pdf pic

 

ภาคผนวก 5

 

ความสมบูรณ์แบบที่ปราศจากความบาปของพระเยซู

ถูกนักวิชาการจำนวนมากปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้

 

       

          ส่วนที่คัดลอกต่อไปนี้มาจากสารานุกรมพระคัมภีร์ฉบับอินเตอร์เนชันแนลแสตนดาร์ด, หัวข้อ “พระเยซูคริสต์” โดยจอห์น แมคคลาเรน[1] ซึ่งให้ความเข้าใจที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับธรรมชาติของความสมบูรณ์แบบและความปราศจากบาปของพระคริสต์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และที่นักวิชาการหลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ (แต่ไม่ใช่จากแมคคลาเรน)

 

[เริ่มส่วนที่คัดลอก]

 

IV. คุณสมบัติและคำอ้าง

 

1. การปฏิเสธความสมบูรณ์แบบทางคุณธรรมของพระคริสต์:

      เมื่อพระกิตติคุณนำเสนอเราด้วยภาพของคุณสมบัติที่ปราศจากตำหนิในพระเยซู ในถ้อยคำของผู้เขียนถึงชาวฮีบรูว่า “เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งหลาย” (ฮีบรู 7:26) นั้น การวิจารณ์สมัยใหม่เกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ไม่อาจหยุดยั้งในการกีดกันพระเยซูจากความสมบูรณ์ปราศจากบาปของพระองค์ และกล่าวโทษพระองค์ในความผิดพลาด ความอ่อนแอ และความบกพร่องทางคุณธรรมที่เป็นของปุถุชนคนธรรมดา ในภาพที่ชไวท์เซอร์[2]แสดงให้เห็นนั้น (เปรียบเทียบผลงานที่อ้างถึง) พระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยคำทำนายถึงวาระสุดท้าย ซึ่งถูกครอบงำด้วยความเพ้อฝันที่ลวงตา หลอกตัวพระองค์เองและคนอื่นๆว่าพระองค์เป็นใครและการใกล้ถึงจุดอวสานของโลก คนเหล่านั้นที่แสดงความซาบซึ้งมากพอกับความดีเลิศทางจิตวิญญาณของพระคริสต์ยังคงถูกขัดขวางโดยการประเมินอย่างมีมนุษยธรรมของพวกเขาเกี่ยวกับตัวบุคคลของพระองค์ และการปฏิเสธของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติในประวัติศาสตร์จากการตระหนักถึงความเป็นไปได้ในความปราศจากบาปของพระองค์ อาจกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ไม่มีนักเขียนสักคนเดียวจากสถานศึกษาสมัยใหม่ ที่ยอมรับความสมบูรณ์แบบทางคุณธรรมของพระคริสต์ การทำเช่นนั้นจะเป็นการยอมรับการอัศจรรย์ในมนุษย์ทั่วไป และเราได้ยินมาว่าการอัศจรรย์ที่เกิดจากความจำเป็นที่มีเหตุผลสูงสุดนั้นไม่ได้ถูกนับรวม อย่างไรก็ตามนี่คือจุดที่รูปแบบสมัยใหม่ของการนำเสนอที่เรียกว่า “วิกฤตทางประวัติศาสตร์” นั้นหยุดชะงักลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุด ความเพ้อฝันเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบในพระกิตติคุณซึ่งได้ดึงดูดมโนธรรมของชาวคริสต์มา 18 ศตวรรษ และยืนยันตัวเองใหม่กับผู้อ่านทุกคนที่ไม่มีอคตินั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกขจัดออกไปหรือพูดให้ดูสมเหตุสมผลว่าเป็นการคิดค้นขึ้นของคริสตจักรที่รวมความคิดจากชาวยิวและชาวต่างชาติอย่างสับสนปนเป (โดยที่ความเพ้อฝันไม่ได้ช่วย) มันไม่ใช่คริสตจักร หรืออย่างน้อยที่สุดก็คริสตจักรเช่นนั้นที่สร้างพระคริสต์ขึ้น แต่เป็นพระคริสต์ที่สร้างคริสตจักรขึ้น

 

(1) ความปราศจากบาปที่มั่นใจได้

      ความปราศจากบาปของพระเยซูเป็นข้อมูลในพระกิตติคุณ ในการต้านกับโลกที่เต็มไปด้วยบาปนั้นพระองค์ทรงอยู่ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดที่ตัวของพระองค์เองปราศจากบาป ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตเดียวในมนุษยชาติที่แสดงให้เห็นถึงการรู้จักพระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบและการสามัคคีธรรมกับพระบิดาอย่างต่อเนื่อง การเชื่อฟังพระประสงค์ของพระบิดาอย่างแน่วแน่ การอุทิศตัวอย่างไม่ย่อท้อภายใต้การทดลองที่ตึงเครียดอย่างสาหัสที่สุด และความทุกข์ทรมานกับความเพ้อฝันสูงสุดในความดีเลิศ ความเพ้อฝันทางจริยธรรมไม่เคยถูกยกระดับขึ้นถึงขีดสุดอย่างแท้จริงอย่างที่เป็นในคำสอนของพระเยซู และการอัศจรรย์ก็คือว่า คุณสมบัติของพระเยซูสอดคล้องกับมัน ซึ่งสูงอย่างที่เป็นในความบริสุทธิ์ที่ไม่ด่างพร้อยและตระหนักถึง ถ้อยคำและชีวิตในประวัติศาสตร์ที่เคยเข้ากันอย่างสมบูรณ์ พระเยซูทรงมีความรู้สึกไวต่อบาปอย่างที่สุดในความคิดและความรู้สึกเช่นเดียวกับการกระทำนั้น ทรงตระหนักดีถึงความไม่มีบาปในพระองค์เอง ไม่มีบาปที่ต้องสารภาพบาป ปฏิเสธการมีบาป ทรงพูดและกระทำอย่างต่อเนื่องบนสมมติฐานที่ว่าพระองค์ไม่มีบาป บรรดาผู้ที่รู้จักพระองค์ดีที่สุดได้ประกาศว่า พระองค์ทรงปราศจากบาป (1 เปโตร 2:22; 1 ยอห์น 3:5; เปรียบเทียบ 2 โครินธ์ 5:21)[3] พระกิตติคุณจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่ภาพของความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบนี้จะถูกลบไปจากพวกเขา

 

(2) สิ่งนี้หมายถึงอะไร

      เราจะอธิบายปรากฏการณ์ของลักษณะเฉพาะที่ปราศจากบาปนี้ในพระเยซูอย่างไร? นั่นเป็นการอัศจรรย์ในตัวของมันเอง และสามารถทำให้น่าเชื่อถือได้ด้วยการอัศจรรย์เกี่ยวกับการสร้างในจุดกำเนิดของพระคริสต์เท่านั้น อาจเป็นที่ถกเถียงกันว่า การเกิดจากหญิงพรหมจารีไม่ได้ทำให้มั่นใจได้ว่าปราศจากบาป แต่มันแทบจะไม่มีการโต้แย้งว่า อย่างน้อยลักษณะเฉพาะที่ปราศจากบาปก็แสดงถึงการอัศจรรย์ในการสร้างนั้น เป็นเพราะเหตุนี้เองที่จิตวิญญาณของคนสมัยใหม่รู้สึกมั่นใจที่จะปฏิเสธมัน ในพระกิตติคุณนั้น มันไม่ใช่การเกิดจากหญิงพรหมจารีเองที่ถูกเรียกร้องให้อธิบายความปราศจากบาปของพระคริสต์ แต่เป็นการปฏิสนธิที่เหนือธรรมชาติโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ลูกา 1:35) มันเป็นเพราะการปฏิสนธินี้ที่เป็นการเกิดแบบพรหมจารี ไม่มีคำอธิบายใดเกี่ยวกับส่วนที่เหนือธรรมชาติในองค์พระคริสต์ที่มีเหตุผลหรือน่าเชื่อถือมากกว่า (ดูด้านล่างเกี่ยวกับ “การประสูติ”)

 

2. ความปราศจากบาปและยืนยันการเป็นพระเมสสิยาห์

      ถ้าพระเยซูทรงรู้ตัวพระองค์เองตั้งแต่แรกว่าไม่มีบาป และในทางกลับกันนี้ ถ้าพระองค์ทรงรู้ตัวพระองค์เองดีว่า ทรงอยู่ในฐานะที่มีสามัคคีธรรมแบบพ่อกับลูกอย่างต่อเนื่องกับพระบิดา พระองค์ก็จะต้องตระหนักดีตั้งแต่แรกถึงหน้าที่พิเศษของพระองค์ที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะแยกตัวพระองค์เองจากคนอื่นๆในฐานะที่เป็นผู้ถูกเรียกให้อวยพรและช่วยพวกเขาให้รอด นี่คือมูลรากที่แท้จริงของการตระหนักในการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ ซึ่งทุกสิ่งจะถูกเปิดเผยในภายหลัง พระองค์ทรงอยู่ในสายสัมพันธ์กับพระบิดาที่เปิดจิตวิญญาณของพระองค์อย่างครบถ้วนในการสำแดงพระประสงค์ของพระบิดาเกี่ยวกับตัวพระองค์เอง ภาระหน้าที่ของพระองค์ ราชอาณาจักรที่พระองค์เสด็จมาจัดตั้งขึ้น ความทุกข์ทรมานของพระองค์ที่เป็นหนทางแห่งความรอดให้กับโลกนี้ พระเกียรติสิริที่รอคอยพระองค์อยู่เมื่องานของพระองค์ในโลกเสร็จสิ้นลง ในการเปิดเผยนี้ พระองค์ทรงอ่านพระคัมภีร์เดิมและทรงเห็นแนวทางปฏิบัติของพระองค์ชัดเจน เมื่อถึงเวลา พระองค์ได้เสด็จไปหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา และพันธกิจสั้นๆของพระองค์ที่มีผลสำคัญซึ่งควรสิ้นสุดลงที่กางเขนก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่คือการอ่านถึงเหตุการณ์ต่างๆที่มุ่งเสนอความคงเส้นคงวาและจุดประสงค์ในชีวิตของพระเยซู และนี่คือสิ่งที่เราตั้งใจจะติดตามในเรื่องราวสั้นๆที่ได้ให้ในตอนนี้


[1] International Standard Bible Encyclopedia; John J. Maclaren

[2] Schweitzer

[3] 1 ยอห์น 3:5พวกท่านรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย