pdf pic

บทที่ 6

 

เสรีภาพในพระคริสต์

 

 

 

Color 2 

 

      นับเป็นการอัศจรรย์จากองค์ผู้เป็นเจ้า ที่ผมสามารถอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อแบ่งปันกับพวกคุณเพราะเมื่อสองสามวันก่อน ผมเป็นไข้หวัด  ดูเหมือนว่าไข้หวัดใหญ่ได้ส่งผลกับหลายๆคน  มันส่งผลกับผมอย่างรุนแรงเนื่องจากไข้หวัดสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ กับคนที่เป็นโรคหอบหืด ที่ผมเป็นเมื่อประมาณ 30 ปีก่อนในประเทศอังกฤษ  ดังนั้นสิ่งที่ผมจะแบ่งปันที่นี่ในวันนี้จึงไม่เต็มที่นัก

      ผมอยากจะเริ่มด้วยการแบ่งปันว่า พระเจ้าทรงทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ได้อย่างไร และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์นี้

      ผมมาถึงกัวลาลัมเปอร์เมื่อสองสามวันก่อน หลังจากได้ไปร่วมประชุมกับผู้ร่วมรับใช้เต็มเวลาเป็นเวลาสามวัน  ที่กัวลาลัมเปอร์นี้ สภาพร่างกายของผมค่อนข้างแย่ในคืนแรกและแย่ลงเรื่อยๆ  อุณหภูมิในร่างกายของผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อไข้สูงขึ้นถึง 102°   เฮเลนกับผมได้อธิษฐานและมอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า  ในเวลานั้นผมนึกถึงสิ่งที่พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำในลูกาบทที่ 4  แม่ยายของซีโมนเปโตร สาวกของพระเยซู กำลังป่วยเป็นไข้ เรื่องราวบอกอย่างเจาะจงว่าเธอ “มีไข้สูง” (ข้อ 38)  เมื่อผมคิดถึงสถานการณ์ของผม  ถ้อยคำซึ่งพูดถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำก็เข้ามาในความคิดของผมว่า “พระองค์ตรัสสั่งไข้” (ข้อ 39)  ไข้คือฤทธิ์ที่บีบบังคับให้แม่ยายของเปโตรไม่สามารถทำอะไรได้  พระเยซูทรงสั่งไข้แล้วเธอก็หาย  ซึ่งเป็นการกระทำที่ผมพบว่าน่าอัศจรรย์  ผมจึงคิดว่า “แล้วองค์ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสสั่งให้เราทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำหรอกหรือ?”  ดังนั้นผมจึงสั่งไข้ในพระนามขององค์ผู้เป็นเจ้า (ซึ่งหมายความว่าอ้างฤทธิ์เดชของพระองค์ที่จะทำเช่นนั้น ดูตัวอย่างในกิจการ 4:7)  ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเพราะผมไม่ค่อยจะมีไข้   หลังจากสั่งไข้แล้ว เฮเลนกับผมก็อธิษฐานด้วยกัน  ผมก็หลับไปในตอนเช้าประมาณตี 2:30

 

อย่าใช้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

      แต่ก่อนที่ผมจะหลับไป ความคิดเกี่ยวกับอีกหลักการหนึ่งก็แว่บเข้ามา  ในการทำตามคำสอนของพระคัมภีร์นั้น เราจะต้องแน่ใจว่าเราได้ตรึกตรองถึงหลักการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อจะนำไปใช้กับสถานการณ์นั้นๆได้อย่างถูกต้อง  แล้วผมก็ตระหนักว่า ผมได้พลาดบางอย่างที่สำคัญไป นั่นก็คือ ผมควรจะสั่งไข้ในกรณีของผมหรือไม่?  คุณคิดอย่างไร?  ทำไมจึงมีปัญหา?  ปัญหาอยู่ที่เรื่องนี้ คือผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่ควรใช้ฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เขาเพื่อเป็นประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง นั่นก็คือเขาไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์จากมัน  นั่นเป็นเหตุที่พระเยซู เมื่อพระองค์ทรงหิวพระกระยาหารหลังจากที่ทรงอดอาหารเป็นเวลา 40 วันและทรงถูกทดลองอย่างหนักในถิ่นทุรกันดาร ทรงปฏิเสธที่จะเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังแม้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้  มารตั้งใจทดลองเพื่อให้พระเยซูทรงใช้ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง  ผมได้หลบเลี่ยงหลักการที่สำคัญนี้ แล้วผมก็กลับใจใหม่ทันทีต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์รู้สึกเสียใจ  เมื่อข้าพระองค์นึกถึงว่าจะขับไข้นั้น ข้าพระองค์ได้ลืมอีกหลักการหนึ่งไป  ข้าพระองค์ไม่ควรจะใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์เพื่อประโยชน์ของตัวข้าพระองค์เอง”  ผมทูลขอให้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงยกโทษให้ แล้วก็ผล็อยหลับไป

      เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ภรรยาของผมซึ่งเป็นพยาบาล ได้วัดไข้ของผมและมันก็ยังสูงกว่า 100° ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเปลี่ยน  แต่สองชั่วโมงต่อมาหรือมากกว่านั้น ผมพูดว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกับไข้ของผม?”  ผมขอให้ภรรยาวัดไข้ของผมอีกครั้ง  ปรากฏว่าไข้ได้หายไป  มันหายไปแล้ว!  ไข้ที่หายอย่างฉับพลันทำให้เราแปลกประหลาดใจ  มีการเช็คไข้อีกมากกว่าสามครั้งในสองสามชั่วโมงถัดมา และแต่ละครั้งอุณหภูมิก็ปกติ  ไข้ได้หายไปจริงๆ  เมื่อผมไตร่ตรองเรื่องนี้ ผมคิดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการกับเรื่องนี้ด้วยพระปัญญาและพระเมตตาของพระองค์  พระองค์ทรงเห็นว่าผมสำนึกผิด ขอให้พระองค์ทรงยกโทษให้ผมที่ใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์เพื่อประโยชน์ของตัวผมเอง  ผมใช้ฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ไปในทางที่ผิด และหลังจากนั้นผมก็ตระหนักถึงความผิดพลาดและได้กลับใจใหม่  พระเจ้าไม่ได้ทรงขับไข้ออกในตอนแรก เพราะเมื่อผมตื่นขึ้นนั้นอุณหภูมิก็ยังคงเกิน 100°  แต่หลังจากที่ผมได้เรียนบทเรียนของผมแล้ว พระองค์ก็ทรงขับไข้ออก  หรือพูดอีกอย่างก็คือ พระเจ้ากำลังตรัสกับผมว่า “เจ้าไม่ควรใช้ฤทธิ์เดชของเราเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง แต่เจ้ากลับใจใหม่และเราได้ให้อภัยเจ้า  ที่เราได้ขับไข้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะเจ้าได้อ้างฤทธิ์เดชของเรา  แต่เป็นเพราะพระคุณและความเมตตาของเราเพียงอย่างเดียว  เราทำสิ่งนั้นก็เพราะความเมตตาของเราเอง”

      เราจะต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างการทูลขอพระเจ้าในสิ่งที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์กับการอ้างและการใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์อย่างถือเอาประโยชน์ เพื่อจะได้ในสิ่งที่เราเห็นว่าดีสำหรับเราและสำหรับคนอื่นๆ  มันน่าเศร้าที่คริสเตียนมากมายไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองสิ่งนี้ได้  บางคนยังเรียกการใช้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในทางที่ผิดแบบถือเอาประโยชน์นี้ว่า “ความเชื่อ” โดยไม่รู้ด้วยซ้ำ  ความเชื่อที่ไม่ได้มีการยอมจำนนทั้งหมดต่อพระประสงค์ของพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นความเชื่อในความคิดของพระเจ้า

      อย่างไรก็ดี  ถ้านั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์จะไม่ประทานกำลังให้ผมเทศนา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทรงขับไข้ให้หรอกหรือ?  อันที่จริงเมื่อ 20 ปีก่อนผมก็เทศนาในขณะที่มีไข้  ผมกำลังเทศนาในเมืองทางตะวันตกของแคนาดาในช่วงที่อากาศหนาวเย็น แต่ตัวผมก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเพราะมีไข้  ผมมัวแต่จดจ่ออยู่กับการเทศนาพระคำของพระเจ้าเสียจนลืมที่จะขอให้พระเจ้าทรงขจัดไข้  นั่นหมายความว่าในตอนนั้นผมมีความเชื่อน้อยกว่าในตอนนี้ไหม หรือว่าผมเชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์น้อยกว่าไหม?  โดยพระคุณของพระเจ้าแล้ว ผมไม่คิดเช่นนั้น

 

พระเยซูที่พระเจ้าทรงใช้มาปลดปล่อยเชลยให้เป็นอิสระ

      ผมขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจของผมที่ในตลอดหลายปีที่เดินกับพระองค์นั้น ผมได้มีประสบการณ์กับวิธีการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  จากประสบการณ์ล่าสุดนี้ องค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำในใจของผมให้ยึดคำพยานของผมในวันนี้ตามในลูกาบทที่ 4 บทเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นการรักษาแม่ยายของเปโตร ที่ถูกบันทึกไว้ในตอนท้ายของบท  การขับไข้ออกเป็นหนึ่งในการทำการอัศจรรย์ครั้งแรกสุดของพระเยซู   แต่บทที่ 4 เริ่มต้นด้วยคำพูดอันน่าอัศจรรย์ของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ ซึ่งพระเยซูทรงกล่าวถึงเพื่อประกาศการเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์เอง  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการสรุปพันธกิจทั้งหมดของพระเยซู ดังนั้นพระองค์จึงทรงอ่านดังๆ ต่อที่ประชุมในธรรมศาลานั้น  นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงอ่านให้พวกเขาฟัง

 

พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ  และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ลูกา 4:18,19)

 

      ในประโยคสั้นๆ สองสามประโยคที่ได้อ่านต่อที่ประชุมนี้ มีบางอย่างที่กล่าวซ้ำๆ  การกล่าวซ้ำแบบนี้ในพระคัมภีร์ เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างที่เราจำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะเป็นการกล่าวซ้ำเพื่อเน้นย้ำ (ในกรณีนี้ กล่าวความหมายเดียวกันซ้ำ โดยไม่ใช้คำเดียวกัน)  จงสังเกตคำว่า “พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย” แล้วก็ “ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ”  ทั้งสองคำกล่าวนี้พูดอย่างเดียวกันแม้ว่าการใช้คำจะไม่เหมือนกันก็ตาม  แนวความคิดก็คือ เพื่อปลดปล่อยเชลย เพื่อให้อิสรภาพกับผู้คน  และยังคงเน้นต่อไปโดยปลดปล่อยคนตาบอดจากความบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และยังคงประกาศต่อไปถึง “ปีแห่งความโปรดปรานขององค์ผู้เป็นเจ้า” หรือที่รู้จักกันว่าเป็นปีอิสรภาพ ซึ่งจะมาถึงทุกๆ 50 ปีในอิสราเอล เป็นปีที่ลูกหนี้จะได้รับการยกหนี้ทั้งหมด และทาสจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระ    ดังนั้นคำกล่าวทั้งสี่นี้จึงแสดงให้เห็นถึงความจริงที่สำคัญอย่างเดียวกันคือ ที่พระเจ้าทรงส่งพระเยซูมาเพื่อปลดปล่อยเชลยทุกประเภทให้เป็นอิสระ

 

มีชีวิตในความเป็นทาส

      สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ ความเป็นทาส หรือการเป็นทาสของการเสพติด  เราทุกคนคุ้นกับการติดยาเสพติด แต่ยังมีการเสพติดอย่างอื่นๆ อีกมากมาย  ผมสามารถพูดได้โดยไม่กลัวการโต้แย้งว่า ทุกคนที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยจากพระเจ้าก็อยู่ภายใต้การเสพติดในบางรูปแบบ  คุณอาจไม่ได้ติดโคเคนหรือเหล้าแต่ทุกคนก็อยู่ภายใต้การเสพติดหรือเป็นทาสในบางแบบ  โศกนาฏกรรมใหญ่ก็คือเรามักจะตาบอดกับสถานการณ์ของเราเอง  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในระหว่างสองคำกล่าวที่เกี่ยวกับการเป็นอิสระจากการถูกบีบบังคับนั้น คุณจะเห็นคำกล่าวว่า “ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก”  ในบริบทนี้ มันไม่ได้หมายความว่าพระเยซูทรงห่วงใยเฉพาะแต่การรักษาให้คนตาบอดได้เห็นอีก เหมือนกับว่าเป็นการอัศจรรย์เพียงชนิดเดียวที่พระองค์ทรงสนพระทัย  การอ้างอิงตรงนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของฝ่ายกายเป็นหลัก แต่เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ  ปัญหาก็คือว่า เราอยู่ภายใต้การเป็นทาสโดยไม่รู้ตัว

      สิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับความเป็นทาสของการเสพติด นั่นก็คือการที่กุมใจปรารถนาเอาไว้  คุณจะเริ่มต้นด้วยของมึนเมาหรืออะไรก็ตามที่คุณเสพเพียงเล็กน้อย แล้วคุณก็จะค่อยๆติดมันทีละน้อยๆ  บางคนสามารถดื่มไวน์หรือเหล้าได้โดยไม่มีปัญหา ชาวฝรั่งเศสมักจะดื่มพร้อมกับมื้ออาหารของพวกเขา และหลายคนก็ดื่มทุกวันได้โดยไม่ติดเหล้า  แต่ก็มีคนอื่นๆ อีกที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้  หรือพูดได้ว่าบางสิ่งบางอย่างอาจทำให้บางคนติด แต่อาจไม่ทำให้คนอื่นๆ ติด  ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการใช้ปัจจัยนั้น  หากผู้คนใช้เหล้าเพื่อกลบความทุกข์และปัญหาของพวกเขา ในไม่ช้าพวกเขาก็จะเริ่มพึ่งมันจนกลายมาเป็นการเสพติด

 

การคิดถึงแต่ตัวเองก็คือการเป็นทาส

      ยังมีการเป็นทาสในแบบอื่นๆ  ผมสามารถพูดได้โดยไม่กลัวการโต้แย้งว่า มนุษย์ทุกคนเป็นทาสของตัวเขาเองหรือตัวเธอเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นทาสของการสนใจแต่ตัวเอง  พูดอีกอย่างก็คือ ความเห็นแก่ตัว  ทุกคนเป็นคนเห็นแก่ตัวจนกว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรบางอย่างกับเขาหรือเธอ  กว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ทุกคนต่างก็เสพติดความเห็นแก่ตัว  อัตตาหรือตนเองจะเป็นศูนย์กลางเสมอ  สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นเห็นได้ไม่ยาก  เมื่อทุกคนสนใจแต่ตัวเขาหรือตัวเธอเอง ก็ไม่มีใครสนใจคนอื่นๆ เว้นแต่ว่าจะมีผลประโยชน์มาคาบเกี่ยว  หลักการที่คิดถึงแต่ตัวเองก็คือว่า ฉันจะสนใจใครบางคนก็เมื่อความสนใจของเขาหรือของเธอพอดีว่ามีผลกับฉัน หรือว่ามาประจวบเหมาะกับความสนใจของฉัน  นั่นแหละฉันก็จะสนใจคนอื่นอย่างแน่นอน เพราะว่าสวัสดิภาพของเขาหรือของเธอนั้นเกี่ยวพันกับของฉัน  นั่นคือรากเหง้าปัญหาของสังคมมนุษย์  พระเยซูเสด็จมาเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ซึ่งให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง  แต่สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ในสังคมที่สนใจแต่ตัวเองจนกว่าเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับการเปลี่ยนใหม่  นั่นคือเหตุที่พระกิตติคุณจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับการเปลี่ยนใหม่  มันจะไม่สามารถทำได้สำเร็จจนกว่าเราจะได้รับการปลดปล่อย โดยเป็นอิสระจากความเห็นแก่ตัวและการคิดถึงแต่ตัวเองของเรา

      พระกิตติคุณเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิสรภาพ คืออิสรภาพทางวิญญาณที่แท้จริง  อิสรภาพจากภายนอกไม่ได้แปลว่าจะเป็นอิสรภาพภายในที่แท้จริง  ผู้ที่อยู่ภายใต้การเป็นทาสบาปนั้นเป็นทาสภายใน คือเป็นทาสในจิตใจและในความคิด โดยไม่คำนึงว่าสภาพการณ์ภายนอกของเขาจะเป็นอย่างไร  ในพระคัมภีร์และในประสบการณ์นั้น บาปจะเทียบเท่ากับการเป็นทาส  สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การเป็นทาสบาปนั้น ข่าวดีก็คือว่า พระเยซูได้เสด็จมาปลดปล่อยเชลย มาปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ

 

คุณเป็นอิสระไหม?

      มีคริสเตียนที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงสักกี่คนที่คุณรู้จัก?  ถ้าหากคุณเป็นสมาชิกของคริสตจักร  คุณก็จะรู้ว่ามีคริสเตียนในคริสตจักรของคุณกี่คนที่ได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง  ให้เราพูดตามจริง  มีกี่คนที่คุณจะบอกว่าเขาเป็นอิสระ?  ปัญหาสำคัญก็คือเราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร  ดังนั้นเราจึงไม่รู้ว่าเรากำลังเสพติดอยู่  นั่นเป็นผลมาจากการตาบอดในฝ่ายวิญญาณ

      นี่คือสถานการณ์ที่น่าเวทนา  คุณคิดว่าปลาในตู้กระจกรู้หรือสนใจไหมว่ามันมีอิสรภาพหรือเปล่า?  ว่ากันตามจริงแล้ว ก็ยังมีปลาตัวอื่นๆ ว่ายน้ำอยู่รอบๆ เป็นปลาที่มีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวาซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในความกลัว  อันที่จริงพวกมันดูค่อนข้างจะมีความสุขสบายดี  มีสิ่งประดับประดาในตู้กระจกที่เหมือนปะการัง แต่ก็ไม่ใช่ปะการัง  แม้ว่าจะมีต้นพืชจริงที่สร้างความสวยงามให้กับตู้ปลา  ปลาพวกนี้ได้รับอาหารที่มีประโยชน์และพวกมันก็ปรับชีวิตได้ดีในสภาพแวดล้อมของตู้กระจก

      หากคุณส่งปลาที่สีสันสดใสเหล่านี้กลับสู่มหาสมุทร ให้มันอาศัยอยู่ในแนวปะการังจริงๆ ตามธรรมชาติของพวกมัน พวกมันจะสามารถบอกความแตกต่างได้ไหม?  ประเด็นก็คือว่าเมื่อคนเริ่มคุ้นเคยและรู้สึกสบายกับสภาพชีวิตที่ถูกกักขัง  พวกเขาจะไม่รู้หรือสนใจว่าพวกเขาถูกจองจำอยู่  คุณรู้หรือไม่ว่าอิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร?  เรารู้สึกสะดวกสบายอย่างมากในสภาพแวดล้อมที่ถูกกัก โดยที่เราไม่เห็นว่าเป็นการถูกบีบหรือถูกจำกัด?  กำแพงฝ่ายวิญญาณที่กักขังเราได้กลายมาเป็นบ้านที่เราคุ้นกับการอยู่อาศัย  เรารู้สึกว่ามันยากที่จะจินตนาการถึงชีวิตภายนอกกำแพงเหล่านี้ และอาจไม่สนใจที่จะรู้  มีสิ่งที่เราสาละวนมากพออยู่ภายในโลกของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเรา  แต่อะไรคือผลที่ตามมาของความคิดแบบนี้?

 

อิสรภาพในการเติบโต

      ครั้งหนึ่งภรรยาของผมและผมกำลังดูตู้ปลาอยู่  คุณจะต้องไปร้านขายสัตว์เลี้ยงที่มีตู้ปลาด้วย  และบางครั้งเราจะเดินเข้าไปดูปลาสีสันสดใส  ผมเคยเห็นปลาเล็กๆตัวหนึ่ง ที่ผมคิดว่าดูเหมือนฉลาม  ปลาฉลามหรือ?  ในตู้ปลาขนาดเล็กเนี่ยนะ?  ผมเคยเห็นปลาฉลามหลายตัวในน่านน้ำเปิด และการเผชิญหน้ากับพวกมันก็สร้างความตึงเครียดได้เมื่อพวกมันมีขนาดใหญ่  ผมเคยเจอฉลาม (ครีบขาว) ในขณะกำลังดำน้ำอยู่นอกชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย  มีตัวหนึ่งหรือสองตัวดูจะสนใจในตัวผมมาก  เมื่อพวกมันมีความยาวถึง 4 หรือ 5 ฟุต พวกมันสามารถจะกัดคุณได้เต็มที่ (แม้พวกฉลามครีบขาวจะไม่ได้มีชื่อเสียงว่าจะทำร้ายผู้คน)

      แต่ผมเคยเห็นลูกปลาฉลามใกล้ชายหาดด้วย  และเมื่อผมดูปลาในตู้ปลา ผมก็พูดกับภรรยาของผมว่า “นั่นดูเหมือนฉลาม”  ร้านค้ายืนยันว่ามันเป็นฉลาม  แต่มันตัวใหญ่แค่ไหนหรือ?   มันคงไม่ใช่ฉลามขนาดห้าฟุตที่จะใส่มันในตู้ปลาของร้านขายสัตว์เลี้ยงได้  ฉลามตัวจิ๋วพวกนี้มีความยาวไม่เกิน 6 นิ้ว บางตัวก็เล็กกว่าอีก  ฉลามขนาดหกนิ้วอยู่ในตู้ปลา!  ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน  ผมสงสัยว่าทำไมฉลามในตู้ปลาจึงไม่กินปลาตัวอื่น  อย่างหนึ่งนั่นก็เพราะ มันเล็กเกินไปที่จะกินปลาตัวอื่น  ตัวขนาด 5 หรือ 6 นิ้วนี้ควรจะดีใจที่มันไม่ได้ถูกปลาที่ใหญ่กว่ามากินมัน!

      แต่คุณจะทำให้ปลาฉลามอยู่ในตู้ปลาตลอดชีวิตได้อย่างไร?  มันจะไม่ตัวโตกว่าตู้ไปหรือ?  ผมแปลกใจเมื่อต่อมาผมอ่านพบว่า ถ้าคุณนำปลาฉลามออกจากมหาสมุทร แล้วเอาไปไว้ในตู้ปลาขณะเมื่อมันยังเล็กอยู่ มันจะไม่โตอีกเลย  มันจะโต แต่จะไม่ใหญ่เกินกว่า 6 นิ้ว  นั่นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับผม  แต่ถ้าคุณปล่อยปลาฉลามตัวเดียวกันลงสู่มหาสมุทรในขณะที่มันยังเล็กอยู่ มันก็อาจเติบโตได้ถึง 8 ฟุต  พูดอีกอย่างก็คือ ในสภาพที่ดีแต่ถูกกักขังจากตู้ปลา ที่ปลาจะอยู่อย่างปลอดภัย ชีวิตสุขสบาย และได้รับอาหารอย่างดีนั้น ปลาฉลามตัวนี้จะถูกปกป้องไม่ให้เติบโต  มันจะปรับขนาดตัวให้เข้ากับตู้ปลาและยังคงขนาดให้เล็กเหมือนปลาตัวอื่นๆ ที่ว่ายอยู่รอบ ๆ  แต่ถ้ามันถูกปล่อยลงสู่ทะเลเปิด มันอาจจะกลายเป็นฉลามขนาด 8 ฟุตได้  ผมประหลาดใจเมื่อผมเรียนรู้สิ่งนี้  “ชีวิตคือการเรียนรู้” ตามที่พูดกัน  ในฐานะที่เป็นนักดำน้ำที่ได้รับการรับรอง ผมจึงคิดว่าผมมีความรู้เกี่ยวกับมหาสมุทร  แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่ให้ผมได้เรียนรู้

 

อิสรภาพที่จะไปถึงศักยภาพของเรา

      ประเด็นก็คือ มีหลายคริสตจักรที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้องและสะดวกสบาย  ผลโดยตรงจากสิ่งนี้คือพวกเขาไม่เคยเติบโตในฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปัญหาเพราะสภาพแวดล้อมที่อยู่นั้นสะดวกสบาย  แต่ฉลามไม่ได้ถูกกำหนดไว้ให้เติบโตได้แค่ 6 นิ้ว  ปลาฉลามครีบขาวในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาตินั้นสามารถจะเติบโตได้ถึง 8 ฟุต  ส่วนปลาฉลามขาวจะใหญ่กว่ามาก แต่เรากำลังพูดถึงสายพันธุ์นี้โดยเฉพาะ  ดังนั้นคริสเตียนจำนวนมากจึงใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสะดวกสบาย แต่ไม่เคยไปถึงศักยภาพที่พระเจ้าทรงต้องการจากพวกเขา  มีคริสเตียนแบบนี้เป็นจำนวนมาก

      ทะเลเปิดเป็นที่ที่อันตรายแม้แต่กับพวกฉลามโดยเฉพาะลูกฉลาม  มีสัตว์อื่นๆมากมายที่สามารถกินลูกฉลามได้  เมื่อพวกฉลามมีความยาว 8 ฟุตก็จะถูกกินได้ยากกว่า แม้ว่าจะตัวใหญ่ขนาดนั้นพวกมันก็อาจถูกพวกออร์ก้าส์ หรือที่รู้จักกันดีว่าวาฬเพชฌฆาตทำร้ายเอาได้  อย่างไรก็ดี พวกมันจะต้องใช้เวลานานที่จะโตถึง 8 ฟุต และมีหลายตัวที่ถูกกินไปก่อนที่พวกมันจะเติบโตจนถึงความยาวนั้น  ลูกปลาฉลามจะถูกปลาที่ใหญ่กว่ากิน  ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าเสี่ยงภัยเข้าไปในน่านน้ำเปิด

      ผมเห็นลูกฉลามมากมายตามชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของมาเลเซีย พวกมันจะอยู่ใกล้กับชายฝั่งมากๆเพื่อความปลอดภัย  พวกมันจะชอบอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเล และไม่กล้าเสี่ยงภัยเข้าไปในน่านน้ำที่ลึกกว่าซึ่งมีพวกปลาตัวใหญ่อาศัยอยู่  แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังอยู่ในมหาสมุทร ไม่ได้อยู่ในตู้ปลา ดังนั้นพวกมันจะเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยในหมู่ปลาตัวเล็กๆที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง  พวกมันจะออกไปเสี่ยงภัยเมื่อพวกมันมีขนาดใหญ่ขึ้น

      คริสเตียนมากมายยังคงอยู่ในตู้ปลาของพวกเขาอย่างปลอดภัย โดยไม่เคยคิดถึงการออกไปเสี่ยงภัยด้วยความเชื่อในโลกภายนอกที่กว้างไกล  พวกเขายังคงเป็นเชลยกับความกลัวของตัวเอง   พวกเขาต้องการชีวิตที่ปลอดภัยและสะดวกสบายภายในแวดวงสังคมของเพื่อนๆคริสเตียน  คุณสามารถจะมีชีวิตที่สะดวกสบายนั้น (แม้ว่าชีวิตในตู้ปลาจะไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหาภายใน แต่มันจะแตกต่างจากที่อยู่ในทะเลเปิด) แต่มันหมายความว่าคุณกำลังจะใช้ชีวิตของคุณทั้งชีวิต เป็นคริสเตียนแบบฉลามที่โตได้แค่หกนิ้ว

      พระเยซูทรงต้องการให้เราเป็นอะไรหรือ?  ทำไมผู้รับใช้พระเจ้าบางคนจึงแตกต่างอย่างมาก ในขณะที่คริสเตียนจำนวนมากยังย่ำอยู่กับที่?  เคล็ดลับอยู่ที่คำว่า “ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย”  คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นเชลยอยู่?  เป็นเชลยอะไรหรือ?  ให้คุณค้นหาสิ่งที่ทำให้คุณตกเป็นทาสอยู่ แล้วร้องทูลพระเจ้าที่จะทำให้คุณเป็นอย่างที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยให้คุณเป็น  ผมหวังว่าหากไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ประสบผลสำเร็จผ่านถ้อยคำพยานนี้ อย่างน้อยจะมีพวกคุณบางคนพูดว่า “โอเค ผมมีชีวิตที่ดีอยู่ในตู้ปลามาพอแล้ว ขอโปรดให้ข้าพระองค์เป็นอิสระเพื่อจะไปถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพระองค์เป็น”  นี่เป็นจุดประสงค์และความปรารถนาของผมเสมอมา  ผมไม่ต้องการให้มีสิ่งใดที่อยู่ในตัวผมเองหรือสิ่งใดรอบตัวผม มาผูกมัดผมไว้ให้ตกเป็นทาสในรูปแบบใดๆ ของความเป็นทาส  ซึ่งรวมถึงความเป็นทาสของศาสนา

      เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ศาสนาก็สามารถจะตกเป็นทาสอย่างหัวปักหัวปำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของคำสอนตกทอดที่เข้มงวดของมนุษย์ หรือการยึดถือกฎอย่างมีอคติซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง แล้วยังขัดขวางสิ่งฝ่ายวิญญาณอีกด้วย  เราต้องเข้าใจว่า การเป็นคนเคร่งศาสนานั้นไม่เหมือนกับการเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  คนที่เคร่งศาสนานั้นพอใจที่จะอยู่ในชุมชนตู้ปลาของเขา แม้ว่าเขาจะย้ายไปตู้ปลาอื่นที่คล้ายกันเป็นบางครั้งบางคราวด้วยเหตุผลใดก็ตาม  แต่ชีวิตของคนฝ่ายวิญญาณนั้นจะมีพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครอง และเขาจะไปในทุกที่ที่พระเจ้าทรงต้องการให้เขาไป แม้กระทั่งว่าออกไปในทะเล  ขอพระเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เพื่อจะติดตามพระองค์ไปทุกที่ที่พระองค์ทรงนำเราไป

      ตอนนี้เราก็สามารถจะเข้าใจอีกแง่มุมหนึ่งของพระบัญชาของพระเยซูที่ให้ “ออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” (มาระโก 16:15;  ข้อ 17 บอกว่า “ผู้ที่เชื่อ” เขาจะทำงานของพระองค์ ให้ดูคำสั่งที่เหมือนกันในมัทธิว 28:19)  เรามักจะคิดว่านี่เป็นคำสั่งให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการเติบโตในฝ่ายวิญญาณของเรา  เรามักจะคิดว่าคำสั่งให้ “ออกไป” นั้นมีไว้สำหรับคริสเตียนคนอื่นๆ  แต่ไม่ใช่สำหรับเรา  นี่คือความคิดที่เกี่ยวกับตู้ปลา  เราล้มเหลวที่จะเข้าใจคำอุปมาที่เราอาจเรียกมันว่าอุปมาตู้ปลากับทะเล  อย่างไรก็ตาม การออกไป “ทั่วโลก” ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า เราจะออกไปในมหาสมุทรที่ลึกสุดขอบโลกอย่างนั้น  เริ่มแรกพระเจ้าอาจต้องการให้เราอยู่ใกล้ๆชายฝั่ง อาจเป็นในเมืองหรือถิ่นของเราเอง  เมื่อเราได้เติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ เราจะพร้อมที่จะออกไปไกลขึ้น

      บางครั้งผมก็สงสัยว่าพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรกับเรา  พระองค์ทรง “มาปล่อยบรรดาเชลยให้เป็นอิสระ”  แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรดูประชากรของพระองค์ในทุกวันนี้ แล้วเห็นว่าพวกเขาส่วนใหญ่เป็นเชลยเหมือนกับคนทั้งหลายที่อยู่ในอียิปต์ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไรหรือ?  ชาวอิสราเอลมีชีวิตที่สะดวกสบายอยู่ในอียิปต์  ไม่นานหลังจากออกมาจากอียิปต์พวกเขาก็เริ่มบ่นและขอกลับไปอียิปต์  สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือว่า พวกเขามีความสุขกับการใช้ชีวิตในการเป็นทาส เพราะการเป็นทาสอาจทำให้รู้สึกว่ามั่นคงปลอดภัยและสะดวกสบาย  สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นปลอดภัยกว่ามากกับการออกไปในทะเลทรายร้อนระอุและมีอันตราย กับอนาคตที่ไม่แน่นอนในดินแดนที่ห่างไกล พวกเขาไม่อยากจะออกจากอียิปต์ ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องนำพวกเขาออกไป  พวกเขามีชีวิตอยู่ภายใต้การเป็นทาสและก็เป็นชีวิตที่ยากลำบากในอียิปต์ แต่มันค่อนข้างจะปลอดภัยและมีความสะดวกสบายและความสุขใจขั้นพื้นฐาน อย่างเช่น มีต้นกระเทียมและหัวกระเทียมที่พวกเขาโปรดปราน

      ความคิดของชาวอิสราเอลนั้นเข้าใจได้ไม่ยาก  ลองพิจารณาสิ่งนี้ดูสิ  ในที่ทำงานคุณก็ทำงานหนักไม่ใช่หรือ?  มันเป็นชีวิตที่ยากลำบาก  คุณทำงานวันละหลายๆชั่วโมง เหงื่อไหลไคลย้อย  เจ้านายของคุณดุด่าคุณและคุณก็ไม่กล้าโต้กลับ  คุณโต้กลับในคริสตจักรแต่ไม่โต้กลับในที่ทำงาน  เมื่อคุณโต้กลับในคริสตจักร คุณจะยังมีกินต่อไป  แต่ถ้าคุณโต้กลับในที่ทำงานคุณก็จะตกงาน  ดังนั้นคุณจึงปฏิบัติตัวดีในที่ทำงาน  คุณยอมรับความเป็นทาสที่อยู่ภายใต้เจ้านายของคุณ แม้ว่าเขาจะฉุนเฉียวและให้คุณโหมงานหนักจนป่วย  คุณยอมรับสถานการณ์นั้นและอาจพอใจกับชีวิตที่เป็นทาส  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเรามาถึงจุดที่รู้สึกสุขสบายกับการเป็นทาสได้อย่างไร  แต่ความเป็นทาสแบบนี้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นลักษณะภายนอกนั้น (แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับแบบฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง) ไม่ใช่สิ่งที่เรากังวลที่สุดในที่นี้  ผมแค่ใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราสามารถจะเคยชินกับการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร ซึ่งเป็นสาเหตุที่น่าเป็นห่วงกว่ามาก

      หากคุณรู้สึกสุขสบายในการเป็นทาสจนถึงขั้นว่า คุณไม่ได้ตระหนักถึงมันอีกต่อไป นั่นก็ถึงเวลาที่จะให้พระเจ้าทรงเปิดตาของคุณให้เห็นสภาพฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงของคุณ

 

พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นอิสระ

      พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสทุกประเภท  วัตถุประสงค์ทางฝ่ายวิญญาณของการรักษาทางกายนั้นได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เพื่อจะบอกเราว่า พระเจ้าทรงสามารถปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากการถูกบีบบังคับทุกประเภทประเภททั้งทางกายหรือทางวิญญาณได้  จุดประสงค์หลักของการรักษาในพระคัมภีร์นั้นเป็นการรักษาทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางกาย  แต่การแพร่กระจายของโรคทางกาย ช่วยให้เราเข้าใจถึงความร้ายแรงของปัญหา  ความเจ็บป่วยทางกายเป็นที่มาสำคัญอย่างหนึ่งของความทุกข์ทรมานและการถูกบีบบังคับที่มนุษย์ตกอยู่ภายใต้  ในประเทศแคนาดามีระบบประกันสังคม ราคาที่ต้องจ่ายให้กับระบบนี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ คือสองสามแสนล้านเหรียญแคนาดาต่อปี  ความเจ็บป่วยคือการถูกบีบบังคับที่มีราคาแพงและน่ากลัว  ความทุกข์ทรมานของผู้คนได้ผลักดันให้พวกเขาแสวงหาความบรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ การบาดเจ็บ ความเจ็บปวด และความพิการ  ทุกครั้งที่มีคนไปพบแพทย์ในประเทศแคนาดา รัฐบาลจะต้องจ่ายโดยเฉลี่ย 60 เหรียญ  นี่แค่เพียงเข้าพบแพทย์ ซึ่งไม่รวมค่ายาและค่าบริการอื่นๆ  ความเจ็บป่วยคือความเป็นทาสที่เลวร้ายมาก ดังนั้นเมื่อพระเยซูทรงรักษาคนป่วย จึงมีถ้อยคำที่ประกาศไว้ว่า พระเจ้าได้ทรงส่งพระเยซูมาปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสทุกอย่าง ด้วยฤทธานุภาพที่ช่วยให้รอดของพระเจ้า

 

หายใจไม่ออกในลิเวอร์พูล

      หนึ่งในหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนผมในประเทศอังกฤษ หลังจากที่ผมได้ย้ายจากลอนดอนมาที่ลิเวอร์พูลก็คือ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยและสุขภาพ  องค์ผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทรงพาผมไปที่ลิเวอร์พูล   ผมไม่ได้เป็นคนที่ต้องการจะไปที่นั่น  มีคนเพียงแค่หยิบมือในลิเวอร์พูลที่ขอร้องให้ผมไปช่วยพวกเขา   หลังจากลังเลอย่างมาก ผมก็ไปที่นั่นตามที่พระเจ้าทรงนำผม  แต่ทันทีที่ผมมาถึงลิเวอร์พูล ผมก็รู้สึกไม่สบาย  ผมยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวเมืองลิเวอร์พูลเลย ผมก็ป่วยเสียแล้ว  ผมควรจะพูดถึงว่า ผมเป็นคนที่แข็งแรงมากและแทบจะไม่รู้จักคำว่า “เจ็บป่วย”  ตั้งแต่อายุประมาณห้าขวบเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยป่วยเลย และผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยปวดหัว  วิชาแพทย์เป็นวิชาหนึ่งที่ผมไม่เคยสนใจที่จะเรียนเลย  ผมแข็งแรงอย่างมากจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  ผมจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องเช่นนี้

      แต่ผมแปลกใจมากที่ทันทีที่ก้าวเข้ามาในลิเวอร์พูล ผมก็ป่วยด้วยปัญหาที่รุนแรงเกี่ยวกับการหายใจ  แต่ทันทีที่ผมออกจากลิเวอร์พูล ปัญหานี้ก็หายไป  เวลานั้นภรรยาของผมทำงานในโรงพยาบาลในลอนดอน ดังนั้นผมจึงสามารถเข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านหลอดลมที่นั่นได้  เขาตรวจผมและพูดว่า “ไม่มีอะไรผิดปกตินี่”  ผมจึงถามว่า “แล้วทำไมผมต้องมีปัญหานี้ทุกครั้งเมื่อผมไปลิเวอร์พูล  เขาก็ตอบว่า “มลพิษ” เพราะมีปัญหาร้ายแรงของมลพิษจากอุตสาหกรรมในลิเวอร์พูลและผมก็แพ้มัน  และก็จริงทีเดียว เมื่อผมกลับไปที่ลิเวอร์พูล ผมก็จะป่วยทันที

      มีคืนวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นหลังจากที่นอนหลับไปเพียงหนึ่งหรือสองชั่วโมงเพราะหายใจลำบากมาก  ผมกำลังต่อสู้ที่จะสูดลมหายใจเข้าไปแต่ละครั้งและสงสัยว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกับผมหรือ?  ทำไมผมถึงหายใจไม่ออก?”  ผมไม่อยากปลุกภรรยาของผมเพราะรู้ว่าเธออดนอน  ดังนั้นผมจึงพยายามดิ้นรนต่อสู้ในทุกชั่วโมงที่จะหายใจให้ได้  ผมไม่เคยรู้เลยว่า ลมหายใจเฮือกหนึ่งจะมีค่าอย่างมากเช่นนี้

 Color

 

      เมื่อคุณสบายดี คุณก็สามารถจะผ่อนคลายและหายใจโล่งโดยไม่ต้องคิดอะไร  แต่เมื่อคุณไม่สามารถจะหายใจในเฮือกหนึ่งนั้นได้ละก็ ผมขอบอกคุณว่า ความรู้สึกที่สิ้นหวังนั้นมันแย่มาก  เมื่อภรรยาของผมตื่นขึ้นในตอนเช้าและเห็นผมยังนอนอยู่บนเตียง หน้าผมซีด  เธอตกใจมาก เธอมองดูผมแต่ผมพูดไม่ได้แล้ว  เธอจึงรีบไปตามหมอ  เมื่อหมอมาถึง เขาก็รู้ปัญหาทันทีว่าผมเป็นอะไร เนื่องจากเขาอยู่ในลิเวอร์พูลมาหลายปีเขาจึงรู้ว่าผมโดนโรคหอบหืดอย่างรุนแรงเล่นงาน

      ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมโดนอะไร  ผมไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคหอบหืดมาก่อน  หมอสั่งให้ผมกินยาและอาการทั้งหมดก็หายไปในเวลาอันสั้น  เขาบอกผมว่าหากผมไม่อยากจะเป็นโรคหอบหืดเรื้อรัง ผมจะต้องออกจากลิเวอร์พูลโดยเร็วที่สุด  แต่ผมได้สัญญากับคริสตจักรไว้แล้วว่าผมจะมาที่นี่  แล้วผมจะทิ้งพวกเขาไปได้อย่างไร?  ผมต้องอยู่ต่อ ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของผม

      ต่อมา หลังจากที่ผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลได้ห้าปี คริสตจักรก็เพิ่มพูนขึ้น และผมได้ฝึกฝนคนที่จะรับช่วงต่อจากผม  แต่เมื่อถึงเวลานั้นผมก็เป็นโรคหอบหืดเรื้อรัง ซึ่งผมไม่สามารถจะกำจัดมันได้  ผมรู้สึกว่านี่คือราคาที่ผมต้องจ่ายในการรับใช้องค์ผู้เป็นเจ้า เป็นการลิ้มรสการร่วมสามัคคีธรรมในความทุกข์ยากขององค์ผู้เป็นเจ้า

      ที่จริงผมควรจะรักษาสุขภาพของผมไว้  ความจริงแล้ว คุณแม่ของผมอ้อนวอนผมด้วยน้ำตาคลอเมื่อเธอเห็นผมทุกข์ทรมานกับโรคหอบหืดนี้  เธอพูดว่า “ออกไปจากลิเวอร์พูลเสียเถอะ”  ผมพูดว่า “ผมทิ้งพี่น้องที่นี่ไปไม่ได้?  แล้วใครจะเป็นคนดูแลพวกเขาเล่า?”  อันที่จริงพระเจ้าได้ทรงบอกกับผมอย่างชัดเจนว่า พระองค์ได้ทรงส่งผมมารับใช้พระองค์ที่นั่นเป็นเวลาห้าปี  หลังจากห้าปีนี้สิ้นสุดลง พระองค์ก็ทรงส่งผมไปประเทศแคนาดา  ถึงเวลานั้นโรคหอบหืดก็กลายเป็นโรคเรื้อรังและถาวร  ผมได้รับสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนเล็กน้อยกับการร่วมสามัคคีธรรมในความทุกข์ยากของพระคริสต์

 

Grayscale

อีริค ชาง กำลังสอนในการประชุมที่ปีเตอร์โบโร่ แคนาดา 1975

 

      เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้อ่านเกี่ยวกับการถูกตรึงตายบนกางเขน และเรียนรู้แง่มุมของการถูกตรึงตายบนกางเขนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน  คือเมื่อคนๆหนึ่งถูกตรึงบนกางเขนนั้น นอกจากความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสจากการที่ตะปูตอกทะลุเข้าไปในมือและเท้าแล้ว ทั้งร่างกายนั้นเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่า ไม่ใช่แค่มือและเท้าเท่านั้น  นี่คือคำอธิบายของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้เขียนเรื่องการถูกตรึงตายบนกางเขนอย่างละเอียด  เขาบอกว่าในขณะที่คนๆนั้นถูกห้อยอยู่บนกางเขนอย่างเจ็บปวดทรมานนั้น มันจะทำให้เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรงต่อร่างกาย ซึ่งสามารถทำให้เกิดการสะสมของของเหลวในบริเวณปอดสองข้างรอบๆหัวใจ  นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมทั้งเลือดและน้ำจึงไหลออกมา เมื่อพระเยซูทรงถูกแทงด้วยทวนที่สีข้างของพระองค์  (ยอห์น 19:34) ของเหลวจะมารวมกันที่หน้าอกจนทำให้หายใจได้ยาก เพราะของเหลวกำลังกดทับปอด

      นั่นคือแง่มุมหนึ่งของการถูกตรึงบนกางเขนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และเมื่อผมกำลังอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเห็นว่าคุณก็จะรู้สึกแบบนั้นเลยเมื่อโรคหอบหืดเล่นงานคุณ  คุณไม่สามารถจะหายใจได้  คุณจะพยายามอ้าปากเพื่อหายใจ  แล้วผมก็ตระหนักว่า การที่พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสเจ็ดอย่างจากกางเขนนั้นจึงน่าแปลกประหลาดใจ เพราะเมื่อคุณหายใจเหนื่อยหอบ คุณก็แทบจะพูดไม่ได้  ผมจึงตระหนักว่าความทุกข์ทรมานของโรคหอบหืดที่ไม่สามารถหายใจได้นั้น เป็นความเจ็บปวดทรมานที่พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเผชิญบนกางเขน  พระองค์ทรงแบกความทุกข์ทรมานของเรา  พระองค์ทรงรู้ว่าความทุกข์ทรมานเหล่านั้นเป็นอย่างไร และพระองค์ก็ทรงแบกรับเพื่อจะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ

 

ความเห็นอกเห็นใจของผู้ไถ่ของเรา: การรักษาในสี่กรณี

      ในลิเวอร์พูลนี่เองที่ผมเริ่มมีปัญหาสุขภาพและความเจ็บป่วยนี้  ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในตัวผมเองแต่อย่างน้อยในสี่กรณีที่มีการรักษา ที่ผมอยากจะแบ่งปันกับคุณเพื่อเป็นตัวอย่างของพระทัยเมตตาสงสารขององค์ผู้เป็นเจ้า  ทำไมพระเจ้าจึงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ?  มันเป็นความเมตตาสงสารของพระองค์  ความเมตตาสงสารคืออะไรหรือ?  หากคุณได้มีประสบการณ์กับมันคุณก็จะรู้ว่ามันคืออะไร  คุณจะรู้สึกได้ถึงความทุกข์ทรมานของใครสักคน ความเจ็บปวดของใครสักคน ความเจ็บปวดทรมานของใครสักคน  แล้วทำไมเราที่เป็นคนเห็นแก่ตัวจะมาใส่ใจกับความทุกข์ทรมานของคนอื่นด้วย หากมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเรา?  ความเมตตาสงสารเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ให้ไว้ในใจของเรา (โรม 5:5) มันไม่ได้เป็นธรรมชาติในใจของมนุษย์

      เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากคนในคริสตจักรของเรา เขาพูดกับผมว่า “อาจารย์จะกรุณารีบไปโรงพยาบาลได้ไหม เพราะคุณแม่ของผมอยู่ที่นั่นมีภาวะเลือดออกในสมอง” (เลือดออกในสมอง หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่าโรคหลอดเลือดสมอง)  เขาอ้อนวอนผมว่า “คุณจะกรุณาไปพบคุณแม่ของผมที่โรงพยาบาลได้ไหม?”  ผมพูดว่า “ได้สิ ผมจะไป”

      ผมมาถึงโรงพยาบาลและมีหญิงวัยกลางคนชื่อนางตง หลิว นอนอยู่ เธอเป็นอัมพาตจากคอลงมาด้วยโรคหลอดเลือดสมอง  ผมมองเธอแล้วถามว่า “คุณอยากจะให้ผมอธิษฐานเผื่อคุณไหม?”  เธอกระพริบตาและพยักหน้าเล็กน้อย  เธอนอนอยู่บนเตียงเปล (ในอเมริกาเหนือเรียกว่าเตียงเข็น) เป็นเปลที่มีล้อ เพื่อรอที่จะนอนเตียงในโรงพยาบาล  แต่พวกเขาได้ตรวจเช็คเธอบางอย่างแล้ว

      ขั้นตอนปกติก็คือการดูดของเหลวจากกระดูกสันหลังซึ่งเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวด (ในเวลานั้นไม่มีเข็มที่บางเฉียบเหมือนที่ใช้ในปัจจุบัน)  เข็มจะแทงเข้าไประหว่างกระดูกสันหลังและเข้าไปในไขสันหลังเพื่อดูดของเหลวออกมา  การมีเลือดในของเหลวชี้ชัดว่ามีภาวะเลือดออกในสมองหรือโรคหลอดเลือดสมอง

      พวกเขายืนยันว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง  การตรวจต่างๆ ได้ทำเสร็จแล้วและเธอก็นอนอยู่บนเตียงเปลนี้  นั่นคือตอนที่ผมได้อธิษฐานเผื่อเธอ  หลังจากอธิษฐาน เธอก็เป็นปกติทันที

 

 1t4

 

รูปถ่ายของนางตง หลิว (刘冬) ถ่ายในลิเวอร์พูลเมื่อหลายสิบปีก่อน ในช่วงที่เธอหายจาก

โรคหลอดเลือดสมอง  เมื่อเร็วๆ นี้ในเดือนมีนาคม 2017 มีผู้ทำงานของคริสตจักรสี่คน

รวมถึงศิษยาภิบาลได้ไปเยี่ยมเธอที่บ้าน  คุณป้าหลิวซึ่งตอนนี้อยู่ในวัยแปดสิบปีแล้ว

ได้เอาภาพนี้มาให้พวกเขาดู และยืนยันกับพวกเขาว่า การรักษาโรค

ที่อาจารย์อีริค ชาง เล่ามานั้น ได้เกิดขึ้นจริงๆ

 

      ลองนึกภาพว่า การเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองจนกระทั่งคุณขยับตัวไม่ได้  การเป็นทาสทางกายจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีกไหม?  ถ้ามีใครมาผูกมือคุณไพล่หลัง คุณก็ยังสามารถจะขยับตัวได้ อย่างน้อยส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็สามารถขยับตัวได้  ถ้ามีใครมาผูกเท้าของคุณ คุณก็ยังสามารถขยับร่างกายส่วนอื่นๆ ของคุณได้  แต่การเป็นอัมพาตก็คือการหมดอิสรภาพที่จะขยับเขยื้อนทุกอย่าง  เมื่อผมได้อธิษฐานกับพระเจ้าเผื่อเธอในพระนามของพระเยซู เธอก็เป็นปกติทันที พูดอีกอย่างก็คือ เธอหายเป็นปกติ

      แต่หมอเชื่อไหม? “มันเป็นไปไม่ได้!  เราเพิ่งตรวจและได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง  ที่จริงเธอเป็นอัมพาต”  แต่เธอก็ต้องการที่จะนั่ง  คุณนึกภาพเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลออกไหม?  หมอพูดกับเธอว่า “อย่าขยับ นอนเฉยๆ”  ดังนั้นหญิงผู้น่าสงสารคนนี้ต้องนอนอยู่บนเตียง  หลังจากนั้นเธอก็พูดกับผมว่า “ฉันหิว ฉันอยากกินอาหารสักหน่อย”  ผมถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า “ช่วยหาอะไรให้เธอกินได้ไหม?” “ไม่ได้นะ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้กิน”  ผมจึงกลับไปบอกเธอว่า “ขอโทษด้วย ให้อาหารไม่ได้ หมอไม่อนุญาต”  แล้วเธอจะต้องนอนอยู่บนเตียงนานแค่ไหนหรือ?  ก็ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ไปจนถึงวันพุธ!  เธอเจ็บหลังมากจากการนอนอยู่แบบนั้น  เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับตัวถึงแม้ว่าเธอจะขยับตัวได้

      ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นในวันพุธหรือ?  เพราะที่โรงพยาบาลนี้มีการสอนด้วย  ในวันพุธจะมีอาจารย์หมอมากับนักศึกษาที่คอยเดินตามติดๆ พวกเขาจะไปตรวจผู้ป่วยทีละเตียงๆ โดยมีอาจารย์อธิบายสิ่งต่างๆกับพวกเขา  เมื่ออาจารย์หมอและนักศึกษาแพทย์มาถึงเตียงของเธอ พวกเขามองดูเธอ ตรวจเธอและล้อมวงพูดคุยกันอยู่นาน  พวกเขาเรียกหมอเจ้าของไข้มาและถามว่า “ผู้หญิงคนนี้มาทำอะไรที่นี่? ไม่มีอะไรผิดปกติกับเธอเลย” หมอเจ้าของไข้ตอบว่า “แต่เราทำการตรวจเธอทุกอย่าง เธอเป็นโรคหลอดเลือดสมองในวันอาทิตย์”  พวกเขาจึงดูผลการตรวจซึ่งยืนยันสิ่งที่แพทย์พูด  คุณคงนึกภาพออกว่านี่เป็นความแปลกประหลาดสำหรับพวกเขาจริงๆ  หลังจากที่พวกเขาหารือกันต่อไปนั้น หญิงที่น่าสงสารคนนี้ที่ต้องทนนอนอยู่บนเตียงหลายวัน หมอก็บอกให้เธอกลับบ้านได้ในที่สุด

      เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว (มากกว่าสี่ทศวรรษมาแล้วเมื่อวันที่ตีพิมพ์ในปี 2017) และพี่น้องที่รักในองค์ผู้เป็นเจ้าคนนี้ก็ยังคงอาศัยอยู่ในลิเวอร์พูลจนถึงปัจจุบัน ในขณะนี้เธออยู่ในวัยแปดสิบ  เธอได้มีประสบการณ์กับความเมตตาสงสารของพระเจ้าและฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ  นั่นเป็นหนึ่งในประสบการณ์ครั้งแรกๆของผมในการรักษาให้หาย  มันเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของความเมตตาและความกรุณาของพระเจ้า

      มีอีกกรณีหนึ่งที่หญิงคนหนึ่งในคริสตจักรของเรา ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหาร ได้โทรมาหาผมว่า “คุณแม่ของดิฉันกำลังเจ็บปวดทรมานจากเนื้องอกก้อนใหญ่ในช่องท้องของเธอบริเวณมดลูก และเธอจะต้องผ่าตัดสัปดาห์หน้านี้  ความเจ็บปวดนั้นสุดจะทนได้และยาแก้ปวดก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก”  พวกคุณหลายคนก็รู้ว่ามีความเจ็บปวดบางอย่างที่แม้แต่ยาแก้ปวดที่แรงที่สุดก็ยังไม่สามารถจะยับยั้งได้  คุณแม่ของเธออยู่ในความเจ็บปวดอย่างทรมาน เธอจึงถามว่า “อาจารย์จะช่วยมาอธิษฐานเผื่อคุณแม่ของดิฉันได้ไหม?”  ผมจึงไปกับเพื่อนร่วมงานของผมและเราเห็นว่าเธอกำลังทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง  ในเวลานั้นเธอไม่ได้เป็นผู้เชื่อ  ดังนั้นเราจึงอธิบายกับเธอว่า เราจะอธิษฐานเผื่อเธอ แต่เธอจะต้องวางใจในพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักษา ไม่ใช่เรา  เราได้อธิษฐานเผื่อเธอ

      สองสามวันต่อมา เธอก็ได้มาร่วมนมัสการวันอาทิตย์ที่คริสตจักรของเราอย่างเต็มไปด้วยความสุข  เธอยังคงถูกกำหนดให้กลับไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด เพราะได้มีการจัดการผ่าตัดให้เธอในสองวันต่อมา  ปรากฏว่าหลังจากที่เราได้อธิษฐานเผื่อเธอ เธอก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป  เมื่อเธอกลับไปที่โรงพยาบาล เธอได้ไปเอกซเรย์และตรวจอย่างละเอียด  แต่เนื้องอกก้อนใหญ่ที่เคยพบในมดลูกของเธอนั้นก็ได้อันตรธานหายไป ไม่เห็นอีกเลย  พวกเขาดูเอกซเรย์อันก่อนและเปรียบเทียบกับเอกซเรย์อันใหม่ของเธอ และเห็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้น  วิธีขององค์ผู้เป็นเจ้าช่างน่าอัศจรรย์เพียงใด พระเมตตาของพระองค์นั้นช่างยิ่งใหญ่เพียงใด

      กรณีที่สามเกี่ยวข้องกับพยาบาลคนหนึ่งในคริสตจักรของเรา  เรามีการศึกษาพระคัมภีร์สำหรับพยาบาลในโรงพยาบาลของเธอ และเธอเป็นคนหนึ่งในบรรดาพยาบาลที่มาร่วมศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำ  เธอโทรหาผมและบอกผมว่า เธอมีอาการปวดที่ริมฝีปากบนอย่างรุนแรงจากเนื้องอกที่โตขึ้นในบริเวณนั้น  มีคนจำนวนมากเข้าคิวรอการผ่าตัด แต่เพราะเธอเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล โรงพยาบาลจึงจัดการผ่าตัดฉุกเฉินให้เธอในวันถัดไป  แต่เธอบอกผมว่า “ความเจ็บปวดมันรุนแรงจนทำให้ดิฉันแทบจะเป็นบ้า  ดิฉันรอจนถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว  และยาแก้ปวดก็ไม่ช่วย”  ผมถามเธอว่า “พระเจ้าทรงบอกอะไรคุณบ้าง?   คุณได้อธิษฐานในเรื่องนี้ไหม?”  เธอตอบว่า “บอกค่ะ ดิฉันดูพระคัมภีร์ในพระกิตติคุณที่คนโรคเรื้อนพูดกับพระเยซูว่า ‘ถ้าพระองค์จะโปรด ก็จะทรงทำให้ข้าพระองค์สะอาดได้’ แล้วพระเยซูจึงตรัสว่า ‘เราพอใจแล้ว’ ดังนั้นคนโรคเรื้อนจึงหาย” (มัทธิว 8:2-4; มาระโก  1:40-42;  ลูกา 5:12-13)  ผมพูดกับเธอว่า “ถ้าคำตรัสของพระเยซูกำลังพูดกับคุณในสถานการณ์ที่คุณเป็นอยู่ละก็ ผมจะมาอธิษฐาน”

      ผมไปโรงพยาบาลและอธิษฐานเผื่อเธอ และความเจ็บปวดก็หายไปในพริบตา หายไปทันที  จากนั้นสิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นอย่างเดียวกับในกรณีก่อนหน้านี้  วันถัดมาเมื่อเธอต้องเข้ารับการผ่าตัด พวกเขาก็พบว่าเนื้องอกหายไปแล้ว!  เนื้องอกเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และเป็นก้อนเนื้อหรือส่วนที่งอกขึ้นมาของร่างกายที่อาจเป็นอันตรายได้  คนที่ทำงานในโรงพยาบาลจะรู้ดีว่า อยู่ดีๆ เนื้องอกจะหายวับไปเองไม่ได้  เนื้องอกไม่ใช่สภาวะทางจิตใจหรืออารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งแล้วหายไปในเวลาต่อมา  เนื้องอกจะหายไปทันทีได้อย่างไรเว้นแต่ด้วยอำนาจของพระเจ้า?

      กรณีต่อไปเกี่ยวข้องกับคุณแม่ของผมที่มีแนวโน้มจะเป็นไมเกรน ซึ่งเป็นอาการปวดหัวอย่างรุนแรงมากที่เป็นได้นานหลายวัน  ในช่วงที่ผมกำลังเยี่ยมท่าน มีวันหนึ่งเธอมีอาการปวดไมเกรน เมื่อผมมองดูท่าน  ผมแทบทนไม่ได้กับสิ่งที่ผมเห็น คือเส้นเลือดใหญ่ที่หน้าผากของท่านปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด  น้ำตาของท่านไหลพราก และท่านนั่งลงอย่างเจ็บปวดทรมาน  ผมพูดกับพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์คงไม่อยากให้ผู้รับใช้ของพระองค์ มานั่งดูคุณแม่ของข้าพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลยใช่ไหม?  เวลานี้ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ ขอทรงช่วยให้ท่านหายจากความเจ็บปวด โดยพระเมตตาอย่างล้นเหลือของพระองค์”  ผมถามท่านว่า ท่านอยากให้ผมอธิษฐานเผื่อไหม เธอก็พยักหน้า

      ในเวลานั้นคุณแม่ของผมยังไม่รู้จักองค์ผู้เป็นเจ้า ท่านยังคงเป็นผู้ที่ไม่ได้เชื่อซึ่งไม่ได้แสดงความสนใจในเรื่องฝ่ายวิญญาณมากนัก  ความจริงแล้ว ดูเหมือนท่านจะเป็นผู้ที่ไม่ได้เชื่อที่ไม่ยอมใครง่ายๆ เป็นคนที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเรื่องฝ่ายวิญญาณด้วย  แต่ตอนนี้ท่านต้องการจะหายจากความเจ็บปวดที่เกินจะอธิบายซึ่งกำลังคุกคามท่านอยู่นี้  ผมอธิษฐานเผื่อท่านและความเจ็บปวดก็หายไปทันที  มันหายไปในพริบตา  ผมยังจำใบหน้าที่ประหลาดใจของท่านได้  ผมคิดว่าท่านคงคิดว่าผมจะอธิษฐานเผื่อท่านพอเป็นพิธี เพื่อปลอบใจหรือเห็นอกเห็นใจต่อคนที่ป่วยหรือกำลังเจ็บปวด  สิ่งที่ท่านไม่ได้คาดหวังก็คือ ที่ท่านจะหายเจ็บปวดในทันทีโดยฤทธิ์อำนาจและพระเมตตาขององค์ผู้เป็นเจ้า  นั่นคือเหตุที่เห็นชัดจากใบหน้าของท่านที่ประหลาดใจที่สุด  ช่วงเวลาหนึ่งท่านอยู่ในความเจ็บปวด ช่วงเวลาต่อมาท่านก็หาย  ผมคิดว่านี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านมาหาพระเจ้าในเวลาต่อมา

      ผมอยากให้เข้าใจชัดเจนว่า แม้ว่าผมจะได้ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำการรักษาผู้คนด้วยพระคุณของพระองค์ก็ตาม แต่ผมไม่ใช่ผู้ทำการรักษาที่มีความเชื่อ  มันแตกต่างกันอย่างไรหรือ?  มันแตกต่างกันมาก! ผู้ทำการรักษาที่มีความเชื่อ ก็คือคนที่ใช้การรักษาเป็นส่วนสำคัญในพันธกิจของเขา การรักษาไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในพันธกิจของผม มันมีความสำคัญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

      พระกิตติคุณไม่ได้ให้คุณเข้าใจว่า พระเยซูทรงเที่ยวไปหาคนเพื่อทำการรักษา แต่ว่าหลายคนที่ทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทุกชนิดได้มาหาพระองค์เพื่อให้ทรงรักษา  พันธกิจของพระองค์ก็คือประกาศข่าวประเสริฐและสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า แต่ด้วยพระทัยเมตตาสงสาร จึงได้ทรงรักษาผู้คนที่พระองค์ทรงพบ หรือที่มาหาพระองค์ขณะเมื่อพระองค์เสด็จไปตามที่ต่างๆในระหว่างที่พระองค์ทรงทำพันธกิจของพระองค์   การกระทำที่เมตตาสงสารเหล่านี้เป็นหมายสำคัญหรือการสื่อสารจากพระเจ้า เพื่อประกาศว่าเวลานี้ความรอดของพระองค์มีให้กับมนุษย์ทุกคนแล้วในพระคริสต์  สำหรับพระเยซูแล้ว การรักษามีความสำคัญรองจากพันธกิจในการสั่งสอนถ้อยคำแห่งชีวิต  และด้วยธรรมชาติของมนุษย์ บางครั้งการทำการอัศจรรย์ก็อาจมีผลที่ไม่พึงประสงค์  เมื่อพระเยซูทรงเลี้ยงคน 5,000 คนในถิ่นทุรกันดารด้วยความเมตตาสงสาร ผลก็คือ พวกเขาต้องการทำให้พระองค์เป็นกษัตริย์ (ยอห์น 6:15)

 

เป็นทาสของความไม่มั่นคงหรือไม่?

      ให้เราไปต่อในเรื่องการเป็นอิสระจากการถูกบีบบังคับในทุกรูปแบบ มีหลายสิ่งที่บีบบังคับเราซึ่งรวมถึงความกลัวและความไม่มั่นคง  มีรายการยาวทีเดียวในสิ่งที่ทำให้เราตกเป็นทาส  ยกตัวอย่างเช่น ความกลัวเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก  การประกันชีวิตเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ  ถ้าไม่มีความกลัวอยู่ในโลก บริษัทประกันภัยก็แทบจะไม่มีธุรกิจให้ทำ  แน่นอนว่าการประกัน “ชีวิต” ก็ไม่สามารถรับประกันการคุ้มครองคุณให้พ้นจากความตายได้  มันแค่ให้ความมั่นใจกับคุณว่าเมื่อคุณตายไป ครอบครัวของคุณอาจได้รับเงินเป็นล้านเหรียญ หรืออะไรก็ตามที่คุณทำประกันไว้

      ความกลัวตายอาจมีอยู่ในใจของผู้คนอย่างมาก รวมทั้งความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่มีค่ากับเรา  เราประกันทรัพย์สินของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำในหลายประเทศด้วยซ้ำ  คุณต้องทำประกันรถยนต์ของคุณ แต่ระดับของการประกัน (ที่ครอบคลุม หรือบุคคลที่สาม) จะขึ้นอยู่กับคุณ เรามักจะชอบทำประกันสูงขึ้นกับรถยนต์ที่มีราคาแพง  ถ้าคุณขับรถเก่าๆเหมือนผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันสูง คุณจะทำประกันขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด

 

รถยนต์ของผมหาย

      เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่งในลิเวอร์พูล หลังจากเสร็จการนมัสการ ผมก็ไปที่สำนักงานของคริสตจักรเพื่อทำธุระเพียงไม่กี่นาทีและจอดรถของผมไว้ห่างจากทางเข้าไม่กี่ก้าว  อีกสิบนาทีต่อมาผมก็ออกมาและรถได้หายไป!  ผมบอกคุณไปแล้วว่ารถมอเตอร์ไซค์ของผมถูกขโมยไป แต่นั่นเกิดขึ้นในลอนดอน  มาตอนนี้ผมเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์มาเป็นรถยนต์ และแม้ว่ามันจะเก่าแต่มันก็ยังอยู่ในสภาพดี  แค่สิบนาทีในสำนักงานของคริสตจักรและรถก็หายไป!  ตอนนี้คุณจะรู้สึกอย่างไรหรือ?  โอ้ ความวิตกกังวลในการสูญเสียบางอย่าง!  มีความกลัวว่าคุณอาจสูญเสียบางอย่าง และเมื่อคุณได้สูญเสียมันไปจริงๆ คุณจะรู้สึกปั่นป่วนกวนใจอย่างมาก แต่ว่าสิ่งที่กวนใจผมนั้นไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็นพระคัมภีร์ของผมที่อยู่ในรถ  คุณอาจงุนงงเพราะพระคัมภีร์ในร้านหนังสือมีค่าไม่มาก  แต่พระคัมภีร์ของผมมีค่ากับผมมาก เพราะมีโน้ตเป็นพันๆที่จดไว้  ในหน้าหนึ่งๆจะมีหลายสิบโน้ตที่เขียนด้วยลายมือ  โน้ตทั้งหมดมีหมายเลขโยงกับข้อพระคัมภีร์ต่างๆ  นี่แสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายปี  พวกขโมยสามารถเอารถไปได้ แต่ขอพระคัมภีร์คืนให้ผมเถอะ!

 

 1t5

อีริค ชางกับภรรยา และเกรซลูกสาว ในปี 1972

 

      ผมยังจำได้ดีที่ลูกสาวของผมประหลาดใจเมื่อเธอได้ยินผมพูดอย่างนั้น  เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุประมาณ 4 ขวบ  เธอตกใจมากเมื่อรถถูกขโมย จะมีใครที่คิดขโมยรถได้อย่างไร?  สำหรับเธอแล้ว ถ้ามีใครมาขโมยตุ๊กตาหมีของคุณ มันก็เป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายแล้ว แต่นี่มันเป็นรถนะ? มันเหลือเชื่อสำหรับเธอ  แต่เมื่อผมบอกเธอว่า “พ่อไม่ได้เป็นห่วงเรื่องรถ แต่เป็นห่วงเรื่องพระคัมภีร์”  เธอยิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้น  หนังสือเล่มหนึ่งในร้านหนังสือจะราคาเท่าไหร่กันเชียว?  สถานการณ์แบบนี้เปิดโอกาสให้เราได้ถ่ายทอดให้กับลูกๆของเราว่าอะไรมีค่ากับเรา  พระคัมภีร์เล่มนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานหนักเป็นเวลาหลายปี  ผมจดบันทึกมากมายไว้ในนั้นมานานหลายปี จนไม่มีที่ว่างเหลืออีกแล้ว  ฉะนั้นผมต้องมีสมุดโน้ตต่างหากที่เพิ่มขยายได้  สมุดโน้ตหุ้มปกไว้อย่างดีเล่มนี้มีความหนาเกือบเท่าพระคัมภีร์ เนื่องจากโน้ตเหล่านี้มีตัวเลขที่เชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ของผม  คุณจะเห็นได้ว่า ถ้าผมทำพระคัมภีร์หาย โน้ตของผมก็จะหมดประโยชน์บางอย่างไป  และด้วยเหตุนี้ผมจึงเก็บสมุดโน้ตของผมเอาไว้ที่บ้าน

      ผมพูดกับลูกสาวของผมว่า “ให้เราอธิษฐานที่จะให้คุณพ่อได้พระคัมภีร์กลับคืนมาดีไหม?”  เธอได้เห็นว่าในคำอธิษฐานนั้น ผมเป็นห่วงพระคัมภีร์มากกว่ารถยนต์  คำอธิษฐานของเด็กๆนั้นได้ผล องค์ผู้เป็นเจ้าทรงยินดีที่จะฟังคำอธิษฐานของพวกเขา  คำอธิษฐานของพวกเขาไม่ซับซ้อนและใสซื่อกว่ามากเมื่อเทียบกับของผู้ใหญ่  ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าถึงพระบิดาได้โดยตรงมากกว่า  ทูตสวรรค์ของพวกเขายืนอยู่ใกล้กับพระเจ้าพระบิดาของเราตามที่พระเยซูทรงบอกเรา (มัทธิว 18:10[1], เปรียบเทียบกับข้อ 5)

      ไม่กี่วันต่อมาผมก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจว่า “เราพบรถยนต์ของคุณแล้ว มารับได้”  ผมรีบไปที่สถานีตำรวจเพื่อมองหาพระคัมภีร์  ผมดีใจอย่างมากที่พระคัมภีร์ยังอยู่ที่นั่น  รถยนต์เสียหายเล็กน้อย ไม่มีอะไรร้ายแรง

 

พระคำของพระเจ้า: ความจริงที่ทำให้เราเป็นอิสระ

      ผมแบ่งปันสิ่งนี้กับคุณเพราะเคล็ดลับสำคัญของพันธกิจรับใช้ของผมก็คือ พระคำของพระเจ้า  ผมไม่ได้นมัสการพระคัมภีร์ ผมนมัสการพระเจ้า  แต่ถ้าคุณนมัสการพระเจ้า คุณก็จะฟังพระคำของพระองค์  และการที่จะเชื่อฟังพระคำของพระองค์นั้น คุณจำเป็นต้องรู้ว่าพระคำสอนอะไร  คริสเตียนจำนวนมากไม่กล้าเริ่มทำสิ่งใหม่ในโลกด้วยความเชื่อ เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าหรือพระคำของพระองค์  พระเยซูได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (มัทธิว 22:29)  ผมใช้เวลาหลายปีในชีวิตในการศึกษาพระคัมภีร์ และพูดถึงเรื่องนี้เพราะคริสเตียนจำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในคริสตจักรเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็ยังขาดความรู้เกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าอย่างน่าเศร้าใจ (และที่จริงไม่อาจให้อภัยได้)  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีประสิทธิภาพและไม่เกิดผลในคริสตจักรของพระองค์

      ผมจำสามช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผมได้ เมื่อพระเจ้าทรงให้ผมมีเวลาศึกษาพระคำของพระองค์  ช่วงแรกเมื่ออยู่ในประเทศจีน อย่างน้อยก็สองปีที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจะศึกษาพระคัมภีร์  ผมชื่นชมยินดีที่ได้ศึกษาพระวจนะ แต่เริ่มแรกผมไม่สามารถจะเข้าใจ  ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่อ่อนประสบการณ์ คุณจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร  คุณอ่านพระคัมภีร์และคุณไม่รู้ว่าพระคัมภีร์กำลังพูดอะไร  ผมได้รับพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์[2]ซึ่งแปลมานานหลายปีแล้วตั้งแต่ปี 1611 และใช้ภาษาอังกฤษในสมัยนั้น ที่ไม่ได้ช่วยทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น  แม้ว่าภาษาอังกฤษของผมจะไม่ได้แย่มาก และผมก็เข้าใจได้ไม่เลวทีเดียว แต่ก็มีประเด็นสำคัญบางอย่างที่ความหมายไม่สมเหตุสมผลสำหรับผม

      ผมคุกเข่าต่อพระพักตร์พระเจ้าและพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจว่าพระคำของพระองค์กำลังพูดอะไร ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจได้ไหม?”  ในช่วงสองปีนั้น ผมได้ใช้เวลาทุ่มเทอย่างมากให้กับการศึกษาพระคำของพระเจ้า  ความยินดีอย่างหนึ่งของผมก็คือ หลังจากผ่านไปหลายปี ผมก็ยังมีโน้ตบางส่วนที่ผมเขียนไว้ในเวลานั้นเมื่อผมยังเป็นคริสเตียนที่ยังอ่อนประสบการณ์ และเมื่อผมได้อ่านโน้ตหลังจากนั้นนานมาก  ผมสามารถพูดได้เพียงว่า “ผมไม่ได้ค้นพบทุกสิ่งด้วยตัวเองอย่างแน่นอน  เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าได้ทรงกำลังสอนผมในเวลานั้นแล้ว”

      ช่วงที่สองเมื่ออยู่ที่สถาบันพระคัมภีร์ในสก็อตแลนด์ ที่ผมได้ศึกษาพระคำของพระเจ้าทุกวันเป็นเวลาสองปี  เรามีชั้นเรียนวิชาต่างๆตามมาตรฐานที่วิทยาลัยพระคัมภีร์มักจะสอน  แต่ผมขอพูดตรงๆว่า ผมไม่รู้สึกว่าผมได้รับประโยชน์มากมายจากวิชาส่วนใหญ่  สิ่งที่ผมพบว่ามีประโยชน์มากที่สุดก็คือเวลาที่ผมใช้ศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยตัวเองในห้องของผม นั่นก็เป็นอีกสองปี

      ช่วงที่สามเมื่อพระเจ้าทรงให้ผมพักอยู่ในลอนดอนเพื่อใช้เวลาพักสงบ  นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ผมเข้าเรียนในวิทยาลัยพระคัมภีร์ในลอนดอนและศึกษาในมหาวิทยาลัย  องค์ผู้เป็นเจ้าประทานเวลาให้ผมสามปีหลังจากที่ได้ศึกษาจากสองแห่งนี้ เพื่อจะให้จดจ่อและใคร่ครวญอีกครั้งกับพระคำของพระเจ้าในแต่ละวัน  ในช่วงเวลานี้เองที่ผมได้จดโน้ตเพิ่มขึ้นจำนวนมากไว้ในพระคัมภีร์ของผม เมื่อพระเจ้าทรงนำผมให้เข้าใจความจริงของพระองค์ลึกขึ้น  ความสำคัญของพระคัมภีร์ซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้านั้น อยู่ในความจริงที่ว่า ในพระคำนั้นเราพบความจริงของพระเจ้า  และพระเยซูตรัสว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” (ยอห์น 8:32)[3] มีอิสรภาพในฝ่ายวิญญาณซึ่งผู้ที่ติดตามพระองค์จะมีประสบการณ์นี้

 

อ่านคำพยานอื่นๆ: พระเจ้าทรงสามารถทำแบบเดียวกันกับคุณได้

      ผมขอแบ่งปันคำพยานของคนอื่นซึ่งเป็นพยานถึงความจริงอย่างเดียวกันนี้  ผมชอบอ่านคำพยาน เพราะผมได้เรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นๆได้มีประสบการณ์  ผมพบว่ามันน่าอัศจรรย์และชุ่มชื่นใจ เมื่อเห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำในชีวิตของคนอื่นๆ

      ผมเพิ่งอ่านคำพยานของพี่น้องชาวจีนคนหนึ่งที่ประสบกับความทุกข์ยากอย่างมากในประเทศจีนเพื่อพระเจ้า  ผมต้องถ่อมใจลงเมื่อผมได้อ่านเรื่องราวของเขา เพราะผมไม่ได้ทุกข์ยากอย่างมากเพื่อองค์ผู้เป็นเจ้าเท่ากับพี่น้องที่รักคนนี้ที่ได้รับ  เขาถูกทุบตี ถูกทำร้าย และอดอยากหิวโหยเป็นเวลาหลายปี  เมื่อเขาถูกจับกุมและถูกจำคุกเป็นครั้งแรก เขาอยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็คือ เขาทำการประกาศข่าวประเสริฐจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และสิ่งนี้นำไปสู่การถูกจับกุมและถูกปล่อยตัว ถูกทุบตีและถูกทำให้อับอายขายหน้า วนเวียนแบบนี้เรื่อยๆ

      อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าทรงทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์กับเขา คือทรงปล่อยเขาออกจากคุก เขาถูกขังหลายครั้ง แต่ในระหว่างที่เขาถูกจำคุกครั้งนี้ เขาได้ทนทรมานอย่างมาก ผมจึงคิดว่าพระเจ้าทรงเห็นแล้วว่ามันเพียงพอแล้ว เพราะเขาได้ทนทรมานเท่าที่เขาสามารถจะทนได้  เปาโลกล่าวว่า

     

 

พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลอง (หรือถูกทดสอบ) เกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง (หรือถูกทดสอบ)  พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้ (1 โครินธ์ 10:13)

 

      ในกรณีของพี่น้องคนนี้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม “ทางออกให้” ตามนั้นจริงๆ  โดยมากพี่น้องคนนี้จะถูกขังเดี่ยว นั่นเป็นเพราะทุกครั้งที่ขังเขาไว้ในห้องขังรวมกับคนอื่นๆ  จะมีผู้ถูกคุมขังร่วมกับเขาหลายคนได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้า  คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในวันหนึ่งเมื่อเขาอยู่คนเดียวในห้องขัง?  โซ่หลุดออกจากข้อมือของเขาทันที  พระเจ้าได้ทรงเปิดประตูห้องขัง และพี่น้องคนนี้ก็เดินออกจากคุกผ่านประตูเจ็ดชั้น ประตูทุกบานเปิดออกเองต่อหน้าต่อตาของเขา!  ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์เหมือนที่อัครทูตเปโตรได้มีประสบการณ์ เมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำอย่างเดียวกันกับเขา ที่ปลดโซ่ตรวนและเปิดประตูคุกให้เขาได้เดินออกมาสู่อิสรภาพ (กิจการ 12:7-10)

      ใช่แล้ว องค์ผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยเชลยให้เป็นอิสระ ทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณ อันที่จริง ผมได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับพี่น้องคนนี้เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเขามาเยี่ยมคริสตจักรลิเวอร์พูลของเรา  ผู้ร่วมงานบอกกับผมว่า “เขาอยู่ในลิเวอร์พูล คุณอยากจะคุยโทรศัพท์กับเขาไหม?”  ผมตอบว่าอยากคุย  เราจึงได้คุยกันและเขาเชิญให้ผมไปเยี่ยมเขา

 

ดร. ซาโทรีอัสได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

      พระเจ้าทรงช่วยเราไม่เพียงแต่จากความเป็นทาสภายนอกหรือทางกาย แต่สิ่งสำคัญมากกว่าก็คือจากความเป็นทาสภายใน  มีกรณีของแพทย์ชาวสวิสที่ผมได้รู้จัก  เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ เขาพูดกับผมว่า “ผมอยากเล่าเรื่องของผมให้คุณฟัง ผมเคยเป็นคนติดเหล้า  แม้ว่าผมจะเป็นแพทย์ ผมก็เริ่มจากการดื่มไวน์ทีละน้อย  แต่ผมกลายเป็นคนหนึ่งในผู้ที่ติดเหล้าได้ง่าย”  เขากลายมาเป็นคนติดเหล้าและเลิกไม่ได้  เขาดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาได้ใช้รายได้ส่วนใหญ่จากการเป็นหมอมาใช้จ่ายกับการติดเหล้า  เหล้าในสวิตเซอร์แลนด์ก็เหมือนกับในหลายๆ ประเทศที่มีการเก็บภาษีสูงมากและมีราคาแพง

      อยู่มาวันหนึ่ง เขาไม่มีเงินให้ภรรยาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันของลูกๆ  ภรรยาของเขาบอกเขาในตอนเช้าว่า “ลูกๆ ไม่มีอาหารเช้ากินแล้ว  คุณมีเงินบ้างไหม?”  เขาพูดว่า “ผมไม่มีหรอก”  เธอพูดว่า  “ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกเขาก็คงจะต้องหิวโหยกัน”  เขาหดหู่ใจมากเพราะเขารู้สึกว่าชีวิตของเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง  ลูกทั้งสามคนของเขากำลังเติบโตขึ้น และสิ่งที่พวกลูกๆ เห็นก็คือพ่อที่ขี้เมาตลอดเวลา  เขาเกือบจะไม่สามารถทำหน้าที่แพทย์ของเขาได้  ครึ่งหนึ่งของเวลาทำงานนั้น เขาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นรายได้ของเขาจึงลดลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายของเขาเพิ่มขึ้น

      เขาพูดว่า “คุณรู้ไหม ผมมาถึงจุดแตกหักเมื่อวันหนึ่งลูกชายของผมมาหาผม ให้ผมดูบาดแผลเล็กน้อยที่มือ  ผมดูแผลแล้วพูดกับเขาว่า ‘ไม่เป็นอะไร  ไปให้พ้น  อย่ามากวนพ่อด้วยเรื่องเล็กๆ’”  วันรุ่งขึ้นลูกชายของเขามีไข้ เขาจึงรู้ว่าลูกชายของเขากำลังทุกข์ทรมานจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (โลหิตเป็นพิษ)  บาดแผลเล็กๆ นั้นยังเป็นอันตรายไม่เท่ากับที่เขาไม่ได้คิดใส่ใจ   มันติดเชื้อแล้วและตอนนี้เด็กชายคนนี้กำลังต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตอยู่  ดังนั้น ดร. ซาโทรีอัส[4] จึงจมอยู่ในความซึมเศร้าอย่างมาก  เขามองดูลูกชายแล้วพูดว่า “ผมไม่สามารถจะดูแลลูกชายของผมได้เลย  ผมไม่สามารถเลี้ยงดูลูกๆ ของผมได้  ชีวิตของผมยุ่งเหยิงไปหมด แล้วความเป็นทาสของสิ่งนี้ผมก็ไม่สามารถเลิกได้”

      ในภาวะซึมเศร้าของเขานั้น เขารู้สึกว่าถ้าจะให้ทุกอย่างจบลงก็ดีกว่า  ในสวิตเซอร์แลนด์นั้น ชายหนุ่มผู้มีสุขภาพดีทุกคนจะต้องเป็นทหาร (เช่นเดียวกับในสิงคโปร์)  เมื่อเขาเป็นทหารเขามีปืนพก เขาได้เก็บปืนพกไว้ในห้องทำงานของเขา  และเขาตัดสินใจที่จะใช้มัน เขาไม่สามารถจะทนกับตัวเองได้อีกต่อไป  เขาไม่สามารถจะเอาชนะการติดเหล้าได้  เขากล่าวว่า “ผมพยายามลองหลายครั้งที่จะแก้ไขปัญหา”  เขาลองใช้เทคนิคทุกอย่างที่เขารู้ในวงการแพทย์เพื่อหยุดการเป็นทาสของเหล้า แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้  เขาพูดต่อไปว่า “เป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ไม่สามารถหลุดจากการเป็นทาสได้  ผมจะเอาปืนพกมาจบเรื่องทั้งหมด”

      ดร. ซาโทรีอัสเปิดลิ้นชักเพื่อจะหยิบปืน แล้วเขาก็เห็นพระคัมภีร์วางอยู่บนปืน  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะมีโบสถ์ของรัฐและถือว่าทุกคนเป็นคริสเตียน  ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นคริสเตียน คุณก็จะไม่มีที่ที่จะฝังศพ ดังนั้นคุณจึงต้องเป็นคริสเตียนเสียดีกว่า อย่างน้อยก็มีอยู่ในเอกสาร เพราะการไม่มีที่ที่จะฝังศพเมื่อคุณเสียชีวิตนั้นจะเป็นปัญหาใหญ่  การเป็นสมาชิกคริสตจักรของรัฐนั้น คุณจะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะทางความเชื่อ[5]ซึ่งคุณจะได้รับพระคัมภีร์  ดังนั้นเขาจึงมีพระคัมภีร์ที่เขาไม่ได้อ่าน  มันวางทับปืนไว้  เขาจึงต้องหยิบพระคัมภีร์ออก ก่อนที่เขาจะหยิบปืนมาได้  แต่เมื่อเขากำลังถือพระคัมภีร์อยู่ในมือนั้น เขาก็คิดว่า “ผมน่าจะอ่านสักข้อหนึ่งก่อนที่ผมจะเหนี่ยวไกปืน”  เขาจึงเปิดพระคัมภีร์ แต่เมื่อเขาไม่รู้ว่าจะอ่านตรงไหนดี เขาจึงพลิกไปแบบเดาสุ่มแล้วก็เห็นข้อความพระคัมภีร์ที่สะดุดตาเขาว่า “เราคือพระเจ้า ผู้ไถ่ของเจ้า” (อิสยาห์ 60:16  “เรา ยาห์เวห์ ผู้ช่วยให้รอดของเจ้า ผู้ไถ่ของเจ้า”)  พระเจ้ากำลังตรัสกับเขาโดยตรงผ่านถ้อยคำเหล่านี้

      คำว่า “ผู้ไถ่” แม้ว่าจะพบในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษ เพราะมันเป็นคำที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในการเขียนหรือในการพูด  แต่คำภาษาเยอรมันจะมีความสำคัญมาก  คำว่า “ผู้ไถ่ของเจ้า” ในภาษาเยอรมันจะหมายถึง “ผู้ปลดปล่อยคุณ ผู้ที่ทำให้คุณเป็นอิสระ”  เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เมื่ออานุภาพของคำกล่าวว่า  “เรา พระเจ้า จะเป็นผู้ปลดปล่อยเจ้า” ได้แทงใจของเขา  พระเจ้ากำลังตรัสกับเขาโดยตรงผ่านทางพระคัมภีร์  เขาจึงอุทานว่า “นี่แหละที่ผมต้องการ คือผู้ปลดปล่อย”

      เขาจึงคุกเข่าลงและพูดว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า เจ้าข้า ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เป็นอิสระจากการเป็นทาสด้วยเถิด  ข้าพระองค์กำลังทำลายครอบครัวของข้าพระองค์ และตอนนี้ข้าพระองค์กำลังจะทำลายตัวเอง นอกเสียจากว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยให้ข้าพระองค์เป็นอิสระ”  นั่นเป็นเสียงร้องที่ออกมาจากใจ  เราต้องไม่ลืมว่าเขาไม่ใช่คนเคร่งศาสนา  เขาไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร เขารู้แต่ว่าจะร้องทูลออกมาจากใจของเขาอย่างไร  พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราคือผู้ไถ่ของเจ้า” และเขาก็ตอบสนองว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า เจ้าข้า  ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ด้วย”  เท่านี้แหละที่คนที่ตกเป็นทาสจะต้องทำ ความจริงแล้วเขาสามารถทำได้แค่นี้  พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้คุณสรรหาคำพูด  การอธิษฐานคือเสียงร้องจากใจเพื่อให้ช่วยปลดปล่อย และพระเจ้าจะทรงถอดโซ่ตรวนและปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ

      เขาบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นทันที เขารู้สึกว่าโซ่หลุดออก เขาพูดว่า “ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเป็นอิสระ  ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรู้สึกว่าเป็นอิสระ  ผมได้ต่อสู้กับความเป็นทาสนี้มาหลายเดือนและก็ล้มเหลวมาตลอด แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นผมก็เป็นอิสระ”  ด้วยวิธีทางการแพทย์แล้วเขาไม่สามารถเข้าใจได้  เพราะการเสพติดสิ่งใดนั้นจะต้องใช้เวลานานในการรักษา  มันเป็นไปได้อย่างไรที่จะเป็นอิสระได้ในทันที?  ในทางมนุษย์แล้วเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาเป็นอิสระอย่างแท้จริง  เขาบอกว่าเขายืนขึ้นเป็นคนใหม่  พระเจ้าทรงปลดปล่อยเขาจากการติดเหล้าในทันที!

      แต่เขาได้รับมากกว่าที่เขาคาดหวังไว้  ตอนนี้เขาไม่มีความอยากที่จะดื่มเหล้าเลย  ความจริงแล้ว เขาเปลี่ยนไปมากกว่านั้นอีก  พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างแท้จริง จนเขากลายมาเป็นนักเทศน์  เท่าที่ผมรู้ เขาไม่ได้เลิกเป็นแพทย์  แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็เป็นพยานเพื่อพระเจ้า  เมื่อผมไปเยี่ยมเขา เขาก็พาผมไปประชุมในที่ต่างๆ เกือบทุกวัน ที่เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในชีวิตของเขาและสั่งสอนพระกิตติคุณ

      หลายปีต่อมา ผมอยู่ในเมืองทางตอนเหนือของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และผมเห็นชื่อ “ศิษยาภิบาล ซาโทรีอัส” อยู่บนป้ายประกาศหน้าคริสตจักร  ซาโทรีอัสเป็นชื่อที่ไม่ค่อยพบ ผมจึงคิดว่า “ศิษยาภิบาล ซาโทรีอัสคนนี้จะเกี่ยวข้องกับ ดร. ซาโทรีอัสที่ผมพบเมื่อหลายปีก่อนในสวิตเซอร์แลนด์ทางตะวันออกหรือไม่?”  ผลปรากฏว่าศิษยาภิบาล ซาโทรีอัสคนนี้เป็นลูกชายของเขาที่เคยติดเชื้อในกระแสเลือด  ผมได้ยินทีหลังว่าเขาเป็นศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  พระเจ้าไม่เพียงแค่ปลดปล่อย ดร. ซาโทรีอัสให้เป็นอิสระเท่านั้น  แต่พระองค์ยังทรงปลดปล่อยครอบครัวของเขาให้เป็นอิสระอีกด้วย  ทั้งครอบครัวได้รับการไถ่  วิธีของพระเจ้านั้นช่างดีเลิศเพียงใด!

      ดร. ซาโทรีอัสบอกกับผมว่า การปลดปล่อยนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ จนสามารถเอาแก้วไวน์มาวางไว้ตรงหน้าเขาได้โดยไม่ได้ทดลองเขาเลย  ความอยากเหล้าได้หายไปอย่างเป็นปลิดทิ้ง  ในฐานะที่เป็นแพทย์ เขาเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร  ตามกฎทั่วๆ ไปแล้ว แม้ว่าคนๆหนึ่งจะหลุดพ้นจากการเสพติดแล้ว เขาก็ยังถูกทดลองได้เต็มที่และอยู่ในอันตรายที่จะกลับไปติดได้อีก  ผู้ที่ติดยาจะยังคงถูกสิ่งเสพติดอย่างเดิมดึงดูดใจอยู่ แม้ว่าจะผ่านการฟื้นฟูสภาพมานานมาก  เขาก็มักจะอยู่ในอันตรายของการถูกทดลองให้กลับมาติดยาได้อีก  แต่หมอคนนี้บอกว่า “ผมไม่มีความอยากแต่อย่างใดเลย มันไม่ได้ดึงดูดผมอีกต่อไป”  พระเจ้าไม่เพียงแค่ปลดปล่อยเรา แต่การปลดปล่อยนี้จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ นอกเสียจากว่า เราเลือกที่จะกลับไปเป็นทาส แม้ว่ามันจะหมดอำนาจเหนือเราแล้วก็ตาม

 

1t6

อีริค ชางกับลูกๆของผู้ร่วมงาน ที่ฮ่องกง เมษายน 2009

 

คุณจะให้พระเจ้าปลดปล่อยคุณไหม?

      ผมได้แบ่งปันทั้งหมดจากใจของผมเกี่ยวกับพระเจ้าที่น่าอัศจรรย์นี้ ผู้ที่ได้เรียกผมให้มาหาพระองค์ และให้สิทธิพิเศษกับผมได้มารู้จักพระองค์ พระเจ้าแห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์  พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนประทับใจ แต่เพื่อให้เราเป็นอิสระ  วันนี้ผมหวังว่าคุณจะคิดถึงสิ่งที่ครอบงำคุณให้เป็นทาส  การเป็นทาสเป็นสิ่งที่แปลก  ลองดูนิสัยของเราเป็นตัวอย่าง  มีนิสัยไม่ดีมากมายที่คนทั้งหลายจำเป็นต้องได้รับการปลดปล่อย  อาจกล่าวได้ว่านิสัยที่ไม่ดีนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการเสพติด    ยกตัวอย่างเช่น บางคนตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่างด้วยความโกรธแค้นเป็นนิสัย  พวกเขาถูกยั่วโมโหได้ง่ายๆ และพวกเขาก็ยั่วโมโหคนอื่นๆ ให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้ง  อารมณ์เสียก็อาจเป็นนิสัยได้เช่นกันและอาจส่งผลให้เกิดความทุกข์ใจอย่างต่อเนื่อง  ทัศนะด้านลบต่างๆในใจกลายมาเป็นนิสัย และเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องเป็นอิสระจากนิสัยเหล่านี้ที่เป็นภัย เป็นภัยต่อตัวเราเองและคนอื่น

      ผมขอกลับมาที่เรื่องราวซึ่งผมเริ่มต้นด้วยเรื่องปลาฉลามที่ไม่เคยโตเกินหกนิ้ว  ราชาแห่งมหาสมุทรที่กลายเป็นปลาแคระอยู่ในตู้ปลา  คุณเป็นคนแบบไหนหรือ?  คุณพอใจกับการเป็นทาสที่แสนสบายในที่ที่คุณอยู่ไหม? และสะดวกสบายกับสิ่งที่คุณทำเป็นประจำไหม?  เราสะดวกสบายกับชีวิตของเราที่รับใช้ตัวเอง โดยที่เราไม่ได้สนใจคนมากมายที่ก็ต้องการเป็นอิสระจากความเป็นทาสและความทุกข์ใจไหม?  หรือเราจะพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากจะรู้จักพระองค์มากขึ้น  ข้าพระองค์อยากจะเป็นอิสระจากนิสัยที่ทำสิ่งต่างๆ ในแบบของข้าพระองค์  ข้าพระองค์อยากจะไปถึงเป้าหมายสูงสุดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเรียกให้ข้าพระองค์ทำ เพื่อว่าในวันนั้นเมื่อข้าพระองค์ได้พบพระองค์ ข้าพระองค์จะได้ไม่ละอาย แต่จะชื่นชมยินดี  และพระเยซูพระบุตรของพระองค์ก็จะไม่สิ้นพระชนม์เพื่อข้าพระองค์อย่างสูญเปล่า”


[1] มัทธิว 18:10 จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ของพวกเขาคอยเฝ้าอยู่เฉพาะ

                     พระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เสมอ

[2] King James Version

[3] ยอห์น 8:32 แล้วท่านจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

[4] Doctor Satorius

[5] Confirmation