บทที่5
การสร้างใหม่
หลังจากที่ศึกษาพระคำของพระเจ้าอยู่หลายชั่วโมงเมื่อวานนี้ ผมจึงพูดกับเฮเลนว่า “ผมเริ่มจะเห็นความจริงที่องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังเปิดเผยกับผม แต่ผมไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงอย่างไรเพื่อเอาไปสอน” ถ้าหากพระองค์ไม่ช่วยผม ผมก็คงไม่สามารถจะทำให้คุณเข้าใจความจริงได้ มันเหมือนกับการเรียงชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกันและยังงงๆอยู่ว่า “มันจะต่อเข้ากันพอดีได้อย่างไร?” แต่ถึงอย่างไรผมก็นอนหลับสบายและฝากเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์ขององค์ผู้เป็นเจ้าด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงนำผมแต่ละวัน เมื่อผมตื่นขึ้น ผมก็เข้าเฝ้าองค์ผู้เป็นเจ้าตามปกติ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงจัดทุกสิ่งเป็นลำดับให้กับผมอย่างที่ผมคาดไว้ว่าพระองค์จะทรงทำให้ผม
คำสอนของบทนี้มีความสำคัญเพราะมุ่งเน้นไปที่ความรอดตามที่เปิดเผยให้เห็นในพระคัมภีร์ใหม่และอันที่จริงแล้วก็ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม แต่เรื่องความรอดหรือหลักคำสอนเกี่ยวกับความรอด[1] เป็นหัวข้อที่กว้างมาก และโดยพระคุณขององค์ผู้เป็นเจ้า ผมจะพยายามย่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมได้อธิบายเรื่องความรอดอย่างละเอียดแล้วในหนังสือชื่อ “การมาเป็นคนใหม่”[2] ดังนั้นจึงมีหลายประเด็นที่ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงในบทนี้
ก่อนอื่นผมจะชี้ให้เห็นว่า ทั้งสี่บทที่ผ่านมามีพระเจ้าพระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางและจุดศูนย์รวมความสนใจ ซึ่งควรเป็นเช่นนั้น จากตั้งแต่การสร้างไปจนถึงการไถ่นั้น ทุกสิ่งมุ่งเน้นไปที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา เมื่อเรามีจุดศูนย์รวมความสนใจที่ถูกต้องแล้ว ทุกสิ่งก็จะชัดขึ้น แต่ถ้าเราพลาดจุดนี้ สุดท้ายเราก็จะสับสนอย่างมาก
ผมต้องการทำให้คำสอนในบทนี้ชัดเจนมากจนทุกคนที่แม้แต่เด็กรวีฯก็สามารถเข้าใจได้ ถ้าผมพูดสิ่งที่เข้าใจยาก พวกเขาอาจจะบอกว่า “ก็น่าทึ่งดี!” ผมเคยได้ยินบางคนพูดว่า “คำเทศนานี้เยี่ยมยอด แต่ผมไม่เข้าใจสักคำ!” คำเทศนาข้ามหัวของพวกเขาไปก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถจะเข้าใจได้ ขณะเดียวกันเมื่อคุณฟังผู้บรรยายหรืออาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่พูดแบบเรื่อยเปื่อย คุณอาจคิดว่าคำบรรยายนั้นสูงส่งและเลิศลอย แต่ตามจริงแล้วไม่มีเนื้อหาสาระเอาเสียเลย ที่จริง “การพูดแบบเรื่อยเปื่อย” มักจะหมายถึงหาเนื้อหาสาระไม่ได้ ผมก็เคยนั่งฟังหลายคำบรรยายโดยไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้บรรยายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ คนบางคนประทับใจเมื่อพวกเขาฟังคำบรรยายที่พวกเขาไม่เข้าใจ แต่ผมจะประทับใจเมื่อมีใครอธิบายสิ่งนั้นให้ผมเข้าใจอย่างชัดเจน ที่ฟังแล้วเริ่มจะเข้าใจได้ดี
ขณะเมื่อศึกษาอยู่ในลอนดอน ผมนั่งฟังคำบรรยายจากอิสยาห์ 53 โดยอาจารย์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง พวกเราทั้งหมดที่เป็นนักศึกษาศาสนศาสตร์ปีที่หนึ่งและปีที่สองต่างเบียดเสียดกันแน่นในห้องบรรยาย ผมเป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวในภาควิชาพระคัมภีร์ใหม่ที่เคยเรียนภาษาฮีบรูมาก่อน ในขณะที่นักศึกษาคนอื่นๆไม่มีใครรู้ภาษาฮีบรู และอาจารย์ผู้บรรยายก็พูดไปเรื่อยๆ พึมพำอะไรบางอย่างเป็นภาษาฮีบรูโดยไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์กำลังพูดถึงอะไร ผมคิดในใจว่า “อาจารย์กำลังพูดถึงอะไรหรือ?” ภาษาฮีบรูของผมมันแย่หรือว่ามีอะไรผิดๆในคำบรรยายของเขากันแน่? ผมมองไปรอบๆก็เห็นว่าทุกคนจ้องตาแป๋วโดยไม่ได้ระแคะระคายอะไร พวกเขาคงออกมาจากห้องบรรยายแล้วคิดว่า “เป็นคำบรรยายที่เยี่ยมยอด!” นี่ขนาดผมที่รู้ภาษาฮีบรูก็ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแล้วคนที่น่าสงสารเหล่านี้ที่ไม่รู้ภาษาฮีบรูเลยล่ะ จะเป็นอย่างไร?
พระวาทะของพระเจ้า
คำว่า “พระวาทะของพระเจ้า”(Word of God)[3] ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้เป็นคำพูดที่ใช้ประมาณ 40ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คุณสามารถตรวจสอบดูได้ในภาษากรีกหรือในภาษาอังกฤษจากโปรแกรมพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์ “พระวาทะของพระเจ้า”ที่ปรากฏประมาณ40ครั้งนี้ไม่ได้ใช้เป็นชื่อเรียกของพระคริสต์ แต่จะหมายถึงถ้อยคำแห่งความรอดของพระเจ้าหรือหมายถึงพระกิตติคุณเสมอ จากจำนวนปรากฏ 40ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ จำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่คือ 11ครั้งจะพบในหนังสือกิจการ นี่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายเพราะหนังสือกิจการเป็นบันทึกของการที่พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกประกาศออกไป และการที่ผู้ได้ยินได้ฟังหันมาหาพระวาทะของพระเจ้า
เมื่อพูดถึง “พระวาทะของพระเจ้า” คำว่า “พระเจ้า” นี้คุณหมายถึงใครตั้งแต่แรก? ตอนนี้คุณก็น่าจะรู้ว่า พระเจ้าคือพระยาห์เวห์เพราะเท่าที่ทราบจากพระคัมภีร์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่น พระวาทะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่และในพระคัมภีร์เดิมจะเป็น “พระวาทะของพระยาห์เวห์” เป็นคำพูดที่ปรากฏหลายครั้งมากในพระคัมภีร์เดิม ในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกฉบับเซปทัวจินต์[4]เองนั้นมีคำว่า “logos” (วาทะ)[5] ปรากฏ1,239ครั้ง เมื่อใช้กับพระเจ้า “logos” ก็คือพระวาทะของพระยาห์เวห์ ซึ่งก็คือถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ตรัสหรือประกาศ
ในทางกลับกัน “พระวาทะของพระคริสต์” มีปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในพระคัมภีร์ใหม่ในโคโลสี 3:16 ที่หมายความแค่ว่า “ถ้อยคำเกี่ยวกับพระคริสต์” หรือ “ข้อความเกี่ยวกับพระคริสต์” แต่ตรงข้ามกับ “พระวาทะของพระเจ้า” ที่มีความหมายกว้างกว่าเพราะว่าเป็นถ้อยคำที่เริ่มจากและออกมาจากพระเจ้าแต่ก็เป็นถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย พระวาทะของพระเจ้าเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า (พระยาห์เวห์) และเป็นถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ใช้ไวยากรณ์ที่บอกความเป็นเจ้าของเมื่อกล่าวถึงถ้อยคำที่มาจากพระยาห์เวห์ และบอกความเกี่ยวข้องกับผู้เป็นเจ้าของที่ถูกกล่าวถึง[6] เมื่อกล่าวถึงถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์เป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของพระวาทะของพระเจ้าหรือพระวาทะของพระยาห์เวห์ นี่ตรงข้ามกับวิธีที่เรามักจะใช้พระวาทะของพระเจ้าเหมือนว่าเป็นพระวาทะที่เกี่ยวกับพระคริสต์ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว “พระวาทะของพระคริสต์” มีปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ใหม่ เราได้บิดเบือนความหมายและการเน้นของพระวาทะของพระเจ้า เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมแปลกใจและกังวลใจที่พบว่ามีพระคัมภีร์อ้างอิงเพียงข้อเดียวถึง “พระวาทะของพระคริสต์” ในพระคัมภีร์ใหม่ (โคโลสี 3:16)[7] ในฐานะของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่สอนคนอื่นว่า “พระวาทะของพระเจ้า” คือคำเรียกพระคริสต์ ตัวผมเองต้องแปลกใจที่พบว่าไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่ที่ใช้คำนี้เป็นคำเรียกพระคริสต์ เราได้ยกคำเรียกให้กับพระคริสต์โดยที่พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้หมายถึงพระองค์เช่นนั้น
มีเพียงข้อเดียวที่ “พระวาทะของพระเจ้า” อาจใช้กับพระคริสต์ นั่นคือวิวรณ์ 19:13 ที่เราได้ดูกัน แต่ที่เราได้เห็นก็คือบุคคลที่ถูกเรียกว่า “พระวาทะของพระเจ้า” ในข้อนี้ไม่ใช่พระคริสต์ นี่ยังเป็นข้อสรุปของอาร์ เอช ชาลส์[8] ผู้เชี่ยวชาญหนังสือวิวรณ์มากกว่าใคร ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์วิวรณ์ฉบับภาษากรีกของชาลส์สองชุดนั้น เขาชี้ให้เห็นว่าถ้าเราตรวจสอบบริบทก็จะพบว่า “พระวาทะของพระเจ้า” ไม่ได้หมายถึงพระคริสต์แต่หมายถึงพระกิตติคุณตามปกติ พระกิตติคุณออกไปอย่างมีชัยชนะเหมือนกับผู้ทรงม้า จากเบื้องหลังพระคัมภีร์เดิมของข้อนี้ (ในอิสยาห์ 63) ผู้ทรงม้าชี้ไปที่พระยาห์เวห์ พระองค์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “นักรบ” ในพระคัมภีร์เดิม (อิสยาห์ 42:13) พระองค์ทรงออกไปปราบด้วยถ้อยคำของพระกิตติคุณซึ่งพระองค์ทรงนำออกมา หลังจากที่ได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วผมก็เห็นด้วยกับอาร์ เอช ชาลส์ คุณสามารถตรวจสอบสิ่งนี้ด้วยตัวคุณเองโดยค้นหาข้อมูลจากคู่มือพระคัมภีร์สองเล่มนี้
ผู้ที่พวกเขาได้แทง
คราวก่อนเราดู เศคาริยาห์12:10
“เราจะเทวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนบนวงศ์วานของดาวิดและกับชาวเยรูซาเล็ม เพื่อว่าพวกเขาจะมองดูเรา[9]ผู้ซึ่งพวกเขาเองได้แทง และพวกเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน เหมือนคนที่ไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน และพวกเขาจะร่ำไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนคนที่ร่ำไห้อย่างขมขื่นเพื่อบุตรหัวปีของตน” (ฉบับNASB)
เมื่อเราอ่านข้อนี้เกี่ยวกับผู้ที่ถูกแทง เรามักจะคิดถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซู เราสามารถอ่านพระคัมภีร์และมองไม่เห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ถูกแทง แม้ว่าพระเยซูได้ทรงทุกข์ทรมาน ดังที่กล่าวว่า “พวกเขาจะมองดูเรา ผู้ซึ่งพวกเขาเองได้แทง” ในข้อความที่น่าสังเกตนี้เราจะเห็นว่าไม่ใช่พระเยซูเท่านั้นที่ทรงทุกข์ทรมานเพื่อเรา แต่พระยาห์เวห์ในพระคริสต์ที่ทรงทุกข์ทรมานเพื่อเราด้วย การที่เศคาริยาห์ 12:10 กล่าวถึงพระยาห์เวห์นั้น ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรู เช่น คีลกับเดลิทช์[10]
ความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณนั้นหนักกว่าความทุกข์ทรมานทางกายมากนัก ปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง “เดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์”[11] ก็คือ ภาพยนตร์มุ่งเน้นเฉพาะความทุกข์ทรมานทางกายเป็นส่วนมาก มีการเฆี่ยน การโบยตี การแบกกางเขน พระวรกายสิ้นเรี่ยวแรง และการตอกตะปูที่แทงทะลุพระหัตถ์ การแทงครั้งสุดท้ายด้วยทวนนั้นไม่ได้เจ็บปวดเลย เพราะตอนนั้นพระเยซูสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
แล้วความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณล่ะ? ความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ที่เกทเสมนีนั้นมากยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานที่กางเขนมาก นั่นคือสิ่งที่คริสเตียนส่วนมากไม่ได้ตระหนักถึง ตัวผมเองก็เคยผ่านความเจ็บปวดทางกายมา แม้กระทั่งความเจ็บแปลบเหมือนมีอะไรแทงเข้าไปในเนื้อ ผมคิดว่าการตอกตะปูลงบนมือนั้นไม่เจ็บปวดเท่าการใช้อะไรแหลมๆมาแทงเข้าที่สะโพกหรือหลังของคุณ พวกคุณที่เคยทนกับความทุกข์ทรมานทางกายมาบ้าง ก็จะรู้ว่าความทุกข์ทรมานทางกายเป็นลักษณะความทรมานที่น้อยสุดในความทุกข์ทรมานต่างๆของพระคริสต์
ความทุกข์ทรมานที่หนักสุดก็คือความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณ ถ้าคุณเคยทุกข์ทรมานในส่วนที่ลึกที่สุดของคุณ ที่ใจของคุณแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆจากความเจ็บปวดรวดร้าวข้างในจนคุณต้องตื่นอยู่ทั้งคืน คุณก็จะเข้าใจความทุกข์ทรมานที่หนักกว่าความทุกข์ทรมานใดๆทางกาย นั่นก็คือความทุกข์ทรมานแบบที่พระเยซูต้องเผชิญที่เกทเสมนี คำว่า “พวกเขาจะมองดูเรา ผู้ซึ่งพวกเขาเองได้แทง” เผยให้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณที่พระยาห์เวห์ได้เจอ
มีการเปลี่ยนที่เด่นชัดเกิดขึ้นตรงช่วงกลางข้อที่ “เรา” เปลี่ยนเป็น “ท่าน” ที่ว่า “พวกเขาจะมองดูเราผู้ซึ่งพวกเขาเองได้แทง และพวกเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน[12]เหมือนคนที่ไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน...”พระคัมภีร์ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ดใช้สรรพนามทั้งสองคำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เพื่อบอกเป็นนัยว่าพวกเขากล่าวถึงพระยาห์เวห์
ทำไมจึงเปลี่ยนจาก “เรา” มาเป็น “ท่าน”? นั่นดูเหมือนว่าพระเจ้าจะหยุดตรัสหลังจากตรัสว่า “เราผู้ซึ่งพวกเขาเองได้แทง” แล้วเศคาริยาห์ก็พูดต่อว่า “พวกเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน” แต่จากความต่อเนื่องของคำพูด จึงไม่มีมูลเหตุให้คิดว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะหยุดตรัสกลางคันในคำกล่าวนี้ อะไรเป็นเหตุของการเปลี่ยนนี้? เราพบคำตอบเมื่อเราอ่านต่อไปในเศคาริยาห์ 13:7 ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจว่า
“พระเจ้า [พระยาห์เวห์]จอมทัพตรัสว่า“ดาบเอ๋ยจงตื่นขึ้นต่อสู้ผู้เลี้ยงแกะของเราและต่อสู้คนสนิทของเรา[13]จงตีผู้เลี้ยงที่ฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไปและเราจะหันมือของเรามาต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย”(ฉบับNASB)
องค์ผู้เป็นเจ้าตรัสว่าดาบจะฟัน “ผู้เลี้ยงแกะของเรา” คนที่พระยาห์เวห์เรียกว่า “คนสนิทของเรา” และปรากฏว่า “ท่าน” ในเศคาริยาห์ 12:10 ก็คือคนสนิทของพระยาห์เวห์ในเศคาริยาห์13:7 การตีคนสนิทของพระองค์ก็คือการตีพระยาห์เวห์ คำภาษาฮีบรูว่า “คนสนิท” จะไม่ค่อยพบในพระคัมภีร์เดิม และส่วนใหญ่จะปรากฏในหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม[14] ซึ่งเป็นหนังสือธรรมบัญญัติ คำนี้มีปรากฏ 10ครั้งในพระคัมภีร์ห้าเล่มแรกและปรากฏเพียงครั้งเดียวที่นอกเหนือจากหนังสือธรรมบัญญัติ (ในเศคาริยาห์ 13:7 ข้อนี้) ตัวอย่างเช่น ในเลวีนิติจะมีความหมายว่าเพื่อนบ้านหรือมิตรสหาย คำนี้จะไม่ค่อยพบในพระคัมภีร์เดิมแต่ก็ไม่ใช่คำที่ไม่มีใครรู้จัก คำว่า “คนสนิทของเรา” ในเศคาริยาห์สามารถจะแปลว่า “สหายของเรา” หรือ “เพื่อนบ้านของเรา”
ที่สำคัญก็คือ พระเยซูทรงมองว่าเศคาริยาห์ 13:7 เป็นการอ้างอิงถึงพระองค์เอง (มัทธิว26:31, มาระโก 14:27) พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่จะถูกประหารด้วยดาบที่มนุษย์ตัดสินโทษ ดาบเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของมนุษย์และการตัดสินความต่อหน้าผู้มีอำนาจนั้น ผู้มีอำนาจปกครองไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ (โรม 13:4) พระเยซูทรงยกอ้างจากเศคาริยาห์โดยตรงว่า
แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า“ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเราเพราะมีคำเขียนไว้ว่า‘เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะและแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ (มัทธิว26:31ฉบับNASB)
เราไม่จำเป็นต้องเดาการแปลความหมายของเศคาริยาห์ 13:7 เพราะพระเยซูทรงอธิบายให้เรา พระองค์ทรงใช้ข้อนี้กับตัวพระองค์เอง ซึ่งหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นคนสนิทพิเศษคนนั้นและยังเป็นเพื่อนบ้านและสหายของพระยาห์เวห์ด้วย คำในมัทธิว 26:31 (และในมาระโก 14:27) พูดก่อนการจับกุมและไต่สวนพระเยซู
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าคิด แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือกิจการ 20:28 ข้อที่เผยให้เห็นความรู้สึกของเศคาริยาห์ 12:10 แต่ได้ทำให้นักวิชาการงงงวยมาเป็นเวลานาน มีการแปลความหมายในหลายแบบในฉบับภาษาอังกฤษต่างๆ เช่น “จงเฝ้าระวังทั้งตัวท่านเองและฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแลให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”(กิจการ20:28ฉบับNASB)
ตอนท้ายของคำกล่าวซึ่งแปลตามตัวอักษรในฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ดนี้เป็นปัญหาอย่างมากที่ผู้แปลบางคนได้เปลี่ยนจาก “พระโลหิตของพระองค์เอง” มาเป็น “พระโลหิตของพระบุตรของพระองค์เอง”[15] (เปรียบเทียบฉบับ NRSV) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เปาโลกำลังพูดอยู่ คำว่า “พระเจ้า” ตรงนี้หมายถึงพระยาห์เวห์ ดังนั้น “คริสตจักรของพระเจ้า” จึงหมายถึงคริสตจักรของพระยาห์เวห์ คำที่กล่าวนี้ไม่ได้บอกว่าเป็น “คริสตจักรของพระคริสต์”
เราเข้าใจ “คริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง” อย่างไร? เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมงงกับข้อนี้แต่ตอนนี้แทบจะไม่เป็นปัญหา พระเจ้าไม่ได้มีโลหิตที่พระองค์จะใช้ซื้ออะไร? พระเจ้าเป็นวิญญาณและไม่มีเนื้อและเลือดเหมือนมนุษย์
เศคาริยาห์ 12:10 กล่าวว่าพระยาห์เวห์ทรงถูกแทง แต่พระองค์ถูกแทงได้อย่างไร? ก็โดยทางผู้เลี้ยงที่ถูกเรียกว่าคนสนิทและสหายของพระองค์ ความเชื่อมโยงระหว่างพระเจ้า (พระยาห์เวห์) กับมนุษย์ผู้นี้ (พระเยซู) แยกจากกันไม่ได้เลย เพราะเมื่อคุณกระทำกับคนหนึ่งก็เท่ากับคุณกระทำกับอีกคนหนึ่งด้วย ผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ยอมรับพระเจ้า ผู้ที่ข่มเหงพระเยซูก็ข่มเหงพระเจ้า ผู้ที่แทงพระเยซูก็แทงพระเจ้า
พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่รับพวกท่านก็รับเราและผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”(มัทธิว10:40ฉบับ NIV) เราเองก็เชื่อมโยงกับพระเจ้าอย่างแยกจากกันไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งใดก็ตามที่มีคนกระทำกับเราก็เท่ากับกระทำกับพระเจ้าเองด้วย อันที่จริงเราจะพบว่าในทางปฏิบัติแล้วทุกสิ่งที่นำมาใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ก็นำมาใช้กับเราด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าพระเยซูทรงเป็นหนึ่งในพวกเรา
เราได้วางรากฐานความเข้าใจถึงราคาที่พระยาห์เวห์ต้องจ่ายเพื่อช่วยเราให้รอดในพระคริสต์ ทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงทุกข์ทรมานในพระกายของพระองค์ พระยาห์เวห์ก็ทรงทุกข์ทรมานอยู่ในพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า ในความทนทุกข์ของคนอิสราเอลนั้นพระยาห์เวห์ก็ทรงทนทุกข์กับพวกเขา
ความรอดและการสร้างใหม่
ความรอดในแผนการของพระเจ้ามุ่งไปที่คำว่า “การสร้างใหม่” คำว่า “ใหม่” เป็นคำคุณศัพท์ที่อธิบายถึง “การสร้าง” เราต้องเริ่มต้นด้วยการสร้าง ก่อนที่เราจะพิจารณาว่ามีอะไรที่ใหม่
ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่นั้นการทรงสร้างเกี่ยวข้องกับมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งสูงสุดของการสร้างของพระเจ้า สดุดี 8:5 กล่าวถึงมนุษย์ว่า “พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียวและทรงสวมศักดิ์ศรีกับความมีอำนาจให้เขา!” (ฉบับNASB)ตรงนี้คำภาษาฮีบรูว่า “เอโลฮิม” สามารถแปลว่า “พระเจ้า” ฉบับแปลบางฉบับกล่าวว่ามนุษย์ต่ำกว่า “พระเจ้า” (ฉบับ NASB, HSCB, NRSV) หน่อยเดียว แต่ฉบับอื่นๆกล่าวว่ามนุษย์ต่ำกว่า “ทูตสวรรค์” หรือ “ชาวสวรรค์” หน่อยเดียว
“เอโลฮิม” (Elohim) เป็นคำพหูพจน์ในภาษาฮีบรูซึ่งแสดงให้เห็นด้วยคำลงท้ายว่า “อิม” (im) ความหมายอันดับแรกคือ “พระเจ้า” และความจริงแล้วใช้กับพระเจ้าในคำ เช่น “ยาห์เวห์ เอโลฮิม” (พระยาห์เวห์พระเจ้า)[16] เหตุใดคำแปลบางฉบับจึงบอกว่า “ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงหน่อยเดียว”? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะฉบับเซปทัวจินต์เลือกที่จะแปล “เอโลฮิม” ว่า “ทูตสวรรค์” ด้วยเหตุผลที่ผู้แปลทั้งหลายทราบดีที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปคำแปลว่า “ทูตสวรรค์”ก็เข้ามาอยู่ในตัวบทของพระคัมภีร์ใหม่ในที่สุด เพราะฉบับเซปทัวจินต์เป็นพระคัมภีร์ของคริสตจักรที่พูดภาษากรีกในยุคแรกๆ (แม้จะไม่ใช่พระคัมภีร์ของคริสตจักรที่พูดภาษาฮีบรู) คริสเตียนที่พูดภาษากรีกมีพระคัมภีร์เพียงฉบับเดียวที่ยอมรับกันคือฉบับเซปทัวจินต์ซึ่งแปลจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูมาเป็นภาษากรีก (มีฉบับแปลอื่นๆอีกสองสามฉบับรวมถึงฉบับธีโอโดชั่น[17]ที่มาในภายหลัง แต่ฉบับเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย)
ในพระคัมภีร์ใหม่ การทรงสร้างจะมุ่งเน้นที่มนุษย์เป็นสำคัญ 2โครินธ์ 5:17[18]กล่าวว่า ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็น“คนที่ถูกสร้างใหม่” หรือ “สิ่งสร้างใหม่” (คำแปลทั้งสองถูกต้อง)
มนุษย์เป็นสิ่งสูงสุดของการสร้างของพระเจ้า การสร้างใหม่ของการสร้างทั้งหมดเริ่มกับมนุษย์ แต่แผนการของพระเจ้ากับความรอดนั้นไปถึงจักรวาล คุณจะไม่เข้าใจความรอดในพระคัมภีร์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง เว้นแต่คุณจะเห็นว่าความรอดนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ มันเริ่มต้นกับมนุษย์และขยายออกไปยังสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมด ดังนั้นเมื่อคุณมาถึงวิวรณ์21:1[19] ก็มีฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ โรม8:19-23กล่าวว่า
19สรรพสิ่งที่ทรงสร้างต่างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20เพราะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างต้องอยู่ภายใต้ความขุ่นมัว ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่โดยความประสงค์ของผู้ที่ให้เป็นนั้น 21ด้วยมีความหวังว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการไปสู่ความเสื่อมสลาย และเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า22เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกำลังคร่ำครวญเหมือนความเจ็บปวดในการคลอดบุตรมาจนทุกวันนี้ 23ไม่เพียงเท่านั้น แต่เราเองผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการรับเราเป็นบุตรในการไถ่กายของเรา (ฉบับ NIV)
สรรพสิ่งที่ทรงสร้างกำลังคร่ำครวญรอการรับเราเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อการรับเป็นบุตรนั้นมีผลสมบูรณ์ สิ่งที่สร้างใหม่จะมีผลอย่างเต็มรูปแบบในมนุษย์ จึงทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างจะได้รับการไถ่และถูกสร้างใหม่ นั่นเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ นิมิตของความรอดนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ มันเริ่มต้นกับมนุษย์และขยายออกไปยังสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก การขยายความรอดไปถึงจักรวาลนั้นเป็นเรื่องที่คริสเตียนโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้ไม่รู้
มนุษย์ที่เป็นสิ่งสูงสุดของการสร้างของพระเจ้านั้นเป็น “พระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:7) เป็นสิ่งสำคัญที่จะเห็นว่าความรอดเกี่ยวข้องกับการทรงสร้างของพระเจ้าและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ลองคิดดูสิว่า ถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆ พระองค์ก็ไม่ได้เป็นส่วนของการทรงสร้างนี้ และถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นส่วนของการทรงสร้างนี้ พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยเราให้รอดได้
ความจริงของพระคัมภีร์ที่เราต้องเข้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างผมยอมรับไม่ได้เนื่องจากพระเจ้ากึ่งมนุษย์ในพระเยซูตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือพระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์ ยิ่งคุณเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่มากเท่าไร คุณก็จะเข้าใจความจริงนี้มากขึ้นเท่านั้นเพราะพระคัมภีร์ใหม่กล่าวซ้ำๆว่าพระเยซูผู้ทรงเป็นมนุษย์[20]เป็นผู้ที่ทรงไถ่เรา ขณะที่อาดัมล้มเหลว พระคริสต์ได้ทรงทำสำเร็จ ขณะที่อาดัมไม่เชื่อฟัง พระคริสต์ได้ทรงเชื่อฟัง เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยความบาปมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตก็เกิดขึ้นโดยการเชื่อฟังของมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน[21]
ในศาสตร์เกี่ยวกับความรอดนั้น การเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ไม่ได้มีความสำคัญต่อความรอด พูดแบบภาษาง่ายๆก็คือพระเยซูจะเป็นพระเจ้าหรือไม่เป็น ก็ไม่ได้สำคัญกับความรอดของเราเลย(นอกจากความหมายอ้อมๆว่า ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์ และถ้าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ เราก็จะไม่รอด)
พระเยซูผู้ทรงเป็นมนุษย์
ทำไมเราจึงอับอายด้วยที่จะพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์? ครั้งก่อนเราเห็นแล้วว่าความคิดแบบสมัยใหม่เกี่ยวกับมนุษย์ก็คือเขามีฉายาของลิง ไม่ใช่ฉายาของพระเจ้า ตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วมนุษย์สืบเชื้อสายมาจากลิงและมีฉายาหรือภาพลักษณ์ของลิง แต่ความเชื่อของคริสเตียนได้ทำให้ความคิดเกี่ยวกับมนุษย์แย่ลงโดยบอกว่ามนุษย์ไม่เพียงแต่ไร้คุณค่าเฉพาะแต่ภายนอกเท่านั้นแต่ยังเลวทรามอย่างสุดๆภายในด้วย ผมขอปฏิเสธข้อสรุปของสองสมมุติฐานนี้เพราะทั้งสองอย่างไม่ได้เป็นไปตามพระคัมภีร์
ในพระคัมภีร์ฮีบรู (แต่ไม่ใช่ในฉบับแปลของเซปทัวจินต์) นั้นมนุษย์ถูกสร้างให้ต่ำกว่าพระเจ้าเพียงหน่อยเดียว นี่หมายความว่ามนุษย์เป็นสิ่งสูงสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้น
พระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์จึงจะช่วยเราให้รอดได้ ความบาปมาทางมนุษย์คนหนึ่งและความบาปก็ต้องถูกลบล้างทางมนุษย์คนหนึ่ง พระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์ 100% ถ้าพระเยซูทรงเป็นน้อยกว่ามนุษย์หรือเป็นมากกว่ามนุษย์ พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์ และความรอดของเราก็จะหลุดลอยไป
เราอาจจะไม่รู้ในหลายๆสิ่ง แต่มีบางอย่างที่เรารู้คือการเป็นมนุษย์นั้นหมายถึงอะไร เพราะอย่างน้อยในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งเราจะรู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างไร
ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า10%พระองค์ก็จะไม่ใช่มนุษย์ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเป็นพระเจ้า 10% และถ้าพระเยซูมีความเป็นมนุษย์ที่น้อยกว่ามนุษย์ 10% พระองค์ก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน คนคนหนึ่งเป็นมนุษย์ก็เมื่อเขาไม่ได้มีอะไรที่มากหรือน้อยกว่ามนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งอาจจะพิการทางจิตใจหรือทางร่างกาย แต่เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ 100% การที่ไม่สามารถจะทำหน้าที่ได้ 100% ก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมนุษย์น้อยลง เรานับถือคนที่พิการทางจิตใจหรือทางกายเพราะพวกเขาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงและอย่างสมบูรณ์
คุณและผมรู้ว่ามนุษย์คืออะไร และเราไม่ควรปล่อยให้ใครมาบอกเราว่าผู้ที่เป็นพระเจ้า 100%และเป็นมนุษย์ 100% นั้นคือมนุษย์อย่างแท้จริง นี่เป็นการพูดที่ดูถูกสติปัญญาของเรา และเมื่อมองย้อนกลับไป ผมไม่รู้ว่าผมเชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่มีใครสามารถเป็นอะไรได้มากกว่า 100% จำนวนเต็มของ 200% แสดงว่าเป็นสองคนไม่ใช่คนเดียว คุณไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์คุณก็รู้ได้ว่าไม่มีใครเป็น 200%ได้ เวลาพูดกัน เราอาจพูดว่า “ผมทำเกินร้อย ทุ่มแรงกายแรงใจของผม 110%” แต่นั่นแตกต่างกับการพูดว่าเราเป็นมนุษย์ 110%มันเป็นการพูดที่หมายถึง “ผมพยายามอย่างดีที่สุดและจะพยายามให้มากยิ่งขึ้น” ถ้าคนอื่นทำงานจาก 9โมงเช้าถึง 5โมงเย็น แล้วคุณทำจาก 9โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น คุณจึงจะพูดได้ว่า “ผมทุ่มให้ 110%”
ถ้าเราบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ เราไม่ได้แค่บอกว่าพระเยซูเป็นมากกว่ามนุษย์ แต่ยังบอกว่าพระเยซูเป็นมากกว่าพระเจ้าด้วย ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้า 100% และพระเยซูเป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ 100% พระเยซูก็เป็นมากกว่าพระเจ้า นั่นเป็นการสบประมาท
ผมยอมรับความผิดในการกระทำผิดทั้งหมดนี้ด้วยความไม่รู้ในช่วงเวลานั้น และผมอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า เราคิดว่าเรากำลังปรนนิบัติพระเจ้าโดยการยกย่องให้พระคริสต์เป็นพระเจ้า แต่เราได้เอาตัวของเราเองออกจากความรอด เรารอดโดยพระคุณทางความเชื่อในพระคริสต์ แต่ถ้าผมถามคุณว่าพระคริสต์ที่คุณเชื่ออยู่นี้เป็นใคร และคุณบอกผมว่าพระองค์เป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ 100% ผมก็จะบอกคุณว่า “ขอโทษที ผมสงสัยว่าคุณจะไม่รอด” เพราะไม่มีคนเช่นนี้อยู่ในโลกหรือมีอยู่ในพระคัมภีร์เลย
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์คือสง่าราศีและสิ่งสูงสุดของการทรงสร้างของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทำไมเราจึงอับอายกับการเป็นมนุษย์ด้วย? เราอาจจะอับอายตัวของเราเองแต่พระเจ้าไม่ได้ทรงอับอายกับมนุษย์ พระองค์ทรงยกย่องมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสง่าราศีของพระเจ้าและสง่าราศีของการทรงสร้างของพระองค์ ในการยกย่องพระคริสต์ให้เป็นพระเจ้านั้น เราได้ลบหลู่ทั้งพระเจ้าและมนุษย์ เราได้ทำให้มนุษย์เป็นมากกว่าพระเจ้า เพราะแม้แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราก็ไม่ใช่มนุษย์ 100% พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า 100% และไม่ใช่ 100% หรือแม้จะ 10% ของสิ่งอื่นใด
ผมจะขอย้ำอีกครั้งว่า พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ 100% เราได้เห็นคราวก่อนว่า เรื่องของการเกิดจากหญิงพรหมจารีก็คือพระเยซูทรงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างใหม่ ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกสร้าง พระองค์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง เราไม่สามารถมีทั้งสองทางได้ เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทั้งถูกสร้างและไม่ถูกสร้างในเวลาเดียวกันได้ นี่เป็นการขัดแย้งกันเองและเหลวไหลด้วยซ้ำ ก็เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครจะเป็นทั้งมีขีดจำกัดและไม่มีขัดจำกัดในเวลาเดียวกันได้ ไม่มีใครจะถูกสร้างขึ้นและไม่ถูกสร้างขึ้นในเวลาเดียวกันได้
เราสามารถพูดถึงคนคนหนึ่งว่า ส่วนหนึ่งเป็นคนรัสเซียหรือส่วนหนึ่งเป็นคนจีน เนื่องจากว่านี่เป็นเชื้อชาติของมนุษย์คุณจึงสามารถผสมกันในแบบที่คุณต้องการ ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะมีความหลากหลายของมนุษย์เท่าในสหรัฐอเมริกา มีคนผิวดำแต่งงานกับคนผิวขาว คนผิวขาวแต่งงานกับคนเอเซีย คนจีนแต่งงานกับคนอินเดีย เป็นต้น เมื่อคุณกำลังมองดูคนคนหนึ่ง คุณจะบอกไม่ถูกว่าเขาเป็นคนอินเดีย หรือเป็นคนผิวดำ หรือเป็นคนผิวขาว มันปนเปกันไปหมดและไม่ได้มีอะไรผิดในเรื่องนี้เลย ที่จริงมีบางคนพูดว่าการผสมข้ามเชื้อชาตินั้นทำให้คนฉลาดและหน้าตาดี ไม่ว่าจะกรณีไหน ประเด็นของผมก็คือ ไม่มีอะไรผิดในการปนเชื้อชาติกัน ความจริงแล้วไม่มีชนชาติใดในโลกที่ไม่ได้มีการปะปนเชื้อชาติกันเหมือนที่ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า จะหาคนจีนแท้ๆสักคนไม่มี
คุณรู้ไหมว่ามีกี่ชนเผ่าและกี่ชนชาติที่รวมเป็นชาติจีน? พวกที่อยู่ทางเหนือของจีนคงจะผสมเผ่าพันธุ์กับชาวมองโกลจากราชวงศ์หยวน[22] ชาวมองโกลปกครองประเทศจีนมาเกือบหนึ่งศตวรรษ ในช่วงเวลานั้นได้มีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติกันมากสักขนาดไหน? และต่อมาชาวแมนจูจากราชวงค์ชิง[23]ก็ควบคุมประเทศจีนเป็นเวลาหลายร้อยปี ด้วยเหตุที่จักรพรรดิคังซีและเฉียนหลง[24]พูดภาษาจีนได้อย่างสมบูรณ์จนทุกๆคนดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าพระองค์ไม่ได้เป็นชาวจีนแต่เป็นชาวแมนจู แต่ต่อมาจีนก็ได้กลืนดินแดนแมนจูเรียซึ่งปัจจุบันเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เดิมทีแมนจูเรียเป็นชาติหนึ่งที่มีวัฒนธรรมและภาษาของตัวเอง แต่ชาวแมนจูเห็นว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่ดีกว่า พวกเขาจึงซึมซับความเป็นจีนทุกอย่าง จะมีชาวจีนภาคตะวันออกเฉียงเหนือสักกี่คนกันที่เป็นคนจีนแท้ๆ? มีใครรู้บ้างไหม? ชาวแมนจูยังใช้ชื่อจีนและใช้ภาษาจีนด้วย
ชาวเกาหลีจะดูคล้ายชาวจีนมาก และบางคนก็มีชื่อ เช่น “ลี”[25] ที่ฟังดูเป็นภาษาจีนแม้ว่าจะมีชื่ออื่นๆ เช่น “คิม”[26] ที่ไม่ค่อยพบในหมู่ชาวจีน และมีการแต่งงานกับคนต่างชนชาติกันเป็นจำนวนมากใกล้ๆทิเบต ทางภาคใต้ก็จะมีชาวจีนที่แต่งงานกับชาวเวียดนาม ชาวเขมร และชาวลาว มีชนเผ่าต่างๆย้ายไปมาข้ามชายแดนกัน ในประเทศจีนเองก็มีชนเผ่ามากมาย เช่น เผ่าม้งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่มีเสื้อผ้าแบบเฉพาะของตนเอง ในยุคที่รุ่งเรืองนั้น พวกเขามีวัฒนธรรมที่อยู่แถวหน้า
ประเด็นก็คือ มนุษย์สามารถจะประสมกันเองได้ แต่คุณจะไม่สามารถประสมสองประเภทที่เข้ากันไม่ได้ ถ้าคุณเอาสัตว์ข้ามไปประสมกับมนุษย์ คุณก็จะวิบัติ มีประเภทที่พอให้ประสมกันได้ แต่มีประเภทที่ไม่สามารถจะประสมกันได้
พระเจ้ากับมนุษย์ไม่สามารถจะประสมกันได้ อย่างหนึ่งเป็นวิญญาณ อีกอย่างหนึ่งเป็นเนื้อและเลือด นี่คือผู้ที่มีชีวิตสองประเภทที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีองค์ประกอบต่างๆที่เหมือนกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เช่น วิญญาณ แต่นั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ประทานสิ่งเหล่านี้ให้กับมนุษย์ ส่วนวิญญาณไม่ได้ติดตัวมากับมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่มอบให้กับมนุษย์ด้วยการที่พระเจ้าทรงระบายลมหายใจเข้าไป[27] มนุษย์ไม่สามารถจะอ้างตนว่าเป็นพระเจ้าได้เพียงเพราะว่าเขามีวิญญาณ เมื่อมนุษย์ตาย เนื้อหนังก็จะกลับคืนสู่ดิน และ “วิญญาณก็จะกลับคืนสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มา” (ปัญญาจารย์ 12:7) วิญญาณเป็นของประทานที่ให้กับเรา จากนั้นจึงถูกส่งกลับไปสู่พระเจ้า
ผมกำลังพูดทั้งหมดนี้เพื่อให้คุณเห็นว่า การพูดถึงพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้นั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งสิ้น คุณจะถูกสร้างขึ้นและไม่ได้ถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันได้ ถ้าพระเยซูทรงถูกสร้างขึ้นและก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น พระองค์ก็จะเป็นมากกว่าพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกสร้างเพียง “ผู้เดียว” เท่านั้น การทำให้มนุษย์เป็นมากกว่าพระเจ้านั้น เราก็ใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท
ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายทั้งหมดนี้กับพวกเด็กๆรวีวารศึกษา เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกแปดเปื้อนด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เมื่อคุณพูดกับเด็กๆ คุณสามารถจะพูดได้ตรงๆโดยไม่ต้องอ้อมค้อม แต่ตอนนี้ผมต้องแก้ไขความเสียหายจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ สิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำกับเรานั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า
พระเยซูคือรูปเหมือนที่สมบูรณ์ของพระเจ้า
เรื่องต่อไปที่เราจะต้องเข้าใจก็คือ พระเยซูทรงเป็นต้นกำเนิด(ในแง่ของการเป็นคนต้น)ของแผนการของพระเจ้าในการทรงสร้างใหม่ ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์เราก็เป็นคนใหม่และเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ และเป็นส่วนของการทรงสร้างใหม่ ดังที่เราได้เห็นใน 2โครินธ์ 5:17ว่า ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็คือการสร้างใหม่และเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ การทรงสร้างนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง มนุษย์กลายมาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างใหม่นั้นก็เพราะว่าเราอยู่ในพระคริสต์ผู้ที่ถูกสร้างใหม่
ทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์? ได้มีการกล่าวไว้สามครั้งในปฐมกาล (1:26, 1:27, 9:6) ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายา[28]หรือรูปเหมือนของพระองค์ รูปเหมือนมีความสำคัญอย่างไรหรือ? เราใช้เวลากันเยอะมากในการโต้เถียงถึงการประกอบขึ้นเป็นมนุษย์ ว่ามนุษย์มีร่างกายและจิตวิญญาณ แต่คำถามสำคัญที่สุดก็คือ อะไรคือจุดประสงค์ของรูปเหมือน? เด็กรวีฯทุกคนสามารถบอกคุณได้ว่ารูปเหมือนก็เหมือนกับรูปถ่ายหรือรูปปั้น ถ้าคุณจะถามผมว่าสมเด็จพระราชินีนาถของอังกฤษมีพระพักตร์อย่างไร? ผมก็จะไปเอารูปถ่ายของพระองค์มาแล้วบอกว่า “นี่ไงพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์ทรงมีพระเกศาสีขาวที่งดงามและผิวพระกายที่เนียนสวย” เมื่อคุณดูรูปเหมือนหรือภาพถ่าย คุณก็จะเห็นว่าพระพักตร์พระองค์เป็นอย่างไร ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องพบสมเด็จพระราชินีนาถด้วยตัวของคุณเองถึงแม้ว่าถ้าคุณได้เห็นพระองค์ต่อหน้าพระพักตร์ก็จะดีกว่า แล้วคุณจะเห็นว่าพระองค์ทรงสูงเท่าไร แต่ถ้าคุณไม่สามารถจะพบพระองค์ด้วยตัวของคุณเอง คุณก็ยังสามารถดูรูปเหมือนของพระองค์ในภาพถ่ายได้ หรือจะให้ดีก็ดูรูปปั้นหรือหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าพระองค์จริงเลย
รูปปั้นที่ทำด้วยปูนนั้นไม่ดีเท่ากับหุ่นขี้ผึ้ง มีรูปเหมือนที่เหมือนกับมีชีวิตจริงๆของสมเด็จพระราชินีในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่[29]ในกรุงลอนดอน บรรดาผู้เข้าชมมักจะไม่แน่ใจอยู่บ่อยๆว่า รูปปั้นเหล่านั้นเป็นตัวจริงหรือเป็นหุ่นขี้ผึ้งกันแน่ บางครั้งจะมีการจัดฉากเล่นๆ ที่จะตั้งหุ่นขี้ผึ้งเอาไว้ข้างกำแพง และจะมีผู้ชมเดินตรงรี่มาหาหุ่นแล้วถามว่า “ขอถามหน่อย ฉันจะไป...ไปทางไหน? อ้าว นี่คุณเป็นคนจริงๆเหรอ?” บางครั้งจะมีหุ่นขี้ผึ้งนั่งอยู่บนม้ายาว แล้วคุณก็เข้าไปนั่งข้างๆโดยไม่รู้ว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ถ้าคุณเคยเข้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งนี้ในลอนดอน คุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูด มันน่าสนใจที่รูปเหมือนสามารถเป็นตัวแทนของคนได้อย่างสมบูรณ์จนคุณคิดว่าคนคนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคุณ
ทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์? ก็เพื่อให้มีรูปเหมือนของพระเจ้า ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมาเสียเวลาโต้เถียงกันเรื่องการประกอบขึ้นเป็นมนุษย์ คำถามที่สำคัญก็คือ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรในการทรงสร้างมนุษย์? จุดประสงค์ก็คือที่มนุษย์จะเผยให้เห็นพระเจ้า
สรรพสิ่งที่ถูกสร้างเผยให้เห็นพระเจ้า ดอกไม้ดอกหนึ่งจะเผยให้เห็นพระสิริของพระเจ้าเช่น เดียวกับพวกแมลง มันเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่นิคมของบรรดามดหรือรังของบรรดาผึ้งนั้นอาศัยและทำงานร่วมกันเป็นชุมชน พระสิริของพระเจ้ายังปรากฏให้เห็นในสุนัข ในลิงกอริลล่าและลิงชิมแปนซี ทั้งหมดนี้พระองค์เป็นผู้ทรงสร้าง ถ้าดอกไม้ดอกหนึ่งเผยให้เห็นพระสิริของพระเจ้าได้ ลิงชิมแปนซีก็เผยให้เห็นได้เช่นกัน แต่สิ่งทรงสร้างสูงสุดก็คือมนุษย์ คุณจะเห็นพระสิริของพระเจ้าในมนุษย์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์ ผู้ทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า
พระเยซูเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าที่ดีกว่าหุ่นขี้ผึ้งที่เหมือนมนุษย์ของมาดามทุสโซ่ รูปเหมือนของพระยาห์เวห์ในพระคริสต์ที่สมบูรณ์แบบมาก จนพระเยซูสามารถตรัสได้ว่า “คนที่ได้เห็นเรา ก็ได้เห็นพระบิดา” (ยอห์น 14:9)[30] พระเยซูไม่ได้กำลังตรัสถึงภาพลักษณ์ทางกายภาพ แต่กำลังตรัสถึงพระองค์ว่าทรงเป็นเช่นไร ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อคุณเห็นพระเยซู คุณก็เห็นพระบิดา
พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า ในขณะที่พวกเราที่เหลือรวมทั้งอาดัมไม่สามารถเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบได้ เรายังคงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า แต่เป็นรูปเหมือนที่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนภาพถ่ายที่คุณภาพต่ำ คุณดูรูปถ่ายแล้วสงสัยว่าใครคือคนในรูปนั้น รูปถ่ายต่างๆกันจะมีระดับคุณภาพของรูปเหมือนที่แตกต่างกัน
พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าเพราะพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซู ซึ่งแตกต่างจากที่พระองค์สถิตอยู่ในพวกเราที่เหลือ พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเราด้วย แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราเอาผ้าคลุมบังพระเจ้าผู้ที่สถิตอยู่ในเรา มีคริสเตียนที่พฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนพระคริสต์จนเป็นเหตุให้คนอื่นพูดว่า “ขอพระเจ้าช่วยด้วย ถ้าคริสเตียนเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากเชื่อในพระเจ้า” มีคนที่ไม่เป็นคริสเตียนกี่คนที่บอกคุณว่า พวกเขาไม่ต้องการจะเชื่อในพระเยซูเพราะพวก คริสเตียนทำให้พวกเขาไม่อยากมาเชื่อ? คริสเตียนเหล่านี้ไม่ใช่รูปเหมือนที่ดึงดูดผู้คนให้มาหาพระเจ้า แต่เป็นรูปที่ไล่ผู้คนให้ไปจากพระเจ้า
แต่พระเยซูผู้เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าสามารถตรัสว่า “จงมองดูเรา แล้วท่านจะเห็นว่าพระบิดาทรงเป็นอย่างไร” และพระเยซูก็ทรงทำสิ่งนี้สำเร็จเพราะหลังจากฟื้นคืนพระชนม์แล้ว โธมัสได้พูดกับพระองค์หรือพูดกับพระยาห์เวห์ผ่านพระองค์ว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์!”(ยอห์น20:28) โธมัสเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวและไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหลายองค์อย่างที่คุณและผมเคยเป็น โธมัสไม่เคยคิดว่าพระเยซูผู้เป็นมนุษย์นี้คือพระเจ้า
พระเยซูทรงเผยให้เห็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และชัดแจ๋วได้อย่างไร ที่เมื่อคุณมองดูพระองค์ คุณจะมองทะลุผ่านพระองค์แล้วเห็นพระยาห์เวห์ผู้สถิตอยู่ในพระองค์? การสถิตของพระยาห์เวห์นั้นเห็นชัดขึ้นในพระคริสต์หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์มากกว่าก่อนการฟื้นคืนพระชนม์ จนโธมัสถึงกับพูดว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์!” พระเยซูทรงทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แต่พวกผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพทำอะไรหรือ? พวกเขาก็ใช้ยอห์น20:28เป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์โดยลืมไปว่าถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยเราให้รอดได้
ยิ่งกว่านั้น “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์”เป็นการกล่าวถึงพระยาห์เวห์ของพระคัมภีร์เดิม ความเข้าใจของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเกี่ยวกับยอห์น20:28จะนำไปสู่ข้อสรุปว่าพระเยซูไม่ใช่แค่พระเจ้า แต่เป็นพระยาห์เวห์เสียเอง! การที่พระเยซูเป็นบุคคลเดียวกันกับพระยาห์เวห์อาจฟังดูดี แต่มันจะทำลายความรอดของเรา เพราะพระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์ เราจึงจะรอดได้ แต่เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบและชัดแจ๋วของพระเจ้า (คุณจะเห็นพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์) บางคนก็เลยคิดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเสียเอง
รูปเหมือนรูปหนึ่งบ่งบอกถึงว่าจะต้องมีต้นแบบ ถ้าไม่มีต้นแบบก็จะไม่มีรูปเหมือน คุณจะเห็นต้นแบบในรูปถ่ายหรือรูปปั้น นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้เราสับสนในทุกเรื่องรวมทั้งประเด็นนี้ด้วย มนุษย์มีเนื้อและเลือด แต่วิญญาณไม่มีสิ่งนี้ เนื้อและเลือดนั้นไม่ยืนยง มันจะตายและสูญสิ้นไป แต่พระยาห์เวห์ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ วิญญาณไม่มีรูปกาย เพราะรูปกายเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีร่างกาย เมื่อคุณเห็นผีเสื้อ คุณก็จะรู้ว่าเป็นผีเสื้อเพราะว่าคุณเห็นรูปกายของผีเสื้อ สุนัขมีหลายขนาดและหลายสี และคุณก็สามารถจะบอกสายพันธุ์ได้จากรูปกายของพวกมัน จะมีก็แต่สิ่งที่จับต้องได้และสิ่งที่เป็นวัตถุเท่านั้นที่มีรูปกาย
ปรากฏการณ์ที่จับต้องได้บางอย่างเช่นแสงไม่มีรูปกายเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีรูปกาย แต่ก็สามารถมองดูและวัดค่าได้ สิ่งเหล่านี้ตอบสนองต่อการทดสอบเชิงประจักษ์ให้เห็นได้ในแบบที่จะทดสอบกับวิญญาณไม่ได้ คุณไม่สามารถจะใช้วิธีการทดสอบเพื่อจะยืนยันการมีอยู่จริงของวิญญาณในห้องนี้ได้ อาจมีวิญญาณต่างๆอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะพระวิญญาณของพระเจ้า แต่ทั้งหมดนี้ไม่ตอบสนองต่อการทดสอบเชิงประจักษ์ให้เห็นได้ (“เชิงประจักษ์” หมายถึงการสามารถพิสูจน์ได้ด้วยสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งจากสัมผัสทั้งห้าของเรา)
วิญญาณไม่มีรูปกายแต่สามารถแสดงรูปกายได้ เมื่อทูตสวรรค์ปรากฏตัวในโลกมนุษย์ก็มักจะมาในรูปกายของมนุษย์ มีบางคนได้เห็นทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว ในเรื่องราวของการฟื้นคืนพระชนม์ (มาระโก 16:5) มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูแต่ในอีกตอนหนึ่ง (มัทธิว 28:2) บอกว่ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ทูตสวรรค์อยู่ในรูปกายของมนุษย์ เนื่องจากพวกทูตสวรรค์เป็นวิญญาณเราจึงไม่สามารถจะสรุปได้ว่าเหล่าทูตสวรรค์ในสวรรค์มองดูเหมือนมนุษย์
พระยาห์เวห์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาหรือรูปเหมือนของพระองค์ ทำไมพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระวิญญาณจึงเลือกรูปกายของมนุษย์ให้เป็นรูปเหมือนของพระองค์? ด้วยเหตุผลที่ทราบกันดีที่สุดว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างรูปเหมือนของพระองค์ให้มีรูปกายของมนุษย์ ด้วยจุดประสงค์ที่พระเจ้าจะสำแดงพระองค์เอง
แม้ว่าพระคัมภีร์จะกล่าวถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า หรือพระกรขององค์ผู้เป็นเจ้า หรือการย่ำบ่อองุ่นขององค์ผู้เป็นเจ้า หรือพระเจ้าที่เป็น “ผู้ทำสงคราม” (2พงศาวดาร 30:12 อิสยาห์ 53:1,63:3, 42:13)[31] เราก็ไม่สามารถจะทึกทักเอาว่าพระยาห์เวห์ทรงมีรูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์ที่มีแขนมีขาและอื่นๆตรงตามคำ แต่ด้วยพระปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ ได้ทรงเลือกที่จะสำแดงพระองค์เองให้เห็นในรูปกายของมนุษย์ ที่สักวันหนึ่งเราก็จะรู้เหตุผล
รูปกายของมนุษย์กลายมาเป็นรูปกายของพระเจ้าเพราะมนุษย์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า ถ้ารูปเหมือนไม่ได้แสดงสิ่งที่ควรแสดงให้เห็น เราจะเรียกสิ่งนั้นว่ารูปเหมือนไม่ได้ รูปเหมือนของสมเด็จพระราชินีนาถบนเหรียญหรือแสตมป์ แสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระราชินีนาถทรงมีพระพักตร์เช่นไร
พระองค์ทรงอยู่ในรูปกายของพระเจ้า
เมื่อคุณเข้าใจประเด็นเบื้องต้นแต่มีความสำคัญเหล่านี้ คุณก็จะเข้าใจพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่ง คือฟีลิปปี 2:6-11ซึ่งมักจะถูกตีความผิดๆจากผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็เคยใช้พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นกุญแจในการพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ด้วย นี่เป็นหนึ่งในสองตอนสำคัญในพระคัมภีร์ที่บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพใช้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ และอีกตอนหนึ่งก็คือ ยอห์น 1:1 เราคุ้นกับคำกล่าวในพระคัมภีร์ฟีลิปปี เช่น “พระองค์ทรงอยู่ในสภาพของพระเจ้า”[32] ซึ่งควรจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า
มีข้อบกพร่องพื้นฐานหลายอย่างกับความเข้าใจนี้ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24) และพระเจ้าสถิตในทุกหนทุกแห่ง แต่การมีรูปกายที่จำกัดตัวคุณให้คุณอยู่ในที่ที่คุณอยู่คุณจะไม่สามารถอยู่ที่นี่และที่นั่นในเวลาเดียวกันได้ และพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยรูปกายใดๆ
คำว่า “รูปกายของพระเจ้า”[33] ไม่ได้มีปรากฏในที่อื่นนอกจากฟีลิปปี 2:6 พระเจ้าไม่มีรูปกาย มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงมีรูปกายของพระเจ้า[34] พระเยซูทรงมีรูปกายของพระเจ้าก็เมื่อในแง่ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าเท่านั้น
“พระองค์ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้ทรงเป็นบุตรหัวปีของสรรพสิ่ง ที่พระเจ้าทรงสร้าง”(โคโลสี1:15 ฉบับNASB) พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้าผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้ คำว่า “ไม่อาจมองเห็นได้” หมายความว่าพระเจ้าไม่มีรูปกาย ถ้าพระองค์ทรงมีรูปกายก็จะมองเห็นพระองค์ได้ และคงไม่ต้องการรูปเหมือนเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์ แต่เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้ พระองค์จึงประทานรูปเหมือนให้เราที่จะมองเห็น รูปเหมือนนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่มันแทนให้เห็น รูปถ่าย (พระฉายาลักษณ์) ของสมเด็จพระราชินีนาถหรือรูปปั้นของสมเด็จพระราชินีนาถนั้นไม่ใช่องค์จริงของสมเด็จพระราชินีนาถเอง พระเยซูทรงเป็นรูปเหมือน (หรือพระฉายาลักษณ์) ของพระเจ้าผู้ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ และทรงเป็นบุตรหัวปีของสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ซึ่งหมายถึงว่าพระเยซูทรงเป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง
ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้นั้นหมายความว่า พระองค์ไม่มีรูปกายที่เราสามารถจะมองเห็นหรือใช้สัมผัสทั้งห้าของเราให้เห็นได้ในเชิงประจักษ์ คุณจะทำให้สิ่งที่ไม่อาจมองเห็นให้มองเห็นได้อย่างไร? สิ่งมหัศจรรย์นี้ได้สำเร็จในพระคริสต์และในเราด้วยเพราะมนุษย์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า และพระคริสต์ทรงเป็นรูปเหมือนที่เยี่ยมยอดของพระเจ้า
พระคริสต์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า “พระของยุคนี้ได้กระทำใจของคนที่ไม่เชื่อให้มืดไปจนพวกเขาไม่สามารถจะเห็นความสว่างของข่าวประเสริฐเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า” (2 โครินธ์4:4 ฉบับNIV) พระคริสต์ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่สองครั้งว่าเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า มนุษย์ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์เดิมสามครั้งว่าเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า ในข้อที่เราเพิ่งอ่านไป (2 โครินธ์4:4) พระคริสต์ทรงเป็นพระสิริของพระเจ้าเพราะว่าพระองค์เป็นรูปเหมือนของพระเจ้าก็เหมือนกับที่เราเป็นพระสิริของพระเจ้า[35]เพราะเราเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า เมื่อฟีลิปปี 2:6-11 กล่าวว่าพระเยซูทรงอยู่ในรูปกาย[36]ของพระเจ้านั้นเป็นเพียงการพูดว่าพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ก็เป็นเช่นกัน
ตรงนี้เราเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอาดัมคนแรกกับอาดัมคนที่สอง อาดัมคนแรกนั้นพยายามที่จะเท่าเทียมกับพระเจ้าโดยกินผลไม้ต้องห้ามจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว อาดัมกับเอวาต้องการจะเป็นเหมือนพระเจ้า ซึ่งในบริบทของปฐมกาลนี้หมายถึงการเท่าเทียมกับพระเจ้า
ในขณะที่อาดัมล้มเหลวเพราะการไม่เชื่อฟัง พระคริสต์ก็ทรงทำให้ความรอดของเราสำเร็จเพราะการเชื่อฟัง พระคริสต์ไม่ได้ทรงยึดความเท่าเทียมกับพระเจ้าไว้ (ฟีลิปปี 2:6) คำว่า “ยึดไว้” ในภาษากรีกนั้นยิ่งแรงกว่า มันหมายถึงการฉกฉวยหรือการไขว่คว้าบางสิ่งมาเป็นของตัวเอง สิ่งที่พระเยซูไม่ได้พยายามไขว่คว้าเพื่อพระองค์เองนั้นอาดัมกับเอวาได้พยายามฉกฉวยเพื่อตัวของพวกเขาเอง แม้ว่าพระเยซูจะทรงเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบและเป็นพระสิริของพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้ทรงยกพระองค์เองขึ้น แต่กลับลดพระองค์เองลงไปต่ำเท่าที่มนุษย์จะลงไปต่ำได้ พระองค์ไปในทิศทางตรงข้ามกับอาดัม ทรงลงไปต่ำที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะลงต่ำได้และทรงเชื่อฟังจนถึงความตายบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นรูปแบบของการประหารชีวิตที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์รู้จัก นั่นคือเหตุที่พระเยซูทรงสามารถเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราได้
แต่เราก็ได้บิดเบือนพระคัมภีร์ฟีลิปปีตอนนี้เหมือนที่ผมได้บิดเบือน ให้เป็นตามคำกล่าวของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ขณะที่ความจริงแล้ว พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้กล่าวอะไรถึงการเป็นพระเจ้าของพระคริสต์เลย
มีหนังสือหลายเล่มที่ได้เขียนเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนี้ ราล์ฟ พี มาร์ติน ซึ่งเป็นอาจารย์คนหนึ่งของผมในลอนดอนและเป็นผู้เขียนหนังสือ “คาร์เมน คริสตี้”[37] ได้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจากพระคัมภีร์ตอนนี้ในฟีลิปปี เขาต้องขอบคุณเปาโลที่เขียนพระคัมภีร์ตอนนี้ที่ทำให้เขาได้รับปริญญาเอก นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนที่ผมได้ศึกษาแล้วศึกษาอีกหลายรอบ ผมสงสัยอยู่ว่ามีกี่คนที่ได้รับปริญญาเอกจากงานเขียนของเปาโล เปาโลเองไม่เคยได้รับปริญญาเอก แต่มีคริสเตียนนับไม่ถ้วนในตลอดหลายๆปีที่ผ่านมาที่ได้รับปริญญาเอกจากงานเขียนของเขา เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ผมเห็นหนังสือออกใหม่ที่เขียนเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนี้ ผมได้อ่านและหนังสือนี้พูดถึงนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่อธิบายถึงการที่พระคัมภีร์ตอนนี้ในหนังสือฟีลิปปีพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์
พวกเขากระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ แต่นี่เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่เคยต้องการให้เราเชื่อ ไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ที่ต้องการให้คุณเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเพื่อจะได้รับความรอด ให้คำกล่าวนั้นคงอยู่ และจะเปลี่ยนไม่ได้! ผมพูดอย่างนี้โดยไม่กลัวการโต้แย้งจากใคร ถ้าข้อความพระคัมภีร์ตอนนี้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ที่ชัดเจนในตัวเอง แล้วเหตุใดจึงต้องเขียนหนังสือและบทความในหัวข้อนี้กันอย่างไม่จบไม่สิ้นโดยใช้กลไกทุกอย่างที่จะคั้นเอาความเป็นพระเจ้าออกมาจากข้อความนั้นให้ได้?
เรื่องนี้เข้าใจไม่ยากเพราะ “รูปกายของพระเจ้า” หมายความเพียงว่าพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนหรือฉายาลักษณ์ของพระเจ้าเหมือนที่อาดัมก็เป็นรูปเหมือนหรือฉายาลักษณ์ของพระเจ้า แต่เพราะความบาปและการไม่เชื่อฟัง อาดัมจึงล้มเหลวที่จะสำแดงพระสิริของพระเจ้าให้เห็นและเสื่อมจากพระสิริ แต่พระเยซูไม่ได้เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงทรงสำแดงพระสิริของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้ทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา (ฟีลิปปี 2:11) และใครล่ะคือพระบิดาถ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์?
ขณะนั่งรถแท็กซี่มาที่นี่ อาจารย์ปีเตอร์ ชวง[38]และผมได้คุยกันถึงเรื่องซีดีและเพลงที่ผมได้แต่งไว้ (บทเพลงแห่งความจงรักภักดี)[39] อาจารย์ปีเตอร์ก็หวังดีและพยายามปลอบใจผมว่า “เพลงนี้อาจไม่เลวร้ายจนเกินไป ความจงรักภักดีต่อพระคริสต์ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความจงรักภักดีต่อพระเจ้า” ผมพูดว่า “ขอบคุณที่ปลอบใจผม แต่พูดตามตรงแล้ว ตอนที่ผมแต่งเพลงนี้ ผมไม่ได้นึกถึงพระบิดาเลย” พระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ความคิดของผม แม้แต่พระบิดาในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของผม ความจงรักภักดีของผมนั้นมอบให้กับพระเยซูอย่างทั้งหมดและอย่างสมบูรณ์ พระบิดาไม่ว่าจะเป็นพระบิดาของความเชื่อตรีเอกานุภาพหรือจะเป็นพระบิดาองค์อื่น ก็ไม่ได้มาเกี่ยวด้วยและไม่สำคัญอีกต่อไป นั่นแสดงให้เห็นว่าผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมากแค่ไหน ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์ตอนที่เกี่ยวข้องกันเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วน แบบคำต่อคำ แบบบรรทัดต่อบรรทัด วิเคราะห์ไวยากรณ์และอ่านซ้ำไปซ้ำมา และรวมทั้งยังอ่านหนังสือจำนวนมากเพื่อเสริมสร้างมุมมองของผมและเสริมสร้างความเข้าใจของผมเกี่ยวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ในมุมมองของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพของผมได้ถูกทำลายลงด้วยความจริงง่ายๆอย่างเดียวว่า พระเจ้าไม่มีรูปกาย นอกจากว่าพระองค์จะอยู่ในพระคริสต์และในอาดัม
ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าการทำรูปหรือปั้นรูปเหมือนใดๆขึ้นมาจะมีโทษถึงตายเพราะเป็นการไหว้รูปเคารพ คำว่า “รูปเหมือน” (image) หรือ “รูปสัณฐาน” (form) พบได้ในข้อต่างๆเช่น เลวีนิติ 26:1ที่ว่า “อย่าสร้างรูปเคารพหรือตั้งรูปเหมือนหรือเสาศักดิ์สิทธิ์สำหรับตัวเจ้าและอย่าวางรูปหินแกะสลักไว้ในดินแดนของเจ้าเพื่อกราบไหว้ เพราะเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”(ฉบับNIV)คุณจะต้องไม่ทำรูปเหมือนของสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต เพราะพระเจ้าทรงอนุญาตให้มีเพียงรูปของพระองค์เองเพียงรูปเดียวเท่านั้นและนั่นก็คือตัวมนุษย์
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำก็คือคำว่า “รูป” (μορφή,morphē) หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่สามารถตรวจสอบได้โดยการค้นดูพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับมาตรฐานต่างๆ (เช่น ฉบับเธเยอร์)[40] ซึ่งทั้งหมดถูกรวบรวมหรือแก้ไขโดยบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ คำนิยามของ “μορφή” ที่อาร์นและกิงกริช[41]ให้ไว้ก็คือ “รูปร่างที่เห็นได้ รูปพรรณสัณฐาน”
พระเจ้าไม่มีรูปกายเพราะไม่สามารถจะมองเห็นพระองค์ได้ เมื่อเราพูดถึงรูปพรรณสัณฐานหรือรูปลักษณ์ภายนอกเมื่อกล่าวถึงพระเจ้านั้น เรากำลังพูดถึงรูปเหมือนหรือรูปกายของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวของพระเจ้าเอง นั่นเข้าใจได้ไม่ยาก เว้นแต่ว่าเราจะสับสนอย่างมากจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพจนเราไม่สามารถจะคิดให้ชัดได้อีกต่อไป
2 ทิโมธี3:5 กล่าวว่า “เขายึดรูปแบบทางของพระเจ้าแต่เปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น” (NIV)“รูป” ตรงนี้คือคำเดียวกัน ข้อนี้พูดถึงรูปหรือรูปลักษณ์ภายนอกของทางของพระเจ้าที่ตรงข้ามกับเนื้อแท้ของทางของพระเจ้าที่แท้จริง นั่นหมายถึงการมีรูปลักษณ์ของความบริสุทธิ์ในขณะที่ภายในเรายังเลวทรามและชั่วช้า ซึ่งทำให้เรานึกถึงนักบวชหลายคนที่อยู่ในคราบของเฒ่าหัวงูผู้ทำพิธีทางศาสนา[42]ในขณะสวมชุดของนักบวชโดยมีกางเขนห้อยคอนั่นก็คือความแตกต่างระหว่างรูปลักษณ์และเนื้อแท้
หนังสือฟีลิปปีพูดถึงแค่รูปกายของพระเจ้าเท่านั้นไม่ได้พูดถึงเนื้อแท้ข้างในหรือพลังขับเคลื่อนภายในของพระเจ้า พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระเยซูและพระเยซูทรงเป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่ไม่อาจจะมองเห็นได้ แต่พระองค์ทรงทำให้มองเห็นพระองค์ได้ทางพระคริสต์ พระเยซูทรงอยู่ในรูปกายของพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงสำแดงให้เห็นพระเจ้าที่ไม่อาจมองเห็นได้ให้เห็นได้ชัดกับตาของเรา แต่ไม่มีใครจะสามารถพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าได้จากรูปกายภายนอก
สิ่งที่เป็นวิญญาณก็คือวิญญาณ
ตามที่เราเห็นก็คือ ถ้าพระเยซูจะมาเป็นผู้ที่ช่วยเราให้รอด พระองค์ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้างคือเป็นมนุษย์ ถ้าเราเพิ่มความเป็นพระเจ้าเข้าไปในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เราก็จะประนีประนอมความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างเต็มที่ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราจะรู้ว่ามนุษย์คืออะไร และก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เป็นมนุษย์มากกว่า 100%
เมื่อได้พิจารณาถึงการทรงสร้างแล้ว ก็ให้เรามาพิจารณาถึงการทรงสร้างใหม่ การทรงสร้างใหม่คืออะไรหรือ? ผมหวังว่าเราจะรู้ว่าการทรงสร้างหมายถึงอะไรในพระคัมภีร์ ซึ่งไม่ใช่ความหมายตามพจนานุกรมแต่ความหมายตามพระคัมภีร์
คำว่า “ใหม่” ในพระคัมภีร์นั้นมีความหมายในทางฝ่ายวิญญาณ การมาเป็น “คนใหม่” คือการเปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นทางโลกไปสู่สิ่งที่เป็นทางฝ่ายวิญญาณ สิ่งทางฝ่ายวิญญาณก็คือสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งทางโลกวัตถุอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดก็คือ การเปลี่ยนแปลงจากคนที่เป็นฝ่ายโลกและฝ่ายเนื้อหนังให้เป็นคนฝ่ายวิญญาณ ความรอดไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการสารภาพความผิดบาปของเราและแค่เชื่อว่าพระเยซูได้ตายเพื่อเรา เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงอภัยบาปให้เราอย่างที่มักจะถูกสอนมา มุมมองของความรอดในแบบนี้ผิวเผินมากจนไม่มีคุณค่าควรที่จะพูดถึง
ความรอดเป็นมากกว่าการยกโทษความผิดบาป ความรอดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายโลกให้มาเป็นคนฝ่ายวิญญาณและสวยงาม ชีวิตนิรันดร์หมายถึงการย้ายจากชีวิตชั่วคราวที่เรามีอยู่ขณะนี้ไปสู่ชีวิตที่ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของระยะเวลาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ของคุณภาพที่แสดงให้เห็นจากชีวิตในพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์ก็คือชีวิตของพระเจ้า
แต่มนุษย์ถูกสร้างให้มีร่างกายเนื้อหนังก่อน พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากดินเพื่อเตือนเราถึงที่มาของเนื้อหนังร่างกายของเรา หลังจากที่มนุษย์ได้ถูกปั้นขึ้นแล้ว ขั้นต่อไปก็คือที่พระยาห์เวห์จะทรงระบายลมหายใจเข้าไปในมนุษย์ หากปราศจากลมหายใจนั้น มนุษย์ก็เป็นเพียงซากของเนื้อและเลือด แต่เมื่อได้ใส่ลมหายใจที่มีชีวิตเข้าไปในมนุษย์ เขาก็ลุกขึ้น ซึ่งก็เกิดขึ้นกับพระเยซูด้วยเมื่อพระองค์ถูกชุบให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คนที่ตายจะเปื่อยสลายเป็นดินกลับไปสู่ที่ที่เขามา แต่พระเยซูทรงชุบเขาให้ฟื้นขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ และคืนลมหายใจให้กับเขา นั่นคือขั้นที่สอง เราจะต้องจำลำดับเอาไว้ว่า ฝ่ายโลกก่อนแล้วจึงเป็นฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าประทานวิญญาณให้กับมนุษย์โดยลมปราณของพระองค์ (ปัญญาจารย์ 12:7) แท้จริงแล้วลมหายใจและวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก
มีความเชื่อผิดๆที่แพร่หลายในประเทศจีนเนื่องจากวอชแมน นี[43]สหายของเราได้รับคำสอนนี้จากประเทศตะวันตก (ทุกสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้มาจากประเทศตะวันตก) วอชแมน นี พูดมาตลอดว่ามนุษย์ประกอบด้วยสามส่วนคือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ นี่เป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ ผมไม่มีอะไรต่อต้านวอชแมน นี สหายของเรา แต่ว่าอะไรที่ผิดหลักพระคัมภีร์ก็คือผิดหลักพระคัมภีร์
พระคัมภีร์ก็กล่าวถึงมนุษย์ในแง่ของร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ แต่เมื่อคุณดูในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกคุณจะเห็นว่าจิตใจ (ψυχή)หมายความเพียงว่า “ชีวิต” เป็นชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงใส่ลมหายใจเข้าไปในมนุษย์ ร่างกาย จิตใจและวิญญาณ โดยมีจิตใจอยู่ตรงกลาง นั่นเป็นเพราะจิตใจยึดร่างกายและวิญญาณไว้ด้วยกัน เมื่อจิตใจหมดสิ้นไป ร่างกายก็กลับเป็นผงธุลีและวิญญาณก็กลับไปหาพระเจ้า จิตใจซึ่งหมายถึงชีวิตนั้นยึดสองสิ่งนี้ไว้ด้วยกัน จิตใจไม่ใช่ตัวตนที่เจาะจงภายในมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจในความหมายที่แพร่หลายของคำนี้ แต่ว่าเขามีชีวิต
1โครินธ์15:50คือข้อที่ควรจะศึกษาอย่างละเอียดที่ว่า “พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือดไม่สามารถรับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดกและสิ่งที่เสื่อมสลายก็ไม่สามารถรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก” (ฉบับNIV)
เพราะคุณกับผมมีเนื้อและเลือด เราจึงไม่สามารถรับอาณาจักรของพระเจ้าได้ นั่นก็คือรับความรอดได้ ยิ่งกว่านั้นคุณกับผมจะเสื่อมสลายและเราจะตาย ถ้าคุณมีชีวิตเลยเก้าสิบปีคุณก็โชคดี และสิ่งที่เสื่อมสลายก็ไม่สามารถรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก ตรงนี้เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก คือถ้าคุณมีเนื้อและเลือด แล้วคุณจะรับส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร? พี่น้องที่รัก มีทางเดียวเท่านั้นก็คือคุณจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง การกลับใจใหม่จะดียิ่งก็ต่อเมื่อมันนำคุณไปถึงจุดที่คุณจำนนชีวิตของคุณทั้งหมดกับพระยาห์เวห์ในพระคริสต์ แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเป็นคนที่ถูกสร้างฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่เหมือนกับคนที่ถูกสร้างเดิมและเป็นอย่างโลก
อะไรทำให้พระเยซูเป็นคนฝ่ายวิญญาณหรือ? นั่นก็เพราะความจริงที่ว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์ แล้วคุณกับผมมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? ก็ในทำนองเดียวกัน ที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในเราโดยพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราและทำงานอยู่ในเรา (โรม 8) เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทำงานอยู่ในคุณ คุณก็เป็นคนฝ่ายวิญญาณ ยิ่งพระวิญญาณทำงานในคุณมากเท่าไร คุณก็ยิ่งเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพระองค์ทำงานในคุณน้อยเท่าไรเพราะความดื้อดึงของคุณ คุณก็ยิ่งเป็นคนฝ่ายวิญญาณน้อยลงเท่านั้น นั่นคือข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างคนฝ่ายวิญญาณกับคนที่ไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณในคริสตจักร เราเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็โดยการที่พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนฝ่ายวิญญาณโดยเนื้อแท้ แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณสถิตอยู่ในเราและทำให้เราเป็นคนฝ่ายวิญญาณ เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้
เราคุ้นเคยกับยอห์น 3:16 แต่เราเข้าใจข้อ5และ6ไหม ที่พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัสผู้สอนที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีใครสามารถเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้ นอกจากว่าเขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ เนื้อหนังให้กำเนิดเนื้อหนังแต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ” (ฉบับNIV)
การกลับใจใหม่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับความรอด การเสียใจกับความผิดบาปของคุณนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง แต่นั่นยังไม่พอ นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น และหนทางยังมีอีกยาวไกลที่จะมาเป็นวิญญาณ แต่เมื่อคุณเกิดจากพระวิญญาณคุณก็เป็นวิญญาณ ถ้าคุณไม่ได้เกิดจากพระวิญญาณ คุณก็เป็นเนื้อหนังและไม่สามารถจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้ สิ่งที่เปาโลกล่าวใน1โครินธ์ 15 ก็เป็นการย้ำสิ่งที่พระเยซูได้บอกกับนิโคเดมัสไปแล้ว
แล้ว “น้ำ” จากยอห์น 3:5 คืออะไร? ทิตัส 3:4-5 กล่าวว่า
“แต่เมื่อพระกรุณาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเราและความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ปรากฏขึ้นพระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะการกระทำที่ชอบธรรมของเราเองแต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ฉบับNASB)
คุณกำลังอ่านพระคัมภีร์อย่างผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไหม? เปาโลก็อ่านพระคัมภีร์แบบนั้น และเขียนจดหมายฉบับต่างๆของเขาแบบนั้น ตรงนี้พระผู้ช่วยให้รอดก็คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา พระเยซูก็ทรงถูกเรียกว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเราด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วพระยาห์เวห์คือผู้ทรงช่วยเราให้รอดผ่านทางพระเยซู ความรักและพระกรุณาของพระยาห์เวห์ “ปรากฏขึ้น” นั่นคือได้ปรากฏในองค์พระคริสต์ ตั้งแต่ตอนประสูติจากหญิงพรหมจารี “พระองค์ช่วยเราให้รอด” นั่นก็คือพระยาห์เวห์ทรงช่วยเราให้รอดโดยไม่ได้ขึ้นกับการกระทำที่ชอบธรรมของเรา แต่ด้วยพระเมตตาของพระยาห์เวห์ โดยการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
“น้ำ” ในยอห์น 3:5 สอดคล้องกับ “โดยการชำระให้บังเกิดใหม่” ในทิตัส 3:5 ซึ่งอ้างอิงถึงการบัพติศมา ถ้าการบัพติศมาทำอย่างถูกต้องและรับอย่างถูกต้อง คนที่ได้รับบัพติศมาจะรู้ว่าเขากำลังบังเกิดใหม่ ไม่ใช่โดยการบัพติศมาเองแต่โดยการชำระบาปและการชำระให้บังเกิดใหม่ จากนั้นเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สร้างเขาให้เป็นคนใหม่และเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ที่เกิดจากพระวิญญาณ
พระเยซูตรัสกับมารธาดังนี้ว่า “เราเป็นผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตายและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาตายไป และใครก็ตามที่มีชีวิตและเชื่อในเราก็จะไม่ตายเลยเจ้าเชื่ออย่างนี้หรือ ไม่?”(ยอห์น 11:25-26ฉบับNIV)
ข้อนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังและวิญญาณ คำว่า “แม้ว่าเขาตายไป” หมายถึงความตายของร่างกายเนื้อหนัง แต่ถ้าคุณเชื่อในพระเยซูผู้ที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ภายใน คุณจะมีชีวิตแม้ว่าร่างกายเนื้อหนังของคุณจะตายไป ในทางกลับกัน คำว่า “ใครก็ตามที่มีชีวิต” นั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณ เพราะผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณและมีชีวิตนิรันดร์ เขาก็จะ “ไม่ตายเลย” คำสอนขององค์ผู้เป็นเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ ชัดเจนและเข้าใจง่าย
เราได้ดูข้อ50จาก1โครินธ์15ซึ่งเป็นบทสำคัญที่สุดบทหนึ่ง ให้เราดูข้อ 42-48
42การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ที่เป็นขึ้นจะไม่เสื่อมสลาย43ที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติที่เป็นขึ้นจะเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีที่ถูกหว่านลงนั้นอ่อนแอที่เป็นขึ้นมาจะมีพลัง44ที่ถูกหว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นจะเป็นกายวิญญาณ ถ้ามีกายธรรมชาติก็มีกายจิตวิญญาณด้วย 45นั่นจึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรกจึงกลายเป็นผู้มีชีวิต”แต่อาดัมคนหลังเป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต 46กายวิญญาณไม่ได้มาก่อนแต่กายธรรมชาติมาก่อนและหลังจากนั้นจึงเป็นกายวิญญาณ 47มนุษย์คนแรกนั้นมาจากธุลีดินของโลกนี้ ส่วนมนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48มนุษย์โลกคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์โลกทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น และมนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น (ฉบับNIV)
กายที่ “เสื่อมสลาย” ก็ไม่สามารถรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดกได้ แต่หลังจากที่ถูกหว่านลง “ที่เป็นขึ้นจะไม่เสื่อมสลาย” คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเกิดจากพระวิญญาณ กายของคุณถูกหว่านลงในดินเหมือนกับเมล็ด นี่ก็คือความตายของคุณและการถูกฝัง แล้วจากนั้นก็เป็นขึ้นอย่างไม่เสื่อมสลาย มันถูกหว่านลงอย่าง “ไร้เกียรติ” (ความตาย) แต่เป็นขึ้นอย่าง “มีศักดิ์ศรี” มันถูกหว่านลงอย่าง “อ่อนแอ”แต่เป็นขึ้นอย่าง “มีพลัง”
ความไร้เกียรติ ความอ่อนแอ และความเสื่อมสลาย ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง แต่เราเป็นขึ้นในฝ่ายวิญญาณที่เห็นได้ด้วยศักดิ์ศรีและพลัง ที่ถูกหว่านลงเป็นกายธรรมชาติ แต่ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ แต่จงสังเกตว่า “ฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาก่อนแต่เป็นฝ่ายธรรมชาติ และจากนั้นจึงเป็นฝ่ายวิญญาณ” ในการทรงสร้างอาดัมนั้น ร่างกายถูกสร้างขึ้นมาก่อน แล้วอาดัมจึงได้รับวิญญาณ
มนุษย์คนแรกนั้นมาจาก “ธุลีดินของโลก”แต่มนุษย์คนที่สองนั้นมา “จากสวรรค์” คนเหล่านั้นที่มาจากโลกก็เป็นเหมือนมนุษย์โลก คนเหล่านั้นที่มาจากสวรรค์ก็เป็นเหมือนมนุษย์จากสวรรค์ ในภาษาอังกฤษความหนักแน่นของคำกล่าวนี้ได้หายไป แต่ว่าในภาษากรีกจะชัดเจนกว่ามาก เราจะไม่วิเคราะห์ข้อความภาษากรีกเนื่องจากลักษณะเฉพาะของภาษา แต่ผมขอหนุนใจให้พวกคุณศึกษาเอาเอง ถ้าคุณสามารถใช้ภาษากรีกได้
บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมองเห็นความเป็นพระเจ้าของพระเยซูทุกๆที่ในพระคัมภีร์ เมื่อเปาโลกล่าวว่ามนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ เราจะพูดทันทีว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า! อย่าเพิ่งสรุปเร็วเช่นนั้น เพราะมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายรวมทั้งเหล่าทูตสวรรค์ก็มาจากสวรรค์ ภาษากรีกจะกล่าวว่า ὁ δεύτερος ἄνθρωπος ἐξ οὐρανοῦ(“มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์”) ที่มี ἐξ οὐρανοῦ เป็นสัมพันธการก[44]คำวลีοὐρανόςนี้มีปรากฏบ่อยๆในพระคัมภีร์ใหม่และมีความหมายต่างๆกัน
ตรงนี้ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ แต่อย่างไรก็ดี การดำรงอยู่ก่อนไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้า เพราะว่าเหล่าทูตสวรรค์มากมายก็ดำรงอยู่ก่อนเช่นกัน การดำรงอยู่แล้วตอนการทรงสร้างหรือแม้จะก่อนการทรงสร้าง นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้า เพราะว่าเหล่าทูตสวรรค์ก็ดำรงอยู่ก่อนการทรงสร้างเช่นกัน จักรวาลนี้ไม่ได้ว่างเปล่าก่อนการทรงสร้างจักรวาลให้มีรูปมีร่าง
นักฟิสิกส์บอกเราว่าอาจมีจักรวาลมากมายอยู่เหนือฟากฟ้า วันก่อนผมได้ฟังการอภิปรายเรื่องของฟิสิกส์ที่คาดเดาว่ามีจักรวาลอีกกี่จักรวาลที่อยู่นอกจากจักรวาลของเราเอง บรรดาผู้เข้าร่วมอภิปรายเปิดช่องความเป็นไปได้ไว้ว่า ยังมีจักรวาลอื่นๆอีกมากมายอยู่เหนือฟากฟ้า พวกคุณบางคนคงรู้เรื่องทฤษฎีใหม่ทางฟิสิกส์ เช่นทฤษฎีสตริงและทฤษฎีเมมเบรน[45] ฟิสิกส์เป็นเรื่องที่ชวนให้หลงใหลจนทำให้คุณสงสัยว่านักฟิสิกส์กำลังพูดถึงฟิสิกส์หรือปรัชญาว่าด้วยความจริงในธรรมชาติกันแน่ พวกเขาพูดถึงจักรวาลอื่นๆที่มีอยู่ในอวกาศของจักรวาลของเราเอง ซึ่งแทรกซึมไปทั่วเหมือนเส้นใยและแผ่นเยื่อ ผมอ่านเรื่องที่ชวนให้หลงใหลนี้จากนิตยสารต่างๆ เช่น นักวิทยาศาสตร์ใหม่[46]
มนุษย์จากสวรรค์
คำว่า ἐκ οὐρανοῦ (“จากสวรรค์”) ที่เรากำลังดูนี้จะพบในลูกา 11:13 ด้วย (ดูที่ขีดเส้นใต้ )
“ถ้าแม้ท่านเองที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆแก่บุตรของท่าน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์” (ฉบับNASB)
εἰ οὖν ὑμεῖς πονηροὶ ὑπάρχοντες οἴδατε δόματα ἀγαθὰ διδόναι τοῖς τέκνοις ὑμῶν, πόσῳ μᾶλλον ὁ πατὴρ [ὁ] ἐξ οὐρανοῦ δώσει πνεῦμα ἅγιον τοῖς αἰτοῦσιν αὐτόν.
คำภาษากรีกสองคำที่ขีดเส้นใต้กล่าวถึงพระบิดา การรวมสองคำนี้จึงถูกแปลว่า “พระบิดาในสวรรค์” ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษ นี่ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการมา “จากสวรรค์” แต่พูดเพียงว่าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์
เมื่อเรานำสิ่งนี้มาใช้กับ1 โครินธ์15 มนุษย์คนที่สองจึงถูกเข้าใจว่าเป็น “มนุษย์จากสวรรค์” บริบททั้งหมดบอกเราว่า มนุษย์จากสวรรค์ก็คือมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ ข้อ48 ก็ยังใช้สิ่งนี้กับเราด้วย “มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น” เราจำเป็นต้องเป็นมนุษย์สวรรค์ถ้าหากเราจะได้รับความรอด เพราะเนื้อและเลือดไม่สามารถรับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดก
“มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร” กล่าวถึงพระคริสต์ ดังนั้นข้อ48 จึงหมายความว่า “พระคริสต์ทรงเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทุกคนก็เป็นอย่างนั้นด้วย” นี่ไม่น่าอัศจรรย์ใจหรือ? เราก็ถูกสร้างให้เป็นมนุษย์สวรรค์เช่นกัน เมื่อคุณเกิดจากพระวิญญาณ คุณก็กลายมาเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนกับที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์ การเปลี่ยนจากมนุษย์ดินไปเป็นมนุษย์สวรรค์คือกุญแจสำคัญที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า
เปาโลไม่ได้ใช้คำ “มนุษย์โลก” แต่ใช้ “มนุษย์ดิน” (χοϊκός) ที่บอกลักษณะจากดิน คำภาษากรีกหมายถึง “ดิน” มนุษย์คนแรกมาจากดินในขณะที่มนุษย์คนที่สองเป็นฝ่ายวิญญาณ ซึ่งตรงข้ามกับการมาจากดิน คำว่า“มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร” ไม่ได้หมายความว่าลงมาจากสวรรค์ ถ้าเราจะให้หมายความว่าพระเยซูได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เราก็ต้องได้ข้อสรุปอย่างเดียวกันนี้กับตัวเราเอง ในเมื่อเห็นชัดเจนว่าเราไม่ได้ลงมาจากสวรรค์ เปาโลแค่กำลังบอกว่า เราเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนกับที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์ ตรงนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ เปาโลกำลังบอกแค่ว่า คุณจะต้องถูกเปลี่ยนจากฝ่ายโลกมาเป็นฝ่ายวิญญาณ ไม่เช่นนั้นคุณก็จะไม่ได้รับความรอด และจะไม่ได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดก คุณจะต้องมาเป็นมนุษย์สวรรค์
คุณคงจำหนังสือเกี่ยวกับผู้เชื่อชาวจีนได้ที่ถูกเรียกว่า “บุรุษจากสวรรค์” ในความหมายเหมือนที่พระคริสต์ทรงมาจากสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงเป็นมนุษย์สวรรค์หรือมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ ถ้าเขาหมายถึงอย่างอื่นที่เกินกว่านั้น ก็อาจเป็นการหมิ่นประมาทได้ แต่ถ้าเขาหมายถึงอย่างนั้นเขาก็ทำถูกแล้ว
ผมขอสรุปว่า มนุษย์เป็นสิ่งสูงสุดของการทรงสร้างของพระเจ้า และยอดสุดของสิ่งสูงสุดก็คือพระคริสต์ ซึ่งเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า เราจะเป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์ของพระเจ้าได้ก็โดยการมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ หรือเป็นมนุษย์สวรรค์เหมือนกับที่พระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์สวรรค์ เราไม่ได้รอดเพราะแค่กลับใจใหม่หรือรับเชื่อ ทั้งหมดนี้มีความสำคัญแต่ก็ยังไม่พอ เราจะ ต้องถูกเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณและคนของสวรรค์ เพื่อที่เราจะได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดกและได้รับความรอด
[1]Soteriology
[2]Becoming a New Person
[3]คำว่า“Word of God” หมายถึง “คำของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ภาษาไทยจะแปลว่า “พระวจนะ” บางครั้งแปลว่า “พระวาทะ” ตลอดพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นสถิติของการปรากฏคำนี้จึงไม่เท่ากับจำนวนที่ปรากฏในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ (ผู้แปล)
[4]Septuagint คือพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกที่แปลจากพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู (ผู้แปล)
[5] “Logos”หรือ “Word”(ผู้แปล)
[6]subjective genitiveและ objective genitive
[7]ฉบับไทยคิงเจมส์และ1971แปล โคโลสี 3:16 ว่า “จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์” ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์”(ผู้แปล)
[8]R.H. Charles
[9]ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “พวกเขาจะมองดูเรา ผู้ที่พวกเขาได้แทง”ฉบับมาตรฐานแปลว่า “เมื่อเขาทั้งหลายมองดูท่านผู้ซึ่งเขาเองได้แทง” (ผู้แปล)
[10]Keil and Delitzschนักวิชาการพระคัมภีร์เดิม (ผู้แปล)
[11]Passion of the Christ
[12] “They will look on Me whom they have pierced; and they will mourn for Him” (NASB)
[13]ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “คนใกล้ชิดของเรา” (ผู้แปล)
[14]Pentateuch
[15]พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ1971ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยและฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่าพระองค์ทรงซื้อหรือทรงไถ่ “มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง” แต่ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์”(ผู้แปล)
[16] เช่นปฐมกาล 2:4 “ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้ในวันที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์”หรือปฐมกาล 2:7“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีจากพื้นดิน” (ฉบับมาตรฐาน 2011) -ผู้แปล
[17]TheodotionหรือTheodotus ชาวยิวเชื้อสายกรีกผู้แปลพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก (ผู้แปล)
[18]2โครินธ์5:17“ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้วสิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
[19]วิวรณ์21:1“และข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เพราะว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปแล้ว”
[20] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปล1 ทิโมธี2:5ตรงกับต้นฉบับภาษากรีกและภาษาอังกฤษว่า “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (For there is one God, and one mediator also between God and men, the man Christ Jesus” (1Timothy 2:5ESV, KJV, NAU, NIV, WEB, YLT)-ผู้แปล
[21]1โครินธ์15:21“เพราะว่าในเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง การเป็นขึ้นจากความตายก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน”
[22]元朝
[23]清朝
[24]康熙 และ乾隆
[25]李(หรือ “หลี่” ผู้แปล)
[26]金(หรือ “จิน” ผู้แปล)
[27]ในปฐมกาล 2:7ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ระบายลมหายใจ” ฉบับอื่นๆแปลว่า “ระบายลมปราณ” (ผู้แปล)
[28]“ฉายา” หรือ “image” มาจากคำฮีบรูว่า “צֶלֶם”หมายถึง “รูป” จะพบคำเดียวกันนี้ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 11:18,กันดารวิถี33:52, 1ซามูเอล 6:5และเอเสเคียล 23:14;คำว่า“image” แปลว่า “รูป” หรือ “รูปเหมือน” หรือ “รูปแทน” หรือ “รูปภาพ” (ผู้แปล)
[29]Madame Tussauds
[30]ยอห์น14:9พระเยซูตรัสกับเขาว่า“ฟีลิปเราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือคนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า“ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?”
[31]2พงศาวดาร30:12“พระหัตถ์ของพระเจ้าก็ทรงอยู่เหนือยูดาห์ด้วย”; อิสยาห์53:1“พระกรของพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ผู้ใด?”;อิสยาห์63:3“เราย่ำบ่อองุ่นตามลำพังและไม่มีใครจากชนชาติทั้งหลายอยู่กับเราเลย”;อิสยาห์42:13“พระยาห์เวห์จะเสด็จออกไปอย่างผู้กล้าพระองค์ทรงเร้าความกระตือรือร้นขึ้นอย่างนักรบ” (ฉบับมาตรฐาน2011)
[32]“in theform of God” หรือ “ในรูปกายของพระเจ้า” (ἐνmορφῇθεοῦ) “รูปกาย” จากคำกรีก “mορφῇ” เป็นคำเดียวกันกับ “ในพระกายอีกรูปหนึ่ง” (ἐνἑτέρᾳmορφῇ) ในมาระโก 16:12 “ภายหลังพระเยซูทรงปรากฏในพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคนขณะที่พวกเขาเดินอยู่นอกเมือง” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) -ผู้แปล
[33]“form of God” พระคัมภีร์ไทยส่วนใหญ่แปลว่า “ทรงสภาพของพระเจ้า”(ผู้แปล)
[34]พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยทุกฉบับแปลว่า “ทรงสภาพ”ที่มาจากคำเดียวกันว่า “form” หรือ “mορφῇ” ที่หมายถึง รูปกาย(ผู้แปล)
[35]1 โครินธ์11:7ฉบับ 1971“การที่ผู้ชายไม่สมควรจะคลุมศีรษะนั้นก็เพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระสิริของพระเจ้า”
[36]ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “ผู้ทรงอยู่ในสภาพพระเจ้า”ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า“ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า” และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “ผู้ทรงสภาพพระเจ้า” และเพิ่มเติมว่า “เป็นเหมือนพระเจ้า” (ผู้แปล)
[37]Ralph P. Martinผู้เขียนCarmen Christiซึ่งเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาการตีความฟีลิปปี 2:5-11 (ผู้แปล)
[38]Pastor Peter Cheung
[39]“Song of Allegiance” เพลงแห่งความจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสต์ แต่งโดย อจ อีริค เอช เอช ชาง
[40]Thayer
[41]Arndt and Gingrich
[42]หรือ “พิธีมิสซา” ตามต้นฉบับ (ผู้แปล)
[43]Watchman Nee (倪柝声)
[44]genitive การกที่แสดงความเป็นเจ้าของ
[45]String Theory and Membrane Theory
[46]New Scientist