pdf pic

บทนำ

 

Color 5 

 

      ขณะที่คุณกำลังฟังคำพยานของผม ผมหวังว่าความสนใจของคุณจะมุ่งจดจ่อกับสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงกระทำ ในการกล่าวคำพยานนั้นสิ่งที่ผมกลัวก็คือ ผู้ฟังจะมุ่งความสนใจไปที่ตัวบุคคลที่กล่าวคำพยานมากกว่าจะมุ่งความสนใจไปที่พระเจ้า และถ้าคุณรู้สึกประทับใจแต่เฉพาะการอัศจรรย์ของพระเจ้าเท่านั้น คุณก็จะพลาดจุดประสงค์ที่สำคัญไป แต่ถ้าสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในชีวิตของผม ทำให้คุณต้องพูดกับตัวคุณเองว่า “ถ้าพระเจ้าทรงสามารถทำอย่างนั้นกับชีวิตของเขาได้ พระองค์ก็ทรงสามารถทำอย่างนั้นกับฉันได้” คุณก็กำลังฟังคำพยานของผมอย่างถูกวิธี

      มีหลายคนหลังจากที่ได้อ่านประสบการณ์ของเปาโลในพระคัมภีร์แล้ว จะพูดกับตัวเองว่า “มีแต่เฉพาะบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างอัครทูตเปาโลเท่านั้น ที่สามารถมีประสบการณ์กับพระเจ้าได้อย่างมากขนาดนั้น พระเจ้าคงไม่ทำอย่างนั้นกับฉัน เหมือนที่พระองค์ได้ทรงทำกับเปาโลหรอก” หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอ่านพระคัมภีร์ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาใช้กับเราได้โดยตรง พระคัมภีร์ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะเป็นเพียงการรวบรวมเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างเช่น เปาโล และเอลียาห์ แต่ยากอบบอกว่า “เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเรา” (ยากอบ 5:17) แต่เอลียาห์คนเดียวกันนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านบนภูเขาคารเมล โดยส่งไฟลงมาจากสวรรค์เพื่อเผาเครื่องบูชานั้น (1 พงศ์กษัตริย์ 18:38) เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคุณบ้างไหม ที่พระเจ้าอาจต้องการให้คุณทำอย่างเดียวกันนี้? ความจริงแล้ว เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย

      นานก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์บนภูเขาคารเมล เอลียาห์ได้ประกาศแล้วว่า จะไม่มีฝนตกในอิสราเอลเป็นเวลาสองสามปี (1 พงศ์กษัตริย์ 17:1) นี่เป็นการพิพากษาชนอิสราเอลที่กบฏต่อพระเจ้า และก็เป็นจริงตามนั้น พระเจ้าทรงไม่ให้ฝนตกเป็นเวลาสามปีครึ่ง จนกระทั่งถึงวันที่ต้องจดจำบนภูเขาคารเมล เมื่อเอลียาห์อธิษฐานขอให้ฝนตก (18:1,45) พระเจ้าทรงใช้คนๆหนึ่งผู้มีสภาพเหมือนกับเราและยังมีความอ่อนแอเหมือนกับเรา เพื่อนำชนอิสราเอลกลับมาหาพระองค์ หากคุณอธิษฐานอย่างที่เอลียาห์อธิษฐาน พระเจ้าก็สามารถใช้คุณได้อย่างมีพลานุภาพเช่นกัน ในยุคนี้ เราต้องการคนที่รู้จักการเดินกับพระเจ้า และที่พระเจ้าจะทรงสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผ่านเขาได้

 

คำพยาน ไม่ใช่ชีวประวัติบุคคล

      ก่อนจะเริ่มคำพยานของผม ผมต้องขอชี้แจงว่า คำพยานไม่ได้หมายถึงชีวประวัติบุคคล ชีวประวัติบุคคลคือเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง และคนๆนั้นเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวที่เต็มด้วยรายละเอียดส่วนตัว เช่น สถานที่เกิด ภูมิหลังครอบครัว การศึกษา ความสำเร็จ และเหตุการณ์สำคัญๆในชีวิตของเขา แต่คำพยานจะแตกต่างกันอย่างแท้จริงคือ คำพยานเป็นการเป็นพยานถึงพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ พระเจ้าคือผู้ที่เป็นศูนย์กลางของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ผู้ให้คำพยาน ดังนั้นคำพยานและชีวประวัติบุคคลจึงมีลักษณะที่ต่างกัน อย่างแรกมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง อย่างหลังมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง มันเป็นไปได้ที่จะทำให้ชีวประวัติบุคคลมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางมากกว่า แต่นั่นก็จะเป็นการปนกันของคำพยานและชีวประวัติบุคคล

      ที่พูดมาทั้งหมดนี้ จุดสำคัญของผมในการกล่าวคำพยานนั้น เป้าหมายของผมก็คือการทำหน้าที่เป็นกระจก ที่เมื่อคุณมองกระจก คุณจะเห็นพระสิริของพระเจ้า ไม่ใช่เห็นกระจก

      เมื่อคุณดูบันทึกในพระกิตติคุณ คุณจะสังเกตเห็นว่าบันทึกเหล่านั้นไม่ใช่ชีวประวัติบุคคลในความหมายปกติของคำ แต่เป็นคำพยานถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำในพระคริสต์เพื่อให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์ ที่จริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขียนชีวประวัติของพระคริสต์เพราะแม้แต่วันเกิดของพระองค์ก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระกิตติคุณ นอกจากนี้ก็ยังไม่มีบันทึกในวัยเด็กของพระองค์หลังจากที่เป็นทารกหรือมีรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ก่อนถึงช่วงอายุ 30 เว้นแต่เหตุการณ์ที่สำคัญในทางจิตวิญญาณเมื่อพระองค์อายุได้ 12 ปี พระกิตติคุณทุกเล่มจะมุ่งเน้นไปที่สามปีสุดท้ายของพันธกิจของพระองค์ในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในสัปดาห์สุดท้ายที่นำไปสู่การสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระองค์

      จากเรื่องทั้งหมดนี้จะเห็นว่า พระเจ้าทรงทำงานอย่างมากมายในพระคริสต์ เพื่อให้แผนการแห่งความรอดนิรันดร์ของพระองค์ที่มีสำหรับเราเป็นผลสำเร็จ เราจะเห็นจากพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าได้ทรงทำให้แผนการการไถ่มวลมนุษย์เกิดขึ้นทางพระคริสต์ในหกวันสุดท้ายของพันธกิจในโลกของพระเยซู ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูทรงได้รับการชโลมจากมารีย์ที่เบธานีในการเตรียมฝังพระศพของพระองค์ (ยอห์น 12:1-3,7) เปาโลกล่าวว่า “พระคริสต์ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเรา ได้ถูกถวายบูชาแล้ว” (1 โครินธ์ 5:7)

 

ไม่มีการพูดเกินจริง

      มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากอธิบายให้เข้าใจว่า เป้าหมายในการกล่าวคำพยานของผมนั้นจะไม่มีการพูดเกินจริง นี่คือหลักการที่ผมดำเนินชีวิต ถ้าผมจำบางอย่างได้ไม่แม่นยำ ผมก็จะไม่พูดถึงมัน เพราะผมอาจบิดเบือนความจริงหรือพูดเกินจริงไป บางคนที่ได้ยินคำพยานอาจจะพูดว่า “โอ้ น่าประทับใจ สิ่งที่พูดมาทั้งหมดน่าทึ่งทีเดียว พวกเขาอาจพูดเกินความจริงก็ได้” ผมขอรับประกันและพระเจ้าทรงเป็นพยานให้ผมได้ว่า ผมไม่ได้พูดเกินจริง เพราะการพูดเกินจริงตามหลักแล้วเป็นการโกหก มันเป็นความเท็จ คุณได้ทำให้เรื่องใหญ่โตกว่าที่เป็นจริงและนั่นเป็นการปลอมแปลง คุณจะเห็นหลักการเดียวกันนี้ในพระกิตติคุณทั้งหมดที่ไม่มีการพูดเกินจริง ความจริงแล้ว เหตุการณ์สำคัญๆมักจะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เหมือนว่าเป็นเรื่องตามปกติ

 

เมื่อพระองค์เสด็จมาเกือบถึงประตูเมือง มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เขาเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย ชาวเมืองมากมายมากับหญิงนั้น  เมื่อพระองค์ทรงเห็นนางก็ทรงสงสารนางยิ่งนักและตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปแตะโลงศพ คนหามก็ยืนนิ่ง พระองค์ตรัสว่า “พ่อหนุ่ม เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด! ผู้ตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูดจา พระเยซูจึงทรงมอบเขาคืนให้มารดา (ลูกา 7:12-15 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

 

      การกระทำที่น่าอัศจรรย์ในการชุบคนตายให้ฟื้นขึ้นนี้ได้บันทึกไว้ในสี่ข้อสั้นๆ! คุณไม่สามารถจะบันทึกเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ในแบบที่สั้นกว่าและน่าทึ่งน้อยกว่านั้นได้ นักข่าวยุคใหม่จะเขียนแบบนี้ไหม? ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับการเขียนจะพูดว่า “คุณต้องขัดเกลาเรื่องราว เพิ่มรายละเอียดและทำให้มันน่าสนใจและน่าตื่นเต้นมากขึ้น” ที่จริงแล้ว มีนักเทศน์หลายคนทำแบบนั้นกับเรื่องราวนี้ พวกเขาอาจไม่ได้พูดเกินจริง (เป็นเรื่องยากที่จะทำให้การเป็นขึ้นจากความตายมีความหมายมากกว่าที่เป็นอยู่นี้!) พวกเขาแค่ต้องการทำให้เรื่องราวจากพระกิตติคุณสั้นๆนั้นฟังดูดีขึ้น แต่จุดสำคัญที่ควรสังเกตก็คือว่า ในพระกิตติคุณเองไม่ได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นผมจะพยายามทำตามพระกิตติคุณในแง่นี้ ถึงแม้ว่าผมอาจไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะเราทุกคนมักจะถูกทำให้ตื่นตาตื่นใจในการจดจำเหตุการณ์ที่น่าทึ่งเหล่านั้น แต่ไม่ว่ากรณีใดๆ เราจะต้องไม่เพิ่มเติมสิ่งใดที่ไม่ได้มีอยู่เดิม ความเท็จไม่ว่าจะในแบบใดๆ ก็ไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าของเราที่บริสุทธิ์

 

เราทุกคนถูกเรียกให้เป็นพยาน

      ในการกล่าวคำพยานของผม ผมก็แค่เป็นพยาน การเป็นพยานเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนสามารถทำได้และควรจะทำ คุณอาจหรือไม่อาจสามารถเทศนาได้ นั่นไม่สำคัญ แต่คุณสามารถเป็นพยานได้และคุณจะต้องเป็นพยาน อย่าบอกกับตัวเองว่า “เขาควรเป็นคนที่จะเป็นพยานเสียเอง” ไม่ใช่เลย ผมแค่ทำเป็นตัวอย่างให้คุณทำตามและขอเน้นจุดประสงค์นี้อีกครั้งเพราะว่า คริสเตียนทุกคนสามารถเป็นพยานและต้องเป็นพยาน

      พยานคืออะไร? พยานก็คือใครก็ได้ที่ได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง หรือมีประสบการณ์บางสิ่งบางอย่าง แล้วมาบอกคุณในสิ่งที่เขาหรือเธอได้เห็นหรือมีประสบการณ์ ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่แท้จริง คุณก็ต้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไรถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของคุณ? หากพระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของคุณ คุณก็จะมีประสบการณ์บางอย่างที่สำคัญ ซึ่งก็คือการอัศจรรย์ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง และถ้าคุณได้รับการเปลี่ยนแปลง คุณก็สามารถเป็นพยานถึงสิ่งนั้นได้ คุณก็สามารถพูดว่า “ฉันเคยเป็นแบบนี้มาก่อน และตอนนี้พระเจ้าได้ทรงทำให้ฉันมาเป็นคนใหม่ ฉันไม่ได้เปลี่ยนแบบทันทีโดยไม่มีเหตุ พระเจ้าทรงกระทำบางอย่างในชีวิตของฉัน และนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับคุณ”

 

พยานจะมีประสบการณ์โดยตรง

      พยานคือคนใดคนหนึ่งที่มีประสบการณ์โดยตรง นั่นคือเหตุที่มีการเรียกพยานเมื่อมีการพิจารณาคดีความกันในศาล พยานคือคนใดคนหนึ่งที่รู้เรื่องนั้นโดยตรงในกรณีนั้นโดยเฉพาะ ในทำนองเดียวกัน ใครก็ตามที่มีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้าก็สามารถเป็นพยานได้ ถ้าหากความเชื่อของคุณเป็นการเชื่อตามคนอื่น นั่นก็คือความเชื่อที่สร้างขึ้นบนความเชื่อของคนอื่น คุณก็ไม่ใช่พยานที่แท้จริง คุณจะสามารถพูดได้อย่างมากที่สุดก็คือ “เพื่อนของฉันเชื่อ ดังนั้นฉันจึงเชื่อ เขารับบัพติศมา ฉันจึงรับบัพติศมา” นั่นคือความเชื่อตามคนอื่น เมื่อคนทั้งหลายไม่มีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่มีอะไรที่จะเป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์

      เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าหากคริสเตียนทุกคนเป็นพยานให้กับพระองค์ คริสตจักรจะเติบโตขึ้น ผมได้พูดบ่อยๆว่าคุณควรตั้งเป้าหมายขั้นต่ำของคุณที่จะเป็นพยานให้ได้ปีละคน ที่ในหนึ่งปีจะพาหนึ่งคนมาคริสตจักร ในหนึ่งปีมีกี่วันอาทิตย์หรือ? นั่นก็ขึ้นอยู่กับปีนั้น มี 52 หรือ 53 วันอาทิตย์ ถ้าภายใน 52 วันอาทิตย์ คุณไม่สามารถพาหนึ่งคนมาคริสตจักร อะไรคือปัญหากับความเชื่อของคุณหรือ? แต่ถ้าสมาชิกทุกคนในคริสตจักรพาหนึ่งคนมาคริสตจักร จะเกิดอะไรขึ้นกับคริสตจักรภายในหนึ่งปีหรือ? มันก็จะมีการเติบโต 100% คริสตจักรจะมีคนเพิ่มเป็นสองเท่าภายในหนึ่งปี ปีนี้คริสตจักรของคุณได้ถูกขยายเป็นสองเท่าไหม? อาจจะไม่ ถ้าอย่างนั้นก็มีบางคนไม่ได้เป็นพยาน หรือคนส่วนใหญ่ในคริสตจักรอาจไม่ได้เป็นพยานก็ได้ บางทีคุณอาจจะพยายามเป็นพยาน แต่ไม่มีใครฟังคุณ บางทีคำพยานของคุณไม่มีพลัง ไม่มีคุณภาพ ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีใครฟังเลย ดังนั้นคุณควรจะมองดูชีวิตคริสเตียนของคุณดีๆ แล้วถามว่า “มีอะไรผิดปกติกับฉันไหม?”

      ในพระคัมภีร์ คริสเตียนถูกเรียกว่า “ธรรมิกชน” ปัจจุบันนี้มีผู้เชื่อเพียงไม่กี่คนที่กล้าคิดว่าตัวเองเป็นธรรมิกชน หรือวิสุทธิชน แต่วิวรณ์ 14:12 บอกว่า ธรรมิกชนเป็นพยานให้กับพระเยซู หรือพูดได้ว่า ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่แท้จริง คุณก็จะเป็นพยานให้กับพระเยซู คุณเป็นพยานให้กับพระเยซูหรือไม่? ผมไม่ต้องการจะเป็นพยานกับคุณเพื่อให้คุณพูดว่า “ผู้ชายคนนี้มีประสบการณ์มากมายที่ไม่ธรรมดา” นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ ผมเป็นเหตุให้คุณทำสิ่งที่ผมกำลังทำหรือไม่ คุณอาจไม่ได้รู้จักองค์ผู้เป็นเจ้าเท่าผม คุณอาจไม่มีประสบการณ์มากมายที่จะบอกเล่า แต่มันสำคัญไหม? หากคุณมีหนึ่งประสบการณ์ที่จะบอกคนอื่นๆ ก็จงแบ่งปันต่อไปจนกว่าคุณจะมีสองประสบการณ์ และเมื่อคุณมีสองประสบการณ์ ก็ให้คุณบอกเล่าสองประสบการณ์นี้กับคนอื่นๆต่อไปจนกว่าคุณจะมีสามประสบการณ์ จากนั้นเรื่องของคุณก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ และคุณก็จะเป็นพยานให้กับพระเจ้ามากขึ้นและถวายพระเกียรติแด่พระองค์

 

ในการเป็นพยาน เราต้องดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะในพระคริสต์

      คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะ คุณรู้หรือไม่ว่า การเป็นพยานให้กับพระเยซูนั้นคือวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะ? คุณเข้าใจหรือไม่? นี่จะเห็นได้ในวิวรณ์ 12:11 “พวกเขาชนะมาร (ข้อ 9) ด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง” พวกเขาเอาชนะมารได้อย่างไรหรือ? ก็โดยสองสิ่งคือ พระโลหิตของพระเยซูและคำพยานของพวกเขาให้กับพระเยซู หลายคนรู้เรื่องเกี่ยวกับพระโลหิตของพระเยซู แต่นั่นยังไม่พอ นั่นเป็นเพียงแค่ด้านเดียว อีกด้านหนึ่งกำลังเป็นพยานให้กับพระเยซู พวกเขาเอาชนะมารด้วยการบอกทุกคนถึงประสบการณ์ของเขากับพระเยซู และวิถีทางที่พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา จงไปบอกเรื่องนี้กับผู้คน จงออกไปและเป็นพยานต่อไปให้กับองค์ผู้เป็นเจ้า แล้วคุณจะมีประสบการณ์กับชัยชนะ สิ่งนั้นอาจอธิบายได้ว่า ทำไมคริสตจักรจึงเต็มไปด้วยคริสเตียนที่พ่ายแพ้และไม่เติบโต นั่นเป็นเพราะคนทั้งหลายไม่ได้เป็นพยานให้กับพระเยซู พวกเขาจึงพ่ายแพ้และจมปลักอยู่ในความพ่ายแพ้ของพวกเขา

 

ความสำคัญของการเป็นพยาน เมื่อเทียบกับการเทศนา

      การเทศนานั้นง่ายหรือยาก? การเทศนาและการสอนนั้นค่อนข้างง่ายหากมันเป็นแค่เรื่องของความรู้ซ้ำๆ ที่คุณได้เรียนรู้ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือที่ทำให้ผมแปลกใจ คือผมได้รับสิ่งพิมพ์จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่บอกว่า ถ้าผมจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือน พวกเขาจะจัดเตรียมคำเทศนาให้ผมทุกวันอาทิตย์ มันน่าแปลกใจที่มีเรื่องแบบนี้อยู่ในคริสตจักร ดังนั้นผมจึงตระหนักว่า มีศิษยาภิบาลหลายพันคนต้องได้รับสิ่งพิมพ์แบบนี้ และกำลังเทศน์คำเทศนาที่พวกเขาไม่ได้เตรียม แต่พวกเขาเพียงแค่พูดตามเนื้อความที่คนอื่นเขียนแล้วส่งมาให้ทางไปรษณีย์! มันไม่ได้มีอะไรยากเลย

 

  2

อีริค ชาง ที่การประชุมในฮ่องกง ธันวาคม 2006

 

      แน่นอนว่าไม่มีอะไรผิดในการพูดตามคำเทศนาที่ดี ถ้ามันตอบสนองกับความต้องการของคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งโดยเฉพาะในเวลาที่เฉพาะ แต่ถ้าการเทศนาหรือการสอนเป็นเพียงการพูดตามความรู้ มันก็แค่มาจากสมอง ไม่ได้มาจากใจ เมื่อผมเทศนา ผมเทศน์จากใจ นี่เองเป็นเหตุที่การเทศนาทำให้ผมหมดแรง เพราะผมเทชีวิตของผมผ่านคำเทศนา ผมไม่ได้เทศนาจากสมองเท่านั้น หากมีใครคิดว่าสิ่งที่ผมเทศนาคือถ้อยคำทางปัญญาละก็ พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจคำเทศนาของผม ถ้าผมไม่ได้เทศนาจากใจ ก็เหมือนว่าผมไม่เทศนาเลย การเทศนาแบบนี้จะดึงพลังของคุณ หากคุณสามารถเทศนาห้ากัณฑ์ได้และไม่รู้สึกเหนื่อย คุณก็มีปัญหาแล้วหละ คุณจะต้องเทศนาจากผิดที่ และไม่ใช่จากใจแน่นอน

      การเทศนาสามารถเป็นแค่เรื่องของการพูดตามความรู้หรือทฤษฎี แต่การเป็นพยานเป็นสิ่งที่มาจากชีวิต เป็นสิ่งที่คุณได้มีประสบการณ์อย่างแท้จริง หากคุณไม่ได้มีประสบการณ์บางอย่าง คุณจะไม่สามารถเป็นพยานในสิ่งนั้นได้ แต่คุณก็สามารถเทศน์สิ่งที่คุณไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนได้ คุณสามารถจะพูดได้น้ำไหลไฟดับ ถึงการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นกับพระคริสต์ แต่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง พูดอีกอย่างก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ที่คุณเทศน์ แต่คุณจำเป็นต้องมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น หากคุณจะมาเป็นพยานที่แท้จริง ดังนั้นผมจึงขอหนุนใจให้คุณเป็นพยาน หากคุณไม่รู้วิธีเทศนาก็ไม่ต้องกังวล แต่จงเป็นพยานเพื่อที่จะมีชีวิตที่มีชัยชนะในพระคริสต์