pdf pic 

 

 

บทที่ 6

 ch1 1

 

การทดลองหลังบัพติศมา #2

ลูกา 4:5-13, เปรียบเทียบกับมัทธิว 4:5-11

มอนทรีออล, 8 เมษายน 1979

     วันนี้เราจะศึกษาการทดลองของพระเยซูต่อ โดยจะเจาะลึกในความหมายของมัน คราวก่อนผมได้ชี้ให้เห็นว่าการทดลองเกิดขึ้นทันทีหลังจากพระเยซูทรงรับบัพติศมา จริงๆแล้วหลังจากที่พระองค์ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณ ในภาพรวมแล้วแนวการโจมตีของซาตานได้เปิดเผยให้เราเห็น ดังที่เราได้เห็น ตัวอย่างเช่น เนื้อหนังเป็นช่องทางที่ซาตานทำงานในใจของเรา โดยดึงดูดความต้องการและความปรารถนาของเรา รวมถึงสิ่งที่เป็นความต้องการโดยชอบ เช่น ความหิว แต่กระนั้นซาตานก็พยายามบิดเบือนความต้องการและความปรารถนาโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายฝ่ายวิญญาณของเรา

หลักการพื้นฐานสามประการเกี่ยวกับการทดลอง

      เราจะมาดูในสองจากสามหลักการที่ซาตานโจมตีเรา แต่ก่อนอื่นผมต้องพูดถึงว่า เรื่องราวของการทดลองนั้นลึกซึ้งมาก และสิ่งที่เรากำลังทำในการศึกษาเรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความอย่างอื่นนอกจากการพิจารณาสามหลักการพื้นฐาน ในเรื่องราวนี้มีความหมายที่ลึกขึ้นซึ่งเราจะไม่ลงลึก ดังนั้นผมไม่อยากทำให้คุณเข้าใจว่า เมื่อเรามาถึงข้อสรุปในการศึกษาเกี่ยวกับการทดลองของพระเยซูนี้ เราจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เรากำลังพูดถึงหลักการพื้นฐานสามประการเท่านั้น แต่ยังมีความลึกกว่ามากให้คุณสำรวจเมื่อคุณเดินไปข้างหน้าในชีวิตคริสเตียน

      คราวก่อนเราดูข้อ 1 ถึง 4 จากลูกาบทที่ 4 วันนี้เราจะดูต่อข้อที่ 5 ถึง 13

5แล้วมารก็นำพระองค์ขึ้นไป​​ที่สูง และสำแดงราชอาณาจักรทั้งหลายของโลกให้พระองค์เห็นชั่วขณะหนึ่ง 6แล้ว​​พูดกับพระองค์ว่าเราจะให้อำนาจและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทั้งหมดนี้​​แก่ท่าน เพราะว่าเราได้รับมอบสิทธิ์นี้ไว้แล้ว และเรา​​จะยกให้ใครก็ได้ตามใจเรา 7ฉะนั้นถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของท่าน8และพระเยซูตรัสตอบมารว่ามีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ท่านจงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” 9แล้วมารจึงนำพระองค์ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วพูดกับพระองค์ว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็จงกระโจนลงไปจากที่นี่ 10เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระเจ้าจะรับสั่ง​​บรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้ปกป้องท่านไว้ 11และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองท่าน ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’”​ 12แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบมารว่ามีคำกล่าวไว้ว่าอย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” 13และเมื่อมารทดลองทุกอย่าง​​แล้ว จึงจากพระองค์ไปจนกว่าจะถึงโอกาสเหมาะ (ลูกา 4:5-13 ฉบับ RSV)

      มันน่าสนใจที่ทั้งซาตานและพระเยซูก็ใช้พระคัมภีร์ในการต่อสู้ ในการทดลองแรกและครั้งที่สองนั้น พระเยซูทรงป้องกันการโจมตีของซาตานโดยอ้างพระคัมภีร์ด้วยคำเริ่มต้นว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า” (ข้อ 4, 8) หลังจากนั้นซาตานก็โต้ตอบตามพระคัมภีร์ด้วยถ้อยคำเดียวกันว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า” (ข้อ 10) คราวนี้อ้างจากสดุดี 91:11-12 และอ้างตรงตามนั้น จากนั้นพระเยซูก็ทรงตอบโต้โดยอ้างจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 ที่โมเสสกล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “อย่าทดลอง​​พระยาห์เวห์​​พระเจ้าของท่าน

การทดลองพื้นฐานของซาตาน: ทำสิ่งที่คุณต้องการ

      เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราเห็นว่า การทดลองอย่างแรกเป็นเพียงการดึงดูดความต้องการและความปรารถนาทางร่างกายของเราตามธรรมชาติ แม้กระทั่งความต้องการที่ชอบธรรม แต่เมื่อเรื่องของการทดลองค่อยๆปรากฏ ซาตานก็ปรับแต่งกลวิธีของมัน และแน่นอนว่ามันมีคลังสรรพาวุธมากมายให้เลือกใช้

      ก่อนที่เราจะตรวจสอบหลักการที่สองของการทดลอง ขอให้เราเข้าใจแนวทางพื้นฐานของซาตานก่อน แม้ว่าซาตานจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำมากมาย แต่คำแนะนำพื้นฐานของมันก็คือ “จงทำสิ่งที่คุณเองอยากทำ ไม่ต้องสนใจว่าพระเจ้าจะตรัสอะไร พระเจ้าเคยตรัสด้วยหรือ? จงมองหาผู้ที่เป็นเบอร์หนึ่ง คือตัวคุณเอง สิ่งที่สำคัญก็คือตัวเอง จงดูแลตัวเอง เพราะพระเจ้าอาจไม่ได้ดูแลคุณเสมอไป”

      วิธีคิดแบบนี้สนับสนุนคำกล่าวที่รู้จักกันแพร่หลายว่า “พระเจ้าจะดูแลคนที่ดูแลตัวเขาเอง” ไม่เคยมีคำกล่าวไหนของซาตานจะเลวร้ายไปกว่านี้ มันฟังดูมีเหตุผลใช่ไหม? คุณคงไม่คาดหวังให้พระเจ้าทรงดูแลคุณหากคุณไม่ดูแลตัวเอง คุณสามารถจะถอนหลักเหตุผลของมันออกไปได้ไหม? คำกล่าวนี้ได้ล้างสมองและปลูกฝังความเชื่อกับเรา เราคิดว่าพระเจ้าจะทรงดูแลคนที่ดูแลตัวเขาเองเพราะหลักเหตุผลนั้นฟังดูสมเหตุสมผล นั่นคือสิ่งที่ซาตานอยากให้เราคิดอย่างแน่นอน

      จงดูชายคนนั้นที่ทิ้งอาชีพของเขาเพื่อรับใช้พระเจ้าสิ คุณจะพูดในใจของคุณกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย คุณไม่ได้ดูแลตัวคุณเอง คุณกำลังพลาดความจริงที่ว่า พระเจ้าจะดูแลคนที่ดูแลตัวพวกเขาเอง ถ้าคุณไม่ดูแลตัวคุณเอง แล้วทำไมคุณจึงคาดหวังให้พระเจ้าทรงดูแลคุณเล่า?”

      มันแปลกมากทีเดียวที่ผมเคยได้ยินคริสเตียนหลายคนพูดว่า “พระเจ้าจะทรงดูแลคนที่ดูแลตัวของพวกเขาเอง” ราวกับว่าสิ่งนี้มาจากพระคัมภีร์ หรือเป็นความจริงในสามัญสำนึกที่คริสเตียนทุกคนควรจะรู้

      แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องในสามัญสำนึก แต่มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดาที่ให้เหตุผลตามนี้ว่า ถ้าคุณดูแลตัวคุณเอง พระเจ้าก็จะดูแลคุณ นั่นทำให้ดูยอดเยี่ยมมาก เมื่อมีความมั่นใจแบบนี้แล้วคุณจะต้องการอะไรอีก? จุดมุ่งหมายของการเป็นคริสเตียนไม่ได้อยู่ที่คุณจะดูแลตัวเองเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงดูแลคุณ นี่คือความมั่นใจที่คุณต้องการในโลกของการแข่งขัน พระเจ้าทรงอยู่ตรงนั้นเพื่อรับใช้คุณ ไม่ใช่คุณที่จะรับใช้พระเจ้า มันช่างวิเศษจริงๆที่พระเจ้าทรงส่งพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้ามาหาเรา! พระเยซูทรงล้างเท้าของเราและเราก็ล้างเท้าของเรา ดังนั้นพวกเขาก็เลยได้ล้างทวีคูณสองเท่า! ใครจะไปสนใจว่าพระเยซูจะทรงล้างเท้าของเขาตราบใดที่ผมล้างเท้าของผม ถ้าล้างโดยพระเยซูก็ยอดเยี่ยมไปเลย!

      วิธีคิดแบบนี้คือสิ่งที่ เอ ดับบลิว โทเซอร์[1]เรียกว่า การค้ำประกันทวีคูณ คริสเตียนจะได้รับการประกันทวีคูณคือ คุณช่วยตัวคุณเองให้รอดและพระเจ้าทรงช่วยคุณให้รอด นั่นฟังดูมีเหตุผลทีเดียวกับมนุษย์ธรรมดา

      ทำไมคุณจึงมาเป็นคริสเตียนตั้งแต่แรก? เพื่อจะได้รอดโดยพระโลหิตของพระเยซูหรือ? ตามความคิดของเรานั้น ไม่ว่าคุณจะทำบางอย่างเพื่อพระเจ้าหรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น แม้คุณอาจคิดถึงการทำบางสิ่งเพื่อพระเจ้าในเวลาว่างของคุณ แต่โดยมากแล้วพระเจ้าทรงอยู่ตรงนั้นที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณ

      นั่นคือสิ่งที่ผมเรียกว่าศาสนาของซาตานที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง หากคุณเคยได้ยินใครบางคนพูดว่า “พระเจ้าจะทรงดูแลคนที่ดูแลตัวพวกเขาเอง” คุณก็สามารถบอกเขาได้ว่าสิ่งนี้มาจากซาตานโดยตรง ผมเคยเห็นคริสเตียนจำนวนมากที่ขาดความเข้าใจได้ยอมรับทั้งหมดนี้ โดยขาดความเข้าใจทางวิญญาณถึงหลักเหตุผลของซาตานอย่างทะลุปรุโปร่ง

การทดลองที่สอง: ประสบการณ์สุดยอด

      ตอนนี้ให้เรามาดูการทดลองที่สอง ถ้าคุณกำลังดูแลตัวเอง คุณจะทำอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบาก? คำตอบอย่างรวดเร็วก็คือ เลือกทางออกที่ง่ายที่สุด ทางที่เจอกับแรงต้านน้อยที่สุด! ถ้าสิ่งสำคัญของคุณคือความเป็นอยู่ที่ดีของคุณเอง คุณก็คงจะไม่ทำเรื่องยากให้ตัวเองใช่ไหม? ดังนั้นคุณก็เลยเลือกทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด ทางที่ง่ายแทนที่จะเป็นทางที่แคบ จงเข้าร่วมกับคนส่วนใหญ่เถอะ เพราะทางที่ลำบากและแคบนั้นมีไว้สำหรับคนส่วนน้อย

      การใช้ทางที่ง่ายนั้นเป็นการทดลองจริงในลูกา 4:5 ผมขอให้ข้อมูลพื้นฐานของข้อนี้กับคุณที่กล่าวว่า “แล้วมารก็นำพระองค์ขึ้นไป​​ที่สูง และสำแดงราชอาณาจักรทั้งหลายของโลกให้พระองค์เห็นชั่วขณะหนึ่งราชอาณาจักรเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ประชาชาติทั้งหลาย แต่เป็นอำนาจและผู้มีอำนาจทั้งหลายในโลกนี้

      ซาตานไม่ได้พาพระเยซูไปทัวร์ยุโรป แล้วอาจมีคนพูดว่า “ผมไปเที่ยวในยุโรปมาสิบประเทศภายในสิบสองวัน!” ลองนึกภาพที่ได้เห็นประเทศเยอรมันภายในวันเดียวเท่านั้น นั่นก็ยังเป็นไปได้ ผมเคยขับรถขึ้นลงประเทศเยอรมันภายในวันเดียว ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มันเหนื่อย แต่ก็ทำได้

      แต่ซาตานไม่ได้พาพระเยซูไปทัวร์ประชาชาติต่างๆ ถ้อยคำว่า “ชั่วขณะหนึ่ง” (ข้อ 5) จะต้องเข้าใจว่าเป็น “ในชั่วพริบตา” หรือ “ในภาพนิมิต” สิ่งที่เรามีคือภาพนิมิต ไม่ใช่การพาไปทัวร์ ข้อที่เหมือนกันในมัทธิว 4:8 กล่าวว่า มารได้นำพระเยซูขึ้นไปบน “ภูเขาที่สูงมาก” เพื่อจะให้พระองค์มีประสบการณ์สุดยอดเมื่อทอดพระเนตรลงมาเห็นความโอ่อ่าตระการของอาณาจักรทั้งปวง

      ซาตานสามารถให้ประสบการณ์การยกระดับฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้นกับคุณ ซึ่งเป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่จากที่สูง และช่างเป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือความรุ่งโรจน์ของโลกนี้ แต่ผมจะขอพูดกับคนที่เพิ่งรับบัพติศมาว่า จงระวังนิมิตฝ่ายวิญญาณที่มาจากซาตาน อย่าคิดว่าทุกประสบการณ์สุดยอดจะมาจากพระเจ้า

      เมื่อบางคนออกมาจากการประชุมใหญ่ของคริสเตียนด้วยประสบการณ์สุดยอด ผมจะไม่แน่ใจในทุกครั้งว่ามันมาจากพระเจ้า เหตุผลก็คือว่า ในหลายๆกรณีแล้ว คนๆนั้นจะเหี่ยวแฟบลงอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าภายในสัปดาห์หลังจากการประชุมด้วยซ้ำ เมื่อประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณทำให้คุณหดหู่ในช่วงเวลาสั้นๆอย่างนั้น มันไม่น่าจะมาจากพระเจ้า ซาตานยกคุณขึ้นเพื่อทำให้คุณตกต่ำลง นั่นคือเหตุที่ผมระวังประสบการณ์สุดยอด จงเข้าหาทุกประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าให้การยกระดับสูงขึ้นแบบชั่วประเดี๋ยว

      ด้วยเหตุนี้ผมจึงกังวลกับคนที่เน้นการพูดภาษาแปลกๆ ดังที่ผมได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่ได้มีอะไรต่อต้านภาษาแปลกๆ แต่ผมกังวลที่ผู้คนมองหาภาษาแปลกๆ ไม่ใช่เพื่อจะรับใช้พระเจ้าให้ดีขึ้น แต่เพื่อที่จะได้รับประสบการณ์การยกระดับฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้น และพวกเขาก็จะได้รับสิ่งนั้นจากซาตานอย่างแน่นอน จงสังเกตคำว่า “ซาตานนำพระเยซูขึ้นไป” คุณต้องการประสบการณ์ที่ยกฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้นไหม? ซาตานจะให้คุณอย่างนั้น แต่พึงระวังประสบการณ์เหล่านี้ อย่างเช่น ความชุ่มชื่นและอิ่มเอมใจกับการประชุมที่รักษาโรค อย่างที่ผมก็ได้แบ่งปันกับคุณไปแล้วว่า ผมไม่มีอะไรต่อต้านการรักษาโรค พระเจ้าได้ทรงใช้ผมในการรักษาโรคบ้างด้วย แต่จงระวังการแสวงหาการยกระดับฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้น มันอันตราย! ซาตานพร้อมที่จะยกระดับคุณให้สูงขึ้น และคุณจะไม่สามารถบอกได้จากของปลอมว่าอะไรคือของแท้ ไม่ใช่ว่าภาษาแปลกๆ หรือการรักษาโรคทั้งหมดมาจากพระเจ้า

      ซาตานให้พระเยซูเห็นนิมิตเกี่ยวกับราชอาณาจักรต่างๆของโลก มันเป็นนิมิตที่มาจากซาตาน ดังนั้นพึงระวังว่า ไม่ใช่ว่านิมิตทั้งหมดจะมาจากพระเจ้า บางอย่างมาจากพระเจ้า บางอย่างไม่ได้มาจากพระเจ้า มันเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่จะมีนิมิตจากพระเจ้า แต่นิมิตเช่นนั้นจะแสดงให้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้ามากกว่าความรุ่งโรจน์ในทางโลก ฉะนั้นจงสังเกตใจความสำคัญของนิมิต ว่ามันดึงดูดเนื้อหนังของคุณ หรือว่ามันดึงคุณเข้ามาสัมพันธ์สนิทในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า?

      คุณสามารถบอกความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ได้หรือไม่? ถ้าหากคุณถูกกระตุ้นทางอารมณ์และไม่สามารถควบคุมได้ มันก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะถ้าคุณถูกยกขึ้นในฝ่ายวิญญาณ ก็จะมีสันติสุขลึกๆซึ่งเป็นสัญญาณที่แน่นอนของการยกระดับฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้น

      จงระวังการประชุมใหญ่ที่ใช้ดนตรีและนักร้องประสานเสียงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของคุณ เราไม่ใช้เทคนิคเช่นนั้น แม้ว่าเราจะรู้วิธีที่จะทำ เพราะสิ่งเหล่านี้มักจะมีผลของซาตานมากกว่าจะมีผลในฝ่ายวิญญาณ มันง่ายที่ในการประชุมใหญ่จะทำให้เราเคลิบเคลิ้ม นักจิตวิทยาทั้งหลายตระหนักถึงผลของ “คนจำนวนมาก” ที่กระตุ้นความรู้สึกทางอารมณ์ แต่นักเทศน์ที่ฉลาดจะหลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคเหล่านี้ เพราะถ้าคุณยกคนๆหนึ่งขึ้นในทางเนื้อหนังของเขา เขาก็จะล้มลงได้ในฝ่ายวิญญาณ

      แต่การยกระดับฝ่ายวิญญาณให้สูงขึ้นอย่างแท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งการกระตุ้นอารมณ์ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้ายกคุณขึ้นก็จะมีสันติสุขลึกๆภายใน ไม่ใช่การตัวสั่นเทิ้มหรือร้องห่มร้องไห้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ ผมเคยเห็นคนที่ร้องห่มร้องไห้และตัวสั่นเทิ้มในสภาพอารมณ์ที่แย่มาก นั่นไม่จำเป็นต้องมาจากพระเจ้า เพราะถ้าพระวิญญาณทรงให้คุณสำนึก ผลที่ตามมาก็คือความเป็นฝ่ายวิญญาณ ความสงบเงียบ การแตกสลาย และการร้องไห้อย่างเงียบๆ แทนที่จะตัวสั่นเทิ้มหรือร้องห่มร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ จงแยกแยะระหว่างเนื้อหนังกับวิญญาณ ระหว่างโลกกับพระเจ้า นิมิตที่อิสยาห์เห็นเป็นนิมิตของพระเจ้า ไม่ใช่นิมิตของความรุ่งโรจน์ของโลกที่มีแต่จะทำให้คุณหลงทาง

      เมื่อใดก็ตามที่คุณอยู่ในการประชุมใหญ่ๆ (เราไม่ได้กำลังบอกว่า การประชุมใหญ่ๆทั้งหมดนั้นผิด) จงระวังเพื่อไม่ให้ใครกระตุ้นอารมณ์ของคุณด้วยคณะนักร้องประสานเสียงวงใหญ่และดนตรีที่เร้าใจ แต่จงอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าและให้จิตวิญญาณของคุณสงบนิ่งต่อพระพักตร์พระองค์

      เมื่ออยู่ในประเทศจีน ผมเคยถือธงโรงเรียนมัธยมของเราในวงโยธวาทิต โอ้โห! คุณเคยเห็นผู้คนนับล้านเดินสวนสนามไหม? มันน่าประทับใจและน่าตื่นเต้น! คนจำนวนมากนั้นมีพลังมาก ถ้ามีคนหนึ่งตะโกนคำขวัญ ฝูงชนทั้งหมดจะตะโกนกลับ แต่เมื่อสิ่งนี้จบลงและพวกเขากลับไปบ้าน พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

      ผมเศร้าใจที่เห็นคริสเตียนใช้เทคนิคเหล่านี้โดยคิดว่านี่เป็นวิธีรับใช้พระเจ้า แต่คุณต้องไม่รับใช้พระเจ้าโดยใช้เทคนิคของซาตานหรือทางโลก ผลลัพธ์ทั่วไปของการประชุมที่มีคนจำนวนมากมีอัตราส่งผลร้ายสูงตามมา หลายคนที่ตัดสินใจรับเชื่อพระคริสต์ในการประกาศใหญ่นั้นไม่ได้ยึดกับการตัดสินใจของพวกเขา สถิติแสดงให้เห็นว่ากว่า 80% ล้มลงภายในปีแรก นั่นคือผลลัพธ์ที่คุณต้องการหรือไม่? จำนวนบนกระดาษ ของการตัดสินใจรับเชื่อพระคริสต์นั้นดูน่าประทับใจ แต่จะมีสักกี่คนที่รอดชีวิตในหนึ่งปี? ห้าปี?

      จงเข้าใจลักษณะของการสู้รบฝ่ายวิญญาณ จงรู้กลยุทธ์ของศัตรูและวิธีที่มันทำงานกับเนื้อหนัง จงอย่าแสวงหาประสบการณ์ทางวิญญาณแบบผิวเผิน

จงรับรู้ว่าเราเป็นผู้ที่ให้ทั้งหมดนี้กับท่าน

      ในลูกา 4:6-7 ซาตานเสนอที่จะให้ “อำนาจและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทั้งหมดนี้​​” แก่พระเยซู แต่ภายใต้เงื่อนไขเดียวคือ “ฉะนั้นถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของท่าน

      ซาตานไม่ได้โง่ มันตระหนักถึงพันธกิจของพระเยซูในโลกนี้ว่า “พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร” (1 ยอห์น 3:8) นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงรู้เช่นกันว่า “เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงชั่วโมงนี้” (ยอห์น 12:27) คือสละชีวิตของพระองค์เพื่อทำลายกิจการของมาร

      เราสามารถจะจินตนาการถึงการสนทนาระหว่างซาตานกับพระเยซูได้ ซาตานพูดกับพระองค์ว่า “ท่านและเราก็รู้ว่านี่คือเรื่องอะไร ท่านมาเพื่อต่อสู้กับเราและทำลายอำนาจของเราในโลกนี้ แต่ท่านก็รู้ด้วยว่าเราจะไม่ยอมจำนนง่ายๆ เราจะต่อสู้และเราทั้งคู่จะต้องทนทุกข์ทรมาน ท่านจะได้รับบาดเจ็บเพราะเราจะต่อสู้ท่าน เราจะได้รับบาดเจ็บเพราะท่านมีอำนาจทางฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้นให้เรามาทำข้อตกลงกัน ตลอดมานั้นเรามีอำนาจเหนือราชอาณาจักรต่างๆของโลก แต่เมื่อเราให้อำนาจเหล่านี้กับท่านแล้ว เราก็จะไม่มีอำนาจเหล่านี้อีกต่อไป เราจะทำสิ่งนี้โดยไม่มีการต่อสู้ด้วยเงื่อนไขเล็กๆอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ท่านรับรู้ว่าท่านได้รับอำนาจทั้งหมดนี้จากเรา จงรับรู้ความเป็นกษัตริย์ของเราและกราบไหว้เรา!”

       เราจำเป็นต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” เพราะคริสเตียนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าหมายถึงการนมัสการซาตานเป็นพระเจ้า แต่พระคัมภีร์บางฉบับใช้ “กราบลงตรงหน้าเรา” หรือ “กราบเคารพเรา” สำหรับลูกา 4:7 มันเป็นเรื่องน่าขันที่จะคิดว่าพระเยซูจะนมัสการซาตาน แม้แต่ผู้ที่เป็นคริสเตียนไม่นาน ก็ไม่เคยคิดว่าชาวยิวที่เคร่งศาสนาโดยเฉพาะพระเยซูนั้น จะนมัสการซาตานเป็นพระเจ้า และซาตานก็ไม่ได้โง่ที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ถ้ามันพยายามจะให้พระเยซูมานมัสการมันเป็นพระเจ้า มันก็จะไม่เป็นการทดลองสำหรับพระเยซูด้วยซ้ำ

      สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า คำที่ถูกแปลไว้ในที่นี้ว่า “นมัสการ” นั้นถูกใช้ในพระคัมภีร์อย่างไร มันไม่ใช่การนมัสการซาตานเป็นพระเจ้า เพราะพระเยซูก็จะไม่ทำเช่นนั้น แม้แต่บรรดาคริสเตียนแต่ในนามก็ยังปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้นหากพวกเขาถูกถามตรงนั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้นกับพระบุตรของพระเจ้า ซาตานไม่ได้ขอให้พระเยซูนมัสการมันเป็นพระเจ้า แต่กราบเคารพมันในฐานะกษัตริย์ของโลกนี้

      ความจริงแล้ว คำภาษากรีก proskyneō ได้แปลไว้ตรงนี้ว่า “นมัสการ” นั้น ไม่ได้มีการนมัสการเป็นความหมายหลัก แต่เป็นแค่ความหมายรองและเป็นความหมายที่แตกแขนงออกมาเท่านั้น  ความหมายหลักของมันคือ การแสดงความคารวะ การคำนับ หรือการแสดงความเคารพ ดังที่ได้เห็นในพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับมาตรฐาน เช่น ฉบับ BDAG หรือฉบับ Thayer คำนิยามของ proskyneō ในพจนานุกรมทั้งสองฉบับนี้มีในภาคผนวก 2 ของหนังสือเล่มนี้ และพจนานุกรมทั้งสองฉบับมีคำว่า “นมัสการ” เป็นคำนิยามรองเท่านั้น

      proskyneō คำเดียวกันนี้ได้ใช้ในมัทธิว 2:2 จากโหราจารย์หรือนักปราชญ์ที่มากราบบังคมพระกุมารเยซูโดยถวายเกียรติพระองค์ ไม่ใช่ในฐานะพระเจ้าแต่ในฐานะกษัตริย์ของชาวยิว

      อย่างไรก็ดี ซาตานจะไม่ขอให้คุณทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ แม้แต่คริสเตียนแต่ในนามก็จะไม่นมัสการซาตานให้เป็นพระเจ้า นั่นคือไม่สามารถเปลี่ยนมือได้ ไม่ใช่เช่นนั้น ซาตานเพียงแค่ขอให้พระเยซูยกย่องมันให้เป็นกษัตริย์ แม้พระเยซูจะทรงรับรู้ว่า ซาตานมีอำนาจของกษัตริย์ในโลกนี้ แต่พระองค์ก็จะไม่ยกย่องซาตานให้เป็นกษัตริย์ของพระองค์

      ซาตานเป็นกษัตริย์ในแง่ที่สำคัญ พระเยซูตรัสถึงมันว่าเป็น “ผู้ครองโลกนี้” หรือ “เจ้าโลกนี้” (ยอห์น 12:31; 14:30; 16:11) คำภาษากรีกของ “เจ้า” (archon) ในความหมายกว้างๆยังหมายถึงผู้ครอง ในมัทธิว 12:26 พระเยซูตรัสถึงอาณาจักรของซาตานและอำนาจของกษัตริย์ ซึ่งทั้งสองนี้ต่อสู้อำนาจกษัตริย์ของพระเจ้าที่กล่าวถึงในข้อ 28 (“อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว”)

การทดลองให้เลือกทางที่ง่ายกว่า

      ซาตานกำลังพูดกับพระเยซูว่า “ในเมื่อพระองค์ทรงทราบว่า เราเป็นผู้ครองโลกนี้ สิ่งที่เราจะขอจากพระองค์มีแค่ให้คุกเข่าคำนับเราและยกย่องเราในฐานะของกษัตริย์ แล้วเราจะมอบทุกสิ่งให้กับพระองค์ พระองค์และเราจะได้ไม่ต้องต่อสู้ และพระองค์จะได้ไม่ต้องไปที่กางเขน ถ้าพระองค์ต้องการอาณาจักรของโลกนี้ เราก็จะมอบให้กับพระองค์ ขอทรงเลือกทางที่ง่ายนี้ เราไม่ได้ขออะไรมาก แค่ให้พระองค์ยกย่องเราในฐานะกษัตริย์”

      เราสามารถรับรู้ได้ว่าคนๆหนึ่งเป็นกษัตริย์โดยที่ไม่ต้องยกย่องเขาในฐานะกษัตริย์ ซาตานกำลังพูดว่า “จงยกย่องเราในฐานะกษัตริย์ แล้วเราจะมอบอาณาจักรของโลกนี้ให้ท่าน จากนั้นเราจะไปให้พ้น เพราะเมื่ออาณาจักรถูกส่งมอบให้ท่านแล้ว มันก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป”

      นั่นเป็นข้อเสนอที่หลอกลวงน่าอันตราย โดยไม่มีตรวจสอบความหมายมากมายซึ่งมีแต่จะซับซ้อนยิ่งขึ้นในการต่อสู้ทางฝ่ายวิญญาณ มันเพียงพอแล้วที่แค่รับรู้หลักการพื้นฐานนี้ว่า เลือกทางที่ง่ายกว่า สิ่งที่ใช้ก็แค่ประนีประนอมสักหน่อย

      ผมได้เห็นการใช้กลวิธีที่มีเล่ห์เหลี่ยมนี้กับคริสเตียนครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวอย่างเช่น ผมเคยเห็นคนที่ต้องการจะรับใช้พระเจ้า มีชีวิตเพื่อพระเจ้าและเข้ามารับใช้พระเจ้าแบบเต็มเวลา แล้วหนึ่งในสองสิ่งก็มักจะเกิดขึ้น ถ้าครอบครัวไม่ต่อต้านแผนการของเขาหรือเธอด้วยการปะทะตรงๆ หรือไม่พวกเขาก็จะใช้วิธีการที่นุ่มนวลซึ่งมักจะได้ผลมากกว่า พวกเขาจะพูดว่า “เราไม่คัดค้าน” ขณะที่พวกเขาคัดค้านอย่างแรงอยู่ในใจของพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็ทำข้อตกลงว่า “เราจะไม่ทะเลาะกับเธอ เราอยากจะออกค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนของเธอที่วิทยาลัยพระคัมภีร์”

     ผมเคยเห็นคริสเตียนจำนวนมากเดินตรงเข้าไปในกับดักนั้นและออกมาด้วยความชื่นชมยินดีร้องว่า “ฮาเลลูยา! ครอบครัวของผมไม่ได้คัดค้าน พวกเขาจะจ่ายค่าใช้จ่ายของผมในวิทยาลัยพระคัมภีร์ด้วยซ้ำ” แต่อย่าเพิ่งร้องฮาเลลูยาเร็วเกินไป เพราะคุณเพิ่งจะเดินเข้าไปในกับดัก ถ้าคุณฉลาด คุณก็จะไม่ยอมรับเงินแม้แต่สตางค์เดียวจากพวกเขา แต่เพราะคุณได้ยอมรับการสนับสนุนของพวกเขา ตอนนี้คุณจึงอยู่ในกำมือของพวกเขา คุณจะเป็นหนี้การอบรมทางศาสนศาสตร์ของคุณกับผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกในครอบครัวของคุณก็ตาม

      ผมเคยเห็นคริสเตียนจำนวนมากที่ขาดความเข้าใจ ที่เดินเข้าไปในกับดักนั้นเพื่อจะถูกทำลาย คุณจะไม่ได้รับอะไรจากศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามโดยที่ไม่ต้องจ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง ดังนั้นจงระวังเมื่อซาตานเข้ามาหาคุณด้วยวิธีที่เห็นอกเห็นใจ นั่นน่ากลัวที่สุด! ผมไม่ได้กลัวการโจมตีโดยตรง แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลัวคือการจัดการที่นุ่มนวลซึ่งอาจจะยากที่จะมองออก

      ศัตรูได้พยายามทำแบบนี้กับผมสองสามครั้ง ย้อนกลับไปที่ลิเวอร์พูล ผู้หญิงคนหนึ่งปะทะกับผมอย่างรุนแรง หากคุณปะทะกับคนของพระเจ้า ไม่นานคุณจะพบว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามีมากเกินพอที่จะรับมือกับคุณได้ เมื่อเธอเข้ามาหาผม เธอคิดว่าเธอจะสามารถบดขยี้ผมได้ด้วยพลังเต็มที่ แต่เธอพบว่าตัวเธอเองกำลังถูกบดขยี้

      เธอเปลี่ยนกลยุทธ์และพยายามซื้อผมด้วยเงิน เธอพูดว่า “มาเป็นเพื่อนกันเถอะ เราจะไม่ต่อสู้กันอีกต่อไป ฉันจะซื้ออาคารคริสตจักรให้คุณฟรีๆ!” ผมสงสัยในท่าทีที่นุ่มนวลของเธอ ผมจึงพูดว่า “มีข้อผูกมัดอะไรไหม?”

      “ไม่มีข้อผูกมัดอะไร”

      “ไม่มีเลยหรือ? จริงๆหรือ?”

      “ไม่มี แต่อย่างใด! อาคารเป็นของคุณ คุณใช้ได้เลย”

      คุณต้องการให้อาคารคริสตจักรส่งมอบให้คุณอย่างไร? การโจมตีที่นุ่มนวลของเธอทำให้ผมกังวลมากกว่าสิ่งอื่นใด ดังนั้นผมจึงอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกเธอว่า “ไม่ครับ ขอบคุณ ผมไม่ต้องการอาคารนี้”

      “ แต่มันฟรีโดยไม่มีข้อผูกมัด เราจะให้ทนายมาและลงนามให้คุณ”

      “ไม่ต้องครับ ขอบคุณ”

      “ คุณไม่ชอบอาคารนี้เหรอ? แล้วอาคารอื่นล่ะ?”

      “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ต้องการอาคาร”

      “ถ้าคุณไม่ชอบอาคารนี้ เราสามารถรื้อมันและสร้างอาคารใหม่ได้ จ้างสถาปนิกของคุณเองมาออกแบบและฉันจะสร้างให้คุณ”

      ซาตานมีทรัพยากรมากมาย ผู้หญิงคนนี้มีทรัพยากรมากมาย มีเงินทองมากมาย มีบ้านมากมาย บ้านสักหลังหนึ่งจากเป็นโหลล่ะ? บ้านหนึ่งหลัง หรือแม้แต่สองหรือสามหลัง จะเป็นราคาต่อรองที่จะซื้อคนของพระเจ้า ฉะนั้นจงระวังวิธีการที่นุ่มนวลของซาตาน

      ที่น่าสนใจคือ ตอนที่ผมไปประเทศอังกฤษเมื่อหนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว ผมได้เจอเธออีกครั้งโดยบังเอิญบนถนนแห่งหนึ่ง เธอตกใจมากที่เห็นผม แล้วคุณรู้ไหมว่าเธอทำอะไร? เธอเป็นผู้หญิงฉลาดที่คิดไว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีและเธอก็ยิ้ม “คุณกลับมาแล้ว ฉันอยากเชิญคุณมาเทศนาในที่ประชุมของฉัน” ผมพูดว่า “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ” (เธอได้เริ่มการประชุมที่แข่งกัน ซึ่งลูกชายของเธอที่เป็นเพื่อนสนิทของผมได้แยกตัวออกมาและไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ)

      “ไม่หรือ? แต่ฉันกำลังเชิญคุณมาเทศนาในที่ประชุมของฉัน คุณไม่ได้เป็นผู้สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วก็มาเทศนาในที่ประชุมของฉันสิ”

      ผมพูดว่า “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ” เพราะถ้าผมตอบรับคำเชิญของเธอ เธอก็จะพูดได้ว่า “เห็นไหม เขามาเทศน์ในที่ประชุมของฉัน

      ในทำนองเดียวกันถ้าพระเยซูทรงตกอยู่ในการทดลองของซาตาน ซาตานก็จะพูดได้ว่า “พระเยซูทรงรับอาณาจักรของโลกจากเรา ตอนนี้เราไม่ได้สำคัญเลย แต่อย่าลืมว่าพระองค์ได้สิ่งเหล่านี้จากเรา” คุณมองเห็นเล่ห์เหลี่ยมที่ฉลาดของซาตานไหม? เมื่อมันเริ่มเห็นใจ คุณก็ควรเริ่มกังวล ซาตานพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ทรงหิวใช่ไหม? พระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพระองค์! ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็จงเปลี่ยนก้อนหินนี้ให้เป็นขนมปังสิ เราอย่าทะเลาะกันเลย แต่มาเป็นเพื่อนกันดีกว่า เราจะมอบอาณาจักรของโลกให้พระองค์เป็นการตอบแทนเล็กน้อย เพียงแค่กราบลงตรงหน้าเราสักสองสามวินาที แล้วพระองค์ก็จะได้อาณาจักรทั้งหมดตลอดไป”

พระเยซูทรงตอบซาตาน: การนมัสการที่แท้จริงคือการรับใช้พระเจ้า

       พระเยซูทรงกำลังอ้างถึงเฉลยธรรมบัญญัติ 6:13 เมื่อพระองค์ตรัสกับซาตานว่า “มีเขียนไว้ว่าเจ้าจงนมัสการพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (ลูกา 4:8) คำ “รับใช้” ตรงนี้เทียบเคียงกับ “นมัสการ” พระเยซูกำลังตรัสว่า “ซาตาน เจ้ามีหลักการที่ผิด การนมัสการพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการรับใช้พระเจ้า เจ้าจะต้องไม่รับใช้ใครนอกจากพระเจ้า”

      นั่นยังเป็นการประกาศถึงการมอบทั้งหมดต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ในการทดลองแรก พระเยซูได้ทรงแสดงการมอบทั้งหมดต่อพระบิดาของพระองค์ โดยไม่ยอมเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปัง ตอนนี้พระองค์ทรงพิสูจน์อีกครั้งว่า “จงปรนนิบัติพระเจ้าเพียงผู้เดียว” ไม่ปรนนิบัติใครอื่น! ไม่มีการประนีประนอม! พระเยซูไม่ทรงปฏิเสธว่าซาตานเป็นกษัตริย์ของโลก แต่พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะไม่ปรนนิบัติใครอื่นนอกจากพระเจ้าเท่านั้น”

      ในท้ายนี้ ขอให้เรานึกถึงกลวิธีพื้นฐานของซาตานที่ว่า “ใครจะสนใจสิ่งที่พระเจ้าตรัส? พระองค์ได้ตรัสอย่างนั้นหรือ? จงดูแลตัวเองและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ สิ่งที่สำคัญก็คือถือการตัวเองเป็นสำคัญ จงดูแลตัวเองเพราะพระเจ้าอาจไม่ได้ดูแลคุณเสมอไป”

      จงจดจำหลักการที่สองของการทดลองคือ ใช้ทางที่ง่าย คุณมองออกไหมระหว่างทางของซาตานกับทางของพระเจ้า?

จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูกว้างและทางกว้างที่นำไปถึงความพินาศนั้นเดินง่าย และคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีจำนวนมาก เพราะว่าประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่​​พบก็มีน้อย (มัทธิว 7:13-14 ฉบับ RSV)

      จงทำตามแบบอย่างของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าในการปฏิเสธการประนีประนอม จงยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงในการเชื่อฟังพระองค์และพระวจนะของพระองค์ นั่นเป็นทางที่แน่นอนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกหลุมพรางที่เฉียบแหลมของซาตาน


[1] A.W. Tozer