pdf pic 

 

 

บทที่ 11

 

 ch1 1

 

บัพติศมากับการมองดูที่งูทองสัมฤทธิ์

ยอห์น 3:14-15, กันดารวิถี 21:4-9

มอนทรีออล, กันยายน 11, 1977

      ระเจ้าทรงให้ผมมีภาระใจที่จะอธิบายถ้อยคำที่สำคัญในยอห์น 3:14-15 ให้กับพวกคุณ  พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรหรือ?  คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับข้อถัดไปคือยอห์น 3:16 (“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก”) แต่มีสักกี่คนที่จำสิ่งที่กล่าวไว้ในข้อ 14 และ 15 ได้?  ในสองข้อนี้ พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า

“และเหมือนที่โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้นเพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:14 ฉบับ RSV)

      ข้อความที่น่าประหลาดใจนี้มาจากเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมในกันดารวิถี 21:4-9

พวกเขาออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมดินแดนเอโดม ประชาชนก็เกิดความท้อแท้ระหว่างทาง  แล้วประชาชนก็ต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่าทำไมท่านจึงพาเราออกจากอียิปต์​​มาตายในถิ่น​​กันดารนี้?  เพราะไม่มีทั้งอาหารและ​​น้ำ และเราก็แขยงอาหารที่ไร้ค่านี้  แล้วพระยาห์เวห์จึงส่งงูพิษ[1]มาในหมู่ประชาชน งูก็กัดพวกเขาคนอิสราเอลจำนวนมากล้มตาย  และประชาชนก็มาหาโมเสสกล่าวว่าเราได้ทำบาป เพราะเราต่อว่าพระยาห์เวห์และต่อว่าท่าน ขอ​​วิงวอนพระยาห์เวห์ให้พระองค์ทรงนำงูไปจากเราดังนั้นโมเสสจึงทูลวิงวอนเพื่อประชาชน และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่าจงทำงูพิษตัวหนึ่งติดไว้บนเสา และทุกคนที่ถูกงูกัดมองดูงูนั้น ก็จะมีชีวิตอยู่​” ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นตัวหนึ่งและติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใครคนนั้นจะมองดูงูทองสัมฤทธิ์​ ​แล้วจะมีชีวิตอยู่ (กันดารวิถี 21:4-9  ฉบับ RSV, คำว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” ถูกแทนที่ด้วย “พระยาห์เวห์”)

บ่นต่อพระเจ้า

      พระเจ้าได้ทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ด้วยการกระทำอันน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ และนำพวกเขาออกไปในถิ่นทุรกันดาร  ลองนึกภาพผู้คนกว่าสองล้านคนที่พเนจรอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลาสี่สิบปี!  คุณจะเลี้ยงคนมากมายในทะเลทรายได้อย่างไร? พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ได้โดยนำมานาลงมาจากสวรรค์ซึ่งพวกเขากินทุกวันเป็นเวลาสี่สิบปี  พระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากความอดตายในทะเลทราย แต่ประชาชนก็อวดกล้าอย่างมากที่บ่นว่าพระองค์ว่า “เราแขยงอาหารที่ไม่มีคุณค่านี้! ในอียิปต์ เรามีกระเทียมดีๆ แต่ตอนนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่ามานา  ทำไมพระองค์จึงพาเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้”  พวกเขาได้ลืมไปว่าเมื่ออยู่ในอียิปต์ พวกเขาเคยเป็นทาสที่ถูกกดขี่

      ใจที่เอาแต่บ่นนี้เป็นความจริงกับชีวิตและเป็นหลักปฏิบัติของคริสเตียน พระเจ้าได้ทรงอวยพรเราในหลายๆด้าน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกขอบคุณพระองค์และโทษพระองค์สำหรับความยากลำบากที่เข้ามาในทางของเรา  ลักษณะแรกเริ่มของความบาปก็คือแนวโน้มที่จะพูดต่อต้านพระเจ้าด้วยปากหรือในใจ  ความบาปไม่ใช่แค่การทำผิดพลาด แต่เป็นท่าทีของการต่อต้านพระเจ้า

      มนุษย์ทำแต่สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง แต่เขากลับโทษพระเจ้าว่า “ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้ฉันทุกข์ยาก?” เราได้ยินคำถามนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น  แต่ใครล่ะที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ยากตั้งแต่แรก? พระเจ้าเป็นผู้เริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองอย่างนั้นหรือ? มนุษย์ทำลายล้างกันและกัน นำความตายและความทุกข์ทรมานมากมายนับไม่ถ้วนมายังคนนับล้าน แต่เราก็โทษพระเจ้า

      เมื่อชีวิตแต่งงานไม่ราบรื่น สามีก็บ่นว่า “ทำไมพระเจ้าจึงให้ผมมีภรรยาแบบนี้?  ผมควรจะได้คนที่ดีกว่านี้!”  และภรรยาก็พูดว่า “ฉันฉลาดและหน้าตาดี แล้วทำไมพระเจ้าจึงให้ชายอ้วนเตี้ยที่ไร้ประโยชน์คนนี้กับฉันล่ะ?”  มันจะเป็นความผิดของพระเจ้าเสมอ “พระเจ้าควรจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้  เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่านี่ไม่ใช่คนที่เหมาะกับฉัน!”  ความบาปคือท่าทีที่โทษพระเจ้าในทุกสิ่ง แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของตนเอง

      มีคนถามผมว่า “พระเจ้ากำลังทำอะไรกับปัญหาในโลกนี้?”  ผมโต้กลับว่า พระเจ้าทรงสามารถทำอะไรได้บ้างในการกำจัดคนบาปทุกคนออกจากแผ่นดินโลก? พระเจ้าทรงมีสองทางเลือก แล้วคุณชอบทางเลือกไหน? พระองค์ทรงสามารถขจัดความบาปและความทุกข์ยากโดยการทำลายคนบาปทั้งหลาย หรือไม่พระองค์ก็ทรงทำการเปลี่ยนแปลงพวกเขา  ในการทำลายคนบาปทั้งหลายนั้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากคุณ  แต่ในการเปลี่ยนแปลงคุณนั้น พระองค์ต้องการความร่วมมือของคุณ  ถ้าคุณต้องการโลกใหม่ทั้งหมดที่มีผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าก็จำเป็นต้องเปลี่ยนคุณ แต่พระองค์จะไม่ทรงบังคับคุณ

      พวกคอมมิวนิสต์ได้พยายามแต่ก็ล้มเหลวในการเปลี่ยนผู้คนด้วยการบังคับ  ผมได้อยู่ภายใต้พวกคอมมิวนิสต์เป็นเวลาเจ็ดปี และผมก็รู้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนคนด้วยกำลังบังคับ  คุณสามารถเล็งปืนไปที่หัวของเขาและบังคับให้เขายอมจำนนต่อคุณ แต่คุณจะไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวได้

      หลังจากที่เปโตรชักดาบฟันชายคนหนึ่งแล้ว พระเยซูได้ทรงห้ามเขาว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย” (ยอห์น 18:11)  สิ่งนี้เตือนเราว่าเราจะต้องไม่ขยายอาณาจักรของพระเจ้าด้วยดาบ  ถ้าเราติดอาวุธให้คริสเตียนทุกคนในโลกนี้ เราก็สามารถจะสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งนับพันล้านคนพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อพระเจ้าได้

      แต่ด้วยพระปัญญาอันบริบูรณ์ของพระเจ้านั้น พระองค์ไม่ได้พิชิตโลกด้วยดาบ  คุณสามารถจะบังคับควบคุมผู้คนภายนอกได้ แต่จะไม่สามารถบังคับควบคุมภายในได้  ไม่มีสิ่งใดจะเปลี่ยนใจที่ผิดบาปของมนุษย์ได้ เว้นแต่ความรักของพระเจ้า

      บางคนอาจจะยังคงถามว่า “ทำไมเราต้องทนรับผลของบาปด้วย? ทำไมพระเจ้าไม่จำกัดความทุกข์ยาก?”  มันจะช่างง่ายอะไรเช่นนั้น!  เราต้องการเสรีภาพในการทำบาป แต่ไม่ต้องการรับผลที่ตามมา  แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผลที่ตามมา เพื่อคุณจะได้ลิ้มรสผลที่ขมขื่นของบาป  แม้ว่าผลจะยังไม่มาในทันที พระองค์ก็ทรงสามารถเร่งให้ได้เพื่อสวัสดิภาพในฝ่ายวิญญาณของคุณ  แม้แต่การพิพากษาของพระเจ้าก็ถูกกำหนดไว้เพื่อความรอดของคุณ

      เมื่อชาวอิสราเอลบ่นว่าพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ได้ทรงส่งงูที่ร้อนเป็นไฟมากัดพวกเขา  กล่าวกันว่างู “ร้อนเป็นไฟ” เพราะพวกมันมีพิษ ไม่ใช่เพราะมีไฟออกมาจากปากของพวกมัน  ผู้คนถูกกัดและตายจากพิษนั้น พวกเขาจึงเริ่มกลับใจใหม่

      บางคนจะไม่กลับใจจนกว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขา เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี พวกเขาจะไม่กลับใจ  พระเจ้าทรงเตือนเราว่า อย่าให้เราเป็นเหมือนล่อที่ดื้อรั้นไม่ยอมเดิน เว้นแต่จะถูกบังคับ (สดุดี 32:9)[2]

      ในเมืองนานกิง ครั้งหนึ่งผมมองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นชายห้าคนพยายามดึงล่อตัวหนึ่งอย่างสุดกำลังของพวกเขา  พวกเขาทั้งดึงทั้งทุบมัน แต่ล่อก็เหยียดขาหน้าออก แล้วเอนหลังและไม่ยอมขยับเขยื้อน  พวกเขาเหวี่ยงท่อนไม้ใส่ล่อที่น่าสงสารจนผมคิดว่าหลังมันอาจจะหัก แต่มันก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อน  ในที่สุดพวกเขาก็ทำให้มันขยับเขยื้อนด้วยประตักที่แหลมคม  ทำไมมันจึงไม่ยอมขยับเขยื้อนจนเมื่อเจอกับความเจ็บปวด?  มันทำให้เรานึกถึงคนที่พูดว่า “โลกอาจถล่มทลายรอบตัวฉัน แต่ฉันก็ปฏิเสธที่จะเชื่อในพระเจ้า!”

      มีอีกครั้งหนึ่งนอกเมืองเซี่ยงไฮ้ ผมเห็นผู้คนขี่ม้าที่สวยงาม  คนขี่ม้าคนหนึ่งไม่มีแส้เพราะม้าของเขาเข้าใจคำสั่งของเขา  เขาจะเอนตัวไปข้างหน้าและพูดกับมันในขณะที่มันกำลังควบอยู่  ถ้าเขาบอกให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น มันก็จะควบเร็วขึ้นทันที  เราเป็นเหมือนม้าหรือล่อในการตอบสนองของเรากับพระเจ้าหรือไม่?

     

วิธีการช่วยให้รอดของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องโง่เขลาหรือ?

      โมเสสกำลังอธิษฐานเผื่อผู้ที่กำลังจะตายจากพิษนั้น พระเจ้าจึงทรงบอกให้เขาทำงูทองสัมฤทธิ์และติดไว้บนเสาสัญญาณ  เสาสัญญาณคือเสาที่ติดธงเพื่อจะประกาศคำสั่งไปยังฝูงชนในทะเลทราย รวมถึงคำสั่งเช่นว่าให้ตั้งค่ายหรือเดินทางต่อ

      ให้เราลองนึกภาพสถานการณ์ดูว่า ค่ายขนาดใหญ่มากที่ถูกพวกงูพิษบุกเข้ามากัดผู้คน  ผู้คนกำลังล้มตายจากพิษงูก็เช่นเดียวกับที่ผู้คนในโลกทุกวันนี้ที่กำลังจะตายจากความบาป  ชาวอิสราเอลไม่ได้ตายในทันทีเพราะว่าพิษต้องใช้เวลาทำการฆ่า แต่พวกเขาก็ล้มตายลงทีละคน  โมเสสได้ยกเสาสัญญาณขึ้น คราวนี้ไม่ได้ประกาศตามปกติ แต่เพื่อให้ทุกคนจะได้เห็นงูทองสัมฤทธิ์  มันคงจะเป็นงูขนาดค่อนข้างใหญ่ที่ผู้คนจะมองเห็นได้จากระยะไกลๆ  พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า ทุกคนที่มองดูงูทองสัมฤทธิ์นี้จะมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาจะถูกกัด

      วิธีช่วยให้รอดของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ฉลาดหรือโง่เขลากันแน่? ผู้คนกำลังตายจากการถูกงูกัด แต่ได้รับคำสั่งให้มองดูที่งูทองสัมฤทธิ์  เชื่อแน่ว่า งูคงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนที่กำลังจะตาย คนที่ถูกงูกัด จะอยากมองดู  หลายคนคงจะต้องหัวเราะเยาะความคิดนี้ว่า “คุณหมายความว่าฉันจะรอดโดยการมองดูงูทองสัมฤทธิ์งั้นหรือ? ความรอดแบบนี้เป็นความรอดแบบไหนกันนี่?  มันก็เป็นเพียงความเชื่องมงายอย่างหนึ่งของโมเสส  เขาบอกว่าพระเจ้าบอกเขาหลายเรื่องแต่ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย  อย่างไรก็ดี ระยะห่างระหว่างฉันกับงูก็ไกลเกินไป  พระเจ้าจะแจกจ่ายเซรุ่มต้านพิษเพื่อถอนพิษนั้นจะดีกว่า  แต่อย่าขอให้ฉันทำอะไรโง่ๆเหมือนเช่น ให้มองดูที่งูเลย”

      ผู้คนในทุกวันนี้กำลังจะตายในความบาป และใครกันหรือที่พระเจ้าทรงยกขึ้นบนเสา ถ้าไม่ใช่พระเยซูที่แขวนอยู่บนไม้กางเขน?  แต่ก็มีการโต้แย้งว่า “คุณกำลังพูดว่า ฉันรอดได้โดยการมองดูคนตายที่แขวนอยู่บนไม้กางเขนอย่างงั้นหรือ? นั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาของโลกที่ไม่ได้เรื่อง  อย่างไรก็ดี ระยะห่างระหว่างฉันกับพระเยซูก็ไกลเกินไปในแง่ของเวลาและภูมิศาสตร์  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในอิสราเอลเมื่อสองพันปีมาแล้ว แต่ฉันอาศัยอยู่ในประเทศจีน แคนาดา อังกฤษ หรือที่ไหนก็ได้  พระเยซูทรงอยู่ในสวรรค์และฉันอยู่บนโลก  อย่างงั้นการเชื่อในพระเยซูจะสามารถทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของฉันได้อย่างไร?  ความคิดที่โง่เขลานี้จะต้องถูกแต่งขึ้นโดยพวกอัครทูต”  ความคิดที่คล้ายกันนี้อาจเข้ามาในความคิดของคุณ

      ขณะที่ผู้คนกำลังโต้เถียงกันเรื่องงูทองสัมฤทธิ์ พวกเขาก็กำลังล้มตายทีละคน  แต่บรรดาผู้ที่หันกลับมามองดูงูนั้นก็รอดชีวิต  สิ่งนั้นบอกอะไรเราหรือ?  มันบอกเราว่า คุณจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงหรือเท็จก็จนกว่าคุณจะมีประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง  จงจดจ้องสายตาที่งูทองสัมฤทธิ์ แล้วคุณจะมีประสบการณ์กับความรอดจากอำนาจที่ร้ายแรงของพิษนั้น  จงหาความจริงด้วยการจ้องมองไปที่มัน  ในเมื่อคุณกำลังจะตาย คุณก็มีอะไรที่จะต้องสูญเสียอีก?  มันน่าเสียดายที่จะสูญเสียความรอดของคุณจากการปิดกั้นความคิด!

      พิษของความบาปกำลังฆ่าทุกคนในโลก  คุณจะถกเถียงว่าใครจะรอดจากการมองดูพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนหรือไม่?  ขณะเมื่อคุณมองที่พระองค์ด้วยความเชื่อ คุณจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านทางพระองค์  มันไม่ใช่เทพนิยายแต่เป็นสิ่งที่คุณสามารถมีประสบการณ์ได้ด้วยตัวเอง

      เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแอปเปิ้ลลูกนั้นหวาน?  เราสามารถวิเคราะห์รูปร่างและสีของมันได้  เราสามารถวัดปริมาณน้ำตาลได้  เราสามารถจะมองชิ้นส่วนภายใต้กล้องจุลทรรศน์ได้  แต่ทางที่ดีก็คือกินมัน!  ชิมดู!

      เหตุใดพี่น้องเหล่านี้จึงเข้ามารับบัพติศมา นอกเสียจากว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?  ไม่มีใครบังคับพวกเขาให้รับบัพติศมา  คริสตจักรของเรามักจะยับยั้งคนที่จะรับบัพติศมาเพื่อพวกเขาจะได้ไม่รีบเร่งที่จะรับ  เราต้องการจะแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ดึงดูดใจพวกเขาให้รับบัพติศมา  ถ้าผมรู้สึกว่ามีเหตุผลที่พวกเขาไม่ควรรับบัพติศมา หรือถ้าผมรู้สึกต่อพระพักตร์พระเจ้าว่าพวกเขายังไม่พร้อม ผมก็จะแนะนำพวกเขาว่าอย่ารับบัพติศมาในตอนนี้เลย

      ผู้ที่จะรับบัพติศมาในวันนี้กำลังเริ่มต้นชีวิตคริสเตียน ดังนั้นจึงยังมีทางที่ยาวไกลรออยู่ข้างหน้าพวกเขา  แต่เมื่อได้เริ่มต้น พวกเขาก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

ทำไมจึงต้องเป็นงูทองสัมฤทธิ์?

      วิธีการช่วยให้รอดของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ฉลาดหรือว่าโง่เขลา?  เปาโลกล่าวว่า ความเขลาของพระเจ้าก็ยังฉลาดกว่าสติปัญญาของมนุษย์ (1 โครินธ์ 1:25)  แล้วพระปัญญาของพระเจ้าที่ทรงสั่งให้โมเสสทำงูทองสัมฤทธิ์นั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?

      งูทองสัมฤทธิ์นั้นตายแล้วในแง่ของการไม่มีชีวิต ซึ่งหมายถึงความพินาศของบาปและอำนาจของความชั่วร้าย  แต่ทำไมจึงต้องเป็นงูทองสัมฤทธิ์ด้วย?  พระเจ้าอาจบอกให้โมเสสจับงูเป็นๆก็ได้  พระเจ้าทรงมีเหตุผลที่ดีที่ใช้งูทองสัมฤทธิ์ ก็เพื่อแสดงให้โลกเห็นการไถ่ในอนาคตในพระเยซูคริสต์  ไม่ใช่ว่างูตัวไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นงูทองสัมฤทธิ์

      งูทองสัมฤทธิ์ไม่ใช่งูจริง มันเป็นวัตถุที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ที่หล่อเป็นรูปงู เหมือนกับที่พระเยซูทรง “เป็นเหมือนเนื้อหนังที่บาป” (โรม 8:3)[3] แม้ว่าพระเยซู “จะทรงถูกทดลองเหมือนกับเราทุกอย่าง แต่พระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮีบรู 4:15)[4]  พระองค์ทรง “เรียนรู้การเชื่อฟังผ่านสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์” และทำให้พระองค์เป็นผู้ที่ดีพร้อม (ฮีบรู 5:8-9)[5]  คำภาษากรีกว่า poieō (“ทำ”) ในกันดารวิถี 21:8 (ทำงูทองสัมฤทธิ์) ถูกใช้ใน 2 โครินธ์ 5:21[6] ที่กล่าวว่าพระเยซูทรงถูก “ทำ” ให้มีบาปแม้พระองค์จะไม่มีบาป

      อีกเหตุผลหนึ่งในการเลือกงูทองสัมฤทธิ์แทนงูจริงก็คือ งูจริงมีเนื้อหนังที่เปื่อยเน่า แต่งูทองสัมฤทธิ์นั้นไม่เปื่อยเน่า

      ในพลับพลาในพระคัมภีร์เดิมนั้น เครื่องใช้บางชิ้นสำหรับการถวายเครื่องบูชาจะทำด้วยทองสัมฤทธิ์ (เช่น ภาชนะและอ่างทองสัมฤทธิ์, อพยพ 30:18) หรือหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ (เช่น แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์, อพยพ 27:1-3)

      ทองสัมฤทธิ์นั้นแข็งเกินไปที่จะขึ้นรูปด้วยเครื่องมือช่าง  มีวิธีเดียวที่จะทำวัตถุทองสัมฤทธิ์ได้คือการหลอมทองสัมฤทธิ์ในเตาไฟ  ไฟในพระคัมภีร์เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการพิพากษา (เช่น อิสยาห์ 66:16)[7]

      แม้แต่ลักษณะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูก็มีการบอกล่วงหน้าโดยการยกงูทองสัมฤทธิ์ขึ้น  คำว่า “ถูกยกขึ้น” ในพระกิตติคุณยอห์น หมายถึงถูกตรึงที่กางเขน  อาชญากรจะถูกตรึงบนไม้กางเขนซึ่งวางอยู่บนพื้น เมื่อเขาถูกตรึงอย่างแน่นหนาบนไม้กางเขนแล้ว ไม้กางเขนก็จะถูกยกขึ้นและใส่ลงในหลุมบนพื้นเพื่อให้ตั้งตรง  บุตรมนุษย์ถูกยกขึ้น (เช่น ยอห์น 12:32-33)[8] เช่นเดียวกับที่งูถูกยกขึ้นในถิ่นทุรกันดาร

      พระปัญญาของพระเจ้านั้นอัศจรรย์  แม้คุณจะเห็นว่าวิธีของพระองค์นั้นโง่เขลาและไม่สามารถจะเข้าใจได้ พระองค์ก็ทรงมีเหตุผลที่ดีสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ

การมองดูงูทองสัมฤทธิ์ คือการกระทำที่แสดงความเชื่อ

      การมองดูงูทองสัมฤทธิ์ช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตายจากพิษนั้นได้อย่างไร?  สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่งูทองสัมฤทธิ์ที่ช่วยเราให้รอด แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงช่วยเราให้รอด  เราไม่ได้รอดด้วยคุณสมบัติใดๆที่วิเศษของทองสัมฤทธิ์  เรารอดได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เมื่อผมมองดูพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ผมก็รอดโดยพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทำงานผ่านพระองค์  เราจับจ้องสายตาของเราไปที่พระเยซูผู้ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา “เพื่อให้ทุกสิ่งคืนดีกับพระองค์เอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่บนแผ่นดินโลกหรือในสวรรค์ ทำให้เกิดสันติภาพโดยพระโลหิตจากกางเขนของพระองค์” (โคโลสี 1:20)[9]

      คำว่า “เชื่อ” ในยอห์น 3:15 (“เพื่อทุกคนที่เชื่อจะมีชีวิตนิรันดร์”) บอกเราว่า การมองดูที่พระเยซูเป็นการกระทำที่แสดงความเชื่อซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ก็เหมือนกับผู้ที่มองดูงูทองสัมฤทธิ์แล้วรอด  แต่ไม่มีใครจะรอดได้ด้วยการแค่ชำเลืองมองงูนั้น  มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง “เหลือบมอง” กับ “มองดู” ที่พระคัมภีร์ระวังที่จะให้เข้าใจ  คำฮีบรูว่า nabat ในกันดารวิถี 21:9 หมายถึงการมองดูอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยที่ไม่มีอยู่ในคำภาษาอังกฤษว่า “มองดู”  พจนานุกรมภาษาฮีบรู-อังกฤษฉบับ BDB[10] ได้ให้คำนิยาม nabat ว่า “ใส่ใจ” และ “มองอย่างพิจารณาถี่ถ้วน” ในจำนวนคำนิยามอื่นๆ

      ชาวอิสราเอลจำนวนมากจะต้องหันกลับมามองงูทองสัมฤทธิ์ แต่จะไม่รอดหากไม่ได้มองอย่างจดจ่อ  เมื่อร่างกายอ่อนแอจากพิษนั้น พวกเขาก็ต้องคลานออกจากเต็นท์ของพวกเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดและจ้องไปที่งูทองสัมฤทธิ์  นี่เป็นการกระทำที่แสดงความเชื่อซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ฮีบรู 12:2 พูดถึงการ “มองไปที่พระเยซู ผู้ริเริ่มและผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์”[11]  ในข้อนี้ คำภาษากรีกว่า aphoraō (“มองไปที่”) หมายถึงการมองอย่างจริงจัง  คำนิยามแรกของคำนี้ในพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับ BDAG ก็คือ “มุ่งความสนใจของคนๆหนึ่งโดยไม่วอกแวก”  การมองไปที่พระเยซูไม่ได้เป็นเพียงการเหลือบมองเท่านั้น แต่เป็นการจดจ้องความสนใจของคนๆหนึ่งอยู่ที่พระองค์ด้วยใจและความคิดอย่างเต็มเปี่ยม  พระเจ้าไม่ได้ช่วยเราให้รอดด้วยการมองเพียงผิวเผินพอๆกับที่พระองค์ไม่ได้ช่วยเราให้รอดด้วยความเชื่อที่ผิวเผิน

      ความเชื่อคือการกระทำที่แสดงการเชื่อฟังพระเจ้า ที่ตรงกันข้ามกับการไม่เชื่อฟัง  การที่จะรอดได้นั้น ชาวอิสราเอลจะต้องเชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้าเพื่อจะหันหนีจากความเจ็บปวดของพวกเขา และเพ่งมองที่งูทองสัมฤทธิ์  มันเป็นการกระทำที่แสดงการเชื่อฟังพระเจ้า แม้ว่าจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับผู้คนก็ตาม  ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราก้าวไปด้วยความเชื่อ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็จะเข้ามาในชีวิตของเรา  นี่คือความเชื่อในพระคัมภีร์ใหม่  ฮีบรู 5:9[12] กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความรอดนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงเชื่อฟังพระบิดาของพระองค์

      วิธีช่วยให้รอดของพระเจ้าจะฟังดูว่าฉลาด หรือไม่ก็โง่เขลาสำหรับคุณ  คุณกำลังจะปฏิเสธความรอดของพระเจ้าเพราะมันฟังดูไม่สมเหตุสมผลกับคุณไหม? คุณมีวิธีที่จะรอดที่ดีกว่านี้ไหม? คุณมีอำนาจที่จะทำลายความผิดบาปในชีวิตของคุณไหม? หรือคุณจะพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เคยกบฏต่อพระองค์และโทษพระองค์ในทุกเรื่อง แต่ในวันนี้ข้าพระองค์ได้เรียนรู้ว่า พระเยซูได้ทรงถูกยกขึ้นบนกางเขนที่จะสิ้นพระชนม์เพื่อความผิดบาปของข้าพระองค์  ข้าพระองค์ไม่สามารถจะทำลายอำนาจของความบาปในชีวิตของข้าพระองค์ได้ ฉะนั้นข้าพระองค์จะตั้งใจมองที่พระเยซูเพื่อจะได้รับการปลดปล่อยและความรอด”

          พระเยซูไม่ได้มาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกแต่นำดาบแห่งการแบ่งแยกมา (มัทธิว 10:34)  คุณอยู่ฝ่ายไหนหรือ?  ผู้ที่จะรับบัพติศมาในวันนี้ได้ยืนหยัดโดยการข้ามเส้นนั้น ย้ายจากฝ่ายต่อต้านพระเจ้ามาเป็นฝ่ายเชื่อฟังพระเจ้า  คุณกำลังก้าวด้วยการเชื่อฟังเช่นเดียวกับคนที่มองดูงูทองสัมฤทธิ์  เขาเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า และพิษนั้นก็ถูกถอน  คุณเองก็จะมีประสบการณ์กับอำนาจของบาปที่ถูกทำลายในชีวิตของคุณ และความรู้สึกผิดก็ถูกขจัดออกไป  ความบาปในอดีตของคุณจะได้รับการชำระ และคุณจะเข้าสู่อิสรภาพใหม่ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน


[1] ต้นฉบับภาษาอังกฤษเกือบทุกฉบับใช้คำ “fiery serpents” หมายถึง “งูที่ร้อนเป็นไฟ” (ผู้แปล)

[2] สุดดี 32:9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดสายผ่าปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันจะไม่มาใกล้เจ้า

[3] โรม 8:3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้มันอ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงลงโทษบาป

[4] ฮีบรู 4:15 เพราะ​ว่า​เรา​ไม่​ได้​มี​มหา​ปุโร​หิต​ที่​ไม่​สา​มารถ​จะ​เห็น​ใจ​ใน​ความ​อ่อน​แอ​ของ​เรา แต่​ทรง​เคย​ถูก​ทด​ลอง​ใจ​เหมือน​เรา​ทุก​อย่าง ถึง​กระ​นั้น​พระ​องค์​ก็​ยัง​ปราศ​จาก​บาป

[5] ฮีบรู 5:8 ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังโดยการทนทุกข์ต่างๆ  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์

[6] 2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำพระองค์ผู้​​ไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

[7] อิสยาห์ 66:16 เพราะว่าพระยาห์เวห์จะทรงพิพากษาด้วยไฟ ทั้งด้วยพระแสงของพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งหมด

[8] ยอห์น 12:32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร

[9] โคโลสี 1:20  และ​โดย​พระ​องค์ พระเจ้า​ทรง​ให้​ทุก​สิ่ง​คืน​ดี​กับ​พระ​องค์​เอง ไม่​ว่า​สิ่ง​นั้น​จะ​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก​หรือ​อยู่​บน​สวรรค์ โดย​ทรง​ทำ​ให้​เกิด​สันติ​ภาพ​โดย​พระ​โลหิต​แห่ง​กาง​เขน​ของ​พระ​องค์

[10] The Brown-Driver-Briggs Hebrew and English Lexicon

[11] ฮีบรู 12:2 โดย​จับ​ตา​มอง​ที่​พระ​เยซู​ผู้​เบิก​ทาง​ความ​เชื่อ และ​ผู้​ทรง​ทำ​ให้​ความ​เชื่อ​นั้น​สม​บูรณ์ พระ​องค์​ทรง​สู้​ทน​ต่อ​กาง​เขน เพื่อ​ความ​ยินดี​ที่​อยู่​ต่อ​หน้า​พระ​องค์ ทรง​ถือ​ว่า​ความ​อับ​อาย​นั้น​ไม่​เป็น​สิ่ง​สำ​คัญ และ​พระ​องค์​ประ​ทับ​เบื้อง​ขวา​พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระ​เจ้า

[12] ฮีบรู 5:9 เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์