pdf pic 

 

 

บทที่ 7

 ch1 1

การทดลองหลังบัพติศมา #3

ลูกา 4:9-12, เปรียบเทียบกับมัทธิว 4:5-7

มอนทรีออล, 15 เมษายน 1979

       ะไรที่ทำให้เรื่องการทดลองของพระเยซูมีความสำคัญมาก?  มันเกี่ยวอะไรกับเราที่เป็นคริสเตียน ซึ่งเป็นสาวกของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าด้วย?  ในพระคัมภีร์สองตอนที่ผ่านมา เราพบบทเรียนหลายอย่างในทางปฏิบัติในเรื่องของการทดลอง ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้ถ้าเราต้องการจะอยู่รอดทางฝ่ายวิญญาณ และเป็นผู้ที่ชนะในการต่อสู้ทางวิญญาณ

      สิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นก็คือ ทันทีหลังจากที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา ที่จริงหลังจากที่พระองค์ทรงได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ประกาศข่าวประเสริฐ พระวิญญาณก็ทรงนำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดารที่ซึ่งพระองค์เผชิญกับการโจมตีของซาตานในรูปของการทดลอง

      ในทำนองเดียวกันก็จะมีการทดลองทันทีหลังจากบัพติศมากับสาวกทุกคนของพระเยซูที่ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณ เพราะเราก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย  คุณกำลังคิดถึงการบัพติศมาไหม?  คุณรับบัพติศมาเมื่อเร็วๆนี้ไหม?  ถ้าอย่างนั้นก็จงคอยเฝ้าดูและอธิษฐานเพราะการทดลองจะมาหาคุณ  พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราถูกทดสอบแต่จะไม่เกินกว่าที่เราจะทนได้ เพื่อที่เราจะเรียนรู้การเชื่อฟังผ่านความทุกข์ยากลำบาก และเติบโตอย่างเข้มแข็งผ่านการต่อสู้ทางวิญญาณ

      มาถึงตอนนี้เราได้ศึกษาหลักการสองประการของการทดลองที่ซาตานใช้กับพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า และมันก็จะใช้กับเราด้วย  ในหลักการแรกของการทดลองนั้น ซาตานทดลองคุณซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ให้เอาความต้องการและความปรารถนาโดยชอบของทางกาย มาอยู่เหนือความต้องการทางวิญญาณของคุณ  ในหลักการที่สองของการทดลองนั้น ซาตานทดลองคุณให้เลือกทางที่ง่ายกว่า ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับตัวคุณเอง

การทดลองที่สาม: รับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นที่มีอคติ

      วันนี้เราจะดูต่อในลูกาบทที่สี่ ข้อ 9 ถึง 12 ซึ่งเราจะพบหลักการที่สามของการทดลอง

ลูกา 4:9-12 9แล้วมารก็นำพระองค์ไปที่กรุงเยรูซาเล็มและให้พระองค์ประทับอยู่ที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วพูดกับพระองค์ว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็จงกระโจนลงไปจากที่นี่ 10เพราะว่ามีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระเจ้าจะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้ปกป้องท่านไว้   11และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองท่านไว้ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” ​12พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดลององค์ผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน(ฉบับ ESV)

      เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์นี้ ก็ให้ลองนึกภาพซาตานกำลังพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ต้องการจะรับใช้พระเจ้าไหม?  งั้นก็จงรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มความสามารถสูงสุด  ให้เราไปที่กรุงเยรูซาเล็มกัน พระองค์จะได้ยืนอยู่บนยอดของพระวิหารและกระโดดลงสู่ลานด้านล่าง  ไหนๆพระองค์ก็จะเสด็จลงมาจากสวรรค์อยู่แล้ว และเสด็จลงมาเหนือฝูงชนที่กำลังนมัสการ เสด็จลงมายังโลกในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์จะเกิดขึ้นในการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์นี้!  พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์มายังฝูงชนที่กำลังนมัสการ”

      แผนการแบบนี้จะเป็นอย่างไร?  เมื่อซาตานมีความเห็นอกเห็นใจและให้คำแนะนำที่ “ห่วงใย” ให้คุณได้ทำบทบาทหน้าที่และจุดประสงค์ของคุณสำเร็จ คุณควรจะต้องระวังตัว  ยิ่งไปกว่านั้นซาตานก็รู้พระคัมภีร์ดี  มันอ้างจากสดุดี 91 เป็นเพลงสดุดีที่เยี่ยมยอดซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงสดุดีที่ดีที่สุด  ในเพลงสดุดีนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้าถึงสองครั้งว่าเป็น “องค์ผู้สูงสุด” (ข้อ 1, 9) ในการอ้างถึงเพลงสดุดีนี้ ซาตานกำลังตอบสนองต่อคำกล่าวของพระเยซูเกี่ยวกับปรนนิบัติพระเจ้าแต่ผู้เดียว แล้วโยนกลับมาให้พระองค์เหมือนนักดาบฝีมือดีหรือนักยูโดผู้มีประสบการณ์ที่จะใช้กำลังของคุณมาต่อสู้คุณ  “พระองค์จะบอกว่าเราปรนนิบัติพระเจ้าแต่ผู้เดียว ก็เพราะพระองค์เป็นองค์ผู้สูงสุดอย่างงั้นหรือ?  ถ้างั้นเราก็จะขออ้างสดุดี 91 เพลงสดุดีนี้เริ่มต้นด้วยถ้อยคำอันทรงพลังว่า “ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด จะอยู่ในร่มเงาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์”  คำภาษาฮีบรูสำหรับ “ที่สูงสุด” (Elyon) นั้นหมายถึงผู้สูงสุด องค์ผู้สูงสุด

      ในเรื่องราวของลูกาเกี่ยวกับการทดลองนั้น ซาตานอ้างพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้จากสดุดี 91 ได้อย่างถูกต้อง

11เพราะพระองค์จะตรัสสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ปกป้องท่านไว้ในทุกๆทางของท่าน  12พวกทูตสวรรค์จะเอามือประคองท่านไว้ เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน (สดุดี 91:11-12, ฉบับ ESV)

      ซาตานกล่าวต่ออีกว่า “พระองค์เพิ่งบอกว่า พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้เดียวที่เราต้องปรนนิบัติรับใช้  นี่เป็นแผนการที่จะให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ ก็พระเจ้าไม่ได้ตรัสหรือว่า ถ้าพระองค์ตกถึงพื้น พระเจ้าจะให้พวกทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องไม่ให้พระองค์บาดเจ็บ? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว มีอะไรที่จะขัดขวางพระองค์กับแผนการนี้ได้เล่า?”

      หลักการที่สามของการทดลองคือ จงปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่จงปรนนิบัติรับใช้พระองค์ตามวิธีของคุณเอง ตามเงื่อนไขของคุณเอง  นั่นคือสิ่งที่ซาตานกำลังทดลองพระเยซูให้ทำ  จงระวังความกระตือรือร้นที่พยายามจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ไม่ใช่ตามวิธีของพระเจ้า  คุณอาจคิดว่าไม่มีใครจะทำความผิดพลาดเบื้องต้นแบบนี้ได้  แต่อันที่จริงแล้ว การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าตามวิธีของคุณเองนั้นเป็นความผิดพลาดที่คริสเตียนส่วนใหญ่ทำกัน

      สิ่งนี้สามารถมองเห็นได้แม้ในวิธีที่เล็กน้อย  ผมรู้สึกกังวลเมื่อคริสเตียนหลายคนพูดว่า “ผมทำแบบนี้ไม่ได้เหรอ?”  ตัวอย่างเช่น “ผมจะนมัสการพระเจ้าที่บ้าน  ทำไมผมจะต้องไปนมัสการที่โบสถ์ด้วย?  พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งหรอกหรือ?  ในเมื่อพระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ผมก็นมัสการพระองค์ที่บ้านได้”  นั่นฟังดูแล้วมีเหตุผล  ก็ในเมื่อพระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งที่รวมถึงบ้านของผมด้วย ผมก็สามารถจะนมัสการพระเจ้าได้ที่บ้านและตามวิธีของผมเอง

       เมื่อมีคนพูดว่า “ผมจะรับใช้พระเจ้าด้วยวิธีนี้” ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณจะทำได้หรือไม่สักเท่าไร  คุณมีความสามารถแน่ๆที่จะลุยกับมันได้  พระเยซูจะกระโดดลงจากจุดสูงสุดของพระวิหารได้ไหม?  พระองค์ทำได้แน่นอน  แต่ปัญหาอยู่ที่ว่านั่นเป็นวิธีของพระเจ้าหรือเปล่า

ท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า

       ซาตานอ้างพระคัมภีร์และก็อ้างอิงอย่างถูกต้อง ทั้งยังอ้างอิงจากหนึ่งในสดุดีที่สำคัญมากที่สุดในพระคัมภีร์  แต่คำถามก็คือ คุณกำลังทำอะไรกับพระคัมภีร์ตอนนี้?  มันเป็นเรื่องยากที่คริสเตียนโดยเฉพาะที่ยังเป็นคริสเตียนไม่นาน ที่จะสังเกตเห็นกลวิธีที่มีเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน  มันต้องการให้คุณทำตามที่คุณเองต้องการ และปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าตามวิธีของคุณเอง

       คนทั้งหลายก็ตกหลุมพรางนี้ ด้วยเหตุผลเดียวกับที่พระเยซูทรงชี้ให้เห็นเกี่ยวกับพวกฟาริสีว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (มัทธิว 22:29)  คุณได้หลงไปเพราะคุณไม่รู้จักพระคัมภีร์

       คุณจะป้องกันตัวเองจากการโจมตีที่มีเล่ห์เหลี่ยมของซาตานเมื่อมันอ้างข้อพระคัมภีร์กับคุณ ได้อย่างไร?  คุณได้สังเกตสิ่งที่นิกายเทียมเท็จทุกนิกายทำไหม?  ไม่ว่าจะเป็นพวกพยานพระยะโฮวา พวกมอร์มอน หรือพวกสาวกของกลุ่มคริสเตียนวิทยาศาสตร์[1] ต่างก็อ้างพระคัมภีร์  พระคัมภีร์ของพวกเขาอาจจะดีกว่าของคุณและดีกว่าของผมอย่างแน่นอน  พระคัมภีร์ของผมไม่มีขอบทอง แต่คนเหล่านี้มาหาผมพร้อมกับพระคัมภีร์ขอบทองราคาแพง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อ้างจากพระคัมภีร์ของพวกเขา  

       นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องรู้พระคัมภีร์เป็นอย่างดี  นั่นคือเหตุผลที่ในคริสตจักรนี้เราจะฝึกอบรมพระคัมภีร์ให้กับทุกคน  พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายผิดไปแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า”  ผมเป็นห่วงเมื่อมีคนไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังหรือไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะถ้าคุณไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระวจนะของพระเจ้า คุณก็จะถูกหลอกได้ง่าย  เราดำเนินชีวิตด้วยทุกคำ รับอาหารจากทุกๆถ้อยคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (มัทธิว 4:4)  หากคุณไม่ดำเนินชีวิตด้วยพระคำของพระเจ้า คุณก็จะไปไม่รอดในการเป็นคริสเตียน  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้พระคัมภีร์ทั้งหมด

      วิธีหนึ่งในการจัดการกับการโจมตีก็คือ เมื่อมีคนพูดถึงข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งก็ให้นึกถึงข้ออื่นที่อาจเสริมข้อนั้น  และสิ่งที่เขายกมาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่?

อาวุธของซาตานคือสอนความจริงบางส่วน

      ในคริสตจักรหลายแห่ง คุณจะได้ยินหัวข้อเดิมๆในพระคัมภีร์ที่ถูกเทศนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนละเลยเรื่องอื่นๆที่สำคัญไม่แพ้กัน  คุณอาจคิดว่าข้อผิดพลาดแบบนี้จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ความจริงแล้วข้อผิดพลาดนี้เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด  ตัวอย่างเช่น คริสตจักรที่เทศนาเฉพาะเรื่องของการได้รับความรอดนั้นได้บอกความจริงกับคุณเพียงส่วนเดียวเท่านั้น  สิ่งนี้อันตรายมากและแสดงให้เห็นว่าซาตานทำให้คริสตจักรเข้าใจผิดแบบนั้น

      ในสกอตแลนด์ที่ผมได้ไปศึกษา จะมีโบสถ์มากมาย และพวกเขามักจะเทศนาถึงวิธีที่จะได้รับความรอด  อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า คำเทศนาจะอยู่ในหัวข้อวิธีที่จะได้รับความรอด  ผมมองสำรวจผู้ร่วมประชุมก็เห็นว่า 98% เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว  ผมถามตัวเองว่า “พวกเขากำลังเทศนาให้ใครฟัง?  ที่นี่ไม่มีผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียนเลย”  มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนที่จะประกาศเรื่องพระโลหิตและไม้กางเขนของพระเยซู แต่นั่นไม่ใช่พระคัมภีร์ทั้งหมด

      คริสตจักรเพ็นเทคอสต์จะเน้นการพูดภาษาแปลกๆ ภาษาแปลกๆ และก็ภาษาแปลกๆ และดูเหมือนว่าจะพบภาษาแปลกๆทุกที่ในพระคัมภีร์  พระคัมภีร์พูดถึงภาษาแปลกๆ และนั่นเป็นความจริงที่น่าอัศจรรย์ แต่ภาษาแปลกๆ เป็นส่วนที่เล็กมากของพระคัมภีร์  แต่คุณจะไม่รู้สิ่งนี้เมื่อคุณไปคริสตจักรเพ็นเทคอสต์

เมื่อคำอธิบายมุ่งเน้นไปที่เปาโลและไม่ใช่ที่พระเยซู

      ตั้งแต่เมื่อผมยังเป็นคริสเตียนในวัยเยาว์ ผมสังเกตเห็นว่าในคริสตจักรโปรแตสแตนต์ที่ผมไปเยี่ยมนั้น การเทศนาจะเกี่ยวกับคำสอนของเปาโลเท่านั้น  เปาโลพูดอย่างนี้และเปาโลพูดอย่างนั้น “วันนี้เราจะเรียนเอเฟซัส สัปดาห์หน้าจะเรียนโคโลสี”  ผมถามตัวเองว่า “เมื่อไหร่จะมีใครอธิบายสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอน?” การไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูทำให้ผมสงสัย  แท้ที่จริงเปาโลเขียนเพียงหนึ่งในสามของพระคัมภีร์ใหม่  แล้วอีกสองในสามที่เหลือล่ะ?  ยากอบพูดอะไร?  หรือเปโตร?  หรือยูดา?  คริสตจักรส่วนใหญ่มองข้ามผู้เขียนเหล่านี้  ดังนั้นทุกวันอาทิตย์ก็จะเป็นเปาโลพูดอย่างนี้และเปาโลพูดอย่างนั้น

      เมื่อคุณไปที่ร้านหนังสือคริสเตียน ให้มองดูตามชั้นหนังสือ แล้วคุณจะเห็นหนังสือหลายๆเล่มที่เกี่ยวกับจดหมายของเปาโล  มีแต่ของเปาโล เปาโล และเปาโล  แต่คุณจะพบคู่มืออธิบายเพียงไม่กี่เล่มเกี่ยวกับผู้เขียนคนอื่นๆ เช่น ยากอบ เปโตร หรือยูดา  ส่วนคำสอนหลักของพระเยซูนั้นแทบจะไม่มีเลย!

      เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเป็นคำสอนหลักของพระเยซู แต่คริสเตียนทั้งหลายไม่สนใจ หรือไม่ก็ตีความผิดๆ  ผมได้ค้นหาหนังสือเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าเพราะผมกำลังศึกษาใหม่อีกครั้งในหัวข้อนี้ แต่ผมก็แทบหาไม่พบสักเล่มเลย  ในโลกของผู้เชื่อกลุ่มอีแวนเจลิคอล จะมีนักเขียนคนเดียวในปัจจุบันที่เขียนหนังสือได้ถูกต้องเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าคือ จี อี แลดด์ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ฟูลเลอร์[2]จนกระทั่งเกษียณอายุ  นอกจากเขาแล้วก็ยังไม่มีผู้เชื่อกลุ่มอีแวนเจลิคอลคนใดเขียนสิ่งใดในเรื่องความสำคัญในการตีความเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า

      หนังสือของแลดด์ เป็นการศึกษาอย่างจริงจังเพียงเล่มเดียวเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า ในหมู่ผู้เชื่อกลุ่มอีแวนเจลิคอล แต่ได้ถูกตีพิมพ์ในยุคปี 1950  มีหนังสืออีกหลายเล่มที่เกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า แต่เขียนโดยนักวิชาการเสรีนิยมและมีเพียงไม่กี่เล่มที่ทันสมัย  มีเล่มหนึ่งถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ แต่หนังสือก่อนหน้าเล่มนี้ตีพิมพ์ย้อนกลับไปในยุคปี 1970  ผมได้ค้นหางานทุกชิ้นทั่วทุกแห่งที่เกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า  ไม่ว่าจะเขียนโดยผู้เชื่อกลุ่มเสรีนิยมหรือกลุ่มอีแวนเจลิคอล แต่ก็แทบไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับคำสอนหลักของพระเยซูเลย  ในทางกลับกัน หนังสือเกี่ยวกับเปาโลมีจำนวนมากกว่าพันเล่ม!  

      สิ่งนี้ทำให้ผมคิดว่ามีบางอย่างไม่ต่อเนื่องตามลำดับ  เมื่อคำสอนหลักของพระเยซูถูกเพิกเฉยจนคุณแทบจะหาหนังสือดีๆสักเล่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ นั่นทำให้ผมกังวลใจ

      ผมขอพูดบางอย่างที่สำคัญคือ คำสอนเดียวที่สมบูรณ์ในพระคัมภีร์คือคำสอนของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า  คำสอนของพระองค์มีคำแนะนำทั้งหมดของพระเจ้า  ไม่มีการเว้นอะไรไว้เลย  ทุกอย่างมีการเน้นและสัดส่วนที่เหมาะสม  นั่นคือเหตุผลที่ผมได้เน้นย้ำคำสอนของพระเยซู  หลังจากที่ได้ศึกษาคำสอนของพระองค์มานานหลายปี ผมก็ได้เห็นความสมบูรณ์ครบถ้วนในคำสอนโดยไม่มีอะไรที่ตกหล่นเลย

      ที่จริงแล้วอัครทูตเปาโลเป็นผู้อธิบายของพระเยซู  ทุกสิ่งที่เปาโลเขียนเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู และเขามักจะคาดหวังเสมอว่า คุณที่เป็นคนอ่านจะคุ้นเคยอยู่แล้วกับสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอน  ดังนั้นเมื่อเราศึกษาคำสอนของเปาโล เราจึงกำลังศึกษาเฉพาะคำอธิบาย ไม่ใช่ตัวบท  ถ้าหากคุณไม่เข้าใจตัวบท แล้วคุณจะเข้าใจคำอธิบายได้อย่างไร?  ผลตามมาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความเอนเอียงและการตีความผิดๆ

      เปาโลไม่เคยเขียนอะไรที่เป็นต้นฉบับ  ยิ่งผมศึกษาคำสอนของเปาโลเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู ผมก็ยิ่งพบคำสอนทั้งหมดของเปาโลในคำสอนของพระเยซูมากขึ้น  แต่ไม่พบในทางกลับกันว่า มีบางสิ่งในคำสอนของพระเยซูที่ไม่จำเป็นจะต้องพบในคำสอนของเปาโล

      อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมรักเปาโลและงานเขียนของเขา  ความเข้าใจลึกซึ้งในฝ่ายวิญญาณของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้  แต่ผมสงสัยว่า นี่ต้องไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงที่คริสเตียนจำนวนมากมาศึกษาคำสอนของเปาโลกันในทุกวันนี้  เหตุผลที่แท้จริงก็คือพวกเขาต้องการที่จะพูดซ้ำซากไม่รู้จบถึงความจริงในพระคัมภีร์เพียงด้านเดียวเท่านั้น  มันเป็นแง่มุมสำคัญและมีค่ามาก แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงแง่มุมเดียวเท่านั้น และนั่นคือการถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ  และขอบอกอีกครั้งว่าอย่าเข้าใจผมผิดไป  การถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อมีค่ามากสำหรับผมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  แต่สิ่งสำคัญคือต้องเทศนาสั่งสอนคำแนะนำทั้งหมดของพระเจ้า ซึ่งการถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น และไม่ใช่ส่วนที่มากที่สุดในนั้น  นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่คริสตจักรจึงได้เอนเอียงไป  นี่คือวิธีการของซาตานในการต่อต้านคริสตจักร   มันใช้ได้ผลดีกับคริสตจักรแม้ว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าก็ตาม

ระวังความขุ่นเคืองกับข้อพระคัมภีร์

      จงระวังคนที่จะขุ่นเคือง เมื่อคุณชี้ให้เห็นข้อพระคัมภีร์ที่ดูจะขัดแย้งกับข้อที่เขากำลังอธิบายตามที่เขาตีความ  ผมจะให้ตัวอย่างในเรื่องนี้  เมื่อผมศึกษาอยู่ที่ลอนดอน ผมอยู่ในการประชุมที่พี่น้องที่รักคนหนึ่งกำลังพูดถึงการถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว  ความจริงแล้วคำว่า “เพียงอย่างเดียว” ในความหมายของ “การถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” นั้นจะไม่พบที่ไหนเลยในพระคัมภีร์  จงระวังการใส่คำที่ไม่พบในข้อความของพระคัมภีร์  ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องง่ายที่จะแสดงให้เห็นว่า “การถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” นั้นไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์  ผมจึงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อพี่น้องคนนี้ใส่คำเล็กๆว่า “เพียงอย่างเดียว” นี้เข้าไปในคำสอนของเปาโลเกี่ยวกับการถูกชำระให้ชอบธรรม

      ผมจึงอ้างอิงคำพูดของอัครทูตยากอบกับเขาทันทีว่า “พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” (ยากอบ 2:24)  แล้วคุณรู้อะไรไหม?  เขารู้สึกเคือง

      ผมหวังว่าคุณจะรักคำแนะนำทั้งหมดของพระเจ้า คือพระคำทั้งหมดของพระเจ้า และไม่เลือกเอาเฉพาะส่วนที่ต้องการจากคำแนะนำนั้น  ผมขอร้องให้คุณรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างครบถ้วนทั้งหมด เพื่อเห็นแก่ความรอดของคุณ จงอย่าเลือกเอาเฉพาะส่วนที่ต้องการจากพระคัมภีร์ เหมือนที่คริสเตียนหลายคนทำกัน  เปาโลไม่เคยกล่าวว่า “การถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” และในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ด้วย

      โยอาคิม เยรมายอัส[3] นักศาสนศาสตร์ชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงซึ่งผมเคยติดต่อด้วยหลายครั้ง เพราะผมมีคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาพูด ได้เขียนหนังสือที่ชื่อ “คำสอนสำคัญของพระคัมภีร์ใหม่”[4] (1965, พิมพ์ซ้ำ 1981) ซึ่งเขากล่าวว่า แม้ว่าเปาโลจะไม่ได้ใช้คำว่า “เพียงอย่างเดียว” แต่การใส่คำก็มีเหตุผลอันควร  ถ้าคุณเริ่มใช้เหตุผลแบบนี้แสดงว่าคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก!  อย่าล้อเล่นกับพระวจนะของพระเจ้า  ก็ใช่ ที่เราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่ไม่ใช่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว  เปาโลจะเห็นด้วยกับยากอบ 100% ว่า เราไม่ได้ถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่โดยการประพฤติตามความเชื่อ

      ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดเมื่อมีคนอ้างพระคัมภีร์ข้ออื่นมาเสริมสิ่งที่คุณยกมา คุณก็ควรกังวล  ถ้าผมอ้างข้อพระคัมภีร์และมีคนอื่นอ้างถึงพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งเพื่อให้ความเข้าใจความจริงอย่างสมดุล ผมก็จะขอบคุณเขาอย่างมาก ที่แสดงให้ผมเห็นบางสิ่งที่ผมอาจมองข้ามไป แต่ถ้าคุณเริ่มรำคาญก็แสดงว่าคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก

      มาร์ติน ลูเธอร์ วิจารณ์จดหมายของยากอบที่กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว[5]  คำวิจารณ์ของเขาเกี่ยวกับยากอบและหนังสืออีกสองสามเล่มของพระคัมภีร์ทำให้เกิดสิ่งที่ทำสืบต่อกันมาอย่างเสรีในประเทศเยอรมัน คือเมื่อคุณเริ่มวิจารณ์พระคัมภีร์ แล้วทำไมคนอื่นๆจะไม่ควรทำเช่นเดียวกันล่ะ?  นักวิชาการชาวเยอรมันทั้งหลายก็ได้ทำเช่นนี้กับพระคัมภีร์ตั้งแต่สมัยของลูเธอร์  ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดรุนแรงเกี่ยวกับลูเธอร์เพราะผมชื่นชอบเขามาก  ไม่มีใครที่ได้ศึกษาชีวิตของลูเธอร์เหมือนอย่างผมแล้วจะไม่ชื่นชอบเขาอย่างหัวปักหัวปำ  แต่เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเราที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ  เขาทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงและนั่นได้เริ่มต้นสิ่งที่ทำสืบต่อกันมาทั้งหมดอย่างเสรีในประเทศเยอรมัน  จวบจนถึงทุกวันนี้เยอรมนีจึงเป็นฐานที่มั่นของลัทธิเสรีนิยมมากกว่าประเทศอื่นๆ

      จงซื่อสัตย์ต่อพระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้า  ถ้าคุณเน้นแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คุณก็ตกที่นั่งลำบาก  โดยพระคุณของพระเจ้า ผมได้พยายามที่จะสอนทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนในทุกแง่มุมของพันธกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกชำระให้ชอบธรรม หรือการทำให้บริสุทธิ์ หรือการได้รับเกียรติสิริ  ในพระวจนะของพระเจ้ามีความบริบูรณ์มากมาย และพระเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราจำกัดสิ่งนั้นอยู่เพียงสิ่งเดียว ประหนึ่งว่ามันเป็นความจริงเพียงอย่างเดียว  ในพระวจนะของพระเจ้ามีความบริบูรณ์มากมาย!  ความครบถ้วนของความบริบูรณ์ในความจริงของพระเจ้าคือการปลดปล่อย

ความกระตือรือร้นในความจริงบางส่วนที่นำไปสู่การข่มเหง

      หลังจากที่ผมเป็นคริสเตียนมาหลายปี ผมก็เริ่มถามว่าพระคัมภีร์พูดอะไรนอกเหนือจากการถูกชำระให้ชอบธรรมหรือไม่  เมื่อผมได้ศึกษาความบริบูรณ์ของพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เริ่มเห็นความบริบูรณ์มากมายเหล่านี้ที่พบการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่!  ผมถามตัวเองว่า “ทำไมพวกเขาถึงทิ้งเราให้สิ้นไร้ไม้ตอกโดยเน้นย้ำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”  ดังนั้นจงระวังที่จะเน้นเพียงแง่มุมเดียวของพระคัมภีร์ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณดันทุรังและใจไม่เปิดกว้าง  สักวันหนึ่งคุณจะเป็นเหมือนคนเคร่งศาสนาที่พระเยซูพูดถึงในยอห์น 16:2 ว่า เวลานั้นจะมาถึง เมื่อผู้ที่ฆ่าพวกท่านจะคิดว่าเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่”

      คุณอาจสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ใครๆ จะคิดว่าเขากำลังรับใช้พระเจ้าโดยการฆ่าคนอื่น  เขาไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือ?  ไม่ช้าก็เร็วเราจะพบคนที่เน้นหลักคำสอนเพียงอย่างเดียว และพวกเขาจะกลายเป็นคนไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างและใจไม่เปิดกว้าง เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างอื่น

      ถ้าคุณชี้ให้เห็นคำของยากอบกับคนที่เน้น “การถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” พวกเขาจะโกรธคุณและกล่าวหาคุณในเรื่องนี้และเรื่องนั้น  อันที่จริง ยิ่งพวกเขาต่อต้านคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเขาก็จะยิ่งคิดว่าพวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่  ผมเคยเห็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักในคริสเตียนประเภทนี้   พวกเขาไม่สนใจในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว พวกเขาเอาแต่ยึดอยู่กับหลักคำสอนของตัวเอง  และใครก็ตามที่ออกห่างจากหลักคำสอนของพวกเขาแค่เพียงเศษเสี้ยว แม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีต

      ขอโทษที่ต้องบอกว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากภายในนิกายที่ผมคุ้นเคยเป็นส่วนตัว ซึ่งผมจะไม่ขอเอ่ยชื่อ  พวกเขาจะกล่าวหากันและกันว่าเป็นคนนอกรีตอย่างไม่จบไม่สิ้น  พวกเขาขาดคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้องในการสอนพระคัมภีร์ ดังนั้นพวกเขาจึงเน้นเพียงด้านเดียวของการสอนตามพระคัมภีร์  ตอนนี้ผมรักพวกเขาอย่างมาก และผมไม่ได้พูดอย่างนี้ด้วยความขมขื่นหรือเป็นศัตรูกัน  พวกเขาก็แค่ส่งต่อสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้เท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถจะสอนคนอื่นในสิ่งที่พวกเขาเองไม่ได้เรียนรู้  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงกลายเป็นคนใจไม่เปิดกว้างและโต้เถียงกันในรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดที่คุณไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะมาโต้เถียงกัน  พวกเขาเรียกกันและกันว่าพวกนอกรีต  ฉะนั้น อย่าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในหมู่พวกคุณ

      เราเห็นศักยภาพของกลอุบายของซาตานที่ทำให้เราเห็นความจริงเพียงส่วนเดียว  คุณยืนกรานในส่วนเล็ก ๆ นั้นเพราะคุณไม่มีความจริงทั้งหมด แต่มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  นี่เป็นเรื่องน่าเศร้าในการประชุมที่แบนฟ์[6]ที่ผู้นำคริสตจักรบางคนพูดกับผมว่า “คุณไม่ได้สอนตามหลักคำสอนของเรา”  ผมไม่ต้องขอโทษที่ไม่ได้สอนตามหลักคำสอนของพวกเขา  ผมสอนพระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้สอนคำสอนของพวกเขา  ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสอนหลักคำสอนตามการปฏิรูปศาสนาซึ่งเป็นความเชื่อตามแบบคาลวิน แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างครบถ้วนและบริบูรณ์

      พี่น้องทั้งหลาย เมื่อคุณศึกษาพระวจนะของพระเจ้า ก็อย่าเพียงแค่พูดว่า “อ๋อ นี่คือความจริง ที่ผมเพิ่งค้นพบ!”  จงถามว่าการค้นพบของคุณมีอีกด้านหนึ่งหรือไม่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจงศึกษาพระคัมภีร์ส่วนอื่นๆที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ  นี่เป็นหลักปฏิบัติของผม  ผมไม่ต้องการจะศึกษาเฉพาะพระคัมภีร์ที่ปลอบประโลมผม แต่จะศึกษาส่วนที่รบกวนผมซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ ซึ่งผมพบว่ายากที่จะเข้าใจเพื่อดูว่ามีบางอย่างที่ผมอาจพลาดไปหรือไม่  ผมต้องการจะแน่ใจว่าผมไม่ได้พลาดอะไรเลยเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เพราะเราดำเนินชีวิตตามพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า  จงทำให้เป็นหลักปฏิบัติของคุณ ที่จะไม่ใช้พระคัมภีร์เพียงเพื่อจะได้รับการปลอบประโลมใจ  ขอให้ผมทำให้คุณไม่สบายใจ  จงหลีกเลี่ยงทางที่ง่ายแล้วคุณจะไม่ทำผิดพลาด

      พระเยซูทรงประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าว่าเป็นคำสอนหลักของพระองค์ ซึ่งมีการปกครองและการเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า  ผมจะเน้นสิ่งที่พระองค์ทรงเน้น ผมจะไม่เน้นในสิ่งที่พระองค์ไม่ได้เน้น  พระองค์ไม่ได้เน้นการพูดภาษาแปลกๆ ดังนั้นผมจะไม่เน้นการพูดภาษาแปลกๆ  ผมยอมรับการพูดภาษาแปลกๆ แต่จะไม่เน้น

      พระเยซูยังทรงสอนเรื่องการถูกชำระให้ชอบธรรมด้วย  นี่ไม่ใช่คำสอนหลักของพระองค์ แต่กระนั้นก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ  ในคำสอนของพระองค์นั้น การถูกชำระให้ชอบธรรมเป็นเพียงเส้นทางสู่แผ่นดินของพระเจ้า  แผ่นดินของพระเจ้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญในคำสอนต่างๆของพระองค์  แต่ก็ช่างน่าแปลกที่คุณแทบจะหาหนังสือเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้แล้วในทุกวันนี้  ซาตานได้ทำงานของมันแล้วจริงๆ!

      ผมตั้งใจจะทำให้สิ่งนั้นถูกต้องโดยพระคุณของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เองผมจะพูดต่อไปถึงความเป็นกษัตริย์และการปกครองของพระเจ้า  แต่เมื่อคุณสอนแต่การถูกชำระให้ชอบธรรมเท่านั้น มนุษย์ก็จะกลายเป็นศูนย์กลางซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ซาตานต้องการจากคุณ  มันต้องการให้คุณคิดว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยคุณให้รอด  ทำสิ่งต่างๆเพื่อคุณ ชำระคุณให้สะอาด ชำระคุณให้บริสุทธิ์ และยกย่องคุณ  เมื่อการถูกทำให้ชอบธรรมกลายมาเป็นหลักคำสอนสำคัญ มนุษย์ก็กลายเป็นศูนย์กลาง  แต่เมื่อคุณเน้นความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะกลายเป็นศูนย์กลาง  เราได้เบี่ยงเบนจากศูนย์กลางที่แท้จริง  ทำให้พระกิตติคุณกลับตาลปัตรและไปสู่ความหายนะ  เราต้องกลับมาที่สิ่งที่พระเยซูทรงเน้น นั่นก็คือแผ่นดินของพระเจ้าและความเป็นกษัตริย์ของพระองค์

เฉลยธรรมบัญญัติประกาศว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์

      คุณได้สังเกตไหมว่า คำตอบที่พระเยซูทรงตอบซาตานทั้งหมดอ้างมาจากเฉลยธรรมบัญญัติ?  มีข้อ 8:3, 6:13, 6:16  ที่น่าสนใจคือพระองค์ทรงอ้างจากเฉลยธรรมบัญญัติแม้ในขณะที่ซาตานอ้างจากสดุดี  นั่นทำให้ผมรู้สึกสนใจ  ทำไมพระเยซูจึงทรงตอบซาตานด้วยเฉลยธรรมบัญญัติ?  เมื่อผมได้ศึกษาเฉลยธรรมบัญญัติ ผมก็เริ่มเข้าใจว่าทำไม

      ลักษณะสำคัญของเฉลยธรรมบัญญัติคือการตอกย้ำถึงความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวข้อที่เข้ากันกับการเน้นที่สำคัญของพระเยซูเกี่ยวกับอาณาจักรและความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า  ซาตานพยายามทดลองพระเยซูให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการและตามวิธีของพระองค์ แต่พระเยซูทรงตอบอย่างแน่วแน่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์”

      ผมขออธิบายด้วยสถิติบางอย่าง  คำภาษาฮีบรูว่า mitzvah (“บัญญัติ”) นั้นมีปรากฏ 43 ครั้งในเฉลยธรรมบัญญัติ  และเมื่อเปรียบเทียบกับหนังสืออีกสี่เล่มจากหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์[7] mitzvah มีปรากฏครั้งเดียวในปฐมกาล, 4 ครั้งในอพยพ, 10 ครั้งในเลวีนิติ, และ 5 ครั้งในกันดารวิถี แต่มี 43 ครั้งในเฉลยธรรมบัญญัติ  ถ้าหากคุณรวมคำอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ mitzvah ซึ่งเกี่ยวข้องกับบัญญัติและกฎเกณฑ์ คุณจะพบจำนวนที่มีมากกว่าของคำเหล่านั้นในเฉลยธรรมบัญญัติ  ไม่มีหนังสือเล่มไหนในพระคัมภีร์เดิมที่มีคำว่า “บัญญัติ” บ่อยครั้งเท่าในเฉลยธรรมบัญญัติ

      หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเน้นเรื่องบทบัญญัติของพระเจ้า นั่นก็คือกฎหมายของพระเจ้า[8]  คำว่า “เฉลยธรรมบัญญัติ” (deuteros nomos) หมายถึงสำเนาบทบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นสำเนาในโลกของบทบัญญัติในสวรรค์ของพระเจ้า  เป็นการประกาศครั้งที่สอง (deuteros แปลว่า “สอง”) เป็นการกล่าวซ้ำบนโลกของบทบัญญัติของพระเจ้าในสวรรค์  เป็นหนังสือบทบัญญัติที่ยอดเยี่ยม  หนังสือเล่มนี้เน้นว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์เป็นผู้ประทานบทบัญญัติของพระองค์แก่ประชากรของพระองค์  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า จะทรงยกอ้างจากเฉลยธรรมบัญญัติ  ไม่มีอะไรที่บังเอิญเกี่ยวกับเรื่องนี้

คุณมีความยินดีในบทบัญญัติของพระเจ้า ในพระคำของพระองค์ที่ให้ชีวิตหรือไม่?

      พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าทรงมีความยินดีในบทบัญญัติของพระเจ้า เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดีที่กล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ยินดีในบทบัญญัติของพระองค์” (สดุดี 119:174)  ผู้ที่รักพระเจ้าจะรักบทบัญญัติของพระองค์  จงระวังคริสเตียนที่ไม่ชอบบทบัญญัติของพระเจ้า  เขาต้องการจะให้พระเจ้าทำสิ่งต่างๆเพื่อเขา แต่ไม่ต้องการทำอะไรเพื่อพระเจ้าหรืออยู่ภายใต้บทบัญญัติของพระเจ้า

      แต่คริสเตียนแท้จะรักบทบัญญัติของพระเจ้าดังที่เห็นในข้อพระคัมภีร์เดิมหลายข้อ  ในสดุดี 119:47 ผู้เขียนสดุดียินดีในบทบัญญัติของพระเจ้าด้วยสุดใจของเขา “ข้าพระองค์ปีติยินดีในบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก”  สดุดี 119:127 กล่าวว่า “ข้าพระองค์รักพระบัญญัติของพระองค์ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองคำเนื้อดี”  หากคุณรักพระวจนะของพระเจ้าและบทบัญญัติของพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ซาตานก็จะไม่สามารถทำให้คุณพ่ายแพ้ได้

สรุป

      ในสามข้อของเราเกี่ยวกับการถูกทดลองหลังบัพติศมา เราเห็นหลักการสามประการของการทดลองที่ซาตานใช้กับพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า และมันจะใช้กับเราด้วย

      ประการแรก ซาตานทดลองเราโดยใช้ความต้องการและความปรารถนาทางกายโดยชอบของเรา เพื่อที่เราจะให้สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือความต้องการทางจิตวิญญาณของเรา  ประการที่สอง ซาตานทดลองเราให้ใช้ทางที่ง่ายกว่า  ประการที่สาม ซาตานผู้เป็นนักดาบที่เชี่ยวชาญ จะพยายามทำให้เราอุทิศตัวเพื่อความจริงของพระเจ้าเพียงส่วนเดียว และรับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นของเราเอง

      ความกระตือรือร้นที่มีอคติเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  การรับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นที่คับแคบเพื่อยืนยันความจริงเพียงส่วนเล็กๆส่วนเดียวจากความจริงของพระองค์ ได้ส่งผลให้เกิดบางเหตุการณ์ที่สยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร

      สักวันหนึ่งถ้าคุณได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องการสอบสวน มันจะทำให้คุณต้องหลั่งน้ำตาเมื่อคุณเห็นว่า คริสเตียนทรมานคริสเตียนจนตายในนามของพระเจ้าอย่างไร  ในนามของพระเจ้านะ!  พวกเขาจะฆ่าคุณ แต่พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ (ยอห์น 16:2)  ความกระตือรือร้นที่มีอคตินี้เกิดจากความคิดที่ผิดๆ ที่ถูกซาตานยุยงในที่สุด ให้รับใช้พระเจ้าด้วยวิธีที่ดันทุรังและคับแคบของคุณเองจนถึงขนาดฆ่าคนในนามของพระเจ้า  ผมกลัวมากที่จะคิดถึงอนาคตของคริสตจักรซึ่งพวกเราบางคนอาจถูกฆ่า โดยไม่ใช่จากพวกที่ไม่เป็นคริสเตียน แต่จากพวกคริสเตียน

      เมื่อนึกถึงการสอบสวนที่คริสเตียนฆ่าคริสเตียนในนามของพระเจ้า นอกจากนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าพวกโปรแตสแตนต์ในเจนีวาของคาลวิน ได้เผาผู้คนให้ตายทั้งเป็นเพราะหลักคำสอน  ความคิดผิดๆเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงจับขั้วหัวใจ เพราะพวกเขาคิดว่าการที่พวกเขาฆ่าผู้อื่นนั้นพวกเขากำลังรับใช้พระเจ้า พวกคริสเตียนในสงครามครูเสดได้ฆ่าชาวมุสลิมและชาวยิวในนามของพระเจ้าเช่นกัน  ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา!  ซาตานได้แนะนำคริสตจักรไปอย่างผิดๆเพียงไร!

      ดังนั้นผมจึงขอร้องให้คุณศึกษาและทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด โดยเฉพาะส่วนที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจและไม่เข้ากับหลักคำสอนของคุณ  อย่าแสวงหาการปลอบประโลมและที่กำบังในศาสนศาสตร์ของคุณ!  อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่า ผมยินดีรับข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับผม  ผมต้องทบทวนความคิดของตัวเองอยู่เรื่อยๆในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า  ผมจะยอมอ้าแขนรับหลักคำสอนใดหลักคำสอนหนึ่งก็ต่อเมื่อพบว่าพระวจนะของพระเจ้าตีกลับคำสอนนั้นจนอยู่มือ  แล้วผมจะพูดว่า “โอเคพระเจ้า ถ้ามันเป็นอย่างนั้น หลักคำสอนของข้าพระองค์ก็ต้องออกไป  ขอพระองค์ทรงบอกข้าพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์เชื่อ”  ผมไม่ต้องการจะเชื่อสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าสอนเอาไว้  ผมอยากรู้ความจริงทั้งหมด ไม่ใช่แค่บางส่วน ขอให้นี่เป็นเป้าหมายของคุณ แล้วคุณจะไม่ผิดพลาด

ความรู้สึกสำนึก ไม่ใช่ความรู้สึกสบายใจ

      คุณสังเกตเห็นบางสิ่งเกี่ยวกับคำพูดที่ซาตานอ้างถึงพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าจากสดุดี 91 ไหม?

พระองค์จะให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ดูแลท่าน เพื่อปกป้องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองท่านไว้ เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน (ลูกา 4:10-11, ฉบับ RSV)

      นั่นช่างเป็นถ้อยคำที่ปลอบโยน!  พี่น้องทั้งหลาย จงระวังการฟังแต่เฉพาะถ้อยคำที่ปลอบโยนเท่านั้น  ในทางกลับกัน เมื่อคุณได้ยินถ้อยคำที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกผิด หรือรบกวนคุณละก็ ให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับถ้อยคำนั้น  แต่ผู้ที่ไปคริสตจักรเพียงเพื่อแสวงหาการปลอบประโลมก็จะเปิดรับการโจมตีของซาตาน  ในกรณีเช่นนั้น ศาสนาก็คือยาเสพติดอย่างแท้จริง  เรามียาเสพติดมากพอแล้วและไม่ต้องการอีก  เราไม่ต้องการให้พระคัมภีร์เป็นยาเสพติด

      แต่เราก็ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคนเหล่านั้นที่ไปคริสตจักร แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาจะได้ยินถ้อยคำจากพระคำของพระเจ้าที่บาดลึกลงไปในใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาสำนึกถึงบาปและการพิพากษา

      ผมไม่ค่อยจะปลอบโยนผู้คนมากนักในคำเทศนาของผม  ผมจะปลอบโยนผู้คนเป็นส่วนตัวแต่ไม่ใช่ในคำเทศนา เพราะสิ่งที่คริสตจักรต้องการในทุกวันนี้ไม่ใช่คำปลอบประโลม แต่เป็นความรู้สึกสำนึก

      แต่ถ้อยคำของซาตานให้ความสบายใจและปลอบใจ  คุณมองเห็นไหมว่ามันกำลังทำอะไรในการอ้างถึงสดุดี 91:11-12 เกี่ยวกับเหล่าทูตสวรรค์ที่ปกป้องประชากรของพระเจ้า?  มันยกอ้างถ้อยคำนี้นอกบริบทเพื่อดึงเอาคำสอนออกจากข้อนั้นว่า “เมื่อรอดแล้วก็รอดไปตลอด”  ซาตานกำลังพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหนคุณก็จะรอดได้  หากคุณกระโดดจากยอดของพระวิหารแม้ว่าพระเจ้าจะบอกไม่ให้คุณทำก็ตาม พระองค์ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอันตรายใดๆกับคุณ”  คุณเห็นข้อผิดพลาดหรือไม่?  คุณมองเห็นไหมว่าหลักคำสอนเรื่อง “เมื่อรอดแล้วก็รอดไปตลอด” นั้นหาไม่พบในพระคัมภีร์?  คุณเห็นอันตรายในการสอนหลักคำสอนไหม ที่ไม่ว่าคุณจะทำอะไร พระเจ้าก็จะประคองคุณโดยเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์?

      สิ่งแรกและสำคัญที่สุดก็คือ สดุดี 91 กล่าวกับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด และอยู่ใน ร่มเงาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ (ข้อ 1)  พระสัญญาของพระเจ้าในการปกป้องมีไว้สำหรับผู้ที่ดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระองค์และยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้สูงสุด

      หากคุณกระโดดจากจุดยอดเพื่อทดสอบหลักคำสอนของคุณ เหล่าทูตสวรรค์จะไม่ประคองรับคุณไว้ แต่คุณจะฟาดลงกับพื้น  จงอย่าทำผิดพลาดในเรื่องนี้  แต่เมื่อคุณดำเนินชีวิตต่อพระพักตร์องค์ผู้สูงสุดตลอดชีวิตของคุณนั่นแหละ คุณจึงจะมั่นใจได้ว่า ถ้าคุณสะดุดก้อนหินหรือสะดุดหน้าผา พระองค์จะประคองรับคุณไว้  นั่นเป็นเพราะคุณกำลังดำเนินชีวิตที่อุทิศตนอย่างทั้งหมดกับพระองค์ ไม่ได้ทำอะไรตามที่คุณเองต้องการ

      คุณจะรู้สึกมั่นใจได้อย่างเต็มที่กับความรอดของคุณ เมื่อคุณดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างทั้งหมด  ผมมีความมั่นใจอย่างมากในความรอด  ผมไม่ได้อยู่ในความกลัวหรือหวาดกลัวเพราะโดยพระคุณของพระเจ้าแล้ว ผมต้องการให้พระเจ้าเป็นผู้สูงสุดในชีวิตของผมเสมอ  แต่ความมั่นใจไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์


[1] Christian Science คือกลุ่มคริสเตียนที่เชื่อว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องลวงตาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการอธิษฐานเพียงอย่างเดียว (ผู้แปล)

[2] G.E. Ladd, a professor at Fuller Theological Seminary

[3] Joachim Jeremias

[4] The Central Message of The New Testament

[5] ลูเธอร์เรียกจดหมายของยากอบว่า “จดหมายจากฟาง”  ในงานแปลภาษาเยอรมันของเขาที่รู้จักกันในชื่อพระคัมภีร์ของลูเธอร์ ที่เสร็จสมบูรณ์ในปี 1534  ลูเธอร์ได้ย้ายหนังสือฮีบรูและยากอบในพันธสัญญาใหม่ มาอยู่ในตำแหน่งหน้ายูดาและวิวรณ์ แต่หลังหนังสือเหล่านั้นซึ่งเขาเรียกว่า “หนังสือหลักที่แท้จริงและแน่นอนของพันธสัญญาใหม่”  นอกจากนี้เขายังสงสัยในหนังสือเอสเธอร์ ฮีบรู และวิวรณ์ ซึ่งสุดท้ายเป็นเพราะเหตุที่เขาไม่สามารถ “ค้นพบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้มีขึ้น”  เชื่อกันว่าลูเธอร์ได้ทำให้มุมมองของเขาอ่อนลงในช่วงหลายปีต่อมา

[6] Banff conference

[7] Pentateuch หรือหมวดเบญจบรรณ

[8] God’s nomos