pdf pic

 

 

 

บทที่ 2

ch1 1

 

บัพติศมา: การตาย การถูกฝัง และชีวิตใหม่

มาระโก 8:35

ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ปี 1975

 

ถ้าคุณพยายามจะเอาชีวิตรอด คุณจะเสีย ชีวิต

      วันนี้เราจะมาดูมาระโก 8:35 ซึ่งเราจะพบถ้อยคำที่น่าประหลาดใจของพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า ที่เกี่ยวข้องอย่างสมบูรณ์กับความรอดว่า

      เพราะว่าใครก็ตามที่ต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใคร​​ก็ตามที่ยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(ฉบับ RSV)[1]

      เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังตรัสตรงนี้ ให้เรามาดูทั้งสองส่วนของข้อนี้ ในส่วนแรกพระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต” เมื่ออ่านถ้อยคำเหล่านี้ขอให้จำไว้ว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตคุณให้รอด เว้นแต่ว่าคุณจะถูกคุกคามจากอันตรายที่ร้ายแรง เมื่อคุณเห็นว่าชีวิตของคุณตกอยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียชีวิต คุณจะพยายามรักษามันไว้

      ในข้อนี้ คำว่า “เสีย” แปลมาจากคำภาษากรีกว่า appolumi ซึ่งนิยามไว้ในพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับมาตรฐานของ BDAG ว่า “พินาศ ถูกทำลาย” (พร้อมกับอีกสองสามคำนิยามที่เกี่ยวข้องกัน) แม้เราจะไม่มีข้อมูลคำศัพท์นี้ แต่จากคำกล่าวของพระเยซูก็ชัดเจนเพียงพอว่า การเสียชีวิตหมายถึงการตาย หากคุณพยายามจะเอาชีวิตรอด ความพยายามจนสุดกำลังของคุณจะเปล่าประโยชน์ เพราะคุณจะเสียชีวิต

      คุณไม่มีทางเลือก ไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหน คุณก็ต้องเผชิญกับความจริงของความตาย ถ้าคุณพยายามจะเอาชีวิตรอด คุณก็จะตาย หากคุณไม่พยายามจะเอาชีวิตรอด คุณก็จะตายเช่นกัน เหมือนที่คำภาษาอังกฤษบอกว่า คุณอยู่ระหว่างซีกไม้ ไม้ที่แบ่งเป็นสองซีก ซึ่งไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหน คุณก็จะเจอปัญหา ความตายเป็นความจริงที่เห็นชัดสำหรับทุกคนในคริสตจักรนี้และในโลกนี้ และยังคงเป็นเช่นนั้นแม้ว่าคุณจะพยายามโต้แย้งก็ตาม

      วันหนึ่งพวกคนหนุ่มสาวในคริสตจักรก็จะแก่ตัวลง และผมของพวกเขาจะเริ่มหงอก คุณไม่สามารถจะหยุดหรือย้อนกลับกระบวนการนี้ หรือแม้จะถอนผมหงอกทิ้ง คุณอาจย้อมผมของคุณได้ แต่ผมขาวจะงอกออกมาเหมือนเดิม และบังคับให้คุณต้องย้อมมันใหม่ ผู้สูงวัยที่นี่เคยมีผมสวยงามเหมือนของพวกหนุ่มๆสาวๆตอนนี้ ฉะนั้นหากพวกคุณจะภูมิใจในความอ่อนเยาว์ของรูปร่างหน้าตาของคุณ คุณก็ควรจะคุ้นชินกับความจริงที่ว่า มันจะอยู่ได้ไม่นาน

      ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผมหงอกเท่านั้น แต่กับความจริงที่ว่า ในแต่ละวันคุณขยับเข้าใกล้หลุมฝังศพมากขึ้นทุกวัน คุณสามารถจะทำอะไรได้บ้างเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลงไปในหลุมนั้น? ทานวิตามินเยอะๆหรือ? แน่นอนว่าจะทานวิตามินและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรือออกกำลังกายทุกวัน หรือทำศัลยกรรมตกแต่งริ้วรอยของคุณ แต่ความพยายามทั้งหมดของคุณในการรักษารูปลักษณ์ให้อ่อนเยาว์นั้นไม่สามารถช่วยให้คุณพ้นจากหลุมฝังศพได้ คุณเข้าใกล้มันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกนาที

      อันที่จริงพระเยซูทรงสอนความจริงนี้ เพราะไม่มีทางหนีรอดจากการเดินแถวไปสู่หลุมฝังศพ ซึ่งเป็นชะตากรรมร่วมกันของมวลมนุษย์

     มาระโก 8:36 ข้อต่อมายังพูดถึงการสูญเสียชีวิตของคุณ “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน” คำว่า “สูญเสีย” หมายถึงการสูญเสียบางอย่าง พระเยซูกำลังตรัสว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่จะได้สิ่งทั้งโลก ถ้าสุดท้ายชะตากรรมของคุณจะต้องไปอยู่ในหลุมดิน” คุณอาจจะร่ำรวยจากธุรกิจของคุณ แต่นั่นจะต่อชีวิตของคุณให้ยืนยาวขึ้นอีกสักนาทีไหม? มันมักจะตรงกันข้ามกัน ยิ่งคุณแสวงหาความร่ำรวยมากเท่าไหร่ ความร่ำรวยก็จะยิ่งผลักคุณไปสู่หลุมฝังศพเร็วขึ้นเท่านั้น การได้รับปริญญาในวิทยาลัยจะไม่ได้ชะลอการเดินไปสู่หลุมฝังศพของคุณให้ช้าลงเช่นกัน พวกเราบางคนเรียนกันอย่างหนักมาหลายปริญญาที่อาจทำให้ชีวิตสั้นลงสองสามปี

ได้ชีวิตโดยความตาย หรือได้ความตายโดยความตาย

      บนโลกแห่งจิตวิญญาณ คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อคุณจะเอาชีวิตรอด? แจกเงินให้กับคนยากจนไหม? เข้าโบสถ์เป็นประจำไหม? พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีอะไรจะช่วยให้ชีวิตของเจ้ารอดได้ แม้แต่ความพยายามของเจ้าที่จะให้ชีวิตของเจ้ารอด สุดท้ายแล้วเจ้าจะเสียชีวิต แม้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะให้รอดก็ตาม มีทางเดียวเท่านั้นที่จะให้ชีวิตของเจ้ารอด และนั่นคือการสูญเสียชีวิตของเจ้า

      คำเทศนาของผมไม่เคยผิดไปจากความจริงนี้ ว่าไม่มีทางที่คุณจะเอาชีวิตรอดได้ นอกจากจะเสียมันไป คุณจะได้ชีวิตโดยความตาย หรือว่าได้ความตายโดยความตาย การเลือกอยู่ที่คุณ และคุณก็ได้รับสิทธิพิเศษที่จะเลือกเช่นนี้ตั้งแต่แรกด้วยการทำงานของพระเจ้าในพระคริสต์ คุณสามารถเลือกชีวิตโดยความตาย หรือจะเลือกความตายโดยความตาย

      พระเยซูตรัสว่า “แต่ถ้าใครเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ตายทางกาย เราทุกคนจะต้องตายทางกาย เพราะความตายเป็นชะตากรรมเหมือนกันของมวลมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเราจะรอดจากความตายทางกายเพราะพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา แต่ตรงกันข้าม พระคัมภีร์สอนถึงความสำคัญของการตายในส่วนของเรา เราตายกับพระคริสต์และมีชีวิตกับพระองค์เพื่อถวายแด่พระเจ้า

      หลายปีก่อนมีนักปรัชญาและนักเขียนชาวจีนชื่อ หลิน หยู่ถัง[2] เขาเป็นเพื่อนของครอบครัวเรา ได้เขียนหนังสือชื่อ ความสำคัญของการมีชีวิต[3] ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับปรัชญาจีน เมื่อเขามาเป็นคริสเตียน เขาจึงเขียนหนังสืออีกเล่มที่ชื่อ จากคนนอกศาสนามาสู่พระคริสต์[4] และถ้าเขาจะเขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ก็จะมีชื่อว่าความสำคัญของความตาย[5]

      ผมเป็นห่วงที่คริสเตียนจำนวนมากจะไม่เห็นความสำคัญของการตาย เปาโลกำลังพูดกับคริสเตียนทั้งหลาย เมื่อเขาพูดว่า “เพราะว่าท่านตายแล้ว” (โคโลสี 3:3) อันที่จริงเขากล่าวหลายอย่างที่คล้ายๆกันนี้ในจดหมายของเขา อย่างเช่น “ถ้าเราตายกับพระองค์แล้ว เราก็มีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย” (2 ทิโมธี 2:11) ตรงนี้เปาโลมองว่าความตายเป็นความจริงที่บรรลุผล คือถ้าคุณ “ตาย” กับพระคริสต์ คุณก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ เปาโลยังอธิบายถึงความตายของตัวเองว่าเป็นการถูกตรึงกางเขน “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว” (กาลาเทีย 2:20) เขาสอนมาตลอดว่าคริสเตียนแท้ทุกคนได้ตายกับพระคริสต์และตอนนี้มีชีวิตใหม่

ตายก่อน จากนั้นก็ถูกฝังกับพระคริสต์ในบัพติศมา

      เปาโลได้ตายในแง่ไหนหรือ? เราได้ตายในแง่ไหนหรือ? มีบางคนพยายามอธิบายคำพูดที่มีพลังของเปาโลแบบให้พ้นตัวด้วยข้อโต้แย้งที่ใช้ไม่ได้หลังจากตรวจสอบ บางคนบอกว่าขณะการบัพติศมาในตัวของมันเองนั้นถือเป็นการตาย แต่คำสอนนี้จะเป็นอันตรายในเรื่องที่เข้าใจว่าการบัพติศมาช่วยเราให้รอด คริสเตียนบางคนได้รับบัพติศมาบนสมมุติฐานนั้น แต่พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่า เราตายโดยหรือตายในขณะการบัพติศมา จงศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วน ซึ่งแน่นอนอย่างมากว่า เราจะต้องไม่ให้ผิดไปจากพระวจนะนั้นแม้อักษรตัวที่เล็กที่สุดสักตัวเดียว

      เมื่อบัพติศมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณตายกับพระคริสต์และถูกฝังไว้กับพระองค์ สิ่งนี้เห็นได้ในโรม 6:4 ซึ่งกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น” เปาโลพูดในที่อื่นอีกว่า

...พวกท่านถูกฝังด้วยกันกับพระองค์ในการบัพติศมา ที่พระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระองค์ด้วย โดยความเชื่อในการทำงานด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า​​ผู้ทรงทำให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (โคโลสี 2:12, ฉบับ ESV)[6]

      การตายมาก่อนการฝัง ถ้าคุณยังไม่ได้ตาย คุณก็จะถูกฝังทั้งเป็น! ลำดับของพระคัมภีร์นั้นถูกต้องคือ ในการถูกฝังด้วยกันกับพระคริสต์ในบัพติศมานั้น คุณจะต้องตายก่อน

      ผมขอพูดกับคนที่ได้รับบัพติศมาโดยไม่ได้ตายก่อนว่า บัพติศมาของคุณใช้ไม่ได้ เพราะคุณจะไม่สามารถฝังคนที่ยังไม่ตายได้ มันคงไม่ได้เป็นการฝังจริงๆ มันจะเป็นเหมือนกับการกลบคนๆหนึ่งด้วยดินของสุสานเพียงเพื่อจะให้เขาปีนออกมาจากหลุมศพ พระเจ้าไม่ได้ทำให้เขาเป็นขึ้นมาจากตาย แต่เขาได้ปีนออกมาจากหลุมศพ ถ้าเขายังไม่ได้ตาย แล้วเขาจะมีชีวิตที่เป็นขึ้นมาจากตายได้อย่างไร? คุณไม่สามารถจะทำให้คนเป็นขึ้นจากตายได้เว้นแต่เขาจะตายแล้ว โรม 6:5 กล่าวว่า

เพราะถ้าเรารวมเป็นหนึ่งกับพระองค์ในความตายเหมือนพระองค์ เราก็จะถูกรวมเป็นหนึ่งกับพระองค์อย่างแน่นอนในการเป็นขึ้นมาเหมือนพระองค์ (ฉบับ RSV)[7]

      ถ้าคุณได้ตายกับพระคริสต์ คุณก็จะได้เป็นขึ้นกับพระองค์ แต่ถ้าคุณยังไม่ตาย คุณก็จะไม่มีชีวิตที่เป็นขึ้นมาจากตาย ผมกลัวว่าคริสตจักรจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ได้ผ่านพิธีฝังเพียงเพื่อจะคลานออกมาจากหลุมศพ หลังจากที่ได้รับการชำระในการบัพติศมาแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนและประกาศว่า “ผมเป็นคริสเตียนแล้ว!

      ผมขอพูดกับคนที่กำลังคิดจะบัพติศมาว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ก็อย่ารับบัพติศมาจนกว่าคุณจะรู้ว่าการตายหมายถึงอะไร คริสตจักรมีคริสเตียนปลอมๆมากเกินไปแล้ว และไม่ต้องการอีกแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะทำให้ชื่อเสียงของพระเจ้าและของคริสตจักรทั่วโลกเสื่อมเสีย

      วันก่อนผมได้อ่านจดหมายที่ชายคนหนึ่งเขียนถึงลูกสาวของเขาในลิเวอร์พูล คุณพ่อซึ่งไม่ได้เป็นคริสเตียนพูดสิ่งที่ตอกย้ำกับใจของผม เขาพูดกับเธอว่า “อย่าเป็นคริสเตียนแบบผิวเผินที่มีแต่รูปลักษณ์ของคริสเตียนภายนอก แต่ไม่มีแก่นแท้ของคริสเตียนอยู่ภายใน ในโลกมีคริสเตียนแบบนี้อยู่เต็มแล้ว!” เขาพูดถูกอย่างยิ่ง! ตัวเขาเองไม่ต้องการมาเป็นคริสเตียน หรือจะให้ลูกสาวของเขามาเป็นคริสเตียนเพราะคริสตจักรเต็มไปด้วยคริสเตียนประเภทนี้ ผมขอพูดอีกครั้งกับพวกคุณที่กำลังคิดจะบัพติศมาว่า อย่ารับบัพติศมาจนกว่าคุณจะรู้ว่าการตายหมายถึงอะไร

จะไม่มีชีวิตที่เป็นขึ้นจากตาย เว้นแต่ว่าคุณได้ตาย

      เมื่อพระเยซูพูดถึงการตาย และเมื่อเปาโลพูดว่า “ท่านได้ตาย” พวกเขากำลังพูดถึงความตายแบบไหนหรือ? การแกล้งตายเหมือนในเกมของเด็กๆ “ปัง! คุณยิงฉัน ฉันตายแล้ว!” อย่างนั้นไหม? คริสเตียนบางคนมองว่าการตายของพวกเขาเป็นการแกล้งตาย โดยเข้าใจ “จงถือว่าตัวเองตายแล้ว” (โรม 6:11)[8] ว่าหมายถึงการตายเชิงสัญลักษณ์ ไม่ใช่การตายที่แท้จริง

      แต่คุณจะไม่มีวันมีประสบการณ์กับชีวิตที่เป็นขึ้นจากตายหรือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า จนกว่าคุณจะได้ตายตามความหมายของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเรื่องการตายในจินตนาการหรือการแกล้งตาย หรือว่าการบัพติศมาเป็นแค่พิธีกรรมที่คุณดิ่งลงไปในน้ำ และขึ้นมา แล้วคุณก็รอด!

      บัพติศมาคือการแสดงออกภายนอกของสิ่งที่จัดการภายในที่เกิดขึ้นก่อนบัพติศมา หากไม่มีการจัดการนั้น บัพติศมาของคุณจะใช้ไม่ได้เลย การบัพติศมาไม่ใช่พิธีกรรมบางอย่างที่ช่วยคุณให้รอดเมื่อคุณลงไปในน้ำที่วิเศษและขึ้นมาพูดว่า “ฉันรอดแล้ว!” เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะล้อเล่นกับพระเจ้าในเรื่องของความรอด และพระเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อจะล้อเล่นกับเรา

      คำตรัสขององค์ผู้เป็นเจ้าในมาระโก 8:35 นั้นสำคัญมากจนมีปรากฏถึงห้าครั้งในพระกิตติคุณสามเล่มแรกอย่างเดียว พระเยซูตรัสถ้อยคำนี้ซ้ำ เพื่อจะตอกย้ำเข้าไปในจิตใจของเรา คำตรัสนี้มีปรากฏสองครั้งในมัทธิว (10:39; 16:25) สองครั้งในลูกา (9:24; 17:33) และอีกครั้งหนึ่งในมาระโก (8:35) โดยมีตอนที่เหมือนกันในยอห์น 12:25[9] มาระโก 8:35 มีความสำคัญมากจนต้องกล่าวซ้ำ

      เพราะว่าใครก็ตามที่ต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มาระโก 8:35 ฉบับ RSV)

      ทั้งพระเยซูและเปาโลต่างก็สอนโดยใช้การเปรียบเทียบที่แตกต่างกันว่า เมื่อเราตายกับพระคริสต์ การตายนี้เป็นการตายที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่นึกขึ้นจากจินตนาการของเรา คริสเตียนส่วนมากคิดว่าเพราะพระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา จึงไม่มีอะไรให้เราต้องทำอีกต่อไป ถ้าคุณเข้าใจแบบนี้ก็แสดงว่าคุณยังคงคิดว่าการตายของคุณเป็นเพียงจินตนาการ แต่ในพระคัมภีร์นั้น การตายเป็นเรื่องจริง คริสเตียนทั้งหลายมักจะอ้างคำพูดของเปาโลโดยไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรเมื่อเขาพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว (กาลสมบูรณ์ทางไวยากรณ์)[10] ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เป็นพระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20)

      สองสามบทต่อมาเปาโลกล่าวต่อไปว่า “แต่ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไร เว้นแต่เรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้า ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้ถูกตรึงไว้จากโลก” (กาลาเทีย 6:14, RSV)[11] เปาโลตายต่อโลกและโลกก็ตายต่อเปาโล คำเหล่านี้มีความหมายอะไรกับคุณไหม? มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย จนกว่าคุณจะเข้าใจว่าการตายหมายถึงอะไรในชีวิตประจำวัน

      คุณอาจถามว่า “ความตายนี้จะลบบุคลิกภาพของฉัน จะทำให้ฉันเป็นหุ่นเชิดไหม?” ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็แสดงว่า คุณไม่เข้าใจว่าการตายหมายถึงอะไร ถ้าคุณได้ตายกับพระคริสต์และได้เป็นขึ้นมากับพระองค์ คุณก็คงจะไม่ถามคำถามเช่นนี้ เพราะคุณจะมีชีวิตด้วยพลังของชีวิตใหม่ ความคิดของคุณจะถูกเปลี่ยนไปโดย “รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของคุณ” (โรม 12:2) เป็นคนใหม่ที่มีจิตใจใหม่ มีจิตใจของพระคริสต์

      เปาโลกล่าวว่า “ตัวเก่า” ของเราถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ (โรม 6:6) คำตรงตัวในภาษากรีกคือ “คนเก่า” คนเก่าคนนี้ที่ตกเป็นทาสของบาปได้ตายไปแล้ว มันไม่ได้หมายความว่าธรรมชาติเก่าของเราได้ถูกทำลายไปแล้ว เพราะธรรมชาติเก่าๆนั้นฝังตัวอยู่ในเนื้อหนังซึ่งยังอยู่ในร่างกายของผม “ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย” (โรม 7:18) ตราบเท่าที่เรายังมีเนื้อหนังในช่วงชีวิตนี้ เราจำเป็นต้องประหารการกระทำของร่างกายโดยพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และไม่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง (โรม 8:13)[12]

การตายไม่ได้เป็นเพียงแค่การพลีชีพ

      ตอนนี้เราจะสรุปเรื่องสำคัญของการตายกับพระคริสต์ การถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา และการมาเป็นคนใหม่ ผมหวังว่าคุณจะคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะมันเกี่ยวกับความรอดของคุณ อย่าปล่อยให้คำตรัสของพระเยซูในมาระโก 8:35 ผ่านคุณไปโดยสูญเสียชีวิตนิรันดร์ของคุณ

      เมื่อพระเยซูตรัสว่าผู้ที่ยอมเสียชีวิต​​เพราะเห็นแก่พระองค์และข่าวประเสริฐ ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด พระองค์ไม่ได้เพียงแค่พูดถึงการตายของผู้พลีชีพ ในประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มีคริสเตียนน้อยคนที่จะเคยมีโอกาสในการพลีชีพหรือยืนต่อหน้าการถูกยิงเป้า หากการพลีชีพเป็นประเด็นหลักของพระเยซู ก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรอด เราจะเที่ยววิ่งเหนือจรดใต้ทั่วประเทศอังกฤษเพื่อจะหาคนที่เต็มใจจะยิงเราไหม?

      พระเยซูไม่ได้แค่พูดถึงการพลีชีพ ที่จริงแล้วการที่จะตายแบบผู้พลีชีพนั้นง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นคริสเตียนที่แท้ ชีวิตคริสเตียนนั้นยากกว่าการตายอย่างรวดเร็วด้วยกระสุน ผู้ที่ได้ตายเพื่อพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของพวกเขานั้นได้ตายอย่างแท้จริงยิ่งกว่าทุกคนที่ถูกยิงเพื่อพระคริสต์ในเวลาที่มีการบันดาลโทสะ

      เราสามารถมีประสบการณ์กับการตายจริงในชีวิตประจำวันได้ ให้เราใช้ภาพตัวอย่างของการตายทางกาย การตายทางกายสามารถเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันกับทุกคน วันหนึ่งคุณอาจจะหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมา ถ้าคุณตายในคืนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของคุณ? จะเกิดอะไรขึ้นกับงานของคุณ? บ้านและรถของคุณจะตกทอดถึงใคร? จะเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของคุณ? ถ้าคุณตายไปแล้ว คุณก็ไม่วิตกกังวลกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เพราะการตายจะยุติความสัมพันธ์ของคุณกับสิ่งเหล่านี้

      ขณะนี้คุณยังคงมีชีวิตอยู่ในโลก ดังนั้นท่าทีของคุณต่อรถยนต์ของคุณหรือต่อครอบครัวของคุณเป็นอย่างไรถ้าคุณได้ตายกับพระคริสต์แล้ว? หากคุณได้ตายกับพระคริสต์ คุณจะยังเสาะแสวงหาการยกย่องจากมนุษย์อยู่ไหม? ความทะเยอทะยานทางโลกมีความสำคัญต่อคุณมากไหม?

      ถ้าหากคุณได้ตายกับพระคริสต์ หลักฐานของการตายนี้จะเห็นได้จากความคิดของคุณ ความประพฤติของคุณ คำพูดของคุณ และทิศทางชีวิตทั้งหมดของคุณ ไม่มีอะไรที่เป็นจินตนาการเกี่ยวกับการตาย เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ถูกตรึง[13]ไว้จากโลกแล้ว” (กาลาเทีย 6:14) คุณตายจากโลกทางกางเขนของพระคริสต์ คุณมองว่าโลกเป็นเหมือนคนที่ตาย คุณอยู่ในโลก “แต่ไม่ใช่ของโลก” (ยอห์น 17:14) เพราะคุณเกิดจากเบื้องบน

      ต้องใช้ความเชื่อที่จะให้คุณหันหลังให้โลก ความเชื่อที่ช่วยให้รอดนั้นไม่ใช่แค่การเชื่อในสิ่งนี้หรือหลักคำสอนนั้น แต่เป็นสิ่งที่เห็นในชีวิตใหม่ที่คุณตายจากโลกและมีประสบการณ์กับการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

      คุณเคยมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการทำให้เป็นขึ้นจากความตายไหม? คุณได้ถูกทำให้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์หรือไม่? หรือมันเป็นเพียงเรื่องเล่าสำหรับคุณ? พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคุณไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งนี้ในความเป็นจริงในการดำเนินชีวิต คุณก็ยังคงอยู่ในความบาปของคุณ “ถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน” (1 โครินธ์ 15:17) ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็ไม่สามารถถูกทำให้เป็นขึ้นมากับพระองค์ได้ และเราก็จะตายในบาปของเรา คุณได้ตายอย่างแท้จริงไหม? เมื่อคุณได้ตาย คุณก็จะรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นหมายถึงอะไร


[1] Revised Standard Version

[2] Lin Yutang

[3] The Importance of Living

[4] From Pagan to Christ

[5] The Important of Dying

[6] English Standard Version; ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลคโลสี 2:12 ว่า “พวกท่านถูกฝังร่วมกับพระองค์ในการบัพติศมา ที่พระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์ด้วย โดยความเชื่อในพลานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

[7] Revised Standard Version; ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลโรม 6:5 ว่า “เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์

[8] โรม 6:11 ในทำนองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์

[9] มัทธิว 10:39 ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด

มัทธิว 16:25 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด

ลูกา 9:24 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด

ลูกา 17:33 คนที่พยายามเอาชีวิตของตนรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิต คนนั้นจะได้ชีวิตรอด

ยอห์น 12:25 คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์

[10] Perfect Tense ภาษากรีกหมายถึงการกระทำที่สำเร็จแล้วในขณะที่พูดหรือเขียน

[11] กาลาเทีย 6:14 “ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก” (ฉบับมาตรฐาน 2011)

[12] โรม 6:6 เรารู้แล้วว่า คนเก่าของเรานั้นถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป

โรม 7:18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย

โรม 8:13 เพราะว่าถ้าท่านดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยทางพระวิญญาณ ท่านทำลายกิจการของร่างกาย ท่านก็จะดำรงชีวิตได้

[13] หรือตายจากโลก (กาลาเทีย 6:14 “ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก” ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ผู้แปล