pdf pic 

 

 

บทที่ 10

 

 ch1 1

 

การถูกสร้างใหม่

พอร์ท ดิ๊กสัน, มาเลเซีย

31 ธันวาคม 1986

อย่าออกจากค่ายนี้แล้วพูดว่า “ฉันยังไม่รู้ว่าการเป็นคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร”

      มสนุกกับค่ายนี้เพราะบรรยากาศสบายๆ  ค่ายอื่นๆ ของเราบางค่ายจะใหญ่มากจนผมไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง  ค่ายสุดท้ายของเราในฮ่องกงนั้นใหญ่มากจนผมได้รู้จักกับคนในค่ายเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  ถ้าผู้คนที่นั่นรู้สึกโดดเดี่ยว ผมก็รู้สึกโดดเดี่ยวเช่นกัน  แต่ค่ายนี้อบอุ่นเพราะคุณได้รู้จักกันและกัน  เรียกได้ว่าเป็นค่ายแบบ “ครอบครัว”  ผมอยากให้ทุกค่ายเป็นค่ายแบบครอบครัว

      ค่ายนี้มีหัวข้อที่สำคัญมากคือการถูกสร้างใหม่  หัวข้อนี้กว้างมากจนผมสงสัยว่าผมจะทำให้เห็นอย่างครอบคลุมในคำสอนครั้งเดียวได้หรือไม่

      วันนี้ผมมีเจ็ดประเด็น เมื่อผมเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็สงสัยอยู่ว่าเราจะครอบคลุมทั้งเจ็ดประเด็นนี้ได้อย่างไร  ปกติผมไม่ชอบที่จะเทศนาในรูปแบบประเด็น เพราะมันจะทำให้การเทศนาฟังดูเหมือนเป็นการบรรยาย  ผมไม่ต้องการจะบรรยายแต่ต้องการจะพูดพระคำของพระเจ้าจากใจของผม  แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาที่กว้างมากของหัวข้อนี้แล้ว ผมจึงต้องนำเสนอในรูปแบบประเด็น เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความหมายของการถูกสร้างใหม่

      มันสำคัญที่เราจะเห็นว่าการถูกสร้างใหม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของชีวิตคริสเตียนอย่างมาก  คริสเตียนหลายคนในปัจจุบันไม่เข้าใจส่วนสำคัญที่สุดของความรอด  และเมื่อเราพูดถึงการถูกสร้างใหม่ เรากำลังพูดถึงส่วนสำคัญที่สุดของความรอด  โดยพระคุณของพระเจ้า ผมหวังว่าจะไม่มีใครออกจากค่ายนี้แล้วพูดกับตัวเองว่า “ผมยังคงไม่รู้ว่าการเป็นคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร”  ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้นหลังจากค่ายจบลงแล้ว ผมจะรู้สึกว่างานที่ได้รับมอบหมายให้ผมมานั้นผมทำไม่สำเร็จ  ดังนั้นให้เราเริ่มด้วยหัวข้อที่สำคัญนี้  เพื่อสวัสดิภาพของคุณตลอดไป ผมจะขอให้คุณตั้งใจและเข้าใจสิ่งที่พระคำของพระเจ้ากำลังตรัสกับคุณและผม

ประเด็นที่ 1: การสร้างในแบบ ex nihilo ที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

      ประเด็นแรกของผมมุ่งอยู่ที่คำว่า “การสร้าง” เพราะมันจะเปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงการสร้างใหม่ ถ้าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสร้างหมายถึงอะไร  อันตรายแอบแฝงโดยทั่วไปก็คือ การที่คิดว่าเราเข้าใจความหมายของคำในเมื่อเราไม่ได้เข้าใจ  ดังนั้น ก่อนที่เราจะพูดถึงการสร้างใหม่  ให้เรามาพูดถึงการสร้างกันเสียก่อน  แนวคิดในการสร้างของคุณคืออะไร?

      เรามักใช้คำในลักษณะที่คลุมเครือและไม่แน่ชัด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแน่ชัดเกี่ยวกับความหมายของคำที่เราใช้  เมื่อเราบอกว่าศิลปินนั้นช่างสร้างสรรค์ เราหมายความว่าอย่างไร?  เราก็หมายความว่าเขาหรือเธอผลิตงานศิลปะที่เป็นต้นฉบับ และไม่ได้เป็นแค่การลอกเลียนแบบงานที่ผู้อื่นทำเท่านั้น  คำว่า “สร้างสรรค์” หมายถึงงานใหม่ที่ไม่เคยมีให้เห็นมาก่อน  เราจะใช้คำว่า “การสร้าง” นี้กับงานชิ้นหนึ่งที่มีแนวคิดทางศิลปะซึ่งไม่มีใครเคยคิดมาก่อน  นักประพันธ์ดนตรีจะถูกกล่าวถึงว่ามีความสร้างสรรค์หากผลงานของเขาไม่เคยมีใครประพันธ์มาก่อน

      แต่ “การสร้าง” ในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้านั้นหมายความอย่างไร?  คำถามนี้สำคัญต่อความเข้าใจในเรื่องความรอด  ในพระคัมภีร์นั้น การสร้างคือ การทำให้บางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนให้มีขึ้น  มันไม่ได้เป็นแค่ความคิดใหม่ ภาพวาดใหม่ หรือว่าเพลงใหม่ ที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “การสร้างสรรค์”  ที่จริงแล้ว ดนตรี ถ้อยคำ และองค์ประกอบทางศิลปะของงานสร้างสรรค์นั้นมีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันถูกเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบใหม่ ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “การสร้าง”

      แต่นั่นก็ไม่ใช่ความหมายตามพระคัมภีร์ของ “การสร้าง”  ในพระคัมภีร์นั้น การสร้างเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้กระทั่งในส่วนที่เป็นองค์ประกอบ  แต่ตรงกันข้ามกับงานการสร้างของมนุษย์ที่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่มีอยู่ก่อนแล้ว  หากไม่มีดนตรี ผู้เรียบเรียงก็จะไม่สามารถเรียบเรียงดนตรีใหม่ได้  องค์ประกอบบางอย่างจะต้องมีอยู่ก่อนซึ่งศิลปินจะเรียบเรียงใหม่หรือจัดให้เป็นรูปแบบใหม่  แต่นั่นไม่ใช่ “การสร้าง” ในความหมายตามพระคัมภีร์  ขอย้ำอีกครั้งว่า  ในพระคัมภีร์นั้น การสร้างคือการทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

      มีคำศัพท์เฉพาะสำหรับเรื่องนี้ในทางศาสนศาสตร์ และเนื่องจากบรรดานักศาสนศาสตร์ชอบใช้ภาษาละติน คำนี้คือ creatio ex nihilo คำนี้เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษ  คำว่า “การสร้าง” ในภาษาอังกฤษว่า creation มาจากภาษาละตินว่า creatio เป็นการสร้าง  คำว่า ex หมายถึง “ออกจาก” เหมือนกับ exit (ทางออก)  คำภาษาอังกฤษว่า “nil” (ในกีฬาเบสบอล, three-nil จะหมายถึงคะแนน 3-0) มาจากภาษาละตินว่า nihilo ซึ่งหมายถึงไม่มีค่าอะไรหรือศูนย์  ดังนั้น creatio ex nihilo จึงหมายถึงการสร้างจากศูนย์ ที่ไม่มีอะไรเลย

      เมื่อบุคคลหนึ่งเกิดมามีตัวมีตนนั้น เขาหรือเธอไม่มีตัวตนอยู่ก่อนการปฏิสนธิ  พระคัมภีร์ไม่รู้จักหลักคำสอนใดที่เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด แต่ก็มีคริสเตียนบางคนที่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้  เราไม่ได้มีอยู่ในรูปร่าง หรือรูปแบบ หรือบุคคล มาก่อนหน้านี้ก่อนที่จะมีการปฏิสนธิ ซึ่งต่อมาได้กลับเข้ามาในโลกในรูปแบบใหม่  บางทีคุณอาจเคยเป็นวัวมาก่อน แต่ด้วยเหตุของกรรมหรืออย่างอื่น ตอนนี้คุณจึงมาเป็นมนุษย์  หวังว่ารอบหน้าคุณจะกลับมาเป็นมนุษย์ ไม่ได้กลับมาเป็นยุงเพราะกรรมชั่ว  แต่พระคัมภีร์ไม่ได้รู้จักหลักคำสอนเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด  เพราะเมื่อคุณเกิด คุณก็เกิดมาเป็นครั้งแรก

คริสเตียนไม่ได้เป็นแค่บุคคลที่ปรับปรุงตัวใหม่ทางศีลธรรม

      เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจว่า การเป็นคริสเตียนนั้นไม่ใช่เรื่องของการมาศึกษาใหม่ในด้านศีลธรรม แต่เหมือนกับที่เปาโลกล่าวถึงการถูกสร้างใหม่  เมื่อคุณมาเป็นคริสเตียน คุณไม่แค่ถูกปรับโฉมใหม่ให้เหมือนกัน หรือทำซ้ำในสิ่งที่มีอยู่แล้ว

      ในประเทศอังกฤษ พวกเราที่ไม่สามารถซื้อรถใหม่ได้ก็มักจะซื้อรถเก่าๆ บางคนจะบอกว่าเป็นเศษซากรถเก่า แล้วนำไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถ  พวกเขาก็ยกเครื่องใหม่และเคลือบด้วยโลหะมันวาว และเศษซากเก่าๆนี้ก็ออกมาดูสวยงาม!  พวกเขาปกปิดจุดที่ขึ้นสนิม ใส่ฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ซ่อมรอยบุบ พ่นสีตัวถัง แล้วรถออกมาสวยเป๊ะ!  เศษซากเก่าได้สวมรูปลักษณ์ใหม่

      แต่เวลาคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ รถจะมีเสียงปะทุ ตัวรถก็ดูดี แต่เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่ดี  คุณก็เลยเอาไปให้ร้านอื่นปรับสภาพเครื่องยนต์  พวกเขาก็ถอดเครื่องยนต์ออก ยกลิ้นเครื่องยนต์ เปลี่ยนแหวนลูกสูบ และตอนนี้คุณก็มีเครื่องยนต์ที่ปรับสภาพแล้ว!

      นี่คือการมาเป็นคริสเตียนไหม?  คริสตจักรเป็นอู่ซ่อมทางจิตวิญญาณที่คุณมาปรากฏตัวที่หน้าประตูในสภาพที่ย่ำแย่ ด้วยรอยกระแทกที่นี่ รอยบุบที่นั่น และสนิมขึ้นเต็มไปหมด  และคริสตจักรก็บอกว่า “เข้ามาเลย เราจะซ่อมคุณเอง!”  จากนั้นบรรดาผู้ร่วมงานในคริสตจักรก็เริ่มทำงานกับคุณ ฉีดสเปรย์คุณ และขัดสีฉวีวรรณคุณ  และแล้วคุณก็ดูดี เหมือนรถที่ทำตัวถังได้งามยอดเยี่ยม

      การมาเป็นคริสเตียนหมายความว่าอย่างไรหรือ?  คำถามนี้เป็นพื้นฐานของความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสอนของพระคัมภีร์  การมาเป็นคริสเตียนนั้นเหมือนกรณีของคนจรจัดแก่ๆที่นั่งอยู่ข้างถนนไหม?  เนื้อตัวของเขาสกปรกไปหมด หนวดเครารกรุงรัง ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง ผมก็เลยดึงเขาเข้ามา พาเขาไปอาบน้ำ และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค  ตอนนี้เขาดูดีและสะอาด!  แต่เขาไม่มีฟัน!  ผมก็เลยใส่ฟันปลอมให้เขา และตอนนี้เขาก็ดูดีเวลาเขายิ้ม  เขาเคยมีรอยยิ้มที่ไม่มีฟัน แต่ตอนนี้ฟันของเขาขาวและสวยงามแล้ว  ผมของเขาบางมาก ผมเลยให้วิกผมเขาใส่  ตอนนี้เขาเป็นคนใหม่ไหม?  มันก็ใช่ในแง่หนึ่ง  แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวกับความรอด

      ภาพตัวอย่างของผมอาจจะดูเบาสมองแต่ก็จริงจังมาก เพราะมันอธิบายแนวความคิดทั่วไปของการสร้างใหม่  และคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยว่าการไปคริสตจักรเป็นเรื่องที่ดี  พวกที่คริสตจักรนี่แหละจะชำระล้างคุณ ใช้เครื่องสำอางลบริ้วรอยต่างๆ และทำทรงผมใหม่ให้คุณ  เมื่อก่อนนี้คุณไม่น่าดูเลย แต่ตอนนี้คุณออกมาสวยหล่อไปเลย

      ลองเปลี่ยนภาพนี้เป็นระดับทางศีลธรรมดู เรามีคนบาปที่ใช้ชีวิตแบบทำลายตนเอง  เขาเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพยา และก่ออาชญากรรม  แล้วคริสตจักรจะเข้ากันตรงไหน?  คริสตจักรก็คือศูนย์ฟื้นฟูสำหรับ “ผู้เสพบาป” นะสิ  ศิษยาภิบาลและคนทำงานคริสตจักรเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกับคนบาป  เราสวมเสื้อคลุมสีขาว คอยตรวจสอบคนบาป และวินิจฉัยกรณีของเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย นี่คุณอาการแย่แล้ว เราจะช่วยฟื้นฟูคุณ  เราจะชำระล้างฝ่ายวิญญาณของคุณให้ดี  จะให้วิกผมฝ่ายวิญญาณ และให้ฟันปลอมฝ่ายวิญญาณแก่คุณ แล้วคุณก็จะดูเหมือนเป็นคนใหม่เลย!”

      นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวกับความรอด  ปัญหาเกี่ยวกับการทำรถใหม่ การฟื้นฟูสภาพที่หมดสภาพ หรือการปรับปรุงคนบาปในทางศีลธรรมนั้น ลึกๆแล้วภายในไม่ได้เปลี่ยนแปลง  คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจประเด็นสำคัญนี้ในทางปฏิบัติ เพราะพวกเขาคิดว่าการมาเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องของการขจัดสิ่งที่บาป โดยที่มักเข้าใจกันว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีทางศีลธรรม  มีหลายคนคิดว่าการเป็นคริสเตียนคือการกำจัดนิสัยที่ไม่ดีทางศีลธรรมเพื่อจะได้เป็นคนดี

      คริสตจักรของเราในเมืองลิเวอร์พูลประเทศอังกฤษ มีชั้นเรียนวันอาทิตย์ที่เติบโตขึ้น  เนื่องจากคริสตจักรอื่นๆหลายแห่งไม่มีชั้นเรียนวันอาทิตย์ ดังนั้นรถมินิบัสของคริสตจักรเราก็จะไปรับเด็กๆตามบ้านของพวกเขา และพาพวกเขามาชั้นเรียนวันอาทิตย์ของเรา  แล้วเราก็จะส่งพวกเขากลับ  เราได้เชิญผู้ปกครองของเด็กๆมาคริสตจักร แต่หลายคนก็พูดว่า “ไม่ล่ะ แต่มันดีแน่นอนที่เด็กๆจะไปโบสถ์!”  และเรากำลังคิดว่า ถ้าคุณไม่ไปโบสถ์ แล้วทำไมคุณถึงอยากให้ลูกๆไปโบสถ์ล่ะ? นั่นเป็น เพราะ “คริสตจักรเป็นที่ที่ดีสำหรับเด็กๆ ที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ศีลธรรมที่ดีและกลายเป็นคนดี”

      แนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับคริสตจักรคือเป็นศูนย์การสอนให้เปลี่ยนความประพฤติใหม่ในด้านศีลธรรม  พวกเขาไม่ต้องการการสอนให้เปลี่ยนความประพฤติใหม่ในด้านศีลธรรมสำหรับตนเองหรอก เพราะพวกเขาคิดว่าไม่ต้องการมัน  แต่เด็กๆเป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจยาเสพติดและเรื่องอื่นๆ ฉะนั้นคริสตจักรจึงสามารถจะสอนนิสัยดีๆให้พวกเขาได้ และป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

      หากนั่นเป็นแนวคิดของคุณในการมาเป็นคริสเตียน คุณก็อาจจะอธิบาย “ชีวิตฝ่ายวิญญาณ” ว่าเป็น “ชีวิตทางศีลธรรม” ได้เช่นกัน  คนส่วนใหญ่ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างในทางจิตวิญญาณและในทางศีลธรรม  ทั้งสองนั้นมีความเกี่ยวข้องกันแต่ไม่เหมือนกัน คุณ​เป็นแค่​คริสเตียน​ที่​ปรับ​ปรุงตัวใหม่ทาง​ศีลธรรม​ไหม?  หรือว่าคุณเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่?

      ผมไม่มีหน้าที่ฟื้นฟูผู้มีนิสัยไม่ดี หรือทำให้คนที่ไม่ถือศาสนาให้หันมานับถือศาสนา  ผมไม่ได้มีหน้าที่ที่จะเปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ศาสนา  พระเจ้าทรงเรียกให้ผมประกาศสั่งสอนข่าวประเสริฐที่เกี่ยวข้องกับการถูกสร้างใหม่

      พระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่าคริสเตียนแท้เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่  ให้เรานึกถึงคำภาษาละตินว่า creatio ex nihilo ที่ได้เรียนรู้ข้างต้น  เมื่อคุณมาเป็นคริสเตียนแท้นั้น คุณไม่ได้เป็นแค่คนที่ถูกปรับปรุงใหม่ทางศีลธรรม แต่เป็นคนที่มีชีวิตใหม่โดยสิ้นเชิง!  ชีวิตที่คุณมีตอนนี้เป็นสิ่งใหม่โดยสิ้นเชิง  มันไม่เคยมีมาก่อน  มันเกิดขึ้นโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

      หากการเป็นคริสเตียนเป็นเพียงเรื่องของการสอนให้เปลี่ยนความประพฤติใหม่ในด้านศีลธรรม ผมคิดว่าผู้ไม่เป็นคริสเตียนที่เป็นคนดีๆก็จะทำเช่นเดียวกัน  ไม่จำเป็นต้องให้คริสเตียนทำสิ่งนี้หรอก  เราพูดได้โดยไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า เราควรเรียกคริสตจักรว่า ศูนย์รวมการสอนให้เปลี่ยนความประพฤติใหม่ในด้านศีลธรรม  บางคริสตจักรไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพียงศูนย์รวมทางสังคมที่รวมหมู่คนซึ่งมีผู้สูงอายุมาจิบชาและมีคนหนุ่มสาวมาเล่นแบดมินตัน  เราดึงดูดผู้คนด้วยสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่ละอายว่า “มาที่คริสตจักรของเราสิ  เรามีสนามแบดมินตัน”  ยังงั้นทำไมพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนชื่อคริสตจักรของพวกเขาเสียใหม่ว่า “ศูนย์คริสเตียนเพื่อสังคม เสียเลยล่ะ?  คุณยังสามารถตัดคำว่า “คริสเตียน” ทิ้งได้ด้วยซ้ำ

      มีคนเคยบอกผมว่า เขาลืมไปแล้วว่าสมาคม YMCA ย่อมาจากอะไร  มันย่อมาจาก Young Men's Christian Association ส่วนเดียวที่ยังคงเป็นจริงเกี่ยวกับชื่อนี้ก็คือคำย่อ A ในตอนท้ายว่า “Association(สมาคม)  คุณสามารถตัด Y ทิ้งได้เพราะมันไม่ได้จำกัดเฉพาะคนหนุ่มอีกต่อไป เพราะทุกคนสามารถเข้าร่วม YMCA ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุ  และ YMCA ก็ไม่ได้มีไว้สำหรับเฉพาะผู้ชายอีกต่อไป  ตอนที่ผมพักที่ YMCA ในสิงคโปร์ ผมก็เห็นผู้หญิงเข้าออก  และผมก็ไม่รู้ว่าคำย่อ C สำหรับ “Christian” (“คริสเตียน”) นั้นจะเข้ากันอย่างไร เพราะคุณสามารถจะเรียนยูโด มวยจีน เครื่องปั้นดินเผา และสิ่งอื่นๆได้ที่ YMCA  บางทีพวกเขาควรจะตัด Y และ M และ C ทิ้งไปเลย แล้วเรียกแค่ว่า A สำหรับ Association (สมาคม) 

      สิ่งนี้เป็นความจริงไม่เฉพาะกับ YMCA เท่านั้น แต่ยังเป็นความจริงอย่างมากกับคริสตจักรต่างๆด้วย  พวกเขาได้ไปร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและทำการดีซึ่งก็เป็นสิ่งดี  ผมไม่ได้มีอะไรที่ต่อต้านการทำดี  ในฐานะที่เป็นคริสตจักร เราได้ทำการดีในส่วนของเรา  แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของคริสตจักร เมื่อผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาบางคนสิ้นหวังและไม่มีที่ไป คริสตจักรของเราในมอนทรีออลเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่อุปถัมภ์คนสิบคนให้ไปแคนาดา โดยจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้  ผมไม่พูดดูถูกความมุ่งมั่นที่มีกับคนจนและคนขัดสน  อันที่จริง คริสตจักรของเรามีชื่อเสียงที่ดีกับรัฐบาลแคนาดา และเราได้รับจดหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่แสดงความขอบคุณและรู้สึกซาบซึ้งที่คริสตจักรของเราสนับสนุนผู้ลี้ภัยหลายคนมาก  เปล่าเลย ผมไม่ได้ต่อต้านสิ่งเหล่านี้  แต่นี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของคริสตจักร

      คุณเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในความหมายที่แท้จริงของ “การสร้าง” ไหม?  เมื่อคุณมาเป็นคริสเตียน พระเจ้าได้ทรงให้ชีวิตใหม่กับคุณที่คุณไม่เคยมีมาก่อนไหม ที่ไม่ใช่แค่การปรับโฉมใหม่ หรือการช่วยให้กลับสู่สภาพเดิม หรือการขัดเกลาชีวิตเก่า? คุณได้รับชีวิตใหม่โดยสิ้นเชิงหรือไม่?  นั่นคือประเด็นแรกของ “การสร้าง”

ประเด็นที่ 2: การถูกสร้างใหม่เป็นไปได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเท่านั้น

      ประเด็นที่สองของเรา การสร้างจากความว่างเปล่า creatio ex nihilo ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้  นั่นไม่ใช่กรณีของการแต่งเพลง เพราะโน้ตดนตรีมีมานานแล้ว และผู้แต่งก็เรียบเรียงมันในรูปแบบใหม่  การสร้างสรรค์ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือการค้นพบต่างๆของเรา เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เสียใหม่  นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีมาก

      แต่ผมไม่ได้สั่งสอนข่าวประเสริฐที่จะสามารถทำสำเร็จได้โดยมนุษย์  เมื่อเราพูดถึงการสร้างจากความว่างเปล่านั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเท่านั้น  ผมมีความชื่นชมยินดีในข่าวประเสริฐเพราะอย่างที่เปาโลกล่าวว่า ข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด (โรม 1:16)

      เป็นเรื่องดีที่ผู้คนสามารถจะเรียนแบดมินตัน ยูโด หรือมวยเส้าหลินได้  ผมไม่มีอะไรต่อต้านกิจกรรมเหล่านี้ เพราะผมเองก็เคยเล่นกีฬาเหล่านี้มาก่อน  แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมของมนุษย์ล้วนๆ แม้แต่กิจกรรมที่ดีทางสังคม  ผมไม่มีอะไรต่อต้านการศึกษาพระคัมภีร์เพื่อสอนผู้คนให้เป็นคนดีและอ่อนโยน   ผมไม่มีอะไรต่อต้านความมีมิตรไมตรีและใจดี แต่นั่นไม่ใช่ข่าวประเสริฐ!  ข่าวประเสริฐคือฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะนำชีวิตใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้ามาในชีวิตของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งผมและก็ใครๆไม่สามารถทำสำเร็จได้ในตัวคุณ  มันเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สร้างคนใหม่ขึ้นจากตัวคุณ

      บางครั้งก็ยากที่จะแยกแยะระหว่างคนที่ปรับปรุงตัวใหม่ทางศีลธรรมกับคนใหม่ที่มีชีวิตใหม่เอี่ยม  เราอาจนึกถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไปโบสถ์ และแม่ของเขาพูดกับเขาว่า “เบนนี่..ลูก ตั้งแต่ลูกได้ไปที่โบสถ์ ลูกก็เป็นเด็กดี!”  แต่พี่น้องทั้งหลาย ทุกศาสนาก็บอกให้คุณเป็นคนดี  ชาวพุทธก็บอกคุณให้เป็นคนดี และชาวมุสลิมก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะฆ่ากันเองในสงครามระหว่างอิหร่านกับอิรัก  แต่คริสเตียนก็เก่งในการฆ่ากันเองเหมือนที่เราเคยเห็นในไอร์แลนด์เหนือ มันน่าอับอาย

คนที่ถูกสร้างใหม่ยืนหยัดต่อต้านความบาป

      ผมไม่ใช่คนดีนักในสายตาใครหลายๆคน  ผมไม่ได้แกล้งทำเป็นเป็นคนดีด้วยซ้ำเพราะการพูดความจริงก็ไม่ได้พูดดีเสมอไป  ถ้ามีใครมาชี้ให้เห็นความบาปของคุณ คุณอาจจะโต้กลับว่า “นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของผม  คุณไม่ควรบอกคนอื่นว่าพวกเขาเป็นคนบาป คุณไม่ใช่คนดี”  คนที่พูดเรื่องบาปไม่ใช่คนดี  คุณควรจะพูดแต่เรื่องที่น่ายินดีและใช้จิตวิทยาเพื่อให้รู้สึกเชิงบวก เหมือนที่ศิษยาภิบาลหลายคนในทวีปอเมริกาเหนือกำลังทำกัน  บาปเป็นเรื่องเชิงลบ และเราต้องไม่พูดถึงสิ่งที่เป็นเชิงลบ  ให้คิดในทางบวก ไม่ต้องคิดเรื่องบาป  แล้วคุณจะทำอย่างไรเมื่อมีคนมาคริสตจักร?  คุณก็จะบอกกับพวกเขาว่า “คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยม คนที่น่ารัก คนที่สวยงาม!”  ยิ่งเราใช้คำคุณศัพท์บอกลักษณะมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น เช่นว่า “มันดีมากๆ ที่ได้มาคริสตจักร  ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว”  แล้วเราก็จะบอกพวกเขาว่า “คุณต้องมีความนับถือตนเองมากขึ้น เราเพิ่งได้ยินว่าเจ้านายของคุณปฏิบัติไม่ดีกับคุณที่สำนักงาน  เขาควรจะละอายใจเพราะคุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก!”

      ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลยในเรื่องนี้ เพราะตัวผมเองเคยได้ยินคำเทศนาแบบนี้โดยศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา  ทุกคนชอบมาก!  จำนวนเงินถวายที่เขาได้รับในการเทศน์แบบนี้ก็น่าตกใจ

      คุณชอบที่จะให้ใครบอกว่าคุณเป็นคนบาปไหม?  แน่นอนว่าไม่!  นั่นเป็นความคิดในทางลบ  คุณชอบที่จะให้ใครบอกว่าคุณเป็นคนดีและยอดเยี่ยมแค่ไหน และคุณมีศักยภาพมากแค่ไหน  ถ้าผมจะเทศน์แบบนี้ ก็จะมีคนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ

      แต่ถ้าหากผมเทศนาเกี่ยวกับความบาป ผู้คนจะพูดว่า “ฉันรู้สึกดีมากก่อนที่จะก้าวเข้ามาในคริสตจักร แต่หลังจากฟังคำเทศนาของอาจารย์ ฉันก็หมดแรงเลย  เขากระหน่ำมาที่ฉันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง!  ฉันคลานออกจากประตูโบสถ์แทบไม่ได้!”

      ไม่นานมานี้ มีศาสตราจารย์คนหนึ่งจากไต้หวันได้มาเยี่ยมคริสตจักรของเราในมอนทรีออลเป็นครั้งแรกและกลับออกมาแบบสะบักสะบอมในฝ่ายวิญญาณ  ต่อมาเขาก็บอกผมว่า “ผมกำลังบอกตัวเองว่าผมรับไม่ได้!  คำเทศนาทำให้ผมหมดแรง  หลังจากฟังคำเทศนาแรกของคุณ ผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่กลับมาอีกเลย  ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในวันอาทิตย์ถัดมา ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็ฉวยผมไว้และลากผมกลับมาโดนกระหน่ำอีกรอบ  ผมพูดกับตัวเองว่าคราวนี้ผมจะไม่กลับมาอีกจริงๆ  แต่ว่าสัปดาห์ต่อมา ผมก็กลับมาเป็นรอบที่สาม ซึ่งเหมือนกับการแข่งชกมวย 15 ยกมากกว่า!  ตาของผมบวมช้ำเลย”

      ข่าวประเสริฐที่เปาโลประกาศ ข่าวประเสริฐที่ผมประกาศ ที่สำคัญ ข่าวประเสริฐที่พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าของผมประกาศนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยอมรับไม่ได้  เมื่อไรหรือที่มนุษย์ทั่วไปจะยอมรับที่จะแบกกางเขน เครื่องมือในการประหารชีวิตของตัวเขาเอง และติดตามพระเยซู?  นั่นต้องใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่จะทำให้คนๆหนึ่งยอมรับเรื่องกางเขนได้  การพูดและการโน้มน้าวใจของมนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งนี้สำเร็จได้  ผมไม่มีเจตนาจะพูดชักชวนใครในเรื่องนี้ เพราะผมจะทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ถ้าใครจะมาเป็นคริสเตียนเพราะคำโน้มน้าวใจ วาทศิลป์ หรือสติปัญญามนุษย์ของผม

      แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้ฉวยศาสตราจารย์คนนั้นไว้ และเขาก็ได้กลับมาที่โบสถ์ทุกอาทิตย์จนกระทั่งฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำให้เขากลายเป็นคนใหม่  อีกอย่างหนึ่งคือ เขาเคยเป็นคริสเตียน และเป็นผู้นำคริสเตียนในไต้หวันมาหลายปีด้วยซ้ำ  ผมคิดว่าพวกคุณหลายคนจากคริสตจักรมอนทรีออลของเรารู้ว่าผมกำลังพูดถึงใคร  เขาได้กลายเป็นคนใหม่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ผมประทับใจมากเพราะเขาเป็นผู้นำคริสเตียนในไต้หวัน ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่เขาสอนอยู่  เขามาที่คริสตจักรของเราอย่างสัตย์ซื่อ และตอนนี้ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในกระบวนการของการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ  หลายเดือนถัดมาผมก็ถามเขาว่า “คุณอยากจะแบ่งปันอะไรในการประชุมอธิษฐานไหม?”  คุณรู้ไหมว่าเขาตอบอย่างไร?  เขาบอกว่า “ครั้งหนึ่งผมเคยเชื่อว่าผมรู้ว่าการเป็นคริสเตียนคืออะไร แต่ตอนนี้ ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ  ดังนั้นผมจึงไม่สามารถแบ่งปันให้ได้ อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะเติบโตมากขึ้น”  ใจของผมสัมผัสได้ถึงความถ่อมใจของเขา  นั่นต้องใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะทำสำเร็จได้

พระเจ้าผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษของเรา ทรงคู่ควรแก่การกราบไหว้นมัสการจากเรา

      ผมก็ได้บอกคุณไปแล้วว่า ผมเชื่อเรื่องการกราบไหว้บรรพบุรุษอย่างมาก  ผมไม่ได้พูดว่า “เหล่าบรรพบุรุษ” (“ancestors” พหูพจน์ที่มีอักษรตัวท้าย “s”) แต่เป็น “พระองค์ผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษ” (“Ancestor” เอกพจน์ที่มีตัวพิมพ์ใหญ่ “A”)  บางท่านอาจจะพูดว่า “เป็นไปได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างของเรา ไม่ใช่พระบิดาของเราในแง่ของบรรพบุรุษ”

      แต่ในพระคัมภีร์แล้ว คำเปรียบทั้งสองของ “การสร้าง” และ “การเกิด” นั้นใช้แทนกันได้  ผมขอยกตัวอย่างเรื่องนี้จากสดุดี 90:1-2 เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าการสร้างสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเกิด  ผมจะอ่านให้คุณฟังเพื่อให้เห็นความงามและพลังแท้จริงของสดุดีนี้สำหรับการนมัสการพระเจ้า

ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ได้ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเราในทุกชั่วอายุคน ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายจะกำเนิด​​ขึ้นมาก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินและโลกพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ามาตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล (สดุดี 90:1-2 ฉบับ HCSB)[1]

      การสร้างภูเขาและแผ่นดินแสดงให้เห็นว่าเป็นการ “เกิด” จากพระเจ้ามากกว่าเป็นการ “สร้าง” โดยพระเจ้า เพราะคำเปรียบทั้งสองนี้ใช้แทนกันได้  ทั้งสองนี้เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหตุให้ “การเกิด” ใหม่ และ “การสร้าง” ใหม่ เป็นแนวคิดที่ใช้แทนกันได้

      อาดัมไม่ได้เกิดจากพระเจ้าทางธรรมชาติหรือตามจริง แต่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่เนื่องจากคำเปรียบทั้งสองนี้ใช้แทนกันได้ ลูกาจึงสามารถพูดถึง “อาดัมบุตรพระเจ้า” (ลูกา 3:38) ได้โดยการดลใจของพระวิญญาณ!

      ผมจึงเชื่อในการกราบไหว้บรรพบุรุษ  กราบไหว้พระองค์ผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษของเรา ผู้ที่ให้กำเนิดเราตั้งแต่เริ่มต้นโดยทางอาดัมบุตรของพระเจ้าซึ่งเราทุกคนมาจากเขา  ถ้ามีบางคนพูดว่า “มากราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษของเรากันเถอะ”  คุณก็สามารถพูดว่า “ดีเลย ให้เราคุกเข่าลงกราบไหว้พระองค์ผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษของเรากัน!  เรากราบไหว้พระองค์ทุกวัน!  คุณหมายความว่าอะไรที่ว่าปีละครั้งหรือสองครั้ง?”  ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการจะกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขา เราก็จะพูดว่า “ดีเลย ให้เราคุกเข่าลงกราบไหว้พระองค์ผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษของเรากัน” แม้แต่ยกถ้อยคำจากสดุดีว่า “ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า!” พระองค์ผู้ทรงสมควรได้รับการกราบไหว้นมัสการและเทิดทูนจากเรา  ปัญหาในทุกวันนี้คือ ผู้คนไม่กราบไหว้นมัสการพระองค์ผู้เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา  เราไปกราบไหว้จุดหมายที่ผิดทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุให้โลกจึงมีปัญหาเช่นนี้

      ผมไม่ใช่คนดีอะไรนักเพราะอย่างที่บอกแล้วว่า การเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีตลอดเวลา  เกรซ ลูกสาวของผมกับผมกำลังเดินไปตามทางเดินของอาคารอพาร์ตเมนต์ที่เราพักอยู่ในฮ่องกง และเราเห็นว่าสี่ในหกครัวเรือนบนชั้นนั้นกำลังจุดธูปที่หน้าประตูของพวกเขาเพื่อบูชาพระเจ้าที่พวกเขาหวังว่าจะช่วยให้พวกเขามั่งคั่งร่ำรวย  เมื่อเกรซมองดูธูปที่ปักอยู่บนกระป๋องขนมปังเปล่าๆ ผมจึงพูดว่า “น่าสงสารนะ ที่พวกเขาเผาเครื่องเซ่นไหว้ถวายพระเจ้าของกระป๋องขนมปัง!”

      ผมสามารถจะพูดตรงๆ แบบนั้นได้ ก็ขอยกโทษให้ผมด้วยที่ไม่ได้ยั้งการพูดกับบางคนที่หวังจะมั่งคั่งร่ำรวยจากพระเจ้าที่สามารถอยู่แค่เหนือกระป๋องขนมปัง!  พระเจ้าเหล่านี้จะต้องมีความอยากอาหารน้อยหรือกึ่งๆอดอยาก เพราะผู้คนในฮ่องกงจะให้บะหมี่ที่เหลือเป็นครั้งคราว หรือให้ส้มบ้าง

      เรากำลังกราบไหว้อะไรด้วยธูปเหล่านี้อยู่?  วิญญาณหรือ? เหล่าบรรพบุรุษของเราหรือ?  แต่บรรพบุรุษเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควรแก่การกราบไหว้นมัสการของเราก็คือพระเจ้า “เพราะพระบิดาทรงเป็นที่มาของนามและบิดาของทุกตระกูลในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก”[2] (เอเฟซัส 3:14-15)   ในข้อนี้ การเป็นที่มาของนาม หมายถึงการเกิดขึ้น  ทุกครอบครัวในโลกนี้ พ่อแม่ของคุณ พ่อแม่ของผม เหล่าบรรพบุรุษของคุณและเหล่าบรรพบุรุษของผม ล้วนมาจากพระองค์ผู้เป็นบรรพบุรุษองค์เดียวกัน  ผมไม่ได้หมายถึงอาดัม แต่หมายถึงบิดาของอาดัม พระเจ้าของบรรดาพระทั้งหลาย พระบิดาของบิดาทั้งมวล  คุณคิดว่าเราไม่ควรจะกราบไหว้นมัสการพระองค์หรอกหรือ?  ผมพูดเกินจริงไปไหม เมื่อผมบอกว่าปัญหาในโลกทุกวันนี้ สามารถพูดได้ว่าเกิดจากความล้มเหลวของมนุษย์ในการกราบไหว้นมัสการพระองค์ผู้ทรงเป็นบรรพบุรุษเดียวของพวกเขา?

      ข้อสรุป ประเด็นที่สองของเราเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เราไม่ได้รอดด้วยความพยายามของตัวเองในการพยายามเป็นคนดี  การถูกสร้างใหม่เกิดขึ้นได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เพราะเป็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์เท่านั้นที่ช่วยเราให้รอด  ใครก็ตามที่คิดว่าผมเทศนาเรื่องความรอดโดยการประพฤตินั้น ก็เข้าใจคำเทศนาของผมผิดไปหรือไม่เคยได้ฟังคำเทศนาเลย  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้วางใจในข่าวประเสริฐที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสำหรับความรอดเสมอ  ผมได้ให้ความเชื่อวางใจของผมกับพระเจ้าเพียงผู้เดียวเสมอผู้ทรงให้ชีวิตใหม่แก่ผม พระเจ้าของการสร้างใหม่

ประเด็นที่ 3: การสร้างใหม่เป็นความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่

      ประเด็นที่สาม เหตุใดเราจึงใช้คำว่า “การสร้างใหม่” ในเมื่อ “การสร้าง” ก็บ่งบอกถึงสิ่งใหม่อยู่แล้ว  การพูดว่า “การสร้างใหม่” ดูเหมือนจะซ้ำซ้อนเหมือนกับการพูดว่า “สิ่งใหม่”  เปาโลพูดถึงการสร้างใหม่เพื่อจะเปรียบเทียบการสร้างสิ่งเก่าและการสร้างวัตถุที่มีอยู่รอบตัวเรา  มันเป็นความแตกต่างระหว่างสิ่งใหม่กับสิ่งเก่า แม้ว่าเป็นสิ่งเก่าแต่ก็ถูกทำให้มีขึ้นมาจากความว่างเปล่าเหมือนกับสิ่งใหม่เช่นกัน (เช่น โรม 4:17)

      แต่การสร้างใหม่นั้นเป็นความล้ำลึกที่น่ามหัศจรรย์!  ตรงนี้ผมจำเป็นต้องชี้แจงคำว่า “ความล้ำลึก” ที่ปรากฏหลายครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่มักถูกเข้าใจผิด  ผมจะไม่อ่านข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่จะอ่านเพียง 1 โครินธ์ 2:6-7

เราพูดถึงปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้หรือของผู้ครอบครองยุคนี้ ซึ่งกำลังจะดับสูญไป แต่เราพูดถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความล้ำลึกที่ทรงปิดบังไว้นั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนสร้างโลกเพื่อ​​ศักดิ์ศรีของเรา (1 โครินธ์ 2:6-7 ฉบับ NASB[3])

      จงสังเกตคำว่า “เพื่อศักดิ์ศรีของเรา” ส่วนท้ายของข้อพระคัมภีร์ตอนนี้  นั่นเป็นความรักที่พระเจ้ามีต่อเราอย่างไพศาลที่พระองค์ทรงต้องการจะให้ศักดิ์ศรีแก่เรา!  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรานั้นยังเห็นได้ในคำว่า “ทรงกำหนดไว้ก่อน” ซึ่งหมายถึงการกำหนดแผนตามที่ได้ตั้งพระทัยไว้หรือวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนการทรงสร้างโลก  สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลมากเท่ากับแผนนั้น  ผมได้อธิบายสิ่งนี้ในคำสอนก่อนหน้านี้แล้ว ผมจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้อีก

      ตรงนี้ผมขอเน้นคำว่า “ความล้ำลึก”  ในพระคัมภีร์นั้น ความล้ำลึกคือสิ่งที่ถูกปิดบังหรือซ่อนไว้ ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ตอนนี้  หากมีอะไรซ่อนไว้ คุณก็จะไม่สามารถมองเห็นมันได้  สิ่งที่สร้างขึ้นทางกายภาพนั้นมองเห็นได้ ไม่ได้ซ่อนไว้ เพราะคุณสามารถมองเห็นได้รอบตัวคุณ ในขณะที่สิ่งที่ถูกสร้างใหม่ซึ่งเป็นจิตวิญญาณนั้นถูกซ่อนไว้  คุณต้องมีการมองเห็นทางจิตวิญญาณจึงจะมองเห็นได้ ซึ่งเป็นเหตุที่ว่าทำไมจึงเรียกว่าความล้ำลึก แม้ว่าจะไม่ใช่ในความหมายที่ลึกลับซับซ้อนทั่วไปเหมือนนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนก็ตาม  ในพระคัมภีร์นั้น ความล้ำลึกคือสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ และทำให้รู้ได้โดยการเปิดเผยของพระเจ้าเท่านั้น  ตอนนี้ความล้ำลึกนี้ได้ถูกเปิดเผยในข่าวประเสริฐ  แต่ถึงกระนั้น คุณก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะความบาปทำให้ตาของคุณมืดบอดไป  ในขณะที่การสร้างเก่านั้นทุกคนมองเห็นได้  การสร้างใหม่นี้จะถูกซ่อนไว้ และคุณต้องค้นหาการถูกสร้างใหม่นี้หากคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างใหม่นี้

      ผมสามารถขยายความประเด็นนี้ได้อย่างละเอียดเพราะเป็นหัวข้อที่สำคัญมากในพระคัมภีร์  พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าทรงให้คำอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ ที่พระเจ้าได้ทรงซ่อนไว้ในโลกนี้ (มัทธิว 13:44)   นอกจากนี้ยังมีคำอุปมาเรื่องไข่มุกอันล้ำค่าอีกด้วย (13:45-46) ซึ่งมีพ่อค้าไข่มุกผู้ชำนาญเท่านั้นที่จะมองเห็นคุณค่ามหาศาลนี้ได้  เปาโลกล่าวว่าพระกิตติคุณถูกซ่อนไว้ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย และบัดนี้ได้เปิดเผยแล้ว[4]  แต่คุณต้องมีตาที่จะมองเห็น

      มันน่ามหัศจรรย์มากที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ เหมือนเช่นศาสตราจารย์จากไต้หวันคนนี้ที่ผมพูดถึง  เขาโดนพระวจนะของพระเจ้ากระหน่ำเขาจนสะบักสะบอม แล้วทำไมเขาจึงกลับมาทุกสัปดาห์เพื่อจะสะบักสะบอมอีกรอบล่ะ?  นั่นก็เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการช่วยให้รอดที่ได้เปิดเผยความจริงกับเขา

      ศาสตราจารย์ท่านนี้บอกกับผมว่า “ผมได้ตระหนักว่าผมไม่ได้รักความจริง  นี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อได้ยินเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในเรื่องความรอด มันทำให้ผมไม่สบอารมณ์และผมก็ไม่ต้องการจะกลับมา  แต่พระเจ้าทรงช่วยให้ผมเห็นว่านั่นเป็นความจริง และถ้าผมไม่กลับมาในสัปดาห์ต่อมา ผมก็จะวิ่งหนีความจริง”  ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงทำให้เขาสะบักสะบอมอีกรอบ

      พระวจนะของพระเจ้าเป็นดาบสองคมที่แทงทะลุเข้าไปในใจ (ฮีบรู 4:12)[5] มันทำให้บาดเจ็บเพื่อรักษาให้หายและฆ่าเพื่อให้ชีวิต  แต่มันถูกซ่อนไว้และหลายคนมองไม่เห็น  แต่ศาสตราจารย์ท่านนี้ได้มองเห็น  คุณบอกได้ไหมว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นความจริงหรือเท็จ?  ผมไม่สามารถจะพูดให้คุณเชื่อว่ามันเป็นความจริงได้  แต่แม้ว่าผมจะทำได้ ผมก็ไม่ต้องการจะทำ  พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ใครถูกชักชวนให้เป็นคริสเตียนเพราะความสามารถของผมในการให้เหตุผลหรือโต้แย้ง  เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาท่านด้วยโวหารที่ดีหรือสติปัญญาของมนุษย์ เพื่อชักชวนให้ท่านมาเป็นคริสเตียนเลย แต่ข้าพเจ้ามาเพื่อประกาศกับท่านถึงพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน และมาประกาศฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอด” (เปรียบเทียบ 1 โครินธ์ 2:1-2)[6]

ประเด็นที่ 4: การถูกสร้างใหม่นั้นอยู่ในพระคริสต์

      สิ่งนี้นำเราไปสู่ประเด็นที่สี่  แล้วเราจะพบการถูกสร้างใหม่ซึ่งถูกซ่อนเอาไว้นี้ได้ที่ไหน?  การถูกสร้างใหม่จะมีอยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ความรอดและการถูกสร้างใหม่จะพบ “ในพระองค์”  การถูกสร้างใหม่ก็คือการ “อยู่ในพระคริสต์”  หัวข้อค่ายของเราที่เขียนไว้บนปกหนังสือค่ายคือ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่” (2 โครินธ์ 5:17)  คุณไม่สามารถจะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่นอกพระคริสต์ได้  ชีวิตใหม่นี้ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการช่วยให้รอดนี้ จะพบได้ในพระคริสต์เท่านั้น  คุณอยู่ในพระคริสต์หรือไม่?  คุณได้เห็นพระปัญญาของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ในพระคริสต์ไหม?  การมาเป็นคริสเตียนคือการสวมในพระคริสต์ นั่นก็คือการเข้าในพระคริสต์  มันฟังดูเหมือนภาษาล้ำลึกไหม?  มันไม่ได้ล้ำลึกเลย

      แล้วผมจะเข้าไปในพระคริสต์ได้อย่างไร?  พระคัมภีร์กล่าวถึงสองสิ่ง  สิ่งแรกคือเราจะต้องเชื่อ  เราเข้า “ไปใน” พระคริสต์โดยความเชื่อ  สิ่งนี้จะเห็นได้ในฉบับภาษากรีก แต่ไม่ใช่ในฉบับแปลภาษาอังกฤษ  ฉบับแปลภาษาอังกฤษมักจะกล่าวเหมือนๆกันว่า “เชื่อในพระเยซู”  แต่ภาษากรีกกล่าวว่า “เชื่อเข้าไปในพระเยซู”  ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยคุณให้รอด  คุณเข้าไปในพระคริสต์ คุณสวมพระคริสต์ เพื่อรับความรอด  เรารอดโดยพระคุณโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำหรือความสำเร็จของเรา (เอเฟซัส 2:8-9)[7]

      ประการที่สอง เราเข้าในพระคริสต์โดยผ่านบัพติศมา  โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เราได้รับบัพติศมาเข้าเป็นกายเดียว คือพระกายของพระคริสต์ (1 โครินธ์ 12:13)[8]  ในการรับบัพติศมานั้น เราถูกฝังไว้กับพระคริสต์และรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์โดยความตายต่อชีวิตเก่าของเรา เราเป็นขึ้นกับพระคริสต์ด้วยการทำงานของพระบิดา ผู้ทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย (โรม 6:3-5)[9]  นั่นคือวิธีที่เราเข้าในพระคริสต์และสวมชีวิตพระคริสต์และวิธีที่พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้เรา เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์  สำหรับผู้ที่จะรับบัพติศมาในวันนี้ วันนี้คุณจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าไปในพระคริสต์ผ่านพิธีบัพติศมา  ขอบพระคุณพระเจ้า!

      ความเชื่อและบัพติศมา สองสิ่งนี้จะต้องมาพร้อมกัน ไม่ใช่บัพติศมาเพียงอย่างเดียว หรือว่าการเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความเชื่อที่ได้แสดงออกมาด้วยความมุ่งมั่นในการรับบัพติศมา  ผมกล่าวอย่างนี้ด้วยสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์

      ตรงนี้ เรามีคำบุพบทกรีก eis ซึ่งหมายถึงว่า “เข้าไปใน” และใช้กับแนวคิดสองประการคือ เราเชื่อเข้าไปในพระคริสต์และเรารับบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์  สองสิ่งนี้ไม่ได้แยกจากกัน เหมือนกับว่าเราเชื่อเข้าไปในพระเยซูเป็นก้าวแรก แล้วจึงรับบัพติศมาเข้าไปในพระเยซู  ความเชื่อและบัพติศมาจะต้องมาคู่กันหากจะให้บัพติศมามีความหมายและให้ความเชื่อมีความหมาย

      คุณอาจถามว่า “ถ้าฉันเชื่อเข้าไปในพระคริสต์ ฉันจะรอดไหม?”  คำตอบก็คือ “ไม่” หากคุณไม่ได้ยอมรับเชื่อในพระเจ้าอย่างเปิดเผย  เมื่อบัพติศมาเราให้คำมั่นอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนทั้งหลาย

      ในพระคัมภีร์ใหม่ วิธียอมรับความเชื่อของคุณอย่างเปิดเผยก็คือการรับบัพติศมา  มันต้องใช้ความกล้าหาญที่จะสารภาพบาปของคุณอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนทั้งหลาย และกล่าวคำปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ที่จะตายต่อชีวิตเก่าที่บาปของคุณ และสวมพระคริสต์เป็นวิถีชีวิตใหม่ของคุณ  ผมหมายความว่า คุณจะไม่รับบัพติศมาอย่างลับๆในอ่างอาบน้ำของคุณหรอกนะ  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ให้บัพติศมาที่ไหนหรือ?  เขาให้บัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดนต่อหน้าฝูงชน

ประเด็นที่ 5: ถูกสร้างใหม่โดยพระคำของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้า

      พระเจ้าทรงทำให้เกิดการสร้างใหม่อย่างไร?  นี่คือจุดที่ความแตกต่างระหว่างการสร้างใหม่และการสร้างเก่ามีความสำคัญ  แต่ก่อนอื่น พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสร้างเก่าอย่างไร?  ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ผมไม่สามารถจะให้ข้ออ้างอิงทั้งหมดกับคุณได้ แต่ถ้าคุณอ่านปฐมกาลบทที่ 1 คุณจะเห็นว่าการสร้างเก่านั้นเกิดขึ้นโดยสองวิธี

      วิธีแรก พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสร้างเก่าจากความว่างเปล่า (ex nihilo) โดยพระวจนะที่เต็มด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” และความสว่างก็เกิดขึ้น (ปฐมกาล 1:3)  สิ่งนี้เป็นจริงด้วยเช่นกันกับการทรงสร้างใหม่ เพราะในใจของเปาโลคิดถึงปฐมกาล 1:3 เมื่อเขากล่าวว่า

เพราะพระเจ้าผู้ตรัสว่า “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด” ได้ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ (2 โครินธ์ 4:6 ฉบับ ESV)

      ในการทรงสร้างเก่านั้น ถ้อยคำแรกคือ “จงเกิดความสว่าง”  เปาโลยังกล่าวในทำนองเดียวกันอีกว่า พระเจ้าทรงทำให้สิ่งสร้างใหม่เกิดขึ้นโดยฤทธิ์อำนาจแห่งดำรัสของพระองค์  เราจะพบพระดำรัสของพระองค์ได้ที่ไหน?  ก็พบในพระคัมภีร์ที่คุณกำลังถืออยู่ในมือของคุณ

      การสร้างใหม่เกิดขึ้นในตัวเรา เมื่อเรายอมให้พระคำที่สามารถสร้างสรรค์นั้นพูดกับใจของเรา   สิ่งนี้จะทำไม่สำเร็จโดยการวิเคราะห์พระคำด้วยปัญญาของเราเอง

      ในทีมอบรมเต็มเวลาของเรามีหลายคนที่ได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การอาหาร  พวกเขาสามารถให้การวิเคราะห์ทางเคมีของอาหารกับคุณได้ โดยดูจากโครงสร้างด้วยกล้องจุลทรรศน์  บางคนก็ทำอย่างเดียวกันกับพระคัมภีร์  พวกเขามองผ่านกล้องจุลทรรศน์ทางปัญญาของเขาในการศึกษาพระคัมภีร์โดยกล่าวว่า  “ให้เรามาตรวจสอบคำบุพบทนี้และโครงสร้างทางไวยากรณ์นั้นกัน”  นั่นก็ดี  แน่นอนทีเดียวว่าการศึกษา “พระคัมภีร์” แบบวิทยาศาสตร์การอาหารนั้นจะไม่ช่วยให้คุณรอด  ถ้านักวิทยาศาสตร์การอาหารไม่เคยกินอาหาร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาก็จะไม่ช่วยให้พวกเขารอดจากการอดอาหารตาย  ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถจะเรียนที่สถาบันพระคัมภีร์มาห้าหรือสิบปี ทำการวิเคราะห์ทุกคำในพระคัมภีร์ แต่นั่นจะไม่ช่วยคุณให้รอด

      เมื่อผมเรียนภาษาฮีบรูกับอาจารย์ของผมในประเทศอังกฤษ  ผมคิดในใจว่า “โอ้โห ชายผู้นี้รู้จักภาษาฮีบรูในพระคัมภีร์ดีมากจนอ่านกลับหลังได้!”  ผมอ่านภาษาฮีบรูได้เฉพาะอ่านไปข้างหน้าเท่านั้น และอ่านได้ไม่ค่อยดีนัก  คุณคิดว่าเพราะเขารู้พระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูดังนั้นเขาก็จะรอดใช่ไหม?  ผมเป็นห่วงเขา สงสัยว่าเขารู้จักพระเจ้าและความรอดของพระองค์จริงหรือไม่

      ในทำนองเดียวกัน การแค่ได้เรียนวิทยาศาสตร์การอาหารก็ไม่ได้ทำให้คุณมีสุขภาพดี  อาหารจะมีประโยชน์ต่อคุณอย่างไรถ้าคุณไม่กินมัน?  พระคำของพระเจ้าถูกอธิบายว่าเป็นอาหาร  พระเยซูตรัสตอบต่อการทดลองของซาตานว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4, โดยอ้างเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3)

      คุณเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ไหม? คุณจะไม่เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่จนกว่าคุณจะบอกกับพระเจ้าจริงๆว่า “ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตตามพระวจนะทุกคำที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา”  คุณสามารถทำแบบนี้ได้ไหม?  พี่น้องที่รัก ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็แสดงว่าคุณกำลังหลอกตัวเอง  ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะกระตือรือร้นแค่ไหนในคริสตจักร หรือได้ศึกษาในสถาบันพระคัมภีร์มากี่ปีแล้ว  ผมไม่ได้ให้ความมั่นใจกับการที่ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์มาเป็นเวลาหกปี  นั่นจะไม่ช่วยผมให้รอดสักนิด และจะไม่ช่วยผมเลยแม้แต่นิดให้มาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่

      เพื่อนเก่าร่วมชั้นของผมบางคน ตอนนี้เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรแองกลิคัน ที่เรียกว่าพระในคริสต์ศาสนานิกายแองกลิคัน[10] ตอนนี้บางคนเป็นพระอธิการในคริสตจักรแองกลิคัน นั่งอยู่ในสภาขุนนางของอังกฤษในฐานะ “พระราชาคณะ ท่านนั้นท่านนี้”  แต่ในฝ่ายวิญญาณแล้วพวกเขาไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับไม้ที่ใช้ทำธรรมาสน์นี้ ผมขอโทษที่ต้องพูดโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อพวกเขา  พวกเขาศึกษาศาสนศาสตร์หรือไม่? ใช่ พวกเขาศึกษา  แต่พวกเขาดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาเป็นเหมือนพวกที่เรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่ไม่กินอาหาร  คุณจะมาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ได้ก็เมื่อคุณยอมให้พระคำของพระเจ้าเข้ามาในใจของคุณทุกวัน ซึ่งเป็นที่ที่พระคำของพระเจ้าอยู่เป็นอันดับแรก ไม่ใช่อยู่ในหัวของคุณ  ดังนั้นพระคำที่ให้ชีวิตจึงเป็นสิ่งแรกที่จะทำให้คุณเป็นคนใหม่

      ผมได้บอกว่า มีสองสิ่งที่ทำให้สิ่งสร้างเก่าเกิดขึ้น  สิ่งหนึ่งก็คือพระคำที่เต็มด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า  และอีกสิ่งคืออะไร?  สิ่งนั้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือสิ่งทรงสร้าง (ปฐมกาล 1:2)  พระคำของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้าจะทำงานร่วมกันเสมอ  มีสำนวนทางศาสนศาสตร์สำหรับสิ่งนี้ว่า “ในและด้วยพระคำ”  พวกกลุ่มลูเธอแรนชอบใช้ถ้อยคำนี้  มันหมายความแค่เพียงว่า ถ้าคุณพยายามแยกพระวิญญาณออกจากพระคำ และศึกษาพระคำในทางปัญญา พระคำนั้นจะฆ่าคุณ  แต่ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงาน “ในและกับพระคำ”  พระคำจะทำให้คุณมีชีวิต

      พูดตามสัดส่วนแล้ว จะมีนักศาสนศาสตร์ในนรกมากขึ้นเมื่อเทียบกับคริสเตียนคนอื่นๆทั้งหมด  การกล่าวโทษกับพวกเขาจะยิ่งมาก เพราะพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้า  โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้กล่าวโทษพวกเขา เพราะตัวผมเองก็ได้ผ่านการศึกษาพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน  ผมกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้าและพูดได้แต่เพียงว่า “พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ด้วย!”

      ประเด็นของผมก็คือ ให้พระคำของพระเจ้าพูดกับใจเรา และดำเนินชีวิตตามพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าได้ตรัส

ประเด็นที่ 6: คนใหม่จะมีความยินดีในพระคำของพระเจ้า

      เกิดอะไรขึ้นกับคุณเมื่อคุณกิน? การกินอาหารเย็นเป็นงานน่าเบื่อหน่ายที่ทำให้ร่างกายของคุณปวดเมื่อยไปทั้งตัวไหม?  ก็ไม่เลย  แล้วทำไมคุณจึงเห็นว่าการศึกษาพระคัมภีร์เป็นเรื่องลำบากและน่าเบื่อเหลือเกินล่ะ?  มีหลายคนยอมรับว่า “ฉันเผลอหลับไปตอนศึกษาพระคัมภีร์”  แต่คุณเผลอหลับระหว่างทานอาหาร หรือกรนตรงหน้าจานอาหารรึเปล่า?  ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะต้องมีสภาพร่างกายที่แย่มาก  นั่นหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติในวิธีที่เราศึกษาพระคำของพระเจ้า  เราใช้คำว่า “ศึกษา” ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นกิจกรรมทางปัญญามากเกินไปและนั่นทำให้ผมกังวล

      ผมเองก็ใช้เวลามากในการศึกษาพระคำเช่นกัน  แต่ผมต้องดำเนินชีวิตตามพระคำ  ผมไม่เคยพบว่าการกินอาหารทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย แม้แต่ตอนที่ผมรู้สึกเบื่อ  การเรียนนั้นน่าเบื่อ แต่ว่าการกินนั้นง่ายและทำให้สดชื่น  ก็เวลาที่เราเหนื่อยๆนี่แหละ ที่เราจะพูดว่า “ไปหาอะไรกินกันเถอะ”  ในขณะที่คุณกำลังกินอาหาร พลังงานของคุณจะกลับมา  พลังงานใหม่และพลังใหม่กำลังกลับมาทางอาหาร  ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะเพิ่มขึ้น

      ทำไมคุณจึงเห็นว่าการศึกษาพระคัมภีร์นั้นน่าเบื่อมาก? ทำไมคุณถึงเผลอหลับเมื่อกำลังอ่านพระคัมภีร์?  มีบางสิ่งที่ผิดไป  แล้วคุณยังบอกว่าคุณเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่หรือ?

      เมื่อผมเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ผมมีปัญหาในการอ่านพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์[11]ที่ได้รับการรับรอง   พระคัมภีร์ที่เพื่อนของผมให้คือฉบับที่ได้รับการรับรอง ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษแบบโบราณเมื่อสี่ศตวรรษก่อน  ผมมีปัญหาในการทำความเข้าใจว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?  นั่นเป็นประโยคแบบไหนกัน? ผมไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังพูด”

      แต่ต่อมาผมได้รับพระคัมภีร์ฉบับแปลใหม่ ผมพูดว่า “โอ้ เล่มนี้เข้าใจง่าย!  สรรเสริญพระเจ้า ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว!”  แต่ในช่วงแรกๆ เมื่อผมไม่ได้เข้าใจฉบับคิงเจมส์ ผมก็ยังคงตั้งใจที่จะศึกษาพระคำของพระเจ้า  ผมยอมให้พระคำพูดกับใจของผม  เมื่อใดที่ผมไม่สามารถจะเข้าใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเฉื่อยในฝ่ายวิญญาณ และอีกส่วนหนึ่งก็เนื่องจากความยากที่จะเข้าใจภาษาอังกฤษแบบเก่า ผมก็จะคุกเข่าบนพื้นคอนกรีตและพูดว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์จะคุกเข่าจนกว่าพระองค์จะประทานอาหารจากพระคำของพระองค์ให้ข้าพระองค์  ข้าพระองค์เป็นบุตรของพระองค์ ทรงจำได้ไหม?  และข้าพระองค์หิว!”

      มีพ่อหรือแม่คนไหนไหมที่พูดว่า “ลูกของฉันหิว แต่ฉันจะไม่ให้อาหารเขาเลย นอกจากวอลนัทลูกนี้”? เด็กก็พยายามกัดเปลือกวอลนัท แล้วพ่อแม่ก็พูดว่า “โง่แท้ๆ!  ถ้าลูกต้องการอาหาร ก็ต้องเรียนรู้ที่จะกะเทาะลูกวอลนัทสิ”  ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะทำกับลูกแบบนี้  ผมคุกเข่าต่อพระพักตร์พระเจ้าและพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์หิว  ขอทรงเลี้ยงข้าพระองค์จากพระคำของพระองค์ด้วย” และพระองค์ก็ได้ทรงให้อาหารกับผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  มันวิเศษมาก!

      ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ว่า “แต่ความปีติยินดีของเขาอยู่ในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ และเขาใคร่ครวญธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” (สดุดี 1:2) เขาใคร่ครวญพระคำของพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะเขามีความปีติยินดีในพระคำนั้น  สดุดี 119:103 กล่าวไว้ว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วช่างหวานจริงๆ หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากของข้าพระองค์!”  คุณมีประสบการณ์เช่นนั้นไหม?  หรือคุณมีปัญหาในการเข้าใจพระคำของพระเจ้าไหม? ปัญหาก็คือคุณทำผิดวิธี  จงอ่านพระคำของพระเจ้าและยอมให้พระคำพูดกับใจของคุณ  เมื่อพระคำ พูดกับใจของคุณ พระคำจะทำสิ่งมหัศจรรย์  ถ้าคุณไม่เข้าใจพระคำก็ทูลขอให้พระเจ้าทรงสอนคุณ  ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้คุณเห็น  นั่นไม่ได้ตัดโอกาสครูที่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ คุณก็จะไม่เข้าใจพระคำ แม้ว่าคุณจะมีครูที่เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดในโลก

ประเด็นที่ 7: การถูกสร้างใหม่คือการกำลังพูดว่า “ใช่” โดยความเชื่อ

      เราจะจบด้วยประเด็นที่เจ็ด  เนื่องจากการถูกสร้างใหม่จะพบได้ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ผมจะ ต้องเข้าไปในพระคริสต์โดยความเชื่อเพื่อที่จะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่  แต่ความเชื่อหมายถึงอะไร?

      ประการแรก ความเชื่อเกี่ยวข้องกับการเลือก  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความล้ำลึกที่ผมเพิ่งพูดถึง  พระเจ้าได้ทรงปิดบังข่าวประเสริฐไว้เพื่อจะทดสอบว่า คุณต้องการข่าวประเสริฐจริงๆแค่ไหน  หากคุณต้องการบางสิ่งจริงๆคุณก็จะแสวงหามัน  พระเยซูตรัสว่า “จงแสวงหาแล้วจะพบ” (มัทธิว 7:7)  คำว่า “แสวงหา” หมายความว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่  ถ้าไม่ปิดบังไว้ก็ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนั้น

      เราเห็นความแตกต่างอีกครั้งระหว่างการสร้างเก่ากับการสร้างใหม่  ในการสร้างเก่านั้นเราได้รับชีวิตฝ่ายกายโดยที่ไม่มีทางเลือกของเราเอง เพราะเป็นสิ่งที่มอบให้เราตั้งแต่เกิด  เราไม่สามารถจะพูดว่าเอาหรือไม่เอา  บางคนหวังว่าพวกเขาจะเลือกได้ก่อนที่พวกเขาจะเกิด เมื่อพวกเขาหวังว่าพวกเขาจะไม่เกิดมา  แต่นั่นคือความโง่เขลา  ชีวิตฝ่ายกายของคุณเป็นของขวัญที่ล้ำค่า  แต่ถ้าคุณทำตัวเละเทะ ก็อย่ามาโทษพระเจ้าหรือพ่อแม่ของคุณ  ชีวิตฝ่ายกายเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยม  และของประทานในชีวิตฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานแก่คุณนั้นจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามากเพียงใด!  แต่ความแตกต่างก็คือ พระองค์จะไม่ประทานให้คุณโดยที่คุณไม่ได้เลือกเอา  ครั้งนี้คุณจะต้องเลือก ว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อในพระเจ้า

      ความเชื่อคือการเพียงพูดว่า “ใช่” กับพระเจ้า  ความไม่เชื่อคือการพูดว่า “ไม่” กับพระเจ้า  มันง่ายขนาดนั้นเลย  ผมจะไม่ทำให้มันซับซ้อน  อันที่จริง มีหนังสือหลายเล่มได้เขียนเรื่องความเชื่อที่ใช้คำศัพท์ที่ผู้อ่านทั่วไปจะไม่เข้าใจ

      เมื่อก่อนนี้ เมื่อผมแสวงหาที่จะได้ปริญญาเอก ผมได้เขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกในเรื่องความหมายของความเชื่อ  ผมขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยผมให้รอดพ้นจากการแสวงหาอย่างโง่เขลานี้  ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังสอนอยู่ที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ ซึ่งวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขาเป็นเรื่องความหมายของความเชื่อ เป็นวิทยานิพนธ์หัวข้อเดียวกับที่ผมเขียนไว้แต่ไม่ได้ส่ง  เป็นความจริงที่ว่าหลายคนได้ทำปริญญาเอกในหัวข้อของความเชื่อ  แต่ผมนึกถึง 1 โครินธ์ 1:20 ที่ว่า “พระเจ้าได้ทรงทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไปไม่ใช่หรือ?”

      เราจะต้องสั่งสอนข่าวประเสริฐในลักษณะที่ ผู้มีการศึกษาน้อยหรือไม่มีการศึกษาก็จะสามารถเข้าใจข่าวประเสริฐได้  ความเชื่อคือการแค่พูดว่า ใช่” กับพระเจ้า  ทันทีที่คุณพูดว่า “ใช่ พระเจ้า” คุณกำลังใช้ความเชื่อ เพราะคุณจะไม่สามารถพูดแบบนี้จากใจคุณได้หากไม่มีความเชื่อ  ถ้าในขณะที่ฟังพระคำของพระเจ้า คุณพูดว่า “ใช่ พระเจ้า” แม้จะเงียบๆก็ตาม ก็แสดงว่าคุณมีความเชื่อ  แต่ถ้าคุณพูดว่า “ไม่ พระเจ้า” ขณะฟังคำสั่งสอนจากพระคำของพระเจ้า ก็แสดงว่าคุณปฏิเสธข่าวประเสริฐ  สิ่งที่คุณมีก็คือความไม่เชื่อมากกว่าความเชื่อ

      ความเชื่อคือการเพียงแค่พูดว่า “ใช่”  ผมจะไม่พูดถึงข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่เราสามารถดูจากข้อเดียวได้

เพราะพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ข้าพเจ้ากับสิลาสและทิโมธีประกาศแก่พวกท่านนั้นไม่ใช่ “ใช่” และ “ไม่” แต่ในพระองค์นั้นล้วนใช่เสมอ (2 โครินธ์ 1:19 ฉบับ NIV)[12]

      เปาโลกำลังพูดอะไรบางอย่างที่ง่ายๆว่า “ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศกับท่านคือ ใช่ ในพระคริสต์ คือความเชื่อในพระคริสต์”  ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนในเรื่องนี้  แต่นักวิชาการหลายคนยังงงงันกับถ้อยคำง่ายๆเช่นนี้  ผมคิดว่าพระเจ้าทรงพูดกับคนโง่อย่างผม  ผมอยากเป็นคนโง่เพื่อที่พระเจ้าจะตรัสกับผม เพราะถ้าผมฉลาดหรือรอบรู้ในทางโลกเกินไป ผมก็จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังตรัสได้

      ข้อถัดไปใน 2 โครินธ์ 1:20 กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระสัญญาทั้งสิ้นของพระเจ้าล้วนเป็นจริงในพระองค์ ด้วยเหตุนี้โดยทางพระองค์ เราจึงกล่าวอาเมนเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”  เมื่อผมกล่าวอาเมนกับคำอธิษฐานของใครสักคนนั้น ผมกำลังแค่พูดว่า “ใช่” กับคำอธิษฐานนั้น  เพียงแค่นั้นเอง  ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้  ดังนั้นเมื่อผมพูดว่า “อาเมน” ในคำอธิษฐาน ผมก็กำลังพูดว่า “ใช่ พระเจ้า ขอให้เป็นเช่นนั้น”

พระเจ้าให้ชีวิตใหม่กับเครื่องยนต์ที่ดับของคุณ

      ผมชอบแบ่งปันเรื่องนี้ที่พวกคุณบางคนอาจเคยได้ยินมาก่อน  ในตอนนั้นศิษยาภิบาลโจอาศัยอยู่ที่มอนทรีออล และเรากำลังขับรถคันเก่าของผมที่ต้องปรับสภาพเครื่องยนต์เสียใหม่  เรากำลัง ขับรถจากเมืองโตรอนโตไปยังมอนทรีออล และโจก็เป็นคนขับเพื่อผมจะได้พักสักนิด  ผมพูดว่า “โจ ค่อยๆไปนะ เพราะรถมันเก่ามาก  เราอาจไปไม่ถึงมอนทรีออล เพราะเกียร์กำลังจะพัง”  เรากำลังไปเรื่อยๆ และก็จริง ขณะที่เราอยู่ห่างจากมอนทรีออลไม่เกิน 160 กิโลเมตร เกียร์ก็หยุดทำงาน  มีควันพุ่งออกมาจากกระปุกเกียร์  เราต้องออกจากรถโดยเร็ว เพราะดูเหมือนไฟกำลังจะไหม้  เราขับรถเข้าไปในไหล่ทางด่วนแล้วลงจากรถ  กระปุกเกียร์มีควันหนาขึ้น  หลังจากควันจางลง เราก็กลับขึ้นรถและคิดว่า เราจะทำอย่างไรดี? เราติดอยู่บนทางหลวง  มันเป็นเวลากลางคืนและมืดสนิท  แคนาดาเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มากและก็มีประชากรประปราย ไม่เหมือนในมาเลเซียที่มีรถสัญจรไปมาอยู่ตลอดเวลา  ถ้าหากคุณติดอยู่บนทางหลวงในแคนาดา กว่าจะมีใครผ่านมาก็นานมาก แต่ถึงแม้จะมีใครผ่านมา แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?  เกียร์ก็ไหม้และเราก็นั่งอยู่ในความมืด

      ผมพูดกับโจว่า “ทำไมคุณไม่อธิษฐาน และเรามอบเรื่องทั้งหมดนี้ไว้กับพระเจ้าล่ะ?”  เขาจึงเริ่มอธิษฐานว่า “พระเจ้าที่รัก เราขอมอบสถานการณ์นี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  เราอยู่ห่างจากปั๊ม น้ำมันข้างหน้าเพียงแค่ 1.6 กิโลเมตร  พระองค์จะทรงช่วยให้รถคันนี้ขับไปจนถึงปั๊มน้ำมันได้ไหม?”

      ผมกลืนน้ำลายและคิดว่า “โธ่เอ๋ย! น้องที่รักของผมกำลังอธิษฐานขออะไรกันนี่?”  โจเป็นนักคณิตศาสตร์โดยการฝึกอบรม  เขาไม่เคยเรียนวิศวกรรมมาก่อน เพราะถ้าเขาเคยเรียน เขาก็คงรู้ว่ากระปุกเกียร์ที่ไหม้นั้นมันไหม้จริงๆ!  มันจะไปได้ไม่ถึงสองฟุตด้วยซ้ำ นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปถึง 1.6 กิโลเมตร  และเมื่อเขาพูดว่า อาเมน ผมจะพูดว่า ใช่ กับเรื่องนี้หรือไม่?  ผมจะทำยังงัยดี?

      บางคนพูดว่าอาเมน ตามที่ทำกันมาหรือเป็นพิธี  คุณไม่ควรจะพูดอาเมนเร็วเกินไป เพราะคุณอาจได้สิ่งที่คุณขอ  ผมเคยได้ยินคนพูดกับพระเจ้าว่า “ขอทรงทำให้ข้าพระองค์แตกสลาย ขอทรงทุบข้าพระองค์ บดขยี้ข้าพระองค์เสีย” และผมก็คิดว่า คุณเพิ่งจะพูดอาเมนไปในคำอธิษฐานนั้น!  ในไม่ช้าคุณก็จะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  คุณอยากถูกทำให้แตกสลาย ถูกทุบ และถูกเหยียบย่ำจริงๆหรือ? เมื่อคุณไปที่ทำงานของคุณและได้สิ่งที่คุณขอเลย คุณจะพูดไหมว่า “อาเมน  สรรเสริญพระเจ้า!  พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของฉัน!”?

      มีพี่น้องผู้หญิงคนหนึ่งอธิษฐานแบบนั้นจริงๆ  เธอต้องการจะเป็นคริสเตียนที่ดีขึ้น ดังนั้นเธอจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอทรงทุบข้าพระองค์ ขอทรงทำให้ข้าพระองค์แตกสลาย”  และพระเจ้าทรงให้เวลาหกเดือนในการทุบและทำให้เธอแตกสลายจนเธอต้องอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์พอแล้ว!  ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว!  ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ อยู่!”  ฉะนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะอธิษฐานหรือได้ยินคำอธิษฐาน คุณจึงควรระมัดระวังก่อนที่จะพูดว่า “ใช่” เพราะพระเจ้าจะทรงรับตามคำของคุณ

      ความเชื่อคือการเพียงแค่พูดว่า “ใช่” กับพระคำของพระเจ้า เพื่อที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้พระคำนั้นสำเร็จในชีวิตของคุณ คุณเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่หรือไม่? คุณสามารถจะเป็นได้แม้ในวันนี้  คุณต้องทำอะไรหรือ?  ก็เพียงแค่คุณพูดว่า “ใช่” กับพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ตอบว่าใช่กับพระองค์และจะติดตามพระคริสต์”  แต่อย่าล้อเล่นกับพระเจ้า

      พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “ใช่ก็จงว่าใช่”[13] (มัทธิว 5:37)  ถ้าคุณตอบว่าใช่ ก็ให้เป็นใช่ เพราะพระเจ้าจะทรงถือว่าคุณต้องรับผิดชอบถ้าคุณตอบว่าใช่ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่  คริสเตียนทั้งหลายมีสารพัดปัญหากับพระเจ้าเพราะพวกเขาตอบว่าใช่ แต่ก็ใช่แค่ครึ่งหนึ่ง ในคริสตจักรแห่งนี้ เราสอนการมอบทั้งหมดเพราะนั่นคือสิ่งที่พระเยซูทรงสอนว่า “ให้ใช่ของคุณเป็นใช่ทั้งหมด อย่าเป็นใช่ที่มีไม่ใช่ปนอยู่”  การมอบทั้งหมดหมายถึง “ใช่” ทั้งหมด  ผมหวังว่าผมได้ทำให้เรื่องนี้เข้าใจได้ชัดเจนและเข้าใจง่ายสำหรับคุณ เพื่อที่คุณจะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

      คุณคงสงสัยเกี่ยวกับโจและรถคันนั้น  ขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับคำอธิษฐานของโจ ผมก็คิดในใจว่า “โจ น้องที่รัก ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิศวกรรมหรือกระปุกเกียร์  นั่นเป็นเหตุที่เขาจึงอธิษฐานแบบนี้ได้”  แล้วผมก็พูดกับตัวเองว่า “ที่เรียกกันว่าความรู้ของผมนั้นกลายเป็นสิ่งกีดขวาง  มันมากเกินไปไหมสำหรับพระเจ้าที่จะทรงเคลื่อนรถที่กระปุกเกียร์ไหม้หมด?  มันมากเกินไปไหมสำหรับพระเจ้าที่จะทรงเคลื่อนรถไปบนถนนอีกหนึ่งกิโลเมตร?”

      คุณเห็นไหมว่า ก่อนที่เราจะอธิษฐาน ผมเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง แต่มันก็ไม่ขยับ  ถึงกระนั้นโจก็ยังอธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดให้รถเคลื่อนไปอีก 1.6 กิโลเมตร”  หลังจากที่เขาอธิษฐาน ผมก็เข้าเฝ้าพระเจ้าและพูดว่า “แต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ? นี่ก็คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งนี้จะเป็นการสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า  พระเจ้าจะต้องทรงเคลื่อนรถด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์!” แล้วผมก็พูดว่า “อาเมน”  มันเป็นหนึ่งในอาเมนที่ยากที่สุดที่ผมเคยพูดมาตลอดชีวิต!  ผมเพิ่งจะพูดไปว่า “ใช่ พระเจ้า”

      คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถคันที่กระปุกเกียร์ไหม้นี้? มันไปได้จนถึงปั๊มน้ำมัน ไปบนถนนได้มากกว่าหนึ่งกิโลเมตร!  แล้วคุณรู้ไหมว่ามีเกิดอะไรขึ้นต่อไป? เมื่อรถมาถึงปั๊มน้ำมัน มันก็หยุดนิ่ง มันจะไม่ขยับไปอีกหนึ่งมิลลิเมตร!  แต่พระเจ้าก็ได้ทรงตอบคำอธิษฐานนั้นแล้ว  โจได้พูดว่า “ไปที่ปั๊มน้ำมัน” ใช่ไหม? เราก็เลยได้อยู่ที่ปั๊มน้ำมัน ตรงหน้าปั๊มเลย!

      พระเจ้าทรงสามารถให้ชีวิตใหม่แก่คุณได้  เครื่องยนต์ของคุณอาจมอดไหม้ในฝ่ายวิญญาณและไม่ทำงาน  ในพระคัมภีร์นั้น การตายเพราะบาปไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริงแต่มันไม่ทำงาน

      ในทำนองเดียวกันกับรถที่ตาย กระปุกเกียร์ในฝ่ายวิญญาณของเราก็อาจจะตายและใช้งานไม่ได้  แต่มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งหรือ?  และจนถึงวันนี้เหตุการณ์นั้นยังคงเป็นปริศนาสำหรับผม  มันเกิดขึ้นเมื่อ 2 หรือ 3 ปีมานี้ และทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ประหลาดใจ  รถจะเคลื่อนที่โดยที่กระปุกเกียร์ไม่ทำงานได้อย่างไร?  คุณลองขอให้ช่างคนไหนก็ได้มาอธิบายเรื่องนี้กับคุณ  มันช่างเหลือเชื่อ!  แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!  ถ้าคุณบอกพระองค์ว่า “ใช่” จากใจของคุณในวันนี้ คุณก็จะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่  พระเจ้าจะทรงทำบางสิ่งในชีวิตของคุณที่เยี่ยมยอดเหมือนกับ creatio ex nihilo พระองค์จะทรงให้ชีวิตใหม่กับคุณ และคุณจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่


[1] Holman Christian Standard Bible

[2] คำว่าบิดาของทุกตระกูลในสวรรค์ก็ดี บนแผ่นดินโลกก็ดี มาจากคำว่าพระบิดานี้” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[3] New American Standard Bible

[4] คโลสี 1:26 คือความล้ำลึกที่ซ่อนไว้หลายยุคและหลายชั่วอายุคน ซึ่งเวลานี้โปรดให้ปรากฏแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว

[5] ฮีบรู 4:12พระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

[6] 1 โครินธ์ 2:1 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึกของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง  เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน

[7] เอเฟซัส 2:8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้

[8] 1 ครินธ์ 12:13 เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ทาสหรือเสรีชน เราได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน

[9] โรม 6:3-5 เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์? ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น ที่เมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดยพระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์

[10] vicar

[11] King James Bible

[12] 2 โครินธ์ 1:19 เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ประกาศแก่พวกท่านนั้นไม่ใช่จริงหรือไม่จริงแบบส่งๆ แต่ในพระองค์ทุกอย่างล้วนแต่เป็นจริง (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[13] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย, ฉบับมาตรฐาน 2021 แปลว่า “จริงก็จงว่าจริง” (ผู้แปล)