต่ความจริงก็คือความจริง ถ้าหากสิ่งที่เรากำลังสอนไม่เป็นความจริงก็จงกลับไปทางของคุณเถอะแล้วไม่ต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ แต่ถ้ามันเป็นความจริง  เราก็ต้องทำตามแม้ว่าจะมีผลลัพธ์ตามมามากแค่ไหนก็ตาม

ความ​ล้ำ​ลึก​นั้น​ยิ่ง​ใหญ่มาก

            เปาโลกล่าวว่า “เรา​ต้อง​ยอม​รับ​ว่า​ความ​ล้ำ​ลึก​แห่ง​ความ​เชื่อ​ของ​เรา​นั้น​ยิ่ง​ใหญ่​มาก คือ​ว่า พระ​องค์​ทรง​ปรา​กฏ​เป็นมนุษย์[45]  ทรง​ได้​รับ​การ​พิสูจน์​ว่า​ชอบ​ธรรมโดย​พระ​วิญ​ญาณ ทรง​ปรา​กฏ​ต่อ​เหล่า​ทูต​สวรรค์ ทรง​ได้​รับ​การ​ประ​กาศ​ออก​ไป​ยัง​บรร​ดา​ประ​ชา​ชาติ ทรง​ได้​รับ​การ​เชื่อ​วางใ​จ​จาก​คน​มาก​มาย​ใน​โลก และ​ทรง​ถูก​รับ​ขึ้น​ไป​ด้วย​พระ​สิริ” (1 ทิโมธี 3:16  ฉบับมาตรฐาน 2011)

         คุณกำลังอ่านข้อนี้อย่างที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวหรืออย่างที่เชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์?  ใครคือ “พระองค์” ที่ปรากฏในมนุษย์?   ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคุณจะพูดว่าคือ “พระคริสต์”  ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นความล้ำลึกที่ตรงไหน?  แต่ถ้าผู้ที่เสด็จมาในมนุษย์เป็นพระยาห์เวห์นั่นก็จะเป็นความ​ล้ำ​ลึก​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​มากอย่างแท้จริง

        การพิสูจน์ในการตีความว่าใครคือ “พระองค์” ผู้ที่กำลังถูกกล่าวถึงนั้น เราต้องย้อนไปข้อก่อนหน้านี้หนึ่งข้อ  “ถ้า​ข้าพ​เจ้า​มา​ช้า ท่าน​ก็​จะ​ได้​รู้​ว่า​ควร​ประ​พฤติ​อย่าง​ไร​ภาย​ใน​ครอบ​ครัว​ของ​พระ​เจ้า ซึ่ง​เป็น​คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์  เป็น​หลัก​และ​เป็น​รากฐาน​แห่ง​ความ​จริง” (1 ทิโมธี 3:15 ฉบับมาตรฐาน 2011)  ตรงนี้ “พระเจ้า” ถูกกล่าวถึงสองครั้งแต่ไม่มีการอ้างถึงพระคริสต์   เพราะฉะนั้น “พระองค์” ในข้อ 16 จึงอ้างถึงพระเจ้า  เราเห็นการอ้างถึงพระเยซูสามข้อก่อนหน้านี้แต่ไม่มีการอ้างถึงพระเยซูในบริบทตรงๆตรงนี้ ความล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่และน่ามหัศจรรย์ก็คือว่า พระเจ้าเองคือพระยาห์เวห์ได้ถูกเปิดเผยให้เห็นในมนุษย์

ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

          ผมขอย้ำอีกครั้งว่าความกังวลของเราไม่ใช่เรื่องของวิชาการและก็ไม่ใช่เรื่องของศาสนศาสตร์  สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ แล้วจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?

         เราเพิ่งจะอ่านเกี่ยวกับ “คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์” (1 ทิโมธี 3:15) เราควรจะเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้​ทรง​พระ​ชนม์หรือเป็นคริสตจักรของพระยาห์เวห์ผู้​ทรง​พระ​ชนม์  คริสตจักรเป็นทั้งพระวิหารของพระเจ้าและพระกายของพระคริสต์  เราไม่ได้พูดถึงคริสตจักรว่าเป็น “พระกายของพระเจ้า” แต่เป็น “พระกายของพระคริสต์” เพราะพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพระกาย  เราจะบอกเอกลักษณ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ก็จากส่วนศีรษะของเขา  ศีรษะที่ไม่ใช่จากเส้นผมหรือใบหูแต่จากใบหน้าของเขา  ผมจำคุณได้จากใบหน้าของคุณและคุณก็รู้จักผมจากใบหน้าของผม  เราจำพระกายของพระคริสต์ได้ก็จากศีรษะหรือใบหน้า  แต่เมื่อพูดถึงพระวิหารเราจะพูดว่า “พระวิหารของพระเจ้า” มากกว่า “พระวิหารของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 3:17)[46] เราเป็นคริสตจักรและพระวิหารของพระยาห์เวห์ผู้ทรงพระชนม์

  ผมมีความกังวลอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงานของเรากับพระเจ้า ผมไม่เห็นทางที่คุณจะมีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ถ้าพระองค์ผู้ที่คุณอธิษฐานด้วยและนมัสการอยู่คือพระเยซู คุณได้กันพระยาห์เวห์ออกไปจากชีวิตของคุณ  ออกไปจากความคิดของคุณและออกไปจากสาระบบของคุณ   เช่นนี้แล้วคุณจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้อย่างไร?

      ผมเกรงว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้แยกคุณออกจากการมีชีวิตที่สัมพันธ์กับพระเจ้า คุณจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตคุณ และฉะนั้นคุณก็ไม่สามารถจะรักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด สุดกำลังของคุณได้?   คุณได้สับเปลี่ยนบุคคลอื่นซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์มาแทนที่พระยาห์เวห์พระเจ้า  และคุณก็ทำอย่างนั้นแม้ว่าพระเยซูไม่ได้ทรงต้องการให้คุณทำ เราประกาศว่าพระเยซูเป็นองค์เจ้านายและอาจารย์ของเรา แต่เราก็ไม่ได้ทำอย่างที่พระองค์ตรัส  ในข้อสรุปของคำเทศนาบนภูเขาพระเยซูตรัสว่า “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น”[47]   เราคิดเอาง่ายๆว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนอื่นแต่พระองค์ไม่ได้พูดกับเรา เราสั่งสอนถ้อยคำเหล่านี้กับคนอื่นแต่ตัวเรากลับเป็นคนที่พูด “องค์ผู้เป็นเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า” แต่ไม่ทำตามที่พระองค์บอกนั้นเสียเอง  และพระเยซูทรงสอนอะไรเราหรือ? สิ่งที่พระองค์สอนก็คือคุณต้องรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของคุณจนหมดหัวใจ หมดจิตวิญญาณ หมดความคิด และหมดกำลังของคุณ

เราเป็นทางนั้น

          เป็นที่น่าสังเกตว่าหลายคนยกอ้างยอห์น 14:6  “เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง และ​เป็น​ชีวิต” เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แต่คุณเห็นคำ “พระเจ้า” ที่ตรงไหนในข้อนี้ไหม?  เราอ่านตามความคิดของเราโดยที่ไม่มีในข้อความ   คำกล่าวว่า “เรา​เป็น​ทาง​นั้น” พิสูจน์ได้อย่างไรว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า? ทางจะชี้ให้คุณไปยังจุดหมายปลายทางแต่ไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางเสียเอง  พระเยซูทรงเป็นทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้น  ความจริงและชีวิตก็ตามมาพร้อมกับทาง  เพราะจะอธิบายว่าเป็นทางแบบไหน  ซึ่งก็คือเป็นทางแห่งความจริง ทางแห่งชีวิต

         เวลาผมขับรถจากเมืองมอนทรีออลไปโตรอนโต  ผมจะใช้ทางหลวงสายทรานส์แคนาดาทุกครั้ง ผมน่าจะหยุดกลางทางวันไหนสักวัน จะได้ลงไปกอดทางหลวงนี้เสียหน่อย!  ผมรักทางสายนี้!  แม้คุณจะบอกผมว่าทางนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะพาไปถึงโตรอนโต  ผมก็จะบอกว่า “ลืมโตรอนโตไปได้เลย  ผมรักทางนี้มาก ผมจะตั้งเต็นท์บนทางสายทรานส์แคนาดาอยู่ตรงนี้แหละ!”  คุณก็คงคิดว่าผมเสียสติไปแล้วแน่ๆ!

         เรามักจะหลงประเด็นได้ง่ายๆ  ทางจะนำคุณไปถึงจุดหมายปลายทางของคุณ  เราพูดกันถึงทางแต่เรากลับลืมจุดหมายปลายทางที่ทางจะพาเราไปถึง  พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “เราเป็นจุดหมายปลายทางนั้น” แต่ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น” ที่นำคุณไปถึงพระบิดา พระเยซูเสด็จมาเพื่อจะนำเราไปหาพระเจ้าแต่เราก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งนี้  หลายคนยกข้อยอห์น 14:6 เพื่อพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซู  ผมเองก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน  ข้อนี้จะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูได้อย่างไร? พระเยซูเป็นความจริงและเป็นชีวิต แต่สองสิ่งนี้ตามมาและได้อธิบายถึงทางนั้นว่าเป็นทางของความจริง เป็นทางของชีวิตที่นำเราไปสู่​​ความจริงและสู่ชีวิต

         เมื่อคุณกำลังขับรถกลับบ้าน คุณก็ลองหยุดอยู่บนทางหลวงและหยุดอยู่ตรงนั้นเพราะทางมีความสำคัญมากกว่าจุดหมายปลายทาง!  เราคงนึกภาพออกว่าพระเยซูคงจะตรัสว่า “น่าสลดใจเหลือเกิน นี่หรือสาวกของเรา?  เราไม่ได้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนหรอกหรือว่าเราเป็นทางนั้นที่จะไปถึงพระยาห์เวห์?”

         เราไม่ได้กำลังบอกว่าพระเยซูไม่สำคัญ พระองค์ทรงมีความสำคัญมากเพราะเราต้องการทางที่จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางของเรา ผมต้องการทางสายทรานส์แคนาดาที่จะพาผมไปถึงโตรอนโต แต่เราต้องไม่สับสนเรื่องทางกับจุดหมายปลายทาง ไม่เช่นนั้นเราจะห่างประเด็นจนผิดพลาดไป ถ้าเราไม่ได้มีชีวิตที่สัมพันธ์กับพระยาห์เวห์เราจะตำหนิพระเยซูไม่ได้เพราะพระองค์ได้ให้หนทางกับเราแล้วที่จะมาถึงพระบิดาได้

  ขณะที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจและตาของเรา เราก็จะดูจากพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆเพื่อให้เห็นความจริง ในเวลาเดียวกันเราจะได้เห็นถึงความโง่เขลาของวิธีการคิดแบบเก่าของเรา

เราเป็น

          หลายคนตีความหมายคำ “เราเป็น” (I am) ในยอห์น 14:6  ว่าเป็น “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” ที่เป็นคำกล่าวของพระยาห์เวห์   คำ “เราเป็น” (“I am”) มีปรากฏหลายครั้งมากในพระกิตติคุณยอห์น แต่เราได้เลือกเอามาสองสามข้อตามใจชอบตามความประสงค์ของเราเอง  ที่ผ่านมาผมก็ทำเช่นนั้นด้วยจนกระทั่งผมได้เห็นว่ามีคำ “เราเป็น” (“I am”) ถึงสี่สิบครั้งในพระกิตติคุณยอห์น  และมีหนึ่งครั้งที่ผู้พูดเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พระเยซู  หลังจากที่ชายตาบอดได้รับการรักษาจากพระเยซู  มีคนถามเขาว่าเขาคือคนที่พวกเขารู้จักมาตลอดหรือไม่  เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็น” (“I am” ยอห์น 9:9 “ข้าพเจ้าคือคนนั้น”)  ในภาษากรีกคำทั้งหมดนี้คือคำเดียวกันเลยกับ “เราเป็น” (“I am”) ที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น”  แต่ถ้าเราจะเอาตามข้ออ้างของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็น่าจะเข้าใจได้อย่างเดียวกันว่าชายตาบอดผู้นี้กำลังอ้างความเป็นพระเจ้าเช่นกัน  คำสอนของความเชื่อตรีเอกานุภาพไม่เห็นเหตุผลอย่างอื่นที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น” นอกจากจะเป็นการอ้างถึงความเป็นพระเจ้า  เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว “เราเป็น” หมายความแน่ๆว่าพระเยซูต้องเป็นพระเจ้า แต่กลับไม่มีใครเอ่ยอะไรเลยถึงชายตาบอดคนนี้  คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้ภาษากรีก แต่ถ้าพวกเขาสามารถตรวจสอบจากภาษากรีกได้พวกเขาก็จะเห็นว่าเป็นคำ “เราเป็น” คำเดียวกันเลยคือ “ch3 16”  (คำกล่าวมีว่า ch3 17 – ตัวเขาเองพูดว่า “เราเป็น”) พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆจะแปลคำนี้ว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนนั้น” (“I am the man”)  แต่ตามจริงแล้วภาษากรีกกล่าวตรงตัวว่า “ข้าพเจ้าเป็น” (“I am”) แทนที่จะเป็น “ข้าพเจ้าเป็นคนนั้น” (“I am the man”)

         คริสเตียนทั้งหลายใช้ “เราเป็น” เป็นคำเรียกพระเจ้าในตรีเอกานุภาพเพราะมันคล้ายกับคำที่เราเห็นในอพยพ 3:14 ที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เรา​เป็น​ผู้​ซึ่ง​เรา​เป็น”  แต่ถ้าคุณดูภาษากรีกคุณจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดว่า “เราเป็น” เสียทีเดียว คำพูดที่ตรงกับคำกรีกคือ “ch3 18”  แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “เรา​เป็น​อย่างที่​เรา​เป็น”  ซึ่งแตกต่างจาก “เราเป็น” (ch3 16) ธรรมดาๆในยอห์น 14:6

         คำ “เราเป็น” ไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระเยซู  สิ่งสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ตรงที่ “เราเป็น” แต่อยู่ที่ “เราเป็น” ตรงนี้กล่าวถึงอะไร   ในอพยพ 3:14 “เราเป็น” (ch3 16) มาด้วยกันกับ  ch3 19  เราจึงมีคำ “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” หรือ “เราเป็นผู้ที่เป็นอยู่” หรือ “เราเป็นผู้ที่ทำให้สิ่งทั้งสิ้นดำรงอยู่”  แค่คำ “เราเป็น” ในตัวของมันเองแล้วไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าแต่อย่างใด  แต่ “ch3 19” ในส่วนหลังต่างหากที่สำคัญ  ที่จริง “ch3 19”  กลายเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ผู้เปลี่ยนศาสนาที่พูดภาษากรีกเพื่อใช้อ้างถึงพระเจ้าผู้ที่เป็น “เราเป็น”  กับพวกเขาแล้วคำ “เราเป็น” ที่อ้างถึงพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่วนแรก (ch3 16) แต่อยู่ที่ส่วนหลัง (ch3 19)  ทั้งสองส่วนนี้ถูกแปลเป็นคำอังกฤษว่า “เราเป็น” (“I am”)  ในภาษาอังกฤษนั้น “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” ให้ความเข้าใจผิดๆว่า “เราเป็น” ในส่วนแรกเหมือนกันกับ “เราเป็น” ในส่วนหลัง  ขณะที่ตามความจริงแล้วในภาษากรีกทั้งสองคำเป็นคำที่ต่างกัน

        รากของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อความ  แต่อยู่ที่วิธีที่เราอ่านข้อความตามความคิดของเรา ในพระกิตติคุณยอห์นนั้น “เราเป็น” ไม่ได้หมายความเกินจากความหมายแบบธรรมดา  ในภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นนั้นสิ่งที่เน้นใน “เราเป็นทางนั้น” ไม่ได้อยู่ที่ “เราเป็น” สักเท่าไหร่แต่อยู่ที่ “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”  เมื่อคุณเน้นสิ่งที่ผิดคุณจะได้ข้อสรุปที่ผิด

        สุดท้ายนี้ผมวิงวอนให้คุณมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเยซูเสด็จมาเพื่อจุดประสงค์ที่จะนำเรามาถึงพระเจ้า  ถ้าเรานำตัวเองมาถึงพระเยซูแทนที่จะมาถึงพระเจ้านั่นคงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุด  พระยาห์เวห์ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้และได้สถิตอยู่ในพระคริสต์ด้วยจุดประสงค์พิเศษ  “พระเจ้าทรงอยู่ในพระคริสต์ ทรงทำให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์”[48]  (2 โครินธ์ 5:19)  แต่เราคิดว่าภารกิจของเราคือนำคนมาหาพระคริสต์ไม่ใช่มาหาพระเจ้า  แม้แต่เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐก็ออกไปนอกลู่นอกทาง แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่พระเยซูเสด็จมาเพราะพระองค์เป็นแค่ทางที่จะไปถึงพระบิดา  พระเยซูไม่ใช่จุดหมายปลายทางและก็ไม่เคยอ้างว่าทรงเป็นจุดหมายปลายทาง  เราตั้งให้พระองค์ทรงเป็นในสิ่งที่พระองค์ไม่ได้เป็นและไม่ต้องการจะเป็น  พระเยซูทรงต้องการให้คุณมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์เองทางพระคริสต์  คุณได้รับการคืนดีกับพระองค์ไหม?  หรือว่าคุณได้รับการคืนดีแต่กับพระคริสต์?  ผมขอวิงวอนให้คุณเข้ามามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและความสัมพันธ์ที่มีชีวิตกับพระยาห์เวห์พระเจ้า


[1] เป็นคำฮีบรู (“1”  อ่านว่า บา-อัล) ใช้เรียกพระของคนคานาอันและคนฟีนิเซีย  คำนี้หมายถึง “ผู้เป็นเจ้านาย  หรือผู้เป็นเจ้าของ หรือพระของคนนอกศาสนา”  (ความหมายจากพจนานุกรมของสตรอง)  พระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกจะใช้ทับศัพท์ว่า “2” (บาอัล) ตามคำฮีบรู พจนานุกรมของสตรองให้ความหมายคำ  “Baal” ว่า “lord” ในข้ออ้างอิงจากโรม 11:4 (ผู้แปล)

[2] Carthage

[3] เป็นคำแปลของคำ “บาอัล” (1) ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู (ผู้แปล)

[4] ภาษาอังกฤษคือคำว่า  “lord  หรือ Lord” ถ้าเป็นคำแรกของประโยค  พยัญชนะต้นก็จะเป็นตัวอักษรใหญ่ตามหลักภาษาอังกฤษ  (ผู้แปล)

[5] ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Sir”

[6] ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Mister”

[7] “Sir”

[8] คือคำ “บาอาลิม” (Baalim) ในภาษาฮีบรู พหูพจน์ของ “บาอัล”

[9] ฉบับมาตรฐาน 2011

[10] Pharaoh Neco

[11] Megiddo

[12] Armageddon

[13] Har-mageddon

[14] “har”

[15] Isa Movement

[16] Theology  แปลตรงตัวว่า  ศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้า หรือการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า (ผู้แปล)

[17] มาระโก 12:29  พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ตอบ​คน​นั้น​ว่า “พระ​บัญ​ญัติ​อัน​ดับ​แรก​คือ โอ ชน​อิส​รา​เอล จง​ฟัง​เถิด องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าของ​เรา​เป็น​พระ​เจ้า​องค์​เดียว (ฉบับมาตรฐาน 2011) –ผู้แปล

[18] อิสยาห์ 9:6  “และ​เขา​จะ​ขนาน​นาม​ของ​ท่าน​ว่า ที่​ปรึก​ษา​มหัศ​จรรย์ พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​มหิทธิ​ฤทธิ์ พระ​บิดา​นิรันดร์ และ​องค์​สันติ​ราช”

[19] คำฮีบรูในอิสยาห์ 9:6 คือ “19” ที่หมายถึง “ผู้นำ ผู้ครอง ผู้ปกครอง” (ผู้แปล)

[20] “Ruler of Peace”

[21] ฉบับมาตรฐาน 2011

[22] ผู้แปลเพิ่มเติมเนื่องจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 ต้นฉบับภาษาอังกฤษคือ “Hear, O Israel: the LORD our God is one LORD”  (ผู้แปล)

[23] ฉบับ 1971 แปลว่า “เป็นพระเจ้าเดียว” (ผู้แปล)

[24] Septuagint

[25] ฉบับภาษาไทยบางฉบับแปลว่า “พระเจ้า” หรือ “พระเยโฮวาห์” แต่ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระยาห์เวห์” ตรงตามต้นฉบับภาษาฮีบรู

[26] ต้นฉบับคือ “Love the LORD your God with all your heart and with all your soul and with all your strength” (Dt.6:5 NIV)

[27] Song of Allegiance  เป็นเพลงแต่งโดย Pastor Eric H. H. Chang (ผู้แปล)

[28] ฉบับมาตรฐาน  2011

[29] ยอห์น 2:21 “แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[30] Anglican churches

[31] “royal we” (จากคำลาติน “พลูราลิส มาเจสตาติส”) คือการใช้สรรพนามพหูพจน์เพื่อกล่าวถึงบุคคลคนเดียวที่อยู่ในตำแหน่งสูงอย่างผู้ครอง เช่น กษัตริย์ สุลต่าน หรือพระสันตะปาปา  เป็นต้น (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย -ผู้แปล)

[32] เกี่ยวกับนิกายหนึ่งของคริสเตียนในนิกายโปรแตสแตนท์  ที่เกิดขึ้นจากการฟื้นฟูศาสนาของกลุ่มเคลื่อนไหวหลายนิกายในศตวรรษที่ 18 และ 19 ในยุโรปและอเมริกา ที่เน้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์ การรับการยกโทษบาปจากพระคริสต์ และการบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ (ข้อมูลจากเว็บไซด์ของคริสเตียนอีแวนเจลลิคอลกลุ่มต่างๆ) –ผู้แปล

[33] Keil and Delitzsch’s multi-volume commentary

[34] คำลาตินที่หมายถึง “คำพหูพจน์สำหรับกษัตริย์” (ผู้แปล)

[35] จากปฐมกาล  1:26  “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเรา   ตามอย่างเรา  เพื่อให้เขาครอบครองปลาในทะเล  นกในอากาศ  สัตว์ใช้งาน  สัตว์ป่าทั้งปวง  และสัตว์ที่เลื้อยคลาน” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[36] โคโลสี 2:9  แปลตรงตัวตามต้นฉบับเดิมว่า “เพราะว่าในพระคริสต์ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์” (ผู้แปล)

[37] “hypostases” คำกรีกที่หมายถึงหลายบุคคล

[38] Monotheism  คือความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว

[39] ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค

[40] “word”

[41] “Word”

[42] “ปักกระโจม” หรือ “อาศัย”

[43] หรือ “ประทับ”

[44] Muhammad

[45] ฉบับภาษากรีกและภาษาอังกฤษแปลว่า “ในเนื้อหนัง” (พระ​เจ้าทรงปรากฏให้เห็นในเนื้อหนัง) –ผู้แปล

ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “พระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง”–ผู้แปล

[46] 1 โครินธ์ 3:16-17  “ท่าน​ทั้ง​หลาย​รู้​แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า​พวก​ท่าน​เป็น​วิ​หาร​ของ​พระ​เจ้า และ​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​สถิต​อยู่​ใน​พวก​ท่าน?  ถ้า​ใคร​ทำลาย​วิหาร​ของ​พระ​เจ้า พระ​เจ้า​จะ​ทรง​ทำ​ลาย​คน​นั้น เพราะ​ว่า​วิหาร​ของ​พระ​เจ้า​เป็น​ที่​บริ​สุทธิ์และ​พวก​ท่าน​เป็น​วิหาร​นั้น”(ฉบับมาตรฐาน 2011)

[47] ลูกา 6:46  ฉบับมาตรฐาน 2011  ต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีกมี  “องค์ผู้เป็นเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า” สองครั้ง  (Why do you call me “Lord, Lord”,  and do not do what I say?) -ผู้แปล

[48] แปลตามต้นฉบับภาษาอังกฤษและภาษากรีก “God was in Christ” (48)

ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “คือพระเจ้าผู้สถิตในองค์พระคริสต์ ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์เอง”

ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “คือ​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​โลก​นี้​คืน​ดี​กับ​พระ​องค์​โดย​พระ​คริสต์” (ผู้แปล)