pdf pic

 

 

บทที่ 4

 

 ch1 1

 

บัพติศมาและของประทาน

คือพระวิญญาณบริสุทธิ์

กิจการ 2:38

มอนทรีออล, 25 มีนาคม 1979

      ะไรคือความเชื่อมโยงระหว่างบัพติศมากับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์? วันก่อนมีพี่น้องคนหนึ่งถามผมว่า “เราจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อใด? ก่อนบัพติศมาหรือ? เมื่อบัพติศมาหรือ? หรือว่าหลังบัพติศมา?” ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับคำถามของเขา ผมตอบเขาเพียงสั้นๆ แต่หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าเขาถามคำถามที่สำคัญ ซึ่งเป็นคำตอบที่ควรให้ทุกคนที่นี่ในวันนี้ ฉะนั้นผมจึงอยากจะอธิบายเรื่องนี้อย่างครบถ้วนมากขึ้น

คริสเตียนที่แท้จริงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์

      คำถามที่ว่าเราได้รับพระวิญญาณเมื่อใดนั้นมีความสำคัญ เพราะมันเกี่ยวโยงกับอีกคำถามหนึ่งคือ คริสเตียนคืออะไร? คริสเตียนคือคนที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ยอมรับหลักคำสอนของคริสตจักร และยิ้มแบบคอลเกตหรือ?

      กับคำถามที่ว่า อะไรทำให้คุณเป็นคริสเตียน? เปาโลให้คำตอบไว้ว่า คริสเตียนคือผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะ “ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์” (โรม 8:9) คุณอาจยอมรับหลักข้อเชื่อต่างๆของคริสตจักร คุณยึดอยู่กับความถูกต้องของพระคัมภีร์ คุณเข้าโบสถ์เป็นประจำและทำกิจกรรมต่างๆของคริสตจักร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคริสเตียน ในพระคัมภีร์นั้น คุณจะเป็นคริสเตียน หรือคนที่เป็นของพระเจ้า ก็เมื่อคุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น[1]

ดำเนินชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ

      ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีพระวิญญาณ? ใครก็ตามที่มีความคุ้นเคยกับพระคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจจะรู้ว่า คุณจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณก็ต่อเมื่อคุณมีพระวิญญาณ หรือที่เรียกว่า “พระวิญญาณแห่งชีวิต” (โรม 8:2) แล้วคุณจะมีพลังในการดำเนินชีวิตคริสเตียน

      เราไม่ได้ถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตคริสเตียน หรือไปถึงมาตรฐานสูงของคำเทศนาบนภูเขาด้วยกำลังของเราเอง นักวิชาการหลายคนที่ศึกษาคำเทศนาบนภูเขากล่าวไว้ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำตามได้สำเร็จ และพวกเขาพูดถูก มีใครเคยเสนอแนะไหมว่าเราสามารถจะทำได้สำเร็จ? นั่นคือเหตุที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรา เพื่อเสริมกำลังเราให้ไปถึงการทรงเรียกอันสูงส่งนั้นได้สำเร็จ พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า เราสามารถจะทำให้ตัวเราเองมาเป็นคริสเตียนในแบบที่พระเยซูตรัสถึงได้ด้วยความพยายามของเราเอง

      ดังนั้นคริสเตียนแท้จึงเป็นบุคคลที่เกินธรรมดา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าขันและน่าเศร้าที่เปาโลต้องติเตียนบรรดาคริสเตียนที่เมืองโครินธ์ว่า “เพราะเมื่อยังมีการอิจฉาและขัดเคืองใจกัน พวกท่านก็อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและประพฤติตัวอย่างคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?” (1 โครินธ์ 3:3 ฉบับ RSV) แต่มีอะไรผิดไปหรือกับการเป็นคน “ธรรมดา”? ถึงอย่างนั้นความจริงก็ยังคงมีอยู่ว่า เราที่เป็นคนธรรมดาจะต้องกลายเป็นคนที่เกินธรรมดา ถ้าเราจะเป็นคริสเตียนตามความหมายของพระคัมภีร์ เปาโลติเตียนชาวโครินธ์ที่เป็นคนธรรมดา ผู้ไม่ได้ดำเนินชีวิตที่คริสเตียนควรจะดำเนิน ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ

      พระวิญญาณเป็นหัวข้อสำคัญในจดหมายของเปาโลที่เขียนถึงชาวโครินธ์ โดยเฉพาะในจดหมายฉบับแรก ชาวโครินธ์มีความสนใจในพระวิญญาณอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของประทานจากพระวิญญาณมากกว่าฤทธิ์อำนาจที่สถิตอยู่ภายในของพระวิญญาณ พวกเขาเน้นการสำแดงภายนอกของพระวิญญาณมากกว่าฤทธิ์อำนาจภายในโดยพระวิญญาณในการดำเนินชีวิตคริสเตียน การเลือกสิ่งภายนอกเป็นเครื่องหมายของมนุษย์ธรรมดาและเป็นข้อผิดพลาดทั่วไปของคริสเตียน

      มนุษย์ฝ่ายวิญญาณไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการสำแดงภายนอกเท่านั้น เช่น การพูดภาษาแปลกๆ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณมีผลของพระวิญญาณ มีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณอยู่ในคุณหรือไม่

      ดังนั้นคำถามที่ว่า คุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? จึงมีความสำคัญ เราอาจถามได้เช่นกันว่า คุณเป็นคริสเตียนหรือไม่? แต่นี่จะเป็นปัญหาในยุคสมัยนี้ เมื่อมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเป็นคริสเตียน สำหรับคนจำนวนมากแล้ว คริสเตียนก็คือคนที่ไปโบสถ์ ยอมรับหลักข้อเชื่อของคริสตจักร และทำสิ่งที่เคร่งในศาสนา

      คุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? คุณเป็นคริสเตียนตามความหมายของคำว่า “คริสเตียน” ในพระคัมภีร์หรือไม่?

เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อไร?

      สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าเราได้รับพระวิญญาณที่จุดใด ถ้าคุณเป็นคริสเตียนมา 15 หรือ 20 ปี จุดเริ่มต้นของคุณอยู่ที่ไหน? คุณกำลังนับจากวันที่คุณยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดของคุณ (ตามที่มักจะสอนกันในปัจจุบัน) หรือนับจากวันรับบัพติศมาของคุณ?

      คำถามที่สำคัญจริงๆ ในพระคัมภีร์ก็คือ คุณได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อใด? ผมไม่ได้ถามคุณว่าคุณยกมือรับเชื่อในงานประกาศพระกิตติคุณหรือไม่ คุณอาจทำสิ่งนี้ด้วยความจริงใจ แต่มันได้หมายความโดยอัตโนมัติว่าคุณมีพระวิญญาณหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่เราต้องตรวจสอบจากพระคัมภีร์ คำตอบของผมไม่มีความสำคัญอะไร สิ่งสำคัญคือสิ่งที่พระคัมภีร์สอน

กลับใจใหม่และรับบัพติศมาเพื่อรับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์

      เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อไร? คำตอบในพระคัมภีร์คืออะไร? เราจะใช้กิจการ 2:38 เป็นพื้นฐานในการศึกษาของเรา เบื้องหลังของข้อนี้คือการเทของพระวิญญาณในวันเพ็นเทคอสต์ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ชนในเยรูซาเล็ม จากนั้นเปโตรก็กล่าวกับฝูงชนว่า

      เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่เขาเองกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา​ ​​​​จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน” ฉะนั้น ให้วงศ์วานอิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูองค์นี้ที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขน ให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์(กิจการ 2:34-36 ฉบับ ESV)

      ตรงนี้เปโตรประกาศว่า พระเยซูเป็น “องค์ผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์” คำเรียกว่า “พระคริสต์” หมายถึงผู้ที่ถูกเจิม ผู้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลตามที่สัญญาไว้ คำกล่าวของเปโตรเสียดแทงใจของผู้ฟัง พวกเขาจึงถามว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี” (ข้อ 37) เปโตรตอบว่า จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาให้หมดทุกคนในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการอภัยบาปของท่านและท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระสัญญามีไว้แก่ท่านทั้งหลายและลูกหลานของพวกท่าน และทุกคนที่อยู่ไกลทุกคนที่องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมา (กิจการ 2:38-39)

      เปโตรบอกพวกเขาถึง “ของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” และนี่ก็รวมไปถึง “พระสัญญา” ถ้าเราไม่มีพระวิญญาณ เราก็จะไม่มีพระสัญญาของพระเจ้าที่มาถึงเราโดยความเชื่อเช่นเดียวกับของประทาน คือพระวิญญาณที่มาถึงเราโดยความเชื่อ เมื่อเรามีความเชื่อ พระเจ้าจะประทานพระวิญญาณให้แก่เรา และพระสัญญาทั้งสิ้นของพระองค์จะเป็นความจริง ไม่มีพระสัญญาใดจากพระเจ้าที่แยกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

      ฝูงชนถามว่า เราจะทำอย่างไรดี? ซึ่งเปโตรให้คำตอบง่ายๆว่า จงกลับใจใหม่ การกลับใจใหม่เป็นการเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคนๆหนึ่งอย่างสิ้นเชิง คำภาษากรีก metanoia (การกลับใจใหม่) หมายถึงการเปลี่ยนความคิดอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง และการเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคนๆหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

      การกลับใจใหม่ไม่ใช่การแค่พูดว่า “ฉันรู้สึกเสียใจกับความบาปของฉัน” นั่นยังไม่ดีพอ การกลับใจใหม่หมายความว่า ฉันจบสิ้นกับความบาปแล้ว ไม่ใช่แค่รู้สึกเสียใจกับมัน ฉันเสียใจมากพอที่จะเลิกรากับชีวิตเก่าของฉันอย่างปลิดทิ้ง และเปลี่ยนทิศทางชีวิตของฉัน

      แต่การกลับใจใหม่เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะเปโตรยังพูดถึงบัพติศมาว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา” ทุกวันนี้คริสตจักรทำการบัพติศมาตามความพอใจ ทำเหมือนอย่างที่ทำกับสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวกับพระเจ้า ก็เหมือนกับวิธีที่คนทั้งหลายทำกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาตามที่พวกเขาพอใจ (มัทธิว 17:12-13) วันนี้เราก็ทำตามที่เราพอใจกับบัพติศมา กับพระวจนะของพระเจ้า และกับสิ่งอื่นๆอีกมากมาย

      บางคนจะโต้แย้งว่า “การรับบัพติศมาเป็นเพียงการกระทำภายนอก ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าคุณจะรับบัพติศมาหรือไม่” มันไม่สำคัญเหรอ? ผมไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นพระคำของพระเจ้าที่กล่าวว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา” เนื่องจากพระคำของพระเจ้าเป็นอำนาจเด็ดขาดของเรา ถ้าพระคำกล่าวว่าการบัพติศมามีความสำคัญ ผมก็จะพูดอย่างเดียวกัน

      จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา” การกลับใจอย่างเดียวยังไม่พอ บัพติศมาเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องกลับใจใหม่ภายในเช่นเดียวกับการยอมรับภายนอกของการกลับใจนั้นต่อหน้ามนุษย์ทุกคนในตอนรับบัพติศมา คุณจะต้องยอมรับต่อหน้าคนทั้งหลายถึงสิ่งที่อยู่ภายใน พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราเช่นกัน” (มัทธิว 10:32) เราไม่ได้แค่เชื่อในพระเยซูเท่านั้น แต่ยังยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ด้วย เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องยอมรับพระเยซูถ้าหากจะให้พระองค์ทรงยอมรับคุณต่อหน้าพระบิดา แต่กระนั้นหลายคนในคริสตจักรจะพูดว่า “การเชื่อก็เพียงพอแล้ว การยอมรับไม่ใช่เรื่องสำคัญ” ยังกับว่าใครๆก็สามารถจะเป็นสาวกแบบลับๆได้

      ทำไมการรับบัพติศมาจึงสำคัญ? การบัพติศมาเป็นเพียงพิธีทางศาสนาไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเปโตรกล่าวต่อไปว่า “และท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” นั่นคือประเด็น แล้วผมจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณได้อย่างไร? พระคัมภีร์ทำให้กระจ่างและเข้าใจง่ายว่า จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา แล้วคุณจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงกลับใจใหม่ เพื่อว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป จงรับบัพติศมา เพื่อว่าความบาปของคุณจะได้รับการชำระล้าง และคุณจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณ

      สำหรับคำถามเดิมของเราที่ว่า คุณจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณเมื่อใด? หลายคนคิดว่าของประทานจะมาเมื่อคุณยกมือยอมรับพระเยซู แต่พระคัมภีร์สอนอย่างนั้นหรือ? พระคัมภีร์เคยบอกไหมว่าคุณจะได้รับพระวิญญาณเมื่อคุณเชื่อ คุณคุกเข่าลงและกลับใจ? เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกลับใจ แต่พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา แล้วท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์”

      ถ้าเราบอกว่า เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากบัพติศมา หลังจากนั้นนานแค่ไหนหรือ? สามวัน? ห้าวัน? หนึ่งสัปดาห์? พระคัมภีร์กล่าวเจาะจงว่าเมื่อรับบัพติศมานั่นเอง ที่เราจะได้รับพระวิญญาณซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการรับบัพติศมาจึงมีความสำคัญต่อคริสตจักรยุคแรก

พระวิญญาณบริสุทธิ์: เป็นตราประทับ เป็นการเจิม เป็นคำมั่นสัญญา

      เราสามารถเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทานในสามแบบ อย่างแรกคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มอบให้เราเป็นตราประทับ อย่างที่สองคือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการเจิม อย่างที่สามคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคำมั่นสัญญา (หรือในพระคัมภีร์บางฉบับคือ การค้ำประกัน การวางมัดจำ) คำว่า ถูกเจิม ประทับตรา และการค้ำประกัน เราจะพบคำทั้งหมดนี้ในข้อความต่อไปนี้

และพระเจ้าเป็นผู้ทรงตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ และได้ทรงเจิมเรา และผู้ที่ได้ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจ​​เราเป็นมัดจำค้ำประกันด้วย (2 โครินธ์ 1:21-22, ฉบับ ESV)[2]

      พระเจ้าทรงเจิมเราและประทับตราของพระองค์ไว้กับเรา ตราประทับนี้ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าประทานให้เป็นการค้ำประกันหรือการวางมัดจำ ดังนั้นเราจึงมีทั้งสามคำคือ เจิม ประทับตรา และมัดจำค้ำประกัน อยู่ในประโยคเดียว พระเจ้าทรงทำสามสิ่งให้กับเรา เมื่อพระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่เรา คือพระองค์ประทับตราเรา เจิมเรา และให้การรับประกันแก่เรา หรือคำที่ดีกว่าว่า “การวางมัดจำ” หรือ “ค่างวดแรก”

      เมื่อคุณซื้อบ้าน คุณจะไม่จ่ายเงินทั้งหมดในตอนแรก แต่จ่ายเงินวางมัดจำ นั่นคือความหมายของคำภาษากรีกว่า arrabōn การวางมัดจำคือคำมั่นสัญญา หรือการรับประกันการจ่ายส่วนที่เหลือ

      พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทานแห่งชีวิต เป็นคำมั่นสัญญาของพระเจ้าที่จะประทานความบริบูรณ์ของชีวิตนิรันดร์ให้กับเราในวันที่เราเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เรายังไม่มีชีวิตนิรันดร์ที่บริบูรณ์ แต่เป็นเพียงคำมั่นสัญญา ถึงกระนั้นตอนนี้มันก็เป็นของขวัญแห่งชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาถึงความบริบูรณ์ที่กำลังจะมาถึง มันเปรียบเหมือนการได้รับเมล็ดพันธุ์ที่เป็นเครื่องหมายของต้นสมบูรณ์ที่กำลังจะมาถึง

ตราประทับแสดงถึงความเป็นเจ้าของและการปกป้องของพระเจ้า

      เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณที่ประทานให้เราเป็นการวางมัดจำ นอกจากนี้ยังพบคำว่า “ตราประทับ” ในเอเฟซัส 1:13, 4:30[3] และวิวรณ์ 7:3 ข้อในวิวรณ์กล่าวถึงการประทับตราบนหน้าผากของผู้รับใช้ของพระเจ้า หรือที่ถูกต้องกว่าก็คือ ทาสของพระเจ้า

      ทาสคือผู้ที่ได้ถูกซื้อด้วยราคาสูง ในสมัยโบราณคุณจะต้องไปตลาดค้าทาสเพื่อซื้อทาส แล้วเขาจะมาเป็นสมบัติของคุณ เพื่อแสดงว่าเขาเป็นของคุณ คุณจะต้องประทับตราบนตัวเขาในลักษณะเดียวกับที่คุณประทับตราหรือตีตราวัว คนเลี้ยงวัวในจังหวัดอัลเบอร์ต้าและที่อื่นๆ จะตีตราบนตัวสัตว์ ซึ่งแสดงว่าวัวหรือวัวที่ถูกตอนแล้วเป็นของฟาร์มนั้นๆ

      ในทำนองเดียวกัน คุณได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นตราประทับเพื่อแสดงว่าคุณเป็นของพระเจ้า คุณมีตราประทับของพระองค์ ดังนั้นคุณจึงเป็นสมบัติของพระเจ้า เปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้ง หลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง” (1 โครินธ์ 6:19-20) คือด้วยโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า

      ตราประทับไม่เพียงเป็นเครื่องหมายว่าทาสเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศว่า สิ่งที่คุณทำกับทาส ก็ได้ทำกับนายของเขา ถ้าคุณทำร้ายทาส คุณจะไม่ได้มีปัญหากับทาส แต่จะมีปัญหากับนายของเขา ดังนั้นตราประทับจะมาเป็นสิ่งคุ้มครองประชากรของพระเจ้า ผู้ที่มีตราประทับของพระเจ้า จะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า และจะไม่ได้รับอันตรายจากการพิพากษาของพระเจ้า (วิวรณ์ 7:3; 9:4)[4] แต่ถ้าคุณไม่มีตราประทับ คุณก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า และคุณจะอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระองค์ หรือจะอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ผู้เป็นมารร้ายที่จะทำกับคุณตามที่มันต้องการ เนื่องจากคุณไม่ได้อยู่ภายใต้การปกป้องของพระเจ้า

      ฉะนั้นเราได้ถูกประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จุดใดหรือ? ในการถามคำถามนี้ โปรดจำไว้ว่าพระเยซูเองก็ได้รับการประทับตราจากพระเจ้า “เพราะพระเจ้าพระบิดาได้ทรงประทับตราของพระองค์บนท่านแล้ว” (ยอห์น 6:27)[5] สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไรหรือ? เมื่อพระองค์ประสูติหรือ? เมื่อทรงเริ่มพันธกิจหรือ? หรือว่าเมื่อทรงรับบัพติศมา?

      เนื่องจากตราประทับเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงถามได้ว่า พระเยซูทรงรับพระวิญญาณเมื่อใด? ขณะที่พระเยซูทรงรับบัพติศมานั้น พระวิญญาณได้เสด็จลงมาบนพระองค์ในรูปกายเหมือนนกพิราบ (ลูกา 3:22)[6] สองสามข้อต่อมามีกล่าวไว้ว่า พระเยซูทรงเต็มปี่ยมด้วยพระวิญญาณ “พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร” (ลูกา 4:1)

การเข้าสุหนัตและการประทับตรา

      มีอีกแง่มุมหนึ่งของการประทับตราของพระวิญญาณ เปาโลกล่าวว่าในกรณีของอับราฮัมนั้น การเข้าสุหนัตเป็นตราประทับ (โรม 4:11)[7] อับราฮัมได้รับตราประทับในแบบพิเศษ คือตราประทับของการเข้าสุหนัต

ท่านได้รับการเข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายหรือตราประทับของความชอบธรรม ซึ่งเขาได้มาโดยความเชื่อในขณะที่ท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต (โรม 4:11 ฉบับ RSV)

      เนื่องจากการเข้าสุหนัตเป็นตราประทับ เราจึงมีตราประทับเช่นกัน เพราะเราได้รับการเข้าสุหนัตเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่ในเนื้อหนัง แต่ในใจ

แต่คนยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตนั้นเป็นเรื่องของใจ โดยพระวิญญาณ ไม่ใช่โดยตัวอักษร (โรม 2:29 ฉบับ ESV)

      เปาโลยังกล่าวว่า

ในพระองค์ ท่านทั้งหลายยังได้เข้าสุหนัตด้วยการเข้าสุหนัตที่ไม่ต้องทำด้วยมือมนุษย์ โดยการขจัดกายแห่งเนื้อหนังในการเข้าสุหนัตจากพระคริสต์ และพวกท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา ที่พระเจ้าทรงทำให้พวกท่านเป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์โดยความเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (โคโลสี 2:11-12 ฉบับ RSV)

      เปาโลเชื่อมโยงการเข้าสุหนัตกับการบัพติศมา เราไม่ได้เข้าสุหนัตทางร่างกายเหมือนอับราฮัม แต่เข้าสุหนัตทางใจ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการบัพติศมา เมื่อบัพติศมาเราจะได้รับการประทับตราของพระวิญญาณซึ่งเป็นเครื่องหมายของการเข้าสุหนัตทางใจ

      เราไม่ได้รับความรอดโดยบัพติศมาเพียงอย่างเดียว เพราะต้องมีทั้งบัพติศมาและการกลับใจใหม่ สิ่งที่ช่วยเราให้รอด ไม่ใช่การบัพติศมาเอง แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงการเข้าสุหนัตทางใจ ไม่มีใครจะรอดได้เพียงเพราะถูกจุ่มลงในน้ำ สิ่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของใจเมื่อรับบัพติศมา นั่นคือเหตุผลที่เราถามผู้เข้ารับบัพติศมาทุกคนถึงการกลับใจใหม่ การเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเขา และการมอบชีวิตของเขาต่อพระเจ้า การกลับใจใหม่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่เสียใจต่อบาป แต่ใจและความคิดถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงที่หันหนีไปจากชีวิตเก่า โดยขจัด “กายแห่งเนื้อหนัง” (โคโลสี 2:11) เพื่อ “สวมพระคริสต์” (กาลาเทีย 3:27)[8]

บัพติศมา: การชำระเพื่อมีชีวิตใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

      เปาโลเชื่อมโยงเพิ่มเติมถึงการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า

แต่ท่านทั้งหลายได้รับการ​​ชำระแล้ว ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้ชอบธรรมแล้วโดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา (1 โครินธ์ 6:11)

      และนอกจากนี้ยังมี

(พระเจ้า)ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะการกระทำของเราเองที่ชอบธรรม แต่ด้วยพระเมตตา ของพระองค์โดย​​การชำระให้บังเกิดใหม่ และสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ทิตัส 3:5 ฉบับ RSV)

      พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา แต่ด้วยการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเห็นความเชื่อมโยงอีกครั้ง ระหว่างบัพติศมา (“การชำระ”) กับพระวิญญาณ และการใช้คำว่า บังเกิดใหม่ และ ความชอบธรรม ซึ่งแสดงถึงการเข้าสุหนัตทางใจ

      ใครก็ตามที่ไม่ได้กลับใจใหม่ หรือในใจของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก็ควรงดเว้นการบัพติศมา แต่ผู้ที่หันหนีจากชีวิตเก่าของเขาและได้รับบัพติศมา จะมีประสบการณ์กับการเข้าสุหนัตทางใจและการชำระให้บังเกิดใหม่  คำว่า การชำระ ในภาษากรีกของทิตัส 3:5 เป็นสัมพันธการกบอกลักษณะ ที่บ่งชี้ลักษณะของการชำระ นั่นก็คือ ลักษณะที่เกี่ยวข้องกับ “การบังเกิดใหม่และการสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

โนอาห์รอดโดยบัพติศมาในเรือใหญ่

      พระคัมภีร์ตอนสำคัญที่เกี่ยวกับบัพติศมาจะพบได้ใน 1 เปโตร 3:20-21

สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟังนานมาแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงรอคอยอย่างอดทนในสมัยของโนอาห์ในขณะที่กำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีเพียงแปดคนเท่านั้นที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยน้ำ และน้ำนี้เป็นสัญลักษณ์ของการบัพติศมาที่ตอนนี้ก็ช่วยพวกท่านให้รอดเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เป็นการขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แต่เป็นการปฏิญาณด้วยจิตสำนึกที่ดีต่อพระเจ้า บัพติศมาช่วยพวกท่านให้รอดโดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ (1 เปโตร 3:20-21 ฉบับ NIV)[9]

      เปโตรกล่าวว่า บัพติศมาซึ่งเหมือนกับการเข้าในเรือใหญ่ในสมัยของโนอาห์ ที่ตอนนี้ก็ช่วยพวกคุณให้รอด คุณอาจอุทานว่า “บัพติศมาช่วยคุณให้รอด? จริงๆหรือ? บัพติศมาช่วยให้รอด ไม่ใช่โดยการขจัดเอาสิ่งสกปรกออกจากร่างกายโดยการลงไปในน้ำ แต่เป็นคำมั่นสัญญาด้วยจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า (ซึ่งแสดงถึงการกลับใจใหม่) โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

      เปโตรกำลังพูดถึงโนอาห์และเรือใหญ่ ในสมัยของโนอาห์นั้น ฝนตกสี่สิบวันสี่สิบคืนหลังจากที่ “น้ำพุใต้บาดาลซึ่งลึกมากที่พลุ่งขึ้นมา” (ปฐมกาล 7:11-12) น้ำไหลออกมาจากเบื้องล่าง และน้ำไหลลงมาจากเบื้องบน นี่คือภาพของบัพติศมา

      ทั้งแปดคนรวมถึงโนอาห์รอดได้อย่างไร? พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดในเรือใหญ่โดยบัพติศมาที่มาจากเบื้องบนและเบื้องล่าง เราก็ได้รับความรอดเมื่อรับบัพติศมาเช่นกัน โดยคำปฏิญาณต่อพระเจ้าด้วยจิตสำนึกที่บริสุทธิ์

      โนอาห์ได้รับการช่วยให้รอดในเรือใหญ่โดยบัพติศมา เขาต่างจากคนในสมัยเดียวกันคือ เขาได้กลับใจจากบาปของเขาและหันจากความชั่วร้าย “โนอาห์เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสมัยของเขา เขาดำเนินกับพระเจ้า” (ปฐมกาล 6:9) และทำตามบัญชาของพระเจ้าทุกประการทันที (ข้อ 22) เมื่อพระเจ้าบอกให้เขาต่อเรือ เขาก็ต่อเรือ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงเข้าไปในเรือ” เขาก็เข้าไป เราจะเห็นการกลับใจของโนอาห์ได้ในการเชื่อฟังของเขา และในที่สุดนี่ได้นำไปสู่การรับบัพติศมาในเรือ เขารับบัพติศมาขณะที่น้ำเทลงมา และทั้งแปดคนก็ได้รับความรอดผ่านน้ำที่ท่วม

      เปโตรกล่าวว่า คุณได้รับความรอดในลักษณะเดียวกัน คือโดยการกลับใจใหม่และจบชีวิตที่บาปเช่นเดียวกับโนอาห์ที่จบกับโลกของความบาป เขาได้กลับใจจากบาป หันหลังให้กับมันอย่างสิ้นเชิง และเชื่อฟังพระเจ้าโดยการเข้าไปในเรือ บัพติศมาช่วยให้รอดในทำนองเดียวกัน

      การบัพติศมาไม่ใช่การชำระร่างกายเนื้อหนัง แต่เป็นการสารภาพถึงการกลับใจใหม่ “เพื่อจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์” การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูที่ทำให้การกลับใจใหม่มีความหมาย และทำให้การมีชีวิตใหม่เป็นไปได้ หากไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย เราอาจจะกลับใจทุกอย่างตามที่เราต้องการ แต่เราจะได้รับการอภัยบาปหรือพลังในการดำเนินชีวิตใหม่ได้จากที่ไหน?

การเทของพระวิญญาณ

      พระคัมภีร์เชื่อมโยงการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยใช้ภาพต่างๆ ตัวอย่างเช่น พระวิญญาณได้ถูกอธิบายว่าเป็นการเทพระพร ที่เทลงบนประชากรของพระเจ้าเหมือนกับน้ำ เมื่อเปโตร พูดกับผู้คนในเยรูซาเล็มในวันเพ็นเทคอสต์ เขาได้อ้างอิงโยเอล 2:28-29 เป็นหลักฐานการเผยพระวจนะในการสำแดงของพระวิญญาณที่คนทั้งหลายเพิ่งได้เห็นเป็นพยานว่า

แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรา บนทาสทาสีของเรา และเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ (กิจการ 2:16-18 ฉบับ ESV)

      เปโตรกำลังบอกพวกเขาว่า การเทของพระวิญญาณ การบัพติศมาของพระวิญญาณนั้นสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของโยเอล

      บัพติศมาและพระวิญญาณบริสุทธิ์มักจะเชื่อมโยงกันในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นบัพติศมาของพระเยซูที่พระวิญญาณเสด็จลงมาบนพระองค์ หรือในคำกล่าวถึงลักษณะทั่วไป เช่น “เพราะโดยพระวิญญาณองค์เดียว เราทุกคนได้รับบัพติศมาเข้าเป็นกายเดียวกัน” ของพระคริสต์ (1 โครินธ์ 12:13)

      นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า “ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง... แต่พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” (มัทธิว 3:11) เราเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างบัพติศมากับพระวิญญาณอีกครั้ง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระคัมภีร์ใหม่  ยอห์นแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างบัพติศมาที่เขาให้ กับบัพติศมาที่พระเยซูจะให้ อันแรกเป็นการบัพติศมาด้วยการประกาศการกลับใจใหม่ต่อหน้าคนทั้งหลาย แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์จะบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

      มันไม่ได้หมายความว่า การบัพติศมาด้วยน้ำจะไม่สำคัญอีกต่อไป ที่จริงเหล่าสาวกของพระเยซูได้ให้บัพติศมาด้วยน้ำแก่ผู้คนมากกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาเสียอีก (ยอห์น 4:1-2)[10] การแสดงถึงความแตกต่างระหว่างบัพติศมาด้วยการกลับใจใหม่และบัพติศมาด้วยพระวิญญาณนั้น ยอห์นกำลังพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถจะให้ชีวิตใหม่แก่ท่านได้ เพราะมีเพียงพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงส่งมาเท่านั้นที่สามารถทำได้ ข้าพเจ้าให้การชำระภายนอกเมื่อท่านกลับใจใหม่ แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์จะให้การชำระภายในแก่ท่าน คือการชำระด้วยการบังเกิดใหม่ร่วมกับการชำระภายนอก”

ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณตอนบัพติศมา

      เรามาถึงคำว่า “เจิม” พวกเราหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าชื่อเรียก “พระคริสต์” หมายถึงผู้ที่ได้รับการเจิม คำว่า “พระคริสต์” เป็นภาษากรีกที่เหมือนกันกับภาษาฮีบรูว่า “พระเมสสิยาห์” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถูกเจิมไว้เช่นกัน ในพระคัมภีร์ใหม่ ได้มีการกล่าวถึงหลายครั้งว่าพระเยซูได้ทรงถูกเจิมไว้ ตัวอย่างเช่น “พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ” (กิจการ 10:38)[11]

      เราก็ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน 2 โครินธ์ 1:21-22 ที่เราได้ดูไปนั้นพูดถึงการเจิม ตราประทับและมัดจำค้ำประกัน นอกจากนี้ยังมี 1 ยอห์น 2:20 “แต่ท่านได้รับการเจิมโดยองค์บริสุทธิ์” และข้อ 27 “แต่การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่ในท่าน” การเจิมที่เราได้รับก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สอนเราและนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล (ยอห์น 14:26; 16:13)

      เราได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณที่จุดใด? ก่อนบัพติศมา? ตอนบัพติศมา? หรือจุดใดจุดหนึ่งที่ไม่ได้ระบุไว้หลังบัพติศมา ซึ่งเราไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าเราถูกเจิมเมื่อไร? เราจะเห็นอีกว่าคำตอบอยู่ที่บัพติศมาของพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมานั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาบนพระองค์เหมือนกับนกพิราบ (มัทธิว 3:16, มาระโก 1:10, ลูกา 3:22, ยอห์น 1:32)

งานของพระวิญญาณก่อนบัพติศมา

      สิ่งนี้นำไปสู่คำถามที่สำคัญว่า หากพระเยซูทรงถูกเจิมเมื่อรับบัพติศมา นั่นจะหมายความว่าก่อนหน้านั้นพระองค์ไม่ได้มีพระวิญญาณหรือไม่? พระองค์ทรงมีพระวิญญาณก่อนบัพติศมาแน่นอน แล้วคุณล่ะ คุณมีพระวิญญาณในทางใดทางหนึ่งก่อนบัพติศมาหรือไม่? คุณมีแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะกลับใจใหม่ได้อย่างไร? นั่นเป็นการทำงานของพระวิญญาณในใจของคุณและในชีวิตของคุณ ที่นำคุณไปสู่การกลับใจใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงทำงานในชีวิตของคุณมานาน ก่อนที่คุณจะมาเป็นคริสเตียนเสียอีก ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร? พระวิญญาณได้ทรงทำงานในชีวิตของคุณตั้งแต่วัยเด็ก บางทีอาจตั้งแต่วันที่คุณเกิดด้วยซ้ำ พระวิญญาณได้ทรงทำงานในสมัยที่เรายังไม่เป็นคริสเตียน เมื่อเรายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า เมื่อมองย้อนกลับไป ผมก็เห็นได้ว่า พระเจ้าได้ทรงทำงานในชีวิตของผมมานานก่อนที่ผมจะเชื่อในพระองค์

      ถ้าคุณพ่อและคุณแม่ของคุณไม่ได้เป็นคริสเตียน คุณจะขออะไรเมื่อคุณอธิษฐานเพื่อความรอดของท่าน? คุณก็จะขอให้พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของท่านโดยพระวิญญาณของพระองค์ คุณเชื่อว่าพระวิญญาณเต็มพระทัยที่จะทำงานในใจของผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน

      เราไม่ได้สอนความรอดโดยการกระทำ ไม่มีใครที่จะรับบัพติศมาในวันนี้จะอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าพระวิญญาณไม่ได้ทำงานในชีวิตของพวกเขา

      แต่สำหรับผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า จะได้รับพระวิญญาณเป็นของประทาน (กิจการ 5:32)[12] เป็นมัดจำ เป็นตราประทับ เป็นการเจิม เมื่อรับบัพติศมาพวกเขาจะได้รับตราประทับของพระวิญญาณเพื่อแสดงว่าพวกเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า และได้มาเป็นสมบัติของพระเจ้า

      บรรดากษัตริย์ ปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะของอิสราเอลได้รับการเจิม การเจิมไม่ได้เป็นแค่พิธีทางศาสนา แต่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจในทางวิญญาณให้กับพวกเขา กษัตริย์ไม่มีอำนาจใดๆ เว้นแต่ว่าพระเจ้าจะประทานให้พวกเขา พระเยซูตรัสกับปีลาตว่า “ท่านจะไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรา เว้นแต่จะได้ประทานให้แก่ท่านจากเบื้องบน” (ยอห์น 19:11)

      บรรดากษัตริย์ของอิสราเอลจะต่างจากบรรดากษัตริย์ในโลกปัจจุบัน ตรงที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องได้รับการเจิมจากพระเจ้าเพื่อรับสิทธิอำนาจ อาจกล่าวได้อย่างเดียวกันกับบรรดาปุโรหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาปุโรหิตที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้เพื่อแสดงว่าเขาได้รับการทรงเรียกและสิทธิอำนาจของเขาจากพระเจ้า

      บรรดาผู้เผยพระวจนะก็ได้รับการเจิมเพราะพวกเขาต้องการสิทธิอำนาจและความสามารถที่จะเผยพระวจนะ โดยพระวิญญาณของพระเจ้านี่เองที่ผู้เผยพระวจนะจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าและบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

      พระเยซูตรัสว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน” (ลูกา 4:18 กำลังอ้างถึงอิสยาห์ 61:1) การเจิมนี้คือพระวิญญาณซึ่งมอบอำนาจให้พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ

      พระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านั้นในลูกา 4:18 เมื่อใด? เมื่อพระองค์มีอายุได้สิบสองปีในพระวิหารไหม? ไม่ใช่เลย แต่เมื่อไม่นานหลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา เมื่อทรงรับบัพติศมา พระเยซูได้รับการเจิมเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาบนพระองค์ ไม่นานหลังจากนี้และหลังจากถูกซาตานทดลอง พระเยซูทรงประกาศว่า “ได้รับการเจิมให้ประกาศข่าวประเสริฐ”

      ในทำนองเดียวกัน เมื่อรับบัพติศมา เราจะได้รับการเจิมของพระวิญญาณ พระเยซูทรงมีพระวิญญาณก่อนที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา แต่ตอนนี้พระองค์ได้รับการเจิมให้ประกาศข่าวประเสริฐ

      โดยสรุปแล้ว จากหลายความเชื่อมโยงระหว่างบัพติศมาและพระวิญญาณที่พบในพระคัมภีร์นั้น เราเห็นการเชื่อมโยงต่อไปนี้ (1) พระวิญญาณและการประทับตราเมื่อบัพติศมา (2) พระวิญญาณและการเจิมเมื่อบัพติศมา (3) พระวิญญาณและคำมั่นสัญญาหรือการให้คำมั่นเมื่อรับบัพติศมา

โดยทั่วไปแล้วพระเจ้าจะประทานพระวิญญาณเมื่อรับบัพติศมาแต่ทรงมีอิสระในการยกเว้น

      ในกิจการ 2:38 ซึ่งเราได้อ่านไปแล้วว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาให้หมดทุกคนในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการอภัยบาปของท่านและท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” นั้น เรามีกฎทั่วไปว่า จะได้รับพระวิญญาณเมื่อบัพติศมา ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ทรงมีอิสระที่จะประทานพระวิญญาณก่อนหรือหลังการรับบัพติศมาเพื่อจะให้พระประสงค์สูงสุดของพระองค์สำเร็จ

      ในพระคัมภีร์มีกรณีหนึ่งที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณก่อนรับบัพติศมา (กิจการ 10:44-48) และอีกกรณีหนึ่งหลังบัพติศมา (8:12-17) ซึ่งทั้งสองกรณีนี้เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นข้อยกเว้นในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร แต่เราไม่สามารถอ้างข้อยกเว้นสองข้อนี้เพื่อปฏิเสธกฎทั่วไปได้ เพราะจริงๆแล้ว ข้อยกเว้นพิสูจน์ก

      กรณีแรกในกิจการ 10:44-48 โครเนลิอัสและคนอื่นๆได้รับพระวิญญาณก่อนบัพติศมา นั่นเป็นเพราะว่าโครเนลิอัสเป็นคนต่างชาติ และเพราะชาวยิวลังเลที่จะรับคนต่างชาติเข้ามาในคริสตจักร ต่อมาเปโตรต้องอธิบายให้คริสตจักรเยรูซาเล็มฟังว่าเหตุใดเขาจึงได้ให้บัพติศมากับคนต่างชาติ โดยบอกกับพวกเขาในแบบนี้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นพูด พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณ​​ลงมาบนเขาทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะขัดขืนพระเจ้าได้ ข้าพเจ้าจึงต้องให้บัพติศมากับพวกเขา” (เปรียบเทียบกิจการ 11:15-18; 15:6-9) สิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญในคริสตจักรยุคแรก เมื่อคริสตจักรกำลังจะยอมรับคนต่างชาติเข้ามา

      ในอีกกรณีหนึ่งคือกิจการ 8:12-17 ชาวสะมาเรียบางคนได้รับบัพติศมา แต่ไม่ได้รับพระวิญญาณ กรณีพิเศษนี้เกิดขึ้นเพื่อจัดการปัญหาความเป็นปรปักษ์ต่อกันระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรีย ในการแก้ปัญหาความเป็นปรปักษ์นี้ พระเจ้าทรงชี้แนะผู้นำคริสตจักรในเยรูซาเล็มซึ่งเป็นชาวยิวให้รับชาวสะมาเรียเข้ามาในสามัคคีธรรมเป็นการส่วนตัว ชาวสะมาเรียได้รับบัพติศมาแล้ว แต่พระเจ้าก็ได้ส่งเปโตรและยอห์นมาหาพวกเขาเพื่อวางมือให้พวกเขารับของประทานคือพระวิญญาณ

      ข้อยกเว้นสองข้อนี้บ่งชี้ว่า ประการแรก พระเจ้าทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะประทานพระวิญญาณก่อนหรือหลังบัพติศมาตามที่พระองค์ทรงเลือก และประการที่สอง ทั้งสองเป็นกรณียกเว้นในสถานการณ์พิเศษในประวัติศาสตร์คริสตจักร ซึ่งบ่งชี้ว่าตามกฎทั่วไปแล้ว จะได้รับพระวิญญาณเมื่อรับบัพติศมา กรณีที่สามจะกล่าวถึงในภาคผนวก 1

      ในท้ายนี้ ประเด็นสำคัญของการบัพติศมาไม่ได้อยู่ที่ว่า น้ำของบัพติศมามีประสิทธิภาพในการช่วยให้รอด แต่อยู่ที่การบัพติศมานั้นแสดงถึงการกลับใจจากภายใน และการเชื่อฟังจากภายนอกต่อพระเยซู ในทางกลับกัน เราก็ได้รับคำสั่งให้บัพติศมาผู้อื่น “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19)


[1] ในพันธสัญญาเดิมนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์มักถูกเรียกว่า “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์” ซึ่งเป็นคำที่ใช้มากกว่ากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพันธสัญญาเดิม (เช่น ใช้เจ็ดครั้งในผู้วินิจฉัยเล่มเดียว: 3:10; 6:34; 11:29; 13 : 25; 14: 6,19; 15:14) ซึ่งในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะแปลเป็นว่า “พระวิญญาณของพระเจ้า” แต่นี่เป็นการถอดความไม่ใช่การแปล

[2] 2 โครินธ์ 1:21-22 ผู้ทรงให้เรากับท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ในพระคริสต์ และผู้ที่ทรงเจิมเรานั้นคือพระเจ้า และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[3] อเฟซัส 1:13 ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้ (ฉบับมาตรฐาน 2011)

อเฟซัส 4:30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ด้วยพระวิญญาณนั้นท่านได้รับการประทับตราไว้สำหรับวันที่จะได้รับการไถ่” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[4] วิวรณ์ 7:3จงอย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราบนหน้าผาก​​บรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าของเรา

   วิวรณ์ 9:4 พระองค์ตรัสบอกพวกมันไม่ให้ทำร้ายหญ้าบนแผ่นดินโลก หรือพืชเขียว หรือต้นไม้ แต่ให้ทำร้ายเฉพาะคนทั้งหลาย ที่ไม่มีตราของพระเจ้าบนหน้าผากของเขา (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[5] ยอห์น 6:27 “อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้ แต่จงหาอาหารที่คงอยู่จนถึงนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

[6] ลูกา 3:22 และ​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ทรง​รูป​สัณ​ฐาน​เหมือน​นก​พิราบ​เสด็จ​ลง​มา​อยู่​กับ​พระ​องค์ และ​มี​พระ​สุรเสียง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์​ว่า “ท่าน​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​มาก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[7] โรม 4:11 และ​ท่าน​ได้​เข้า​สุหนัตเป็น​เครื่อง​หมาย​สำ​คัญ เป็น​ตรา​รับ​รอง​ความ​ชอบ​ธรรม ซึ่ง​เกิด​โดย​ความ​เชื่อ​ที่​ท่าน​ได้​มี​อยู่​เมื่อ​ท่าน​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​เป็น​บิดา​ของ​ทุก​คน​ที่​เชื่อทั้ง​ที่​เขา​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต เพื่อ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​ถือ​ว่า​เขา​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม​ด้วย (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[8] กาลาเทีย 3:27 เพราะ​ว่า​พวก​ท่าน​ทุก​คน​ที่​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระ​คริสต์​แล้ว ก็​ได้​สวม​ชีวิต​ของ​พระ​คริสต์​ด้วย (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[9] 1 เปโตร 3:20-21 ซึ่งในสมัยก่อนไม่เชื่อฟังพระเจ้า คราวเมื่อพระเจ้าทรงอดทนรอคอยให้กลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีน้อยคน คือแปดชีวิตรอดผ่านน้ำ บัดนี้น้ำนั้นที่เล็งถึงพิธีบัพติศมาก็ช่วยพวกท่านให้รอดเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นการชำระมลทินทางกาย แต่เป็นการวิงวอนพระเจ้าเพื่อจะมีมโนธรรมที่ดี ความรอดนั้นมาโดยทางการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[10] อห์4:1-2 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินข่าวว่าอาจารย์เยซูมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น (ความจริงพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้)

[11] กิจการ 10:38 คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์

[12] กิจการ 5:32 เราคือสักขีพยานของเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานกับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย