pdf pic

             บทที่ 1

 

ความฝันในวัยเยาว์

 

 Color 6

 

      พวกคุณบางคนเคยถามถึงประสบการณ์ของผมในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นผมจึงถือโอกาสนี้แบ่งปันคำพยานของผม สิ่งนี้ค่อนข้างผิดไปจากธรรมดา เพราะโดยปกติแล้วผมจะอธิบายพระวจนะของพระเจ้าบนธรรมาสน์มากกว่า แต่วันนี้ผมจะพูดถึงชีวิตคริสเตียนของผมเองในสองด้านคือ ผมมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร และผมมารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร ทั้งสองด้านนี้เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ในชีวิตคริสเตียนของผม ซึ่งผมจะอธิบายต่อไป

 

ภูมิหลังเกี่ยวกับครอบครัว

      ผมขอเริ่มด้วยภูมิหลังเกี่ยวกับครอบครัวของผม คุณปู่ของผมอาศัยอยู่ในฝูเจี้ยน[1]   แม้ว่าท่านจะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ท่านก็สามารถมุมานะให้ตัวเองศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยได้ (ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนในสมัยนั้น)   ท่านน่าจะมีชีวิตที่มั่งคั่ง แต่ท่านกลับทิ้งทุกสิ่งเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และมาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักรเพรสไบทีเรียน เนื่องจากผู้รับใช้ได้รับเงินเดือนน้อยมากในสมัยนั้น ลูกชายสามคนกับลูกสาวอีกหนึ่งคนของท่านจึงเติบโตขึ้นในสภาพที่ค่อนข้างยากจน

      บุตรชายทั้งสามของท่านเชี่ยวชาญด้านวิชาการมาก แต่คนที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น ชาง เทียน ซื่อ[2] คุณพ่อของผม ซึ่งเป็นลูกชายคนโต แม้ว่าคุณพ่อของผมจะเติบโตขึ้นในครอบครัวคริสเตียน แต่ท่านเองกลับไม่ได้เป็นคริสเตียนและไม่เคยสนใจสิ่งฝ่ายวิญญาณเลย ท่านรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ยากจน จึงตัดสินใจมุ่งหาชีวิตที่ดีกว่า ท่านได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก เพราะคะแนนเฉลี่ยของท่านอยู่ราวๆ 97%   เมื่อท่านเรียนจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ท่านทำลายสถิติได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุดของมหาวิทยาลัย ท่านจึงถูกส่งไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด[3] ในสหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโท ซึ่งท่านก็สามารถจบปริญญาโทได้ในเวลาประมาณเก้าเดือนเท่านั้น ท่านรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังดีไม่เท่ากับสถาบันบางแห่งในยุโรป ดังนั้นท่านจึงไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ยุโรป

      ท่านเป็นคนที่มีความจำดีเยี่ยม ทั้งยังมีทักษะทางด้านภาษาอย่างน่าแปลกใจ ท่านเรียนภาษาแบบสนุกๆ ท่านใช้เวลาเรียนภาษาฝรั่งเศสแค่สามเดือน ก็พูดได้คล่องมากจนหลายคนคิดว่าท่านได้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส (ท่านเคยศึกษาที่นั่นจริง แต่แค่ช่วงสั้นๆ ที่ซอร์บอนน์[4] ในปารีส) ท่านตัดสินใจเรียนภาษาเยอรมันด้วย ดังนั้นท่านจึงไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก[5]เป็นเวลาสามเดือน เมื่อถึงปลายเดือนที่สาม ท่านก็พูดภาษาเยอรมันได้ดี ท่านกลายเป็นคนที่ภาคภูมิใจและมั่นใจในความสามารถของตัวท่านเองมากขึ้น ไม่ว่าท่านจะไปศึกษาที่ไหน จะเป็นที่ฮาร์วาร์ดหรือในยุโรป ท่านจะได้ทุนการศึกษาอยู่เรื่อยๆ อันที่จริงแล้วท่านได้รับเงินจำนวนมากจากทุนการศึกษา จนท่านสามารถสนับสนุนน้องชายทั้งสองของท่านจนจบมหาวิทยาลัยได้ และยังมีเงินเหลือพอที่จะใช้เดินทางในที่นั่งชั้นหนึ่งไปอเมริกาได้อีก ท่านได้ลิ้มลองรสชาติของชีวิตที่ดีและสุขสบาย

       นั่นคือภูมิหลังของครอบครัวผม เนื่องจากคุณพ่อของผมมีความปราดเปรื่องทางการศึกษา จึงทำให้ผมซึ่งเป็นลูกเพียงคนเดียวของท่าน ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นในบรรยากาศของการศึกษาด้วย ท่านเป็นคนที่ชอบท้าทายทางการศึกษาและยังเป็นคนที่รักชาติอย่างมากด้วย ความฝันของท่านคือการดึงประเทศจีนออกจากยุคกลาง และสร้างชาติให้ก้าวหน้าและทันสมัย เป็นประเทศจีนใหม่! ท่านศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์เพราะท่านตระหนักว่าการสร้างประเทศจีนจะต้องเริ่มที่เศรษฐกิจก่อน หลังจากนั้นก็การทหาร ท่านเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างชาติให้แข็งแกร่งและก้าวหน้าทางวิทยาการ

      คุณพ่อของผมทำให้ผมเป็นคนรักชาติด้วยเช่นกัน   ท่านมักจะพูดคุยกับผมถึงความรุ่งเรืองของชาติจีนในอดีต ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ปลูกฝังการต่อต้านจักรวรรดินิยมและต่อต้านการล่าอาณานิคมไว้ในใจของผม ท่านรู้สึกโกรธที่ชาวต่างชาติฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของประเทศจีน เข้ามาปล้นสะดม เหยียบย่ำ และหลู่เกียรติด้วยข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรม ฉะนั้นผมจึงเติบโตขึ้นด้วยความรู้สึกเกลียดชังชาวตะวันตกอย่างมาก ความรู้สึกของผมที่ต่อต้านชาวตะวันตกได้รุนแรงขึ้นจากการที่ผมเติบโตขึ้นในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติเข้ามาตั้งนิคมอยู่หลายส่วน เช่นนิคมของฝรั่งเศส นิคมของอังกฤษ นิคมของญี่ปุ่น และนิคมอื่นๆอีก คุณอาจจะเคยเห็นภาพป้ายที่บอกว่า “ไม่อนุญาตให้สุนัขกับคนจีนเข้า” ติดไว้ตรงทางเข้าสวนสาธารณะ มีทหารต่างชาติอยู่ทุกหนทุกแห่ง ครั้งหนึ่งผมเห็นทหารอังกฤษกำลังเตะและต่อยช่างตัดเสื้อชาวจีนคนหนึ่ง ผมพูดในใจว่า “คอยดูนะไอ้พวกนี้ สักวันหนึ่ง ข้าจะสอนบทเรียนพวกแก!”

 

ความใฝ่ฝันของผม

      ผมมีความรักชาติเหมือนกับคุณพ่อของผม แต่ความใฝ่ฝันของผมแตกต่างจากความใฝ่ฝันของท่าน ท่านเน้นที่การสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง แต่ผมเน้นที่การสร้างการทหารให้เข้มแข็ง ผมจึงใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับการซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาการทางทหาร ผมศึกษาด้านนี้มากและชื่นชอบข้อเขียนของ ซู จี เหลียง[6] ในหนังสือ “สามก๊ก[7]

      ผมเรียนศิลปะการต่อสู้ เพราะผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง ผมจึงมีร่างกายที่กำยำมากจากการฝึกยูโดและมวยอย่างคร่ำเคร่ง ผมเล่นกีฬาทุกชนิดเพื่อฝึกร่างกายของผม และเพื่อให้มีทักษะความเป็นผู้นำ ผมจึงลงมือจัดตั้งและฝึกทีมเบสบอลด้วยตัวเองคนเดียว เนื่องจากไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบสบอล ผมจึงต้องหาหนังสือเบสบอลมาอ่านและสอนเทคนิคในการเล่นกีฬาชนิดนี้ให้ตัวเอง จากนั้นผมก็ฝึกฝนเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบสบอลจนขึ้นมาเป็นผู้เล่นได้ ภายในสองปีเราก็ได้เล่นในดิวิชั่น “A” และท้าทายหลายทีมที่ดีที่สุดในเซี่ยงไฮ้ อะไรคือเคล็ดลับของเราหรือ? เคล็ดลับก็คือการอุทิศตนและการร่วมใจในทีมนั่นเอง

      ผมไม่ได้แค่ฝึกฝนทางร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังฝึกฝนสิ่งทางวิญญาณด้วย ผมสังเกตว่า ซู จี เหลียง และวีรบุรุษจีนคนอื่นๆ ในสมัยโบราณมีความเชี่ยวชาญในด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์เป็นอย่างดี พวกเขาสามารถศึกษาดวงดาวต่างๆ และกล่าวคำทำนายได้อย่างอัศจรรย์ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆ ครั้งหนึ่งเมื่อผมหยิบหนังสือเกี่ยวกับโหราศาสตร์เล่มหนึ่งมาดู ในนั้นได้ทำนายไว้ว่า สหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ปลายปี 1941 แล้วผมก็พลิกไปดูปีที่ผลิตหนังสือนี้ มันคือปี 1935! ผมประทับใจมากกับความแม่นยำจนทำให้ผมตั้งใจศึกษาหนังสือเล่มนั้น และได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับโหราศาสตร์จนถึงขนาดว่า เมื่อผมมองดูหน้าคน ผมก็สามารถบอกได้ว่าเขาเกิดในเดือนไหน คนรอบตัวค่อนข้างประหลาดใจที่ผมสามารถบอกสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆได้ ผมรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า โหราศาสตร์สามารถใช้งานได้อยู่บ้าง และก็แน่นอนว่ามีนักต้มตุ๋นที่หลอกลวงประชาชนด้วยทักษะปลอมๆ ทางโหราศาสตร์ แต่ก็ยังมีคนอื่นๆที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง ผมเลิกสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเมื่อผมมาเป็นคริสเตียน เพราะพระคัมภีร์เตือนเราว่าอย่าเล่นกับวิญญาณและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทำนองนี้

      ผมรู้สึกว่าผมนอนมากเกินไป ดังนั้นผมจึงลดเวลานอนให้น้อยลงเพื่อใช้เวลาศึกษาวิทยาการทางทหารให้มากขึ้น พวกคุณคงเห็นแล้วว่าผมเป็นคนแบบไหน เป็นคนที่ตั้งใจแน่วแน่และมีวินัย ที่ผมกำลังเตรียมตัวเองด้วยการฝึกฝนทางสติปัญญา ร่างกาย และความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ ก็เพื่อให้ความใฝ่ฝันของผมบรรลุเป้าหมายนั่นเอง

 

ความรู้สึกของผมที่ต่อต้านคริสเตียน

      ผมกลายเป็นคนที่ต่อต้านคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่คุณพ่อของผมได้บอกผมเกี่ยวกับคนต่างชาติที่มาอยู่ในจีน ท่านบอกผมว่าที่จริงแล้วมิชชันนารีจำนวนมากในประเทศจีนเป็นสายลับที่ถูกส่งไปในหลายส่วนของประเทศจีนภายใต้หน้ากากของงานเผยแพร่ศาสนา เพื่อจะให้ข้อมูลกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการทหารและเศรษฐกิจของประเทศจีน

      ผมรับเอาความรู้สึกที่ต่อต้านคริสเตียนไว้ แม้แต่ในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถม ที่คุณพ่อคุณแม่ของผมส่งผมไปเรียนโรงเรียนประถมของคาทอลิก ไม่ได้เป็นเพราะพวกท่านเป็นคนที่เชื่อถือในศาสนา แต่เป็นเพราะบรรดาโรงเรียนคาทอลิกในเซี่ยงไฮ้มีมาตรฐานการศึกษาที่สูง แต่มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนของคาทอลิกในโรงเรียนแห่งนี้ทำให้ผมสะดุดอย่างแรง บาทหลวงของคาทอลิกส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่น่าขยะแขยง ผมไม่เห็นความเป็นคริสเตียนในพวกเขา พวกเขาเย็นชา ขาดความรัก และไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของนักเรียนเลยแม้แต่น้อย ชีวิตในโรงเรียนประจำของคาทอลิกแห่งนี้ก็เหมือนกับติดคุก โรงเรียนมีกำแพงสูงและหน้าต่างทุกบานก็มีลูกกรงแน่นหนา ผมเคยหนีออกจากโรงเรียนถึงสองครั้ง ทุกอย่างในโรงเรียนจะอยู่ภายใต้การควบคุมที่เผด็จการ เราต้องเข้าแถวและเดินแถวไปด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปเข้าชั้นเรียน ไปห้องอาหาร หรือไปอาคารนอนของเรา ความรู้สึกของผมที่ต่อต้านคริสเตียนทำให้ผมเชื่อในพระเจ้าได้ยาก ผมกลายเป็นคนที่ต่อต้านคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นอย่างนี้จนกระทั่งพวกคอมมิวนิสต์เข้ามาปกครอง

 

ช่วงสงคราม

      ในช่วงสงคราม คุณพ่อของผมเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่บริหารงานหลายอย่างในนานกิง[8] ศูนย์กลางการบริหารงานของท่านในนานกิง ถือเป็นอาณาเขตที่มีสิทธิของตนเอง ที่มีการคุ้มกันโดยกองทหารของตนเอง และมีกำแพงเมืองตลอดจนมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของตนเอง คุณพ่อของผมมีหลายเหล่าทัพอยู่ภายใต้การดูแลของท่านพร้อมด้วยนายพลสองคนที่คอยบังคับบัญชาเหล่าทัพเหล่านั้น (คนหนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงคือ ซุน ลิ เหริน[9] ซึ่งต่อมาได้เป็นเสนาธิการบังคับบัญชาในไต้หวัน) ผมจึงเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ผมได้ใช้สิทธิ์กับอำนาจที่แทบจะไร้ขีดจำกัดภายใต้พรรคชาตินิยม[10] แม้ผมจะเป็นแค่วัยรุ่น แต่ทหารที่เวรยามก็ต้องทำความเคารพผมเมื่อผมเดินผ่านไม่ว่าที่ใด และเจ้าหน้าที่รัฐบาลจะต้องออกมาต้อนรับผม และถ้าผมอยากจะเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ไปยังนานกิง เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็จะมาที่บ้านของเราในเซี่ยงไฮ้ แล้วพาผมไปยังสถานีรถไฟด้วยลิมูซีน รถเก๋งขนาดใหญ่ เมื่อผมมาถึงนานกิง ก็จะมีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่งมาคุ้มกันผมไปยังสำนักงานของคุณพ่อ สิทธิพิเศษและอำนาจที่ผมได้รับ กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้เยาว์วัยอย่างผม

      สงครามรุนแรงขึ้น พรรคชาตินิยมพ่ายแพ้การสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งรุกเข้ามาทางใต้อย่างต่อเนื่อง คุณพ่อของผมต้องตัดสินใจว่าจะสู้ต่อไปหรือจะถอย ในขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มสะอิดสะเอียนอย่างมากกับการคอรัปชั่นที่แพร่หลายในหมู่พรรคชาตินิยม หลายเหล่าทัพของพรรคชาตินิยมก็ค่อนข้างจะไม่ขึ้นต่อกัน และไม่ยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง ข้อนี้เปิดทางไปสู่การข่มเหงอย่างแรง  คุณพ่อของผมเอือมระอากับการคอรัปชั่นที่กำลังลุกลามในประเทศจีน การยืนหยัดต่อสู้กับคอรัปชั่นทำให้ท่านขัดแย้งกันกับเพื่อนจำนวนมากที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล เมื่อ วัง ยุน วู[11] ที่ปรึกษาของท่านและเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายปฏิบัติการได้ลาออก คุณพ่อของผมก็ถือโอกาสลาออกพร้อมๆกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนอื่นๆ อีกหลายคน ท่านลาออกจากคณะรัฐบาลได้ไม่นานก่อนพรรคคอมมิวนิสต์จะบุกมาถึงเซี่ยงไฮ้

      พรรคชาตินิยมต่างหนีออกจากเซี่ยงไฮ้เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์บุกเข้ามา แต่คุณพ่อของผมไม่ยอมหนีไปด้วย เพื่อนๆ ของท่านเตือนท่านว่า แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับรองลงมา อย่างเช่น พวกนายกเทศมนตรีของเมืองเล็กๆ ก็ยังถูกฆ่าตาย แต่คุณพ่อของผมพูดว่า “ผมไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ผมไม่เคยทำสิ่งใดผิดต่อประเทศของผม ผมไม่มีสิ่งใดที่ต้องละอาย ผมเคยต่อสู้กับพวกญี่ปุ่น ผมได้รับใช้ประเทศชาติของผม ให้พวกคอมมิวนิสต์ยิงผมเลย ถ้าพวกเขาอยากยิง แต่พวกเขาจะต้องบอกผมว่าจะฆ่าผมด้วยข้อหาใด” ก็จริงทีเดียว เมื่อพวกคอมมิวนิสต์เข้ามาในเซี่ยงไฮ้ พวกเขาก็ไม่เคยมายุ่งกับเราเลย มีคนจำนวนมากถูกฆ่าตายทุกวัน แต่พวกเขาปล่อยเราให้อยู่อย่างสงบ เพราะกองบัญชาการของพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับรายงานที่ดีๆ เกี่ยวกับคุณพ่อของผมจากสายลับของพวกเขา พวกเขาพบว่าประวัติของท่านสุจริต ไม่มีมลทินใดๆ ท่านไม่เคยทำสิ่งใดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศของท่านเอง หรือแม้แต่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์

      ต่อมาภายหลัง พวกเขาพยายามขอให้คุณพ่อของผมเข้าร่วมทำงานในรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ท่านก็ปฏิเสธที่จะทำงานกับพวกเขา ท่านกล่าวว่า   “ความจงรักภักดีคือหลักการของเราที่เป็นคนจีน เมื่อได้รับใช้รัฐบาลหนึ่งมาแล้ว ผมก็ไม่สามารถรับใช้อีกรัฐบาลหนึ่งได้” ท่านกล่าวเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นข้ออ้าง ภายหลังพวกเขาก็มาเชิญให้ท่านไปสอนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่ท่านก็บอกปัดอีกครั้งหนึ่ง ที่ท่านยังตัดสินใจอยู่ในประเทศจีน เพราะท่านอยากจะเห็นด้วยตาของท่านเองว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะสร้างประเทศจีนใหม่อย่างไร ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงยังคงอยู่ในประเทศจีน ในปี 1952 คุณแม่ของผมต้องออกจากประเทศจีนเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพอย่างหนัก (เป็นวัณโรค) ในที่สุดคุณพ่อของผมก็ตัดสินใจจะออกจากประเทศจีนด้วย พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ท่านไป แต่ในปี 1953 ท่านใช้จังหวะที่ดีออกจากประเทศจีน ดังนั้นผมจึงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในประเทศจีนโดยไม่มีเงินและทรัพย์สมบัติใดๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับความใฝ่ฝันของผม ที่จะสร้างประเทศจีนใหม่ให้แข็งแกร่ง?

 

เผชิญกับลัทธิวัตถุนิยมเพื่อความมั่งคั่งร่วมกัน

      ผมต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาควบคุมประเทศจีนอย่างเบ็ดเสร็จ ผมจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ของผมดี? สิ่งที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ อยู่ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์และทุ่มสุดตัวไปกับพวกเขา ผมสามารถเข้าร่วมกับกองทัพและไต่เต้าให้ตำแหน่งสูงขึ้นในพรรคคอมมิวนิสต์ได้ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพราะในฐานะนักเรียนรุ่นพี่ของโรงเรียนมัธยม ผมสามารถจะเริ่มเป็นนายทหารในกองทัพได้ทันที) นี่อาจจะทำให้ผมประสบความสำเร็จทางกองทัพคอมมิวนิสต์ได้

      แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะแสร้งทำ เพราะถ้าผมไม่ได้มีความเชื่อในลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง ผมก็ไม่สามารถจะเป็นคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงได้ แต่ถึงอย่างไร อย่างน้อยผมก็น่าจะเปิดโอกาสให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้พิสูจน์ให้ผมเชื่อ ผมจึงเริ่มต้นอ่านหนังสือคอมมิวนิสต์เกี่ยวกับลัทธิวัตถุนิยมเพื่อสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน[12] พร้อมๆ กับหนังสือเกี่ยวกับประวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย การที่ผมมีความรู้ในวิทยาการทางทหารนั้น ทำให้ผมพบว่าประวัติของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะหนังสือนี้ทำให้เข้าใจถึงกลยุทธ์ที่หลักแหลมทางทหารของท่านประธานเหมา

      แต่การอ่านหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อของคอมมิวนิสต์นี้กลับไม่ได้ทำให้ผมเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ตรงกันข้าม ผมได้ข้อสรุปว่า ลัทธิวัตถุนิยมเพื่อสร้างความมั่งคั่งร่วมกันเป็นหลักการที่ไม่มีเหตุผล แทนที่จะทำให้ผมนิยมชมชอบคอมมิวนิสต์มากขึ้น ลัทธิวัตถุนิยมเพื่อสร้างความมั่งคั่งร่วมกันกลับทำให้ผมต่อต้านคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น (เมื่อมองย้อนหลัง ผมอยากจะพูดในตอนนี้ว่า เป็นไปได้มากที่ลัทธิวัตถุนิยมเพื่อสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน ได้ช่วยผมให้มาเป็นคริสเตียนในภายหลัง)

      ผมสามารถบอกได้จากการอภิปรายในชั้นเรียนว่า แม้แต่สมาชิกของสมาพันธ์ยุวชนคอมมิวนิสต์บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับลัทธินี้ ครั้งหนึ่งมีบางคนถามสมาชิกพรรคคนหนึ่งเกี่ยวกับจุดกำเนิดของชีวิต เขาตอบว่า “นั่นง่ายมาก ชีวิตก็มาจากสิ่งไม่มีชีวิตนั่นเอง!” แม้แต่พวกนักเรียนที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจกับคำตอบนั้น เพราะโอกาสที่จะเกิดเช่นนั้นได้นั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน จริงๆ แล้วมันต้องใช้ความเชื่อมากขึ้น เพื่อเชื่อว่าชีวิตมาจากสิ่งไม่มีชีวิต มากกว่าที่จะเชื่อว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจในประเด็นเหล่านี้มากนัก ผมสนใจแต่เพียงว่าผมจะทำอะไรต่อไปดี


[1] Fujian

[2] Chang Tien-Tze

[3] Harvard University

[4] Sorbonne

[5] Heidelberg University

[6] Zhu Ge Liang

[7] The Tales of The Three Kingdoms

[8] Nanjing

[9] Sun Li Ren

[10] Nationalists หรือ คณะผู้รักชาติ

[11] Wang Yun Wu

[12] Dialectical materialism หรือวัตถุนิยมวิภาษวิธี