pdf pic

บทที่ 5 

opq9f8d60W7AwO14vHJ-o.png

 

การสร้างใหม่

 

     หลังจากที่ศึกษาพระคำของพระเจ้าอยู่หลายชั่วโมงวันก่อนหน้านี้  ผมจึงพูดกับเฮเลนว่า “ผมเริ่มจะเห็นความจริงที่องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังเปิดเผยกับผม  แต่ผมไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงอย่างไรเพื่อเอาไปสอน” ถ้าหากพระองค์ไม่ช่วยผม ผมก็คงไม่สามารถจะทำให้คุณเข้าใจความจริงได้ มันเหมือนกับการเรียงชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกันและยังงงๆอยู่ว่า “มันจะต่อเข้ากันพอดีได้อย่างไร?”  ถึงอย่างไรผมก็นอนหลับสบายและฝากเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์ขององค์ผู้เป็นเจ้าด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงนำผมแต่ละวัน  เมื่อผมตื่นขึ้นผมก็เข้าเฝ้าองค์ผู้เป็นเจ้าตามปกติ  แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงจัดทุกสิ่งเป็นลำดับให้กับผมอย่างที่ผมคาดไว้ว่าพระองค์จะทรงทำให้ผม

         คำสอนของบทนี้สำคัญเพราะมุ่งเน้นกับความรอดตามที่เปิดเผยให้เห็นในพระคัมภีร์ใหม่และอันที่จริงแล้วก็ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  แต่ความรอดหรือหลักคำสอนเกี่ยวกับความรอด[1] เป็นหัวข้อที่กว้างมาก  และโดยพระคุณขององค์ผู้เป็นเจ้า ผมจะพยายามย่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ผมได้อธิบายเรื่องความรอดอย่างละเอียดในหนังสือ “การมาเป็นคนใหม่”[2]  จึงมีหลายจุดที่ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงในบทนี้

         ก่อนอื่นผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ทั้งสี่บทที่ผ่านมามีพระเจ้าพระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางและจุดสำคัญซึ่งควรเป็นเช่นนั้น  จากตั้งแต่การสร้างไปจนถึงการไถ่นั้นทุกสิ่งมุ่งเน้นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา  เมื่อเราได้จุดสำคัญที่ถูกต้องแล้วอย่างอื่นก็กระจ่างขึ้น  แต่ถ้าเราพลาดจากจุดนี้ สุดท้ายเราก็จะสับสนอย่างมาก

         ผมต้องการที่จะทำให้คำสอนในบทนี้ชัดเจนมากกับทุกคนที่แม้แต่เด็กรวีฯก็สามารถเข้าใจได้  ถ้าผมพูดสิ่งที่เข้าใจยากพวกเขาอาจจะบอกว่า “น่าทึ่งดี!”  ผมเคยได้ยินบางคนพูดว่า “คำเทศนานี้เยี่ยมยอด  แต่ผมไม่เข้าใจสักคำ!” คำเทศนาข้ามหัวของพวกเขาไปก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถจะเข้าใจได้  ขณะเดียวกันเมื่อคุณฟังผู้บรรยายหรืออาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่พูดแบบเรื่อยเปื่อย  คุณอาจคิดว่าคำบรรยายนั้นสูงส่งและเลิศลอย แต่ตามจริงแล้วไม่มีเนื้อหาสาระเอาเสียเลย ที่จริง “การพูดแบบเรื่อยเปื่อย” มักจะหมายถึงหาเนื้อหาสาระไม่ได้ ผมก็เคยนั่งฟังหลายคำบรรยายโดยไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้บรรยายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ คนบางคนประทับใจเมื่อพวกเขาฟังการบรรยายที่พวกเขาไม่เข้าใจ  แต่ผมจะประทับใจเมื่อมีใครอธิบายสิ่งนั้นให้ผมเข้าใจอย่างชัดเจนที่ฟังแล้วแล้วเริ่มจะเข้าใจได้ดี

        ขณะเมื่อศึกษาอยู่ในลอนดอน ผมนั่งฟังคำบรรยายจากอิสยาห์ 53 โดยอาจารย์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง พวกเราทั้งหมดที่เป็นนักศึกษาศาสนศาสตร์ปีที่หนึ่งและปีที่สองเบียดเสียดกันแน่นในห้องบรรยาย  ผมเป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวในภาควิชาพระคัมภีร์ใหม่ที่เคยเรียนภาษาฮีบรูมาก่อน ในขณะที่นักศึกษาคนอื่นๆไม่รู้ภาษาฮีบรู  อาจารย์ผู้บรรยายก็พูดไปเรื่อยๆพึมพำอะไรบางอย่างเป็นภาษาฮีบรูโดยไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์กำลังพูดถึงอะไร  ผมคิดในใจว่า “อาจารย์กำลังพูดถึงอะไรหรือ?”  ภาษาฮีบรูของผมมันแย่หรือว่ามีอะไรผิดๆในคำบรรยายของเขากันแน่? ผมมองไปรอบๆเห็นว่าทุกคนจ้องตาแป๋วโดยไม่ได้ระแคะระคาย  พวกเขาคงออกมาจากห้องบรรยายคิดว่า “เป็นคำบรรยายที่เยี่ยมยอด!”  ขนาดผมที่รู้ภาษาฮีบรูยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แล้วคนที่น่าสงสารเหล่านี้ที่ไม่รู้ภาษาฮีบรูเลยล่ะจะเป็นอย่างไร?

 

พระวาทะของพระเจ้า

          “พระวาทะของพระเจ้า”(Word of God)[3] ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้เป็นคำพูดที่ใช้อยู่ประมาณ 40 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  คุณสามารถตรวจสอบดูได้ในภาษากรีกหรือในภาษาอังกฤษจากโปรแกรมพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์ “พระวาทะของพระเจ้า” ที่ปรากฏประมาณ 40 ครั้งไม่ได้เป็นชื่อเรียกพระคริสต์ แต่จะหมายถึงถ้อยคำแห่งความรอดของพระเจ้าหรือไม่ก็จะหมายถึงพระกิตติคุณเสมอ  จากจำนวนปรากฏ 40 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  จำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่คือ 11 ครั้งจะพบในหนังสือกิจการ  นี่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายเพราะหนังสือกิจการเป็นบันทึกของการที่พระวจนะของพระเจ้าถูกประกาศออกไป  และการที่ผู้ได้ยินได้ฟังหันมาหาพระวาทะของพระเจ้า

          เมื่อพูดถึง “พระวาทะของพระเจ้า” คำว่า “พระเจ้า” นี้คุณหมายถึงใครหรือ?  มาถึงตอนนี้คุณน่าจะรู้ว่าพระเจ้าคือพระยาห์เวห์เพราะเท่าที่ทราบจากพระคัมภีร์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่น  พระวาทะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่และในพระคัมภีร์เดิมจะเป็น “พระวาทะของพระยาห์เวห์” เป็นคำพูดที่ปรากฏหลายครั้งมากในพระคัมภีร์เดิม   ในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกฉบับเซปทัวจินต์[4]เองเฉพาะคำกรีก “โลกอส” (วาทะ)[5] มีปรากฏ 1,239 ครั้ง   เมื่อใช้กับพระเจ้า  “โลกอส” ก็คือพระวาทะของพระยาห์เวห์  ซึ่งก็คือถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ตรัสหรือประกาศ

         ในทางกลับกัน “พระวาทะของพระคริสต์”[6] มีปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในพระคัมภีร์ใหม่ในโคโลสี  3:16 ที่หมายความแค่ว่า “ถ้อยคำเกี่ยวกับพระคริสต์” หรือ “ข้อความเกี่ยวกับพระคริสต์”   แต่ตรงข้ามกับ “พระวาทะของพระเจ้า” ที่มีความหมายกว้างกว่าเพราะว่าเป็นถ้อยคำที่เริ่มจากและออกมาจากพระเจ้าแต่ก็เป็นถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย  พระวาทะของพระเจ้าเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า (พระยาห์เวห์) และเป็นถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ใช้ไวยากรณ์ที่บอกความเป็นเจ้าของ[7]เมื่อกล่าวถึงถ้อยคำที่มาจากพระยาห์เวห์ และบอกความเกี่ยวข้องกับผู้เป็นเจ้าของที่ถูกกล่าวถึง[8]เมื่อกล่าวถึงถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระยาห์เวห์

        พระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของพระวาทะของพระเจ้าหรือพระวาทะของพระยาห์เวห์  นี่ตรงข้ามกับวิธีที่เรามักจะใช้พระวาทะของพระเจ้าราวกับว่าเป็นพระวาทะเกี่ยวกับพระคริสต์ทั้งๆที่ความจริงแล้ว “พระวาทะของพระคริสต์” มีปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ใหม่  เราได้บิดเบือนความหมายและการเน้นของพระวาทะของพระเจ้า  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมแปลกใจและกังวลใจที่พบว่าในพระคัมภีร์ใหม่มีพระคัมภีร์อ้างอิงเพียงข้อเดียวถึง “พระวาทะของพระคริสต์” ในพระคัมภีร์ใหม่ (โคโลสี 3:16 ฉบับ 1971) ในฐานะของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่สอนคนอื่นว่า “พระวาทะของพระเจ้า” คือคำเรียกพระคริสต์ ตัวผมเองต้องแปลกใจที่พบว่าไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่ที่ใช้คำนี้เป็นคำเรียกพระคริสต์    เราได้ตั้งคำเรียกให้กับพระคริสต์โดยที่พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้หมายถึงพระองค์เช่นนั้น

         ข้อเดียวที่ “พระวาทะของพระเจ้า” อาจใช้กับพระคริสต์ก็คือวิวรณ์ 19:13 ที่เราได้ดูกัน  แต่ที่เราได้เห็นก็คือบุคคลที่เรียกว่า “พระวาทะของพระเจ้า” ในข้อนี้ไม่ใช่พระคริสต์  นี่ยังเป็นข้อสรุปของ อาร์ เอช ชาลส์[9] ผู้เชี่ยวชาญหนังสือวิวรณ์มากกว่าใคร   ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์วิวรณ์ฉบับภาษากรีกของ ชาลส์สองชุดเขาได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราตรวจสอบบริบทก็จะพบว่า “พระวาทะของพระเจ้า” ไม่ได้หมายถึงพระคริสต์แต่หมายถึงพระกิตติคุณเหมือนตามปกติ  พระกิตติคุณถูกประกาศออกไปอย่างมีชัยชนะเหมือนกับผู้ทรงม้า  จากเบื้องหลังพระคัมภีร์เดิมของข้อนี้ (ในอิสยาห์ 63) ผู้ทรงม้าชี้ไปที่พระยาห์เวห์  พระองค์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “นักรบ” ในพระคัมภีร์เดิม (อิสยาห์ 42:13)  พระองค์ออกไปปราบด้วยถ้อยคำของพระกิตติคุณซึ่งพระองค์ทรงนำออกมา  หลังจากที่ได้ตรวจสอบหลักฐานผมจึงเห็นด้วยกับอาร์ เอช ชาลส์  คุณสามารถตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวคุณเองโดยค้นหาข้อมูลจากคู่มือพระคัมภีร์สองชุดนี้

 

ผู้ที่พวกเขาได้แทง

          คราวก่อนเราดู เศคาริยาห์ 12:10

“และเราจะเทวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดกับชาวเยรูซาเล็ม  เขาจะมองดูเรา ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง[10]  เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน  เหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน  และจะร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อบุตรหัวปีของตน” (ฉบับไทยคิงเจมส์)

        เมื่อเราอ่านข้อนี้ที่เกี่ยวกับผู้ที่ถูกแทง  เรามักจะคิดถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซู  เราสามารถจะอ่านพระคัมภีร์และมองไม่เห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ถูกแทงแม้ว่าพระเยซูได้ทรงทุกข์ทรมาน “เขาจะมองดูเรา ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง”  ในข้อความที่น่าสังเกตนี้เราจะเห็นว่าไม่ใช่พระเยซูเท่านั้นที่ทุกข์ทรมานเพื่อเรา  แต่เป็นพระยาห์เวห์ในพระคริสต์ผู้ทรงทุกข์ทรมานเพื่อเราด้วย  ที่เศคาริยาห์ 12:10 กล่าวถึงพระยาห์เวห์นั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรู เช่น คีลกับเดอลิซช์[11]

         ความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณนั้นหนักกว่าความทุกข์ทรมานทางกายมากนัก  ปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง “เดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์”[12]  ก็คือว่าภาพยนตร์มุ่งเน้นเฉพาะความทุกข์ทรมานทางกายเป็นส่วนมาก  มีการเฆี่ยน การโบยตี การแบกกางเขน  พระวรกายสิ้นเรี่ยวแรง  และการตอกตะปูที่แทงทะลุพระหัตถ์ การแทงครั้งสุดท้ายด้วยทวนนั้นไม่ได้เจ็บปวดเลยเพราะตอนนั้นพระเยซูสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

         แล้วความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณล่ะ?  ความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ที่เกท​เสมนีนั้นยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานที่กางเขนมาก นี่คือสิ่งที่คริสเตียนส่วนมากไม่เข้าใจ ตัวผมเองได้เจอความเจ็บปวดทางร่างกายแม้กระทั่งความเจ็บแปลบเหมือนมีอะไรแทงเข้าไปในเนื้อ  ผมคิดว่าการตอกตะปูลงบนมือนั้นไม่เจ็บปวดเท่าการใช้อะไรแหลมๆแทงเข้าที่สะโพกหรือหลังของคุณ  พวกคุณที่เคยทนความทุกข์ทรมานทางกายแค่เล็กน้อยจะรู้ว่าความทุกข์ทรมานทางกายเป็นความทรมานที่น้อยสุดในความทุกข์ทรมานต่างๆของพระคริสต์

         ความทุกข์ทรมานที่หนักสุดก็คือความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณ  ถ้าคุณเคยทุกข์ทรมานในส่วนที่ลึกที่สุดของคุณ ที่ใจของคุณแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆจากความเจ็บปวดรวดร้าวข้างในจนคุณต้องตื่นอยู่ทั้งคืนคุณก็จะเข้าใจความทุกข์ทรมานที่ลงไปลึกกว่าความทุกข์ทรมานใดๆทางกาย  นั่นเป็นความทุกข์ทรมานแบบที่พระเยซูเจอที่เกทเสมนี   คำว่า “เขาจะมองดูเรา ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง” เผยให้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานในจิตวิญญาณที่พระยาห์เวห์ได้เจอ

         มีการเปลี่ยนที่เด่นชัดเกิดขึ้นตรงช่วงกลางข้อที่ “เรา” เปลี่ยนเป็น “ท่าน”  คือ “เขาจะมองดูเรา[13] ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง  เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน[14]  เหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน” ฉบับนิว-อเมริกันแสตนดาร์ด[15]ใช้อักษรตัวใหญ่ตรงสรรพนามทั้งสองคำเพื่อบอกว่าพวกเขากล่าวถึงพระยาห์เวห์

      ทำไมจึงเปลี่ยนจาก “เรา” มาเป็น “ท่าน”?  มันดูเหมือนว่าพระเจ้าหยุดตรัสหลังจากกล่าวว่า “เราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง” แล้วเศคาริยาห์ก็พูดต่อ “เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน”  แต่จากคำพูดที่ต่อเนื่องจึงไม่มีมูลเหตุให้คิดว่าพระเจ้าจะหยุดตรัสกลางคันในคำกล่าวนั้น  อะไรคือเหตุผลของการเปลี่ยนนี้?  เราจะพบคำตอบเมื่อเราอ่านต่อไปในเศคาริยาห์ 13:7  ซึ่งกล่าวสิ่งที่น่าสะดุดตาว่า

  “พระ​ยาห์​เวห์​จอม​ทัพ​ตรัส​ว่า “ดาบ​เอ๋ย จง​ตื่น​ขึ้น​ต่อ​สู้​ผู้​เลี้ยง​แกะ​ของ​เรา จง​ต่อ​สู้​ผู้​ที่​สนิท​กับ​เรา[16]

  จง​ตี​ผู้​เลี้ยง และ​ฝูง​แกะ​นั้น​จะ​กระ​จัด​กระ​จาย​ไป เรา​จะ​พลิก​มือ​ของ​เรา​มา​ต่อ​สู้​กับ​ตัว​เล็ก​ตัว​น้อย”

            องค์ผู้เป็นเจ้าตรัสว่าดาบจะฟัน “ผู้เลี้ยงแกะของเรา” คนที่พระยาห์เวห์เรียกว่า “ผู้ที่สนิทกับเรา”  มันกลายเป็นว่า “ท่าน” ในเศคาริยาห์ 12:10 ก็คือผู้ที่สนิทของพระยาห์เวห์  จะเห็นในเศคาริยาห์ 13:7 ว่าการตีผู้ที่สนิทของพระองค์ก็คือการตีพระยาห์เวห์  คำฮีบรูว่า “ผู้ที่สนิท” จะพบไม่บ่อยในพระคัมภีร์เดิม และส่วนใหญ่จะปรากฏในหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม[17] ซึ่งเป็นหนังสือพระบัญญัติ คำนี้ปรากฏ 10 ครั้งในพระคัมภีร์ห้าเล่มแรกและปรากฏเพียงครั้งเดียวที่นอกเหนือจากหนังสือพระบัญญัติ (ในเศคาริยาห์ 13:7 ข้อนี้)  ตัวอย่างเช่นในเลวีนิติจะมีความหมายว่าเพื่อนบ้านหรือมิตรสหาย  คำนี้จะไม่ค่อยพบในพระคัมภีร์เดิมแต่ก็ไม่ใช่คำที่ไม่มีใครรู้จัก  คำ “ผู้ที่สนิทของเรา” ในเศคาริยาห์สามารถจะแปลว่า “สหายของเรา” หรือ “เพื่อนบ้านของเรา”

         ที่สำคัญก็คือพระเยซูทรงมองเศคาริยาห์ 13:7 ว่าหมายถึงพระองค์เอง (มัทธิว 26:31 มาระโก 14:27)  พระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะผู้ซึ่งจะถูกประหารด้วยดาบที่มนุษย์ตัดสินโทษ  ดาบเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของมนุษย์และการตัดสินความต่อหน้าผู้มีอำนาจนั้น  ผู้มีอำนาจปกครองไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ (โรม 13:4)  พระเยซูทรงยกอ้างจากเศคาริยาห์โดยตรงว่า

เวลา​นั้น​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ทั้ง​หลาย​ว่า “ใน​คืน​วันนี้​พวก​ท่าน​ทุก​คน​จะ​ทิ้ง​เรา เพราะ​มี​คำ​เขียน​ไว้​ใน​พระ​คัม​ภีร์​ว่า ‘เรา​จะ​ประ​หาร​ผู้​เลี้ยง​แกะ และ​แกะ​ฝูง​นั้น​จะ​กระ​จัด​กระ​จาย​ไป’  (มัทธิว 26:31)

           เราไม่จำเป็นต้องเดาความหมายของเศคาริยาห์ 13:7 เพราะพระเยซูทรงอธิบายกับเรา  พระองค์ทรงใช้ข้อนี้กับตัวพระองค์เองซึ่งหมายความว่าพระเยซูเป็นผู้ที่สนิทเป็นพิเศษคนนั้นและเป็นเพื่อนบ้านและสหายของพระยาห์เวห์ด้วย   คำพูดในมัทธิว 26:31 (และมาระโก 14:27) ได้พูดก่อนการจับกุมและไต่สวนพระเยซู

           ทั้งหมดนี้น่าคิด แต่ยิ่งน่าแปลกใจมากกว่าคือกิจการ 20:28 ข้อที่ทำให้เรารู้ถึงความคิดของเศคาริยาห์ 12:10 แต่ก็ได้ทำให้นักวิชาการงุนงงมาเป็นเวลานาน  มีการแปลในหลายแบบในฉบับภาษาอังกฤษต่างๆ  เช่น “จง​เฝ้า​ระวัง​ทั้ง​ตัว​พวก​ท่าน​เอง​และ​ฝูง​แกะ​ซึ่ง​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ทรง​ตั้ง​พวก​ท่าน​ไว้​ให้​เป็น​ผู้​ดูแล และ​ให้​เลี้ยง​ดู​คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า ที่​พระ​องค์​ทรง​ซื้อ​มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​​พระ​องค์เอง” (กิจการ 20:28)[18]

      ตอนท้ายของคำกล่าวที่แปลตรงตัวในฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ดนี้เป็นปัญหาอย่างมากเพราะผู้แปลบางคนได้เปลี่ยนจาก “พระโลหิตของพระองค์เอง” มาเป็น “พระโลหิตของพระบุตรของพระองค์เอง”[19] ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เปาโลกำลังพูดอยู่   “พระเจ้า” ตรงนี้หมายถึงพระยาห์เวห์   ดังนั้น “คริสตจักรของพระเจ้า” จึงหมายถึงคริสตจักรของพระยาห์เวห์  คำกล่าวนี้ไม่ได้ให้ความหมายว่าเป็น “คริสตจักรของพระคริสต์”

            เราเข้าใจ “คริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง” อย่างไร?  เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมงงกับข้อนี้แต่ตอนนี้แทบจะไม่เป็นปัญหา พระเจ้าไม่ได้มีโลหิตที่พระองค์จะใช้ซื้ออะไร?   พระเจ้าเป็นวิญญาณและไม่มีเนื้อและเลือดเหมือนมนุษย์เรา

             เศคาริยาห์ 12:10 กล่าวว่าพระยาห์เวห์ทรงถูกแทง  แต่พระองค์จะถูกแทงได้อย่างไร?  ก็โดยทางผู้เลี้ยงที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่สนิทและสหายของพระองค์  ความเกี่ยวข้องกันระหว่างพระเจ้า (พระยาห์เวห์) กับมนุษย์ผู้นี้ (พระเยซู) ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลยเพราะเมื่อคุณกระทำกับคนหนึ่งก็เท่ากับคุณกระทำกับอีกคนหนึ่งด้วย  คนที่ไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ยอมรับพระเจ้า  คนที่ข่มเหงพระเยซูก็ข่มเหงพระเจ้า  คนที่แทงพระเยซูก็แทงพระเจ้า

          พระเยซูตรัสว่า “ผู้​ที่​รับพวก​​ท่าน​ก็​รับ​เรา และ​ผู้​ที่​รับ​เรา​ก็​รับ​พระ​องค์​ผู้ทรง​ใช้​เรา​มา” (มัทธิว 10:40 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เราเองก็เกี่ยวข้องกับพระเจ้าอย่างแยกออกจากกันไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งใดก็ตามที่คนกระทำกับเราก็เท่ากับกระทำกับพระเจ้าด้วย  อันที่จริงเราจะพบว่าในทางปฏิบัติแล้วทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ก็นำมาใช้กับเราด้วยเช่นกัน  นั่นเป็นเพราะว่าพระเยซูทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา

     เรามีรากฐานในความเข้าใจเรื่องราคาที่พระยาห์เวห์ต้องจ่ายเพื่อช่วยเราให้รอดในพระคริสต์ ทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงทุกข์ทรมานในพระกายของพระองค์นั้นพระยาห์เวห์ก็ทรงทุกข์ทรมานอยู่ในพระคริสต์  พระคัมภีร์กล่าวว่าในความทุกข์ของคนอิสราเอลนั้นพระยาห์เวห์ก็ทรงทุกข์กับพวกเขา

 

ความรอดกับการสร้างใหม่

          ความรอดในแผนการของพระเจ้าอยู่กับคำว่า “การสร้างใหม่”  คำว่า “ใหม่” เป็นคำคุณศัพท์ที่อธิบายถึง “การสร้าง”  เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างก่อน  ก่อนที่เราจะพิจารณาถึงอะไรที่ใหม่

         ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่นั้นการสร้างเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์  มนุษย์เป็นยอดของการสร้างของพระเจ้า  สดุดี 8:5 กล่าวถึงมนุษย์ว่า “พระ​องค์​ทรง​สร้าง​เขา​ให้​ต่ำ​กว่า​พระเจ้า​ แต่​หน่อย​เดียวและ​ทรง​สวม​ศักดิ์​ศรี​กับ​ความ​มี​อำ​นาจให้​เขา![20]​”  คำฮีบรู “เอโลฮิม” ตรงนี้สามารถแปลว่า “พระเจ้า”  บางฉบับบอกว่ามนุษย์ต่ำกว่า “พระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับ 1971)[21] หน่อยเดียว  แต่บางฉบับบอกว่ามนุษย์ต่ำกว่า “ทูตสวรรค์” หรือ “ชาวสวรรค์” (ฉบับไทยคิงเจมส์และฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[22]

     “เอโลฮิม” (“Elohim”) เป็นคำพหูพจน์ในภาษาฮีบรูที่ระบุให้เห็นด้วยคำลงท้าย “อิม” (“im”) ความหมายสำคัญที่สุดก็คือ “พระเจ้า” และจริงๆแล้วใช้กับพระเจ้า อย่างเช่น “ยาห์เวห์ เอโลฮิม” (พระยาห์เวห์พระเจ้า)[23]  แล้วทำไมคำแปลบางฉบับจึงบอกว่า “ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงหน่อยเดียว”? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะฉบับเซปทัวจินต์เลือกที่จะแปล “เอโลฮิม” ว่า “พวกทูตสวรรค์”[24] โดยไม่เข้าใจว่าทำไมผู้แปลจึงทำอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจนในที่สุดคำแปลว่า “พวกทูตสวรรค์” ก็เข้ามาอยู่ในตัวบทของพระคัมภีร์ใหม่เพราะฉบับเซปทัวจินต์เป็นพระคัมภีร์ของคริสตจักรที่พูดภาษากรีกในยุคแรกๆ (แม้ฉบับนี้ไม่ใช่พระคัมภีร์ของคริสตจักรที่พูดภาษาฮีบรู)  คริสเตียนที่พูดภาษากรีกมีพระคัมภีร์เพียงเล่มเดียวที่ยอมรับกันคือฉบับเซปทัวจินต์ซึ่งแปลจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูมาเป็นภาษากรีก (มีฉบับแปลอื่นๆอีกสองสามฉบับรวมถึงฉบับธีโอโดชั่น[25]ที่มาภายหลัง  แต่ฉบับเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย)

         ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นเรื่องของการสร้างจะมุ่งเน้นที่มนุษย์เป็นอันดับแรก   2  โครินธ์ 5:17[26] บอกว่าถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูก “สร้างใหม่” หรือ “คนใหม่” (การแปลทั้งสองอย่างถูกต้อง)

          มนุษย์เป็นยอดสุดของการสร้างของพระเจ้า  การสร้างใหม่ของการสร้างทั้งหมดเริ่มกับมนุษย์  แต่แผนการของพระเจ้ากับความรอดนั้นไปถึงจักรวาล คุณจะไม่สามารถเข้าใจความรอดในพระคัมภีร์ใหม่ได้อย่างถูกต้องจนกว่าคุณจะเห็นว่าความรอดนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่มนุษย์  มันเริ่มต้นกับมนุษย์และขยายออกไปยังสรรพสิ่งทั้งปวงจนมาถึงวิวรณ์ 21:1[27] ก็มีฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่  โรม 8:19-23 กล่าวว่า

19สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป  ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง  แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง21ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22เรา​รู้​​ว่า​สรรพ​สิ่ง​ที่​พระเจ้าทรง​สร้าง​​กำ​ลัง​คร่ำ​ครวญ​​ราวกับเจ็บท้องจะคลอด​บุตรจน​ถึงปัจจุบัน​นี้ 23ไม่​เพียงเท่า​นั้นแม้แต่​เรา​เอง​ ผู้​มีผลแรกของ​พระ​วิญ​ญาณ​ก็​ยัง​คร่ำ​ครวญ​อยู่ภายใน  ขณะที่เราจดจ่อรอคอย​การ​ทรงรับเราเป็น​บุตร คือ​การ​ไถ่​ร่างกาย​ของ​เราให้รอด  (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

           สรรพ​สิ่ง​ที่​พระเจ้าทรง​สร้าง​ทั้ง​หมด​กำ​ลัง​คร่ำ​ครวญ​รอคอยการรับเราเป็นบุตรของพระเจ้า  เมื่อการรับเป็นบุตรนั้นบรรลุผลสมบูรณ์  การถูกสร้างใหม่จะมีผลอย่างเต็มรูปแบบในมนุษย์จึงทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างจะได้รับการไถ่และถูกสร้างใหม่  นั่นเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์  นิมิตของความรอดนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่มนุษย์  มันเริ่มกับมนุษย์ที่เป็นยอดสุดของการทรงสร้างแล้วก็ขยายไปยังสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก การขยายความรอดไปถึงจักรวาลนั้นเป็นเรื่องที่คริสเตียนโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้ไม่รู้

         มนุษย์ที่เป็นยอดสุดของการสร้างของพระเจ้าคือ “พระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:7)[28] มันสำคัญที่จะเห็นว่าความรอดนั้นเกี่ยวข้องกับการทรงสร้างของพระเจ้าและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น  ลองคิดเรื่องนี้ดูว่า ถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์แท้พระองค์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนี้  และถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นส่วนของการสร้างนี้  พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยเราให้รอดได้

         ความจริงของพระคัมภีร์ที่เราต้องเข้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยเรื่องพระเจ้ากึ่งมนุษย์ในพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพคือที่พระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์  ยิ่งคุณเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่มากขึ้นคุณก็จะเข้าใจความจริงนี้ยิ่งขึ้น   เพราะพระคัมภีร์ใหม่พูดหลายครั้งว่าพระเยซูผู้ทรงเป็นมนุษย์[29]ที่ทรงไถ่เรา ขณะที่อาดัมล้มเหลว พระคริสต์ทรงทำสำเร็จ  ขณะที่อาดัมไม่เชื่อฟัง พระคริสต์ทรงเชื่อฟัง  เพราะ​​เมื่อ​ความ​ตาย​เกิดขึ้น​โดย​มนุษย์​คน​หนึ่ง ชีวิตก็​เกิดขึ้น​โดยการเชื่อฟังของ​มนุษย์​คน​หนึ่ง​เช่น​กัน[30]

          ในศาสตร์เกี่ยวกับความรอดนั้น การเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ไม่สำคัญกับความรอด  พูดแบบภาษาง่ายๆก็คือ พระเยซูจะเป็นพระเจ้าหรือไม่เป็นก็ไม่สำคัญกับความรอดของเราเลย (นอกเหนือจากความหมายแบบอ้อมๆว่า ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าฉะนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์และถ้าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์เราก็จะไม่รอด)

 

พระเยซูผู้ทรงเป็นมนุษย์

          ทำไมเราจึงอับอายด้วยที่จะพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์? ครั้งก่อนเราเห็นแล้วว่าความคิดแบบสมัยใหม่เกี่ยวกับมนุษย์ก็คือเขามีฉายาของลิง ไม่ใช่ฉายาของพระเจ้า ตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วมนุษย์สืบเชื้อสายมาจากลิงและมีฉายาหรือภาพลักษณ์ของลิง  แต่ความเชื่อของคริสเตียนได้ทำให้ความคิดเกี่ยวกับมนุษย์แย่ลงโดยบอกว่ามนุษย์ไม่เพียงแต่ไร้คุณค่าเฉพาะแต่ภายนอกเท่านั้นแต่ยังเลวทรามอย่างสุดๆภายในด้วย  ผมขอปฏิเสธข้อสรุปของสองสมมุติฐานนี้เพราะทั้งสองอย่างไม่ได้เป็นตามพระคัมภีร์

         ในพระคัมภีร์ฮีบรู (แต่ไม่ใช่ในฉบับแปลของเซปทัวจินต์) กล่าวว่ามนุษย์ถูกสร้างให้ต่ำกว่าพระเจ้าเพียงหน่อยเดียว  นี่จึงหมายความว่ามนุษย์เป็นผู้ที่สูงสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกสร้าง

        พระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์จึงจะช่วยเราให้รอดได้  ความบาปมาทางมนุษย์คนหนึ่งและความบาปจะต้องลบล้างทางมนุษย์คนหนึ่ง  พระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์ 100 %  ถ้าพระเยซูเป็นน้อยกว่ามนุษย์หรือเป็นมากกว่ามนุษย์ พระองค์ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์และความรอดของเราก็จะหลุดลอยไป

         มีหลายอย่างที่เราอาจไม่รู้แต่มีบางอย่างที่เรารู้คือการเป็นมนุษย์นั้นหมายถึงอะไร เพราะอย่างน้อยในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งเราจะรู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างไร

         ถ้าพระเยซูมีความเป็นพระเจ้าอยู่ 10 % พระองค์ก็คงไม่ใช่มนุษย์  เพราะไม่มีมนุษย์คนใดมีความเป็นพระเจ้าอยู่ 10 %   และถ้าพระเยซูมีความเป็นมนุษย์ที่น้อยกว่ามนุษย์ 10 %  พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน  คนๆหนึ่งเป็นมนุษย์ก็เมื่อเขามีอะไรที่ไม่มากหรือน้อยกว่ามนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งอาจจะพิการทางร่างกายหรือจิตใจแต่เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ 100%  การที่ไม่สามารถจะทำหน้าที่ได้ 100% ก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมนุษย์น้อยลงไปกว่าเดิม เราให้ความนับถือคนที่พิการทางร่างกายหรือจิตใจเพราะว่าพวกเขาเป็นมนุษย์แท้และมนุษย์อย่างสมบูรณ์

       คุณกับผมก็รู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างไร เราจึงไม่ควรปล่อยให้ใครมาบอกเราว่าผู้ที่เป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ 100% นั้นเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง  นี่เป็นการพูดที่ดูถูกเชาว์ปัญญาของเรา  เมื่อมองย้อนกลับไปผมไม่รู้ว่าผมเชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ไปได้อย่างไร

         ไม่มีใครจะสามารถเป็นอะไรได้มากกว่า 100%  จำนวนเต็มของ 200% แสดงว่าเป็นสองคนไม่ใช่แค่หนึ่งคน  คุณไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์คุณก็รู้ได้ว่าไม่มีใครเป็น 200% ได้  เวลาพูดกันเราอาจจะพูดว่า “ผมทำเกินร้อย ทุ่มแรงกายแรงใจของผม 110%”  แต่นั่นแตกต่างกับการพูดว่าเราเป็นมนุษย์ 110%  มันเป็นการพูดที่หมายถึง “ผมพยายามอย่างดีที่สุดและจะพยายามให้มากยิ่งขึ้น”  ถ้าคนอื่นทำงานจาก 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น แล้วคุณทำจาก 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น   คุณจึงจะพูดได้ว่า  “ผมทุ่มให้ 110%”

          ถ้าเราบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ เราไม่ใช่แค่กำลังบอกว่าพระเยซูเป็นมากกว่ามนุษย์  แต่ยังบอกว่าพระเยซูเป็นมากกว่าพระเจ้าด้วย  ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้า 100%  และพระเยซูเป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ด้วย 100%  ดังนั้นพระเยซูก็เป็นมากกว่าพระเจ้า  นั่นเป็นการสบประมาท

      ผมยอมรับความผิดในการกระทำผิดทั้งหมดนี้ด้วยความไม่รู้ในช่วงเวลานั้น  และผมอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า  เราคิดว่าเรากำลังปรนนิบัติพระเจ้าโดยการให้พระคริสต์เป็นพระเจ้า เราได้เอาตัวของเราเองออกจากความรอด  เรารอดโดยพระคุณทางความเชื่อในพระคริสต์  แต่ถ้าผมถามคุณว่าพระคริสต์ที่คุณเชื่ออยู่นี้เป็นใคร  คุณก็บอกผมว่าพระองค์เป็นพระเจ้า 100%  และเป็นมนุษย์  100%  ผมก็จะบอกคุณว่า “ขอโทษที ผมสงสัยว่าคุณจะไม่รอด”  เพราะไม่มีคนที่ว่านี้อยู่ในโลกหรือมีอยู่ในพระคัมภีร์เลย

         พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์ เป็นสง่าราศีและยอดสุดของการทรงสร้างของพระเจ้า  ฉะนั้นทำไมเราจึงอับอายกับการเป็นมนุษย์ด้วย?  เราอาจจะอับอายตัวของเราเองแต่พระเจ้าไม่ได้ทรงอับอายกับมนุษย์  พระองค์ทรงยกย่องมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นสง่าราศีของพระเจ้าและสง่าราศีของการสร้างของพระองค์   ในการยกย่องพระคริสต์ให้เป็นพระเจ้านั้นเราทำให้ทั้งพระเจ้าและมนุษย์เสื่อมเสียเกียรติ  เราทำให้มนุษย์เป็นมากกว่าพระเจ้า  เพราะแม้แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ 100%  พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้า 100%  และไม่เป็น 100% หรือแม้จะ 10%  ของสิ่งอื่น

         ผมขอเน้นอีกครั้งว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ 100%  เราได้เห็นคราวก่อนว่า ประเด็นของการเกิดจากหญิงพรหมจารีก็คือพระเยซูทรงเป็นการเริ่มต้นของการสร้างใหม่  ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกสร้าง พระองค์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง  เราจะมีทั้งสองทางไม่ได้เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทั้งถูกสร้างและไม่ถูกสร้างในเวลาเดียวกันได้  นี่เป็นการแย้งที่ขัดกันเองและเหลวไหลด้วยซ้ำ  เหมือนที่ไม่มีใครจะเป็นทั้งมีที่สิ้นสุดและไม่สิ้นสุดในเวลาเดียวกันได้  ไม่มีใครสามารถจะถูกสร้างขึ้นและไม่ถูกสร้างขึ้นในเวลาเดียวกันได้

         เราสามารถพูดถึงคนๆหนึ่งว่า ส่วนหนึ่งเป็นคนรัสเซียหรือส่วนหนึ่งเป็นคนจีน เนื่องจากว่าเป็นเชื้อชาติของมนุษย์คุณจึงสามารถผสมกันอย่างไรก็ได้ที่คุณต้องการ  ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะมีความหลากหลายของมนุษย์เท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา  มีคนผิวดำแต่งงานกับคนผิวขาว  คนผิวขาวแต่งงานกับคนเอเซีย  คนจีนแต่งงานกับคนอินเดีย เป็นต้น  เมื่อคุณกำลังมองดูใครสักคน คุณจะบอกไม่ถูกว่าเขาเป็นคนอินเดีย หรือเป็นคนดำ หรือเป็นคนขาว  มันปนเปกันไปหมดและก็ไม่ได้มีอะไรผิดในเรื่องนี้เลย  ที่จริงมีบางคนพูดว่าการผสมเชื้อชาตินั้นทำให้คนฉลาดและหน้าตาดี  ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนประเด็นของผมก็คือว่าไม่มีอะไรผิดในการปนเชื้อชาติกัน  ที่จริงแล้วไม่มีชนชาติไหนในโลกนี้ที่ไม่ได้มีการปนเชื้อชาติกันเหมือนที่ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า  จะหาคนจีนแท้ๆสักคนไม่มี

    คุณรู้ไหมว่ามีกี่ชนเผ่าและกี่ชนชาติที่รวมเป็นชาติจีน? พวกที่อยู่ทางเหนือของจีนคงจะผสมเผ่าพันธุ์กับชาวมองโกลจากราชวงศ์หยวน[31] ชนชาติมองโกลปกครองประเทศจีนเกือบหนึ่งศตวรรษ   ในช่วงเวลานั้นได้มีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติกันมากสักขนาดไหน?  และต่อมาก็มีชาวแมนจูจากราชวงค์ชิง[32]ครอบครองประเทศจีนเป็นเวลาหลายร้อยปี  ด้วยเหตุที่จักรพรรดิคังซีและเฉียนหลง[33]พูดภาษาจีนได้อย่างเชี่ยวชาญจนทุกๆคนดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าพระองค์ไม่ได้เป็นชาวจีนแต่เป็นชาวแมนจู แต่หลังจากนั้นจีนก็ได้กลืนดินแดนแมนจูเรียซึ่งปัจจุบันเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนซึ่งก่อนหน้านั้นก็เป็นชาติหนึ่งที่มีวัฒนธรรมและภาษาของตัวเอง  แต่ชาวแมนจูเห็นว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่ดีกว่า พวกเขาจึงซึมซับทุกอย่างที่เป็นจีน  จะมีชาวจีนภาคตะวันออกเฉียงเหนือสักกี่คนกันที่เป็นคนจีนแท้ๆ? มีใครรู้กันบ้าง?   ชาวแมนจูยังใช้ชื่อจีนและใช้ภาษาจีนด้วย    

          คนเกาหลีจะดูคล้ายคนจีนมากและบางคนก็มีชื่อเช่น “ลี”[34] ที่ออกเสียงเหมือนภาษาจีนแม้ว่าจะมีชื่ออื่นๆที่คนจีนใช้กันน้อยเช่น “คิม”[35] และใกล้ๆทิเบตก็มีการแต่งงานกับคนต่างชนชาติกัน  ทางภาคใต้คนจีนจะแต่งงานกับคนเวียดนามกับคนเขมรและคนลาว ชนเผ่าต่างๆย้ายข้ามชายแดนกันไปมา  ภายในประเทศจีนเองก็มีชนเผ่ามากมายเช่น เผ่าม้งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่มีเสื้อผ้าแบบเฉพาะของตนเอง  ในยุคที่รุ่งโรจน์นั้นพวกเขามีวัฒนธรรมที่ล้ำหน้า

          ประเด็นมีอยู่ว่ามันเป็นไปได้ที่มนุษย์จะประสมกันเอง  แต่คุณจะไม่สามารถประสมสองประเภทที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามกันได้  ถ้าคุณเอาสัตว์ไปประสมกับมนุษย์คุณจะเจอความวิบัติ มีประเภทที่พอให้ประสมกันได้ แต่มีประเภทที่ไม่สามารถจะประสมกันได้

        พระเจ้ากับมนุษย์ไม่สามารถจะประสมกันได้  ประเภทหนึ่งเป็นวิญญาณ อีกประเภทหนึ่งเป็นเนื้อและเลือด ทั้งสองเป็นผู้ที่มีชีวิตสองประเภทที่ต่างกัน  มันอาจมีองค์ประกอบหลายอย่างเช่นเดียวกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อย่างเช่นวิญญาณ  แต่นั่นก็เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์   วิญญาณไม่ได้ติดตัวมากับมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่มอบให้กับมนุษย์ด้วยการที่พระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไป[36] มนุษย์ไม่สามารถจะอ้างว่าเป็นพระเจ้าได้เพียงเพราะว่าเขามีวิญญาณ  เมื่อมนุษย์ตายเนื้อหนังจะกลับเป็นดินและ“จิตวิญญาณจะกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น” (ปัญญาจารย์ 12:7)  วิญญาณเป็นของประทานที่ให้กับเราแล้วจึงถูกส่งกลับไปหาพระเจ้า

         ผมพูดทั้งหมดนี้ก็เพื่อคุณจะเห็นว่าการพูดถึงพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้นั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งสิ้น  คุณจะถูกสร้างขึ้นและในเวลาเดียวกันก็ไม่ถูกสร้างขึ้นได้หรือ?  ถ้าพระเยซูทรงถูกสร้างขึ้นและก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น พระองค์ก็คงเป็นมากกว่าพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกสร้างเพียง “อย่างเดียว” เท่านั้น   การทำให้มนุษย์เป็นมากกว่าพระเจ้านั้นเราก็ใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท

         ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งทั้งหมดนี้กับพวกเด็กๆรวีวารศึกษา  เพราะเด็กเหล่านั้นไม่ได้ถูกแปดเปื้อนด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  เมื่อคุณพูดกับเด็กๆคุณสามารถจะพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องอ้อมค้อม  แต่ตอนนี้ผมเองจะต้องแก้ความเสียหายที่เกิดจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  สิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำกับเรานั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า

 

พระเยซูคือรูปเหมือนที่สมบูรณ์ของพระเจ้า

            เรื่องต่อไปที่เราจะต้องเข้าใจก็คือพระเยซูทรงเป็นต้นกำเนิด (ในแง่ของการเป็นคนต้น) ของแผนการของพระเจ้าในการสร้างใหม่ ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์เราก็เป็นคนใหม่และคนที่ถูกสร้างใหม่และเป็นส่วนของการสร้างใหม่อย่างที่เราเห็นใน 2 โครินธ์ 5:17 ว่าถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็คือการสร้างใหม่และเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่  การสร้างนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง   มนุษย์กลายมาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างใหม่ก็เพราะว่าเราอยู่ในพระคริสต์ผู้ที่ถูกสร้างใหม่

         ทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายา​[37]ของพระองค์?  มีการระบุไว้สามครั้งในปฐมกาล (1:26, 1:27, 9:6)  ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายา[38](รูปเหมือน)ของพระองค์  พระฉายา(รูปเหมือน)ของพระองค์มีความสำคัญอย่างไร?  เราใช้เวลากันเยอะกับการโต้เถียงถึงการประกอบกันขึ้นเป็นมนุษย์ที่มนุษย์มีร่างกายและจิตวิญญาณ  แต่คำถามสำคัญที่สุดก็คือ  อะไรคือจุดประสงค์ของรูปเหมือน?   เด็กรวีฯคนไหนก็บอกคุณได้ว่ารูปเหมือนก็เหมือนกับรูปภาพหรือรูปปั้น  ถ้าคุณถามผมว่าพระราชินีนาถของอังกฤษมีพระพักตร์อย่างไร?  ผมก็จะหารูปภาพของพระองค์แล้วบอกว่า “นี่ไงพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์มีพระเกศาขาวที่งดงามและผิวพระกายที่เนียน”  เมื่อคุณดูรูปหรือภาพถ่าย คุณก็จะเห็นว่าพระพักตร์พระองค์เป็นอย่างไร  คุณไม่จำเป็นจะต้องพบพระราชินีนาถด้วยตัวเองถึงแม้ว่าถ้าคุณได้เห็นพระองค์ต่อพระพักตร์ก็จะดีกว่า  คุณจะได้เห็นว่าพระองค์สูงเท่าไร  แต่ถ้าคุณไม่สามารถจะพบพระองค์ด้วยตัวคุณเอง  คุณก็ยังสามารถดูรูปเหมือนของพระองค์ในภาพถ่ายได้ หรือจะให้ดีก็ดูรูปปั้นหรือหุ่นขี้ผึ้งเท่าพระองค์จริง

     รูปปั้นที่ทำด้วยปูนนั้นไม่ดีเท่ากับหุ่นขี้ผึ้ง  มีรูปเหมือนที่เหมือนกับมีชีวิตจริงๆของพระราชินีในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของมาดามทุสโซ่[39]ในลอนดอน  ผู้เข้าชมไม่แน่ใจอยู่บ่อยๆว่ารูปปั้นเหล่านั้นเป็นตัวจริงหรือเป็นหุ่นขี้ผึ้งกันแน่  มีการจัดฉากเล่นๆที่บางครั้งจะมีการตั้งหุ่นขี้ผึ้งเอาไว้กำแพงห้อง จะมีผู้ชมเดินตรงรี่มาหาหุ่นแล้วถามว่า “ขอถามหน่อย ฉันอยากจะไป....จะไปทางไหนดี? อ้าว..นี่คุณเป็นคนจริงๆหรือเปล่า?”  บางครั้งหุ่นขี้ผึ้งจะนั่งอยู่บนม้ายาวแล้วคุณก็เข้าไปนั่งข้างๆโดยไม่รู้ว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง  ถ้าคุณได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งนี้ในลอนดอนคุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูด มันน่าสนใจที่รูปเหมือนสามารถเป็นตัวแทนใครสักคนได้อย่างสมบูรณ์จนคุณคิดว่าคนๆนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคุณ

           ทำไมพระเจ้าจึงสร้างมนุษย์? พระเจ้าสร้างมนุษย์ก็เพื่อให้พวกเขาเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  เราไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาโต้เถียงกันเรื่องของการประกอบกันขึ้นเป็นมนุษย์  คำถามสำคัญก็คือพระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในการสร้างมนุษย์?  จุดประสงค์ก็คือที่มนุษย์จะแสดงให้เห็นพระเจ้า

         สรรพสิ่งที่ถูกสร้างแสดงให้เห็นพระเจ้า ดอกไม้ดอกหนึ่งแสดงให้เห็นพระสิริของพระเจ้าเหมือนเช่นพวกแมลง มันเป็นเรื่องน่าพิศวงที่นิคมของบรรดามดหรือรังของบรรดาผึ้งอาศัยและทำงานได้ด้วยกันเป็นหมู่   พระสิริของพระเจ้าก็ถูกแสดงให้เห็นในสุนัข ในลิงกอริลล่าและลิงชิมแปนซี ทั้งหมดนี้พระองค์เป็นผู้ทรงสร้าง  ถ้าดอกไม้แสดงให้คุณเห็นพระสิริของพระเจ้าได้  ลิงชิมแปนซีก็เป็นได้เช่นกัน แต่สิ่งทรงสร้างยอดสุดก็คือมนุษย์  คุณเห็นพระสิริของพระเจ้าในมนุษย์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมนุษย์พระเยซูคริสต์  ผู้ทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า

        พระเยซูเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าที่ดีกว่าหุ่นขี้ผึ้งที่เหมือนมนุษย์ของมาดามทุสโซ่  ทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบมากของพระยาห์เวห์ในพระคริสต์จนพระเยซูสามารถตรัสว่า “​คน​ที่​ได้​เห็น​เรา​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา” (ยอห์น 14:9)[40]  พระเยซูไม่ได้กำลังพูดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็น  แต่กำลังพูดเกี่ยวกับว่าพระองค์เป็นเช่นไร  ประเด็นจะอยู่ที่ว่าเมื่อคุณเห็นพระเยซู  คุณก็เห็นพระบิดา

           พระเยซูเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบมากของพระเจ้า ในขณะที่พวกเราที่เหลือรวมทั้งอาดัมไม่ได้เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบ  เรายังคงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าแต่เป็นรูปเหมือนที่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนๆกับภาพถ่ายที่คุณภาพไม่สู้ดี  คุณมองดูภาพแล้วก็สงสัยว่าคนในรูปนั้นเป็นใครกัน   ภาพถ่ายต่างๆจะมีระดับคุณภาพของรูปที่แตกต่างกัน

         พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าเพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซู ซึ่งแตกต่างจากแบบที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในพวกเราส่วนที่เหลือ  พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเราด้วยแต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราเอาผ้าคลุมบังพระเจ้าผู้ที่สถิตอยู่ในเราเสียมิด มีคริสเตียนมากมายที่พฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้เหมือนกับพระคริสต์จนเป็นเหตุให้คนอื่นต้องพูดว่า  “ถ้าคริสเตียนเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากมาเชื่อพระเจ้า”  มีคนที่ไม่เป็นคริสเตียนกี่คนที่บอกคุณว่าพวกเขาไม่ต้องการจะเชื่อในพระเยซูเพราะคริสเตียนทำให้พวกเขาไม่อยากเชื่อ?  คริสเตียนเหล่านี้ไม่ได้เป็นรูปเหมือนที่ดึงดูดคนมาหาพระเจ้า  แต่เป็นรูปที่ไล่คนให้ไปจากพระเจ้า

         แต่พระเยซูผู้เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าสามารถตรัสว่า “จงมองดูเราแล้วท่านจะเห็นว่าพระบิดาทรงเป็นอย่างไร” และพระเยซูก็ทรงทำสิ่งนี้สำเร็จเพราะหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ โธมัสได้พูดกับพระเยซูหรือพูดกับพระยาห์เวห์ผ่านพระเยซูว่า องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์” (ยอห์น 20:28) โธมัสเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวและไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหลายองค์อย่างที่คุณและผมเคยเป็น  โธมัสไม่เคยคิดว่าพระเยซูผู้เป็นมนุษย์นี้คือพระเจ้า

         พระเยซูทรงแสดงให้เห็นพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบและชัดแจ๋วได้อย่างไรที่เมื่อคุณมองพระองค์คุณจะมองทะลุพระองค์แล้วเห็นพระยาห์เวห์ผู้ที่สถิตอยู่ในพระองค์? การสถิตอยู่ในพระคริสต์ของพระยาห์เวห์เห็นได้ชัดขึ้นหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์มากกว่าก่อนการฟื้นคืนพระชนม์ จนโธมัสถึงกับพูดว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์!” พระเยซูได้ทรงทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ  แต่พวกผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทำอะไรหรือ?  พวกเขาก็ใช้ยอห์น 20:28 เป็นข้อพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์โดยลืมไปว่าถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ก็จะไม่สามารถช่วยเราให้รอดได้

         นอกเหนือจากนี้ก็คือ “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์” เป็นการกล่าวถึงพระยาห์เวห์ของพระคัมภีร์เดิม   ความเข้าใจของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพต่อยอห์น 20:28 จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าพระเยซูไม่ได้เป็นเพียงแค่พระเจ้าแต่เป็นพระยาห์เวห์เอง! การที่พระเยซูเป็นบุคคลเดียวกันกับพระยาห์เวห์อาจฟังดูดีแต่มันจะทำลายความรอดของเรา  เพราะพระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์เราจึงจะรอดได้  แต่เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบและชัดแจ๋วของพระเจ้า (คุณเห็นพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์) บางคนก็เลยคิดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเสียเอง

          รูปเหมือนรูปหนึ่งบ่งบอกถึงว่าจะต้องมีต้นแบบ ถ้าไม่มีต้นแบบก็จะไม่มีรูปเหมือน คุณจะเห็นต้นแบบได้ในภาพหรือรูปปั้น  นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ควรต้องเข้าใจเพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้เราสับสนในทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องนี้  มนุษย์มีเนื้อและเลือดแต่จิตวิญญาณไม่มีสิ่งนี้  เนื้อและเลือดนั้นไม่ยั่งยืนซึ่งจะตายและล่วงลับไปแต่พระยาห์เวห์นั้นทรงนิรันดร์กาล  จิตวิญญาณไม่มีรูปกาย เพราะรูปกายเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีร่างกาย เมื่อคุณเห็นผีเสื้อ คุณก็จะรู้ว่าเป็นผีเสื้อเพราะว่าคุณเห็นรูปกายของผีเสื้อ  สุนัขมีหลายขนาดและหลายสีและคุณก็สามารถจะบอกสายพันธุ์ได้จากรูปกายของพวกมัน  จะมีก็แต่สิ่งที่สัมผัสได้และที่เป็นวัตถุเท่านั้นที่มีรูปกาย

          ปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมผัสได้เช่นแสงไม่มีรูปกายเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีรูปกายแต่ก็สามารถมองดูและวัดค่าได้  สิ่งเหล่านี้ทดสอบให้เห็นได้ในแบบที่ทดสอบกับวิญญาณไม่ได้ คุณไม่สามารถจะใช้วิธีการทดสอบเพื่อจะยืนยันการมีอยู่จริงของวิญญาณในห้องนี้ได้  อาจมีวิญญาณอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะพระวิญญาณของพระเจ้าแต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถจะทดสอบให้เห็นได้  (“ทดสอบให้เห็นได้” หมายถึงสามารถจะยืนยันได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าของเรา)

         วิญญาณไม่มีรูปกายแต่สามารถรับเอารูปกายได้  เมื่อทูตสวรรค์ปรากฏตัวในโลกมนุษย์ก็มักจะมาในรูปกายของมนุษย์ มีบางคนได้เห็นทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว  ในเหตุการณ์หนึ่งของการฟื้นคืนพระชนม์ (มาระโก 16:5) มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซูแต่ในอีกตอนหนึ่ง (มัทธิว 28:2) บอกว่าเป็นทูตสวรรค์กำลังอยู่ที่นั่น ทูตสวรรค์อยู่ในรูปกายของมนุษย์  ในเมื่อพวกทูตสวรรค์เป็นวิญญาณฉะนั้นเราจึงไม่สามารถจะสรุปเอาว่าเหล่าทูตสวรรค์ในสวรรค์มองดูเหมือนมนุษย์

     พระยาห์เวห์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นรูปเหมือน[41]ของพระองค์  ทำไมพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นวิญญาณจึงเลือกรูปกายของมนุษย์ให้เป็นรูปเหมือนของพระองค์?  พระองค์ทรงสร้างรูปเหมือนของพระองค์ให้มีรูปกายมนุษย์ด้วยจุดประสงค์ที่จะสำแดงพระองค์เองให้เห็น

       แม้ว่าพระคัมภีร์จะพูดถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า หรือพระกรขององค์ผู้เป็นเจ้า หรือการย่ำบ่อองุ่นขององค์ผู้เป็นเจ้า  หรือพระเจ้าที่เป็น “ผู้ทำสงคราม” (2 พงศาวดาร 30:12 อิสยาห์ 53:1, 63:3, 42:13)[42]  เราไม่สามารถจะทึกทักเอาว่าพระยาห์เวห์ทรงมีรูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์ที่มีแขนมีขาและอื่นๆตรงตัวตามคำ  แต่ด้วยพระปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ที่สักวันหนึ่งเราจะเข้าใจ พระองค์ได้ทรงเลือกที่จะสำแดงพระองค์เองให้เห็นในรูปกายของมนุษย์

           รูปกายของมนุษย์กลายมาเป็นรูปกายของพระเจ้าเพราะมนุษย์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  ถ้ารูปเหมือนไม่ได้แสดงสิ่งที่ควรแสดงให้เห็น เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นรูปเหมือนไม่ได้  รูปเหมือนของพระราชินีนาถบนเหรียญหรือแสตมป์แสดงให้เห็นว่าพระราชินีนาถทรงมีพระพักตร์เช่นไร

 

พระองค์อยู่ในรูปกายของพระเจ้า

        เมื่อคุณเข้าใจประเด็นเบื้องต้นที่สำคัญเหล่านี้ คุณก็จะเข้าใจพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งคือฟีลิปปี 2:6-11 ซึ่งมักจะถูกตีความผิดๆจากผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมก็เคยใช้พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นกุญแจในการพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ด้วย นี่เป็นพระคัมภีร์หนึ่งในสองตอนสำคัญที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และอีกที่หนึ่งก็คือจากยอห์น 1:1  เราคุ้นกับคำกล่าวในพระคัมภีร์ฟีลิปปีอย่างเช่น “พระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพของพระเจ้า”[43] ที่ควรจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า

           มีข้อบกพร่องพื้นฐานหลายอย่างกับความเข้าใจนี้  เช่น พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24) และพระเจ้าทรงสถิตในทุกหนทุกแห่ง แต่การมีรูปกายจะจำกัดตัวคุณให้คุณอยู่กับที่ ถ้าคุณถูกจำกัดด้วยรูปกายคุณจะอยู่ที่นี่ทีและที่โน่นทีในเวลาเดียวกันไม่ได้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยรูปกายแต่อย่างใด

          คำว่า “รูปกายของพระเจ้า”[44] ไม่ได้มีปรากฏที่ไหนนอกจากในฟีลิปปี 2:6  พระเจ้าไม่มีรูปกาย  มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเพียงเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นรูปกาย (พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลว่า “ทรงสภาพ”)[45] ของพระเจ้า   พระเยซูทรงเป็นรูปกายของพระเจ้าก็เมื่อในความหมายว่าพระองค์ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าเท่านั้น

         “พระ​บุตร​ทรง​เป็น​พระ​ฉาย[46]​ของ​พระ​เจ้าผู้​ที่เราไม่​อาจมองเห็นได้ ทรง​เป็น​บุตร​หัวปี​เหนือ​สรรพ​สิ่ง​ที่ทรงสร้าง” (โคโลสี 1:15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)  พระเยซูทรง​เป็น​รูปเหมือนของ​พระ​เจ้าผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้  คำว่า “ไม่อาจมองเห็นได้” หมายความว่าพระเจ้าไม่มีรูปกาย  ถ้าพระองค์ทรงมีรูปกายพระองค์ก็ต้องมองเห็นได้ แล้วคงไม่ต้องการรูปเหมือนเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์  แต่เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้  พระองค์จึงประทานรูปเหมือนให้เรามองเห็น  รูปเหมือนจะไม่เหมือนกับสิ่งที่มันแทนให้เห็น  รูปถ่าย (พระฉายาลักษณ์) ของพระราชินีนาถหรือรูปปั้นของพระราชินีนาถก็เช่นกันที่ไม่ใช่องค์จริงๆของพระราชินีนาถเอง พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือน (หรือพระฉายาลักษณ์) ของพระเจ้าผู้ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้  และนอกจากนี้ก็ทรงเป็นบุตรหัวปีของสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ซึ่งหมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง

         ความจริงที่พระเจ้าผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้นั้นหมายความว่า พระองค์ไม่มีรูปกายที่เราสามารถมองเห็นหรือใช้สัมผัสทั้งห้าของเราให้เห็นได้ คุณจะทำให้พระเจ้าที่ไม่อาจมองเห็นให้มองเห็นได้อย่างไร?  สิ่งมหัศจรรย์นี้สำเร็จในพระคริสต์และในเราด้วยเพราะมนุษย์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  และพระคริสต์ทรงเป็นรูปเหมือนที่เยี่ยมยอดของพระเจ้า

         พระคริสต์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า “ส่วน​คน​ที่​ไม่​เชื่อ​นั้น ​พระ​ของ​ยุค​นี้​ได้​กระทำ​ใจ​ของ​เขา​ให้​มืด​ไป เพื่อ​ไม่ให้​เขา​ได้​เห็น​ความ​สว่าง​ของ​ข่าว​ประเสริฐ เรื่อง​พระ​สิริ​ของ​พระ​คริสต์​ผู้​เป็น​พระ​ฉาย​ของ​พระ​เจ้า​” (2 โครินธ์ 4:4 ฉบับ 1971) พระคริสต์ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่สองครั้งว่าเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า มนุษย์ถูกกล่าวถึงสามครั้งในพระคัมภีร์เดิมว่าเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  ในข้อที่เราเพิ่งอ่าน (2 โครินธ์ 4:4)  พระคริสต์เป็นพระสิริของพระเจ้าเพราะว่าพระองค์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  ก็เหมือนกับที่เราเป็นพระสิริของพระเจ้า[47]เพราะเราเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  เมื่อฟีลิปปี 2:6-11 กล่าวว่าพระเยซูทรงอยู่ในรูปกาย(สภาพ)[48] ของพระเจ้านั้นเป็นการพูดแค่เพียงว่าพระเยซูเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า  ซึ่งมนุษย์ก็เป็นเช่นกัน

         ตรงนี้เราเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอาดัมคนแรกกับอาดัมคนที่สอง อาดัมคนแรกพยายามที่จะเท่าเทียมกับพระเจ้าด้วยการกินผลไม้ต้องห้ามจากต้นแห่งความรู้ดีรู้ชั่ว อาดัมกับเอวาต้องการจะเป็นเหมือนพระเจ้าซึ่งในบริบทของปฐมกาลนั้นหมายถึงการเท่าเทียมกับพระเจ้า

           ขณะที่อาดัมล้มเหลวเพราะการไม่เชื่อฟัง  พระคริสต์ก็ทรงทำให้ความรอดของเราเป็นผลสำเร็จเพราะการเชื่อฟัง  พระคริสต์ไม่ได้ทรงยึดความเท่าเทียมกับพระเจ้าไว้ (ฟีลิปปี 2:6)  คำว่า “ยึดไว้” นั้นในภาษากรีกยิ่งแรงกว่า มันหมายถึงฉกฉวยหรือคว้าบางสิ่งเพื่อตัวเอง สิ่งที่พระเยซูไม่ได้พยายามฉกฉวยเพื่อพระองค์เองนั้นอาดัมกับเอวาได้พยายามฉกฉวยเพื่อตัวของพวกเขาเอง  แม้พระเยซูจะทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบและเป็นพระสิริของพระเจ้า  พระองค์ก็ไม่ได้ทรงยกพระองค์เองขึ้น แต่ลดพระองค์เองลงไปต่ำเท่าที่มนุษย์จะลงไปต่ำได้  พระองค์ไปในทิศทางตรงข้ามกับอาดัม ทรงลงไปต่ำที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะลงต่ำได้  และเชื่อฟังจนถึงความตายบนกางเขน เป็นการตายแบบเลวร้ายที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จัก  นั่นเป็นเหตุที่พระเยซูทรงสามารถเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราได้

         แต่เราได้บิดเบือนเหมือนกับที่ผมได้บิดเบือนพระคัมภีร์ฟีลิปปีตอนนี้ให้เป็นตามคำกล่าวของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ขณะที่ความจริงแล้วพระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าของพระคริสต์เลย

       มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนถึงพระคัมภีร์ตอนนี้ ราล์ฟ มาร์ติน[49] อาจารย์ท่านหนึ่งของผมในลอนดอนและผู้เขียนหนังสือ “คาร์เมน คริสตี”[50] ได้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจากพระคัมภีร์ตอนนี้ในฟีลิปปี เขาควรขอบคุณเปาโลที่เขียนพระคัมภีร์ตอนนี้ที่ทำให้เขาได้ปริญญาเอก  พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นตอนที่ผมได้ศึกษาแล้วศึกษาอีกหลายครั้งหลายหน  ผมสงสัยว่ามีกี่คนที่ได้ปริญญาเอกจากจดหมายของเปาโล  เปาโลเองไม่เคยได้ปริญญาเอกแต่คริสเตียนนับจำนวนไม่ถ้วนในหลายยุคสมัยได้รับปริญญาเอกจากจดหมายของเขา  เมื่อสามสี่ปีที่แล้วผมได้เห็นหนังสือออกใหม่ที่เขียนถึงพระคัมภีร์ตอนนี้ ผมได้อ่านและหนังสือนี้พูดถึงนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่อธิบายถึงการที่พระคัมภีร์ตอนนี้ในหนังสือฟีลิปปีพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์

      พวกเขาร้อนรนที่จะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ แต่นี่เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่เคยต้องการให้เราเชื่อ  ไม่มีตรงไหนเลยในพระคัมภีร์ที่ต้องการให้คุณเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเพื่อจะได้ความรอด  ให้คำกล่าวเช่นนี้ยืนหยัดอยู่และจะเปลี่ยนไม่ได้! ผมพูดอย่างนี้โดยไม่กลัวการโต้แย้งจากใคร  ถ้าข้อความพระคัมภีร์ตอนนี้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ที่ชัดเจนในตัวเอง แล้วทำไมจึงต้องเขียนหนังสือและบทความในเรื่องนี้กันอย่างไม่จบไม่สิ้นโดยใช้กลไกทุกอย่างที่จะคั้นเอาความเป็นพระเจ้าออกมาจากข้อความนั้นให้ได้?

   เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเพราะ “สภาพของพระเจ้า” หมายความเพียงว่าพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือน (หรือฉายาลักษณ์)[51]ของพระเจ้าเหมือนที่อาดัมก็เป็นรูปเหมือน (หรือฉายาลักษณ์)ของพระเจ้า แต่เพราะความบาปและการไม่เชื่อฟัง  อาดัมจึงล้มเหลวที่จะสำแดงพระสิริของพระเจ้าให้เห็นและเสื่อมจากพระสิริ  แต่พระเยซูไม่ได้เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงสำแดงพระสิริของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ  ด้วยเหตุนี้ทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า  เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา (ฟีลิปปี 2:11)  และใครล่ะคือพระบิดาถ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์?

     ขณะนั่งรถแท็กซี่มาที่นี่  อาจารย์ปีเตอร์ ชวง[52]และผมได้หารือกันเรื่องซีดีและเพลงที่ผมได้แต่งไว้ (บทเพลงแห่งความจงรักภักดี)[53] อาจารย์ปีเตอร์ก็หวังดีและพยายามปลอบใจผมว่า “เพลงนี้อาจไม่เลวร้ายจนเกินไปก็ได้  ความจงรักภักดีต่อพระคริสต์ก็คือรูปของความจงรักภักดีต่อพระเจ้า”  ผมพูดว่า “ขอบคุณที่ปลอบใจผม  แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วเมื่อผมแต่งเพลงนี้ พระบิดาไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย”  พระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ความคิดของผม  และแม้แต่พระบิดาในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของผม  ความจงรักภักดีของผมนั้นมอบให้กับพระเยซูทั้งหมด    พระบิดาที่เป็นพระบิดาในความเชื่อตรีเอกานุภาพหรือว่าจะพระบิดาอื่นก็ไม่ได้มาเกี่ยวด้วยและก็ไม่สำคัญอีกต่อไป นั่นแสดงให้เห็นว่าผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมากขนาดไหน  ผมได้ศึกษาตอนที่เกี่ยวข้องกันเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วนแบบคำต่อคำ บรรทัดต่อบรรทัด วิเคราะห์ไวยากรณ์และอ่านซ้ำไปซ้ำมา  แล้วยังอ่านหนังสือจำนวนมากเพื่อเสริมสร้างสถานภาพของผมและเสริมสร้างความเข้าใจของผมกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่สถานภาพของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพของผมได้ถูกทำลายลงด้วยความจริงง่ายๆอย่างหนึ่งว่า  พระเจ้าไม่มีรูปกายนอกจากว่าพระองค์จะอยู่ในพระคริสต์และในอาดัม

        พระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าการทำรูปหรือปั้นรูปเหมือนใดๆขึ้นมาจะมีโทษถึงตายเพราะเป็นการไหว้รูปเคารพ  คำว่า “รูปเหมือน” (image)  หรือ “รูปสัณฐาน” (form) พบได้ในหลายข้อ อย่างเช่น เลวีนิติ 26:1 “เจ้า​ทั้ง​หลายอย่ากระ​ทำ​รูป​เคา​รพ​หรือรูปแกะสลักสำหรับ​ตัว  และตั้งเสา​ศักดิ์​สิทธิ์  และเจ้าทั้งหลายอย่าตั้งสิ่งใดๆที่เป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยศิลาไว้ในแผ่นดินของเจ้าเพื่อการกราบไหว้ เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”(ฉบับไทยคิงเจมส์)[54]  คุณจะต้องไม่ทำรูปสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นรูปเหมือนของคนหรือสัตว์  เพราะว่าพระเจ้าทรงยินยอมให้มีเพียงรูปของพระองค์เองเพียงรูปเดียวเท่านั้นและนั่นก็คือมนุษย์

         สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำก็คือ “รูป” (ch5 1 มอร์เฟ)[55] หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่สามารถตรวจสอบได้จากพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับมาตรฐานต่างๆ (เช่น ธาเยอร์)[56] ซึ่งทั้งหมดถูกรวบรวมหรือแก้ไขโดยผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  คำนิยามของ “ch5 1” ที่อาร์นท์และกิงกริช[57] ให้ไว้ก็คือ “รูปร่างที่เห็นได้  รูปพรรณสัณฐาน”

     พระเจ้าไม่มีรูปกายเพราะไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้  เมื่อเราพูดถึงรูปพรรณสัณฐานหรือรูปลักษณ์ภายนอกของพระเจ้านั้น  เรากำลังพูดถึงรูปเหมือนหรือรูปที่ให้เห็นพระเจ้าไม่ใช่เห็นตัวของพระเจ้าเอง  นั่นเข้าใจได้ไม่ยากเว้นแต่ว่าเราสับสนอย่างมากจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพจนไม่สามารถจะคิดให้ชัดได้อีกต่อไป

         2 ทิโมธี 3:5  กล่าวว่า “เขายึดรูปแบบทางของพระเจ้าแต่เปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น”[58] “รูป” ตรงนี้คือคำเดียวกัน ข้อนี้พูดถึงรูปหรือรูปลักษณ์ภายนอกของทางของพระเจ้าที่ตรงข้ามกับ เนื้อแท้ของทางของพระเจ้าที่แท้จริง  มันหมายถึงการมีรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์ในขณะที่ภายในแล้วเราเลวทรามและชั่วช้า  ซึ่งทำให้เรานึกถึงนักบวชหลายคนที่อยู่ในคราบของเฒ่าหัวงูขณะทำพิธีทางศาสนา[59]ในชุดนักบวชโดยมีกางเขนห้อยคอ  นั่นคือความแตกต่างระหว่างรูปลักษณ์และเนื้อแท้

       

         หนังสือฟีลิปปีพูดถึงแค่รูปกายของพระเจ้าเท่านั้นและไม่ได้พูดถึงเนื้อแท้ข้างในหรือพลังขับเคลื่อนภายในของพระเจ้า  พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซูและพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์   พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ไม่อาจจะมองเห็นได้  แต่พระองค์ทรงทำให้มองเห็นพระองค์ได้ทางพระคริสต์  พระเยซูทรงเป็นรูปกายของพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงสำแดงให้เห็นพระเจ้าที่ไม่อาจมองเห็นได้ให้เห็นได้ชัดกับตาของเรา   แต่ไม่มีใครสามารถจะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าได้จากรูปกายภายนอก

 

สิ่งที่เป็นวิญญาณก็คือวิญญาณ

         ตามที่เราเห็นก็คือ ถ้าพระเยซูจะมาเป็นผู้ที่ช่วยเราให้รอด  พระองค์ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคือเป็นมนุษย์   ถ้าเราเพิ่มความเป็นพระเจ้าให้กับความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เราก็จะยอมรับความเป็นมนุษย์แบบครึ่งๆกลางๆของพระองค์โดยสมบูรณ์  ในฐานะที่เป็นมนุษย์เรารู้ว่ามนุษย์เป็นอะไร  และก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เป็นมนุษย์มากกว่า 100%

          จากที่ได้พิจารณาดูเรื่องการสร้างแล้วก็ให้เรามาดูเรื่องของการสร้างใหม่  การสร้างใหม่คืออะไร?  ผมหวังว่าเราจะรู้ถึงความหมายของการสร้างในพระคัมภีร์ที่ไม่ใช่ตามความหมายของพจนานุกรม แต่ตามความหมายของพระคัมภีร์

      คำว่า “ใหม่” ในพระคัมภีร์มีความหมายในทางฝ่ายวิญญาณ  การมาเป็น “คนใหม่” คือการเริ่มจากสิ่งที่เป็นทางโลกไปยังสิ่งที่เป็นทางฝ่ายวิญญาณ  สิ่งทางฝ่ายวิญญาณก็คือสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งทางโลกวัตถุอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดก็คือ  การเปลี่ยนแปลงจากคนที่เป็นฝ่ายโลกและฝ่ายเนื้อหนังให้มาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ความรอดนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการสารภาพความผิดบาปของเราและแค่เชื่อว่าพระเยซูได้ตายเพื่อเราเพื่อพระเจ้าจะได้ทรงอภัยบาปให้เราอย่างที่มักจะถูกสอนมา  มุมมองของความรอดในแบบนี้ผิวเผินมากจนไม่มีคุณค่าที่จะพูดถึง

         ความรอดเป็นเรื่องที่มากกว่าแค่การยกโทษความผิดบาป  ความรอดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและเป็นฝ่ายโลกให้มาเป็นคนฝ่ายวิญญาณและสวยงาม ชีวิตนิรันดร์หมายถึงการย้ายจากชีวิตที่ชั่วคราวที่เรามีอยู่ขณะนี้มาสู่ชีวิตที่ไม่สิ้นสุด  ไม่เพียงแต่ในแง่ของระยะเวลาแต่ในแง่ของคุณภาพที่แสดงให้เห็นจากชีวิตในพระเจ้า  ชีวิตนิรันดร์ก็คือชีวิตของพระเจ้า

         แต่มนุษย์ถูกสร้างให้มีร่างกายเนื้อหนังก่อน  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากดินเพื่อเตือนเราถึงที่มาของเนื้อหนังร่างกายของเรา  หลังจากที่มนุษย์ได้ถูกปั้นขึ้นแล้ว  ขั้นต่อไปก็คือที่พระยาห์เวห์จะทรงระบายลมหายใจเข้าไปในมนุษย์  ถ้าไม่มีลมหายใจนั้น มนุษย์ก็เป็นเพียงซากของเนื้อและเลือด  แต่เมื่อใส่ลมหายใจเข้าไปในมนุษย์ เขาจึงลุกขึ้นได้ซึ่งก็เกิดขึ้นกับพระเยซูด้วยเมื่อพระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  คนที่ตายจะเปื่อยสลายเป็นดินกลับไปสู่ที่ที่เขามา   แต่พระเยซูทรงชุบเขาให้ฟื้นขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์และคืนลมหายใจให้กับเขา  นั่นเป็นขั้นที่สอง  เราจะต้องจำลำดับเอาไว้ว่า  ฝ่ายโลกก่อนแล้วจึงเป็นฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าประทานวิญญาณให้กับมนุษย์ด้วยลมปราณของพระองค์ (ปัญญาจารย์ 12:7)[60]  ที่จริงแล้วลมหายใจและวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก

            มีความเชื่อผิดๆที่แพร่หลายในประเทศจีนเนื่องจากวอชแมน  นี[61] สหายของเราได้รับคำสอนนี้จากประเทศตะวันตก (ทุกสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้มาจากประเทศตะวันตก) วอชแมน  นี พูดเสมอว่ามนุษย์ประกอบด้วยสามส่วนคือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ  นี่เป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์  ผมไม่มีอะไรต่อต้านวอชแมน  นี สหายของเรา  แต่ว่าอะไรที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ก็ไม่เป็นตามพระคัมภีร์

         พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงมนุษย์ในแง่ของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ  เมื่อคุณตรวจดูพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกคุณจะเห็นว่าจิตใจ (ch5 2) มีความหมายธรรมดาว่า “ชีวิต”  เป็นชีวิตที่พระเจ้าทรงใส่ลมหายใจเข้าไปในมนุษย์  ร่างกาย ชีวิตจิตใจ และวิญญาณโดยมีชีวิตจิตใจอยู่ตรงกลาง  นั่นเป็นเพราะชีวิตจิตใจยึดร่างกายและวิญญาณไว้ด้วยกัน  เมื่อชีวิตจิตใจหมดสิ้นไป ร่างกายก็กลายเป็นผงธุลีและวิญญาณก็กลับไปหาพระเจ้า  ชีวิตจิตใจซึ่งหมายถึงชีวิตยึดสองสิ่งนี้ไว้ด้วยกัน  ชีวิตจิตใจไม่ได้มีตัวตนจริงภายในมนุษย์  มนุษย์ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจในความหมายที่นิยมกันของคำนี้ แต่ทว่าเขามีชีวิต

         1 โครินธ์ 15:50 คือข้อที่ควรจะศึกษาอย่างละเอียด  “พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ข้าพ​เจ้าขอประกาศ​ว่า เนื้อ​และ​เลือด​ไม่​อาจรับ​อา​ณา​จักร​ของ​พระ​เจ้าเป็นมรดก และ​สิ่ง​ที่​เสื่อม​สลาย​ไม่​อาจรับ​สิ่ง​ที่​ไม่​เสื่อม​สลายเป็นมรดก” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[62]

         เพราะคุณกับผมมีเนื้อและเลือด  เราจึงไม่สามารถจะรับอาณาจักรของพระเจ้าได้นั่นก็คือรับความรอดได้  ยิ่งกว่านั้นคุณกับผมจะเสื่อมสลายและเราจะตาย  ถ้าคุณมีชีวิตเลยเก้าสิบปีคุณก็โชคดี  และสิ่งที่​เสื่อม​สลาย​จะไม่สามารถ​มี​ส่วน​กับ​สิ่ง​ที่​ไม่​เสื่อม​สลาย  ตรงนี้เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก  คือถ้าคุณมีเนื้อและเลือดแล้วคุณจะรับส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พี่น้องที่รัก มีอยู่ทางหนึ่งเท่านั้นก็คือคุณจะต้องรับการเปลี่ยนแปลง  การกลับใจใหม่จะดียิ่งก็ต่อเมื่อมันนำคุณไปถึงจุดที่คุณจำนนชีวิตของคุณทั้งหมดกับพระยาห์เวห์ในพระคริสต์  แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเป็นคนที่ถูกสร้างฝ่ายวิญญาณที่ไม่เหมือนกับคนที่ถูกสร้างเดิมและเป็นอย่างโลก

         อะไรทำให้พระเยซูเป็นคนฝ่ายวิญญาณ?  นั่นก็เพราะความจริงที่ว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์  แล้วคุณกับผมมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? สิ่งนี้เป็นได้ในทำนองเดียวกับที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในเราโดยพระวิญญาณของพระองค์ เพราะเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่อาศัยอยู่ในเราและทำงานอยู่ในเรา (โรม 8)    เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าคือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทำงานอยู่ในคุณ คุณก็เป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ยิ่งพระองค์ทรงทำงานมากเท่าไร คุณก็ยิ่งเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งพระองค์ทำงานในคุณน้อยเท่าไรเพราะความดื้อดึงของคุณ การเป็นคนฝ่ายวิญญาณของคุณก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นั่นคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างคนฝ่ายวิญญาณกับคนที่ไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณในคริสตจักร  เราเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็ด้วยการที่พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเท่านั้น  มันไม่ใช่ว่าเราเป็นคนฝ่ายวิญญาณโดยเนื้อแท้แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณสถิตอยู่ในเราและทำให้เราเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  เมื่อนั้นเองเราจึงจะสามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้

         เราคุ้นกับยอห์น 3:16 แต่เราไม่ได้เข้าใจข้อ 5 กับ 6 ที่พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัสผู้สอนที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลว่า “เรา​บอก​ความ​จริง​แก่ท่าน​ว่า  ไม่มี​ใครสามารถ​เข้าในอาณาจักร​ของ​พระ​เจ้า​ได้  ถ้าเขาไม่​ได้​เกิด​จาก​น้ำ​และ​พระ​วิญ​ญาณ  เนื้อหนัง​ให้กำเนิด​เนื้อ​หนัง​ แต่พระ​วิญญาณให้กำเนิด​​วิญ​ญาณ​” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[63]

         การกลับใจใหม่อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับความรอด  การเสียใจกับความผิดบาปของคุณก็เป็นสิ่งถูกต้องแต่นั่นยังไม่พอ  มันเป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้นและยังอีกไกลที่จะมาเป็นวิญญาณ  แต่เมื่อคุณเกิดจากพระวิญญาณคุณก็เป็นวิญญาณ    ถ้าคุณไม่ได้เกิดจากพระวิญญาณคุณก็เป็นเนื้อหนังและไม่สามารถจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้   สิ่งที่เปาโลกล่าวใน 1 โครินธ์ 15 ก็เป็นการย้ำสิ่งที่พระเยซูได้บอกกับนิโคเดมัสแล้ว

           ถ้าเช่นนั้นแล้ว “น้ำ” จากยอห์น 3:5 คืออะไร?  ทิตัส 3:4-5 กล่าวว่า

“แต่​เมื่อ​ความ​ดี​เลิศ​และ​ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้า พระ​ผู้​ช่วย​ให้​รอด​ของ​เรา​มา​ปรา​กฏ    พระ​องค์​ก็​ทรง​ช่วย​เรา​ให้​รอด ไม่​ใช่​เพราะ​ความ​ชอบ​ธรรม​ที่​เรา​ทำ​เอง แต่​ด้วย​พระ​เมต​ตา​ของ​พระ​องค์​โดย​ผ่าน​การ​ชำระ​ให้​บังเกิด​ใหม่​และ​สร้าง​ใหม่​ของ​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์”[64]

         คุณกำลังอ่านพระคัมภีร์อย่างผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไหม?  เปาโลอ่านพระคัมภีร์อย่างนั้นและเขียนจดหมายฉบับต่างๆของเขาอย่างนั้น  ตรงนี้พระผู้ช่วยให้รอดก็คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา  พระเยซูก็ทรงถูกเรียกว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แต่ผลสุดท้ายแล้วเป็นพระยาห์เวห์ผู้ช่วยเราให้รอดผ่านทางพระเยซู  ความรักและพระกรุณาของพระยาห์เวห์ “ได้ปรากฏ” นั่นคือได้ปรากฏในองค์พระคริสต์ตั้งแต่ตอนประสูติจากหญิงพรหมจารี    “พระองค์ช่วยเราให้รอด” หมายถึงพระยาห์เวห์ทรงช่วยเราให้รอดโดยไม่ได้ขึ้นกับการกระทำที่ชอบธรรมของเรา แต่ด้วยพระเมตตาของพระยาห์เวห์โดยการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

         “น้ำ” ในยอห์น 3:5 สอดคล้องกับ “การชำระให้บังเกิดใหม่” ในทิตัส 3:5 ซึ่งเป็นข้ออ้างอิงถึงการบัพติศมา  ถ้าการบัพติศมาทำอย่างถูกต้องและรับอย่างถูกต้อง  คนที่ได้รับบัพติศมาจะรู้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่ที่ไม่ใช่เพราะพิธีบัพติศมาแต่ด้วยการชำระบาปและการชำระให้บังเกิดใหม่  จากนั้นเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สร้างเขาใหม่ให้เป็นคนใหม่และเป็นคนฝ่ายวิญญาณที่เกิดจากพระวิญญาณ

          พระเยซูตรัสกับมารธาว่า “​เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็น​ขึ้น​จาก​ตายและ​ให้​ชีวิตแก่เขา  ผู้ที่เชื่อ​​ใน​เรา​จะ​มี​ชีวิตอยู่​​แม้​ว่า​เขา​​ตาย​ไป   และ​ไม่ว่าใครที่​มี​ชีวิตอยู่​และ​เชื่อ​ใน​เรา​จะ​ไม่​ตาย​เลย เจ้า​เชื่อ​อย่าง​นี้​หรือไม่?”(ยอห์น 11:25-26 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)[65]

          ข้อนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังและวิญญาณ   คำว่า “แม้ว่าเขาตายไป” หมายถึงความตายของร่างกายเนื้อหนัง  แต่ถ้าคุณเชื่อในพระเยซูผู้ที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ภายใน  คุณก็จะมีชีวิตแม้ว่าร่างกายเนื้อหนังของคุณจะตายไป  ในทางกลับกันคำว่า “ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตอยู่” นั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณ  เพราะผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณและมีชีวิตนิรันดร์  เขาจะ “ไม่ตายเลย”  คำสอนขององค์ผู้เป็นเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ ชัดเจน และตรงๆ

             เราได้ดูข้อ 50 จาก 1 โครินธ์ 15 ซึ่งเป็นบทสำคัญที่สุดบทหนึ่ง  ให้เราดูข้อ 42-48

42การ​เป็น​ขึ้น​มา​ของ​คน​ตาย​ก็​เหมือน​กัน ร่าง​กาย​ที่​ถูก​หว่าน​ลง​นั้น​เสื่อม​สลาย​ได้ ร่าง​กาย​ที่​เป็น​ขึ้น​มานั้น​ไม่​เสื่อม​สลาย 43สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน​ลง​นั้น​ไร้​เกียรติ สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​มี​ศักดิ์​ศรี สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน​ลงนั้นอ่อน​กำ​ลัง สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​มี​พลัง[66]  44สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน​ลง​นั้น​เป็น​กาย​เนื้อ​หนัง สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มานั้นเป็นกาย​จิต​วิญ​ญาณ ถ้า​มี​กาย​เนื้อ​หนัง กาย​จิต​วิญ​ญาณ​ก็​มี​ด้วย   45ดัง​ที่​เขียน​ไว้​ว่า “มนุษย์คนแรก​คือ​อาดัม จึง​เป็น​ผู้​มี​ชีวิต” แต่​อา​ดัม​สุดท้าย​นั้น​เป็น​วิญ​ญาณ​ผู้​ประ​ทาน​ชีวิต 46ร่าง​กาย​แรก​นั้นไม่​ใช่​เป็นกาย​จิต​วิญ​ญาณ แต่​เป็น​กาย​เนื้อ​หนัง ร่าง​กาย​ต่อ​จาก​นั้น​จึง​เป็น​กาย​จิต​วิญ​ญาณ 47มนุษย์คน​แรก​นั้นมา​จาก​ดิน​และ​เป็น​มนุษย์​ดิน มนุษย์​คน​ที่​สอง​นั้น​มา​จาก​สวรรค์ 48มนุษย์​ดิน​คน​นั้น​เป็นอย่าง​ไรมนุษย์​ดิน​ทั้ง​หลาย​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น มนุษย์​สวรรค์​คน​นั้น​เป็น​อย่าง​ไร มนุษย์​สวรรค์ทั้งหลายก็เป็น อย่าง​นั้น (ฉบับมาตรฐาน 2011)

         ร่างกายที่ “เสื่อมสลาย” ไม่สามารถจะ​มีส่วน​กับ​สิ่ง​ที่​ไม่​เสื่อม​สลายได้  แต่หลังจากที่ร่างกายถูกหว่านลงมันก็ “​เป็น​ขึ้น​มา​อย่าง​ไม่​เสื่อม​สลาย” คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเกิดจากพระวิญญาณ  ร่างกายของคุณถูกหว่านลงในดินเหมือนกับเมล็ด นี่คือความตายและการถูกฝังของคุณ แล้วจึงเป็น​ขึ้น​มา​อย่าง​ไม่​เสื่อม​สลาย   มันถูกหว่านลงอย่าง “ไร้เกียรติ” (ความตาย)  แต่เป็นขึ้นอย่าง “มี​ศักดิ์​ศรี”  มันถูก​หว่าน​ลง​อย่าง “​อ่อน​กำ​ลัง” แต่มันเป็น​ขึ้น​มา​อย่าง  “มี​พลัง”  

          ความไร้เกียรติ  ความอ่อนแอ และความเสื่อมสลายได้  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง  แต่เราเป็นขึ้นในฝ่ายวิญญาณ นั่นคือแสดงลักษณะของศักดิ์ศรีและพลัง  มัน​ถูก​หว่าน​ลงด้วยกายเนื้อ​หนังแต่​เป็น​ขึ้น​มา​ด้วย​กาย​จิต​วิญ​ญาณ  แต่จงสังเกตว่า “ด้านจิตวิญญาณไม่ได้มาก่อนแต่เป็นเนื้อหนัง  และจากนั้นจึงเป็นจิตวิญญาณ”  ในการสร้างอาดัมนั้น  ร่างกายถูกสร้างขึ้นมาก่อน  แล้วอาดัมจึงได้รับวิญญาณ

          มนุษย์คนแรกนั้นมา “จากดิน​” แต่มนุษย์​คน​ที่​สอง​นั้น​มา “จาก​สวรรค์” ผู้ที่มาจากดินก็เป็นเหมือนมนุษย์ดิน  ผู้ที่มาจากสวรรค์ก็เป็นเหมือนมนุษย์จากสวรรค์  ในภาษาอังกฤษความหนักแน่นของคำกล่าวนี้ได้หายไปแต่ว่าในภาษากรีกจะชัดเจนกว่ามาก  เราจะไม่วิเคราะห์ข้อความภาษากรีกเนื่องจากลักษณะเฉพาะของภาษา  แต่ผมขอหนุนใจให้พวกคุณศึกษาเรื่องนี้เอาเองถ้าคุณสามารถใช้ภาษากรีกได้

         ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมองเห็นความเป็นพระเจ้าของพระเยซูทุกๆที่ในพระคัมภีร์  เมื่อเปาโลกล่าวว่ามนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ เราจะบอกทันทีว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า! คงไม่สรุปเร็วขนาดนั้น เพราะสิ่งอื่นมากมายรวมทั้งเหล่าทูตสวรรค์ก็มาจากสวรรค์  ภาษากรีกกล่าวว่า  

ch5 3 (“มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์”) ที่มี ch5 4 เป็นสัมพันธการก[67]  คำวลีนี้ ch5 5 จะปรากฏบ่อยๆในพระคัมภีร์ใหม่และมีความหมายต่างๆกัน

          ผมไม่ได้กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ตรงนี้ แต่อย่างไรก็ดี การดำรงอยู่ก่อนไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าเพราะว่าเหล่าทูตสวรรค์มากมายก็ดำรงอยู่ก่อนเช่นกัน  การดำรงอยู่แล้วตอนการทรงสร้างหรือแม้จะก่อนการทรงสร้างไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าเพราะว่าเหล่าทูตสวรรค์ก็ดำรงอยู่ก่อนการทรงสร้างเช่นกัน  จักรวาลไม่ได้ว่างเปล่าก่อนที่จะมีการสร้างจักรวาลให้มีรูปมีร่าง

         นักฟิสิกส์บอกเราว่าอาจมีจักรวาลมากมายอยู่เหนือฟากฟ้า  วันก่อนผมกำลังฟังการอภิปรายเรื่องของฟิสิกส์ที่คาดการณ์ว่ามีจักรวาลอยู่จำนวนมากแค่ไหนนอกเหนือจากจักรวาลของเราเอง  บรรดาผู้เข้าร่วมอภิปรายเปิดช่องความเป็นไปได้ไว้ว่า ยังมีจักรวาลอื่นๆมากมายอยู่เหนือฟากฟ้า พวกคุณบางคนคงรู้เรื่องทฤษฎีใหม่ของฟิสิกส์ เช่นทฤษฎีสตริง[68] และทฤษฎีเมมเบรน[69]  ฟิสิกส์เป็นเรื่องที่ชวนให้หลงใหลจนทำให้คุณแปลกใจว่านักฟิสิกส์กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องฟิสิกส์หรืออภิปรัชญากันแน่  มีการพูดถึงจักรวาลอื่นๆที่มีอยู่ในอวกาศของจักรวาลของเราเองที่แทรกซึมไปทั่วเหมือนเส้นใยและแผ่นเยื่อ ผมอ่านเรื่องที่ชวนให้หลงใหลนี้จากนิตยสารต่างๆ เช่น นักวิทยาศาสตร์ใหม่[70]

 

มนุษย์จากสวรรค์

     คำ ch5 5  (“จากสวรรค์”) ที่เรากำลังดูนี้จะพบในลูกา 11:13 ด้วย (ดูที่ขีดเส้นใต้ )

“ถ้า​แม้​ท่าน​เอง​ซึ่ง​เป็น​คนชั่ว​ยัง​รู้​จัก​ให้​สิ่ง​ดีๆ​แก่​บุตร​ของ​ท่าน ยิ่ง​กว่า​นั้น​สัก​เพียง​ใด พระ​บิดา​ของท่านใน​สวรรค์ย่อม​ประทาน​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​แก่​บรรดาผู้​ที่ทูล​ขอ​​พระ​องค์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

ch5 6

If you then, being evil, know how to give good gifts to your children, how much more will your heavenly Father give the Holy Spirit to those who ask Him? (Luke 11:3 NASB)

            คำกรีกสองคำที่ขีดเส้นใต้กล่าวถึงพระบิดา  การรวมสองคำนี้เข้าด้วยกันจึงได้แปลในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษว่า “พระบิดาในสวรรค์” ซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการมา “จากสวรรค์”  แต่พูดเพียงว่าพระบิดาในสวรรค์

          การนำประเด็นนี้มาใช้กับ 1 โครินธ์ 15 มนุษย์คนที่สองจึงถูกเข้าใจว่าเป็น “มนุษย์จากสวรรค์”  บริบททั้งหมดบอกเราว่ามนุษย์สวรรค์ก็คือมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ  ข้อ 48 ยังใช้คำนี้กับเราด้วย “มนุษย์​สวรรค์​คน​นั้น​เป็น​อย่าง​ไร มนุษย์​สวรรค์​ทั้ง​หลาย​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น”[71]  เราจำเป็นต้องเป็นมนุษย์สวรรค์ถ้าหากเราจะได้รอด เพราะเนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า

            “มนุษย์​สวรรค์​คน​นั้น​เป็น​อย่าง​ไร” กล่าวถึงพระคริสต์  เพราะฉะนั้นข้อ 48 ก็หมายถึงว่า “พระคริสต์เป็นอย่างไร มนุษย์​สวรรค์​ทุกคน​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น”  นี่น่าแปลกใจใช่ไหม?  เราก็ถูกทำให้เป็นมนุษย์สวรรค์ด้วย  เมื่อคุณเกิดจากพระวิญญาณคุณก็กลายมาเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์  การเปลี่ยนจากมนุษย์ดินไปเป็นมนุษย์สวรรค์คือกุญแจที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า

             เปาโลไม่ได้ใช้ “มนุษย์โลก” แต่ใช้ “มนุษย์ดิน” (ch5 7) ที่บอกลักษณะจากดิน  คำกรีกหมายถึง “ดิน”  มนุษย์คนแรกมาจากดินในขณะที่มนุษย์คนที่สองมาจากวิญญาณซึ่งค้านกับการมาจากดิน คำพูดว่า “มนุษย์สวรรค์คน​นั้น​เป็น​อย่าง​ไร” ไม่ได้หมายความว่าลงมาจากสวรรค์  ถ้าเราจะให้หมายความว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ เราก็ต้องได้ข้อสรุปอย่างเดียวกันนี้กับตัวของเราเองเช่นกัน   ในเมื่อมันชัดเจนว่าเราไม่ได้ลงมาจากสวรรค์ ดังนั้นเปาโลจึงกำลังพูดแค่ว่าเราเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์  ตรงนี้จึงไม่ได้มีอะไรที่พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์  เปาโลกำลังพูดแค่ว่าคุณจะต้องถูกเปลี่ยนจากทางโลกมาเป็นทางวิญญาณ ไม่เช่นนั้นคุณก็จะไม่ได้รอดและจะไม่มีส่วนกับอาณาจักรของพระเจ้า  คุณจะต้องมาเป็นมนุษย์สวรรค์

         คุณคงจำหนังสือเกี่ยวกับผู้เชื่อชาวจีนได้ที่ถูกขนานนามว่า “บุรุษจากสวรรค์” ในความหมายเหมือนที่พระคริสต์ทรงมาจากสวรรค์ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นมนุษย์สวรรค์หรือมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ แต่ถ้าเขาหมายถึงสิ่งที่เกินกว่านั้น มันอาจเป็นการหมิ่นประมาทได้ แต่ถ้าเขาหมายถึงอย่างนั้นเขาก็ทำถูกแล้ว

         ผมขอสรุปว่า มนุษย์เป็นยอดสุดของการสร้างของพระเจ้า และยอดสุดของยอดสุดก็คือพระคริสต์   ผู้เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า  เราจะเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์ของพระเจ้าได้ก็โดยการมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณหรือเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนกับที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์  เราไม่ได้รอดเพราะแค่กลับใจใหม่หรือรับเชื่อ ทั้งหมดนี้สำคัญแต่ไม่พอ  เราจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณและคนของสวรรค์เพื่อที่เราจะได้รับอาณาจักรของพระเจ้าและได้รอด

 

[1] Soteriology

[2] Becoming a New Person

[3] คำ “Word of God” ในพระคัมภีร์ภาษาไทยบางครั้งแปลว่า “พระวจนะ” บางครั้งแปลว่า “พระวาทะ” ตลอดพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นสถิติของการปรากฏคำนี้จึงไม่เท่ากับจำนวนที่ปรากฏในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ (ผู้แปล)

[4] Septuagint  คือพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกที่แปลจากพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู (ผู้แปล)

[5] “Logos” หรือ  “Word” (ผู้แปล)

[6] ฉบับไทยคิงเจมส์และ 1971 แปล โคโลสี 3:16 ว่า  “จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์” ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “จง​ให้​พระ​วจนะ​ของ​พระ​คริสต์​อยู่​ใน​พวก​ท่าน​อย่าง​บริ​บูรณ์” (ผู้แปล)

[7] subjective genitive

[8] objective genitive

[9] R.H. Charles

[10] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “พวกเขาจะมองดูเรา ผู้ที่พวกเขาได้แทง”

ฉบับมาตรฐานแปลว่า “เมื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​มอง​ดู​ท่าน  ผู้​ซึ่ง​เขา​เอง​ได้​แทง เขา​จะ​ไว้​ทุกข์​เพื่อ​ท่าน” (ผู้แปล)

[11]  Keil and Delitzsch นักวิชาการพระคัมภีร์เดิม (ผู้แปล)

[12] Passion of the Christ

[13] “Me”

[14] “Him”

[15] New American Standard Bible

[16] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “คนใกล้ชิดของเรา” ในเศคาริยาห์ 13:7 (ผู้แปล)

[17] Pentateuch

[18] ต้นฉบับภาษาอังกฤษยกจากฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ดว่า “He purchased with His own blood”

ฉบับ 1971 แปลว่า “ที่​พระ​องค์​ทรง​ได้มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​องค์เอง​​”   ส่วนฉบับอมตธรรมร่วมสมัยและฉบับไทยคิงเจมส์แปลเหมือนกันว่าพระ​องค์​ทรงซื้อหรือพระองค์ทรงไถ่ “มาด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​องค์​เอง​”  (ผู้แปล)

[19] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ที่​พระ​องค์​ทรง​ได้มา​ด้วย​พระ​โลหิต​ของพระบุตรของ​พระ​องค์​​” (ผู้แปล)

[20] จากฉบับ NASB (ฉบับ 1971 แปลสดุดี 8:5 ส่วนหลังว่า “สวม​ศักดิ์ศรี​กับ​เกียรติ​ให้แก่​เขา” ) -ผู้แปล

[21] ผู้แปลอ้างอิงจากฉบับภาษาไทยแทนฉบับภาษาอังกฤษ NASB, HSCB และ NRSV

[22] ผู้แปลอ้างอิงจากฉบับภาษาไทยแทนฉบับภาษาอังกฤษ KJV, ESV และ NIV

[23] เช่นปฐมกาล 2:4 “ลำดับ​เรื่อง​การ​เนร​มิต​สร้าง​ฟ้า​สวรรค์​และ​แผ่น​ดิน​มี​ดัง​นี้ ใน​วัน​ที่​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ทรง​เนร​มิต​สร้าง​แผ่น​ดิน​และ​ฟ้า​สวรรค์” หรือปฐมกาล 2:7 “พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ทรง​ปั้น​มนุษย์​ด้วย​ผง​คลี​จาก​พื้น​ดิน” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[24] ฉบับไทยคิงเจมส์ แปลสดุดี 8:5 ว่า “เพราะพระองค์ทรงทำให้พวกเขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียว” (ผู้แปล)

[25] Theodotion หรือ Theodotus  ชาวยิวเชื้อสายกรีกผู้แปลพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก (ผู้แปล)

[26] 2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น​ถ้า​ใคร​อยู่​ใน​พระ​คริสต์ เขา​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สาร​พัด​ที่​เก่าๆ ก็​ล่วง​ไป นี่​แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้ง​นั้น”

[27] วิวรณ์ 21:1 “และ​ข้าพ​เจ้า​เห็น​ฟ้า​สวรรค์​ใหม่​และ​แผ่น​ดิน​โลก​ใหม่ เพราะ​ว่า​ฟ้า​สวรรค์​เดิม​และ​แผ่น​ดิน​โลก​เดิม​นั้น​หาย​ไป​แล้ว”

[28] ฉบับไทยคิงเจมส์

[29] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยเป็นฉบับเดียวที่แปล 1 ทิโมธี  2:5 ตรงกับต้นฉบับตรงกับฉบับภาษากรีกและภาษาอังกฤษว่า “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (For there is one God, and one mediator also between God and men,  the man Christ Jesus” (1Timothy 2:5 ESV, KJV, NAU, NIV, WEB, YLT) -ผู้แปล

[30] 1โครินธ์ 15:21“เพราะ​ว่า​ใน​เมื่อ​ความ​ตาย​เกิดขึ้น​โดย​มนุษย์​คน​หนึ่ง  การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ความ​ตาย​ก็​เกิดขึ้น​โดย​มนุษย์​คน​หนึ่ง​เช่น​กัน”(ผู้แปล)

[31] 元朝

[32] 清朝

[33] 康熙  และ 乾隆

[34] 李 (หรือ “หลี่” ผู้แปล)

[35] 金 (หรือ “จิน” ผู้แปล)

[36] ในปฐมกาล 2:7 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ระบายลมหายใจ” ฉบับอื่นๆแปลว่า “ระบายลมปราณ” (ผู้แปล)

[37] คำว่า “image” ในปฐมกาล 1:26 มาจากคำฮีบรูว่า “37” หมายถึง “รูป” และจะพบคำเดียวกันนี้ได้อีกใน 2 พงศ์กษัตริย์ 11:18, กันดารวิถี  33:52, 1 ซามูเอล 6:5 และเอเสเคียล 23:14 (ผู้แปล)

[38] มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “image” ที่แปลได้ว่า “รูป” หรือ “รูปเหมือน” หรือ “รูปแทน” หรือ “รูปภาพ”  (ผู้แปล)

[39] Madame Tussauds

[40] ยอห์น 14:9 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ฟีลิป เรา​อยู่​กับ​ท่าน​นาน​ถึง​ขนาด​นี้​แล้ว​ท่าน​ยัง​ไม่​รู้​จัก​เรา​อีก​หรือ  คน​ที่​ได้​เห็น​เรา​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา” ท่าน​จะ​พูด​ได้​อย่าง​ไร​อีก​ว่า ‘ขอ​สำ​แดง​พระ​บิดา​ให้​พวก​ข้า​พระ​องค์​เห็น?’ (ผู้แปล)

[41] หรือ “พระฉายา”

[42] 2 พงศาวดาร 30:12 “พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ทรง​อยู่​เหนือ​ยู​ดาห์​ด้วย เพื่อ​ทำ​ให้​พวก​เขา​เป็น​น้ำ​หนึ่ง​ใจ​เดียว​กัน​ที่​จะ​ทำ​ตาม​สิ่ง​ที่​พระ​ราชา​และ​พวก​เจ้า​นาย​ได้​บัญ​ชา​ไว้​ตาม​พระ​วจนะ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์”  (ฉบับมาตรฐาน 2011)

อิสยาห์ 53:1 “ใคร​เล่า​จะ​เชื่อ​สิ่ง​ที่​เรา​ป่าว​ประ​กาศ?  พระ​กร​ของ​พระ​ยาห์​เวห์ทรง​สำ​แดง​แก่​ผู้​ใด?”  (ฉบับมาตรฐาน 2011)

อิสยาห์ 63:3 “เรา​ย่ำ​บ่อ​องุ่นตาม​ลำ​พังและ​ไม่​มี​ใคร​จาก​ชน​ชาติ​ทั้ง​หลาย​อยู่​กับ​เรา​เลย” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

อิสยาห์ 42:13 “พระ​ยาห์​เวห์​จะ​เสด็จ​ออก​ไป​อย่าง​ผู้​กล้า พระ​องค์​ทรง​เร้า​ความ​กระ​ตือ​รือร้น​ขึ้น​อย่าง​นัก​รบ” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[43] “in the form of God” หรือ “ในรูปกายของพระเจ้า” (43 1) “รูปกาย” จากคำกรีก “43 2” เป็นคำเดียวกันกับ “ในพระกายอีกรูปหนึ่ง” (43 3)  ในมาระโก 16:12  “ภายหลังพระเยซูทรงปรากฏในพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคนขณะที่พวกเขาเดินอยู่นอกเมือง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล

[44] “form of God” พระคัมภีร์ไทยส่วนใหญ่แปลว่า “ทรงสภาพของพระเจ้า” (ผู้แปล)

[45] คือคำเดียวกันว่า “form” หรือ “45” ที่พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “ทรงสภาพ” (ผู้แปล)

[46] หรือ “รูปเหมือน” (ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลโคโลสี 1:15 ว่า “พระ​คริสต์​ทรง​เป็น​พระ​ฉายา​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ไม่​ทรง​ปรา​กฎ​แก่​ตา”)-ผู้แปล

[47] 1 โครินธ์ 11:7 จากฉบับ 1971  “การ​ที่​ผู้ชาย​ไม่​สมควร​จะ​คลุม​ศีรษะ​นั้น ​ก็​เพราะ​ว่า​ผู้ชาย​เป็น​พระ​ฉายา​และ​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า”​ (ผู้แปล)

[48] ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “ผู้ทรงอยู่ในสภาพพระเจ้า” ซึ่งมาจากคำกรีกว่า “48”   ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า”   และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ผู้ทรงสภาพพระเจ้า” หรือเพิ่มเติมว่า “เป็นเหมือนพระเจ้า” (ผู้แปล)

[49] Ralph P. Martin

[50] Carmen Christi  หนังสือที่มีเนื้อหาการตีความฟีลิปปี 2:5-11 (ผู้แปล)

[51] “image of God”

[52] Pastor Peter Cheung

[53] “Song of Allegiance” เพลงแห่งความจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสต์ แต่งโดย อจ อีริค เอช เอช ชาง (ผู้แปล)

[54] เลวีนิติ 26:1 ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “ห้าม​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ทำ​รูป​เคา​รพ​สำหรับ​ตัว หรือ​ตั้ง​รูป​แกะ​สลัก หรือ​เสา​ศักดิ์​สิทธิ์ และ​ห้าม​ตั้ง​รูป​ศิลา​แกะ​สลัก​ไว้​ใน​แผ่น​ดิน​ของ​เจ้า​เพื่อ​จะ​กราบ​ไหว้ เพราะ​เรา​คือ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​เจ้า” (ผู้แปล)

[55] Morphē  หรือ “form”

[56] Thayer

[57] Arndt and Gingrich

[58] แปลตรงจากฉบับภาษาอังกฤษของ 2 Timothy 3:5 “having a form of godliness but denying its power” (NIV) -ผู้แปล​

ฉบับมาตรฐาน 2011 แปล 2 ทิโมธี 3:5  ว่า “ยึด​ถือ​ทาง​พระเจ้า​แต่​เพียง​เปลือก​นอก แต่​ปฏิ​เสธ​ฤทธิ์​เดช​ของ​ทาง​นั้น”

ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า  “เขามีสภาพทางของพระเจ้าภายนอก  แต่ฤทธิ์ของทางนั้นเขาปฏิเสธเสีย” (ผู้แปล)

[59] หรือ “พิธีมิสซา” ตามต้นฉบับ (ผู้แปล)

[60] ปัญญาจารย์ 12:7  “และ​ผง​คลี​กลับไป​เป็น​ดิน​อย่าง​เดิม และ​จิต​วิญญาณ​กลับ​ไปสู่​พระ​เจ้า​ผู้​ประทาน​ให้​มา​นั้น” (ฉบับ 1971)​

[61] Watchman Nee (倪柝声)

[62] “พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ข้าพ​เจ้า​หมาย​ความ​ว่า เนื้อ​และ​เลือด​ไม่​สา​มารถ​มี​ส่วน​ใน​อา​ณา​จักร​ของ​พระ​เจ้า และ​สิ่ง​ที่​เสื่อม​สลาย​ไม่​มี​ส่วน​ใน​สิ่ง​ที่​ไม่​เสื่อม​สลาย” (ฉบับมาตรฐาน  2011)

[63] ยอห์น 3:5 “เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ถ้า​ใคร​ไม่​ได้​เกิด​จาก​น้ำ​และ​พระ​วิญ​ญาณ คน​นั้น​จะ​เข้า​ใน​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า​ไม่​ได้ ” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล

[64] ฉบับมาตรฐาน 2011

[65] ฉบับ 1971 แปลยอห์น 11:25 ว่า “เรา​เป็น​เหตุ​ให้​คน​ทั้ง​ปวง​เป็น​ขึ้น​และ​มี​ชีวิต ผู้​ที่​วางใจ​ใน​เรา​นั้น ถึงแม้ว่า​เขา​ตาย​แล้ว​ก็​ยัง​จะ​มี​ชีวิต​อีก”

ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลยอห์น 11:25 ว่า “เรา​เป็น​ชีวิตและ​การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อีก​แม้​ว่า​เขา​จะ​ตาย​ไป”

[66] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ทรงพลัง”  หรือ “ทรงอานุภาพ” จากฉบับ 1971 (ผู้แปล)

[67] genitive การกที่แสดงความเป็นเจ้าของ

[68] String Theory

[69] Membrane Theory

[70] New Scientist

[71] ฉบับมาตรฐาน 2011