pdf pic 

 

 

บทที่ 9

 

 ch1 1

 

 

ตายกับพระคริสต์และเป็นขึ้นกับพระคริสต์

ค่ายอีสเตอร์, มอนทรีออล, 5 เมษายน 1998

ส่วนที่ยากคือให้เอาของเก่าออกไป

     หลายวันมานี้ ผมได้ทำการซ่อมแซมในบ้าน บ้านเราดูค่อนข้างจะเก่าสักหน่อย ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่ไม่ทำงาน ก๊อกน้ำก็มีน้ำหยดเนื่องจากแหวนรองชำรุด  และเมื่อผมเปลี่ยนแหวนรอง มันก็สึกกร่อนถึงขนาดที่เนื้อโลหะร่วงลงใส่มือของผม  การจะเรียกช่างประปามาก็ค่อนข้างแพง ผมเลยตัดสินใจซ่อมท่อประปาเสียเองทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน

      ผมได้ค้นพบว่า ส่วนที่ง่ายก็คือการใส่ของใหม่ ส่วนที่ยากก็คือการเอาของเก่าออก  การถอดก๊อกน้ำออกจากอ่างล้างจานนั้นเป็นปัญหาใหญ่ เพราะทุกอย่างขึ้นสนิมรวมกันเป็นก้อน และผมก็ต้องตัดท่อโลหะเพื่อเอาก๊อกน้ำออก ถ้าผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมก็คงต้องเปลี่ยนทั้งอ่าง  การตัดท่อโลหะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราส่วนใหญ่  พวกคุณบางคนอาจเคยลองทำเช่นนี้ด้วยเลื่อยตัดโลหะ

      หลังจากตัดท่อแล้ว ผมยังคงต้องถอดก๊อกน้ำออก แต่น็อตก็สึกมากจนไม่สามารถถอดออกได้ นี่เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งซึ่งมีสีดำและสีเงิน เป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ แต่สามารถตัดน็อตโลหะได้ในเวลาอันสั้น  หลังจากตัดท่อด้วยเครื่องมือชิ้นแรก คุณก็จะใช้อุปกรณ์นี้วนไปรอบท่อและเลื่อนขึ้นไปยังตำแหน่งที่ยึดก๊อกน้ำด้วยน็อต  จากนั้นก็ขันเกลียวให้แน่น มันมีจุดแหลมที่จะกะเทาะน็อตใต้ก๊อกน้ำ ทำให้คุณถอดก๊อกน้ำออกได้

      ทำไมผมจึงพูดถึงเรื่องทั้งหมดนี้?  นั่นเป็นเพราะในขณะที่ผมกำลังซ่อมบ้าน ผมกำลังคิดถึงพระเจ้าและการทรงสร้างของพระองค์  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี  และแล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้มนุษย์เสื่อมลง ก็เหมือนกับก๊อกน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามแล้วเกิดสึกกร่อน และจำเป็นต้องเปลี่ยนอันใหม่ด้วยความพยายามอย่างมาก

      เนื่องจากมนุษย์เสื่อมลงโดยบาป เราจึงได้รับผลที่ตามมาจนถึงทุกวันนี้  ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่  ดังนั้นพระคัมภีร์จึงกล่าวถึงการถูกสร้างใหม่ ที่เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่หรือเกิดใหม่  ของเก่าถูกเอาออกไป ของใหม่ได้เข้ามาแทนที่

      แต่การถอดของเก่าออกเป็นงานที่ยาก  เครื่องมือที่พระเจ้าทรงเลือกสำหรับการกำจัดของเก่าก็คือไม้กางเขน ซึ่งคล้ายกับเครื่องมือนี้ที่สามารถตัดผ่านโลหะได้  อย่าให้รูปลักษณ์อันบอบบางของเครื่องมือมาหลอกเรา เพราะมันสามารถตัดผ่านแผ่นเหล็กของประตูได้  ในทำนองเดียวกัน ไม้กางเขนก็ดูธรรมดาๆและเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและความทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสำหรับความรอดและชีวิตที่เปลี่ยนแปลง

     

หลักฝ่ายวิญญาณสามประการ

หลักการที่ 1:  เราจะไม่เข้าใจบางสิ่งจนกว่าเราจะมีประสบการณ์กับมัน

      วันนี้ผมอยากจะแบ่งปันหลักการพื้นฐานสามประการกับคุณ  หลักการแรกก็คือ เราจะไม่เข้าใจบางสิ่งอย่างแท้จริง จนกว่าเราจะมีประสบการณ์กับมัน

      วันนี้เรากำลังฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า เนื่องจากการเป็นขึ้นจากความตาย ที่เชื่อว่าตาย ถ้าไม่มีความตาย ก็ไม่มีการเป็นขึ้นมา  มีพวกคุณกี่คนเคยตายแล้วบ้าง?  ขอช่วยยกมือหน่อยได้มั้ย?  ดูเหมือนจะไม่มีใคร  ในเมื่อคุณไม่เคยประสบความตายมาก่อน คุณจึงรู้จักความตายตามคำจำกัดความเท่านั้น  คุณอาจเคยเห็นคนตายในงานศพ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้ว่าความตายเป็นอย่างไร เพราะคุณยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง

      ผมอายุ 12 ปี ตอนที่เผชิญกับเรื่องความตายเป็นครั้งแรก ที่มองดูคุณย่าของผมที่นอนแน่นิ่งอยู่  ผมได้พูดคุยกับท่านเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น  พวกเขาเรียกผมเข้าไปในห้องและบอกว่า “คุณย่าของคุณเสียชีวิตแล้ว” ผมเฝ้ามองดูท่านนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น และพยายามจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

      ถ้าหากเราไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการเป็นขึ้นจากความตายเป็นอย่างไร?  เราไม่มีความรู้จากประสบการณ์ในเรื่องความตายหรือการเป็นขึ้นจากความตาย  ถ้าเราไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราอาจจบลงด้วยการพูดเรื่องเหลวไหลเมื่อเราพูดถึงมัน

      ตัวอย่างเช่น มีพวกคุณกี่คนที่เคยไปสวรรค์มาแล้ว?  ไม่มีใครใช่ไหม?  แล้วนรกล่ะมีใครเคยไปไหม?  ก็ไม่มีใครใช่ไหม?  ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงสวรรค์และนรก เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เราไม่มีความรู้ที่ มาจากประสบการณ์ และมีความเสี่ยงสูงที่จะพูดเรื่องเหลวไหล  สวรรค์เป็นอย่างไรหรือ?  มีเพื่อนมุสลิมบางคนบอกผมว่า ในสรวงสวรรค์มีต้นไม้ ดอกไม้ ลำธาร และสาวพรหมจารีที่สวยงาม  สรวงสวรรค์ดูเหมือนจะเน้นผู้ชายเป็นหลัก ดังนั้นจึงอาจไม่ดึงดูดผู้หญิงมากนัก

      สำหรับนรกนั้น ผมรู้สึกสยองเมื่อได้ยินคนพูดถึงนรก ภาพที่คุ้นเคยของซาตานซึ่งมักจะวาดเป็นภาพการ์ตูนในรูปของคนที่หัวมีเขาและกำลังถือไม้สามง่าม ซึ่งมีหน้าที่คอยย่างเผาคนที่มาถึงดินแดนของมันชั่วนิรันดร์  เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าใจความนิรันดร์อย่างไร  ที่จะเข้าใจร้อยล้านปีหรือพันล้านปีมันก็ยากพอแล้ว

      ทั้งหมดนี้อาจฟังดูแล้วสนุกดี แต่ถ้านรกเป็นสถานที่ที่จัดการกับความบาป ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่ร้ายแรงทีเดียว  มันดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับเราเลยที่จะถูกลงโทษชั่วนิรันดร์ในไฟนรกเพราะเรื่องของบาปที่ก่อขึ้นในช่วงอายุขัยของมนุษย์  ถ้าเราเริ่มพูดเหลวไหล ก็จะไม่มีใครเชื่อเรื่องนรกอีกต่อไป

      และถ้าสวรรค์เป็นสถานที่ที่มีต้นไม้และดอกไม้ แล้วทำไมเราไม่ลองเดินเล่นในสวนสาธารณะดูล่ะ?  สวรรค์จะเป็นที่สนใจของเราอย่างไรหรือ?  พวกเราบางคนที่เป็นไข้ละอองฟาง แล้วเราจะเป็นไข้ละอองเกสรจากพวกต้นไม้และดอกไม้ในสวรรค์ไปตลอดนิรันดร์ไหม? เราลดหัวข้อที่สำคัญให้เป็นเรื่องน่าขำ เพราะเราไม่รู้ว่าเรากำลังพูดถึงอะไร

การเป็นขึ้นจากความตายทางร่างกาย และการเป็นขึ้นจากความตายทางวิญญาณ

      การเป็นขึ้นจากความตายคืออะไร?  เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรคือความตาย  เมื่อถามว่ามีใครในที่นี้เคยตายไหม  ผมไม่ได้พูดตลก เพราะผู้ที่ยังมีชีวิตบางคนก็เคยประสบกับความตายมาแล้ว โดยถูกประกาศว่าตายแล้วในทางการแพทย์เพราะหัวใจของพวกเขาหยุดเต้น  ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่แพทย์ต่างรู้ดี  บางคนเสียชีวิตและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บางครั้งก็ไม่กี่นาทีต่อมา บางครั้งก็ 2-3 ชั่วโมงต่อมา บางครั้งก็สองสามวันต่อมา  พวกเขาได้ตายและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดังนั้นจึงเรียกว่า “ประสบการณ์ที่เฉียดตาย”  หากพวกเขาไม่กลับมามีชีวิตอีก มันก็จะเป็นการตาย “ที่ถาวร” ไม่ใช่ “เฉียด” ตาย  หากคุณเคยประสบกับการเฉียดตาย คุณก็จะได้ลิ้มรสความตาย  และเมื่อกลับมามีชีวิตอีก คุณก็จะได้ลิ้มรสการเป็นขึ้นจากความตาย

      พระกิตติคุณกล่าวถึงสามบุคคลที่ได้กลับฟื้นคืนชีวิตหลังจากเสียชีวิตแล้ว ก็มีบุตรสาวของไยรัส บุตรชายของหญิงม่ายในเมืองนาอิน และลาซารัสซึ่งพระเยซูได้ทรงทำให้พวกเขาทุกคนเป็นขึ้นมา (มาระโก 5:22-43; ลูกา 7:11-15; ยอห์น 11:1-45)  ทั้งสามคนนี้มีประสบการณ์กับความตายอย่างลึกซึ้งกว่าเรามาก แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

      เราจะต้องแยกแยะระหว่างการเป็นขึ้นจากความตายในสองประเภท ประเภทหนึ่งคือการเป็นขึ้นจากความตายทางร่างกายเช่นเดียวกับกรณีของลาซารัส คือหลังจากที่คุณกลับมามีชีวิตอีก คุณก็จะกลับสู่สภาพเดิมที่คุณเคยมีชีวิตมาก่อน  ไม่มีความแตกต่างเบื้องต้นในสภาพร่างกายของคุณก่อนที่คุณตายและหลังจากที่คุณเป็นขึ้นจากความตาย  หลังจากพระเยซูทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นมา เขาก็มีร่างกายแบบเดียวกับที่เขาเคยมีมาก่อน

      แต่การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูนั้นแตกต่างกัน เพราะร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงในสภาพธรรมชาติ ที่ตอนนี้สามารถจะเดินทะลุกำแพงได้  เมื่อเหล่าสาวกมารวมกันอยู่ในห้อง ทันใดนั้นพระเยซูก็ทรงปรากฏกับพวกเขาแม้ว่าประตูจะปิดอยู่ (ยอห์น 20:19)

      แต่ในขณะเดียวกัน พระกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูก็ไม่ใช่ร่างกายที่ไม่มีตัวตนเป็นอากาศธาตุ  พระองค์สามารถจะเสวยได้ (ลูกา 24:42-43) และผู้คนก็สามารถแตะต้องพระองค์ได้ (ยอห์น 20:17,27)  ที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่างกายของพระองค์จะไม่ตายอีกในขณะที่ลาซารัสจะตายอีกในภายหลัง  คนที่มีชีวิตขึ้นมาจากความตายตามข่าวประเสริฐที่นอกจากพระเยซูแล้ว ภายหลังจะตายอีกครั้ง  แต่เมื่อพระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงการเป็นขึ้นจากความตายนั้น ไม่ได้หมายถึงการเป็นขึ้นจากความตายประเภทนั้น แต่เป็นการเป็นขึ้นจากความตายของกายที่ไม่เน่าเปื่อยที่จะไม่มีวันตาย

      พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:26)  วันนี้ผมไม่มีเวลาที่จะอธิบายคำกล่าวนั้นในเชิงลึก  แต่ขณะนี้เราสามารถมีประสบการณ์กับความตายและการเป็นขึ้นจากความตายได้ โดยที่เราเข้าใจความเป็นจริงและความหมายของการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

      เปาโลกล่าวบางสิ่งที่คริสเตียนหลายคนงุนงงว่า “เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์และฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ และการมีส่วนร่วมในความทุกข์ทรมานของพระองค์ เป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายนั้น” (ฟีลิปปี 3:10)

      เปาโลหมายถึงอะไรที่กล่าวว่า “เป็นหมือนกับพระองค์ในความตาย?  คำกล่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถจะเข้าใจได้โดวยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู แต่โดยการมีประสบ การณ์กับความตายเท่านั้น  ดังนั้น หลักการแรกของเราก็คือว่า คุณจะเข้าใจเฉพาะเรื่องฝ่ายวิญญาณตามสัดส่วนที่คุณได้รับจากประสบการณ์นั้น

      อ้อ เมื่อผมถามว่า “มีใครที่นี่เคยมีประสบการณ์กับนรกไหม?” ผมไม่ได้ล้อเล่นด้วย  เราทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์ที่น่ายินดีมากจนเราเรียกมันว่า “สวรรค์” แต่ก็ยังมีประสบการณ์ที่น่ากลัวด้วยที่เราจะเรียกว่า “นรก” หรือ “นรกบนดิน”

      เมื่อสองสามปีก่อน พระเจ้าได้ประทานประสบการณ์จริงในนรกให้แก่หญิงคนหนึ่งโดยพาเธอไปที่นั่น  มันไม่ใช่ประสบการณ์ชั่วขณะ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายเดือน  วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะพาเธอไปในนรก พาเธอกลับบ้าน และก็วนซ้ำแบบนั้น  เธอเขียนหนังสือที่ผมจะบอกคุณได้ในภายหลัง ถ้าพวกคุณสนใจ  ส่วนหนึ่งในคำอธิบายของเธอเรื่องนรกนั้นสอดคล้องกับแนวคิดของเราในเรื่องนรก แต่ในบางประเด็นก็ไม่เหมือนกับความคิดของเรา  พระเจ้าทรงให้ประสบการณ์นั้นแก่เธอเพื่อเตือนผู้คนถึงนรก เพื่อบอกพวกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเกี่ยวกับคนที่ถูกทอดเหมือนไส้กรอก

หลักการที่ 2: ชีวิตฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นด้วยความตาย

     ตอนนี้ผมจะแนะนำหลักการที่สองโดยใช้คำถามที่คุณทราบคำตอบอยู่แล้วว่า ชีวิตทางกายภาพของคุณเริ่มต้นเมื่อไร?  คุณจะบอกว่า “ก็เมื่อฉันเกิด แน่นอน”  เนื่องจากมีคริสเตียนหลายคนที่นี่ เราสามารถถามอีกคำถามว่า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณเริ่มต้นที่จุดไหน?  คุณอาจบอกว่า “ง่ายมาก ก็ตอนบังเกิดใหม่งัย!”  เราช่างรู้วิธีใช้คำศัพท์ของพระคัมภีร์จริงๆ!  แต่ถ้าผมถามว่า “การเกิดใหม่หมายความว่าอย่างไร?” อาจไม่ได้คำตอบเร็วนัก  และถ้าผมถามอีกสองสามคำถาม ผมอาจจะไม่ได้คำตอบเลย

      พวกคุณบางคนอาจตกใจถ้าผมบอกคุณว่า ชีวิตฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นด้วยความตาย  นั่นคือการสอนของพระคัมภีร์ที่ชัดเจน  ในแง่นี้ การบังเกิดใหม่ไม่เหมือนกับการเกิดทางกายภาพ  เมื่อพระเยซูทรงบอกนิโคเดมัสเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ นิโคเดมัสก็ถามว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะกลับเข้าไปในครรภ์มารดาของเขาเพื่อเกิดใหม่ (ยอห์น 3:4)  พระเยซูไม่ทรงแม้แต่จะตอบเขา แต่แค่ตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล และไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ?” (ข้อ 10)  ผมสงสัยว่ามีครูสอนพระคัมภีร์สักกี่คนกันที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้

      มีพวกคุณกี่คนที่รู้ว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นเริ่มต้นด้วยความตายแทนที่จะเป็นการเกิด?  นั่นอาจอธิบายสถานการณ์ที่เลวร้ายของคริสตจักรในทุกวันนี้ ที่คริสเตียนจำนวนมากยังไม่ได้ตายจริงๆ

      โรมบทที่ 6 กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของชีวิตฝ่ายวิญญาณอยู่ที่การบัพติศมา ไม่ใช่การบัพติศมาที่เป็นพิธีกรรมภายนอก แต่เป็นการบัพติศมาที่เราตายกับพระคริสต์และเป็นขึ้นมากับพระองค์  จากประสบการณ์ของพวกคุณ มีกี่คนที่รู้ว่าการตายกับพระคริสต์คืออะไร? ถ้าหากคุณยังไม่ได้ตายกับพระองค์ แล้วคุณจะเป็นขึ้นกับพระองค์ได้อย่างไร?

      คริสตจักรเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการตายกับพระคริสต์  คุณไม่สามารถจะเข้าใจจริงๆถึงสิ่งที่คุณไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้ตายกับพระคริสต์ คุณก็จะไม่รู้ว่าโรมบทที่ 6 กำลังพูดถึงอะไร แม้ว่าคุณจะได้รับบัพติศมา  คริสตจักรเต็มไปด้วยคนที่รับบัพติสมาที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตอนรับบัพติศมา และไม่รู้ว่าบัพติศมาหมายถึงการตาย

      คริสเตียนบางคนก็พูดง่ายๆว่า “ฉันเชื่อ ฉันจึงรอด”  ผมได้ยินเรื่องเหลวไหลมากมายเกี่ยวกับความหมายของความเชื่อ  ถ้าคุณอ้างว่าได้รอดโดยความเชื่อ แล้วความเชื่ออะไรหรือที่คุณมี? คุณอาจบอกว่า “นั่นง่ายมาก ฉันเชื่อว่ามีบุคคลที่เรียกว่าพระเยซูคริสต์” คุณก็ทำได้ดี

      “และพระเยซูองค์นี้ก็ถูกตรึงกางเขน”  ก็ดี

      “และพระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย”  มหัศจรรย์!

      “ฉันเชื่อทั้งหมดนั้น ดังนั้นฉันจึงรอดแล้ว”

      ขอโทษด้วยเพื่อนเอ๋ย เพราะมารก็เชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อ  มารรู้ว่าคำกล่าวทั้งหมดนี้เป็นความจริง  มันไม่ได้เพิกเฉยกับข้อเท็จจริงพื้นๆเหล่านี้

      คุณไม่ได้รอดเพียงเพราะคุณเชื่อว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์  พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา แต่เราจะไม่ได้รับความรอดจนกว่าเราจะตายกับพระคริสต์และเป็นขึ้นมากับพระองค์  สิ่งนี้ไม่ใช่คำสอนที่ผมคิดค้นขึ้น แต่เป็นสิ่งที่สอนไว้ในโรมบทที่ 6 ซึ่งเป็นบทพื้นฐานที่น้อยคนจะเข้าใจ

      ดังนั้น หลักการที่สองของเราก็คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นด้วยความตาย  ไม่ใช่ความตายที่ช่วยให้รอดเพราะมีผู้คนตายตลอดเวลา แต่เป็นการตายกับพระคริสต์

      นี่เป็นคำถามพื้นฐานอีกข้อหนึ่งที่ว่า พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่ออะไร?  ใครที่เคยเรียนชั้นเรียนวันอาทิตย์ก็จะรู้คำตอบ  โรมบทที่ 6:10 กล่าวว่า พระคริสต์ทรง “สิ้นพระชนม์ต่อบาปครั้งเดียวนี้” ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงสิ้นพระชนม์ต่อโลกที่บาปครอบงำ  “โลก” ไม่ได้หมายถึงลูกกลมๆที่โคจรอยู่ในระบบดาวเคราะห์ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก แต่เป็นระบบของมนุษย์ที่ถูกครอบงำโดยบาป  เมื่อ 1 ยอห์น 2:15 กล่าวว่า “อย่ารักโลก” ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักต้นไม้และดอกไม้ แต่เราไม่ได้รักระบบของโลกที่ครอบงำด้วยบาปและความเย่อหยิ่ง

      เนื่องจากการตายของพระเยซูเป็นการตายต่อบาป คุณไม่สามารถจะตายกับพระคริสต์ได้ เว้นแต่คุณจะตายต่อบาปด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุนี้คุณจึงตายต่อระบบแห่งบาปของโลกด้วย  คุณยังตายต่อสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า “เนื้อหนัง” ด้วย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  ถ้าคุณได้ตายกับพระคริสต์ วิธีความคิดของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คุณเคยมีประสบการณ์นี้หรือไม่? คุณจะพูดได้ไหมว่า “ใช่ ความคิดของฉันได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งชีวิตของฉันด้วย”?

     

หลักการที่ 3: ตายกับพระคริสต์, เป็นขึ้นกับพระคริสต์

      สิ่งนี้นำเรามาถึงจุดที่สามและจุดสุดท้ายของเรา คือถ้าเราตายกับพระคริสต์ เราก็เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย  นั่นหมายความว่าขณะนี้ เราสามารถมีประสบการณ์กับความเป็นจริงของการสิ้นพระ ชนม์ต่อบาปและฤทธานุภาพในการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์  นั่นจะทำให้คุณเป็นคริสเตียนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  คุณจะเริ่มเข้าใจบางคำกล่าวของเปาโลซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ ตัวอย่างเช่น กาลาเทีย 2:20 ที่ว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่เป็นพระคริสต์ที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” เปาโลกล่าวว่าเขาได้ตายกับพระคริสต์และตอนนี้เขาดำเนินชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในชีวิตของพระคริสต์  นั่นเป็นประสบการณ์ของคุณไหม?

      วันนี้เป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์  หากคุณไม่ได้มีประสบการณ์กับความเป็นจริงของชีวิตของพระเจ้าที่ทำงานอยู่ในคุณ ก็แสดงว่าคุณไม่ได้มีประสบการณ์กับความหมายของอีสเตอร์เลย นั่นคือการมาเป็นคนใหม่ที่ดำเนินตามชีวิตใหม่ (โรม 6:4) เปาโลกล่าวย้ำใน 2 โครินธ์ 5:17 ว่า “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

      กลับมาที่เรื่องราวของผม ผมถอดก๊อกน้ำกับน็อตและแหวนรองที่สึกกร่อนออก และตอนนี้เราก็มีก๊อกน้ำเงางามที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์  มันเป็นความรู้สึกที่ดีของความใหม่  คุณมีประสบการณ์อะไรใหม่ในการเป็นคริสเตียนไหม?

ภาระในใจของผม

      พระเจ้าทรงเรียกผมมาทำพันธกิจนี้ แต่มันก็เป็นภาระหนักที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผม  ผมขอแบ่งปันจากใจจริงของผมว่าเห็นความใหม่ในคริสเตียนน้อยมาก  ผมเจอคนที่พูดว่า “ฉันเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว” แต่พวกเขาก็เหมือนเดิมเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน ผมไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง หลังจากหนึ่งปีก็ไม่เปลี่ยน หลังจากห้าปีก็ไม่เปลี่ยน หลังจากยี่สิบปีก็ไม่เปลี่ยน  พวกเขาคือคนกลุ่มเดียวกันที่มีนิสัยแย่ๆเหมือนกัน และมีลักษณะนิสัยที่ไม่เป็นมิตรเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน  แม้เปาโลได้ประกาศไว้ใน 2 โครินธ์ 5:17 เกี่ยวกับการถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ แต่ผมก็แทบไม่เห็นสิ่งใหม่เลย มีแต่สิ่งเก่า

      ผมถามตัวเองว่า “ผมทำงานมาทั้งชีวิตเพื่ออะไรหรือ?  ผมเสียสุขภาพไปเพื่ออะไร?  เพื่อสิ่งนี้หรือ?  ผมมีความพอใจมากขึ้นจากการเปลี่ยนก๊อกน้ำ  นั่นเป็นเพราะผมเห็นก๊อกน้ำที่ส่องประกายแวววาวเหล่านี้กำลังใช้งานได้อยู่ตรงหน้าผม และไม่มีน้ำหยดอีกต่อไป  ทุกชั่วโมงในการลงมือทำงานนั้นคุ้มค่าจริงๆ!  คุณเคยลองเปลี่ยนก๊อกน้ำไหม?  มันเป็นงานที่ยากที่ต้องทำข้างใต้อ่างล้างจานเพื่อจะเปลี่ยนก๊อกน้ำ เพราะมีพื้นที่น้อยที่จะให้คุณทำงานได้  คุณต้องเอาตัวเข้าไปในตู้ใต้อ่างล้างจานจึงจะเอื้อมถึงก๊อกน้ำ  หลังจากซ่อมเสร็จผมก็ปวดหลัง  แต่เมื่อผมมองดูก๊อกน้ำที่ดูดี ทำงานได้ดี ผมก็จะพูดกับตัวเองว่า “มันคุ้มค่าจริงๆ!”

      เมื่อผมทำงานคริสตจักร ผมมักจะพูดคุยโทรศัพท์หลายๆ ชั่วโมง  ผมก็เหมือนกับนายหน้าซื้อขายหุ้นที่ถือโทรศัพท์สองเครื่อง ข้างละเครื่องในมือ  ผมจะพูดว่า “รอสักครู่นะ ผมมีอีกสายเข้ามา”  หลังจากเปลี่ยนไปรับอีกสายหนึ่ง ก็มีคนที่สามโทรมา  ผมควรทำงานในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยบางครั้งคุณก็ได้รับข่าวดีเกี่ยวกับราคาหุ้นของคุณ  แต่ในงานคริสตจักรของผมนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่โทรหาผมเพื่อบอกข่าวดีกับผม  นอกนั้นพวกเขาจะหยิบยกปัญหาและถามว่า “เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” พวกเขาหยิบยกหนึ่งปัญหาขึ้นมาถามว่า “เราจะจัดการกับเรื่องนั้นอย่างไร?”  หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง บางครั้งผมก็พูดว่า “ขอโทษนะ ผมต้องไปหาอะไรดื่มหน่อย ผมคอแห้งมาซักพักแล้ว” งานนี้เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพของคุณ!

      ผมเคยบอกคนที่อยู่ในการฝึกอบรมเต็มเวลาว่า “นี่เป็นพันธกิจที่ยากมาก”  บางครั้งพวกเขาก็คิดว่าผมพูดเกินจริง  แต่ลองถามพวกเขาตอนนี้สิ หลังจากที่พวกเขาได้รับใช้มาสองสามปีแล้ว

      เราไม่รังเกียจที่จะจัดการกับปัญหา แต่ถ้าคุณยังคงจัดการกับปัญหาโดยที่ไม่เห็นสิ่งใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงเลย คุณก็จะเหนื่อยและท้อใจ

      ในงานพันธกิจนั้น เราจำเป็นต้องจัดการกับธรรมชาติของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ผมสามารถบอกคุณได้ว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นดื้อรั้นมากในแง่ของความยากที่จะเปลี่ยน  แต่กางเขนสามารถทำลายธรรมชาติเก่าได้หากคุณยอมให้ทำเช่นนั้น  แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ กางเขนก็จะไม่ทำอะไรให้คุณ คุณจะยึดกับสิ่งเดิมๆ นิสัยเก่าๆของคุณ อารมณ์ไม่ดีของคุณ ความหงุดหงิดของคุณ

      สิ่งที่ผมจะอธิษฐานในวันนี้ก็คือ ที่คุณแต่ละคนจะแสวงหาสิ่งใหม่ที่พระเจ้าทรงมีให้คุณ ให้พระเจ้าทรงตัดสิ่งเก่าออกไปโดยกางเขน  สิ่งเก่าอาจจะแข็งเหมือนเหล็ก แต่กางเขนจะตัดมันออก แล้วชีวิตใหม่ของพระเจ้าก็จะเข้ามาในคุณ

ชีวิตใหม่: ความยินดีและความสันติสุข!

      เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้ดูรายการทางทีวีที่สัมภาษณ์นักเปียโนคอนเสิร์ตที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง  ผมจะไม่เอ่ยชื่อของเขาเพราะผมไม่ต้องการจะลบหลู่เขา  เขากำลังแบ่งปันเกี่ยวกับชีวิตและลักษณะนิสัยของเขา  สิ่งที่เขาพูดในการสัมภาษณ์ครั้งนั้นติดอยู่ในใจของผม  เขาพูดว่า “มีอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับผมก็คือ ผมเห็นเมฆในทุกฟ้าหลังฝน”  ที่คุณจะเข้าใจคำกล่าวของเขานั้น คุณต้องเข้าใจคำกล่าวในภาษาอังกฤษที่ว่า “ในทุกเมฆจะมีฟ้าหลังฝน” คือมีความหวังแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด  แต่นักเปียโนคนนี้กลับพูดตรงกันข้ามว่า เขาเห็นเมฆสีดำในทุกฟ้าหลังฝน  พูดอีกอย่างก็คือ เขามีนิสัยในทางงลบและมองโลกในแง่ร้าย

      ผมเห็นคนแบบนี้ตลอดเวลา  ผมจะบอกว่า “นี่วิเศษมาก!” แต่พวกเขาจะพูดว่า “ใช่ แต่ก็มีปัญหานั้นและปัญหานี้”  และเมื่อพวกเขาพูดจบ ความยินดีในตัวคุณก็หายไปหมดสิ้น  ถ้าคุณมีคนแบบนี้อยู่รอบตัวคุณสักหนึ่งหรือสองคน คุณก็จะอยู่ใต้เมฆที่มืดมิด  วิธีคิดแบบเก่ามีแนวโน้มที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในความมืดมนและความมืดมิด

      การเป็นขึ้นจากความตายคือชัยชนะของชีวิตที่เหนือความตาย ความสว่างที่เหนือความมืด และความยินดีที่เหนือความทุกข์  เนื่องจากเปาโลดำเนินชีวิตที่เป็นขึ้นจากความตาย เขาจึงสามารถพูดได้ว่า “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ!” (1 เธสะโลนิกา 5:16)  เขาชื่นชมยินดีเสมอ!  หากคุณดำเนินชีวิตอยู่ในความยินดี แสดงว่าคุณกำลังดำเนินในชีวิตแบบใหม่ เพราะความสุขแบบนี้ไม่ได้มาจากโลก แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้คุณ

      เรานึกถึงเรื่องราวที่รู้จักกันดีของจอห์น เวสลีย์ซึ่งกำลังนั่งเรือจากอังกฤษไปยังอเมริกาเหนือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อสองศตวรรษก่อน  เรือไม้ที่เขากำลังนั่งอยู่นั้นเจอกับพายุและกำลังจะจม  ผมรู้จากประสบการณ์ตรงของผมว่า พายุในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นน่ากลัว  สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเวสลีย์และทำให้เขากลายเป็นคนใหม่คือ การที่เขาเห็นกลุ่มคริสเตียนบนเรือมีความชื่นชมยินดีและมีสันติสุข ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังตื่นตระหนกเมื่อเผชิญกับความตาย  แต่ในหมู่คริสเตียนกลุ่มนี้ ไม่ได้มีความกลัวใดๆ  พวกผู้หญิงก็อุ้มลูกๆของพวกเธอไว้ และเด็กๆ ก็รู้สึกมั่นใจเพราะพวกเขาเห็นพ่อแม่มีสันติสุข  เวสลีย์แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อเขาเห็นชัยชนะเหนือความกลัวตาย สันติสุขและความชื่นชมยินดีของพวกเขา

      ชีวิตของคุณได้สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงานที่สำนักงานหรือเพื่อนร่วมชั้นที่วิทยาลัยของคุณหรือไม่?  มีคุณภาพของชีวิตใหม่อะไรไหมที่พูดกับคนรอบตัวคุณ?  เว้นแต่ว่าคุณจะตายและเป็นขึ้นกับพระคริสต์  ขอให้สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ของคุณ!