บทที่ 2

chapter symbol

การมอบมาจากใจ

การมอบจากใจ

     ในบทนี้เราแสดงให้เห็นว่า การมอบมีอยู่ทั่วคำเทศนาบนภูเขา ให้เราเริ่มด้วยคำกล่าวต่อไปนี้ของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า

​มี​คำ​กล่าว​ไว้​ว่า “ผู้ใดหย่าภรรยาของตน ก็ให้เขาทำใบหย่าให้นาง” แต่​เรา​บอกท่าน​​ว่า ทุกคนที่​หย่าร้าง​ภรรยาของตนด้วย​เหตุ​อื่น​ที่นอก​จาก​การ​ผิดศีลธรรมทางเพศ ​ก็​​เท่ากับทำ​ให้​หญิง​นั้น​ล่วง​ประเวณี และ​ผู้ใด​แต่งงานกับหญิงที่​หย่า​​นั้น ผู้​นั้น​ก็ล่วง​ประเวณี​” (มัทธิว 5:31-32 ฉบับ ESV)

     เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการมอบ? การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนที่มอบต่อกัน เมื่อการมอบต่อกันหมดไปจากใจ การหย่าร้างก็มักจะตามมา ในเมื่อการมอบหมดสิ้นไปจากใจแล้ว การแต่งงานก็ไม่มีความหมายอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ คนบางคนแต่งงานเพื่อเงินทอง หรือแต่งเพื่อจะได้สัญชาติ หรือสถานการณ์บังคับ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การแต่งงานจะมีความหมายโดยที่ไม่มีการมอบต่อกันไหม?

     โดยพื้นฐานแล้ว ความบาปคือการไม่ได้มอบ หรือตรงกันข้ามกับการมอบ เป็นการปฏิเสธการมอบต่อบุคคลหนึ่งหรือต่อพระเจ้า นั่นคือสาเหตุที่การล่วงประเวณีจึงทำลายการมอบในการแต่งงาน และนี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสว่า เราเกลียดการหย่าร้าง (มาลาคี 2:16) พระเจ้าทรงเกลียดการไม่มอบต่อกันและกันในการแต่งงาน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเกลียดการที่ประชากรของพระองค์ไม่มอบต่อพระองค์

     ในสวนเอเดน พระเจ้าทรงบอกอาดัมไม่ให้กินผลจากต้นที่ระบุไว้ แต่เหตการณ์ทั้งหมดสรุปด้วยการไม่เชื่อฟังของอาดัม จะมีการเชื่อฟังอย่างแท้จริงโดยไม่มีการมอบได้หรือ? “การเชื่อฟัง” เป็นอีกคำหนึ่งที่จะหมดความหมายเมื่อเอาการมอบออกไป เพราะสิ่งที่จะคงอยู่นั้นไม่ใช่การเชื่อฟังจากใจอีกต่อไป

การมอบในการพูด

     ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังตรัสถึงการหย่าร้างอยู่ และต่อมาก็เป็นการไม่เสียคำพูด คำกล่าวของพระองค์ในคำเทศนาบนภูเขาอาจดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกันจนกว่าคุณจะเห็นว่า คำกล่าวเหล่านั้นทั้งหมดเผยให้เห็นแง่ด้านต่างๆของการมอบ

ท่านก็เคยได้ยินคำกล่าวกับคนในสมัยก่อนว่า “ท่านอย่าสาบานเท็จ แต่จงปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านได้ปฏิญาณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” แต่เราบอกท่านว่าจงอย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะอ้างสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า หรือจะอ้างแผ่นดินโลก เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่วางพระบาทของพระองค์ หรือจะอ้างกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครของกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และอย่าสาบานโดยอ้างศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่สามารถทำให้ผมขาวหรือดำสักเส้นหนึ่งได้ ให้สิ่งที่ท่านพูดมีแค่ “ใช่” หรือ “ไม่” สิ่งใดที่มากกว่านั้นก็มาจากมาร (มัทธิว 5:33-37 ฉบับ ESV)

     ถ้าผมพูดว่า “ใช่” ก็เป็นการที่ผมมอบตัวเองให้กับการทำสิ่งที่ผมได้พูดไปว่าผมจะทำ ถ้าผมพูดว่า “ไม่” ก็เป็นการที่ผมจะไม่ทำสิ่งที่ผมได้พูดไปว่าจะไม่ทำสิ่งนั้น ไม่ว่าจะทางไหนก็มีการมอบ นิสัยของคุณจะต้องแสดงให้เห็นการมอบที่จะยึดมั่นในคำพูดของคุณ ไม่ว่าจะ “ใช่” หรือจะ “ไม่” โดยไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำสาบาน การสาบานไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้กับสิ่งที่พูดไปแล้วเลย การสาบานมักกล่าวขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่จะโน้มน้าวให้อีกคนเชื่อว่า คุณกำลังหมายความอย่างที่คุณได้พูด แต่โดยพื้นฐานแล้ว นิสัยของคุณจะต้องเป็นอย่างที่คุณหมายถึงตามที่คุณพูดเสมอ ไม่ว่าจะสาบานหรือไม่สาบานก็ตาม

     เมื่อเราอ่านคำเทศนาบนภูเขา เราจะเห็นใจความสำคัญของการมอบที่เแฝงอยู่ ในส่วนของคำสาบานนั้น มีการเปลี่ยนลักษณะที่คำพูดของเรากลายมาเป็นข้อผูกมัดและเป็นการมอบของเรา คุณจะไม่เชื่อใจคนที่เวลาหนึ่งพูดว่า “ใช่” แล้วเวลาต่อมาก็พูดว่า “ไม่ใช่” และเพราะว่าพระลักษณะของพระเจ้าเองแสดงถึงการมอบ พระองค์จะไม่สามารถทนต่อการไม่มอบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่

ความรักคือการมอบในที่สุด

พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขาต่อไปอีกว่า

ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า “ท่านจงรักเพื่อนบ้านของท่าน และจงเกลียดชังศัตรูของท่าน” แต่เราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของท่านในสวรรค์ เพราะพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นแก่ทั้งคนชั่วและคนดี และทรงให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้บำเหน็จอะไร? แม้แต่พวกคนเก็บภาษีก็ยังทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? และถ้าท่านทักทายแต่พวกพี่น้องของท่าน แล้วท่านได้ทำอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นเล่า? แม้แต่พวกต่างชาติก็ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? เหตุฉะนั้นท่านจะต้องดีพร้อมเหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงดีพร้อม (มัทธิว 5:43-48 ฉบับ ESV)

     คำกล่าวเริ่มต้นคือ “ท่านจงรักเพื่อนบ้านของท่าน” ให้เราครุ่นคิดสักครู่ถึงความหมายของความรัก โดยพื้นฐานแล้ว ความรักจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีการมอบ? คุณจะให้คำนิยามของความรักโดยไม่รวมการมอบได้ไหม? นั่นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะการมอบคือจุดสำคัญของความรัก มีคนมากมายที่พลาดจุดสำคัญนี้ และคิดว่าความรักเป็นเพียงความรู้สึก แต่ความหมายตามพระคัมภีร์ของความรักคือความรักที่มีรากฐานอยู่ในการมอบมากกว่าความรู้สึก

     หลายปีที่ผ่านมา ผมได้ถามคนที่กำลังวางแผนจะแต่งงานว่า “คุณชอบอะไรในตัวเขา?” หรือ “คุณชอบอะไรในตัวเธอ?” คำตอบที่ผมต้องประหลาดใจบ่อยๆคือ “ชอบรูปลักษณ์ของเขาหรือเธอ” นั่นหมายความว่าอย่างไร? คุณชอบเขาที่ทรงผมหรือ? หรือชอบเธอที่ดวงตาหรือ? ผมจะเกาหัวและจะพูดกับตัวเองว่า “ดวงตาสวยๆจะเป็นรากฐานของการแต่งงานนี้หรือ? บางครั้งพวกเขาก็พูดลึกไปอีกว่า “ชอบสไตล์ของเขาหรือเธอ” นั่นหมายความว่าอย่างไร? คุณกำลังจะหมายถึงลักษณะการพูดหรือการแต่งตัวอย่างนั้นหรือ? ถ้าคุณตกหลุมรักด้วยเหตุผลที่ผิวเผินอย่างนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนใดคนหนึ่งเกิดเจ็บป่วยลง หรือแก่ลง หรือมีผมบางลง? นั่นจะเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ไหม?

     แน่นอนว่าเราจะต้องทำให้การมอบอยู่บนรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น อย่างน้อยผมก็คงจะไม่มอบตัวของผมเองในการแต่งงาน เว้นแต่ว่าเราสองคนจะมีเป้าหมายชีวิตที่เหมือนกัน เราจะเดินไปในเส้นทางเดียวกัน ต่อสู้ในสนามรบเดียวกัน และมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน นี่จะเป็นพื้นฐานที่แข็งแรงยิ่งขึ้นสำหรับการมอบต่อกัน

     การแต่งงานที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก หรือความน่าดึงดูดใจภายนอก แต่ไม่มีความหมายลึกซึ้งนั้น ไม่ได้มีรากฐานของการมอบ ถ้าคุณเอาการมอบออกไปจากความรัก คำว่า ความรัก จะไม่มีความหมายอีกต่อไปตามคำนิยามในพระคัมภีร์

สามประเด็นเกี่ยวกับความรักและการมอบ

1. ความรักขึ้นอยู่กับการมอบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์

     เรารักเพื่อนบ้านหรือรักกันและกันนั้น ไม่ใช่เพราะคุณน่ารักหรือผมน่ารัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงน่ารักและสั่งเราให้รัก นี่ลบล้างอารมณ์ที่เป็นรากฐานของความรัก การมอบเป็นรากฐานเดียวที่แน่นอนที่ทำให้ความรักระหว่างคนทั้งหลายสามารถดำรงอยู่ได้ ถ้าคุณให้การมอบขึ้นอยู่กับ “การชอบ” อีกบุคคลหนึ่ง การมอบนั้นจะไม่คงอยู่อีกต่อไป เพราะแค่คำพูดที่ไม่ใส่ใจเพียงคำเดียวก็จะทำลายความสัมพันธ์นั้น ถ้าเราเอาการมอบออกไปจากความรัก ก็จะไม่มีความรักให้พูดถึงอีกต่อไป

2. การมอบที่จะรักเป็นเรื่องของการเชื่อฟัง

     แรงจูงใจของความรักไม่ควรเป็นเพียงความชอบเท่านั้น ในคำสอนของพระเยซู เหตุผลที่เรารักและมอบนั้น ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายน่ารัก แต่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสั่งให้เรารัก ดังนั้นการมอบที่จะรักจึงเป็นการกระทำที่เชื่อฟัง

     เรารักคนที่ไม่น่ารักก็เพราะพระเจ้าผู้ทรงน่ารัก ได้ทรงสั่งเราให้รักคนที่ไม่น่ารัก แม้แต่ศัตรูของเรา จากมุมมองของคุณนั้น ศัตรูของคุณเป็นผู้ที่ไม่น่ารักที่สุด ถ้าคุณรักแต่คนที่น่ารัก มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรักศัตรู แค่รักเพื่อนก็ยากอยู่แล้ว เมื่อคุณรู้ข้อบกพร่องของเขาและเธอ แล้วที่จะให้รักศัตรู ก็ยิ่งไม่ต้องนึกถึงเลย

     ความจริงก็คือ เราไม่สามารถจะรักศัตรูของเราได้ เว้นแต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แค่รักเพื่อนของเราก็ยากพอแล้ว ภรรยาหลายคนก็รักสามีของพวกเธอได้ยาก และสามีหลายคนก็รักภรรยาของพวกเขาได้ยาก แต่เมื่อใดที่มีการมอบในส่วนของเรา เมื่อนั้นก็จะมีพระคุณของพระเจ้าที่เสริมกำลังให้เราทำในสิ่งที่ปกติแล้วเราไม่สามารถจะทำได้   เมื่อคุณดำเนินชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คุณก็จะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นจริง

       ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นจริง เพราะผมได้เต็มใจยอมรับความท้าทายที่จะมอบต่อพระองค์ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งขัดกับนิสัยของผม เมื่อผมทำในสิ่งที่ปกติแล้วผมไม่สามารถทำได้ ผมจึงรู้ว่า พระคุณของพระองค์กำลังเสริมกำลังผม มีคริสเตียนจำนวนมากไม่มีความชื่นชมยินดีในชีวิตคริสเตียน เพราะพวกเขาไม่ได้เต็มใจยอมรับความท้าทายของการมอบ แต่ถ้าคุณเต็มใจยอมรับความท้าทายนี้ คุณจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

 

3. การมอบมาจากใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

     การมอบที่แท้จริงมาจากใจ และไม่ใช่การแสดงออกภายนอกให้คนอื่นเห็น สิ่งนี้ปรากฏในมัทธิวบทที่ 6 ในคำเทศนาบนภูเขา ด้วยคำสอนเรื่องการอดอาหาร การอธิษฐาน และการทำทาน การมอบมาจากลักษณะที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ด้วยการกัดฟันพูดว่า “ฉันจะผ่านสิ่งนี้ไปได้” สิ่งที่เราอาจเรียกว่า “การมอบอย่างวีรชน” จริงๆแล้วคือการพยายามทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยกำลังของเราเอง มันจะล้มเหลวอย่างแน่นอน เพราะไม่ช้าก็เร็ว เราจะหมดแรง และท้อแท้ คุณอาจจริงใจในการมอบของคุณ แต่คุณก็ยังพึ่งพากำลังของคุณเอง คุณจะต้องมอบต่อพระเจ้าจากใจของคุณ และรับกำลังจากพระองค์

     การมอบที่พระเยซูทรงเรียกร้องในคำเทศนาบนภูเขานั้น เป็นไปไม่ได้เลย เว้นแต่ว่าจะเป็นโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผมเคยเห็นคริสเตียนพยายามที่จะมอบแล้วเลิกล้ม เพราะพวกเขากำลังทำด้วยกำลังของพวกเขาเอง คุณลองรักศัตรูของคุณด้วยกำลังของคุณดู คุณจะทำได้ไม่ถึงหนึ่งหรือสองนาที

อีกด้านหนึ่งของภาพ การมอบของพระเจ้าที่มีต่อเรา

     ให้เราศึกษาการมอบให้ลึกขึ้นในพระลักษณะแท้ของพระเจ้า ใน 1 ยอห์น 4:8,16 เราเห็นคำกล่าวสำคัญที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก

     ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก (ข้อ 8) ....พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงอยู่ในเขา (ข้อ 16)

     มีกล่าวไว้สองครั้งว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ที่ติดตามพระองค์จึงต้องดำเนินในความรักด้วย และเนื่องจากการมอบคือรากฐานของความรัก การมอบจึงมีอยู่ในพระลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก

     แต่การมอบของเราที่มีต่อพระเจ้านั้นไม่สมบูรณ์ จนกว่าเราจะเห็นอีกด้านหนึ่งของภาพ คือการมอบของพระเจ้าที่มีต่อเรา สิ่งนี้มีให้เห็นแล้วในบทเดียวกันว่า “เรารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19) ในทำนองเดียวกัน เรามอบต่อพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงมอบต่อเราก่อน

     ส่วนที่เหลือของบทนี้ เราจะดูที่การมอบของพระองค์ที่มีต่อเรา มากกว่าการมอบของเราที่มีต่อพระเจ้า ที่จริงแล้วในตอนท้ายของมัทธิวบทที่ 5 คำเทศนาบนภูเขาเปลี่ยนการมุ่งเน้นจากการมอบของเราที่มีต่อพระเจ้า มาเป็นการมอบของพระเจ้าที่มีต่อเรา พระเยซูตรัสว่า

...เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของท่านในสวรรค์ พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่คนชั่วและคนดี และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม (มัทธิว 5:45 ฉบับ NIV)

     ตรงนี้เราเห็นการมอบของพระเจ้าที่มีต่อเราบนพื้นฐานของความจริงที่ว่า เราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง เมื่อพระองค์ทรงให้ฝนตกบนแผ่นดินนั้น พระองค์จะทรงอวยพรเฉพาะคนชอบธรรมเท่านั้นหรือ และทรงให้ฝนตกไปทางทุ่งนาของพวกเขา ส่วนคนอธรรมไม่ได้รับฝนและต้องอดอยากหรือ? คำตอบตามพระคัมภีร์ก็คือ พระเจ้าทรงสำแดงการมอบขั้นพื้นฐานของพระองค์ต่อทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม พระองค์ประทานฝนและแสงแดดแก่คนไม่ชอบธรรม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขอบคุณพระองค์สำหรับการเก็บเกี่ยวเป็นผลสำเร็จ แต่ถือว่าเป็นเพราะความขยันขันแข็งของพวกเขาเอง แต่ถ้าพระเจ้าไม่ให้ฝนตกเป็นเวลาหนึ่งปี พวกเขาก็จะเริ่มมองเห็นข้อจำกัดของมนุษย์ ถ้าฝนไม่ตกเป็นเวลาสองปี ความสิ้นหวังของพวกเขาก็จะรุนแรง ถ้าพระเจ้าไม่ให้ฝนตกเป็นเวลาสามปีเหมือนในสมัยของเอลียาห์ ที่พระเจ้าทรงลงโทษชนชาติอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟัง สถานการณ์ของพวกเขาก็จะเลวร้ายอย่างคิดไม่ถึง

     พระเจ้าทรงมอบต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบธรรมหรือเป็นคนไม่ชอบธรรม พระเจ้าก็ประทานแดดฝน อากาศสำหรับหายใจ และสุขภาพที่ดีให้แก่คุณ ในโลกนี้เราเห็นตัวอย่างของสุขภาพที่ดีในหมู่คนชอบธรรม และสุขภาพที่ไม่ดีในหมู่คนไม่ชอบธรรมไหม? ที่จริงแล้ว หากมีตัวอย่างใดๆ ก็อาจเป็นในทางที่กลับกัน ซึ่งคุณอาจรู้สึกว่าพระเจ้าทรงลำเอียงไปทางคนไม่ชอบธรรม สดุดี 73 คร่ำครวญว่าคนชั่วเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่คนชอบธรรมประสบความทุกข์

     พระเจ้าพระผู้สร้างของเราทรงมอบต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขอบคุณพระเจ้าก็ตาม คุณขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้คุณไหม? คุณได้มอบต่อพระผู้สร้างของคุณไหม? หลายคนไม่ได้มอบ แม้ว่าพวกเขาจะมีสุขภาพที่ดีหรือมีงานที่เงินเดือนสูงก็ตาม มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่ใช่หรือที่พระเจ้าทรงเมตตาต่อโลกที่ไม่ยอมรับพระองค์? แต่มีมากกว่านั้นคือ

จงดูนกในอากาศ พวกมันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน ท่านไม่มีค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ?... แล้วทำไมท่านจึงวิตกกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงดูดอกไม้ในท้องทุ่งว่ามันงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย (มัทธิว 6:26, 28 ฉบับ NIV)

     จงมองดูรอบๆตัวคุณ จงดูนกสิ พวกมันต้องพึ่งพายุ้งฉางและเครื่องจักรใหญ่โตมาเก็บเกี่ยวไหม? พวกมันไม่ได้หว่านเมล็ดพืชด้วยซ้ำ! แต่พวกมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตชีวา บินและกระโดดไปมา และส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว พระเจ้าทรงให้แน่ใจว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมีอาหารและสิ่งจัดเตรียมอื่นๆ

     จงดูดอกไม้รอบๆตัวคุณ สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับฮ่องกงก็คือ มีดอกไม้บานตลอดทั้งปี ผมไม่รู้ว่าคนฮ่องกงอาจมองข้ามดอกไม้บานเหล่านี้ไปหรือเปล่า ในประเทศแคนาดา ดอกไม้จะบานเฉพาะช่วงเดียวของปีเท่านั้น แต่เมื่อพวกมันบาน ผมมักจะหยุดมองและชื่นชมความสวยงามของพวกมัน แม้แต่ความงดงามในสง่าราศีของกษัตริย์ซาโลมอน ก็ยังไม่สามารถจะแข่งกับความงดงามของดอกไม้ได้ (ข้อ 29)

     เมื่อคุณนำกุหลาบดอกหนึ่งกลับบ้าน คุณได้ชื่นชมความสวยงามของมัน แต่สองวันต่อมามันก็เหี่ยวเฉาไป แต่ในขณะที่มันยังใหม่สดอยู่ มันมีคุณค่าและความหมาย ที่แสดงถึงการออกแบบที่สวยงามของพระเจ้าในการทรงสร้าง และการเอาพระทัยใส่ของพระองค์ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้กับสิ่งที่ทรงสร้าง ถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งดอกหญ้าในท้องทุ่งให้สวยงาม ซึ่งสวยสดงดงามอยู่ในวันนี้และหมดไปในวันพรุ่งนี้ แล้วพระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย (ข้อ 30)?

การวางใจพระเจ้าในความต้องการของเรา

     พระเยซูกำลังตรัสทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อจะเพิ่มพูนความรู้ทางศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้าให้เรา แต่เพื่อจะสอนเราให้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระเจ้ากับความจำเป็นในชีวิตของเรา ผมดำเนินชีวิตตามพระคำในมัทธิวบทที่ 6 ทุกวันเป็นเวลาสามปีในประเทศจีน ทุกๆเช้าเมื่อผมตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่มีอาหารจะกิน ผมจะพูดว่า “พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงเลี้ยงดูนกในอากาศ วันนี้ข้าพระองค์ไม่มีอะไรกิน ขอทรงเลี้ยงดูข้าพระองค์ บุตรของพระองค์ ในวันนี้ด้วยเถิด” ทุกวันพระบิดาของผมจะทรงจัดเตรียมให้ผมอย่างไม่ขาดเลย คุณคงนึกภาพออกว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับความเชื่อของคุณ ที่ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ที่หนักแน่นในการไว้วางใจพระองค์ ในการมอบกับพระองค์ และรู้ว่าถ้อยคำของพระองค์ไม่เคยล้มเหลว ผมรู้ความจริงของถ้อยคำเหล่านี้ และผมหวังว่าคุณจะรู้เช่นกัน มันคงเป็นสิ่งที่น่าเวทนายิ่งถ้าสิ่งเดียวที่คุณรู้ในโลกนี้ก็คือ การทำให้ชีวิตของคุณเองมั่นคงปลอดภัยด้วยมือของคุณเอง โดยแลกกับการไม่มีประสบการณ์กับการมีอยู่จริงของพระเจ้า

     เมื่อสิ้นสุดการอบรมเต็มเวลารุ่นแรกของการเป็นสาวกที่ผมสอนในมอนทรีออล ผมบอกกับผู้อบรมว่าพวกเขาจะถูกส่งไปที่จังหวัดออนตาริโอ[1] ผมบอกพวกเขาว่า “คุณจะได้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระเจ้า ผมกำลังส่งพวกคุณออกไปออนตาริโอพร้อมเงินในกระเป๋าไม่กี่ดอลลาร์ และในเดือนนั้นพวกคุณจะต้องไว้วางใจพระเจ้ากับสิ่งจำเป็นทุกอย่างของคุณ พวกเขามีเงินพอแค่ค่ารถที่จะเดินทางไปถึงจังหวัดออนตาริโอ และก็มีอีกสองสามดอลลาร์ที่จะใช้ในเดือนข้างหน้านี้ ผมพูดว่า “เราจะดูว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูผู้รับใช้ของพระองค์หรือไม่ ดูซิว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้พวกคุณหรือไม่ ถ้าพระคัมภีร์ไม่เป็นความจริง หรือพระเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง พวกคุณก็ลืมการมอบชีวิตของคุณเพื่อรับใช้พระองค์ไปได้เลย จะมีประโยชน์อะไรที่พวกคุณจะทิ้งวิชาชีพของคุณมาเพื่อรับใช้พระเจ้าที่พวกคุณไม่สามารถจะไว้วางใจได้? ถ้าในที่สุดพวกคุณต้องอดอยากในเดือนถัดไป ก็ลืมเรื่องทั้งหมดนี้เสีย แล้วเก็บกระเป๋าของคุณกลับบ้านไปได้เลย”

     เมื่อทุกคนกลับมาที่มอนทรีออลในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ไม่มีใครผอมลงสักคนหลังจากที่ออกเดินทางไปเดือนก่อน พวกเขาทุกคนต่างชื่นชมยินดีในพระเจ้า และได้แบ่งปันว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้พวกเขาตลอดทั้งเดือนอย่างไร หนึ่งเดือนไม่ใช่เวลาที่ยาวนาน แต่แม้ในเวลาช่วงสั้นๆนั้นพวกเขาก็ได้เรียนรู้มากมายถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้า ผมรู้ว่าพระเจ้าของผมทรงเป็นจริงอย่างนั้น!

     นี่ไม่ได้กำลังทดสอบพระเจ้า แต่กำลังนำสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนเราในหลายๆที่ เช่น ในลูกาบทที่ 12 จงไว้วางใจพระเจ้า จงอย่าวิตกกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม จงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในโลกนี้ แต่จงให้ทรัพย์สมบัติของคุณกับคนยากจน จงออกไปแล้วพึ่งพาพระเจ้าอย่างเต็มที่ แล้วดูสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ นั่นแหละคือการมอบ! จะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงการมอบโดยไม่ได้ทำให้เป็นจริง?  และเหล่าสาวกติดตามพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าอย่างไรหรือ? พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนพระองค์ ก็เหมือนที่พระองค์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินที่เพียงพอจากแหล่งใดในโลก พวกเขาก็จะออกไปผจญภัยทุกวัน โดยไว้วางใจในพระบิดา

     คุณกล้าที่จะมอบฝากชีวิตของคุณไว้กับพระเจ้าไหม? ถ้าคุณไม่เห็นว่าพระองค์น่าไว้วางใจได้มากพอที่จะดูแลคุณในชีวิตนี้ แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้คุณมั่นใจการมีชีวิตนิรันดร์ในยุคที่จะมาถึงได้เล่า? คุณอาจจะหวังสิ่งที่ดีที่สุด แต่คุณก็ไม่แน่ใจจริงๆว่า หลังจากที่คุณตายไปแล้วพระเจ้าจะทรงทำให้คุณเป็นขึ้นมา ถ้าคุณไม่สามารถจะไว้วางใจพระองค์ได้ในตอนนี้ แล้วคุณจะไว้วางใจพระองค์กับอนาคตของคุณได้อย่างไร? นี่เองที่ทำไมคริสเตียนจำนวนมากจึงขาดความมั่นใจในคำสอนของคริสเตียนหรือทิศทางชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่ได้เข้าใจการมอบของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้เมื่อคุณรู้ว่าพระเจ้านิรันดร์ได้ทรงมอบต่อคุณ! สิ่งนี้จะนำสันติสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่ชีวิตของคุณในแบบที่น้อยคนนักจะมีประสบการณ์

     พระเยซูทรงบอกเราไม่ให้วิตกกังวลในสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องนุ่งห่ม (มัทธิว 6:28) ความวิตกกังวลเป็นการไม่ยอมรับ หรือแม้กระทั่งเป็นการปฏิเสธการมอบ แต่เมื่อผมได้มอบ ผมจะมั่นใจ ผมจะไม่วิตกกังวลอีกต่อไป แต่มีสันติสุขอย่างมากในใจของผม เมื่อผมรู้ว่าพระเจ้าทรงมอบต่อผม ผมจึงไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวล

 

การมอบที่มากขึ้นของพระเจ้าที่มีต่อเราซึ่งเป็นบุตรของพระองค์

     มัทธิวบทที่ 7 นำเราไปสู่หัวใจของคำเทศนาบนภูเขา ตรงไปสู่การมอบของพระเจ้าที่มีต่อเรา เราได้เห็นแล้วว่าการมอบของพระองค์ที่มีต่อเราขึ้นกับความจริงเกี่ยวกับการทรงสร้าง เพราะว่าเราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง แต่ที่นอกเหนือกว่าการมอบขั้นพื้นฐานก็คือ พระองค์ทรงมอบต่อบุตรของพระองค์ในระดับที่ลึกกว่านั้น

จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ และผู้ที่แสวงหาก็พบ และผู้ที่เคาะก็จะเปิดให้แก่เขา หรือมีใครบ้างในพวกท่านที่เมื่อบุตรขอขนมปังแล้วจะเอาก้อนหินให้? หรือถ้าเขาขอปลาแล้วจะเอางูให้? ถ้าท่านเองผู้เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของท่าน แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์ให้มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด! (มัทธิว 7:7-11 ฉบับ ESV)

     ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของคุณ พระองค์จะประทานของดีให้แก่คุณยิ่งมากกว่าบิดาทางโลกของคุณสักเท่าใด! พระองค์จะทรงคอยดูแลสิ่งจำเป็นของคุณ ตอนที่ผมอยู่ในประเทศจีนลำพังคนเดียว ไม่มีเงิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน ผมต้องพึ่งพระองค์โดยสิ้นเชิง ในทุกๆเช้าผมจะพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นบุตรของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์” และพระองค์จะไม่มีวันทำให้ผมผิดหวัง

     พระเจ้าพระผู้สร้างทรงมอบต่อเราที่เป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อก็ยังได้รับสิ่งจำเป็นจากพระองค์ แต่ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์ พระองค์จะทรงมอบต่อเราในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น ในฐานะของพระบิดากับบุตรชายหรือบุตรสาว “แต่ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ์ให้มาเป็นบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:12)

     โดยสรุปแล้ว การมอบของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นแสดงออกในสองระดับคือ ระดับของสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งแสดงต่อมวลมนุษย์ และระดับของการเป็นบุตรซึ่งแสดงต่อบรรดาบุตรของพระองค์ ถ้าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจะเห็นการมอบของพระองค์กับสองระดับนี้ ขอให้สิ่งนี้ซึมซับอยู่ในใจของคุณว่าพระเจ้าทรงมอบต่อคุณ!

พระเจ้าจะแสดงการมอบของพระองค์ต่อเรา โดยขึ้นกับการแสดงการมอบของเราต่อพระองค์

     หลักการสำคัญอย่างหนึ่งที่ปรากฏออกมาจากคำเทศนาบนภูเขาก็คือ พระเจ้าทรงมอบต่อเรา แต่การที่พระองค์จะแสดงการมอบของพระองค์ต่อเราอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราแสดงการมอบของเราต่อพระองค์อย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะทรงอวยพรเราหรือจะตัดสินโทษเรา ไม่ว่าพระองค์จะปฏิบัติต่อเราอย่างเมตตาหรือเข้มงวด ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร แม้แต่การพิพากษาของพระเจ้าก็เป็นการแสดงถึงการมอบของพระองค์ที่ทรงมีต่อเรา

     แต่ละคนต่างมีประสบการณ์กับพระเจ้าแตกต่างกัน เพราะการมอบของพวกเขาที่มีต่อพระองค์นั้นแตกต่างกัน คุณจะมีประสบการณ์กับพระเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการมอบของคุณที่มีต่อพระองค์ ถ้าคุณมอบต่อพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงตอบสนองกับคุณอย่างหนึ่ง ถ้าคุณไม่ได้มอบกับพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงตอบสนองกับคุณอีกอย่างหนี่ง มัทธิว 6:1 กล่าวว่า

จงระวัง อย่ากระทำดีเพื่อให้คนอื่นเห็น เพราะถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ (ฉบับ ESV)

     ถ้าคุณกระทำดีเพื่อให้คนอื่นเห็น คุณก็จะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า แต่ถ้าคุณกระทำดีอย่างลับๆ (เช่นการให้ทานคนยากจนอย่างลับๆ) “พระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลับจะประทานบำเหน็จรางวัลแก่ท่าน” (ข้อ 4) ในกรณีหนึ่ง คุณจะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัล ในอีกกรณีหนึ่งคุณจะได้รับบำเหน็จรางวัล การตอบสนองของคุณต่อพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะได้รับบำเหน็จรางวัลหรือไม่ การมอบของพระองค์ที่มีต่อคุณนั้นคงอยู่เสมอ แต่การที่คุณจะมีประสบการณ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร

     หลักการเดียวกันนี้กล่าวซ้ำในข้อ 5 (ไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า) และข้อ 6 (ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า) และกล่าวอีกในข้อ 16 (ไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า) และ 18 (ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า) ผู้ที่ได้รับบำเหน็จรางวัลจากมนุษย์ในรูปของการยกย่องจากมนุษย์ จะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าอีก

     ความเชื่อมโยงระหว่างการมอบของพระเจ้ากับการมอบของเรานั้นมีอย่างต่อเนื่องในคำเทศนาบนภูเขา เราจะได้รับการอภัยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราให้อภัยผู้อื่นหรือไม่ พระเจ้าทรงแสดงการมอบของพระองค์ต่อเราโดยการให้อภัยเราถ้าเราให้อภัย หรือไม่ให้อภัยเรา ถ้าเราไม่ให้อภัย

ถ้าท่านอภัยให้คนที่ทำบาปผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยบาปผิดของคนอื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยบาปผิดของท่าน (มัทธิว 6:14-15 ฉบับ NIV)

     มัทธิว 7:1-2 ก็เผยให้เห็นหลักการที่เหมือนกันว่า

อย่าตัดสิน ไม่เช่นนั้นท่านเองจะถูกตัดสินเช่นกัน เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านก็จะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงด้วยทะนานอันใด ก็จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้นเช่นกัน (ฉบับ NIV)

     ถ้าคุณมอบต่อใครสักคน คุณจะทำสิ่งที่ดีสำหรับเขาหรือเธอ แต่การตัดสินคนคนหนึ่งเป็นการกระทำที่ยกระดับคุณให้อยู่เหนือการมอบ ที่คุณกำลังบอกว่าตัวคุณไม่ได้เป็นหนี้การมอบใดๆกับเขา แต่คุณยืนอยู่เหนือเขาในฐานะผู้พิพากษา คุณได้เข้ามาแทนที่ของพระเจ้าในเรื่องของคนนั้นแต่ไม่มีความรักและการมอบของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า คุณใช้มาตรฐานอะไรตวงให้คนอื่น ก็จะเป็นมาตรฐานที่จะใช้ตวงให้คุณเช่นกัน ในเชิงการตีความแล้ว นี่คือ “การปฏิบัติอย่างเดียวกันจากพระเจ้า” เป็นการอ้างอิงถึงพระเจ้าโดยอ้อม ไม่ได้กล่าวถึงพระเจ้าอย่างชัดเจน แต่บอกเป็นนัยว่า พระองค์คือผู้ที่จะปฏิบัติต่อคุณตามที่คุณปฏิบัติต่อคนอื่น นี่ยังเผยให้เห็นว่าคุณกำลังเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ ถ้าคุณตัดสินคนอื่น คุณก็ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ไม่ได้ตัดสิน ถ้าคุณรักคนอื่น คุณก็กำลังเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ให้รัก ถ้าคุณตัดสินคนอื่น พระเจ้าก็จะตัดสินคุณ ถ้าคุณรักคนอื่นพระเจ้าจะเทความรักของพระองค์ให้กับคุณ

     การที่จะมีประสบการณ์กับความรักอันเหลือล้นของพระเจ้า ก็เพียงแค่ให้เชื่อฟังคำสั่งให้รัก การที่จะมีประสบการณ์กับการพิพากษาของพระเจ้า (ซึ่งยังเป็นการแสดงออกถึงการมอบของพระองค์ที่มีต่อเรา) ก็จงออกไปตัดสินคนอื่น แล้วคุณก็จะเห็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำกับคุณ แม้ว่าคุณจะเป็นคริสเตียน

     หลักการเดียวกันนี้ก็ทำงานในมัทธิว 7:7 ที่ “จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” จะเห็นอีกว่าการกระทำของคุณจะกำหนดการตอบสนองจากพระเจ้า จงขอแล้วคุณจะได้รับ ถ้าคุณไม่ขอ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าคุณแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจของคุณ คุณก็จะพบพระองค์ ถ้าคุณไม่ได้แสวงหาพระเจ้า คุณก็จะไม่พบพระองค์ ถ้าคุณไม่เคาะประตูของอาณาจักร ประตูก็จะไม่เปิดให้คุณ

     ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ชีวิตที่นั่งอยู่เฉยๆ ที่รอให้มีอะไรตกลงมาจากฟ้าลงมาบนตักของคุณ มันเกี่ยวข้องกับการขอ การแสวงหา และการเคาะที่อยู่นิ่งไม่ได้ พระเจ้าจะตอบสนองต่อการกระทำของเรา เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้เราเป็นตุ๊กตาหุ่น แต่ให้เราเป็นคนริเริ่มเองที่จะแสวงหาสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์ ชีวิต คริสเตียนเป็นชีวิตที่ตอบสนองต่อกันอยู่ตลอดระหว่างพระเจ้ากับเรา พระเยซูตรัสต่อว่า

ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้ผลดี แต่ต้นไม้เลวย่อมให้ผลเลว ต้นไม้ดีไม่สามารถจะให้ผลเลวได้ และต้นไม้เลวไม่สามารถจะให้ผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะต้องถูกโค่นและโยนทิ้งในไฟ (มัทธิว 7:17-19 ฉบับ NIV)

     ถ้าเราเกิดผลดี เราก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้า ถ้าเราเกิดผลเลว การมอบของพระองค์ที่มีต่อเราจะถูกแสดงออกมาในการพิพากษา เพราะต้นไม้เลวทุกต้นจะถูกฟันลงและโยนทิ้งในไฟแห่งการพิพากษาของพระเจ้า ฉะนั้นอย่าคิดว่าการพิพากษาของพระเจ้าไม่ใช่การมอบในส่วนของพระเจ้า ที่จริงการพิพากษาเป็นการกระทำของการมอบอย่างแท้จริงของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง ความรับผิดชอบของการมอบต่อพระเจ้าอยู่ที่เรา ความรับผิดชอบตกอยู่ในมือของเรา และเราไม่สามารถปัดความรับผิดชอบให้พระเจ้าได้

     เราจะเห็นหลักการที่ว่า การตอบสนองของพระเจ้ากับเราขึ้นกับการตอบสนองของเรา ซึ่งพบได้ไม่เฉพาะแต่ในพระคัมภีร์ใหม่เท่านั้น แต่ยังพบในพระคัมภีร์เดิมอีกด้วย

องค์ผู้เป็นเจ้าได้ประทานบำเหน็จรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า ตามที่มือของข้าพเจ้าสะอาดในสายพระเนตรของพระองค์ กับผู้สัตย์ซื่อ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าสัตย์ซื่อ กับผู้ไร้ตำหนิ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าไร้ตำหนิ กับผู้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์ ส่วนผู้คดโกง พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าเฉียบแหลม (สดุดี 18:24-26 ฉบับ NIV)

     ผู้บริสุทธิ์จะพบว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ผู้ที่ภักดีจะพบว่าพระเจ้าทรงภักดี ผู้ที่คดโกงจะพบว่าจะรับมือกับพระเจ้าได้ยากมาก พระเจ้าจะเป็นกับคุณอย่างที่คุณเป็นกับพระองค์ ถ้าคุณเริ่มเล่นเกมกับพระเจ้า คุณจะพ่ายแพ้ในที่สุด ถ้าคุณซื่อตรงกับพระเจ้า พระองค์ก็จะซื่อตรงกับคุณ พระเจ้าไม่เคยไม่ซื่อตรง แต่ถ้าคุณมีใจที่ไม่ซื่อตรงหรือคดโกง มุมมองของคุณเกี่ยวกับพระเจ้าว่าทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ซื่อตรงจะถูกหล่อหลอมด้วยประสบการ์ทางลบที่คุณมีกับพระองค์ ต่างคนต่างก็มีประสบการณ์กับพระเจ้าแตกต่างกันไป บางคนไม่มีประสบการณ์กับพระองค์เลย เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตอบสนองกับพระองค์

     ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “แน่ทีเดียว พระองค์จะประทานบำเหน็จรางวัลให้แต่ละคนตามการกระทำของเขา” (สดุดี 62:12) เพราะพระเจ้าทรงตอบสนองกับเราตามสิ่งที่เรากระทำ หลักการเดียวกันนี้ก็ใช้กับอิสราเอลที่ว่า “เราจะจัดการกับพวกเขาตามความประพฤติของพวกเขา และเราจะพิพากษาพวกเขาตามมาตรฐานของพวกเขาเอง เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระเจ้า” (เอเสเคียล 7:27 ฉบับ HCSB)

     วิธีที่ลูกสาวของผมสัมพันธ์กับผมจะมีผลกับวิธีที่ผมจะตอบสนองกับเธอ ถ้าเธอไม่เชื่อฟัง เธอจะเห็นว่าพ่อของเธอก็สามารถเข้มงวดกับเธอได้ แต่ถ้าเธอเชื่อฟัง เธอจะเห็นว่า พ่อของเธอใจดีเหลือเกิน ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมบางทีเธอจึงเลือกที่อยากจะให้ผมต้องเข้มงวดกับเธอในเมื่อผมอยากที่จะใจดีกับเธอมากกว่า ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมหมายถึง ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็ต้องการจะอวยพรเรา แทนที่จะเข้มงวดกับเรา แล้วทำไมเราจึงอยากมีปัญหากับพระองค์ด้วย? ที่เราเห็นในมัทธิว 7:11 ว่า พระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะเทพระพรของพระองค์ให้กับคุณ แล้วทำไมคุณจึงไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ทำอย่างนั้นกับคุณล่ะ?

     ในเฉลยธรรมบัญญัติ 27 และ 28 พระเจ้าทรงให้ชนอิสราเอลเลือกระหว่างคำถูกสาปแช่ง (บทที่ 27) กับคำอวยพร (บทที่ 28) พระองค์ไม่ต้องการจะสาปแช่งเรา แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่ในบาปและความชั่ว การมอบของพระองค์ที่มีต่อเราก็จะแสดงออกมาในการพิพากษา

       ภูเขาเอบาลและเกริซิม เป็นภูเขาสองลูกในสะมาเรียที่เกิดเหตุการณ์ในเฉลยธรรมบัญญัติ 27 และ 28 คำสาปแช่งได้ถูกประกาศจากภูเขาเอบาล ในขณะที่คำอวยพรถูกประกาศจากภูเขาเกริซิม มันเป็นเหตุการณ์ที่ติดตาตรึงใจที่อิสราเอลทั้งหมดได้มาชุมนุมกันในที่แจ้ง และพวกเขาได้ยินคำสาปแช่งและคำอวยพรดังออกมาจากภูเขาแต่ละลูก ทุกครั้งเมื่อผมเดินทางไปอิสราเอลและผ่านระหว่างภูเขาทั้งสองลูก ผมจะนึกถึงเหตุการณ์นี้ เราจะรับคำอวยพรหรือคำสาปแช่งก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะเลือกเอง ซึ่งเป็นหลักการที่มีอยู่ตลอดทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลว่า “เจ้าเท่านั้นที่เราเลือกไว้จากเผ่าพันธ์ทั้งสิ้นในโลก ฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้าเพราะความผิดบาปทั้งสิ้นของเจ้า” (อาโมส 3:2)

     ทางเลือกนั้นชัดเจน การมอบต่อพระเจ้าแยกออกจากการมอบต่อความชอบธรรมไม่ได้ เราจะต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง - จะร้อนหรือเย็น - แต่การอุ่นๆจะทำให้เราไปไม่ถึงไหน ถ้าคุณมีปัญหาในชีวิตคริสเตียน เช่น ความยากลำบากในการอธิษฐาน หรือประสบการณ์กับความเป็นจริงของพระเจ้า ให้ตรวจสอบชีวิตของคุณเพื่อดูว่าคุณกำลังถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่ การที่จะรู้จักพระเจ้านั้น เราจะต้องมอบกับสิ่งที่ดี สิ่งที่จริง สิ่งที่บริสุทธิ์ และสิ่งที่ชอบธรรม ถ้าคุณกำลังติดแน่นอยู่กับบาป แม้แต่สิ่งที่คุณถือว่าเป็นบาปเล็กๆน้อยๆ มันจะขวางกั้นการติดต่อสื่อสารของคุณกับพระเจ้า “ถ้าข้าพเจ้าคำนึงถึงความชั่วอยู่ในใจ พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟัง” (สดุดี 66:18)

 


[1] Ontario (Montreal อยู่ในจังหวัดควีเบก)