pdf pic

 

 

บทที่ 8

 

 ch1 1

 

บัพติศมาและอิสรภาพ

“จงปล่อยประชากรของเราไป!”

1 โครินธ์ 10:1-2; อพยพ 14

 

คำเดียวที่สื่อความหมายของบัพติศมา

     บัพติศมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือ?  เราสามารถจะสรุปมาเป็นคำเดียวได้ไหม?  มีคำหนึ่งที่ผมอยากให้คุณนำกลับบ้านหลังจากการรับบัพติศมาในวันนี้ เป็นคำที่คุณจะจดจำได้เสมอในทุกครั้งที่เห็นการบัพติศมา  นั่นจะเป็นคำอะไรหรือ?

      หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ก็คือ การอพยพออกจากอียิปต์ซึ่งมีประมาณสองล้านคนออกจากอียิปต์  ตัวเลขนี้คำนวณจากอพยพ 12:37 ที่พูดถึงผู้ชาย 600,000 คนในการอพยพ ซึ่งยังไม่นับผู้หญิงและเด็ก

      นั่นเป็นจำนวนประชากรของมอนทรีออลเกือบทั้งหมดทีเดียว [ในทศวรรษ 1980]  ลองนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่บนยอดเขาเม้าท์โรยัลของมอนทรีออล[1]และมองลงมายังเมืองที่ทอดยาวออกไปทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก  แล้วลองนึกถึงภาพคนสองล้านคนกำลังออกจากมอนทรีออล ทำให้มอนทรีออลต้องเป็นเมืองร้าง  มันคงจะเป็นความหายนะสำหรับประเทศแคนาดาหากประชากรหนึ่งในสิบย้ายออกจากเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ  นั่นจะทำให้คุณเข้าใจถึงอัตราส่วนของการอพยพที่มีสองล้านคนกำลังเคลื่อนย้าย  ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อียิปต์ก็สูญเสียจำนวนประชากรและแรงงานส่วนใหญ่ไป

      คำกล่าวที่โด่งดังที่สุดจากเหตุการณ์ในอพยพก็คือ จงปล่อยประชากรของเราไป (อพยพ 5:1; 7:16; 8:1, 20,21; 9:1, 13; 10:3,4)  ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเป็นชาวยิวหรือเป็นคริสเตียนจึงจะได้ยินคำที่โด่งดังนี้ว่า “จงปล่อยประชากรของเราไป!”

      คุณอาจพูดว่า “นั่นเป็นห้าคำ ไม่ใช่หนึ่งคำ  สามคำก็มากไปแล้ว!”  แต่เราสามารถกลั่นคำกล่าวทั้งหมดให้เป็นคำเดียวได้ นั่นคือคำว่า อิสรภาพ  พระคัมภีร์โดยทั่วไปและโดยเฉพาะอพยพนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิสรภาพ  ผมอยากให้คำว่า “อิสรภาพ” นี้ติดตรึงอยู่ในใจของคุณ เพราะอิสรภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิตทางกายเสียอีก

ผู้คนแสวงหาอิสรภาพเหนือสิ่งอื่นใด

      หลังจากได้มีการสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้น มีหลายคนต้องเสี่ยงชีวิตของพวกเขา บางคนถึงกับเสียชีวิตในความพยายามที่จะทลายกำแพง  พวกเขารู้สึกว่าชีวิตในกำแพงฝั่งของพวกเขานั้นไม่มีคุณค่าที่จะอยู่ ดังนั้นจึงเป็นความพยายามที่จะแสวงหา “อิสรภาพ หรือไม่ก็ความตาย”

      พวกเขาแสวงหาอิสรภาพแบบไหนหรือ?  พวกเขาอดอยากตายในเบอร์ลินตะวันออกหรือไม่?  ก็ไม่เลย พวกเขามีอาหารพอกิน  พวกเขาอาจไม่มีอาหารอย่างฟุ่มเฟือย แต่พวกเขาก็ไม่อดตาย

      คุณเลยถามพวกเขาว่า “แล้วปัญหาคืออะไร?  คุณมีอาหารกิน มีเสื้อผ้าใส่ และก็มีสิ่งที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอในฤดูหนาว  แล้วคุณยังจะต้องการอะไรอีกหรือ?

      “เราต้องการอิสรภาพ!”

“เอาล่ะ แต่ถ้าคุณหลบหนีไปเบอร์ลินตะวันตก คุณก็อาจจะไม่ได้อะไรที่นั่นมากนักเช่นกัน  ใครจะรับประกันว่าคุณจะได้งานทำ?  ในเบอร์ลินตะวันออกนั้นรัฐบาลจะรับประกันงานให้คุณ แต่ไม่ใช่ในเบอร์ลินตะวันตก  แต่ถ้าคุณเต็มใจจะทิ้งอาหารและความมั่นคงเพื่ออิสรภาพ นั่นก็เป็นทางเลือกของคุณ  แต่มันไม่สมเหตุสมผลเอามากๆสำหรับผม”

      แม้กระนั้น ผู้คนก็ต้องการจะหนีไปเบอร์ลินตะวันตกกัน  สำหรับพวกเขาแล้ว อิสรภาพเกี่ยวข้องกับความหมายของชีวิต

      แล้วผู้ที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลินตะวันตกอยู่แล้วล่ะ?  หากคุณถามพวกเขาว่า “คุณมีอาหาร เสื้อผ้า และเงินเพียงพอหรือไม่” คำตอบก็น่าจะเป็นว่า “ใช่ มีมากเกินพอ  เราเป็นสังคมที่ร่ำรวย”

      “งั้นคุณก็ต้องพอใจกับชีวิต”

      “ไม่เลย เราไม่ได้พอใจ”

      อย่าแปลกใจกับคำตอบนี้  มันไม่ได้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเลย  เมื่อหลายปีก่อน ผมได้ออกจากประเทศจีนแล้วไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก  ผมถามผู้คนที่นั่นว่า “สวิตเซอร์แลนด์มีคุณภาพชีวิตที่ดี คุณก็ต้องเป็นคนที่มีความสุข”  ผมต้องแปลกใจมากที่คำตอบทั่วไปก็คือ

      “ไม่เลย เราไม่ได้มีความสุข”

      “จริงๆหรือ?  ผมเพิ่งมาจากประเทศจีนคอมมิวนิสต์ที่ใครๆก็อยากออกนอกประเทศ แม้แต่หนีมาฮ่องกงด้วยซ้ำ ซึ่งเทียบไม่ได้กับคุณภาพชีวิตของสวิตเซอร์แลนด์เลย  ใครๆก็อยากย้ายไปฮ่องกง แม้ว่าจะหมายถึงการอาศัยอยู่ในกระท่อมบนเนินเขาก็ตาม  แต่คุณยังไม่พอใจที่จะอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์หรือ?”

      “เราไม่พอใจหรอก”

      คนจะไม่พอใจที่จะอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยได้อย่างไร?  เหตุผลก็คือว่า ชีวิตสำคัญมากกว่าอาหารและเสื้อผ้า  แต่ที่บอกว่า “มากกว่า” นั้นคืออะไร?

อิสรภาพจากบาป

      ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องอิสรภาพมากนัก ผมก็ไม่มีอะไรที่จะบอกคุณในวันนี้ และคุณก็ได้เสียเวลาของคุณในการมาโบสถ์  แต่ถ้าคุณต้องการอิสรภาพ พระคัมภีร์ก็มีบางสิ่งที่จะบอกคุณ  พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายก็สำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม” (มัทธิว 6:25;  ลูกา 12:23)  ที่ว่า “ยิ่งกว่า” นั้นคืออะไรหรือ?

      การมีอาหารและเสื้อผ้าจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากคุณไม่มีอิสรภาพ  คุณอาจจะบอกว่าคุณมีอิสรภาพอยู่แล้ว มีอิสรภาพในการพูด อิสรภาพในการชุมนุม อิสรภาพในการลงคะแนนเสียง  ผมไม่ได้กำลังพูดถึงอิสรภาพแบบนั้น แต่เป็นอิสรภาพจากบาป อิสรภาพจากพันธนาการที่รัดคอคุณ  คุณอิจฉาริษยาใครบางคนและความอิจฉาริษยานั้นกำลังทำลายคุณ  คุณอิจฉาใครบางคนในที่ทำงาน และความอิจฉานั้นกำลังเป็นพิษอยู่ในใจของคุณ  พันธนาการของบาปนั้นจะทำลายล้าง เช่นเดียวกับพันธนาการอื่นๆ เพราะถ้าคุณมีชีวิตอยู่ภายใต้มัน ความบาปก็จะทำลายคุณ  คุณตกเป็นทาสของพลังที่ผลักคุณจากทุกทิศทุกทาง  งานของคุณทำให้คุณหัวปั่น เจ้านายของคุณกดขี่คุณ เพื่อนร่วมงานของคุณเจ้ากี้เจ้าการกับคุณ ที่ทำงานของคุณนำสิ่งล่อใจมากมายเข้ามาในชีวิตของคุณ  หากคุณหมดหวังวันแล้ววันเล่าที่จะทำให้คนรอบข้างคุณพอใจ ที่จะมีชีวิตตามที่พวกเขาคาดหวัง เช่นนั้นแล้วคุณจะมีอิสรภาพอย่างแท้จริงไหม?

      อิสรภาพ  ลองคิดถึงเรื่องนี้เมื่อไปนอนและเมื่อคุณตื่นขึ้น  ลองคิดถึงความหมายของชีวิต  ลองคิดว่าคุณกำลังร่ำเรียนหรือทำงานเพื่ออะไร  ถ้าคุณไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะบอกคุณ  พระคัมภีร์จะพูดเฉพาะกับผู้ที่คิดถึงชีวิต  หากคุณอยากจะหยุดคิดด้วยการดื่มของมึนเมา หรือจะหนีจากความเป็นจริงด้วยการหาสิ่งบันเทิง ก็ไม่เป็นไร แต่พระกิตติคุณจะไม่มีอะไรพูดกับคุณ  แต่ถ้าชีวิตมีความหมายกับคุณมากกว่าอาหารและเสื้อผ้า พระคัมภีร์ก็มีอะไรที่จะพูดกับคุณ

      ในช่วงเริ่มต้นของประเทศจีนคอมมิวนิสต์ ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีอาหารและเสื้อผ้าอย่างเพียงพอ  พวกเขาไม่ได้อดอาหารตายกัน  แต่ก็ยังมีหลายคนเต็มใจที่จะว่ายน้ำฝ่าดงฉลามเพื่อไปให้ถึงฮ่องกง และบางคนก็ไปไม่ถึง  แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันคืออิสรภาพหรือไม่ก็คือความตาย!

      ทำไมคริสเตียนบางคนจึงเต็มใจสละอนาคตที่รุ่งเรืองในโลกนี้เพื่อเห็นแก่พระคริสต์?  นั่นเป็นเพราะพวกเขามองเห็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม นั่นก็คืออิสรภาพ  คุณอาจมีอาหารดีๆ เสื้อผ้าดีๆ และมีเงินทองมากมาย แต่ถ้าคุณไม่มีอิสรภาพ ก็เหมือนว่าคุณไม่มีอะไรเลย  คุณสามารถกินอาหารได้กี่จาน คุณสามารถใส่เสื้อผ้าได้กี่ชิ้นกัน?  บางคนใช้เวลาของพวกเขาครึ่งชีวิตในการกิน อีกครึ่งชีวิตในการอดอาหาร

พระเจ้าทรงเรียกคุณให้เป็นอิสระ

      อัครทูตเปาโลกล่าวกับชาวโครินธ์ว่า

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า บรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ภายใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคนและพวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสสในเมฆและในทะเล​​ (1 โครินธ์ 10:1-2 ฉบับ RSV)

      พระคัมภีร์ตอนนี้อาจดูเข้าใจยาก แต่มีคำสอนง่ายๆสำหรับเรา  เปาโลกำลังกล่าวถึงเรื่องราวในอพยพ 14 เกี่ยวกับการแยกทะเลแดงและมีชาวอียิปต์ไล่ตามชาวอิสราเอลหลังจากที่ชาวอิสราเอลได้ออกจากอียิปต์  ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ชาวอิสราเอลยังคงอาศัยอยู่ในอียิปต์และได้โหยหาอิสรภาพ  ดังนั้นโมเสสจึงกล่าวกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ในนามของพระเจ้าว่า จงปล่อยประชากรของเราไป

      แต่ในที่สุด เมื่อชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ กองทัพอียิปต์พร้อมรถรบที่ทรงอานุภาพไล่ตามติดพวกเขาไปจนถึงค่ายของอิสราเอลที่ริมทะเล  ชาวอิสราเอลตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ขนาบพวกเขาอยู่ ข้างหน้าก็เป็นทะเล ข้างหลังก็มีกองทัพอียิปต์

      ชาวอิสราเอลเห็นกองทัพใกล้เข้ามา พวกเขาก็หวาดกลัวอย่างมาก  พวกเขาก็ร้องทูลพระเจ้าแล้วบ่นกับโมเสสว่า “หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ ท่านจึงพาพวกเราออกมาตายในถิ่นทุรกันดาร?” (ข้อ 11) พระยาห์เวห์จึงตรัสสั่งโมเสสให้ยกไม้เท้าของเขาขึ้นและยื่นมือออกไปเหนือทะเลเพื่อให้ทะเลแยกออก (ข้อ 16) จากนั้นทูตของพระเจ้าก็ย้ายจากตำแหน่งที่นำหน้าชาวอิสราเอลไปอยู่ข้างหลังพวกเขาด้วยการเคลื่อนที่คล้ายกันโดยเสาเมฆ ซึ่งขณะนี้กั้นอยู่ระหว่างชาวอิสราเอลกับทัพอียิปต์ (ข้อ 19-20) เสานี้เป็นเสาที่นำทางชาวอิสราเอล เป็นเสาเมฆในเวลากลางวัน และเป็นเสาเพลิงในเวลากลางคืน (อพยพ 13:21)

      ผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องบัญญัติสิบประการ จะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นต่อไป  พระเจ้าทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ให้เป็นอิสระ  พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ต้องการให้คุณมีอิสรภาพ ต้องการให้ผมมีอิสรภาพ ต้องการให้เรามีอิสรภาพที่จะใช้ชีวิตที่มีความหมายและมีจุดประสงค์

      ชีวิตของคุณมีความหมายและวัตถุประสงค์หรือไม่? หากคุณไม่ใช่คริสเตียน คุณพอใจกับชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ไหม?

      นานมาแล้วเมื่อผมยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ผมมักจะคิดถึงความหมายของชีวิตบ่อยๆ  ผมมีความทะเยอทะยานมากและตั้งเป้าไปที่สิ่งที่ดีที่สุดในทุกสิ่ง  แต่ผมก็ยังจะถามว่า สิ่งทั้งหมดนี้มีเพื่ออะไร? มันจะนำไปสู่ที่ไหนหรือ?  ผมต้องยอมรับว่ามันจะไม่ไปไหน เพราะทุกอย่างจะสูญเปล่า  เพราะหากปราศจากอิสรภาพที่แท้จริงแล้ว เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความหมาย  ชีวิตที่ปราศจากพระเจ้าจะไม่มีความหมายไปตลอดกาล  และวิธีที่จะมีความพอใจกับชีวิตที่ปราศจากพระเจ้าก็คือ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน  ไม่ต้องไปคิดถึงความตาย  แต่เราทุกคนก็จะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็ว แม้ว่าเราจะไม่คิดถึงมันก็ตาม  และใครจะรู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ในอีกฟากหนึ่ง?

      พระกิตติคุณมีไว้สำหรับผู้ที่มีความกล้าและมีความจริงใจที่จะมองความเป็นจริงของชีวิต ที่จะยอมรับว่าชีวิตเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืนและที่จะพูดว่า “ผมขอประเมินสถานการณ์ของผม”  พระกิตติคุณมีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอิสระ

อิสรภาพที่แท้จริงมาจากฤทธิ์อำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย

     ขณะ​ที่​คุณ​ดู​ผู้เป็นที่​รัก​เหล่า​นี้​รับ​บัพติศมา ​ไม่​นาน​คุณก็​จะ​เข้าใจ​เหตุ​ผล​ของ​พวก​เขา​ใน​การ​เลือก​ที่จะรับ​บัพติศมา เหตุผลก็คือการเป็นอิสระจากบาป เป็นอิสระจากอำนาจแห่งความตาย เป็นอิสระจากชีวิตนี้ที่ไร้ความหมายที่สุด  หากปราศจากพระเจ้าแล้ว ชีวิตนี้จะจบลงในหลุมที่ดินกลบหน้า  หากคุณพอใจกับบทสรุปในชีวิตของคุณอย่างนั้น พระกิตติคุณก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ

      แต่ถ้าคุณยังไม่พอใจที่จะให้ชีวิตของคุณจบลงในหลุมที่ดินกลบหน้าในราว 10 หรือ 20 หรือ 50 ปีจากนี้ แต่ต้องการอิสรภาพที่แท้จริง พระกิตติคุณก็มีบางสิ่งที่จะให้คุณมากกว่าการคิดใฝ่ฝัน  แต่ถ้าความตายเป็นสิ่งเดียวที่แน่นอนในชีวิต เราก็ต้องยอมรับมันอย่างกล้าหาญ

      เมื่อผู้เป็นที่รักเหล่านี้รับบัพติศมา พวกเขาจะไม่อยู่ในน้ำเกินไปกว่าที่พระเยซูทรงอยู่ในอุโมงค์  พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และเช่นเดียวกัน บรรดาผู้เป็นที่รักเหล่านี้ก็จะเป็นขึ้นจากน้ำ เข้าสู่ชีวิตแบบใหม่ เข้าสู่อิสรภาพที่เป็นของบรรดาบุตรของพระเจ้า

      ผมได้มีประสบการณ์กับอิสรภาพนั้นแล้ว จึงทำให้ผมพูดกับคุณด้วยความมั่นใจ  พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็จะเป็นไทจริงๆ” (ยอห์น 8:36)  ถ้าผมไม่เคยมีประสบการณ์กับอิสรภาพนี้ แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในพันธนาการ ผมก็คงจะพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์กำลังพูดเรื่องไร้สาระเพราะผมไม่ได้เป็นอิสระ”  แต่เพราะผมมีประสบการณ์กับอิสรภาพนั้น ผมจึงประกาศความจริงนี้กับคุณด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่น

      ผมสามารถมุ่งประกอบอาชีพในทางโลกได้  ผมไม่คิดว่าผมจะทำสิ่งใดที่เลวร้ายยิ่งกว่าคุณในอาชีพของพวกคุณ  ประวัติการทำงานของผมก็ไม่เลวเลยแม้แต่ในโลก  แล้วเหตุใดผมจึงหันหลังให้กับโลกเหมือนคนอื่นอีกหลายๆคน?  นั่นเป็นเพราะผมรู้ว่าโลกไม่สามารถจะให้อิสรภาพที่แท้จริงแก่คุณเมื่อชีวิตจบลงในหลุมที่ดินกลบหน้า  อนาคตของเราจะจบลงที่นั่น  แต่เมื่อผมค้นพบว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายเพื่อให้เรามีเสรีภาพในแบบใหม่ ซึ่งก็คือชีวิตที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ชีวิตของผมถูกเปลี่ยนไป

      ผมกำลังมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจที่ปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นขึ้นมาจากความตายในขณะนี้ และไม่ใช่ในอนาคตที่เพ้อฝัน  ถ้าเราไม่มีประสบการกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในตอนนี้ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะมีในอนาคต  เราก็อาจฝันค้าง  แต่ผมรู้ว่าฤทธิ์อำนาจของการเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นมีจริง และทุกคนที่ปฏิบัติตามถ้อยคำเหล่านี้ของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าก็เช่นกันที่ “ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24; มาระโก 8:34; ลูกา 9:23)  ผู้เป็นที่รักเหล่านี้ที่จะรับบัพติศมาในวันนี้จะมีประสบการณ์กับอิสรภาพและฤทธิ์อำนาจนั้น

      การเป็นอิสระจากการถูกพันธนาการจะต้องใช้ฤทธิ์อำนาจ  นั่นเป็นความจริงแม้ในโลกของชาวโลก  ความยากจนที่แท้จริงกลายเป็นพันธนาการเมื่อสังคมขาดวิธีการและความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาสังคมบางอย่าง  แต่ในที่สุดแล้ว อิสรภาพที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจทางกายภาพ แต่เป็นฤทธิ์อำนาจที่สำคัญ คือฤทธิ์อำนาจทางวิญญาณ  นั่นคือฤทธิ์อำนาจแบบที่จะสามารถทำลายพันธนาการของบาปได้

      ฤทธิ์อำนาจที่มีฤทธิ์ของโลกนี้จะสูญสิ้นไป  จักรวรรดิต่างๆผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  คุณก็จะสูญสิ้นไปเช่นกันเพราะพลังอำนาจของคุณไม่ได้อยู่ในระดับนิรันดร์ แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่มีวันสูญสิ้น แต่จะคงอยู่ตลอดไป

      เมื่อคุณเห็นผู้เป็นที่รักเหล่านี้ลงไปในน้ำและขึ้นมาอีกครั้ง ก็ให้เราจำไว้ว่า “พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระเพื่ออิสรภาพ” (กาลาเทีย 5:1)  ทุกครั้งที่คุณเป็นพยานการรับบัพติศมาในอนาคต ก็ให้นึกถึงความจริงนี้อีกครั้งว่า พระเจ้าได้ทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระโดยทางพระเยซูคริสต์ก็เพื่ออิสรภาพนี่เอง  คุณมีอิสรภาพแบบนี้ไหม?


[1] Mount Royal of Montreal