pdf pic

 

บทที่ 3

 

เส้นทางข้างหน้ากับความเชื่อว่า

พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์

 

 road

 

 

 

การตื่นขึ้นทางศาสนศาสตร์

      ารเปิดกว้างอีกครั้งต่อพระคำของพระเจ้า กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเคลื่อนไหวด้วยพลังเงียบ ฝ่ากำแพงศาสนาและนิกาย

      นั่นสรุปเป็นคำเดียวว่า เสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในการอ่านพระคำของพระเจ้าได้ โดยไม่ถูกควบคุมด้วยคำสอนที่ตกทอดกันมาที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ในที่สุดหลังจากผ่านมาถึงสองพันปี เสรีภาพนั้นก็มาถึง เพราะอินเทอร์เน็ตและการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในสังคม

      แต่เสรีภาพอย่างนั้นไม่ได้อยู่กับเรามาตลอด 2,000 ปีหรอกหรือ? คำตอบก็คือ “ใช่” สำหรับบางคน แต่ “ไม่ใช่” สำหรับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในโลก แม้แต่ในโลกของคริสเตียน นั่นเป็นเพราะอุปสรรคกีดขวางที่ใหญ่และน่ากลัวได้ขวางทางผู้ที่หิวและกระหายหาพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาหลายศตวรรษ อุปสรรคเหล่านี้จะต้องถูกรื้อออกไปทีละอย่าง ทีละอัน จนกว่าอุปสรรคสุดท้ายและใหญ่ที่สุดจะได้ชัยชนะ (บางส่วน) ในศตวรรษที่ 21

      อุปสรรคประการแรก คือการขาดแคลนพระคัมภีร์อย่างมาก แม้กระทั่งในหมู่ผู้นำของคริสตจักรในหลายศตวรรษ ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ขึ้น ปัจจุบันนี้ในหนึ่งเดือน มีการพิมพ์พระคัมภีร์ได้มากกว่าใน 1,400 ปีแรกของประวัติศาสตร์คริสตจักร คำสั่งของคอนสแตนตินในปี ค.ศ. 331 ให้จัดทำสำเนาพระคัมภีร์สำหรับคอนสแตนติโนเปิล ได้มีการจัดทำสำเนาที่เขียนด้วยลายมือเพียงห้าสิบเล่มเท่านั้น (ไอแพด[1]ของผมอย่างเดียวมีพระคัมภีร์ 30 เล่ม) แต่ถึงแม้หลังจากที่มีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ขึ้น บางครั้งคริสตจักรก็ปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดกับการแปลพระคัมภีร์ให้เป็นภาษาธรรมดาของคนทั่วไป

      อุปสรรคประการที่สอง คือการไม่รู้หนังสือโดยทั่วๆไปในคริสตจักรยุคแรก การศึกษาที่อ้างถึงอย่างกว้างขวางชี้ให้เห็นอัตราการรู้หนังสือ 10-15% ในเอเธนส์ยุคคลาสสิก และอัตราที่น้อยลงในจักรวรรดิโรมันในศตวรรษแรก ในสมัยนั้น คนที่ถือว่ารู้หนังสือ ก็เมื่อเขาหรือเธอสามารถเซ็นชื่อของตัวเองได้ หรือเขียนตัวอักษรได้ บทความในวิกิพีเดียเรื่อง การรู้หนังสือ อธิบายถึงการรู้หนังสือในยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในห้าศตวรรษที่ผ่านมา ในสมัยก่อนๆ การไม่รู้หนังสือโดยทั่วไปนั้นเป็นภาวะปกติในยุโรปส่วนใหญ่

      อุปสรรคประการที่สาม คือการที่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไม่สามารถเข้าถึงภาษาดั้งเดิมของพระคัมภีร์ได้จนถึงศตวรรษที่ 19 วลี “การแปลที่ไม่ครบถ้วน” อาจฟังดูน่าเบื่อหน่าย แต่ก็ช่วยเตือนเราว่า การแปลที่ผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้แม้ระหว่างภาษาสมัยใหม่ด้วยกัน ปัญหาใหญ่ขึ้นเมื่อพูดถึงการแปลพระคัมภีร์ ที่ไม่เพียงเพราะภาษาดั้งเดิมเป็นภาษาโบราณ (ฮีบรู, อาราเมค, กรีก) แต่ยังเพราะมีอันตรายที่แท้จริงของความเอนเอียงเกี่ยวกับหลักคำสอนในการแปลพระคัมภีร์ ข่าวดีก็คือว่า ปัจจุบันนี้เราสามารถจะศึกษาพระคัมภีร์ในภาษาดั้งเดิมได้ ถ้าเรายินดีที่จะลงทุนลงเวลาและมีความพยายามในการเรียนรู้ และใช้เงินที่จะหาซื้อตำราและคู่มืออ้างอิง

      อุปสรรคประการสุดท้ายที่เอาชนะได้บางส่วน ก็คือการปราบปรามของผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพกับคำสอนของผู้ที่ไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพ อุปสรรคมีขึ้นในสภาสังคายนาแห่งไนเซีย[2] (ค.ศ. 325) ที่มีคำสาปแช่ง[3]ผู้คัดค้านทุกคนในโลกของคริสเตียนทั้งหมด และอีกทั้งในสภาสังคายนาแห่งคอนสแตนติโนเปิล[4] (ค.ศ. 381) อุปสรรคยังคงให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังเห็นได้ในกรณีที่น่าเศร้าจากประวัติศาสตร์ เช่น การเผาไมเคิล เซอร์วิตัส[5]ทั้งเป็น

      ในช่วงปี 1970 และ 1980 กว่าๆ นั้น ที่เดียวในแคนาดาที่ผมจะสามารถหาซื้อหนังสือคริสเตียนดีๆได้ก็คือร้านหนังสือคริสเตียนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ปัญหาที่มีคือ หนังสือที่เลือกจะถูกเซนเซอร์ด้วยความเอนเอียงตามหลักคำสอนของร้านหนังสือหรือองค์กรแม่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการเซนเซอร์ทั้งหมด เพราะร้านเหล่านั้นยังคงยินดีที่จะให้มีหนังสือที่มีแนวคิดเปิดกว้าง ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือแม้แต่สวนกระแสกับศาสนาคริสต์วางอยู่ในร้าน แต่พวกเขาจะไม่ให้มีหนังสือคริสเตียนที่มีมุมมองที่ไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพวางอยู่ในร้าน แม้ว่าจะมีพื้นฐานที่มาจากพระคัมภีร์ก็ตาม เพราะหนังสือเช่นนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสนับสนุนจากพระคัมภีร์อย่างหนักแน่น คริสตจักรก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าหนังสือที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเสียอีก หนังสืออาจมีรากฐานจากพระคัมภีร์และยึดมั่นในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว[6] แต่ก็ถูกมองว่าเป็นคำสาปแช่ง[7]ที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกับข้อเชื่อของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

      อำนาจในการปราบปรามหนังสือที่มีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว ที่ไม่ยึดมั่นกับข้อเชื่อของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น จะกำหนดการตีความพระคัมภีร์ของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเคยมีประสบการณ์กับอำนาจแบบนี้มาก่อน เนื่องจากร้านหนังสือทั้งหลายไม่ได้มีหนังสือที่เบี่ยงเบนไปจากข้อเชื่อของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมจึงได้ให้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพ มาเป็นความเชื่อของคริสเตียนอยู่เป็นเวลาหลายปี

      อีกตัวอย่างหนึ่งของการปราบปรามหลักคำสอนของผู้ไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพจากผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่เห็นได้ในกรณีของสมาคมศาสนศาสตร์อีแวนเจลิคอล[8] ซึ่งเมื่อก่อตั้งในปี 1949 ได้มีข้อกำหนดของหลักคำสอนเพียงอย่างเดียวในการเป็นสมาชิกของสมาคม คือการยอมรับว่าพระคัมภีร์ไม่มีข้อผิดพลาด อย่างนั้นก็ดี แต่พอ 41 ปีต่อมา ในปี 1990 มีการเพิ่มข้อกำหนดใหม่ว่า ให้ยึดมั่นกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ถ้าความเชื่อในตรีเอกานุภาพฝังแน่นในพระคัมภีร์จริงๆ ดังที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวไว้ แล้วเพราะเหตุใดจึงจำเป็นที่พวกเขาต้องเพิ่มข้อกำหนดที่สองในเมื่อข้อแรกก็น่าจะปกป้องหลักคำสอนได้ (เป็นที่เข้าใจตั้งแต่แรกว่ามันมีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์)? เกิดอะไรขึ้นกับความมั่นใจอย่างชัดเจนในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว? สมาคมศาสนศาสตร์อีแวนเจลิคอลเริ่มต้นด้วยการเป็นสมาคมเกี่ยวกับพระคัมภีร์ แต่จบลงด้วยการเป็นสมาคมเกี่ยวกับหลักคำสอน

      มันก็น่าแปลก ที่ข้อกำหนดสองประการในการเป็นสมาชิกของสมาคมศาสนศาสตร์อีแวนเจลิคอลนั้นไม่สอดคล้องกันเลย ที่ยอมรับว่าพระคัมภีร์ไม่มีข้อผิดพลาด และยอมรับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะคำว่า “ตรีเอกานุภาพ” นั้นหาไม่พบในพระคัมภีร์ด้วยซ้ำ

      สรุปแล้ว ตัวอย่างที่ดีที่สุดของการควบคุมของความเชื่อตรีเอกานุภาพ ก็มีให้เห็นจากความจริงที่พระคัมภีร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ได้ถูกแปลด้วยความเอนเอียงตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่นั่นเป็นหัวข้อใหญ่ที่จะกล่าวต่อไป

 

อุปสรรคสุดท้ายกำลังถูกกัดกร่อน

      แต่สิ่งต่างๆได้เปลี่ยนไปในปี 2009 ปีที่ผมย้ายกลับไปแคนาดาหลังจากที่ไม่ได้อยู่สองทศวรรษ ร้านหนังสือคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดในมอนทรีออล ตอนนี้เล็กลงกว่าก่อน โดยรวมแล้วร้านเหล่านี้มีรายการหนังสือที่ลดลงและเดิมๆ ซึ่งรายล้อมไปด้วยพวกที่คั่นหนังสือ บัตรอวยพร และปกใส่พระคัมภีร์ที่มากมายเหลือเกิน (ผมยังคงสนับสนุนร้านหนังสือเหล่านี้ จากที่ได้ซื้อหนังสือจำนวนมากจากร้านเหล่านี้ในช่วงสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา) ร้านหนังสือคริสเตียนในเมืองอื่นๆอาจทำได้ดีกว่า แต่ไม่มีร้านไหนที่สามารถจะหยุดยั้งการขยายวงกว้างในระดับโลก ที่ต่อต้านความพยายามใดๆที่จะปราบปรามหนังสือต่างๆที่ไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพ

      สมัยนี้คุณก็สามารถจะสั่งซื้อหนังสือคริสเตียนที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนศาสตร์แบบใดก็ได้จาก Amazon.com จึงทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คริสตจักรจะปกปิดนักเขียนที่ต้องการจะพูดความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ตอนนี้หนังสือทุกเล่มมีช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับผู้อ่านไปทั่วโลก

      สมัยนี้คุณสามารถ “กูเกิ้ล”[9] หาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว และคำอธิบายต่างๆจากพระคำของพระเจ้า ซึ่งในยุคก่อนหน้านี้จะถูกปราบปรามด้วยป้อมปราการต่างๆของข้อเชื่อ ทุกๆปีที่ผ่านมาเราจะพบเว็บไซต์และบล็อก และหนังสือใหม่ๆที่สนับสนุนความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์

      ผู้ที่ไปคริสตจักรเป็นประจำในปัจจุบัน มีน้อยที่จะหลับหูหลับตายอมรับหลักคำสอนของคริสตจักร และได้ฝึกฝนที่จะค้นหาการตีความทางเลือกอื่นทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจมีการสนับสนุนที่มีน้ำหนักกว่าจากพระคัมภีร์

      แต่แม้จะมีการเปิดกว้างของอินเทอร์เน็ต แต่การปราบปรามหลักคำสอนที่เป็นอุปสรรคสุดท้าย ก็ยังคงมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ยังมีการต่อต้านบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริง สำหรับผู้ที่มีใจเปิดกว้างนั้น ตอนนี้มีช่องทางชัดเจนที่จะเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า ที่ไม่มีการควบคุมเรื่องหลักคำสอน อินเทอร์เน็ตเป็นดาบสองคมที่สามารถใช้เพื่อประกาศความจริง หรือไม่ก็เผยแพร่ความเท็จ แต่ด้วยคำอธิษฐานและความช่วยเหลือของพระเจ้า (ยอห์น 7:17; ยากอบ 1:5)[10] ผู้แสวงหาความจริงจึงสามารถมาถึงความจริงได้ และมีประสบการณ์กับพระเจ้าในทางที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะเขาหรือเธอเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียว

      สุดท้ายนี้ กุญแจสู่การประกาศความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้เป็นผลสำเร็จ จะเป็นความช่วยเหลือของพระเจ้าและความจริงที่ว่า ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีข้อสนับสนุนที่อ่อนมากจากพระคำของพระเจ้า

 


[1] iPad หรือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์

[2] Council of Nic­aea

[3] anathema

[4] Council of Constantinople

[5] Michael Servetus ถูกเผาทั้งเป็นบนหลัก เขาเป็นผู้จัดพิมพ์ข้อผิดพลาดของตรีเอกานุภาพที่ไม่สามารถให้ข้อพิสูจน์ตามหลักของพระคัมภีร์ที่ทำให้เขาเชื่อถือได้ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะศึกษาข้อความของพระคัมภีร์ในภาษาดั้งเดิม และปฏิเสธคำสอนใดๆ ที่ขัดกับพระคัมภีร์ (ผู้แปล)

[6] sola Scriptura

[7] anathema

[8] Evangelical Theology Society (ETS)

[9] Google

[10] ยอห์น 7:17 ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง