บทที่ 3
ความมั่งคั่ง
รากเหง้าของความเฉื่อยชาในฝ่ายวิญญาณ
ความบอดและความหนวก
พระเยซูตรัสซ้ำๆถึงผู้ที่มีตาแต่ไม่เห็น และมีหูแต่ไม่ได้ยิน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมบางคนถึงมีตาแต่ไม่เห็นสิ่งฝ่ายวิญญาณ? หรือมีหูแต่ไม่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าเลย? สำหรับคนเหล่านี้ การไปศึกษาพระคัมภีร์ก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกับการที่พาคนตาบอดไปดูหนังเงียบ หรือชวนคนที่ไม่ชอบดนตรีไปฟังคอนเสิร์ตดนตรี
พระเยซูตรัสว่า ชาวอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า มีตาที่มองไม่เห็น และมีหูที่ไม่ได้ยิน
เหตุฉะนั้นเราจึงพูดกับพวกเขาเป็นคำอุปมา เพราะเมื่อมองดูแต่พวกเขาก็ไม่เห็น และเมื่อฟังแต่พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่ได้เข้าใจ นี่เป็นไปตามคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ที่กล่าวว่า “เจ้าจะยังฟัง แต่จะยังคงไม่เข้าใจ เจ้าจะยังมอง แต่จะยังคงไม่เห็น เพราะจิตใจของชนชาตินี้ก็เฉื่อยชาไป และหูของพวกเขาก็แทบไม่ได้ยิน และพวกเขาก็ได้ปิดตาของพวกเขา ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะเห็นด้วยตาของพวกเขา และได้ยินด้วยหูของพวกเขา และเข้าใจด้วยใจของพวกเขาและหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย” (มัทธิว 13:13-15 ฉบับ NASB)
แต่ถ้าตาของพวกเขามองเห็นและหูของพวกเขาได้ยิน และถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระเจ้า พระองค์ก็จะรักษาพวกเขาให้หาย ประเด็นสำคัญก็คือการได้รับการรักษาให้หาย (การได้รอด) เพราะคุณจะตายถ้าคุณไม่ได้รับการรักษาจิตวิญญาณให้หาย
พระเยซูทรงยกประเด็นเดียวกันนี้ ที่มองแต่ก็ไม่เห็น ที่ฟังแต่ก็ไม่ได้ยินในมาระโก 4:12 และ 8:18 และลูกา 8:10 ยอห์นพูดถึงชาวยิวด้วยคำที่คล้ายกันนี้ในยอห์น 12:40 เช่นเดียวกับเปาโลในกิจการ 28:26 และโรม 11:8 ใจความสำคัญที่ปรากฏซ้ำๆนี้ในพระคัมภีร์บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า เราต้องให้ความสนใจอย่างจริงจังกับปัญหาเรื่องความมืดบอดฝ่ายวิญญาณและหูหนวก
ในมัทธิว 13 พระเยซูกำลังอ้างอิงจากอิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่เป็นจริงกับอิสราเอลในสมัยของอิสยาห์ ก็เป็นจริงในเวลาต่อมาในสมัยของพระเยซู และก็เป็นจริงกับคริสตจักรในปัจจุบันนี้ พระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูทรงอ้างอิงคืออิสยาห์ 6:10-11 (จงสังเกตคำว่า “ตายด้าน”)
“จงทำใจของชนชาตินี้ให้ตายด้าน หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็มืดมัว มิฉะนั้นพวกเขาจะเห็นด้วยตาของพวกเขา ได้ยินด้วยหูของพวกเขา เข้าใจด้วยใจของพวกเขา และหันกลับมาและหายโรค” ข้าพเจ้าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า นานเท่าใด?” พระองค์ตรัสตอบว่า “จนกว่าเมืองต่างๆจะถูกทำลายล้างและไร้ผู้คน บ้านเรือนถูกทิ้งร้าง และแผ่นดินก็รกร้างว่างเปล่าทีเดียว” (อิสยาห์ 6:10-11 ฉบับ NASB)
การถูกทำลายและความรกร้างว่างเปล่าจะเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของความบอดและความหนวก การไม่ได้รับการรักษาให้หายจะนำไปสู่ความหายนะ
ใจที่อ้วนพี
แล้วทำไมพวกเขาจึงตาบอดและหูหนวกฝ่ายวิญญาณ? อะไรคือสาเหตุของความเจ็บป่วยนี้ ในพระคัมภีร์ที่เพิ่งอ้างอิงฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด กล่าวว่า ใจของชนชาตินี้ “ตายด้าน” (ดูคำตัวเอน) แต่คำต้นฉบับในภาษาฮีบรูไม่ได้หมายถึง “ตายด้าน” แต่หมายถึง “อ้วนพี” (ดังที่คงอยู่ในฉบับคิงเจมส์ว่า “ทำให้ใจของชนชาตินี้อ้วนพี”)[1] เมื่อคิดถึงคำว่าอ้วน เราจะนึกถึงการสะสมของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดงที่อุดตันการไหลเวียนโลหิตและทำให้หัวใจหยุดเต้น
อิสยาห์ไม่ได้พูดถึงศัพท์ทางการแพทย์ เราจึงต้องหาเบาะแสที่อาจอธิบายสิ่งที่เขาหมายถึง คู่มืออธิบายพระคัมภีร์ที่ดีที่สุดก็คือพระคัมภีร์เอง วิธีหนึ่งที่จะทราบความหมายของคำในข้อหนึ่งก็คือดูว่าคำนี้ถูกใช้ในที่อื่นในพระคัมภีร์อย่างไร เครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับสิ่งนี้คือศัพท์สัมพันธ์ ที่จริงเฉลยธรรมบัญญัติ 31:20 ใช้คำภาษาฮีบรูคำเดียวกันสำหรับ “อ้วนพี” (ดูคำตัวเอน)
เพราะเมื่อเรานำพวกเขาเข้าไปในดินแดนซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ที่เราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา และพวกเขาได้กินอิ่มหมีพลีมันและมั่งคั่ง แล้วพวกเขาจะหันไปหาพระอื่นและปรนนิบัติพระเหล่านั้น และปฏิเสธเราและละเมิดพันธสัญญาของเรา (ฉบับ NASB)
ตรงนี้เราจะไม่เห็นคำว่า “อ้วนพี” เพราะฉบับอเมริกันแสตนดาร์ดแปลคำภาษาฮีบรูนี้ว่า “มั่งคั่ง” ชาวอิสราเอลกำลังจะเข้าไปในแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เช่นเดียวกับชาวยิวในปัจจุบันนี้ พวกเขาเป็นคนที่ทำงานหนัก เมื่อพวกเขาได้รับแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์และสภาวการณ์ที่เอื้ออำนวย พวกเขาก็ได้ผลิตผลงอกงามและมั่งคั่งขึ้น แต่พระเจ้าทรงมองเห็นล่วงหน้าว่า เมื่อพวกเขามั่งคั่ง พวกเขาก็จะหันเหไปจากพระองค์และพันธสัญญาของพระองค์ และหันไปหาพระอื่น
พระเจ้ากำลังเผยพระวจนะในสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยบอกโมเสสถึงสิ่งที่ชาวอิสราเอลจะทำในภายหลัง พวกเขายังไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งพระสัญญาเลย แต่พระเจ้าทรงมองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะมีความมั่งคั่งในแผ่นดินนั้น และจะหันหลังให้พระองค์ พระเจ้าทรงอ่านคนเหล่านั้นออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และในบทถัดไป โมเสสก็พูดสิ่งที่คล้ายๆกัน
แล้วเยชุรูนก็อ้วนพีขึ้นและกบฏ เจ้าอ้วนท้วน อ้วนฉุ ตะกละตะกลาม เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา และดูหมิ่นพระศิลาแห่งความรอดของเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:15 ฉบับ HCSB)
เยชูรุนเป็นอีกชื่อหนึ่งของอิสราเอล และหมายความอย่างถากถางว่า “ผู้ชอบธรรม” ชาวอิสราเอลถูกเรียก ว่าชอบธรรม แต่พวกเขาทอดทิ้งพระเจ้าเมื่อพวกเขามาเป็นผู้ที่มั่งคั่ง พวกเขาถึงขนาด “ดูหมิ่น” (คำที่แรง)พระศิลาแห่งความรอดของพวกเขา
โมเสสไม่ได้พูดถึงชาวอิสราเอลในแบบที่เป็นบุคคลที่สามที่พูดถึง โมเสสกำลังพูดกับพวกเขาโดยตรงโดยบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะทำอะไรในอนาคต ก็เป็นอย่างนั้นจริง ในเวลาต่อมาประชากรของพระเจ้าก็หันหลังให้พระองค์เมื่อพวกเขามีความมั่งคั่งดังที่อิสยาห์อธิบายไว้ ใจของพวกเขาอ้วนขึ้น ตาของพวกเขามองไม่เห็น หูของพวกเขาไม่ได้ยินอีกต่อไป พวกเขากลายมาเป็นผู้เจ็บป่วยทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาวะที่อันตรายมากที่สุด ที่จริงแล้วอิสราเอลไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ จนกว่าอิสราเอลจะถูกทำลายชาติ พระคัมภีร์เดิมบอกกับเราถึงผลลัพท์สุดท้ายของความบอดและหูหนวกของพวกเขา นั่นก็คือการถูกทำลาย
การกบฏ
วันหนึ่งพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเอเสเคียลว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางวงศ์วานที่กบฏ ผู้มีตาไว้มอง แต่ก็มองไม่เห็น ผู้มีหูไว้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะพวกเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ (เอเสเคียล 12:2) นั่นเป็นเพราะความกบฏที่ทำให้คนทั้งหลายตาบอดและหูหนวก นี่เป็นผลที่น่าสะพรึงกลัวของความมั่งคั่ง ในพระคัมภีร์นั้น การกบฏจะถูกลงโทษด้วยความตาย
ถ้าชายใดมีบุตรชายที่ดื้อรั้นและกบฏ ไม่ยอมอยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน และจะไม่ฟังท่าน เมื่อท่านตีสอนเขา บิดาและมารดาของเขาจับตัวเขาและพาเขาไปหาพวกผู้ใหญ่ที่ประตูของเมืองนั้นที่เขาอาศัยอยู่ บิดามารดาจะพูดกับพวกผู้ใหญ่ว่า “ลูกชายของเราคนนี้เป็นคนดื้อรั้นและกบฏ เขาจะไม่เชื่อฟังเรา เขาเป็นคนหลงระเริงและสำมะเลเทเมา” แล้วทุกคนในเมืองของเขาจะเอาหินขว้างเขาให้ตาย ท่านต้องขจัดความชั่วร้ายออกไปจากหมู่พวกท่าน ชาวอิสราเอลทั้งปวงจะได้ยินเรื่องนี้และจะกลัว (เฉลยธรรมบัญญัติ 21:18-21 ฉบับ NIV, เพิ่มคำตัวเอน)
ถ้าเขาเป็นลูกชายที่ “ดื้อรั้นและกบฏ” แม้แต่พ่อแม่ก็จะไม่สงวนชีวิตเขาไว้จากโทษที่ถึงตาย ถึงกระนั้นในพระคัมภีร์ไม่มีกรณีใด โดยมีข้อยกเว้นที่น่าสังเกตประการหนึ่ง คือที่บุตรชายถูกประหารโดยได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของเขา มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่ว่าลูกชายจะดื้อรั้นสักแค่ไหน พ่อแม่ก็จะพาเขาไปที่ประตูเมืองเพื่อให้บุตรถูกประหาร? ผมคิดว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่สามารถทำเช่นนั้นได้ มีแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่เคยใช้บทบัญญัติในเฉลยธรรมบัญญัตินี้ ก็คือพระเจ้าเอง แต่ไม่ใช่เพราะการกบฏใดๆ ในส่วนของพระบุตรของพระองค์ ข้อถัดมานั้นกล่าวว่า
และถ้าผู้ใดได้กระทำบาปที่มีโทษถึงตาย และเมื่อเขาถูกประหาร และท่านจงแขวนเขาไว้บนต้นไม้... (เฉลยธรรมบัญญัติ 21:22 ฉบับ HCSB)[2]
เปาโลเชื่อมโยงข้อนี้กับพระเยซู “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาป” (กาลาเทีย 3:13) ในพระคัมภีร์ใหม่ ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของกางเขน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการมอบอย่างแท้จริงของพระเจ้าที่มีกับเรา เพราะพระองค์ “ไม่ได้ทรงสงวนพระบุตรของพระองค์เองไว้ แต่ได้ประทานพระบุตรเพื่อเราทุกคน” (โรม 8:32) แม้ว่าเราเองที่สมควรตายเพราะบาปของเรา
แต่คำกล่าวนั้นมีอีกด้านหนึ่ง คือถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสงวนชีวิตพระบุตรของพระองค์เองไว้ พระองค์ก็จะไม่สงวนชีวิตเราไว้เช่นกันถ้าเรากบฏ “เพราะถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสงวนกิ่งเดิมไว้ พระองค์ก็จะไม่ทรงสงวนท่านไว้เหมือนกัน” ซึ่งก็คือคริสเตียนต่างชาติ (โรม 11:21) กิ่งเดิมหมายถึงอิสราเอล ส่วน “ท่าน” หมายถึงคริสเตียนชาวต่างชาติ เราต้องไม่คิดว่า เพียงเพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงสงวนชีวิตเราไว้ ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไม่ชอบธรรมแค่ไหน พระเจ้าไม่ได้ทรงสงวนชีวิตพระบุตรของพระองค์เองผู้ชอบธรรม ตามความจริงของพระคัมภีร์แล้ว พระองค์ก็จะไม่สงวนชีวิตคุณไว้เช่นกันถ้าคุณดื้อรั้น หรือถ้าตาของคุณมองไม่เห็น และหูของคุณไม่ได้ยิน
ทรัพย์สมบัติบนโลก
เมื่อเราได้สำรวจคำเทศนาบนภูเขานั้น เราได้ข้ามตอนที่สำคัญซึ่งเราจะนำมาพิจารณากันตอนนี้
อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ตัวมอดและสนิมทำลายได้ และโจรบุกเข้ามาลักขโมยเอาไป แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมจะทำลายไม่ได้ และที่ไม่มีโจรบุกเข้ามาลักขโมยเอาไปได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ตาเป็นโคมสำหรับร่างกาย ฉะนั้นถ้าตาของท่านดูชัด ทั้งตัวของท่านก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง แต่ถ้าตาของท่านดูไม่ชัด ทั้งตัวของท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด ฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านเป็นความมืด ความมืดนั้นจะยิ่งมืดทึบสักเท่าใด! ไม่มีใครจะรับใช้นายสองคนไปพร้อมๆกันได้ เพราะเขาจะต้องเกลียดชังนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือเขาจะต้องภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านไม่สามารถจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองไปพร้อมๆกันได้ (มัทธิว 6:19-24 ฉบับ NASB)
“เงินทอง” เป็นคำภาษาอาราเมคที่หมายถึงความร่ำรวยและทรัพย์สมบัติ และรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น ทองเงิน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ อาราเมคเป็นภาษาที่เกี่ยวดองกับภาษาฮีบรู เป็นภาษากลางที่พูดกันในปาเลสไตน์ ในสมัยของพระเยซู พระเยซูกำลังตรัสว่า ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณจะอยู่ที่นั่น ถ้าคุณเก็บทรัพย์สมบัติของคุณไว้บนโลก ใจของคุณก็จะอยู่กับสิ่งที่อยู่บนโลก ถ้าท่านสะสมเก็บทรัพย์สมบัติของคุณไว้ในสวรรค์ ใจของคุณก็จะอยู่กับทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แต่คุณจะไม่สามารถมอบต่อนายสองคนได้ คุณจะไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันได้ เพราะคุณจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง การมอบแบบทั้งคู่นั้นไม่ใช่ทางให้เลือก เพราะจะเป็นการมอบเพียงบางส่วน และการมอบเพียงบางส่วนนั้นไม่ใช่การมอบในที่สุด
การถือโชคลางและการบูชาเงินทอง
ในบทความของนิตยสารไทม์[3] เกี่ยวกับอาคารของธนาคารแห่งประเทศจีนที่ฮ่องกง มีข้อความที่น่าสนใจ ว่า “การบูชาเงินทองที่ควบคู่ไปกับความเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ย ดูเหมือนจะเป็นศาสนาที่โดดเด่นของฮ่องกง” บทความนี้กำลังบอกว่าศาสนาของฮ่องกงคือการบูชาทรัพย์สิน เงินทอง และทรัพย์สมบัติ ผลที่ตามมาก็คือความเชื่อที่แพร่หลายในเรื่องฮวงจุ้ยหรือภูมิพยากรณ์ ฮวงจุ้ยซึ่งแปลตรงตัวว่า “ลม น้ำ” ในภาษาจีนคือการเชื่อเกี่ยวกับอาถรรพณ์หรือความเชื่อในเรื่องของเจ้าที่เจ้าทางที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อาศัยหรือภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยกล่าวว่า โครงสร้างของอาคารใหม่นี้ขาดฮวงจุ้ยที่ดีเกี่ยวกับทิศทางของลมและน้ำ หรือวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบเหล่านี้
ผมสังเกตเห็นว่าผู้ที่รักและบูชาเงินทองนั้น มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือโชคลาง สิ่งนี้เป็นจริงไม่เฉพาะแต่ในฮ่องกงเท่านั้นแต่ยังรวมถึงในโลกตะวันตกด้วย ในอเมริกาเหนือหรือที่อื่นๆ ในหนังสือพิมพ์ก็จะมีคอลัมน์ “ดูดวงประจำวัน” คนจำนวนมากจะไม่เริ่มทำอะไรจนกว่าจะได้ตรวจดูดวงชะตาราศีของตนในวันนั้นเสียก่อน เพื่อจะได้คำแนะนำจากโหรทั้งหลายว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำในวันนั้น
การถือโชคลางมีอยู่ในทุกที่ มีบางคนเชื่อว่าจะโชคร้ายถ้าเดินลอดใต้บันได หรือมีแมวดำวิ่งตัดหน้า มีคนมากมายที่เห็นว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค อาคารที่พักส่วนใหญ่จะไม่มีชั้น 13 ตอนที่ผมอยู่ในอิสราเอล ผมพักอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาคาร 13 บนชั้น 13 ในอพาร์ตเม้นท์ 52 ซึ่งก็คือ 4 x13!
พระกิตติคุณแบบผิดๆ ที่เชื่อพระเจ้าแล้วจะร่ำรวย!
เราได้เห็นว่าในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึงความร่ำรวยไว้มาก แต่พูดถึงด้วยโทนเสียงในแง่ลบ นั่นเป็นเพราะว่าความร่ำรวยทำให้ใจของเราอ้วน ซึ่งนำไปสู่โรคทางฝ่ายวิญญาณที่ทำให้ตาของเราบอดและหูของเราหนวก นี่ไม่ใช่เรื่องของหลักทฤษฎี แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติ นอกเสียจากว่าเราจะเผชิญกับปัญหานี้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงการมอบ เพราะเราไม่สามารถจะมอบต่อพระเจ้าและมอบต่อความร่ำรวยและกับพระเจ้าในเวลาเดียวกันได้
จิมและแทมมี่ เฟย์ แบ็กเกอร์[4] สองสามีภรรยาของผู้นำคริสเตียนจำนวนมากที่บิดเบือนพระกิตติคุณได้บอกว่า คุณสามารถนมัสการพระเจ้าแล้วร่ำรวยได้ (จิม แบ็กเกอร์ได้ปฏิเสธคำสอนเท็จนี้ตั้งแต่นั้นมา) พวกเขาไม่เพียงแต่สอนว่าการรับใช้พระเจ้าไปด้วยกันได้กับการนมัสการทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น แต่ยังสอนว่าถ้าคุณนมัสการพระเจ้า คุณจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย! ดังนั้นการเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งทางวัตถุ นี่ไม่ใช่พระกิตติคุณที่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ? ช่างเป็นแรงจูงใจอย่างยิ่ง ถ้าคุณเทศน์สอนอย่างนี้ คุณจะได้คนกลับใจมาเชื่อมากมาย
มีความจริงบางอย่างอยู่ในคำสอนนี้ แต่ไม่ใช่แบบที่เราคาดหวัง ผมมีเพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่งที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีได้มารู้จักพระเจ้ามาสักระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่เขาจะมาเป็นคริสเตียน เขามีธุรกิจที่ไปได้ไม่เลวนัก เขาก้าวหน้าในธุรกิจของเขา แต่ในช่วงสองสามปีเขาก็ก้าวหน้าอย่างช้าๆ
แต่เมื่อเขามาเป็นคริสเตียน ธุรกิจของเขาก็พลุ่งเหมือนติดจรวด และเขาต้องจ้างคนงานเพิ่มขึ้น จากนั้นบริษัทอเมริกันแห่งหนึ่งก็ให้สิทธิผูกขาดผลิตภัณฑ์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนเพียงผู้เดียวในประเทศของเขา ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพวกเขาต้องซื้อผ่านเขา บริษัทอเมริกันนี้ขอให้เขาตั้งสาขาทั่วประเทศเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ดังนั้นธุจกิจเล็กๆแค่กระบิมือของเขาก็กลายมาเป็นธุรกิจในระดับชาติ คุณคงคาดหวังว่าเขาจะต้องมีความสุข สามีภรรยาแบ็กเกอร์คู่นี้ก็พูดถูกในที่สุดนะสิว่า เชื่อในพระเจ้าแล้วคุณจะรวย!
ผมขอบคุณพระเจ้าที่เพื่อนของผมมองเห็นชัดมากกว่านั้น และสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดกับผมว่า “คุณรู้ไหม ก่อนที่ผมจะมาเป็นคริสเตียน ผมหวังอยู่เสมอว่าจะมีสิ่งแบบนี้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ผมเป็นคริสเตียนแล้ว ผมกลับไม่มีความสุขเลยกับเรื่องนี้” ผมถามเขาว่าทำไมเขาจึงไม่มีความสุข และเขาตอบว่า “เพราะตอนนี้ผมยุ่งมากจนไม่มีเวลาที่จะได้สงบนิ่ง ที่จะอ่านพระคัมภีร์ของผม ที่จะอธิษฐาน” แล้วเขาพูดอีกว่า “ผมอยากจะเลิกธุรกิจนี้”
ซาตานทดลองเราให้ร่ำรวย
คุณคิดอย่างไรกับสถานการณ์ของเพื่อนผม? ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ต้น เขาก็ควรดีใจกับมันไม่ใช่หรือ? แต่เขาไม่ได้ดีใจ เขาไม่ได้ซาบซึ้งใจที่พระเจ้าทรงส่งเสริมธุรกิจหรอกหรือ? และมันเป็นพระพรจากพระเจ้าตั้งแต่แรกไหม?
เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายๆอย่างที่เห็น ผมจะขอเตือนคุณว่าเมื่อคุณเชื่อในพระเจ้า ซาตานจะพยายามทดลองคุณด้วยความร่ำรวย อะไรคือพื้นฐานพระคัมภีร์ที่พูดอย่างนี้? ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา ซาตานก็เสนอที่จะให้โลกนี้กับพระองค์ ถ้าพระองค์แค่หันกลับจากการมอบของพระองค์ต่อพระเจ้า เราคงนึกภาพออกที่ซาตานพูดกับพระเยซูหรือพูดกับเพื่อนนักธุรกิจของผมว่า “อย่าโง่ไปเลย เราจะให้โลกนี้กับคุณ และทำให้คุณร่ำรวย! คุณเพิ่งรับบัพติศมานี่ แต่การทำเช่นนี้จะไม่ทำให้การรับบัพติศมาของคุณเป็นโมฆะหรอก”
ซาตานรู้ว่าการทำให้คุณร่ำรวยจะเป็นหนทางที่ทำให้คุณเป็นโรคหัวใจฝ่ายวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นมันจะปลอมตัวของมันเพื่อให้คริสเตียนที่มองเห็นไม่ชัดจะพูดว่า “พระเจ้าได้ทรงอวยพรผม!” ซาตานพยายามทำแบบนี้กับเพื่อนของผม หลังจากที่เพื่อนของผมรับบัพติศมา ธุรกิจของเขาก็เฟื่องฟู แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ชอบกลๆอยู่ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าจะไม่ใช้วิธีแบบนั้น เขาสัมผัสได้ว่าซาตานกำลังหยิบยื่นโลกนี้ให้กับเขา ซาตานมีอำนาจที่จะทำให้คุณร่ำรวย ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย ที่จริงซาตานเสนอโลกทั้งโลกให้กับพระเยซูว่า
“มารจึงพาพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาสูง และแสดงให้พระองค์เห็นราชอาณาจักรต่างๆในโลก และความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้น แล้วมันทูลพระองค์ว่า “เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน ถ้าท่านจะกราบลงและนมัสการเรา” (มัทธิว 4:8-9)
ข้อเสนอเป็นอย่างไรบ้าง? คุณเคยได้โลกนี้ทั้งโลกในไม่กี่วินาทีไหม? ปัจจุบันคุณได้เงินเดือนเท่าไรหรือ? แม้ว่าคุณจะได้ค่าตอบแทนที่ดี แต่นั่นก็แค่ประติ๋วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ซาตานสามารถให้คุณได้ ตั้งแต่ผมมารู้จักพระเจ้า ผมนับไม่ถูกว่ามีการทดลองมากครั้งแค่ไหนที่เสนอให้กับผม ผมประหลาดใจกับวิธีที่โลกหยิบยื่นให้กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังต้องเกาหัว แปลกใจว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มาจากไหน แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมได้ปฏิเสธมันไปก็ตาม
ทางกว้าง
เมื่อผมออกมาจากประเทศจีน ผมได้รับอนุญาตให้นำเงินจีนติดตัวมาด้วยประมาณสิบหยวน สิ่งอื่นๆผมต้องทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ผมเกือบจะสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อผมมาถึงสถานีรถไฟเกาลูนในฮ่องกง หลังจากผมจ่ายค่ารถไฟแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงที่พักอย่างไร แต่ดีที่ผู้ปกครองคนหนึ่งจากคริสตจักรของเราในเซี่ยงไฮ้มารอรับผมที่สถานีและพาผมไปที่พัก
หลังจากผมมาถึงได้ไม่นาน ผมก็ได้รับทุนไปศึกษาในสหรัฐอเมริกาโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร ผมพูดกับคนยื่นข้อเสนอให้ผมว่า “น่าประหลาดใจ!” คุณรู้เรื่องของผมได้อย่างไร? ผมเพิ่งจะออกมาจากประเทศจีนนี่เอง”
เธอตอบว่า “เราได้ยินเรื่องของคุณ”
ผมถามว่า “มีข้อผูกมัดอะไรไหม? มีเงื่อนไขอะไรบ้าง? ที่ให้ทุนการศึกษานี้ คุณต้องการอะไรจากผม?”
คุณนึกภาพออกไหม ทางรัฐบาลสหรัฐฯเสนอทุนให้กับคนที่เพิ่งออกมาจากประเทศจีน? ข้อเสนอนี้มาถึง ผมผ่านทางมิชชันนารีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่แทนรัฐบาลอเมริกัน
เธอบอกว่า “ไม่มีข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้น”
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองจึงถามว่า “คุณจะให้ทุนผมไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆหรือ? คุณจะต้องมีแผนอะไรอยู่ ไม่มีใครจะแจกเงินโดยไม่หวังอะไรหรอก”
เธอบอกว่า “ไม่มีข้อผูกมัดใดๆเลย คุณไม่ต้องจ่ายคืนแต่อย่างใด เราไม่ต้องการสิ่งใดจากคุณ สิ่งเดียวที่เราจะขอจากคุณก็คือ ขอให้คุณเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา”
“แค่นี้เองหรือ?”
“แค่นี้แหละ”
“ผมเพิ่งจะออกมาจากประเทศจีน แล้วผมจะเข้าสหรัฐอเมริกาอย่างไร?” (เวลานั้นยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศนี้)
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา เราจะจัดการเรื่องวีซ่าและเอกสารให้คุณเอง”
“เอาหละ แล้วถ้าผมไปเรียนแพทย์ ซึ่งอาจใช้เวลา 7 หรือ 8 ปี คุณรู้ไหมว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร?”
“ไม่มีปัญหาหรอก”
“ผมอาจจะต่อถึงปริญญาเอก เรียนถึงสิบปี”
“สิบปีก็ไม่มีปัญหา”
“ผมจะได้เข้ามหาวิทยาลัยไหน?”
“มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ที่คุณต้องการ”
แล้วถ้าผมจะเลือกมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดก็ได้นะสิ ถ้าผมเลือกสถาบันเอ็มไอที[5]ก็ได้ด้วยสิ ช่างเหลือเชื่อ! รัฐบาลจะดูแลทุกอย่าง มีเงื่อนไขเดียวคือเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา
ผมพูดว่า “ดูเอาเถอะ ผมเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ออกมาจากประเทศจีน ผมเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วทำไมมิตรภาพของผมจึงมีความสำคัญหรับคุณ?”
“เพราะเรารู้ว่า คุณจะไปเป็นผู้นำผู้คนของคุณ”
“ผมต้องขอบอกว่า พวกคุณฉลาดมากๆ”
“ผมต้องบอกว่าคุณฉลาดมากทีเดียว” เป็นสิ่งที่ฉลาดมากที่ซื้อมิตรในเวลาที่เขาขัดสนทางการเงิน พระเยซูตรัสถึงการสร้างมิตรโดยใช้เงินทองของโลกนี้ (ลูกา 16:9) การใช้เงินของคุณที่จะสร้างมิตร เป็นสิ่งสำคัญในโลก ถ้าหากผมจะเรียนมหาวิทยาลัยถึงสิบปี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในสมัยนั้นก็คงเป็นหมื่นๆดอลลาร์ นั่นก็คงเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับรัฐบาลที่จัดสรรเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยต่างชาติ ฉะนั้นจะเป็นอะไรไปเล่ากับเงินแค่สองสามหมื่นดอลลาร์นี้ที่พวกเขาจะกระจายให้ผมเป็นเวลาหลายปี ค่าใช้จ่ายจริงต่อปีจะอยู่แค่สองสามพันดอลลาร์ตามค่าของเงินดอลลาร์เมื่อ 50 ปีก่อน นั่นคงจะเป็นแค่หยดน้ำในตุ่มเมื่อเทียบกับงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาล แต่ด้วยเงินแค่นี้พวกเขาก็สามารถซื้อมิตรคนหนึ่งในอนาคตได้
ผมยังคงสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าผมจะเป็นผู้นำได้ มันเป็นเพราะความสามารถหรือเปล่า? ความสามารถในการมองเห็นของพวกเขานั้นก็น่าสนใจเช่นกัน ที่มีความเฉียบแหลมในทางของโลก เหมือนที่พระเยซูตรัสในลูกา 16:8 ว่า “ลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขา มากกว่าลูกของความสว่างเสียอีก” คนของโลกนี้ฉลาดและมีไหวพริบกว่าพวกคริสเตียน ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ไม่เป็นคริสเตียนมีสติปัญญาและฉลาดในสิ่งที่พวกเขาทำ
ดังนั้นโลกจึงถูกใส่พานยื่นให้กับผมอย่างนั้นเลย เธอพูดว่า “คุณจะรับข้อเสนอนี้ไหม?”
ผมพูดว่า “ผมจะไม่ทำอะไรที่นอกคำสั่งของพระเจ้า ผมจะทูลถามพระองค์ว่าผมจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่ และจะมาบอกคุณ” เธอตอบว่า “ตกลง”
ผมกลับไปที่ห้องพักและคุกเข่าต่อพระเจ้า ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า สิ่งนี้มาจากพระองค์หรือ?” ตอนนั้นผมไม่มีงาน และไม่มีเงิน ผมเพิ่งออกมาจากประเทศจีน และก็มีผู้ลี้ภัยอย่างผมเป็นจำนวนมากในฮ่องกง ที่ยังไม่มีงานทำและอยู่อย่างยากจนข้นแค้นอีกด้วย สถานการณ์ในฮ่องกงย่ำแย่และวุ่นวาย แต่ผมก็ยังได้รับโอกาสทองที่หยิบยื่นให้กับคนไม่กี่คนในโลกนี้ ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์ตรัสว่า “ไม่” ผมไม่มีงาน ไม่มีเงิน แต่ไม่ ก็คือไม่
สองสามวันต่อมาเมื่อมิชชันนารีท่านนี้พบผม และถามถึงการตัดสินใจของผม ผมพูดว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากกับข้อเสนอที่กรุณาของคุณ และผมขอบคุณ แต่พระเจ้าของผมไม่อนุญาตให้ผมรับทุนนี้”
มิชชันนารีท่านนี้รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้แสดงความโกรธหรือไม่พอใจเลย เธอพูดอย่างเรียบๆว่า “เมื่อไรที่คุณต้องการทุนการศึกษานี้ ก็จะเป็นของคุณ”
“จริงๆหรือ? แม้จะอีกสิบปี?”
“ใช่แล้ว แม้จะอีกสิบปี ทุนนี้ก็ยังเปิดโอกาสให้คุณอยู่ ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไร ก็ช่วยติดต่อฉัน แล้วคุณจะได้รับทุนนี้”
ผมไม่เคยรับทุนนี้ แต่ผมกลับเดินบนทางที่ยากลำบากของความยากจนข้นแค้นแทน หลายปีหลังจากนั้นผมต้องมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น บ่อยครั้งมากที่ผมไม่มีเงินสักสตางค์ในกระเป๋า แต่ผมก็ไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของผม หรือรู้สึกถูกทดลองให้รับข้อเสนอนี้เลย ในเมื่อพระเจ้าของผมตรัสว่า “ไม่” มันก็จบอยู่ตรงนั้น ถ้าผมเลือกทางที่ง่าย ผมก็คงจะมีชีวิตที่ดี ทุกอย่างมีคนจ่ายให้หมด แต่ผมจะต้องแลกกับการสูญเสียพลังฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของผมไป ใจของผมคงจะอ้วนพีและหนาขึ้น ตาของผมก็คงจะบอด หูของผมก็คงจะหนวก ผมก็จะเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ต่อพระเจ้า มีทางที่กว้างและเป็นทางที่ง่ายที่มีเงินทอง กับทางที่แคบและเป็นทางที่ยากลำบากที่ติดตามพระเจ้า
ผมได้หันหลังให้กับโลกหลายครั้งและผมไม่ได้เสียใจเลย เมื่อผมกำลังจะสำเร็จการศึกษาในลอนดอน ก็มีอีกข้อเสนอหนึ่งเข้ามาคือ อาจารย์ของผมเสนอให้ผมทำปริญญาเอก นี่เป็นโอกาสที่เปิดอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง เขาบอกว่า ผมสามารถเป็นผู้ช่วยสอนที่มหาวิทยาลัยได้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะเตรียมผมให้รับช่วงต่อจากเขาและรับตำแหน่งที่แผนกนั้นในวันหนึ่ง ผมขอบคุณเขาแต่บอกเขาว่า ผมไม่สนใจจะทำปริญญาเอก หรือศึกษาในสายนั้นอีกต่อไป
ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อจุดที่ต้องตัดสินใจในชีวิตของผมที่เจอกับทางแยก ที่บังคับให้ผมต้องเลือกระหว่างทางแคบกับทางกว้าง ระหว่างพระเจ้ากับเงินทอง แต่ละครั้งผมก็เดินในทางที่ยากลำบากในการติดตามพระเจ้า มันคงจะง่ายกว่ามากที่จะไปตามทางที่กว้าง แต่พระเยซูตรัสว่าคุณจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองไม่ได้
ผู้ใดยากจนในจิตวิญญาณก็เป็นสุข
เรามาศึกษาต่อถึงสิ่งที่พระคัมภีร์พูดไว้เกี่ยวกับความร่ำรวย พระคัมภีร์พูดหลายสิ่งในเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้กลับไม่ค่อยมีใครสอนในคริสตจักรจากมุมมองของพระคัมภีร์ ปัจจุบันนี้คุณจะไม่ค่อยได้ยินคำเทศนาที่พระคัมภีร์กล่าวไว้จริงๆเกี่ยวกับความร่ำรวย นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีศิษยาภิบาลคนใดต้องการจะทำให้ผู้ฟังของเขาต้องขุ่นเคืองใจ ดังที่เราจะได้เห็นเมื่อพระคัมภีร์ใหม่พูดถึงเรื่องนี้จะมีโทนเสียงในทางลบต่อความร่ำรวย ถ้าเราจะซื่อตรงต่อพระคำของพระเจ้าและซื่อตรงต่อพระเจ้าเอง เราจำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยใจที่เปิดกว้างและด้วยความจริงใจ
คำกล่าวแรกในคำเทศนาบนภูเขาคือ “ผู้ใดยากจนในจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3) จงสังเกตคำตรงนี้คือ “ในจิตวิญญาณ” หลายๆคนสุขใจกับคำ “ในจิตวิญญาณ” เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว มันทำให้เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณที่ยากจน ไม่ใช่เป็นความยากจนจริงๆ เป็นที่หวังกันว่าคนยากจนทางจิตวิญญาณจะยังคงมีเงินมากมายได้ แต่ความพยายามเช่นนี้ที่จะร่ำรวยได้อย่างชอบธรรมจะไม่ได้ผล
เมื่อใดที่พระเยซูทรงใช้คำว่า “ยากจน” ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มที่นอกเหนือข้อนี้ (มัทธิว 5:3) พระองค์มักจะหมายถึงความยากจนจริงๆ ไม่ใช่ความยากจนทางจิตวิญญาณ[6] สิ่งนี้จะเห็นได้ เช่น ในมัทธิว 19:21 (“จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่และแจกให้คนยากจน”) และแม้กระทั่งในมัทธิว 11:5 ที่ว่า “คนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนที่เป็นโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และคนยากจนได้รับข่าวดี” เป็นเรื่องน่าทึ่งที่พระกิตติคุณ หรือข่าวดี ได้สั่งสอนแก่คนยากจน
ตรงนี้พระเยซูกำลังอ้างอิงจากอิสยาห์ 61:1 ของพระคัมภีร์เดิม ในพระคัมภีร์เดิมนั้น “คนยากจน” มักจะหมายถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่ในความยากจนจริงๆ ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความยากจนฝ่ายวิญญาณ เราไม่สามารถสำรวจพระคัมภีร์เดิมได้ตรงนี้ แต่ถ้าคุณค้นดู “คนยากจน” ในส่วนของพระคัมภีร์เดิมจากศัพท์สัมพันธ์ คุณจะเห็นว่ามันจะหมายถึงคนยากจนอย่างแท้จริงเสมอ ตัวอย่างเช่น อาโมส 2:6-7 กล่าวว่าคนยากจนและคนขัดสนถูกขายแลกกับรองเท้าคู่เดียว
พระเจ้าตรัสว่า “เราจะไม่ถอนการลงโทษอิสราเอล เพราะความผิดสามครั้งหรือสี่ครั้งด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาขายคนชอบธรรมเพื่อเงิน และคนขัดสนเพื่อรองเท้าคู่หนึ่ง พวกเขาเหยียบย่ำศีรษะของคนยากจนให้จมดิน และขวางทางคนขัดสน” (อาโมส 2:6-7)
ในสองบทต่อมา เราจะเห็นการหาประโยชน์จากคนยากจนอีกครั้ง
“จงฟังถ้อยคำนี้เถิด บรรดาแม่วัวแห่งบาชานที่อยู่บนเนินเขาสะมาเรีย พวกผู้หญิงที่กดขี่คนยากจน และบดขยี้คนขัดสน และพูดกับสามีของพวกตนว่า “เอาอะไรมาให้เราดื่มหน่อย” (อาโมส 4:1)
ในคำเผยพระวจนะเชิงเหน็บแนม อาโมสเรียกพวกผู้หญิงที่ร่ำรวยนี้ว่า “บรรดาแม่วัวแห่งบาชาน” บาชานเป็นดินแดนแถบหนึ่งในอิสราเอล พื้นที่ที่มีหญ้าใช้เลี้ยงสัตว์อย่างดีที่ขุนพวกแม่วัวจนอ้วนพี พระเจ้าจะทรงตัดสินโทษพวกผู้หญิงที่ร่ำรวยเหล่านี้ที่กดขี่คนยากจน
เพราะเจ้าเหยียบย่ำคนยากจน และรีดไถข้าวสาลีจากเขา ฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านที่สร้างด้วยหินสกัดอีกเลย เจ้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าจากสวนองุ่นอันเขียวชอุ่มที่เจ้าปลูกไว้ เพราะเรารู้ว่าความผิดของเจ้ามีมากมาย และบาปของเจ้ามีนับไม่ถ้วน พวกเขากดขี่คนชอบธรรม รับสินบน และริดรอนความเป็นธรรมที่ประตูเมือง (อาโมส 5:11-12 ข้อความทั้งหมดที่ยกมาจากอาโมส มาจากฉบับ HCSB)
ทำไมจึงมีเรื่องการกดขี่คนยากจนปรากฏขึ้นซ้ำๆ? อาโมสกำลังเตือนว่าอิสราเอลจะถูกทำลายทั้งชาติเพราะมีการกดขี่คนยากจน นั่นคือประเด็น พระเจ้าจะทรงเทความพินาศมาสู่อิสราเอล การแสวงประโยชน์จากคนยากจนมีให้เห็นอีกครั้งในสามบทต่อมา ในอาโมส 8:4 (“เจ้าผู้เหยียบย่ำคนขัดสน และขจัดคนยากจนในแผ่นดิน”) และในอาโมส 8:6 (“เพื่อเราจะซื้อคนยากจนด้วยเงิน และซื้อคนขัดสนด้วยรองเท้าคู่เดียว”) ในข้อ 7 พระเจ้าตรัสว่า “เราจะไม่ลืมการกระทำทุกอย่างของพวกเขาเลย” และจากนั้นก็บรรยายรายละเอียดที่น่าสะพรึงกลัวถึงการทำลายอิสราเอลทั้งชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น (ข้อ 8 เป็นต้นไป) พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างมากกับการปฏิบัติต่อคนยากจน
เรามาถึงบทสรุป พระเยซูตรัสว่าข่าวดีได้ประกาศกับคนยากจน ในการกล่าวเช่นนี้ พระองค์กำลังอ้างอิงจากพระคัมภีร์เดิม เมื่อใดก็ตามที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงคนยากจน ก็มักจะหมายถึงผู้ที่ดำเนินชีวิตในความยากจนทางวัตถุ ไม่ใช่ในความยากจนฝ่ายวิญญาณ
เราสามารถยืนยันความเข้าใจของเราในเรื่อง “ยากจนในฝ่ายวิญญาณ” ได้โดยการเปรียบเทียบพระคัมภีร์ด้วยพระคัมภีร์ สิ่งที่พระเยซูตรัสในมัทธิวบทที่ 5 เกี่ยวกับคนยากจนถูกกล่าวซ้ำอีกในลูกา 6:20-25
20 พระองค์ทอดพระเนตรดูเหล่าสาวกของพระองค์แล้วตรัสว่า “ผู้ที่ยากจนก็เป็นสุข เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่านแล้ว 21 ผู้ที่หิวโหยอยู่ในเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้อิ่มหนำ ผู้ที่ร่ำไห้อยู่ในเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้หัวเราะ 22 ผู้ที่คนทั้งหลายเกลียดชัง เมื่อพวกเขาถูกขับไสและถูกดูหมิ่น และปฏิเสธชื่อของท่านว่าเป็นคนชั่วช้าเพราะเห็นแก่บุตรมนุษย์ ก็เป็นสุข 23 จงชื่นชมยินดี ในวันนั้นและกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็ปฏิบัติต่อพวกผู้เผยพระวจนะอย่างนั้น 24 แต่วิบัติแก่เจ้าผู้ที่มั่งมี เพราะเจ้าได้รับความสุขสบายแล้ว 25 วิบัติแก่เจ้าผู้ที่อิ่มหมีพีมันอยู่ในเวลานี้ เพราะเจ้าจะหิวโหย วิบัติแก่เจ้าผู้ที่หัวเราะอยู่ในเวลานี้ เพราะเจ้าจะเศร้าสลดและร่ำไห้” (ลูกา 6:20-25 ฉบับ NIV)
โปรดสังเกตสองข้อความที่ขีดเส้นใต้ ในการตีความแล้ว ถ้า “คนที่ยากจน” ในข้อ 20 เป็นคนยากจนฝ่ายวิญญาณ (ตามที่คริสเตียนส่วนใหญ่คิด) ถ้าเช่นนั้น “คนที่มั่งมี” ที่ตามมาในข้อ 24 ก็ต้องเป็นคนที่มั่งมีในฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “แต่วิบัติแก่เจ้าผู้ที่มั่งมี”? คำว่า “วิบัติ” ก็คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะคนมั่งมีฝ่ายวิญญาณก็ต้องเป็นสุขในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ใช่ถูกสาปแช่ง ดังนั้นพระเยซูจะต้องหมายถึงคนร่ำรวยจริงๆในข้อ 24 และคนยากจนจริงๆในข้อ 20 เราไม่สามารถจะเปลี่ยน “คนยากจนในจิตวิญญาณ” ให้เป็นเรื่องความยากจนของฝ่ายวิญญานได้
แล้วทำไมพระเยซูจึงใช้คำ “ยากจนในฝ่ายวิญญาณ” ในมัทธิว 5:3? นั่นเป็นเพราะความยากจนจริงๆนั้นไม่ได้รับประกันจากพระเจ้าว่าจะเป็นสุข มีคนยากจนมากมายที่รักความร่ำรวยพอๆกับที่คนร่ำรวยรักความร่ำรวย ไม่ใช่แต่คนรวยเท่านั้นแต่คนยากจนก็โลภพอๆกัน พระเยซูตรัสถึง “คนที่ยากจนในฝ่ายวิญญาณ” ก็เพราะแค่ยากจนเท่านั้นก็ยังไม่ดีพอ จะต้องมีความตั้งใจในฝ่ายวิญญาณที่จะยากจนในแง่ที่คนนั้นไม่ละโมบหาความร่ำรวย ถ้าคุณเป็นคนจนและคุณปรารถนาความร่ำรวย คุณก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนรวย สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือคนรวยนั้นมีเงินและคนจนไม่มี คนจนหวังว่าสักวันหนึ่งจะรวย บางทีอาจจะถูกล็อตตารี่ ถ้าใจของพวกเขาปรารถนาความร่ำรวย พวกเขาก็จะไม่เป็นสุขจากพระเจ้าเช่นกัน
เราอาจพูดได้อย่างนี้ว่า คุณสามารถเป็นคนยากจนได้โดยไม่ได้เป็นคนชอบธรรมหรือคนฝ่ายวิญญาณ แต่คุณจะเป็นคนชอบธรรมหรือคนฝ่ายวิญญาณไม่ได้ โดยที่คุณไม่ได้เป็นคนยากจน
การดำเนินชีวิตในทางปฏิบัติจริง
คนส่วนมากมองว่าการรักเงินทองไม่ใช่เรื่องผิด วิธีคิดแบบนี้ได้ฝังแน่นในตัวเรามาตลอดชีวิตของเราที่ว่า “ฉันรักเงินทองแต่ฉันก็รักพระเจ้า แล้วจะผิดอะไรหรือ?” นี่เป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการมอบ
พระเยซูบอกเราในมัทธิวบทที่ 6 ไม่ให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวเองในโลก แต่เราก็ทำแบบนี้ทุกวัน เมื่อฉันเจ็บป่วย ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างไร? ฉันจำเป็นต้องมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยด้วย ฉันต้องซื้อชุดรับแขก แล้วจะให้ฉันนั่งบนพื้นหรือ? ถ้าคุณแต่งงานหรือคุณมีลูก ค่าใช้จ่ายของคุณจะเพิ่มขึ้น การไม่มีเงินก็หมายถึงไม่มีการแต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีบ้าน เมื่อคุณเกษียณใครจะมาเลี้ยงดูคุณ? คุณจะอาศัยพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไม่ได้ เพราะพ่อแม่ของคุณอาจต้องการให้คุณเลี้ยงดู แล้วค่าเล่าเรียนของลูกคุณล่ะ? ถ้าคุณไม่สะสมตอนนี้แล้วคุณจะจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ยังไง?
และเราจะไม่ดูตามความเป็นจริงในชีวิตหรือ? ทำไมเราจึงใช้ชีวิตอยู่กับความเพ้อฝัน เราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าไม่มีเงินเราก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ การพูดถึงการมอบทั้งหมดต่อพระเจ้าก็พูดได้ แต่เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราต้องอยู่กับความเป็นจริง เมื่อคุณขึ้นรถเมล์คุณก็ต้องจ่ายค่าโดยสาร คุณจะรอคนที่มีน้ำใจมาจ่ายค่าเดินทางให้คุณหรือ?
ดังนั้นเราจึงหาเหตุผลว่า “ชีวิตคริสเตียนไม่ได้อยู่ในความเป็นจริง แต่เราเป็นพวกที่อยู่ในความเป็นจริงที่รู้ถึงความสำคัญของเงินทอง แต่เราจะพยายามไม่รักเงินทองให้มากจนเกินไป พระเยซูตรัสว่า จงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในโลก แต่มันเป็นไปไม่ได้ในยุคปัจจุบัน ในสมัยนี้มีใครบ้างที่ไม่มีบัญชีธนาคาร? คุณจะชำระค่าใช้จ่ายไม่ได้ถ้าไม่มีบัญชีธนาคาร บัญชีธนาคารมีเงินอยู่ในนั้น นั่นจะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติใช่ไหม?”
แล้วเช่นนั้น เราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูที่ไม่ให้สะสมทรัพย์สมบัติได้อย่างไร? เราต้องคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง ในบทต่อไปเราจะพูดต่อในเรื่องนี้
ผมสามารถบอกกับคุณได้อย่างเต็มปากว่าผมได้ดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนนี้ และเห็นไหม ผมก็ยังอยู่ได้เลย ผมรู้กับตัวเองว่ามันใช้ได้ ผมเป็นพยานได้ว่าตั้งแต่มารู้จักพระเจ้าจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ตามความจริงแล้ว ผมไม่เคยสะสมอะไรจากรายได้ของผมเลย ซึ่งอย่างแรกนั้นผมก็ไม่ได้มีรายได้อะไรมากที่จะพูดถึงได้ เมื่อผมทำงานที่คริสตจักรลอนดอน ผมไม่ได้รับเงินเดือนเป็นปีๆในการทำงานในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ แม้ว่าผมจะนำศึกษาพระคัมภีร์ทุกสัปดาห์ เทศนาบางครั้งก็เดือนละสองครั้ง นำกลุ่มที่นั่น และสอนในการประชุมของคริสตจักร ผมไม่เคยได้รับสักสตางค์เดียวในการทำงานอยู่หลายปี และผมก็ไม่ได้เรียกร้องที่จะได้ด้วย เมื่อผมไปอยู่ที่คริสตจักรลิเวอร์พูล ผมก็ไม่ได้รับเงินจากคริสตจักร ผมบอกปัดที่จะรับเงินเดือนจากที่นั่น ผมได้รับเงินสนับสนุนจากความสมัครใจถวายให้ ที่จริงคนส่วนมากในคริสตจักรไม่รู้ว่าผมได้รับเงินสนับสนุนด้วยการสมัครใจถวาย พวกเขาไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าเงินที่ลงไปในกล่องถวายนั้นไม่ได้มาถึงผม และนั่นเองที่ผมไม่ได้รับจากคริสตจักร
คำแบ่งปันส่วนตัว: คำสอนของพระเยซูทำได้จริงๆ
ในขณะเดียวกัน ผมก็สามารถเป็นพยานได้ว่า ผมได้ดำเนินชีวิตตามหลักการของการไม่สะสมทรัพย์สมบัติ และผมยังอยู่! ผมรู้ด้วยตัวของผมเองว่าทำได้จริง นับตั้งแต่ผมมารู้จักพระเจ้า ผมไม่เคยเก็บออมสิ่งใดจากรายได้ของผมเลยจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าในกรณีใด ผมไม่ได้รับอะไรที่คุ้มค่าพอที่จะพูดถึง สมัยเป็นนักศึกษา เมื่อผมรับใช้ในคริสตจักรแห่งหนึ่งในลอนดอน ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนหลายปีในการทำงาน แม้ว่าผมจะเป็นผู้นำการศึกษาพระคัมภีร์ทุกสัปดาห์ บางครั้งก็เทศนาเดือนละสองครั้ง นำกลุ่มอื่นๆ และสอนในการประชุมใหญ่ของคริสตจักร ผมไม่ได้รับเงินสักบาทเดียวจากการทำงานหลายปี และผมก็ไม่ถามหาค่าตอบแทนใดๆ
ก่อนที่ผมจะย้ายไปแคนาดา ผมต้องแจ้งว่ามีเงินสุทธิเท่าไรของผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่ ผมต้องกรอกแบบฟอร์ม แต่ผมไม่มีเงินที่จะสำแดง ผมคิดในใจว่า “ถ้าผมจะเข้าประเทศแคนาดาและไม่สามารถแม้แต่จะสำแดงเงินสุทธิไม่กี่ดอลลาร์ได้ พวกเขาคงจะสงสัยว่าผมเป็นคนเข้าเมืองแบบไหนกัน” ถ้าผมเขียนลงไป 50 ดอลลาร์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองคงคิดว่า “หมอนี่มีภรรยาและลูกหนึ่งคน และครอบครัวนี้มาถึงแคนาดาด้วยเงินแค่ 50 ดอลลาร์แค่นั้นหรือ?” ผมจึงทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ควรจะเขียนลงไปในแบบฟอร์มนี้เท่าไรดี?” หลังจากรอคอยต่อพระพักตร์พระเจ้า ผมทูลว่า “ถ้าพระองค์ไม่ว่าอะไร ข้าพระองค์จะใส่จำนวน 1,000 ดอลลาร์โดยความเชื่อ” ผมไม่มีเงิน 1,000 ดอลลาร์แคนาดา แต่ผมแจ้งเป็นจำนวนนั้นโดยความเชื่อ
เมื่อผมมาถึงเมืองมอนทรีออล เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองถามผมว่า “ที่คุณเขียนว่า 1,000 ดอลลาร์ในแบบฟอร์ม คุณมีจริงๆหรือ?” ผมพูดว่า “รอเดี๋ยวครับ ขอผมนับก่อน” ผมดึงทุกสิ่งที่มีออกมา ผมบอกภรรยาให้เอาทุกสิ่งที่มีวางไว้บนโต๊ะด้วย เรานับได้ 1,004 ดอลลาร์ นี่เป็นเงินสุทธิทั้งหมดของเรา ตลอดระยะเวลาหลายปีที่รับใช้ในคริสตจักร ผมสามารถมีเงิน 1,004 ดอลลาร์วางบนโต๊ะนั้น ซึ่งส่วนใหญ่มอบให้เราเป็นของขวัญอำลาก่อนเราจะออกจากลิเวอร์พูล
เมื่อคุณย้ายไปประเทศใหม่ คุณจำเป็นต้องซื้อของใช้สอย เมื่อมาจากประเทศอังกฤษ เราไม่มีเสื้อผ้าหนาๆและรองเท้าบูทสำหรับฤดูหนาวของประเทศแคนาดา และของใช้พวกนี้ก็มีราคาแพง แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่เราจำเป็นให้กับเรา
เราไม่เคยเก็บเงินสำรองไว้จากรายได้ของเราเลย ทุกๆสิ้นเดือนมันจะลดลงเหลือศูนย์ และเราต้องการจะให้เป็นแบบนั้น การไม่มีเงินเหลือสักสตางค์จะหมายความว่า เรามีความลำบากเรื่องการเงินไหม? ไม่ใช่เลย! ที่จริงแล้วเราไม่เคยขาดสิ่งใดเลย
ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ แล้วคุณจะสอนพระคัมภีร์ได้อย่างไร? ถ้าผมไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ ผมคงจะไม่สามารถอธิบายคำสอนเรื่องความร่ำรวยได้อย่างมั่นใจ
[1] New American Standard Bible (NASB); King James Version (KJV), “Make the heart of this people fat”
[2] Holman Christian Standard Bible (HCSB)
[3] Time magazine
[4] Jim and Tammy Faye Bakker
[5] Havard University; Massachusetts Institute of Technology (MIT)
[6] มัทธิว 11:5; 19:21; 26:11; มาระโก 10:21; 12:43; 14:7; ลูกา 4:18; 6:20; 7:22; 14:13; 14:21; 16:20,22; 18:22; 21:3; ยอห์น 12:8