pdf pic

 

 

 

บทที่ 5

 ch1 1

 

การทดลองหลังบัพติศมา #1

ลูกา 4:1-4 (เปรียบเทียบกับมัทธิว 4:1-4)

มอนทรีออล, 1 เมษายน 1979

      ทที่แล้ว เราได้ดูความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามการสอนของพระคัมภีร์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งเหมาะสมที่เราจะศึกษาเรื่องการทดลองของพระเยซูในบทนี้ เพราะหลังจากรับบัพติศมาแล้ว พระองค์ก็ทรงถูกซาตานทดลองในถิ่นทุรกันดาร เรื่องการทดลองในลูกา 4:1-4 นี้มีสิ่งที่จะนำมาใช้มากมายกับคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมา

1และพระเยซูทรงเต็ม​​ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร 2ทรงถูกมารทดลองเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดสี่สิบวันนั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้น​​สี่สิบวันพระองค์ก็ทรงหิว 3มารจึงพูดกับพระองค์ว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าก็จงสั่งหินก้อน​​นี้ให้เป็นขนมปัง 4แล้วพระเยซูได้ตรัสตอบมารว่ามีคำเขียนไว้ว่า มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวได้’” (ลกา 4:1-4 ฉบับ RSV)

      ข้อความที่พระเยซูทรงอ้างจากพระคัมภีร์ว่า “มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวได้” นั้นได้ขยายความไว้ในข้อที่คล้ายกันจากมัทธิว 4:4 ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงด้วยพระวจนะทุกคำ ที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

      เราจะตรวจสอบลูกา 4:1-4 จากแง่มุมของการทนทุกข์ทรมานของพระเยซูซึ่งใน 1 เปโตร 2:21 แสดงให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างมาก “พระคริสต์ยังได้ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” นี่คือหลักการทางฝ่ายวิญญาณที่เราและผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมาสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้

คุณมาเป็นคริสเตียนเมื่อคุณได้รับพระวิญญาณ

      ผมจะพูดต่อจากจุดที่พูดไว้คราวก่อนในหัวข้อบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทสรุปตอนนี้จะเป็นความก้าวหน้าตามปกติของการพิจารณาในวันนี้ เกี่ยวกับการทดลองของพระเยซู

      เราได้เห็นมาก่อนหน้านี้ว่า คนๆ หนึ่งจะมาเป็นคริสเตียนก็เมื่อเขาหรือเธอได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว พวกท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่ได้เป็นของพระองค์ (รม 8:9 ฉบับ ESV)[1]

      สิ่งที่ทำให้คุณเป็นคริสเตียนที่แท้จริงนั้นไม่ใช่การถือศาสนาในตัวของมันเอง หรือการไปโบสถ์ หรือการมีความกระตือรือร้นในกลุ่มสามัคคีธรรมในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่การเชื่อในหลักคำสอนที่ถูกต้อง แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดีและน่าปรารถนาก็ตาม แต่การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในคุณต่างหากที่ทำให้คุณเป็นคริสเตียน

      เราจึงถามต่อไปว่า เมื่อใดหรือที่คนใดคนหนึ่งจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแง่ที่เฉพาะเจาะจงของการเจิม ตราประทับ และคำมั่นสัญญา? คำตอบจากพระคัมภีร์นั้นชัดเจนว่า เมื่อบัพติศมาพร้อมด้วยความเชื่อและการกลับใจใหม่ที่เราจะได้รับพระวิญญาณในสามด้านเฉพาะนี้ นั่นเป็นความเชื่อที่ทำให้บัพติศมามีความหมายและมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าปราศจากความเชื่อแล้ว บัพติศมาก็จะเป็นพิธีที่ไม่มีความหมายที่ไม่ต่างจากการอาบน้ำ

      อย่างไรก็ตาม การรับพระวิญญาณเมื่อบัพติศมานั้น ไม่ได้ตัดการทำงานของพระวิญญาณในใจของเราก่อนหน้านั้น เราได้เห็นแล้วว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานแม้แต่ในใจของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ในความหมายเฉพาะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับทุกคน แม้แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียน เพราะถ้าพระวิญญาณไม่ได้ทำงานในใจของผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียนแล้ว เขาหรือเธอจะได้รับความรอดหรือมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร? พระคัมภีร์ไม่เคยสอนว่าเราสามารถจะรอดได้ด้วยตัวของเราเอง หรือจะได้รับพระวิญญาณด้วยหนทางและกำลังของเราเอง

      พระเยซูทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอนก่อนที่พระองค์จะรับบัพติศมา แต่เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมานี่เอง ที่พระวิญญาณได้เสด็จลงมาบนพระองค์เหมือนนกพิราบ ซึ่งแสดงว่าพระองค์ได้รับการเจิมและประทับตราด้วยพระวิญญาณ ก่อนที่พระองค์จะรับบัพติศมานั้น พระเยซูยังไม่ได้รับการประทับตราหรือการเจิมด้วยพระวิญญาณเพื่องานพันธกิจในการประกาศข่าวประเสริฐ หรือเพื่อให้เป็นไปตามการทรงเรียกของพระองค์ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ก่อนที่พระองค์จะรับบัพติศมา พระเยซูทรงเป็นช่างไม้ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเกียรติ พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ค่อนข้างไม่มีใครรู้จักจนกระทั่งพระองค์ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณเพื่อภารกิจที่พระองค์ได้ถูกเรียกให้ทำ

หากคุณไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คุณก็จะไม่ได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า

      สิ่งที่ผมพูดคราวก่อนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทำให้ข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์ใหม่หมดไปแต่อย่างใด เรายังคงต้องพูดถึงรายละเอียดในพระคัมภีร์อีกเล็กน้อยก่อนที่จะไปต่อกับคำถามเรื่องการทดลองหลังรับบัพติศมา

      หนึ่งในนั้นก็คือ คำกล่าวที่รู้จักกันดีของพระเยซูที่พูดกับนิโคเดมัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” (ยอห์น 3:5)

      ตรงนี้พระเยซูทรงเน้นถึงความสำคัญของน้ำว่า เราจะเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ เว้นแต่เราจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ เราจำเป็นต้องหยิบยกความจริงนี้เพราะคริสตจักรส่วนใหญ่ในปัจจุบันมองข้ามความสำคัญกับการบัพติศมา

      ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่สถาบันพระคัมภีร์ในสกอตแลนด์ ผมได้เป็นเพื่อนกับคนหนึ่งที่ยอมทิ้งงานธนาคารที่ดีเพื่อมารับใช้พระเจ้า เขาเป็นคริสเตียนมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับบัพติศมา วันหนึ่งพี่น้องผู้ชายชาวเยอรมันที่รักคนนี้ได้มาหาผมและพูดว่า “อีริค ผมกำลังเตรียมจะรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา แต่ผมยังไม่ได้รับบัพติศมาเลย”

      ผมถามเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่เคยได้รับบัพติศมา และเขาตอบว่า “เพราะผมไม่รู้ความหมายของบัพติศมา ผมคิดมาตลอดว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญ”

      เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในคริสตจักรปัจจุบันแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีบางคนที่กำลังเตรียมตัวของเขาเพื่อรับใช้พระเจ้า แต่ยังไม่เคยได้รับบัพติศมา ตามการสอนของพระคัมภีร์แล้วมันหมายความว่าเขายังไม่ได้รับการเจิมให้สั่งสอนข่าวประเสริฐ (ประกาศ) เลย เพราะเขาไม่ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณหรือไม่ได้รับมัดจำค้ำประกันจากพระวิญญาณ

      เขาเป็นคนดี เป็นพี่ชายที่น่ารักและมีน้ำใจ และเรายังคงสนิทกันมากมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้เขารับใช้เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรประจำรัฐของเยอรมันด้วยการทุ่มเทให้พระเจ้าแบบสุดตัว

      เขาน่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมที่สถาบันพระคัมภีร์ เขาจะไปกับผมทุกที่ที่ผมไปเทศน์ เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขามีงานเทศน์น้อยกว่ามาก แต่ทุกครั้งที่เขาเทศน์ก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีพลัง ผมไม่สามารถจะระบุสาเหตุได้จนกระทั่งเขาบอกผมว่า เขาไม่ได้รับบัพติศมา

      ตัวของผมเองค่อนข้างไม่รู้คำสอนของพระคัมภีร์เกี่ยวกับบัพติศมา ดังนั้นผมจึงพูดกับเขาว่า “ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องบัพติศมากับคุณอย่างไร แต่ผมรู้อย่างหนึ่งแน่ๆว่า พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าตรัสสั่ง และนั่นก็ดีพอสำหรับผมแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจมันทั้งหมดก็ตาม” เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดว่า “ใช่ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ดีพอสำหรับผมเช่นกัน!” เขาจึงรับบัพติศมา

      หลังจากที่ได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเรื่องบัพติศมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมจึงได้เห็นความสำคัญของการบัพติศมาว่า “เว้นแต่คนใดคนหนึ่งจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจึงจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า​​ได้” (ยอห์น 3:5 ฉบับ KJV) น้ำอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ บัพติศมาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะคนนั้นจะต้องเกิดจากน้ำและพระวิญญาณก่อน เขาจึงจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้

      บางคนพยายามอธิบายความสำคัญของน้ำแบบให้พ้นตัว และมีวิธีการที่แยบยลในการทำเช่นนี้ บางคนได้แย้งอย่างเช่นว่า น้ำไม่ได้หมายความอย่างอื่นนอกจากเป็นเพียงสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็จะต้องบังเกิดจากพระวิญญาณและพระวิญญาณถึงสองครั้งสิ!

      แต่เหตุใดจึงใช้ความพยายามอย่างมากในการหลบเลี่ยง “น้ำ” อย่างชาญฉลาด ในเมื่อความจริงนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก? ตั้งแต่เริ่มต้นในมาระโก 1:8 ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นการเสริมการ “เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ” ในยอห์น 3:5 ซึ่งชี้ชัดว่า “เกิดจากน้ำ” หมายถึงการบัพติศมาด้วยน้ำ

      หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมา พระองค์ได้ทรงยืนยันพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมาอีกครั้งว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 1:5)

      มันเห็นได้ชัดจากพระคัมภีร์ว่า คุณจะต้องรับบัพติศมาทั้งสองอย่างเพื่อจะเข้าในแผ่นดินของ   พระเจ้า ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้มีความคิดแปลกใหม่ในสิ่งที่ผมได้พูดเกี่ยวกับบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ก็ตระหนักดีถึงความเชื่อมโยงที่สำคัญของการบัพติศมากับพระวิญญาณ ดังตัวอย่างในพจนานุกรมศาสนศาสตร์ของพระคัมภีร์ใหม่เล่มสุดท้าย (ฉบับโคลิน บราวน์)[2] ภายใต้หัวข้อ “ตราประทับ” หรือ “การเจิม” นอกจากนี้ให้ดูหนังสือของเจมส์ ดันน์ ที่ชื่อ การบัพติศมาในพระวิญญาณ: การตรวจสอบพระคัมภีร์ใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับของประทานแห่งพระวิญญาณ[3] นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ทุกคนต่างตระหนักถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างบัพติศมากับพระวิญญาณ

      อันที่จริง หากคุณไม่เคยได้ยินคำสอนคราวก่อนของผมเกี่ยวกับบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณอาจมีปัญหาที่จะติดตามการพูดถึงในพจนานุกรมศาสนศาสตร์พระคัมภีร์ใหม่[4] เพราะไม่ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของความเชื่อมโยง ข้อความ “ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณ” กล่าวซ้ำๆถึงการบัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ในลักษณะที่อาจทำให้คุณไม่แน่ใจในความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง แต่คุณจะเข้าใจข้อความนี้เป็นอย่างดีถ้าคุณได้ยินคำสอนคราวก่อนของผม

      บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ต่างตระหนักดีถึงความเชื่อมโยงนี้ โดยเฉพาะจากตั้งแต่สมัยของศาสตราจารย์ จี เอช แลมป์จากเคมบริดจ์ ผู้เชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนังสือชื่อ การประทับตราของพระวิญญาณ: การศึกษาในหลักคำสอนเรื่องบัพติศมา (1951)[5] ดังนั้นผมจึงไม่อ้างความคิดริเริ่มในหัวข้อนี้แม้แต่น้อย และผมก็ไม่ต้องการที่จะเป็นต้นฉบับ ผมแค่ต้องการจะอธิบายสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เท่านั้น

      ผู้นำคริสตจักรบางคนในทุกวันนี้ไม่ได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าของงานวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ หรือเป็นความแปลกใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้พูดไป ความจริงที่สำคัญยังคงมีอยู่ว่า ถ้าคุณไม่ได้เกิดจากพระวิญญาณและเกิดจากน้ำด้วย คุณก็จะไม่ได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า

การทำให้สะอาดโดยการชำระด้วยน้ำโดยพระวจนะ

      ให้เราดูพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งในเอเฟซัส 5:25-26 ซึ่งอ้างถึงบัพติศมา ถ้าคริสตจักรได้เข้าใจ ความเชื่อมโยงของบัพติศมากับพระวิญญาณ ผมก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายพระคัมภีร์ตอนนี้

สามีทั้งหลายจงรักภรรยาของตน เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และสละพระองค์เองเพื่อคริสตจักร เพื่อพระองค์จะทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระด้วยน้ำโดยพระวจนะ (เอเฟซัส 5:25-26 ฉบับ RSV)

      พระเยซูยอมสละพระองค์เองเพื่อคริสตจักร เพื่อจะชำระเธอให้บริสุทธิ์ “โดยการชำระด้วยน้ำโดยพระวจนะ เราจะเห็น “น้ำ” อีกแล้ว แต่ไม่ใช่น้ำเพียงอย่างเดียวเพราะเราต้องการทั้งน้ำแห่งการกลับใจใหม่และ “พระวจนะ” ซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้า เมื่อบัพติศมานี่เองที่พระเยซูทรงชำระเราด้วยน้ำโดยพระวจนะ

      เปาโลได้เรียนรู้ความจริงที่สำคัญนี้จากประสบการณ์ของเขาบนถนนไปดามัสกัส หนังสือกิจการมีบันทึกสามกรณีที่เปาโลเป็นพยานเกี่ยวกับการพบกับพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าอย่างน่าทึ่ง ในกิจการ 22:16 เปาโลนึกถึงสิ่งที่อานาเนียได้พูดกับเขาหลังจากนั้นไม่นานว่า “แล้วท่านจะรออยู่ทำไม? จงลุกขึ้นและรับบัพติศมา และรับการชำระบาปของท่าน โดยร้องออกพระนามของพระองค์” ตรงนี้กล่าวไว้ว่า การชำระบาปมีผลโดยการบัพติศมาและการร้องออกพระนามขององค์ผู้เป็นเจ้าด้วยความเชื่อ มันให้ความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งที่เราเพิ่งจะอ่านไปในเอเฟซัส 5:26 ว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพระองค์จะทรงชำระเรา “โดยการชำระด้วยน้ำโดยพระวจนะ” นั่นคือด้วยความเชื่อและเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า

      เมื่อตอนบัพติศมานั่นเองที่เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:38)[6] และได้รับการชำระความผิดบาปของเรา เปาโลที่เรียกกันว่าเซาโลก็มีประสบการณ์กับสิ่งนี้เมื่อตัวเขาเองรับบัพติศมา

     

      อานาเนียจึงไปและเข้าไปในบ้านนั้น แล้ววางมือของเขาบน​​เซาโลกล่าวว่าพี่เซาโล พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าผู้ที่ปรากฏแก่ท่านระหว่างทางที่ท่านมาที่นี่ ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นอีก และ​​ให้ท่านเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทันใดนั้นก็มีบางสิ่งเหมือนเกล็ดหลุดจากตาของเซาโลท่านก็เห็นได้อีก แล้วท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา (กิจการ 9:17-18 ฉบับ RSV)

      องค์ผู้เป็นเจ้าทรงส่งอานาเนียไปหาเซาโลเพื่อสองสิ่ง สิ่งแรกก็เพื่อให้เซาโลกลับมามองเห็นได้อีกครั้งหลังจากที่ตาได้บอดบนถนนไปดามัสกัส สิ่งที่สองก็เพื่อให้เซาโลเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสองสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อานาเนียได้วางมือของเขาบนตัวเซาโลตามด้วยบัพติศมาทันที เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ความเชื่อมโยงของบัพติศมากับพระวิญญาณจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

      พระเยซูเองก็ได้รับการเจิมเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น โดยพระวิญญาณเหมือนนกพิราบ ได้เสด็จลงมาบนพระองค์ หลังจากการเจิมนี่เองที่พระเยซูได้เสด็จออกไปประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองโดยอ้างถึงอิสยาห์ 61:1-2 ว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน” (ลูกา 4:18) ตอนนี้เองที่พระเยซูได้รับการเจิมเพื่อจะเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐ เพราะพระองค์ยังไม่ได้รับการเจิม

การทดลองจะมาหลังจากบัพติศมา

      สิ่งนี้นำเราไปสู่ลูกาบทที่ 4 และไปสู่หัวใจสำคัญของคำสอนในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือหลังจากที่คุณได้รับบัพติศมาและบาปของคุณได้รับการชำระแล้ว? คุณจะเจอกับการทดลองทันทีหลังจากรับบัพติศมา เช่นเดียวกับกรณีของพระเยซูที่มีการทดลองอย่างหนักตามมา ไม่ใช่ก่อนการรับบัพติศมา

      เมื่อเช้านี้ เมื่อผมอธิษฐานกับพวกคุณบางคนก่อนการรับบัพติศมา คุณก็รู้ว่าการเป็นคริสเตียนไม่ใช่เรื่องง่าย ผมจึงต้องเตือนคุณว่า หลังจากบัพติศมาไม่นาน ศัตรูจะเริ่มกดดันคุณ แรงกดดันนี้เองที่ทำให้คริสเตียนจำนวนมากต้องหลงไปหลังจากรับบัพติศมา โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้รับการสอนให้รู้ถึงอันตรายนี้ การโจมตีของซาตานกับผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมานั้น สร้างความวิตกกังวลอย่างมากให้ กับผมและศิษยาภิบาลคนอื่นๆอีกมากมาย และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลายคนมองข้ามความสำคัญของการบัพติศมา

พระเจ้าทรงยอมให้คุณถูกทดลองเพื่อให้คุณได้เรียนรู้การเชื่อฟังและเข้มแข็งขึ้น

      ทันทีหลังจากที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาและเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ก็ถูก “นำ” โดยพระวิญญาณเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้ซาตานได้ทดลอง (ลูกา 4:1)

      พระเจ้าทรงปกป้องประชากรของพระองค์ แต่ไม่ใช่โดยวิธีปกป้องพวกเขาจากการเปิดให้กับการถูกทดลองและพบความยากลำบาก แต่ทำไมพระเจ้าทรงยอมให้คุณถูกทดลองหลังจากรับบัพติศมาหรือ? มีสาเหตุหลายประการสำหรับสิ่งนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อที่คุณอาจได้รับการเสริมกำลังและเรียนรู้ในการเชื่อฟังผ่านความทุกข์ยาก แต่คุณจำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงนี้โดยเร็วที่สุด เพราะการปฏิญาณในการมอบของคุณกับพระเจ้านั้น จะถูกทดสอบทันทีหลังจากที่คุณรับบัพติศมา หากคุณไม่เต็มใจที่จะมอบทั้งหมดกับพระเจ้า หรือเข้าสู้รบฝ่ายวิญญาณ หรือหากคุณขาดความกล้าในความเชื่อ ก็อย่ารับบัพติศมาเลย เพราะบัพติศมาไม่ได้มีไว้สำหรับคนขี้ขลาด ในชีวิตคริสเตียนจะไม่มีที่สำหรับคนขี้ขลาด พวกคุณที่เพิ่งได้รับบัพติศมาไป ตอนนี้ก็อยู่ในการสู้รบฝ่ายวิญญาณแล้ว

      ในทางตรงกันข้าม คุณไม่จำเป็นจะต้องกลัว ผมไม่ได้กำลังบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับคุณเพื่อให้คุณกลัว แต่ด้วยความหวังว่า เมื่อความเชื่อของคุณถูกทดสอบ คุณจะเห็นว่าคุณแข็งแกร่งเพียงใดโดยพระคุณของพระเจ้า การชนะในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณนี่เอง ที่คุณจะแข็งแกร่งและเติบโตในฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าไม่ทรงต้องการคริสตจักรที่เต็มไปด้วยทารกฝ่ายวิญญาณ

      ที่พระเยซูต้องเจอกับการทดลองนั้น ไม่ได้เป็นเพราะความต้องการส่วนตัวแต่อย่างใด พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับพระองค์เพื่อเป็นตัวอย่างให้เราปฏิบัติตาม เพราะเราเองก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วยเช่นกัน

      ทันทีหลังจากการรับบัพติศมา พระเยซูก็ทรงถูกนำไปในถิ่นทุรกันดารทันทีเพื่อถูกทดลองและเผชิญกับการต่อสู้ในฝ่ายวิญญาณอย่างหนักหน่วง แต่คุณไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องนี้เพราะคุณจะค้นพบว่าเป็นความยินดีอย่างหนึ่งของการรู้จักพระเจ้า ที่กองทัพซึ่งต่อสู้อยู่เคียงข้างคุณนั้น ยิ่งใหญ่กว่ากองทัพของฝ่ายศัตรูมาก

      ผมมีความสุขเสมอที่จะเล่าเรื่องของเอลีชาเมื่อเขาถูกล้อมรอบด้วยกองทัพใหญ่และมีอานุภาพของซีเรีย (2 พงศ์กษัตริย์ 6:15-18) เอลีชามีศิษย์คนหนึ่งและเป็นคนรับใช้ของเขาด้วย ซึ่งเห็นกองทัพซีเรียและร้องว่า “แย่แล้วนายข้า เราจะทำอย่างไรดี พวกเขาจะกวาดเราราบเป็นหน้ากลอง!” เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเอลีชาจึงยังสงบนิ่ง เดินไปมาราวกับว่าไม่มีอันตรายอะไร คนรับใช้คงจะพูดทำนองนี้ว่า “ข้าจะอธิษฐานในที่สุด เพราะพวกซีเรียกำลังล้อมเราอยู่” แต่เอลีชาอธิษฐานเผื่อเขาว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงโปรดเปิดตาของเขา เพื่อเขาจะได้เห็นว่า ผู้ที่อยู่กับเรามีมากกว่าผู้ที่อยู่กับพวกเขา”[7] ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเปิดตาของผู้รับใช้ให้เห็นว่า กองทัพฝ่ายวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่ากองทัพของศัตรูมาก

      เอลีชาเข้าใจความเป็นจริงฝ่ายวิญญาณเหล่านี้อย่างไร? โดยการศึกษาพระคัมภีร์หรือ? โดยใส่แว่นตาพิเศษที่สามารถมองเห็นสิ่งฝ่ายวิญญาณได้ใช่ไหม? ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้เลย เพราะเอลีชาเป็นคนของพระเจ้า ตลอดหลายปีของการสู้รบฝ่ายวิญญาณและการทดลองในถิ่นทุรกันดาร เขารู้ว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทำให้ประชากรของพระองค์ผิดหวัง เมื่อคุณพึ่งพาพระเจ้า คุณจะชนะทุกการสู้รบ คุณอาจฟกช้ำ แต่คุณจะยังคงชนะ ไม่ว่าจะฟกช้ำหรือไม่ฟกช้ำก็ตาม

      นี่เป็นประเด็นที่สองที่ต้องจำไว้ว่า หลังจากบัพติศมาแล้วจะมีการทดลอง และเมื่อการทดลองมาถึง ก็จงเตรียมใจและจิตวิญญาณให้พร้อมกับการทดลอง จงจำไว้ว่าหลังจากที่ได้รับพระพรในฝ่ายวิญญาณทุกครั้ง ศัตรูก็จะโจมตี ใครก็ตามที่มีประสบการณ์ในการสู้รบฝ่ายวิญญาณจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ผมติดนิสัยที่ทุกครั้งเมื่อพระพรมาถึง ผมก็จะพูดว่า “เตรียมพร้อมกับการโจมตีได้เลย”

หลังจากได้รับพระพรในฝ่ายวิญญาณทุกครั้ง ซาตานก็จะโจมตี

      ผมได้เล่าให้คุณฟังว่า ย้อนไปในปี 1960 เรามีการประชุมอีสเตอร์ที่เมืองเคนท์ ประเทศอังกฤษ ในสถานที่เล็กๆ ชื่อไชล์เฮิร์ส[8] ในการประชุมนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือเราด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตของเราทั้งหมดเปลี่ยนไป พวกเราห้าสิบคนกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม และเราก็ได้มีประสบการณ์เหมือนวันเพ็นเทคอสต์!

      เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการประชุมขณะที่เรารวมตัวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือเราด้วยฤทธานุภาพโดยไม่มีใครในห้องนั้นที่ไม่ได้ถูกพระวิญญาณของพระเจ้าครอบครอง ไม่มีใครที่ไม่ได้สำนึกบาป ไม่มีใครที่ไม่เต็มด้วยพระวิญญาณ นั่นคือการฟื้นฟู! และหลังจากการประชุมนั้น คริสตจักรเล็กๆ ในลอนดอนของเราก็มีจำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างมาก!

      คริสเตียนเพ็นเทคอสต์ แสวงหาประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ แต่ก็มีไม่กี่คนที่ได้มีประสบการณ์เหมือนในไชล์เฮิร์สโดยพระคุณของพระเจ้า ไม่มีใครในพวกเราห้าสิบคนที่จะลืมประสบการณ์นี้ได้! ภายในไม่กี่สัปดาห์คริสตจักรของเราในลอนดอนก็เต็มแน่นจนถึงประตู เพราะคนมากมายได้ยินข่าวที่พระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาในคริสตจักรของเรา

      ไม่นานหลังจากประสบการณ์ที่มีอานุภาพนั้น ผมก็พูดกับพี่น้องชายและหญิงในคริสตจักรว่า “เราได้รับสัญญาณแห่งพระพร ฉะนั้นจงระวังการโจมตีของซาตาน!” และเราไม่ต้องรอนาน ภายในสองสัปดาห์การโจมตีก็เริ่มขึ้น ความดุเดือดของการสู้รบฝ่ายวิญญาณเป็นที่รู้จักกันดีกับผู้ที่ได้รับใช้พระเจ้าเหมือนกับเอลีชา

จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป

      ที่สถาบันพระคัมภีร์ในสกอตแลนด์ ทุกๆ ปีการศึกษา เราจะกันวันหนึ่งไว้เพื่ออธิษฐาน ในวันอธิษฐานวันหนึ่ง การปรากฏอยู่ของศัตรู ซึ่งก็คือซาตาน ในอาคารนั้นหนาทึบมากจนเรารู้สึกหายใจไม่ออก! มันเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อ ในทางหนึ่ง ผมได้มีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจและการเทของพระวิญญาณ แต่ในอีกทางหนึ่ง ผมก็ได้มีประสบการณ์กับพลังอำนาจและการปรากฏของศัตรูที่สามารถกดขี่คุณทางร่างกายได้ ผมรู้จักคนที่ถูกมารทำร้ายร่างกาย

      แต่จงจำสิ่งที่ยากอบพูดไว้ว่า “จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป” (ยากอบ 4:7) อย่าอ่อนข้อให้ซาตาน เพราะคุณเป็นบุตรของพระเจ้า ถ้าคุณยืนหยัด ซาตานก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้ มันจะพยายามข่มขู่คุณ แต่มันจะไม่สามารถทำลายคุณได้ มันอาจจะทำให้คุณล้มลง แต่จะลุกขึ้นได้ มันไม่มีอำนาจที่จะทำแบบนั้นเพราะพระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้มันทำ

      เปาโลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองจนเกินกำลังของท่าน แต่เมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงด้วย เพื่อท่านจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้” (1 โครินธ์ 10:13 ฉบับ ESV)[9] ในความห่วงใยของพระเจ้านั้น พระองค์อาจยอมให้คุณถูกทดลองบ้างเพื่อจะได้ฝึกฝนในการสู้รบฝ่ายวิญญาณ แต่พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้คุณถูกทำลาย พระเจ้าไม่เคยมุ่งหมายให้พระคริสต์สละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อให้คุณถูกทำลาย แต่จะทรงปกป้องคุณดั่งแก้วตาของพระองค์ แต่จงจำความจริงของการสู้รบฝ่ายวิญญาณเอาไว้

ซาตานต้องการให้คุณใช้สิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้ไปในทางที่ผิด

      สิ่งนี้นำเราไปสู่ประเด็นต่อไปคือ ธรรมชาติในการโจมตีของซาตาน ซาตานโจมตีเราอย่างไรหรือ? สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจธรรมชาติในการโจมตีของมัน เพื่อที่เราจะสามารถทำให้พวกมันพ่ายแพ้ในการสู้รบ

      การชกมวยให้เก่งนั้น การฝึกฝนมีความสำคัญแค่ไหนหรือ? สุดท้ายคุณก็รู้วิธีกำหมัดและชกกลับเมื่อมีคนชกคุณ คุณไม่จำเป็นต้องเรียนชกมวยเพื่อจะชกผู้ชายสักคน แล้วอย่างนั้นคุณเรียนรู้อะไรกันแน่ในสถาบันยูโดหรือสถาบันมวย? ประเด็นสำคัญก็คือ การเรียนรู้ที่จะคาดการณ์สิ่งที่คู่ต่อสู้ของคุณกำลังจะทำในสถานการณ์นั้นๆ คุณพร้อมจะต่อสู้กับเขาเพราะคุณได้รับการฝึกฝนให้คาดการณ์การเคลื่อนไหวของเขา แต่ถ้าคุณไม่ได้รับการฝึกฝน คุณก็จะไม่รู้การเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของคู่ต่อสู้ เขามีทักษะและการฝึกฝนที่จะโจมตีคุณครั้งต่อไป

      เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องรู้ไม่เพียงแต่ว่าซาตานจะทดลองเรา แต่มันจะทดลองเราอย่างไร ซาตานใช้กลวิธีอะไรกับเรา?

      ในลูกา 4:3 รวมถึงลูกา 4:9 ซาตานพูดกับพระเยซูว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า…” คำว่า ถ้า ไม่ได้หมายความว่าซาตานไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คำพูดนี้สามารถแปลได้ดีกว่าว่า “ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า” ความหมายที่แสดงให้เห็นหัวใจสำคัญของข้อเสนอของซาตานต่อพระเยซู ประเด็นของซาตานเป็นอย่างนี้ว่า “ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านจึงมีสิทธิ์หรือได้รับอนุญาตให้ทำบางสิ่ง” เหตุผลในแนวนี้ใช้กับเราด้วย เพราะเราก็เป็นบุตรของพระเจ้าเช่นกัน

      พระพรอย่างหนึ่งที่เราได้รับจากการเจิมของพระวิญญาณก็คือ สิทธิอำนาจบางอย่างจากพระเจ้า กษัตริย์ที่ได้รับการเจิมจะได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้าในการปกครอง ปุโรหิตที่ได้รับการเจิมจะได้รับสิทธิอำนาจในการทำหน้าที่ที่พระวิหารและแท่นบูชา ผู้เผยพระวจนะที่ได้รับการเจิมจะได้รับสิทธิอำนาจที่จะได้ยินและได้พูดพระวจนะของพระเจ้า

      พระพรอะไรหรือที่คุณได้รับเมื่อรับบัพติศมา เมื่อคุณได้รับการเจิมและได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์? ในบรรดาหลายๆพระพรนั้น ก็คือสิทธิอำนาจที่จะมาเป็นบุตรของพระเจ้า ยอห์น 1:12 กล่าวว่า “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า” คำภาษากรีกตรงนี้กับคำว่า “สิทธิ” (exousia) หมายถึงสิทธิอำนาจ คุณได้รับสิทธิและสิทธิอำนาจที่จะมาเป็นบุตรของพระเจ้า

การทดลองแรก: การใช้จุดยืนในฝ่ายวิญญาณของคนๆ หนึ่งเพื่อให้สิ่งทางฝ่ายโลกอยู่เหนือสิ่งทางฝ่ายวิญญาณ

      มีวิธีการใช้สิทธิอำนาจของคุณที่ถูกต้องและวิธีที่ไม่ถูกต้อง ประเด็นสำคัญของการทดลองของซาตานก็คือการให้คุณใช้อำนาจในวิธีที่ผิด แล้วอะไรคือวิธีที่ผิด?

      ซาตานพูดกับพระเยซูต่อไปว่า “จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” (ลูกา 4:3) เราสามารถนึกภาพซาตานกำลังชี้ไปที่หินก้อนหนึ่งแล้วพูดว่า “จงสั่งหินก้อนนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” การทดลองของมันเห็นได้ชัดๆและล่อตาล่อใจจากที่มันพูดว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงกำลังหิวมาก พระองค์ก็จงสั่งหินก้อนนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ” หากการทดลองนั้นคลุมเครือ มันก็จะล่อลวงน้อยลง แต่ซาตานรู้ว่าอะไรคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะล่อลวงคุณโดยล่อตาล่อใจและแม้แต่กระเพาะของคุณ การล่อลวงอย่างแรกที่พระเยซูทรงเผชิญนั้น เป็นเรื่องเจาะจงสำหรับคริสเตียน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมา ที่จะใช้สถานะใหม่ของคุณในฐานะบุตรของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ทางเนื้อหนังของคุณ ที่จะใช้สิทธิอำนาจในการถูกเจิมของคุณ เพื่อประโยชน์ทางวัตถุเพื่อตอบสนองความต้องการที่ชอบธรรม

      การทดลองแบบนั้นมีพลังมาก และเป้าหมายของมันคือการทำให้เนื้อหนังครอบงำจิตวิญญาณจนกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญในทุกสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณถูกลวง คุณก็จะกลับไปในโลกที่คุณเคยอยู่ คุณจะกลับไปในความบาปและให้เนื้อหนังมาควบคุม มันเป็นการทดลองที่มีเล่ห์เหลี่ยมของซาตานที่ให้เนื้อหนังมาควบคุมการกระทำของคุณ

      แต่มันมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่านั้น เพราะการทดลองดึงดูดความต้องการที่ชอบธรรมทางกายภาพ การหิวหรือการเจอกับความหิวนั้นไม่มีอะไรที่ผิด แต่การล่อลวงนั้นแยบยลและลึกล้ำยิ่งขึ้น ถ้าคุณถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดาร จะมีใครเดินแบกตะกร้ามาขายขนมปังสดให้กับคุณไหม? คุณจะตอบสนองกับความหิวซึ่งเป็นความต้องการที่ชอบธรรมได้อย่างไร? ในเมื่อพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็จงเปลี่ยนหินก้อนนี้ให้เป็นขนมปังสิ!” ซาตานกำลังทำงานตามแนวที่ชอบธรรม การทดลองที่ไม่ชัดเจน และนี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นอันตราย ซาตานไม่ได้กำลังขอให้คุณทำสิ่งชั่วร้ายที่เห็นได้ชัดเจน ธรรมชาติของการทดลองก็คือ ให้คุณทำสิ่งที่ไม่จำเป็นว่าต้องชั่วร้ายในตัวของมันเองทั้งหมด เพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณอยู่ภายใต้การควบคุมของความต้องการ และความปรารถนาทางกายภาพของคุณ

แล้วอาชีพของคุณล่ะ?

      เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ทำไมคุณจึงไม่ให้อาชีพของคุณอยู่เหนือการรับใช้พระเจ้าล่ะ? สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องการอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพ ให้ความเป็นอยู่ที่ดีทางวัตถุเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณของคุณเถอะ

      ผมไม่สามารถนับได้ว่ามีคริสเตียนกี่คนที่ตกอยู่ในการทดลองนั้น และเป็นผลให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนัง  ผมขอบอกตามตรงว่า ตัวผมเองเคยถูกทดลองแบบเดียวกันนั้นหลายครั้ง ผมเคยพูดกับตัวเองเหมือนที่คุณเคยพูดกับตัวเองว่า “ผมสามารถทำงานที่ดีและก็รับใช้พระเจ้าได้ในเวลาเดียวกัน” ถ้าคุณสามารถทำได้ แล้วทำไมผมในฐานะที่เป็นนักเทศน์จึงทำอย่างนั้นไม่ได้? คุณกับผมมีอะไรที่แตกต่างกันหรือ? มีใครลากผมไปประทับคำว่า “นักเทศน์ข่าวประเสริฐ” ที่มือของผมเพื่อห้ามผมไม่ให้มีอาชีพทางโลกหรือ? อะไรที่จะหยุดผมไม่ให้ทำงานที่ดีได้? เพื่อนๆของผมมีเงินเดือนสองหรือสามเท่าของผม ผมอาจพูดกับตัวเองได้ว่า “ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่? ผมต้องโง่ทีเดียว!” จากนั้นพวกเขาก็จะพูดกับผมว่า “เป็นเพราะคุณอุทิศตัวให้กับพระเจ้า” แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่ได้อุทิศตัวล่ะ? ทำไมจึงต้องเป็นผม? พระคัมภีร์มีกล่าวไว้ตรงไหนไหมว่าอีริค ชาง ถูกจำกัดให้ประกาศข่าวประเสริฐ? ผมไม่เห็นสิ่งนี้ที่ไหนในพระคัมภีร์ และผมก็ได้รับการฝึกฝนในสิ่งอื่นๆด้วย นี่คือสิ่งที่ซาตานจะเริ่มทำงานกับคุณ

      ในประเทศอังกฤษ ผมก็ได้เผชิญกับการทดลองนี้ในรูปของตำแหน่งงานสอนในมหาวิทยาลัยซึ่งตรงกับการฝึกอบรมของผม ผมพูดกับตัวเองว่า “ทำไมผมจึงไม่สามารถเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและรับใช้พระเจ้าในเวลาเดียวกันได้? มีอะไรผิดหรือ? ก็ไม่เลย มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดที่จะทำ ผมก็สามารถเทศนาได้เช่นเดียวกับผู้ที่รับใช้ในคริสตจักร เขามีเงินเดือนและเป็นภาระทางการเงินของคริสตจักร แต่ผมจะไม่เป็นภาระเลย”

      พี่น้องทั้งหลาย คุณไม่ได้เป็นภาระทางการเงินของคริสตจักร แต่ผมเป็น ดังนั้นในแง่นี้คุณดีกว่าผม ทำไมผมจึงไม่ควรได้งานทำไปด้วยล่ะ? ผมก็ยังสามารถเทศนาที่โบสถ์ได้ทุกวันอาทิตย์

      เมื่อผมเห็นตำแหน่งครูสอนที่โฆษณาในวารสารฉบับหนึ่ง ผมก็คุยกับเฮเลนภรรยาของผมว่า “ถ้าผมจะไปทำงานนี้ที่เอดินบะระล่ะ? พวกเขาเพิ่งเปิดแผนกใหม่” มีไม่กี่คนในประเทศอังกฤษที่อยู่ในสายงานนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นโอกาสของผมที่จะได้งานนี้จึงมีมาก ผมคิดในใจว่า “ผมจะเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยเอดินบะระและสมัครงานนี้” แต่คุณรู้อะไรไหม? ก่อนที่ผมจะหยิบปากกาขึ้นมา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ให้ผมสำนึกว่า “อีริค เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

      “มันเป็นแบบนี้”

      “เป็นยังไงหรือ?

      “ผมว่ามันเหมือนกับ…เนื้อหนังครอบงำวิญญาณ”

      ผมไม่สามารถจะกรอกแบบฟอร์มได้เลย

      มีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนที่ใจดีและประสงค์ดีก็ได้ส่งแบบฟอร์มใบสมัครเป็นตั้งจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงมาให้ผม เขาบอกว่า “มีงานให้คุณทำที่ฮ่องกง!” แล้วคุณรู้ไหมว่าผมทำอะไร? ผมได้ทิ้งแบบฟอร์มทั้งหมดลงถังขยะ! ผมไม่ได้เดินหน้าที่จะสมัคร เพราะผมรู้ว่าซาตานกำลังทดลองที่จะให้ผมเอาความต้องการที่ชอบธรรมของผมมาเป็นอันดับแรก โปรดสังเกต “ที่ชอบธรรม” ผมจะไม่ได้ทำบาปที่ตอบสนองความต้องการทางร่างกายหรือทางวัตถุของผม แต่ผมจะกำลังทำบาปโดยให้ความต้องการเหล่านั้นอยู่เหนือพันธกิจของพระเจ้า

รู้สิ่งที่พระเจ้าต้องการสำหรับคุณ

      อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้กำลังบอกว่าคนที่ไม่ได้สั่งสอนข่าวประเสริฐ จะเป็นคนที่ชอบแต่วัตถุเงินทอง นั่นไม่ใช่ประเด็นของผม ผมเคยพูดที่อื่นว่า การรับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องของประทาน คุณอาจต้องการรับใช้พระเจ้า แต่นั่นไม่ใช่ของประทานของคุณ หรือยังไม่ใช่เวลาของคุณ สำหรับผมนั้นของประทานและเวลาของผมมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ผมจะหลบหลีกไปได้โดยไม่ทำบาปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นก็คือโดยปล่อยให้เนื้อหนังครอบงำจิตวิญญาณ เวลาและของประทานของคุณอาจยังมาไม่ถึง มันอาจมาวันใดวันหนึ่งหรืออาจไม่มาเลย อาจเป็นได้ว่าคุณต้องอยู่ในที่ที่คุณอยู่ แม้คุณจะบอกพระเจ้าว่าคุณเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ พระองค์อาจตรัสว่า “เรารู้ว่าเจ้าเต็มใจที่จะรับใช้เรา แต่จงอยู่ในที่ที่เจ้าอยู่ในตอนนี้ไปก่อน” ฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังพูดนี้จึงไม่ได้จะวิพากษ์วิจารณ์ใคร งานของผมในวันนี้ไม่ใช่การตัดสินใคร แต่ที่จะอธิบายหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับการทดลอง

      จุดมุ่งหมายของการทดลองคือการล่อลวงคุณให้สิ่งทางฝ่ายโลกอยู่เหนือสิ่งทางฝ่ายวิญญาณ โดยใช้จุดยืนฝ่ายวิญญาณของคุณ นั่นอาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากผมประกาศข่าวประเสริฐด้วยจุดประสงค์ที่จะเลี้ยงชีพได้ดีสำหรับตัวผมเอง

      ผมได้รับวารสารและนิตยสารคริสเตียนทุกประเภท และเมื่อเร็วๆนี้ผมได้รับวารสารฉบับหนึ่งที่ระบุว่า “ต้องการศิษยาภิบาล” ผมมองดูเงินเดือนที่ระบุไว้และพูดว่า “เฮ้ ผมสามารถใช้เงินเดือนนั้น! และผมจะยังคงรับใช้พระเจ้า ผมกำลังทำอะไรอยู่ที่มอนทรีออลนี่ ขณะที่มีคริสตจักรอื่นต้องการศิษยาภิบาล และยินดีจ่ายเงินเดือนมากกว่าสองเท่าของที่ผมได้รับในปัจจุบัน?” คุณมีคำคัดค้านอะไรไหมกับการสมัครตำแหน่งนี้ของผม? มันจะบาปไหม? ผลสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องการศิษยาภิบาลที่มีประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง และผมคิดว่าผมมีคุณสมบัติตรงตามที่พวกเขาต้องการ

      ผมคิดว่าผมมีโอกาสที่ดีที่จะถูกจ้าง แล้วทำไมผมจึงไม่ส่งใบสมัครของผมไปหรือ? นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงมีงานสำหรับผมที่นี่ในเวลานี้ แม้ว่ามันจะไม่บาปที่ผมจะรับเงินเดือนที่สูงขึ้นหรืออยู่ในที่ที่มีอากาศอบอุ่นขึ้น ฤดูหนาวในมอนทรีออลนั้นยาวนาน มีหิมะตกห้าเดือน ให้เราไปฟลอริดากันดีกว่า!

จะเอาชนะการทดลองของซาตานได้อย่างไร?

จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์

      เราจะต้องไม่ยอมให้ความปรารถนาทางกายและทางวัตถุมาควบคุมชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา หรือใช้จุดยืนฝ่ายวิญญาณของเราเพื่อประโยชน์ทางวัตถุ เราสามารถทำอย่างนั้นได้อย่างง่ายดายถ้าเราต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การทดลองมีพลังมาก ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจหลักการนี้เพราะซาตานจะทดลองคุณในแบบเดียวกันเป็นระยะๆ และจะมีการต่อสู้ทุกครั้งจนกว่าคุณจะพูดได้อย่างจริงใจว่า “พระเจ้า ผมจะทำทุกอย่างที่พระองค์ทรงต้องการให้ผมทำ”

      หลังจากคุณจบการศึกษา ขั้นต่อไปของคุณคือการเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอกไหม? การทำปริญญาเอกเป็นบาปไหม? ก็ไม่ใช่แน่นอน ถ้าอย่างนั้น คุณจะไปเรียนปริญญาเอกใช่ไหม? ไม่ว่าคำตอบคือ “ใช่” หรือ “ไม่” ก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า

      ผมขอให้ผู้ที่รับบัพติศมาได้จดจำคำมั่นสัญญาที่จะมอบทั้งหมดต่อพระเจ้า นั่นหมายความว่าเราจะพูดกับพระเจ้าอย่างจริงใจว่า “ข้าพระองค์จะทำทุกอย่างที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ทำ ถ้าพระองค์อยากให้ข้าพระองค์ทำปริญญาเอก ข้าพระองค์ก็จะทำ ถ้าหากพระองค์ไม่ต้องการให้ข้าพระองค์ทำ ก็ขออย่าให้ความทะเยอทะยานทางโลกของข้าพระองค์ มาครอบงำชีวิตฝ่ายวิญญาณของข้าพระองค์ การตัดสินใจเป็นของพระองค์ ไม่ใช่ของข้าพระองค์ที่จะตัดสินใจ” คุณเห็นสิ่งที่ผมหมายถึงไหม?

      ตอนนี้พระเจ้าอาจทรงนำคุณไปทำปริญญาโทหรือปริญญาเอก จงอย่าคิดว่าการทำปริญญาเอกนั้นมีชีวิตฝ่ายวิญญาณน้อยกว่าการประกาศข่าวประเสริฐ หรือพระเจ้าจะไม่ให้คุณทำปริญญาเอก มันอาจไม่ใช่เวลาของคุณที่จะสั่งสอนข่าวประเสริฐ พระองค์จึงอาจนำคุณไปทำปริญญาเอก นั่นเป็นไปได้ พระเจ้าอาจมีเหตุผลของพระองค์เองที่ให้คุณมีวุฒิการศึกษาเฉพาะด้านนี้ สำหรับพวกเราบางคนนั้นตรงกันข้าม

      ผมเต็มใจให้พระเจ้าทำตามที่พระองค์ประสงค์กับผมมาโดยตลอด ผมมีความสุขที่มีปริญญาหรือไม่มีปริญญา ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมเลยแม้แต่น้อย ปริญญาเป็นสิ่งทางโลกไหม? มันอาจจะเป็นสิ่งทางโลกหรืออาจไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับว่าอะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้า มันเป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ส่งผมไปมหาวิทยาลัยแม้ว่าผมจะไม่ได้ใฝ่หามันก็ตาม พระเจ้าทรงเป็นพยานให้ผมได้ว่าผมไม่ได้ใฝ่หามันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมพูดว่า “พระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ต้องการให้ข้าพระองค์เรียนมหาวิทยาลัย ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะอยู่ให้ห่างจากมัน” แต่พระเจ้าตรัสว่า “ไปเถอะ!” และผมก็ไป

      ที่มหาวิทยาลัย ผมค่อนข้างมีความสุขที่จะไม่ได้รับปริญญา มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับผม อันที่จริง เพียงอีกสองเดือนก่อนที่ผมจะจบการศึกษา ผมกำลังเทศน์ในการประชุมแห่งหนึ่งในขณะที่ผมควรจะเรียนเพื่อเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของผม ที่ศาสตราจารย์ของผมได้คาดหวังอย่างมากให้ผมได้รับ แต่ผมกำลังทำอะไรอยู่? ผมกำลังประกาศข่าวประเสริฐ เพราะผมได้รับเชิญให้ไปสอน ผมต้องเลือกว่า ผมควรจะประกาศข่าวประเสริฐ หรือผมควรจะเรียนเพื่อสอบให้ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง? ถ้าผมยอมให้ความทะเยอทะยานทางโลกครอบงำผม ผมจะมุ่งเพื่อให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแน่นอน ผมก็จะบอกผู้จัดการประชุมว่า “ผมจะเทศน์ในประชุมของคุณปีหน้า เพราะผมจะต้องสอบภาคสุดท้ายแล้ว” ผมไม่สามารถทำทั้งสองอย่างได้ ดังนั้นผมจึงต้องตัดสินใจระหว่างความต้องการฝ่ายวิญญาณของคนมากมายกับความสำเร็จทางวิชาการของผม ผมเลือกที่จะประกาศข่าวประเสริฐและจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง มันไม่ได้แตกต่างเลยสำหรับผม เพราะผมต้องการที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น

      หลังจากเรียนจบผมพูดกับตัวเองว่า “ผมไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ผมทำอะไร บางทีผมอาจจะทำปริญญาเอกก็ได้” ผมสมัครเรียนปริญญาเอกที่สวิตเซอร์แลนด์และได้รับการตอบรับ นั่นคือตอนที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่”

      ผมพูดว่า “แต่พระองค์เจ้าข้า ปริญญาเอกจะดีสำหรับพระองค์ เพราะเมื่อผมจะประกาศข่าวประเสริฐที่ไหน ผมจะได้ถูกแนะนำว่า ดร. อีริค ชาง ในขณะที่ตอนนี้ผมเป็นเพียง นายอีริค ชางเท่านั้น” ผมมีความมุ่งมั่นมากจนได้เขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของผมไว้ 330 หรือ 340 หน้าก่อนที่จะออกมา ที่จริงแล้ว ผมกำลังทำปริญญาเอกของผมในเวลาว่างของผมเมื่อเป็นนักศึกษาปริญญาตรี! สองสามปีต่อมาก็มีบางคนทำปริญญาเอกในหัวข้อเดียวกับวิทยานิพนธ์ของผม ผมควรจะพูดกับเขาว่า “นี่วิทยานิพนธ์ของผม เอาไปสิ คุณจะได้ปริญญาเอกและจะช่วยทุ่นเวลาทำงานของคุณสามปี”

      หลังจากที่ซูริกรับผมแล้ว พระเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่นะ เจ้าจงหยุดอยู่ตรงนั้น” มันเป็นการต่อสู้สำหรับผมเพราะเนื้อหนังของผม ความทะเยอทะยานส่วนตัวของผม ต้องการให้ผมไปต่อ แต่พระเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่” ดังนั้นผมจึงยอมทำตามพระประสงค์ของพระองค์

      ผมพูดกับพวกคุณที่ได้รับบัพติศมาว่า พระเจ้าอาจทรงนำคุณไปทำปริญญาโทหรือปริญญาเอก หรือพระองค์อาจไม่ทรงนำคุณ คุณเต็มใจที่จะให้พระองค์ตัดสินใจหรือไม่? ถ้าคุณมอบทั้งหมด คุณจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์

      หากวันใดวันหนึ่งพระเจ้าตรัสกับผมว่า “เราอยากให้เจ้าทำปริญญาเอกนี้” ผมก็จะไปเลย และคุณจะไม่เห็นผมที่นี่ ผมจะไปเอาวิทยานิพนธ์ของผมจากหิ้งมาปัดฝุ่น และวิ่งตรงไปให้มหาวิทยาลัยว่า “นี่คือวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของผม!”

      แต่พระเจ้าทรงรู้จักเราแต่ละคน และจะทำอย่างไรกับเรา หากคุณไม่ทำตามวิธีของพระเจ้า แต่ยอมให้ความปรารถนาส่วนตัว ความปรารถนาวัตถุทางโลก และทางเนื้อหนังของคุณชนะคุณ คุณจะตกหลุมพรางการทดลองของซาตาน นั่นคือวิธีที่ซาตานจะโจมตีคุณ นี่คือคำสอนจากเรื่องราวในลูกาเกี่ยวกับการทดลองของพระเยซู

การเชื่อฟังจะนำฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของคุณ

      แล้วเราจะใช้หลักการนี้อย่างไร? ผมได้ให้คำตอบส่วนหนึ่งกับคุณแล้ว ก็แค่บอกพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาอะไรนอกจากจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์” ถ้าผมได้ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้าและทำปริญญาเอก คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม? ผมก็คงจบกัน! พระเจ้าจะไม่มองผมอีกเลย! เมื่อพระเจ้าไม่สนใจคุณ คุณก็จบกัน คุณอาจมีห้าปริญญาเอก แต่ไม่มีประโยชน์สำหรับพระเจ้า ผมรู้จักคนมากมายที่มีปริญญาเอกและพระเจ้าไม่ได้มองพวกเขาด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีประโยชน์สำหรับพระเจ้าเลย และผมไม่ได้พูดเกินจริง ผมรู้จักคนที่มีปริญญาเอกที่กำลังเทศนาในคริสตจักรที่แทบจะว่างเปล่า ผมเคยไปโบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งมีผู้รับใช้จบปริญญาเอก แต่มีคนในที่ประชุมเพียงแค่สามคน เพราะเขาขาดพลังฝ่ายวิญญาณและสิทธิอำนาจ  ทันทีที่พลังของคุณหมดไป คุณก็จบแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีปริญญาเอกกี่ใบก็ตาม

      คุณอาจไม่มีปริญญาเอกหรือปริญญาตรี หรือประกาศนียบัตรมัธยมปลาย หรือแม้แต่การศึกษาระดับประถมศึกษา แต่ถ้าคุณมีพระวิญญาณของพระเจ้าโลกก็จะถูกเขย่า! ดี แอล มูดี้ ไม่ได้รับการศึกษาระดับประถม แต่เมื่อเขาจะไปสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าที่ไหน ผู้คนต่างพากันร้องไห้ พระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่ในใจของทุกคน ผู้คนได้สำนึกบาปและซบหน้าลงต่อพระพักตร์พระเจ้า เชื่อผมเถอะว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาเอกเพื่อจะสั่งสอนข่าวประเสริฐ (ประกาศ) พระเยซูทรงเลือกกลุ่มชาวประมงที่ไม่มีการศึกษาเพื่อจะเขย่าโลก

      ถ้าคุณต้องการจะรับใช้พระเจ้า สิ่งเดียวที่สำคัญคือพระเจ้าเป็นจริงในชีวิตของคุณ จงอย่าอิจฉาศิษยาภิบาลท่านนี้ท่านนั้นที่มีปริญญาหลายใบตามหลังชื่อของเขา สิ่งนั้นไม่มีความหมาย ไม่ได้เกี่ยวอะไร! จงแสวงหาพลังอำนาจของพระวิญญาณ นั่นคือสิ่งที่ผมมองหา

      ถ้าผมไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าและไปเรียนปริญญาเอก ผมก็จะมีปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางศาสนศาสตร์ต่อท้ายชื่อของผม แต่พระเจ้าคงจะทิ้งผมไว้บนหิ้งตลอดชีวิตและชีวิตผมก็จะจบแค่นั้น ผมจะทำอะไรกับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางศาสนศาสตร์ในเมื่อพระเจ้าไม่มีงานให้ผมทำ? ชีวิตผมก็จะสูญเปล่า! ราคาของการเชื่อฟังนั้นอาจสูง แต่ราคาของการไม่เชื่อฟังนั้นนับไม่ได้แน่ๆ คุณจะเสี่ยงที่จะเพลินอยู่กับการไม่เชื่อฟังไม่ได้แล้ว

อดอาหารเพื่อให้ร่างกายอยู่ภายใต้การควบคุม

      พระเยซูทรงอดอาหารสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดารเพื่อต่อสู้กับการทดลองของซาตาน คริสเตียแบบกลางๆในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการอดอาหารหรือการฝึกฝนฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่มีความชัดเจน อย่างที่ใครๆพูดกันในประเทศอังกฤษว่ามา “เพื่อดื่มเบียร์เท่านั้น” นั่นคือการไปโบสถ์เพื่อหาสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ ไม่มีวินัยกับตัวเอง และไม่มีแรงขับเคลื่อนในฝ่ายวิญญาณ

      แต่พระเยซู องค์ผู้เป็นเจ้าทรงทำอะไรในการต่อสู้กับการทดลอง? พระองค์ทรงอดอาหารตลอดสี่สิบวันของการทดลอง

      หากคุณไม่รู้ว่าอะไรคือจุดประสงค์ของการอดอาหาร คุณอาจคิดว่าการอดอาหารมีแต่จะทำให้การทดลองหนักขึ้น ทำให้ซาตานทดลองพระเยซูได้ง่ายขึ้น นั่นเป็นความเข้าใจของผมเลย เมื่อผมมาเป็นคริสเตียนไม่นานที่ว่า “แปลกจริงๆ! ทำไมองค์ผู้เป็นเจ้าจึงอดอาหาร ทำให้ตัวของพระองค์อ่อนแอลง ซึ่งทำให้ซาตานได้เปรียบ? ถ้าคนนั้นอ่อนแอและหิวโหย เขาจะต่อสู้ซาตานได้อย่างไร? ซาตานจะปั่นหัวเขาเล่น” แต่พระเยซูไม่ได้ทรงอดอาหารเพื่อเป็นช่องทางให้ซาตานทดลองพระองค์อย่างได้ผลมากขึ้น ชีวิตคริสเตียนนั้นก็ยากพอแล้วโดยไม่ต้องทำให้มันยากยิ่งขึ้น

      ที่จริงแล้วจุดประสงค์ทั้งหมดของการอดอาหารก็เพื่อทำให้การทดลองของซาตานอ่อนกำลังลง คุณจะเข้าใจสิ่งนี้ ถ้าคุณเข้าใจประเด็นก่อนหน้านี้ของผมที่ซาตานทดลองคุณทางเนื้อหนังของคุณ การที่จะรับมือกับการทดลอง คุณต้องให้เนื้อหนังอยู่ภายใต้การควบคุม นั่นคือจุดประสงค์ของการอดอาหารเพื่อให้เนื้อหนังอยู่ภายใต้การควบคุม เมื่อคุณควบคุมเนื้อหนังโดยการอดอาหาร การโจมตีของซาตานจะอ่อนกำลังลงอย่างมากเพราะคุณได้ฝึกฝนเนื้อหนัง เนื้อหนังที่ไม่ได้ถูกฝึกฝน จะเป็นอาวุธที่แน่ใจที่สุดของซาตานในการกำจัดคริสเตียน มันทำงานกับเนื้อหนังของคุณ แต่คนฝ่ายวิญญาณจะฝึกฝนเนื้อหนัง เปาโลทุบตีร่างกายของเขาเพื่อให้เนื้อหนังของเขาอยู่ภายใต้การควบคุม (1 โครินธ์ 9:27)

      จงเรียนรู้ที่จะอดอาหาร คุณไม่ต้องกังวล มันจะไม่ทำให้คุณตายหรอก ที่จริงแล้วมันจะทำให้คุณจะมีชีวิตอยู่และมีชีวิตที่ดีกว่า ผมได้พูดถึงหัวข้อของการอดอาหารในการประชุมต่างๆและในคริสตจักรนี้ด้วย จงเรียนรู้ที่จะให้เนื้อหนังของคุณอยู่ภายใต้การควบคุม การขาดการควบคุมตัวเองในหมู่คริสเตียนในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ผมสงสัยว่ามีกี่คนกันที่เคยอดอาหาร

      ผมขอแนะนำให้ระมัดระวัง ผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะเริ่มต้นด้วยการอดสี่สิบวัน ผมไม่อยากจะเสียคุณไป! ในเวลานี้ให้เริ่มต้นด้วยวันเดียว หากคุณไม่สามารถจะอดวันเดียวได้ ก็ให้ข้ามมื้อหนึ่งไป เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อเย็น คุณอาจจะรู้สึกว่าคุณกำลังจะหิวตาย แต่คุณจะมีชีวิตรอด จากนั้นก็ลองอดอาหารเป็นเวลาหนึ่งวันและเมื่อถึงตอนเย็น คุณจะรู้สึกว่าจะไม่รอดถึงเช้าวันรุ่งขึ้น! แขนและเข่าของคุณจะรู้สึกอ่อนแรง แต่คุณจะไม่ตายหรอก เช้าวันรุ่งขึ้นคุณจะสบายดี แต่ผมไม่แนะนำให้คุณเริ่มต้นในการอดอาหารนานเกินไป

      พระเยซูทรงอดอาหารสี่สิบวันเพราะพระองค์ได้ฝึกฝนการอดอาหาร พระบุตรของพระเจ้าทรงรู้ว่าอะไร คือการฝึกฝนเนื้อหนัง ดังนั้นพระองค์จึงมีชัยชนะในการสู้รบฝ่ายวิญญาณกับซาตาน ซาตานไม่เพียงทดลองพระองค์เฉพาะในท้ายสี่สิบวัน แต่ในตลอดสี่สิบวัน (ลูกา 4:2; มาระโก 1:13) พระเยซูทรงอดอาหารตลอดเวลา โดยปิดเนื้อหนังของพระองค์จากการโจมตีของศัตรู และทำให้อำนาจของซาตานที่ต้านพระองค์นั้นอ่อนลงอย่างมาก เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนของพระเจ้าที่เนื้อหนังอยู่ภายใต้การควบคุมพ่ายแพ้ได้

      ผู้ที่อยู่ในการฝึกอบรมงานรับใช้ได้เรียนรู้ที่จะอดอาหารเป็นเวลาสองสามวัน เพื่อควบคุมเนื้อหนังให้อยู่ภายใต้การควบคุม เมื่อเวลาผ่านไป คุณสามารถค่อยๆเพิ่มระยะเวลาได้ แต่ต้องอยู่ในความเป็นจริง อย่าตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงไม่ได้ที่คุณไม่สามารถทำได้ เช่น ตั้งเป้าหมายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เมื่อคุณสามารถที่จะทำได้แค่สองวัน ซึ่งคุณจะรู้สึกว่ากำลังจะตายแล้ว ดังนั้นจงอยู่ในความเป็นจริง ในตอนเริ่มแรก อย่าพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่าวิ่งก่อนคุณจะเรียนรู้ที่จะเดินได้ วันเดียวก็เพียงพอที่จะเริ่มต้น

      จงอย่าอดอาหารหากสุขภาพของคุณไม่ดี สุขภาพของตัวผมเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่การอดอาหารก็ไม่เคยทำอันตรายให้ผม แต่กลับมีผลดีมากมาย

      พระเยซูทรงอดอาหารสี่สิบวัน แต่ไม่ได้มีบอกไว้ว่าพระองค์งดการดื่มน้ำ เมื่อคุณอดอาหาร คุณจะดื่มน้ำตามปกติ

      เรื่องการอดอาหารนั้นไม่ได้เข้าใจกันในคริสตจักรที่อ่อนแอ ไม่มีความชัดเจน และไม่มีวินัยในทุกวันนี้ สิ่งที่เรามีในคริสตจักรไม่ใช่กองทัพคริสตชน แต่เป็นโขยงนักท่องเที่ยวที่มาชมทัศนียภาพมากกว่าจะเข้าต่อสู้ในฝ่ายวิญญาณ เราต้องการคนที่มีวินัยฝ่ายวิญญาณมากขึ้น!

      มีหนังสือล่าสุดเกี่ยวกับการอดอาหารไม่กี่เล่ม เช่น การอดอาหารที่พระเจ้าทรงเลือก -แนวทางฝ่ายวิญญาณและปฏิบัติจริงได้ในการอดอาหาร ของอาร์เธอร์ วอลลิส[10] ที่คุณอาจเคยเห็นตามร้านหนังสือ

      การอดอาหารไม่เป็นอันตราย มันไม่เป็นอันตรายกับคุณ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันดีมากต่อคุณโดยชำระล้างระบบในร่างกายของคุณ พอล แบร็ก[11] นักโภชนาการได้เขียนหนังสือดีๆที่ผมเคยอ่านชื่อว่าความอัศจรรย์ของการอดอาหาร: ได้พิสูจน์แล้วตลอดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโภชนาการของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ[12] แบร็กไม่ได้เขียนในฐานะที่เป็นคริสเตียน และไม่ได้แนะนำว่าการอดอาหารนั้นดีต่อจิตวิญญาณของคุณ แต่แนะนำว่ามันดีต่อร่างกายของคุณ การอดอาหารจะชำระล้างร่างกายของคุณจนคุณรู้สึกมีสุขภาพดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น

      ผมสังเกตได้ว่า หลังจากที่ผมอดอาหารไปสองสามวัน ความรู้สึกนึกคิดของผมก็แจ่มใสอย่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว! ความคิดของคุณจะเฉียบคมขึ้นและเร็วขึ้นทางสติปัญญา ผมคิดว่าสมองจะเชื่องช้าเมื่อระบบของร่างกายถูกอุดตันด้วยน้ำตาล คอเลสเตอรอล และสิ่งอื่นๆที่คล้ายกัน สิ่งที่การอดอาหารทำให้คุณมีความสามารถทางสติปัญญานั้นน่าทึ่งมาก โดยที่คุณสามารถอยู่รอดได้สองสามวัน

      แต่ผมไม่ได้กังวลเกี่ยวกับประโยชน์ทางร่างกายของการอดอาหาร มากเท่ากับการให้เนื้อหนังอยู่ภายใต้การควบคุม การใช้แนวคิดของเปาโลเมื่อเป็นนักกีฬาที่คุณจะวิ่งแข่งในฝ่ายวิญญาณนั้น คุณจะต้องบังคับร่างกายอย่างนักกีฬา (1 โครินธ์ 9:24-27)[13] ก่อนหน้านี้ผมได้พูดถึงพระคัมภีร์ตอนนี้แล้ว และกำลังพูดถึงอีกครั้งสำหรับผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมา คุณยังสามารถวิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อฝึกฝนร่างกายของคุณเพื่อให้ร่างกายของคุณอยู่ภายใต้การควบคุม

เลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้า

      ประเด็นสุดท้ายของเราเผยให้เห็นในข้อ 4 ของพระคัมภีร์ตอนที่จะพูดถึงในวันนี้คือลูกา 4:1-4 ที่พระเยซูทรงอ้างถึงเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3 เพื่อตอบโต้ซาตานด้วยพระคำของพระเจ้า ข้อที่เหมือนกันในมัทธิว 4:4 พระเยซูตรัสว่า

มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (มัทธิว 4:4)

      วันนี้ผมไม่มีเวลาอธิบายข้อที่สำคัญนี้ แต่จะพูดถึงบางประเด็นเท่านั้น

      ประการแรก ร่างกายของคุณต้องการอาหารของร่างกายเพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ชีวิตในฝ่ายวิญญาณของคุณก็ต้องการพระคำของพระเจ้าเพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างนั้นเช่นกัน คุณไม่ได้มีแค่ร่างกาย แต่ยังมีวิญญาณด้วย ถ้าคุณชอบคำว่า “จิตวิญญาณ” ก็ไม่เป็นไร (“วิญญาณ” เป็นคำตามพระคัมภีร์มากกว่า และผมก็ได้อธิบายความหมายของคำนี้ในพิธีมหาสนิทแล้ว) คุณมีชีวิตร่างกายโดยการกินอาหารทางร่างกายอย่างไร คุณก็มีชีวิตวิญญาณโดยการกินอาหารทางวิญญาณ คือพระคำของพระเจ้าอย่างนั้นเช่นกัน

      ประการที่สอง ในชีวิตทางกายแล้ว การที่คุณแค่เกิดมานั้นไม่พอ คุณต้องกินเพื่อจะมีชีวิตและเติบโตต่อไป ชีวิตทางวิญญาณก็เช่นกัน การแค่ “บังเกิดใหม่” นั้นไม่พอ ซึ่งนักเทศน์หลายคนทำให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นแล้วในแง่ที่ว่า เมื่อคุณเกิดใหม่คุณก็จะสบายดีตลอดไปหลังจากนั้น แต่ทารกต้องการอาหารเพื่อจะเติบโต หากทารกไม่กินอาหาร ทารกก็จะตาย คุณเกิดมาทางกาย แต่ถ้าคุณไม่กินคุณก็จะตาย มันก็เหมือนกันกับการบังเกิดใหม่ การเกิดในทางวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าคุณต้องการจะมีชีวิตรอดทางวิญญาณ คุณจะต้องเลี้ยงวิญญาณของคุณด้วยพระคำของพระเจ้า “เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด ที่ปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณ” (1 เปโตร 2:2) ซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้า

      การเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไรหหรือ? เราเป็นคนที่มีสติปัญญาโดยธรรมชาติ ดังนั้นผมต้องชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การอ่านพระคัมภีร์ เรามักจะนึกถึงการเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าว่าคือการอ่านพระคัมภีร์ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าหมายถึง การนำพระคำของพระเจ้ามาปฏิบัติตาม ไม่ใช่แค่อ่าน คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตทางวิญญาณเว้นแต่ว่าคุณจะดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้า คุณอาจจะอ่านพระคัมภีร์ แต่ซาตานก็รู้พระคัมภีร์ด้วย แล้วทำไมมันถึงไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างนั้นล่ะ? นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้ทำตาม การเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าไม่ใช่แค่การเข้าใจหรือรู้ แต่เป็นการดำเนินชีวิตตามนั้น

      ผมขอพูดกับคุณที่เพิ่งรับบัพติศมาว่า จงรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณตามสิ่งที่สอนในพระคำของพระเจ้า นั่นสำคัญกว่าการอ่านคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ต่างๆ เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ตอนหนึ่งก็จงถามตัวเองว่า “ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปตามนั้นไหม? ฉันจะนำมาปฏิบัติกับชีวิตของฉันอย่างไร?” หากคุณทำอย่างนั้นคุณก็กำลังดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้าและเลี้ยงด้วยพระคำ จงอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน คุณจะอ่านกี่บทนั้นไม่สำคัญ นั่นไม่ใช่ประเด็น คริสเตียนบางคนมีความกังวลกับการอ่านตามบทที่กำหนดในแต่ละวัน แต่ผมอยากให้คุณอ่านสามประโยคแล้วดำเนินชีวิตตามนั้นมากกว่า มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะอ่านสามบทแล้วไม่ได้นำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของคุณ? ถ้าเช่นนั้น การอ่านสามประโยคแล้วนำมาปฏิบัติในชีวิตของคุณทันทีก็จะดีกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็กำลังเลี้ยงด้วยพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง


[1] ในข้อนี้ “พระวิญญาณของพระเจ้า” ก็เหมือนกับ “พระวิญญาณของพระคริสต์” นั่นก็คือ พระวิญญาณของพระเจ้าในพระคริสต์ ซึ่งก็เหมือนกับ “วิญญาณของเอลียาห์” คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ในเอลียาห์ (2 พงศ์กษัตริย์ 2:14-15)

[2] Diction­ary of New Testament Theology (ed. Colin Brown)

[3] James D.G. Dunn’s Baptism in the Holy Spirit: A Re-examination of the New Testament on the Gift of the Spirit

[4] New Testament Diction­ary of Theology

[5] The Seal of the Spirit: A Study in the Doctrine of Baptism (1951); Professor G.H. Lampe of Cambridge

[6] กิจการ 2:38 เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์”

[7] ในหนังสือเล่มปัจจุบัน เมื่อเราอ้างจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู (ที่คริสเตียนเรียกว่า “พระคัมภีร์เดิม”) เพื่อความถูกต้องตามพระคัมภีร์ บางครั้งเราจะสงวนพระนามเฉพาะของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ซึ่งพบในข้อความภาษาฮีบรู

[8] Chislehurst

[9] 1 โครินธ์ 10:13 ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”

[10] Arthur Wallis’s God’s Chosen Fast: A Spiritual and Practical Guide to Fasting

[11] Paul Bragg

[12] The Miracle of Fasting: Proven

[13] 1 ครินธ์ 9:24-27 24ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกที่วิ่งแข่งนั้นก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รางวัลนั้นมีเพียงคนเดียว? จงวิ่งเหมือนผู้ที่จะชิงรางวัลให้ได้ 25ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตัวเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฎของเราจะไม่ร่วงโรยเลย 26ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งแข่งโดยไม่มีเป้าหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนอย่างนักมวยที่ชกลม 27แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวเองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้