pdf pic 

 

 

บทที่ 13

 

 ch1 1

 

อะไรคือเป้าหมายของคริสเตียน?

ฟีลิปปี 3:13-15

มอนทรีออล, 8 กันยายน 1996

      รามีพิธีบัพติศมาในวันนี้ ดังนั้นผมจึงอยากจะมาดูคำถามพื้นฐานสองสามข้อเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียนที่แสดงให้เห็นอย่างมีพลังในฟีลิปปี 3:13-15  ให้สังเกตเฉพาะคำที่เป็นตัวหนา

13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้า​​ได้ฉวยเอาไว้เอง แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือ ลืมสิ่งที่ผ่าน​​มา แล้วโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14ข้าพเจ้ามุ่งต่อไปสู่หลักชัยเพื่อจะ​​รับรางวัลซึ่งพระเจ้าทรงเรียกจากเบื้องบนในพระเยซูคริสต์  15ดังนั้นเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจงคิดอย่างนี้ และถ้าพวกท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงเปิดเผยให้​​ท่านรู้ด้วย (ฟีลิปปี 3:13-15 ฉบับ ESV)

      เปาโลกล่าวว่าพวกคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะคิดอย่างนี้ (ข้อ 15)  คิดอย่างไรหรือ?  เรื่องนี้มีอธิบายไว้ในข้อ 13 และ 14  คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่คิดว่าเขาได้มาถึงจุดที่เขาควรจะเป็นแล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะลืมสิ่งที่ผ่านมา และมุ่งชีวิตของเขาไปที่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าเขา

      การตีความของข้อ 13 ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดในแวบแรก  อย่างไรก็ตาม ผมขอฝากข้อนี้ให้พี่น้องหญิงของเราที่จะรับบัพติศมาในวันนี้ และก็ฝากข้อนี้ให้พวกคุณทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วย  ข้อนี้เป็นข้อที่ชื่นชอบกันที่จะเห็นในภาพโปสเตอร์ของคริสเตียน แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

      ข้อนี้มีหลักการที่สำคัญมาก  “ลืมสิ่งที่ผ่านมา” หมายถึงอะไรหรือ?  มันหมายความว่าเป็นการลืมทุกสิ่งในอดีต แม้แต่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สอนบทเรียนสำคัญๆแก่เราอย่างนั้นหรือ?  แต่ในส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์เดิมเป็นประวัติศาสตร์  ดังนั้น ถ้าเราลืมอดีตในแง่นั้น เราก็ไม่สามารถจะศึกษาประวัติศาสตร์หรืออ่านพระคัมภีร์เดิมในส่วนใหญ่ได้

      เมื่อเปาโลบอกว่าเขามุ่งต่อไปหรือโน้มตัวไปข้างหน้านั้น เขากำลังชี้ไปที่เป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าเขา  และเป้าหมายนั้นคืออะไรหรือ?  ถ้าผมถามคุณว่า “อะไรคือเป้าหมายของคุณในการเป็นคริสเตียน?” คุณจะตอบอย่างไร?  ผมได้พบคริสเตียนมากมายที่เชื่ออย่างจริงใจ แต่ก็ไม่สามารถบอกผมถึงเป้าหมายชีวิตคริสเตียนของพวกเขาได้  เป้าหมายคือการรู้พระคัมภีร์มากขึ้นใช่ไหม?  หรือว่าคือการเริ่มงานประกาศข่าวประเสริฐ?  ความหมายของข้อนี้ไม่ชัดเจนสำหรับคริสเตียนหลายคน  แต่ผมหวังว่าหลังจากการสอนเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจข้อนี้มากขึ้น  ผมจะพยายามอธิบายโดยใช้สามภาพ ประกอบดังต่อไปนี้

ซัดดัม ฮุสเซนทำสงครามกับชาวเคิร์ด

      ผมเรียนรู้ความจริงใหม่ๆในฝ่ายวิญญาณทุกวันจากการอ่านข่าวที่เกิดขึ้นรอบโลก  ทุกรายการข่าวที่สำคัญมีถ้อยคำที่สื่อทางจิตวิญญาณอยู่ในนั้น  พระเจ้าสามารถตรัสกับเราผ่านข่าวสารได้ ถ้าเรามีตาที่มองเห็นและมีหูที่ได้ยิน

      สองสัปดาห์ก่อน มีสิ่งที่เกิดขึ้นในอิรัก  ซัดดัม ฮุสเซน เพื่อนของเรากำลังมีความคิดใหม่ๆขึ้นมา  หลังจากประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในสงครามอ่าว (Gulf War) ในปี 1990-1991 คุณคงคิดว่าเขาทำสงครามมาพอแล้ว  แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เรียนรู้บทเรียนของเขาเลย ตอนนี้เขาต้องการจะเริ่มทำสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือกับชาวเคิร์ด ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศโดยรอบ  ทันใดนั้นขีปนาวุธเป็นชุดก็ยิงเข้ามาอีกครั้งและฝูงบินไอพ่นก็มาบินอยู่เหนือศีรษะ  เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้เขาเรียนรู้บทเรียนพื้นฐานบางอย่างในชีวิต?

      แต่นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคริสเตียนมากมายไม่ใช่หรือ?  ผมเห็นสิ่งพื้นฐานเดียวกันที่เกิดขึ้นกับพวกเขา  พวกเขามีประสบการณ์ที่เลวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา  แต่พวกเขาได้เรียนรู้อะไรไหม?  ก็ไม่เลย พวกเขายังคงสร้างความผิดพลาดเหมือนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า

การหย่าร้างของเจ้าหญิงไดอาน่าและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

      ประมาณสิบวันก่อน ก็มีอีกข่าวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความสัมพันธ์ ซึ่งคราวนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เป็นข่าวการหย่าร้างอย่างเป็นทางการของเจ้าหญิงไดอาน่าและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์  เราไม่ต้องเรียกเธอว่า “เจ้าหญิงไดอาน่า” อีกต่อไป  ไม่ต้องใช้ “ฝ่าบาท” กับเธออีกต่อไป เธอเป็นสามัญชนธรรมดาที่ลงมาจากความสูงส่งของราชวงศ์  แต่ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นได้หลังจากแต่งงานกันมา 15 ปี?

      การแต่งงานของไดอาน่าและชาร์ลส์นั้น เป็นการแต่งงานแบบในเทพนิยายที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว  หญิงสาวสามัญชนที่งดงามคนนี้ได้กลายเป็นเจ้าหญิง และมีความเป็นไปได้ตามหลักแล้วที่เธอจะได้เป็นพระราชินีแห่งจักรภพอังกฤษ!  ว้าว! นั่นคือความฝันของเด็กผู้หญิงทุกคนที่ว่า “ในไม่ช้าฉันก็จะเป็นเจ้าหญิงและต่อไปอาจจะเป็นราชินี!”  นี่เป็นเรื่องในนิทานและตอนนี้มันเป็นเรื่องจริง!  สามัญชนที่ชื่อไดอาน่าคนนี้กำลังจะได้เป็นเจ้าหญิง และอาจจะได้เป็นราชินีด้วยซ้ำ  เธอไม่ได้แต่งงานกับกษัตริย์แก่ๆที่หน้าตาน่าเกลียด แต่แต่งงานกับเจ้าชายที่หล่อเหลาเอาการ  คุณจำพระองค์ได้ในชุดเครื่องแบบของราชวงศ์ที่มีดิ้นและกระดุมสีทอง โดยมีดาบวาววับห้อยอยู่ข้างพระองค์  พระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและผมหยักศกสีน้ำตาล กษัตริย์แห่งจักรภพอังกฤษในอนาคตองค์นี้มัดหัวใจของสาวๆทุกคน!  นี่คือสิ่งสร้างจากความฝัน!

      เมื่อสิบห้าปีที่แล้วคนทั้งโลกได้เห็นงานแต่งงานอันวิจิตรและงดงามของพวกเขา แต่ตอนนี้เราได้ยินข่าวการหย่าร้างของพวกเขาแล้ว  แน่นอนที่เราไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เมื่อได้ยินปัญหาชีวิตการแต่งงานของพวกเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  และเมื่อได้มีประกาศการหย่าร้างของพวกเขาอย่างเป็นทางการ ความฝันนั้นก็ได้สิ้นสุดลง

      แต่ทำไมหรือ?  ทำไมคนหน้าตาดีสองคนที่มีอนาคตอันรุ่งโรจน์และทุกสิ่งที่โลกสามารถจะให้ได้กลับต้องมาหย่าร้างกัน?  คุณคิดอย่างไรหรือ?  คุณมีคำตอบให้กับคำถามนี้ไหม?  คุณอาจจะพูดว่ามันเป็นผลมาจากความแตกต่างของอุปนิสัย แต่ทุกคู่จะมีความแตกต่างของอุปนิสัย  มีสามีภรรยาคู่ไหนที่มีอุปนิสัยเหมือนกันทุกอย่างหรือ?  ความแตกต่างของอุปนิสัยนั้นมักจะไม่ทำลายการแต่งงาน เพราะจะมีวิธีที่จะแก้ไขมัน  แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถช่วยชีวิตแต่งงานของเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ แม้กระทั่งแรงกดดันจากการตรวจสอบของสาธารณชน  สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

“ซูเปอร์แมน” คริสโตเฟอร์ รีฟ เป็นอัมพาต

      เมื่อสองสามวันก่อน ผมได้อ่านข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับคริสโตเฟอร์ รีฟ นักแสดงที่โด่งดังที่สุดในบทบาทของซูเปอร์แมน  เขาสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว หล่อเหลาและล่ำสัน เขาสวมชุดสีน้ำเงินที่มี “S” ตัวใหญ่อยู่ด้านหน้า  เขากางแขนออกและโบยบินไปบนท้องฟ้า นั่นคือสิ่งที่สร้างจากความฝัน  คุณไม่ชอบบินได้หรือ?  เราบินได้ในความฝันเท่านั้น  เมื่อผมบินในความฝัน ผมไม่ได้บินอย่างถูกต้องเพราะโดยพื้นฐานแล้วผมเป็นนักว่ายน้ำ  ดังนั้นเมื่อผมบิน ผมก็จะว่ายน้ำในเวลาเดียวกันนั้น!  แต่ซูเปอร์แมนไม่จำเป็นต้องขยับแขนของเขา  เขาจะยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วก็พุ่งออกไปเหมือนจรวด!

      แต่เกิดอะไรขึ้นกับคริสโตเฟอร์ รีฟหรือ?  ตอนนี้เราทุกคนก็คงรู้แล้วว่าเขาเป็นอัมพาตทั้งแขนและขา  ปี 1995 เขาตกจากหลังม้าจนคอหัก เขาจึงเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไป ผมแทบจะไม่รู้จักเขาเลยตอนที่เขาถูกพาขึ้นไปบนเวทีเพื่อระดมทุนให้กับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง  เขาดูหมดหนทาง ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น  มีท่อในปากเพื่อช่วยหายใจ  เขาไม่เหมือนกับหนุ่มหล่อในภาพยนตร์เรื่อง “ซูเปอร์แมน”

      เราสามารถเรียนรู้บทเรียนอะไรจากสิ่งนี้?  รีฟร่วงลงจากที่สูงแห่งความรุ่งโรจน์ ความรุ่งโรจน์ของความเป็นเลิศในทางกายภาพที่เหมาะสมกับบทบาทของซูเปอร์แมน  ในชีวิตจริงนั้น รีฟยังเป็นนักกีฬาด้วย และกล้ามของเขานั้นก็เป็นของจริง  หุ่นที่ดูดีมีกล้ามของเขาในชุดรัดรูปนั้นน่าประทับใจมาก!  แต่ตอนนี้เขาต้องนั่งตัวงออยู่บนรถเข็น

      จากทั้งหมดนี้ผมคิดว่าพระเจ้ากำลังตรัสบางอย่างกับเรา  พระองค์ไม่ได้บอกว่าคริสโตเฟอร์ รีฟ ทำสิ่งไม่ดีจึงสมควรได้รับสิ่งนี้  แต่กระนั้นพระเจ้าก็มีคำสอนสำหรับมวลมนุษย์  เราคิดถึงซูเปอร์แมนว่าเป็นผู้ที่กอบกู้โลกจากอันตรายทุกอย่างได้ แม้กระทั่งหยุดขีปนาวุธและการโคจรของโลก  เมื่อคุณมีพลังวิเศษในระดับนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า  ผมคิดว่าคำสอนนี้ก็คือ จงดูซูเปอร์แมนตอนนี้สิ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรที่จะช่วยมวลมนุษย์ได้  ทุกครั้งที่เด็กๆมองไปที่คริสโตเฟอร์ รีฟ พวกเขาจะถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับซูเปอร์แมนเหรอ?”  เป็นเรื่องประหลาดและน่าขันที่อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นกับซูเปอร์แมนคนนี้และไม่ใช่กับดาราฮอลลีวูดคนอื่น  นี่เป็นเรื่องบังเอิญไหม?  เมื่อเราอ่านข่าว เราได้เรียนรู้บทเรียนฝ่ายวิญญาณบ้างไหม?  เราเรียนรู้บทเรียนฝ่ายวิญญาณจากพระคัมภีร์ แต่ก็นอกพระคัมภีร์ด้วย เพราะพระเจ้าตรัสกับเราได้หลายทาง ถ้าเรามีหูที่จะฟัง

รากปัญหาของมนุษย์: การถือตัวเองเป็นสำคัญ

      มีรูปแบบของเหตุการณ์ทั้งสามนี้ไหม?  รูปแบบแรกคือระดับสากล (ซัดดัม ฮุสเซน) รูปแบบที่สองคือระดับสังคม (เจ้าหญิงไดอาน่า) รูปแบบที่สามคือระดับรายบุคคล (คริสโตเฟอร์ รีฟ)  เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ผมได้รับข่าวของสามเหตุการณ์ตามลำดับนั้น

      เมื่อเรามองดูโลก เรารับรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของปัญหาของมนุษย์ไหม ไม่ว่าจะเป็นในระดับสากลหรือระดับรายบุคคล?  มันเป็นตัวมนุษย์เอง  ในการรักษาโรคนั้น คุณจะต้องวินิจฉัยให้ถูกต้อง  การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องสามารถฆ่าผู้ป่วยด้วยการรักษาที่ไม่ถูกต้อง  และการรักษาตามอาการไม่ได้ผลก็เพราะไม่ได้จัดการกับรากของปัญหา  แล้วรากปัญหาของมนุษย์คืออะไรหรือ?  ปัญหาพื้นฐานของมนุษย์ก็คือตัวเอง การถือตัวเองเป็นสำคัญ  นี่เป็นเรื่องที่รับมือยากที่สุด

      อะไรที่ทำให้ซัดดัม ฮุสเซน เพื่อนของเราคิดจะเข้ายึดคูเวต?  ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนถูกแรงขับในการยกย่องตัวเอง  เขาได้สร้างนครบาบิโลนโบราณซึ่งรุ่งเรืองในสมัยพระคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ แล้วยังใส่ชื่อของเขาลงบนอิฐแต่ละก้อนที่ใช้ในการสร้างขึ้นมาใหม่  เขาต้องการได้รับเกียรติที่จะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้พิชิตคูเวต  แต่เขามีความทะเยอทะยานที่มากกว่าแค่คูเวต  นั่นเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น  คุณคงคิดว่าเขาจะเรียนรู้บทเรียนของเขาหลังจากที่ถูกทำโทษจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ  แต่ไม่มีสิ่งใดจะสามารถกักขังตัวเองได้ เขาจึงแสวงหาหนทางอื่นเพื่อสร้างเกียรติของเขา

      แต่เขาแตกต่างจากเราจริงหรือ?  ลองมองเข้าไปในใจของพวกคุณดูสิ  อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณทำในสิ่งที่คุณเพิ่งทำไป?  ถ้าไม่ได้ทำเพื่อความต้องการ เพื่อความพอใจ หรือเพื่อชื่อเสียงของตัวคุณเอง แล้วทำไมคุณถึงทำ?  เรารู้คำตอบว่ามนุษย์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความปรารถนาที่จะเติมเต็มตนเอง

      อะไรที่ทำให้การแต่งงานแบบในฝันของชาร์ลส์และไดอาน่าต้องล้มเหลว?  สิ่งนั้นก็คือการปะทะกันของตัวเอง  ต่างฝ่ายต่างไม่เต็มใจที่จะยอมให้อีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องมีบางสิ่งที่แตกหัก

      ซัดดัมต้องการเข้ายึดคูเวต แต่โลกปฏิเสธ  สงครามเริ่มต้นเมื่อมีการปะทะกันในความต้องการระหว่างประเทศเหล่านั้น  แม้แต่ในคริสตจักรก็มีการปะทะกันซึ่งบางคนบอกว่าพวกผู้นำผิด แต่พวกผู้นำกลับโต้กลับว่า “ผมรู้เรื่องฝ่ายวิญญาณมากกว่าคุณ ผมถูก คุณผิด”

      ทำไมเราจึงต้องการอำนาจ?  มันเป็นการเอาชนะความต้องการของฝ่ายตรงข้าม เพื่อเราจะได้ทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง  จงสังเกตคำว่า “สิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง”  ตัวเองนั้นฉลาดมากที่จะไม่พูดอย่างเปิดเผยว่า “ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อความรุ่งโรจน์ของตัวฉันเอง” เพราะมันค่อนข้างโจ่งแจ้งเกินไป  แต่ก็จะมีวิธีอื่นๆในการยกย่องตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังเช่นที่ซัดดัมอ้างว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อความรุ่งโรจน์ของอิรัก  แต่ความรุ่งโรจน์ของอิรักก็คือความรุ่งโรจน์ของตัวเขาเอง  เราซ่อนแรงจูงใจของเราไว้เบื้องหลังคำพูดที่ฟังดูไพเราะ  ในชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้น นั่นไม่เพียงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเท่านั้น แต่เป็นความหายนะเลยทีเดียว

      ผมเจอสถานการณ์อยู่หลายครั้งที่ชายหนุ่มจะพูดกับหญิงสาวว่า “คุณจะต้องแต่งงานกับผม”  หญิงสาวพูดว่า “ทำไมฉันจะต้องแต่งงานกับคุณด้วย?” และเขาตอบว่า “เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราที่จะแต่งงานกัน”  คุณจะโต้เถียงกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ?  เธอจึงถามว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า?”  เขาตอบว่า “ผมเป็นคริสเตียนนานกว่าคุณสองปี ผมรู้จักพระเจ้าดีกว่าคุณ  และนี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่เราจะต้องแต่งงานกัน”  นั่นมักจะเป็นข้อเสนอในการแต่งงานใช่ไหม?  นี่ผมไม่ได้พูดล้อเล่นเลย  เพราะผมรู้เรื่องดังกล่าวอย่างน้อยก็สองกรณี  พี่น้องหญิงที่รัก โปรดระวังด้วย!  สักวันหนึ่งอาจมีพี่น้องชายบางคนมาหาคุณแล้วบอกคุณว่ามันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่คุณจะต้องแต่งงานกับเขา และเขาทำสิ่งนี้โดยอ้างพระนามของพระเจ้า!  นั่นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะทำ  น่าเสียดายที่ในคริสตจักรไม่รู้สิ่งนี้  นี่เผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์ของตัวเอง  แล้วอะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับความเท็จแบบนี้?  มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งรับมือโดยพูดว่า “ฉันจะแต่งงานกับคุณเมื่อพระเจ้าบอกกับฉันว่า มันเป็นพระประสงค์ของพระองค์!”

จงลืมตัวเองและมุ่งต่อไปสู่สิ่งที่เกี่ยวกับพระเจ้า

      สิ่งนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับข้อพระคัมภีร์ที่ผมให้ไว้ในตอนต้นของการสอนนี้ที่มีถ้อยคำสำคัญว่า “ลืมสิ่งที่ผ่านมา”?  อะไรหรือที่เราต้องลืมอย่างแน่นอน?

      ซัดดัม ฮุสเซนลืมสิ่งที่ผ่านมาในทางที่ผิด โดยเฉพาะความล้มเหลวของเขาในคูเวตเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้  ตอนนี้เขากำลังมุ่งไปข้างหน้าในทางที่ผิดอีกครั้ง ไปสู่ความรุ่งโรจน์ของตัวเขาเอง

      เปาโลไม่ได้บอกว่าให้เราลืมบทเรียนในอดีต เพราะเขากล่าวในบทเดียวกันว่า “ข้าพเจ้ายอมสูญเสียสิ่งสารพัด (ซึ่งข้าพเจ้าเคยหวงแหนในอดีต) และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะ เพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์” (ฟีลิปปี 3:8)[1]  ท่าทีนี้มีความสำคัญมาก สิ่งที่เคยสำคัญกับเปาโลนั้นไม่ได้มีความสำคัญกับเขาอีกต่อไป  ตอนนี้เขาแสวงหาอย่างอื่น นั่นก็คือ “คุณค่าอันสูงยิ่งของการรู้จักพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า”  การจะรู้จักพระเยซูคริสต์นั้น เปาโลต้องลืมสิ่งต่างๆที่ผ่านมา และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะ  มันหมายถึง การลืมสิ่งต่างๆที่เป็นของตัวเอง  เขาบอกว่าเขาเป็นฟาริสี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงในสมัยของเขา (คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจประเด็นนี้เนื่องจากความฝังใจในแง่ลบต่อพวกฟาริสี)  ยิ่งไปกว่านั้น เปาโลยังเป็น “ชาวฮีบรูที่เกิดจากคนฮีบรู” (ข้อ 5) ซึ่งเป็นคนฮีบรูที่บริสุทธิ์ที่สุด  เขาเคยภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขากลับถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะ

      แล้วเราล่ะ?  เรารู้สึกภาคภูมิใจกับมรดกของครอบครัว หรือปริญญาต่างๆจากมหาวิทยาลัยที่เราได้รับหรือไม่?  ให้เราทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างหลัง  พวกมันไม่สำคัญอีกต่อไป  สิ่งเหล่านั้นทำให้ตัวเองภาคภูมิใจ และไม่มีอะไรจะอันตรายไปกว่าความภาคภูมิใจ

พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเมื่อตัวเองได้ถูกจัดการ

      การอธิษฐานเป็นการปฏิบัติที่เปล่าประโยชน์สำหรับคุณไหม?  คุณอธิษฐานและอธิษฐาน แต่ดูเหมือนพระเจ้าไม่เคยตอบคำอธิษฐานของคุณ

      พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “คนที่มีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า” (มัทธิว 5:8)  หากคุณมีความภาคภูมิใจ ก็แสดงว่าใจของคุณไม่บริสุทธิ์ และคุณจะไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้  นั่นคือเหตุผลที่บางคนมีประสบการณ์กับพระเจ้าและคนอื่นๆไม่มี  บางคนได้จัดการกับตัวเอง แต่คนอื่นๆไม่ได้ทำ  นั่นเป็นเคล็ดลับของชีวิตฝ่ายวิญญาณ  เปาโลพูดถึงความคิดของคริสเตียนที่ “เป็นผู้ใหญ่” ทุกคนว่า “ข้าพเจ้าลืมทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเอง และข้าพเจ้ามุ่งต่อไปสู่สิ่งต่างๆของพระเจ้า”  ถ้าคุณมีท่าทีเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของคุณ

      ผมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในพระเจ้าของผม เพราะประสบการณ์อันยาวนานกับพระองค์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา  เป็นเวลา 43 ปีมาแล้วเมื่อผมได้มาหาพระเจ้าในปี 1953  นั่นเป็นเวลานานมาแล้ว  จากที่ผมได้อธิษฐานมากมายต่อพระเจ้า ผมจำได้ว่าไม่มีสักครั้งที่พระองค์ไม่ได้ทรงตอบคำอธิษฐาน  บางครั้งผมต้องรอสักพัก ก่อนที่พระองค์จะทรงตอบ แต่คำตอบจะมาเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว  บางครั้งผมแทบจะไม่ได้พูดออกจากปากเลยเมื่อพระองค์ทรงตอบผม!  และมีหลายครั้งที่พระองค์ทรงตอบผม ก่อนที่ผมจะทูลต่อพระองค์เสียอีก!  นั่นคือสิ่งที่อิสยาห์ 65:24 ได้กล่าวว่า “ก่อนที่พวกเขาร้องเรียก เราเองจะตอบ”

ลืม “ตัวฉันเอง” และโน้มตัวไปหาพระเยซูคริสต์

      ผมถามคำถามพี่น้องหญิงของเราที่กำลังจะรับบัพติศมาว่า บัพติศมานี้มีความหมายอะไรกับคุณ?  มันก็หมายความว่าจากนี้ไป คุณจะลืมสิ่งที่ผ่านมา ลืมทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ซึ่งก็คือความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของคุณ ความภาคภูมิใจของคุณ หรือแม้แต่ความเจ็บปวดและความผิดในอดีตที่มีคนได้ทำกับคุณ  คุณจะให้อภัยและลืมสิ่งเหล่านี้  อย่าให้สิ่งที่ผ่านมาเป็นหินโม่ที่คล้องคอคุณ

      ผมได้ให้คำปรึกษากับผู้คนมากมายในพันธกิจช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีคนจำนวนมากที่ชีวิตกำลังเดินไปพร้อมกับภาระอันหนักอึ้งของอดีต  คุณไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะมีหินโม่ที่คล้องคอของคุณ  พระเจ้าทรงต้องการปลดปล่อยคุณจากอดีต  นั่นคือเหตุผลที่ฟีลิปปี 3:13 มีสองส่วนคือ “ลืมสิ่งที่ผ่านมา และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”  คุณจะต้องเป็นอิสระจากอดีต ก่อนที่คุณจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้  และบัพติศมาเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งนั้น

      ในข้อความภาษากรีกของข้อนี้ คำว่า “ลืม” เป็นกริยาที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งหมายความว่าคุณยังคงลืมต่อไป  คำว่า “โน้มตัวไปข้างหน้า” เป็นคำเดียวในภาษากรีกและยังเป็นกริยาที่กำลังดำเนินอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าคุณยังคงโน้มตัวไปข้างหน้าต่อไป  ในภาษากรีกนั้น การโน้มตัวไปข้างหน้า แสดงถึงความรู้สึกแรงกล้าที่ค่อนข้างไม่พบในภาษาอังกฤษ  มันเป็นภาพของการเป็นสาวก ที่มีพระเยซูอยู่ข้างหน้า ตัวผมอยู่ข้างหลัง กำลังตามพระองค์โดยการนำของพระวิญญาณ  แล้วผมจะต้องลืมและทิ้งอะไรไว้ข้างหลังหรือ?  นั่นคือตัว “ฉัน” เอง  แล้วคุณก็จะรู้ว่าการเป็นอิสระคืออะไร

      ผมเคยรับมือกับคนจำนวนมากที่มีปัญหาทางจิตอย่างร้ายแรง และคุณรู้ไหมว่าลักษณะสำคัญของคนเหล่านี้คืออะไร?  ใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเองอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาถูกล็อคไว้กับตัวเอง

      วันก่อนผมไปตรวจร่างกาย ระหว่างที่รอเข้าพบแพทย์ ผมก็หยิบแผ่นพับเกี่ยวกับปัญหาทางจิตมาอ่าน  มีประโยคหนึ่งในแผ่นพับนี้ที่ทำให้ผมตกใจก็คือ “อาการป่วยทางจิต คือการหันเข้าหาตัวเอง ใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเองอย่างสิ้นเชิง”  มันเป็นความจริงทีเดียว!  หากเราวัดผู้คนด้วยเกณฑ์นี้ที่ “ใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเองอย่างสิ้นเชิง” แล้ว คนส่วนใหญ่ก็มีปัญหาทางจิตกันเล็กน้อย มันอาจไม่ถึงขนาดที่ใจหมกมุ่น แต่ก็สามารถพัฒนาไปในทางนั้นได้  เมื่อคุณเจอคนที่ใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง พวกเขามักจะพูดถึงแต่ตัวเองและไม่เคยพ้นจากตัวเอง  ไม่มีใครอยากคุยกับพวกเขา พวกเขาก็เลยเหงา

      มีคนจำนวนมากที่ใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แต่บางคนเช่น ซัดดัม ฮุสเซน ก็ฉลาดพอที่จะทำให้ไม่ชัดเจนด้วยวิธีการที่แยบยล เช่น พูดถึงความรุ่งโรจน์ของประเทศ  ฮิตเลอร์ก็มีใจหมกมุ่นอยู่กับตัวเองอย่างสิ้นเชิง และบางคนยังมองว่าเขาเป็นคนบ้า  เขายังคงพูดถึงความรุ่งโรจน์ของเยอรมนี แต่ในใจของเขานั้น “เยอรมนีก็คือฉันเอง” เหมือนกับที่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กล่าวว่า “ตัวของข้าพเจ้าเองคือรัฐ” (ของฝรั่งเศส)

      ย้อนกลับไปช่วงหนึ่ง พี่น้องคนหนึ่งในคริสตจักรของเรามาหาผมเรื่อยๆพร้อมปัญหาของเธอ  ทุกครั้งที่ผมคุยกับเธอ ก็มักจะเป็นดิฉันอย่างนั้นและดิฉันอย่างนี้เสมอ  มันช่างน่าเหนื่อยหน่ายมาก  เพื่อนร่วมงานหลายคนพยายามช่วยเธอแต่ก็ไม่ได้ผล  มีคนจำนวนมากชอบพูดเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเอง แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็เกลียดการพูดแบบนี้อยู่ตลอด เพราะมันเกิดจากปัญหาในชีวิตจริง  ฉะนั้นพวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ในแบบที่รักและเกลียดชังกับตัวของพวกเขาเอง  ในที่สุดเพื่อนร่วมงานก็ยอมแพ้เธอ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะช่วยเธออย่างไร  เธอจึงมาหาผม

      ผมพูดกับเธอว่า “ผมจะสั่งคุณเพียงแค่คำสั่งเดียว และคุณจะต้องยึดไว้อย่างเหนียวแน่น ถ้าคุณจะหลุดพ้นจากความผิดพลาดของคุณตลอดไป”

      เธอถามว่า “มันคืออะไรหรือ?” ผมตอบว่า “จากนี้ไปคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว  อย่าพูดถึงตัวเองกับใครๆ แม้แต่กับสามีของคุณ”  เธอถึงกับอ้าปากค้าง เพราะคุณจะดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่พูดถึงตัวเองได้อย่างไร?  ผมบอกสามีของเธอว่า “ให้แน่ใจว่าคุณจะไม่พูดกับเธอเกี่ยวกับเธอเลย”

      และคุณรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?  หลังจากนั้นเธอก็หายจากการหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง!  เธอมีความสุขที่ได้เป็นอิสระจากตัวเธอเอง ได้เรียนรู้ที่จะลืมตัวเอง  “นี่มันมหัศจรรย์กว่าที่ผมเคยคิด!”  อันที่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอได้ยึดกฎนี้ที่จะไม่พูดถึงตัวเธอเองและกลายมาเป็นคนที่สวยงาม  ในอดีตผู้คนมักจะหลบเลี่ยงเธอ เพราะเธอมักจะพูดถึงตัวเองอยู่เสมอ  พวกเขาจะได้ยินเรื่องเดียวกันนี้มากกว่าห้าสิบครั้ง  แต่ตอนนี้เธอมีเพื่อนมากมายเพราะเธอห่วงใยคนอื่นๆ  พลังและความเข้าใจได้ง่ายของหลักการนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ!

      เมื่อคุณลงไปในน้ำเพื่อรับบัพติศมา คุณก็ตายกับพระคริสต์  โดยความตายนี้เอง อดีตก็หมดไปและถูกลืม และคุณก็ถูกฝังในบัพติศมา  จากนั้นคุณก็ถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายและมุ่งต่อไปในทิศทางใหม่  คุณเป็นอิสระจากตัวเอง และตอนนี้คุณติดตามพระเยซูผู้อยู่ข้างหน้าคุณ  ในฐานะที่เป็นสาวก คุณลืมสิ่งที่ผ่านมา นั่นก็คือตัวเอง จากนั้นคุณก็มุ่งต่อไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อจะเป็นเหมือนพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า

มุ่งต่อไป: ให้พระเจ้าทรงทำให้คุณเป็นคนที่ผิดธรรมดา

      คำภาษากรีกสำหรับ “มุ่งต่อไป” ในฟีลิปปี 3:14 นั้นแรงกล้ามาก (diōkō หมายถึง “ไล่ตาม, ข่มเหง”)  มีคริสเตียนน้อยคนที่มีความแรงกล้าแบบนี้ แต่ก็เป็นความผิดธรรมดานี้เองที่ดึงดูดผู้อื่น  ผมจึงบอกพี่น้องหญิงของเราที่จะรับบัพติศมาในวันนี้ว่า ขอพระเจ้าทรงจุดไฟให้คุณ เพื่อคุณจะเป็นความสว่างในความมืด  การเป็นคริสเตียนจะไม่มีประโยชน์เลย เว้นแต่คุณจะเป็นคริสเตียนที่โดดเด่นเพื่อพระเจ้า  นั่นคือการทรงเรียกของเรา

      ผมจะขอปิดท้ายด้วยถ้อยคำของเดวิด ลิฟวิงสโตน ผู้รับใช้ของพระเจ้าและนักสำรวจแอฟริกาที่มีชื่อเสียง  เขาเขียนในไดอารี่ของเขาว่า “ผมไม่ได้มีสติปัญญาที่ผิดจากธรรมดา  แต่วันนี้ผมตัดสินใจว่าผมจะเป็นคริสเตียนที่ไม่ธรรมดา”  ถึงพี่น้องหญิงของเราที่กำลังจะรับบัพติศมา จงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นคริสเตียนที่ไม่ธรรมดาโดยพระคุณของพระเจ้า เพราะว่าในคริสตจักรเต็มไปด้วยคริสเตียนที่ธรรมดาที่ไม่มีไฟ

      มีคนเคยถามจอห์น เวสลีย์ว่า “ทำไมคนจำนวนมากจึงมาฟังคุณเทศนา”  เขาตอบว่า “นั่นเป็นเพราะผมให้ตนเองถูกจุดไฟ และผู้คนก็มาดูผมถูกเผา”  เวสลีย์กำลังสรุปเคล็ดลับในการดึงดูดผู้คนให้มาหาพระเจ้าผ่านการเทศนาของเขา นั่นก็คือ จงลุกเป็นไฟ  นั่นวิเศษมาก!  ตรงนี้คุณจะเห็นความร้อนแรงของผู้ที่มุ่งต่อไป

      ผมอธิษฐานว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกคุณแต่ละคนเป็นไฟในฝ่ายวิญญาณ  แต่ว่าสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าคุณจะลืมตัวเองและทิ้งตัวเองไว้ข้างหลัง และมุ่งต่อไปอย่างสุดใจของคุณ เพื่อจะเป็นเหมือนพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสะท้อนให้เห็นพระสิริของพระเจ้า (2 โครินธ์ 4:6)[2]


[1] ฟีลิปปี 3:8 ยิ่ง​กว่า​นั้น​ข้าพ​เจ้า​ถือ​ว่า​ทุก​สิ่ง​เป็น​การ​ขาด​ทุน เพราะ​เหตุ​คุณ​ค่า​อัน​สูง​ยิ่ง​ของ​การ​ได้​รู้​จัก​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพ​เจ้า เพราะ​เหตุ​พระ​องค์​ข้าพ​เจ้า​ยอม​ขาด​ทุน​ทุก​อย่าง และ​ถือ​ว่า​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เป็น​เหมือน​เศษ​ขยะ​เพื่อ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​จะ​ได้​พระ​คริสต์​เป็น​กำ​ไร

[2] 2 โครินธ์ 4:6 เพราะว่าพระเจ้าผู้ตรัสว่าให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์