pdf pic 

 

 

 

บทที่ 14

 ch1 1

 

บัพติศมาและชัยชนะ

ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด

2 พงศ์กษัตริย์ 13:14-19

มอนทรีออล, 6 กรกฎาคม 1981

      บัพติศมาเกี่ยวข้องกับการตายกับพระคริสต์ เพื่อจะเป็นขึ้นมากับพระองค์และเข้าสู่ชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่มีชัยชนะเหนือบาป  แต่เนื่องจากคุณได้ตายและชีวิตเก่าได้จบลง แล้วอะไรคือ “เคล็ดลับ” ในการเข้าสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะ?  มีพี่น้องชายคนหนึ่งเคยบอกผมว่า เขาไม่สามารถจะมีชัยชนะในชีวิตคริสเตียนได้  อะไรคือเคล็ดลับของชัยชนะ?  นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจะแบ่งปันกับคุณในคำสอนนี้

      ให้เราดู 2 พงศ์กษัตริย์ 13:14-19  พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้ผมทึ่งเมื่อผมมาเป็นคริสเตียนไม่นาน และผมก็กลับมาอ่านหลายครั้ง  นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนที่เกี่ยวกับการเอาชนะซีเรีย

14เมื่อเอลีชาล้มป่วยด้วยโรคที่จะต้องสิ้นชีวิต โยอาชกษัตริย์ของอิสราเอล​​เสด็จลงไปหาเขาและ​​กันแสงต่อหน้าเขา ตรัสว่าพ่อของข้า พ่อของข้า! รถรบและ​พล​ม้าแห่งอิสราเอล! 15เอลีชาทูลพระองค์ว่าขอทรงหยิบคันธนูและลูกธนูมา”  พระองค์จึงทรงหยิบคันธนูและลูกธนูมา 16แล้วเขาทูล​​กษัตริย์ของอิสราเอลว่าขอทรงเหนี่ยวคันธนู” ​พระองค์ก็ทรงเหนี่ยวมัน เอลีชาจึงวางมือของเขาบนพระหัตถ์ของกษัตริย์ 17  ​เขาทูลว่าขอทรงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก” ​พระองค์ก็ทรงเปิด แล้วเอลีชาจึงทูลว่าขอทรงยิงพระองค์ก็ทรงยิง และเขาทูลว่าลูกธนูแห่งชัยชนะขององค์ผู้เป็นเจ้า ลูกธนูชัยชนะเหนือซีเรีย  เพราะพระองค์จะทรงต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟกจนกว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาสิ้นไป 18เขาทูลต่อว่าขอทรงหยิบลูกธนูเหล่านั้น” ​พระองค์ก็ทรงหยิบ  และเขาทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่าขอทรงตีลูกธนูลงกับ​​พื้น​” ​พระองค์ก็ทรงตีสามครั้งแล้วก็​​หยุด 19แล้วคนของพระเจ้าก็โกรธพระองค์และทูลว่า “​พระองค์ควรจะตีสักห้าหรือหกครั้งพระองค์ก็จะได้ตีซีเรียจนกว่าจะทรงกำจัดให้สิ้นไป แต่บัดนี้​​พระองค์​​จะตีซีเรียได้แค่สามครั้งเท่านั้น (2 พงศ์กษัตริย์ 13:14-19 ฉบับ RSV)

หากพระเจ้าได้ประทานชัยชนะแก่เรา แล้วทำไมเราจึงไม่ได้รับชัยชนะ?

      พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้ผมทึ่งเมื่อผมมาเป็นคริสเตียนไม่นาน เพราะมีถ้อยคำสำคัญ  ผมสงสัยว่าคุณเห็นไหมว่ามันคืออะไร  มันเป็นถ้อยคำแห่งชัยชนะ

      โยอาชหรือที่เรียกกันว่าเยโฮอาช เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลที่เริ่มรัชสมัยของพระองค์ในปี 800 ก่อนคริสตกาล  พระองค์ทรงครองราชย์เป็นเวลา 16 ปีดังที่บอกเราไว้ในข้อ 10 ของบทเดียวกัน  ชื่อโยอาชหมายถึง “พระยาห์เวห์ประทานให้”

      พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้แก่เรา ดังนั้นคำถามจึงอยู่ที่ว่าเราได้รับชัยชนะหรือไม่  ระหว่างสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับสิ่งที่เราได้รับนั้น มักจะมีช่องว่างใหญ่  พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้เราที่เราทุกคนต้องการอย่างมาก  แล้วเหตุใดเราจึงไม่มีสิ่งที่พระองค์ประทานให้แก่เราล่ะ?  อะไรคือความเชื่อมโยงที่ขาดหายไประหว่างการมอบชัยชนะและประสบการณ์ของชัยชนะที่แท้จริง?  เราต้องพลาดบางอย่างในระหว่างนั้นแน่ๆ เว้นแต่ว่าเราพร้อมที่จะกล่าวว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานชัยชนะแก่เรา หรือว่าพระองค์ทรงต้องการจะให้เราดำเนินชีวิตอย่างพ่ายแพ้ หรือว่าพระคุณของพระองค์ไม่เพียงพอสำหรับเราที่จะได้รับชัยชนะในชีวิตคริสเตียน

      เมื่อเรามองดูที่คริสตจักร เราอาจพูดว่า “พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้คริสตจักรไหม?  ความงดงามที่พระเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรสำแดงนั้นอยู่ที่ไหน?  คริสตจักรเปล่งประกายความงดงามและพระสิริของพระองค์ให้กับโลกไหม?  คริสตจักรเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจฝ่ายวิญญาณอย่างที่พระเจ้าทรงต้องการให้เป็นอย่างนั้นไหม?”

      การถามคำถามนั้นก็เป็นการตอบคำถามแล้ว  คริสตจักรส่วนใหญ่ได้ล้มเหลวอย่างน่าสลดใจ ที่แน่ใจได้ก็คือ ทุกวันนี้ก็มีผู้รับใช้ที่ผิดธรรมดาของพระเจ้า เหมือนกับที่มีคนของพระเจ้าที่ผิดธรรมดาในสมัยของเอลีชา  ชาติอิสราเอลอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่มีเอลียาห์ มีเอลีชา มีคนของพระเจ้าคนอื่นๆอีก  แต่คริสตจักรไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพึ่งพาคนหนึ่งหรือสองคนเพื่อกอบกู้สิ่งที่เหลืออยู่ในชื่อ  คริสตจักรถูกเรียกให้เป็นความสว่างกับโลก เหมือนกับที่อิสราเอลถูกเรียกให้เป็นความสว่างกับคนต่างชาติ  พระเจ้าได้ทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ แต่อิสราเอลก็ล้มเหลวเหมือนกับที่เราได้ล้มเหลว  อะไรคือปัญหากับอิสราเอลและกับเราหรือ?

      ให้เรามาดูสถานการณ์กัน เอลีชาผู้เผยพระวจนะที่แข็งแกร่งกำลังจะสิ้นชีวิต โยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงหมดหวังและตรัสกับเขาว่า “พ่อของข้า! พ่อของข้า!  รถรบและพลม้าแห่งอิสราเอล!”  คำวิงวอนขอความช่วยเหลือของพระองค์ชี้ให้เห็นว่าเอลีชามีความสำคัญต่อความปลอดภัย อนาคต และการปกป้องอิสราเอล มากกว่ากองกำลังติดอาวุธรวมกันเสียอีก (พลม้าและรถรบจะเทียบเท่ารถถังในปัจจุบันนี้)  เอลีชามีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของกษัตริย์และความอยู่รอดของอิสราเอล แต่กำลังจะตาย  จึงไม่น่าแปลกใจที่กษัตริย์จะสิ้นหวังอย่างมาก!

      เป็นเรื่องน่าทึ่งที่ชายแข็งแกร่งคนหนึ่งมีความสำคัญไม่เพียงต่อคริสตจักรเท่านั้นแต่สำหรับทั้งชาติด้วย  สิ่งนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ และตัวอย่างหนึ่งนั้นเป็นชายที่ชื่อแอมโบรส[1]ซึ่งมีความสามารถมากกว่าบรรดาจักรพรรดิโรมันของเขา  บรรดาจักรพรรดิจะหันหน้ามาพึ่งแอมโบรสในช่วงวิกฤต เพราะเขาเป็นความหวังมากที่สุดของบรรดาจักรพรรดิ ไม่ใช่กองทัพของโรม  เมื่อชาวฮัน[2]ยืนอยู่ที่ประตูกรุงโรมพร้อมจะกวาดล้างกรุงโรมออกไปจากแผนที่ จักรพรรดิจะหันหน้าไปพึ่งใครหรือ ถ้าไม่ใช่แอมโบรสแห่งมิลาน?  นักรบฮันกำลังมีชัยชนะอย่างท่วมท้นไปทั่วยุโรป ที่กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าพวกเขา และตอนนี้พวกเขาก็มายืนอยู่ที่ประตูกรุงโรม  แอมโบรส ชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ สามารถทำให้ชาวฮันหันหลังกลับจากประตูกรุงโรมได้สำเร็จ โดยที่จักรพรรดิรู้ดีว่ากองทัพของกรุงโรมจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ

โยอาชล้มเหลวเพราะขาดความเชื่อ

      ในทำนองเดียวกัน กษัตริย์ของอิสราเอลก็พึ่งพาเอลีชาชายที่แข็งแกร่งของพระเจ้า เพื่อปกป้องจากซีเรีย  ซีเรียเป็นภัยอันตรายต่ออิสราเอลมาช้านาน คอยโจมตีอิสราเอลครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้อิสราเอลต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและการทหารอย่างต่อเนื่อง  นั่นเป็นเรื่องน่าขำที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะในยุคปัจจุบันของเรา อิสราเอลก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายกับซีเรียอีกครั้ง  หลังจากผ่านไปสองสามพันปี เราก็ยังเจอสถานการณ์ที่คล้ายกัน  ผมสงสัยว่าประวัติศาสตร์จะแตกต่างกันไหม แบบที่ซีเรียในสมัยปัจจุบันจะไม่เป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ถ้ากษัตริย์โยอาชได้ทำในสิ่งที่เอลีชาต้องการให้พระองค์ทำ

      แม้ว่าเอลีชาจะอ่อนกำลังและกำลังจะตาย แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เอลีชาได้ให้โอกาสสุดท้ายแก่โยอาชในการถอนรากถอนโคนซีเรียออกไปตลอดกาล ที่เป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของอิสราเอล  แต่โยอาชก็พลาดโอกาสนี้ไป  มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?

      เราสังเกตเห็นบางอย่าง อย่างแรกคือ กษัตริย์ได้เชื่อฟังเอลีชาคนของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์และโดยไม่มีข้อสงสัย  ในข้อ 15 ถึง 18 กษัตริย์ได้ทำสิ่งที่เอลีชาบอกให้พระองค์ทำ  เอลีชาบอกว่า “ขอทรงหยิบคันธนูและลูกธนูมา” และกษัตริย์ก็หยิบคันธนูและลูกธนู  เขาบอกว่า “ขอทรงเหนี่ยวคันธนู” แล้วพระองค์ก็ทำ  เขาบอกให้พระองค์เปิดหน้าต่างด้านทิศตะวันออก พระองค์ก็เปิด  เขาบอกให้พระองค์ยิงธนูออกไปนอกหน้าต่าง และพระองค์ก็ทำ  พระองค์เชื่อฟังคำสั่งทุกประการ

      แต่มีก้าวถัดไปที่เอลีชาไม่สามารถนำพระองค์ไปถึงได้ นั่นก็คือการก้าวต่อไปด้วยความเชื่อ  นั่นคือสิ่งที่กษัตริย์ทรงล้มเหลว  พระองค์ไม่ได้ทรงล้มเหลวเพราะต้องการจะเชื่อฟัง แต่เพราะขาดความเชื่อ  ผมอยากให้คุณเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ความเชื่อเป็นสิ่งที่ไม่มีใคร ไม่ใช่ผม หรือใครอื่นที่จะทำให้คุณได้  เอลีชาไม่สามารถจะใส่ความเชื่อของเขาเองให้กับโยอาชได้  เมื่อมาถึงก้าวแห่งความเชื่อ ก็ต้องเป็นโยอาชเอง

      มีหลายประเด็นที่ผมอยากจะแบ่งปันกับคุณ

หลัก 5 ประการเกี่ยวกับความเชื่อและชัยชนะ

1. พระเจ้าได้ประทานชัยชนะแก่เรา แต่เราต้องมีความเชื่อจึงจะได้รับชัยชนะ

      จงสังเกตคำสัญญาซึ่งเป็นคำเผยพระวจนะของเอลีชาที่ให้กับโยอาชในข้อ 17

ลูกธนูแห่งชัยชนะขององค์ผู้เป็นเจ้า ลูกธนูชัยชนะเหนือซีเรีย  เพราะว่าพระองค์จะทรงต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟก จนกว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาสิ้นไป[3]

      เอลีชากำลังบอกกับโยอาชว่า เขาจะได้รับชัยชนะทั้งหมดเหนือซีเรีย (“จนกว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาสิ้นไป”)  อันที่จริง นี่เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับโยอาช  แต่สองข้อต่อมา คำสัญญาก็ถูกยกเลิกที่ว่า ซีเรียจะถูกโจมตีสามครั้งแต่จะไม่ถูกกำจัดให้สิ้นไป (ข้อ 19)  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะกษัตริย์ขาดความเชื่อที่จะใช้พระสัญญา  พระเจ้าได้ประทานชัยชนะแก่โยอาชเหนือซีเรีย ที่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ด้วยกำลังของตนเอง  ในสมัยนั้นซีเรียมีอำนาจมากกว่าอิสราเอลมาก

      เมื่อเอลีชาพูดว่า “ขอทรงตีลูกธนูลงกับ​​พื้น”  โยอาชทำอะไรหรือ?  พระองค์ก็ทรงหยิบลูกธนู ตีลงสามครั้งแล้วก็หยุด  คนของพระเจ้าก็โกรธพระองค์ว่า “พระองค์ทรงหยุดทำไม?  พระองค์ควรจะตีสักห้าหรือหกครั้ง!”  ผมสงสัยว่าคุณจะทำอย่างไรถ้าคนของพระเจ้าพูดกับคุณว่า “จงตีลูกธนูลงกับพื้น”  คุณอาจตีเพียงครั้งเดียวเพราะเอลีชาไม่ได้บอกว่าให้ตีกี่ครั้ง  นั่นจะทำให้คุณได้รับชัยชนะครั้งเดียว  อย่างน้อยโยอาชก็ตีถึงสามครั้ง หนึ่ง สอง สาม ซึ่งไม่เลวเลย แต่ก็ยังไม่ดีพอ  ผมกำลังบอกกับตัวเองว่า จากเรื่องนี้ผมได้เรียนรู้ว่า ผมควรจะตีและตีต่อไปจนกว่าเอลีชาจะพูดว่า “หยุด! หยุด!”  แล้วผมจะมีชัยชนะทั้งหมด

2. พระสัญญาแห่งชัยชนะของพระเจ้าเป็นความเมตตาของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์

      ประเด็นที่สองเกี่ยวข้องกับพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อโยอาช  โยอาชไม่คู่ควรกับคำสัญญาแห่งชัยชนะของพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้เป็นคนที่โดดเด่นในฝ่ายวิญญาณ  แต่กระนั้นพระเจ้าก็ได้ประทานพระสัญญานี้ให้กับเขาเพื่อเห็นแก่ชนอิสราเอล  อันที่จริง ข้อ 11 กล่าวว่าโยอาชทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทำตามความบาปของเยโรโบอัม  โยอาชเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายที่ไม่สมควรได้รับพระคุณหรือพระเมตตา  แต่ด้วยพระเมตตากรุณาของพระเจ้า จึงได้ประทานคำสัญญาแห่งชัยชนะแก่เขาเพื่อเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์

      คนบาปอย่างเราๆก็เช่นเดียวกัน  มีด้านไหนบ้างที่เราดีกว่าโยอาช?  แต่กระนั้นพระเจ้าก็ได้ประทานคำสัญญาแห่งชัยชนะแก่เราที่ต้องยึดไว้ด้วยความเชื่อ  แต่โยอาชไม่มีความเชื่อที่เพียงพอ  เขาเชื่อฟังและอาจมีความเชื่อบ้าง แต่มีความเชื่อไม่เพียงพอ  นั่นไม่ใช่ปัญหาของคริสเตียนหลายๆคนหรอกหรือ?  มีความเชื่อแต่ยังเชื่อไม่พอ  ดังนั้นคุณจึงมีชีวิตคริสเตียนแบบก้ำกึ่ง ที่คุณพ่ายแพ้สองสามครั้ง แล้วคุณได้รับชัยชนะอีกครั้งหรือสองครั้ง แล้วคุณก็พ่ายแพ้อีก  นี่เป็นชีวิตคริสเตียนแบบไหนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา?

3. ชัยชนะมาจากความเชื่อ การเชื่อฟังเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ

      ประเด็นที่สามคือ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง  แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง (ที่จริงแล้ว การเชื่อฟังเป็นส่วนสำคัญของความเชื่อตามในพระคัมภีร์) แต่ก็มีความแตกต่างกันด้วย  โยอาชเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์ก็เชื่อฟัง ผู้เผยพระวจนะเอลีชาในระดับที่น่าประทับใจและแสดงความเคารพอย่างมากต่อคนของพระเจ้าผู้นี้  มันเผยให้เห็นลักษณะเฉพาะบางอย่างของโยอาช ผู้น่านับถือมากกว่าคนจำนวนมากที่เห็นว่าตัวของพวกเขาเองดีเลิศ ชอบชื่นชมตัวของพวกเขาเอง  ถ้าเราคิดว่าเราเหนือกว่าโยอาช เราก็อาจกำลังหลอกตัวเราเอง

      แต่ตรงนี้เราจะเห็นว่าการเชื่อฟังนั้นไม่เพียงพอ  มีจุดหนึ่งที่การเชื่อฟังและความเชื่อแยกจากกัน โดยที่ความเชื่อไปไกลกว่าการเชื่อฟัง  เมื่อพูดถึงความเชื่อ จะมีจุดที่คนของพระเจ้าไม่สามารถจะพาคุณไปได้ไกลกว่านั้น  คุณต้องทำเอง  หลังจากโยอาชตีพื้นสามครั้งแล้วก็หยุด เอลีชาจึงบอกพระองค์ว่า “พระองค์ควรจะตีสักห้าหรือหกครั้งแล้วพระองค์จะมีชัยชนะเหนือซีเรียทั้งหมด  แต่พระองค์ทำไปแค่ครึ่งทางและนั่นยังไม่ดีพอ”

      แน่นอนว่า ถ้าเอลีชาบอกให้พระองค์ตีห้าหรือหกครั้ง โยอาชก็จะเชื่อฟังและตีห้าหรือหกครั้ง  แล้วทำไมเอลีชาจึงไม่บอกให้พระองค์ทำอย่างนั้นล่ะ?  เพราะหากเขาทำเช่นนั้น ชัยชนะเหนือซีเรียก็จะมาจากความเชื่อของเอลีชา ไม่ได้มาจากความเชื่อของกษัตริย์  แต่คำสัญญาแห่งชัยชนะนั้นให้กับกษัตริย์ ไม่ได้ให้กับเอลีชา  ความเชื่อของผมไม่สามารถมาแทนความเชื่อของคุณได้  เช่นเดียวกับที่ความเชื่อของคุณไม่สามารถมาแทนความเชื่อของผมได้  ผมต้องยืนหยัดหรือล้มลงด้วยความเชื่อของผม ไม่ใช่ของคุณ  เอลีชาต้องปล่อยให้พระองค์ทำเองที่จะตีพื้นตามความเชื่อของพระองค์ ซึ่งทำไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น เหมือนกับความเชื่อของคริสเตียนจำนวนมาก

4. โดยลักษณะพื้นฐานแล้วความเชื่อจะมีความริเริ่มและมุ่งสู่ชัยชนะ

      ความเชื่อและการเชื่อฟังต่างกันตรงไหนอีก?  ในประเด็นที่สี่นี้ ผมอยากจะนำเสนอความจริงที่ว่า ความเชื่อมีความริเริ่มบางอย่างซึ่งแตกต่างจากการเชื่อฟัง  การเชื่อฟังคือการทำสิ่งที่มีคนบอกให้คุณทำ แต่ความเชื่อเป็นการกระทำด้วยตัวคุณเองและทำต่อไปเอง  ด้วยการริเริ่มของความเชื่อ คุณจึงตัดสินใจอย่างฉลาดและสำคัญกับชีวิต

      ผู้ที่จะรับบัพติศมาในวันนี้ได้มีความริเริ่มนั้น ไม่ใช่เพราะมีใครกดดันให้พวกเขาไปรับบัพติศมา  พวกเขาได้ก้าวด้วยความเชื่อจากความริเริ่มของพวกเขาเอง  ผมไม่ได้บอกพวกเขาว่า “จงรับบัพติศมา”  ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถจะคาดคั้นผู้คนตลอดเวลาว่าพวกเขาพร้อมรับบัพติศมาหรือไม่  พวกเขาได้เดินหน้าอย่างนั้นเป็นการกระทำที่ริเริ่ม

      การรับบัพติศมาเป็นเพียงก้าวแรก เพราะจะมีอีกหลายก้าวมากที่ต้องก้าวในวันและปีต่อๆไป  เป็นสิ่งดีที่จะก้าวเป็นก้าวแรก แต่ถ้าคุณหยุดอยู่ตรงนั้น คุณจะไปไม่ถึงความสมบูรณ์ของชัยชนะ คุณจะต้องก้าวต่อไป แล้วก้าวต่อไป แล้วก็ก้าวต่อไป และก้าวต่อไปสู่ความสมบูรณ์ของชัยชนะ

      แต่มีหลายคนหยุดอยู่ที่ก้าวแรก นั่นคือการรับบัพติศมา แล้วพูดกับตัวเองว่า “ฉันมาถึงแล้ว!”  ไม่เลย คุณยังมาไม่ถึง  คุณได้ก้าวไปเพียงก้าวแรกของการเดินทางเท่านั้น และยังมีหนทางอีกยาวไกล  คริสเตียนบางคนก้าวไปก้าวที่สองแล้วตามด้วยก้าวที่สามอย่างช้าๆ แล้วก็หยุดลง  อีกไม่นานพวกเขาก็จะหันกลับ

      ทำไมโยอาชจึงหยุดหลังจากตีไปสามครั้ง?  ทำไมความริเริ่มของเขาจึงหยุดลงหลังจากการตีสามครั้ง?  ทำไมคนถึงหยุดก่อนเวลาอันควร แม้กระทั่งหันกลับ?  อะไรคือรากของปัญหา?  ทำไมเราจึงสูญเสียความต่อเนื่องของเรา?  ทำไมบางคนเหยียบเบรกในขณะที่คนอื่นเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ?

      เคล็ดลับก็คือการมุ่งต่อไปยังจุดหมาย  นั่นคือเคล็ดลับของเปาโล  เขาปฏิเสธที่จะหยุดหรือยอมให้สิ่งใดทำให้เขาหันเหไป  ความมุ่งมั่นของคุณจะถูกทดสอบด้วยไฟ  บางคนเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง ก็ท้อแท้ เสียขวัญหมดเรี่ยวแรง แล้วก็ชะลอลง  แต่นั่นเป็นสิ่งที่คุณจะต้องไม่ชะลอลง แต่ให้มุ่งต่อไป!  คุณต้องมุ่งต่อไปแม้ว่าคุณจะรู้สึกเหนื่อยและคุณจะก้าวไม่ออกและบอกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เหนื่อย”  เมื่อคุณกำลังรู้สึกเหนื่อย นี่แหละที่ซาตานจะพยายามรั้งคุณไว้  การหยุดอยู่ที่จุดนั้นจะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงสำหรับคุณ เพราะนั่นคือตอนที่ความเชื่อของคุณกำลังถูกทดสอบ  หากคุณก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง คุณอาจพบว่าในทันใดนั้นตัวคุณเองถูกยกขึ้นด้วยปีกของนกอินทรี!

      ผมได้ต่อสู้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายหลายครั้ง เหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ เหมือนคนของกิเดโอนที่ “อ่อนล้าแต่ยังคงลุกไล่” (ผู้วินิจฉัย 8:4)  แต่ถ้าคุณยืนหยัดและยังคงมุ่งต่อไป ในไม่ช้าคุณจะรู้สึกว่าคุณถูกยกขึ้น เพราะพระคุณของพระเจ้าได้เข้ามาครอง  ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ากำลังเปลี่ยนความพ่ายแพ้ที่จวนตัวให้เป็นชัยชนะอันงดงาม!

      คริสเตียนส่วนมากหยุดก่อนที่จะถึงจุดแห่งชัยชนะ และยอมแพ้กับแค่อีกเพียงก้าวเดียว!  แต่พระเจ้าจะช่วยให้คุณก้าวต่อไป  เอ ดับบลิว โทเซอร์ กล่าวว่าพระเจ้ามักจะให้คุณมาถึงจุดที่เจ็บปวดและท้อแท้ และจากนั้นก็มีชัยชนะ!  เมื่อคุณคิดว่าคุณไม่สามารถจะไปต่อได้และกำลังจะล้มลง คุณก็ถูกยกขึ้น  คุณจึงพูดว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน?  มันดีจนไม่น่าเชื่อ!”

      พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์ที่เลวร้ายเพื่อจะทดสอบความเชื่อของเรา เพราะโดยการทดสอบนั้นความเชื่อของเราจะเข้มแข็งขึ้น  ก็เช่นเดียวกับพ่อที่ฉลาด พระเจ้าจะไม่ตามใจเรา แต่จะปล่อยให้เราล้มลงเมื่อเรากำลังเรียนรู้ที่จะเดิน  เมื่อเราสะดุดหน้าทิ่มพื้น ปฏิกิริยาโดยธรรมชาติของเราจะพูดว่า “ฉันจะไม่ก้าวไปอีกก้าว!  เรื่องหัดเดินนี่ช่างไร้สาระ!  จมูกของฉันเขียวช้ำไปหมดแล้ว”

      ถ้าพ่อของคุณจูงมือคุณไม่ให้ล้มทุกครั้ง แล้วคุณจะเรียนรู้ที่จะเดินได้อย่างไร?  พ่อแม่ทุกคนรู้เรื่องนี้ และพระเจ้าต้องให้เรารู้ด้วย  เมื่อเราท้อแท้ นั่งร้องไห้กับพื้นและร้องครวญว่า “ฉันคงไม่มีวันทำได้!” นั่นจะเป็นเวลาที่พระองค์จะทรงปลอบโยนคุณ  พระองค์จะทรงยกตัวคุณขึ้นแล้วตรัสว่า “จงลุกขึ้นและดูสิ  เจ้าจะไม่เพียงแค่เดินได้เท่านั้น แต่จะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย”  นั่นยอดเยี่ยมไปเลย!  อย่างที่ผมได้พูดไปแล้วว่า เรื่องราวของเอลีชาและโยอาชทำให้ผมทึ่ง

5. ความเชื่อของคุณจะกำหนดระดับชัยชนะของพระเจ้าที่จะเป็นของคุณ

      เรื่องราวของโยอาชทำให้ทึ่ง เพราะมันบอกผมบางอย่างเกี่ยวกับความเชื่อ  ความเชื่อก็เหมือนการเปิดก๊อกน้ำที่เชื่อมต่อกับอ่างเก็บน้ำ แม้กระทั่งทั้งทะเลสาบ!  น้ำจากทะเลสาบไหลเข้าสู่บ้านของคุณผ่านทางก๊อกน้ำ  ถ้าคุณเปิดก๊อกแผ่วๆ คุณจะได้หยดน้ำจากอ่างเก็บน้ำ  ถ้าคุณหมุนแรงขึ้นคุณจะได้น้ำที่ไหลพอสมควร  แต่ถ้าคุณหมุนไปจนสุด คุณจะได้รับพระพรที่เทลงมา!  สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เราเองเป็นผู้กำหนดว่าชัยชนะของพระเจ้าจะเป็นของเราในระดับใด  พระเจ้าได้ทรงมอบสิ่งนี้ไว้ในมือของเรา!

      ลองนึกภาพในสถานการณ์ที่เรากระหายน้ำ  เราก็หมุนก๊อกเบาๆแล้วได้น้ำหยดเล็กๆ  แล้วเราก็พูดว่า “มีบางอย่างผิดปกติ  อ่างเก็บน้ำแห้งไปแล้วหรือ?”  เปล่าเลย อ่างเก็บน้ำยังไม่แห้ง  แต่คุณนั่นแหละไม่ได้เปิดก๊อกน้ำให้สุด

      หรือคุณอาจมองภาพความเชื่อในแง่ของมู่ลี่หน้าต่าง  ข้างนอกแสงแดดส่องจ้า แต่คุณนั่งอยู่ในความมืดอยู่ข้างใน  มันไม่ใช่เพราะดวงอาทิตย์ไม่ส่องแสง แต่เพราะคุณดึงมู่ลี่ลง  หากคุณดึงมู่ลี่ขึ้นเล็กน้อย ก็จะมีแสงเข้ามาบางส่วน  แต่ถ้าจะให้ได้แสงที่สว่างเต็มที่ ก็ต้องเปิดมู่ลี่ให้สุด!

การขาดชัยชนะของคุณจะส่งผลต่อผู้อื่น

      สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความเชื่อก็คือ ความเชื่อของเราส่งผลไม่เฉพาะตัวเราเท่านั้นแต่ส่งผลต่อผู้อื่นด้วย  ถ้าความเชื่อของคุณน้อย พระพรของคุณจะน้อย และคุณจะไม่มีอะไรมากที่จะแบ่งปันกับผู้อื่น  และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ถ้าคุณปิดประตูแห่งความเชื่อ คุณก็จะขัดขวางคนอื่นๆ  เราเห็นสิ่งนี้ในมัทธิว 23:13 ที่พระเยซูตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด! เพราะเจ้าปิดอาณาจักรสวรรค์ใส่หน้าคนทั้งหลาย เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไปพวกเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไป”  คุณได้ปิดประตูอาณาจักรกับคนอื่นๆ  ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้นที่ได้รับผลจากการขาดความเชื่อของคุณ  คนอื่นๆก็กำลังถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า

      คำถามของการได้รับชัยชนะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความรอดของผม  คุณและผมอาจต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของคนอื่น ที่เราได้ขัดขวางไม่ให้เข้ามาในอาณาจักร  พวกเขาจะมองดูพวกเราและพูดว่า “ใครล่ะจะอยากเป็นคริสเตียน?  ถ้าคริสเตียนเป็นอย่างนั้น ก็ลืมไปได้เลย!  ฉันไม่อยากเป็นเหมือนพวกเขา!”  นั่นเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ผมมาเป็นคริสเตียนอยู่เป็นเวลานาน  ผมมองดูคริสเตียนแล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเป็นเหมือนพวกเขา”

      เพื่อนๆของคุณมองเห็นอะไรเมื่อพวกเขามองมาที่คุณ?  พวกเขาพูดอย่างนี้ไหมว่า “ช่างเป็น คริสเตียนที่ดีจริงๆ!  นั่นคือสิ่งที่ฉันเรียกว่าชีวิตที่มีชัยชนะ!”  สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าเราจะเปิดประตูหัวใจของเราให้กว้าง เพื่อให้พระคุณของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในจิตวิญญาณของเรา  เราไม่สามารถจะดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วยกำลังของเราเองได้

“ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด”

      เรากำลังพูดถึงหลักการสำคัญในพระคัมภีร์ที่คริสเตียนจำนวนมากไม่ได้เรียนรู้ขั้นพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน  หลักการของชีวิตคริสเตียนที่เราเห็นครั้งแล้วครั้งเล่าได้สรุปไว้ในคำกล่าวว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด” (มัทธิว 9:29)

      ในเรื่องนี้ ชายตาบอดสองคนเข้ามาหาพระเยซูเพื่อขอให้พระองค์ทรงรักษาพวกเขา องค์ผู้เป็นเจ้าได้ตรัสถามพวกเขาว่า “ท่านเชื่อหรือว่าเราสามารถทำการนี้ได้”  พวกเขาตอบว่า “ข้าพระองค์เชื่อ” แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด”  และพวกเขาก็มองเห็นได้ทันที  คนตาบอดหลายคนยังคงตาบอดอยู่ แต่ชายสองคนนี้มีความเชื่อ “ข้าพระองค์เชื่อ พระองค์ทรงทำได้”  และพระเยซูได้ทรงทำ!  ผมสงสัยว่าเราได้พลาดพระพรในชีวิตไปกี่ครั้งแล้ว?

      หลักการ “ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่าน” นี้ยังเห็นได้ในมัทธิว 9:22 และ 15:28 และในพระกิตติคุณอื่นๆ (มาระโก 10:52; ลูกา 7:50; 17:19)  ชื่อโยอาชหมายถึง “พระเจ้าได้ประทานให้”  พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้แก่เรา  แต่เรามีชัยชนะหรือไม่?

จงเป็นเอลีชา ที่เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อ

      ในตอนท้ายนี้ ผมขอท้าทายพวกคุณเหมือนที่ผมท้าทายตัวเอง  ชีวิตคริสเตียนจะน่าตื่นเต้นสักแค่ไหนถ้าเราสามารถจะเรียนรู้การท้าทายนี้!  พระเยซูทรงต้องการให้สาวกเข้าใจความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดในชีวิตคริสเตียนเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” (มาระโก 9:23)  นั่นเป็นเรื่องที่ต้องคิด!  ในภาษากรีก “สำหรับคนที่เชื่อ” นั้นอยู่ในรูปของเอกพจน์และรวมถึงทุกๆคน  คุณสามารถเป็นเอลีชาได้!  ทำไมจึงพอใจที่จะเป็นโยอาชหรือ?

      เอลีชาเป็นศิษย์ที่ดี เพราะเขาเลียนแบบเอลียาห์ครูของเขา  ผมนึกถึงคำตรัสของพระเยซูบ่อยๆว่า “ศิษย์เสมอครูของเขาก็พอแล้ว” (มัทธิว 10:25)  เอลีชาเป็นเหมือนเอลียาห์ครูของเขาในหลายๆด้าน แม้กระทั่งวิธีที่ผู้คนพูดกับพวกเขา  โยอาชพูดกับเอลีชาว่า “พ่อของข้า พ่อของข้า!  รถรบและพลม้าแห่งอิสราเอล!” (2 พงศ์กษัตริย์ 13:14) เป็นถ้อยคำเดียวกับที่เอลีชาเคยพูดกับเอลียาห์ครูของเขาก่อนหน้านี้ (2:12) เพียงหลังจากที่เอลียาห์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์

ผมฝันถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถสร้างจากผมและคริสตจักรของพระองค์

      จงเรียนรู้บทเรียนของความเชื่อให้ดี “ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ!”  นั่นทำให้ความเป็นไปได้แบบไม่รู้จบของชีวิตคริสเตียนอยู่ต่อหน้าคุณ  ผมเห็นว่ามันท้าทายมาก!  ผมตั้งเป้าโดยพระคุณของพระเจ้าที่จะลุกขึ้นไปสู่ความเป็นไปได้เหล่านี้ และคุณรู้อะไรไหม?  ผมฝัน!  เมื่อคุณมองเห็นความเป็นไปได้เหล่านี้ต่อหน้าคุณ คุณจะเริ่มฝัน  หากไม่มีความเป็นไปได้ ก็ไม่มีอะไรจะให้ฝัน  ผมฝันถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำในคนชั่วอายุนี้ แม้จะผ่านชายที่อ่อนแอและไม่คู่ควรอย่างผม!  ผมไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถทำผ่านคนที่ไม่มีอะไรเหมือนผมได้นั้น ทำให้ผมตื่นเต้น!

      ผมฝันอะไรหรือ?  ผมฝันถึงสิ่งที่คริสตจักรสามารถจะเป็นได้  ผมเริ่มต้นกับตัวเอง  ผมฝันถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถจะสร้างจากผม ซึ่งเป็นก้อนดินที่ไร้ค่านี้  แม้ว่ายังเป็นคริสเตียนไม่นาน ผมก็เริ่มฝันแล้ว  ผมดูพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แล้วคุกเข่าต่อพระเจ้าพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์โง่เขลาฝ่ายวิญญาณ ข้าพระองค์ขาดความเห็นแจ้งและความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเมื่อข้าพระองค์อ่านพระวจนะของพระองค์  ขอทรงสอนข้าพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ และขอทรงทำให้ความคิดของข้าพระองค์กระจ่าง  ขอทรงให้ความสว่างแก่ความเข้าใจของข้าพระองค์เกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์  ขอทรงเปิดความเข้าใจให้ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะรับใช้พระองค์และนำพระคำแห่งชีวิตนี้ไปสู่ผู้อื่น”  นั่นคือสิ่งที่ผมฝัน

      ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของผม ที่จะให้เข้าใจพระคำของพระองค์อย่างลึกซึ้ง แต่สักพักมันก็เกิดขึ้น!  พระเจ้าได้ให้ผมเข้าใจทีละข้อที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เข้าใจ  ผมเต็มไปด้วยความยินดีและตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆในพระคำของพระเจ้า  นี่รวมถึงสิ่งต่างๆเกี่ยวกับอนาคต อดีต และปัจจุบัน  ผมยังได้สามารถใช้ดาบของพระวิญญาณในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ!  ดาบของพระวิญญาณเป็นอาวุธที่โดยพระคุณของพระเจ้านั้น ผมเริ่มควงอย่างมีทักษะอยู่บ้าง แม้ว่าจะยังมีอีกมากที่ให้เรียนรู้

      ผมฝันต่อไป  ผมมองดูคริสตจักรและกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องขอต่อพระองค์ให้ทรงสร้างคนแข็งแกร่งของพระเจ้าหลายๆคนขึ้นมาในคนชั่วอายุนี้สำหรับพระองค์เอง!”  ผมไม่เห็นสิ่งใดชัดเจนเลยเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เห็นอะไรเป็นเวลาสองปี แต่ผมยังพูดต่อไปว่า “ข้าแต่พระเจ้า ผู้คนอยู่ที่ไหนกันบ้าง?  ขอทรงสร้างคนเหล่านั้นในชั่วอายุนี้สำหรับพระองค์เอง!”  แล้วผมก็เริ่มเห็นพระเจ้าทรงสร้างคนของพระเจ้าขึ้น!  พระองค์ได้ตรัสกับผมว่า “นี่คือบางส่วนของพวกเขา จงฝึกอบรมพวกเขา”  นั่นมากกว่าที่ผมได้ต่อรองไว้ เพราะความคิดที่จะให้การฝึกอบรมนั้นผมไม่เคยมี  ผมไม่ได้ขอ แต่มันได้เกิดขึ้น  พระเจ้าทรงมอบงานบางส่วนของพระองค์ไว้ในมือของผม

      ผมยังคงฝันต่อไป โดยปรารถนาที่จะเห็นคริสตจักรในคนชั่วอายุนี้ฟื้นฟูขึ้น เมื่อคริสตจักรจะเป็นเหมือนรูปแบบของคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่อีกครั้ง  ผมหวังว่าคริสตจักรซึ่งเป็นสาวกกลุ่มเล็กๆ จะยึดมั่นต่อพระเจ้าและต่อกัน ดูแลกันและกัน และเสริมสร้างสาวกขึ้นในชุมชนที่มีความรักและความห่วงใยซึ่งกันและกัน ควบคู่กับมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ลึกยิ่งขึ้นในขณะที่พระกายของพระคริสต์เติบโตในคนชั่วอายุนี้

ไม่มีความฝันใดจะใหญ่เกินไปสำหรับพระเจ้า หากคุณแสวงหาสง่าราศีของพระองค์

      จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังคงฝันอยู่ โดยขอให้คริสตจักรของพระเจ้าได้ห่วงใยไปถึงประเทศจีนและโลกอย่างมีพลัง  และวันนั้นจะมาถึง!  แต่ไม่ว่าผมจะฝันอย่างจริงจังแค่ไหน ผมก็ไม่สามารถจะฝันถึงสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสิ่งที่เป็นไปได้อยู่แล้วโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

      เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำที่น่าทึ่งของพระเยซูที่ว่า “ทุกสิ่งเป็นไปได้กับผู้ที่เชื่อ” ให้เราอ่านเอเฟซัส 3:20-21

บัดนี้ ขอ​​ให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพที่ทำงานอยู่ภายในเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน (เอเฟซัส 3:20-21 ฉบับ RSV)

      จงดูถ้อยคำที่ว่า “บัดนี้ ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพที่ทำงานอยู่ภายในเรา”  แม้แต่ความคิดที่สูงสุดของคุณก็ยังต่ำกว่าสิ่งที่จะทำได้โดยฤทธานุภาพของพระเจ้า!  ผมมีความคิดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็คิดไม่ออกถึงสิ่งที่เกินกว่าฤทธานุภาพของพระเจ้าจะทำได้  พระองค์ทรงสามารถทำได้มากยิ่งกว่าที่คุณสามารถจะคิดได้  ฉะนั้นขอให้คิดหนักๆ  ผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะคิดหนักเกี่ยวกับคริสตจักรของพระเจ้าและสง่าราศีของคริสตจักร เพราะเมื่อนั้นแหละคุณจะมีสิ่งที่จะทูลขอ

      จงฉวยนิมิตของความเป็นไปได้ต่างๆ เพื่อเราจะได้มีแรงขับเคลื่อนให้มุ่งต่อไป  โยอาชไม่มีแรงขับเคลื่อนเต็มที่และขาดความเชื่อที่มีพลัง พระองค์ทรงหยุดหลังจากตีลงกับพื้นไปสามครั้ง  พระเจ้าจะทรงให้ชัยชนะต่อซีเรียแก่คุณเพียงสามครั้งหรือ?  จงจับลูกธนูและตีลงกับพื้นจนกว่าแขนของคุณจะอ่อนล้าและพระเจ้าจะประทานชัยชนะทั้งหมดให้กับคุณ!  อย่าให้ก๊อกน้ำไหลหยด  จงให้ไหลออกสู่น้ำลึก!

      ผมขอบอกคุณที่จะรับบัพติศมาในวันนี้และกำลังจะเริ่มเดินหน้าว่า ถ้าคุณอยู่บนทางนี้ จงเดินแม้คุณจะเมื่อยล้า จนกว่าพระเจ้าจะทรงยกคุณขึ้นด้วยปีกของนกอินทรี เพื่อคุณจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย และวันนั้นจะมาถึงเมื่อคนอื่นจะพูดกับคุณเหมือนที่พูดกับเอลีชาว่า “รถรบและพลม้าแห่งอิสราเอล”!  ความเชื่อในพระเจ้าจะปรากฏในชีวิตของคุณจนคนอื่นจะพูดว่า “คุณมีความสำคัญยิ่งต่อผู้คนของพระเจ้า ต่อคริสตจักรของพระเจ้า ต่ออิสราเอลฝ่ายวิญญาณ มากกว่ากองกำลังทั้งหมดมารวมกัน”  เมื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าถูกสำแดงออกมาในชีวิตของคุณ คุณก็จะมีชัยชนะ  ผมขออธิษฐานอย่างจริงจังว่า เราทุกคนจะมีประสบการณ์กับชัยชนะนี้ด้วยความเชื่อ


[1] Ambrose

[2] Huns

[3] หรือ 2 พงศ์กษัตริย์ 13:14 “ลูกธนูชัยชนะของพระยาห์เวห์ ลูกธนูชัยชนะเหนือซีเรีย เพราะฝ่าพระบาทจะทรงต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟก จนกว่าจะทรงทำให้เขาสิ้นไป” ตามฉบับมาตรฐาน 2011 (ผู้แปล)