พิมพ์
หมวด: The Only True God
ฮิต: 2100

pdf pic

บทที่ 15

 

ch1 1

 

ชีวิตของลูกแกะเมษโปดก

 

 

คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว – ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน

     เมื่อเราได้สรุปคำสอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวของเรา จึงมีคำถามว่าเราควรทำอย่างไรกับคำสอนเดิม (ที่สอนในการประชุมของผู้ดูแลภูมิภาคในปี 2005 ที่บาหลี)  คำตอบของผมก็คือ เราจะไม่ใช้คำสอนเดิม แต่จะใช้คำสอนใหม่นี้แทน  ผมจะบอกที่มาของเรื่องนี้คร่าวๆ

     ผมอยากจะพูดตามตรงว่า คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากการสอนครั้งล่าสุดที่สำคัญในหลายทาง  การเปลี่ยนจากการเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องยากสำหรับผม และผมก็เข้าใจได้ว่ามันจะยากขนาดไหนกับพวกคุณบางคน  การเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวนั้นยากและต้องใช้ความพยายามสำหรับผมเพราะผมต้องคิดใหม่ในทุกด้านของหลักคำสอนและการนำมาใช้ในฝ่ายวิญญาณ  การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคุณแต่คุณอาจไม่รู้ว่ามันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนสำหรับผม  ผมเข้าใจความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ดีกว่าพวกคุณทุกคนและเข้าใจได้ดีกว่าเกือบทุกคนในโลกนี้เพราะผมได้ทุ่มเททั้งชีวิตของผมในการศึกษาความเชื่อนี้  แต่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาของพระองค์

     เราคุ้นกับเรื่องราวของชายตาบอดที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายที่เบธไซดา (มาระโก8:22-26)[1]  พระเยซูทรงพบชายตาบอดผู้นี้และพาเขาออกมานอกหมู่บ้านเพื่อหนีจากฝูงชน  แล้วพระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของเขาและถามเขาว่า “ท่านเห็นอะไรไหม?” เขาตอบว่า “ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปมา”  เขามองเห็นคนแต่ไม่ชัด  พระเยซูจึงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตาของเขาอีกครั้ง และชายนั้นก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจน

     คำสอนเดิมเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเป็นขั้นตอนแรกในการเปิดตาของผม องค์ผู้เป็นเจ้ากำลังเปิดตาของผมและผมกำลังเห็นความจริง แต่ไม่ชัดเท่าที่ควร  ก็เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดในสองขั้นตอน  บางครั้งพระเจ้าจะทำเช่นเดียวกันนั้นกับเรา  ในกรณีของผมนั้นผมคิดว่าองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงเตรียมการเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเป็นความเชื่อว่าในพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวโดยเผยให้เห็นในสองขั้นตอน เพราะว่าผมอาจจะรับความตกใจในการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ได้  อาจด้วยเหตุผลที่คล้ายกันนี้ องค์ผู้เป็นเจ้าจึงทรงให้ชายตาบอดมีเวลาปรับตัวกับความตกใจที่ได้เห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน หลังจากมีชีวิตอยู่ในความมืดและตาบอดมาหลายปี

     ในคำสอนเดิมหกบทของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นยังมีความเชื่อในตรีเอกานุภาพติดมากับผม  บางครั้งผมก็นำเอาความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมเข้ามาปน  ดังนั้นองค์ผู้เป็นเจ้าจึงต้องนำผมออกมาทีละก้าว  ในทำนองเดียวกับการเปลี่ยนที่เกิดกับคุณและกับคริสตจักรก็อยู่ในสองขั้นตอนเช่นกัน  ผมไม่มีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น ผมแค่ทำตามการทรงนำขององค์ผู้เป็นเจ้าจนมาถึงจุดนั้น  เนื่องจากนี่เป็นทางที่พระองค์ทรงสำแดงความจริงกับผม ทางเลือกตรงหน้าผมก็คือ ไม่แบ่งปันอะไรเลยกับพวกคุณ หรือว่าแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เห็นจากองค์ผู้เป็นเจ้า

     ในคำสอนเดิมนั้น ผมจะใช้คำพูดของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ อย่างเช่น “การบังเกิด ที่ไม่ได้ถูกสร้าง” เพื่อพยายามที่จะสานแนวคิดนี้ให้เป็นความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  ความจริงแล้วแนวคิดนี้แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  แต่ในเวลานั้นผมไม่ได้ทิ้งแนวคิดที่ผมเห็นว่าน่าดึงดูดใจ เพราะสำหรับผมแล้ว การที่พระบุตรทรงมาบังเกิดก็ดูดีกว่าที่จะทรงถูกสร้างขึ้น

ถ้าคุณคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ศาสนศาสตร์[2] คุณจะรู้ถึงความสำคัญในการที่ผมสานแนวคิดในเรื่อง “การบังเกิด” ในบทต่างๆในบริบทที่เรารู้จักกันว่า “เกิดมาจาก” ซึ่งเป็นคำที่มาจากคำสอนของความเชื่อแบบนอสติก[3]  คุณอาจไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับความเชื่อแบบนอสติกฉะนั้นผมจะไม่พูดถึงในตอนนี้  ในแนวคิดของการเกิดมาจากก็คือ มีสิ่งที่เกิดจากหรือออกมาจากอีกสิ่งหนึ่ง  ความคิดในเรื่องLogos(พระวาทะ) ว่าเกิดมาจากพระเจ้านั้นรับมาจากปรัชญากรีก  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น ผมก็ยังคงทำตามแนวปรัชญากรีก ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของหลักคำสอนในความเชื่อตรีเอกานุภาพ  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่สามารถจะเอามาจากพระคัมภีร์ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเอามาจากปรัชญากรีกที่ผ่านกระบวนการคิดของนักคิดอย่างเช่นไฟโล[4] ชาวยิวที่หลอมรวมปรัชญากรีกกับความคิดของชาวยิวเข้าด้วยกัน และเปลี่ยนLogos (พระวาทะ) ให้เกิดมาจากพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือปรัชญาของคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า[5]  ในที่สุดคริสตจักรก็ต้องต่อสู้กับความเชื่อแบบนอสติกเพราะมันกำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อคริสตจักร แต่ความเชื่อแบบนอสติกก็มีพื้นฐานความคิดแบบปรัชญากรีกเช่นเดียวกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

     แนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับLogos (พระวาทะ) ถูกนำเข้ามาใช้กับยอห์นบทที่ 1 ที่อ่านเกินจากตัวบทโดยกระบวนของการใส่ความคิดของตนเองเข้าไปในตัวบท[6]Logos (พระวาทะ) ที่เกิดมาจากพระเจ้านั้นมาบังเกิดจากพระเจ้า เนื่องจากการมาบังเกิดอยู่ในรูปของการเกิดมาจาก   เราอาจนึกถึงเด็กว่าเกิดมาจากแม่ของตน หรือความสว่างเกิดมาจากดวงอาทิตย์  ผมพยายามใช้แนวคิดของ “การบังเกิดจากพระเจ้า” เพื่อรักษาแนวคิดที่ว่าพระเยซูทรงออกมาจากพระเจ้าซึ่งค้านกับการที่พระองค์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้น  เมื่อใช้การเปรียบเทียบกับของมนุษย์แล้ว เด็กทารกไม่ได้ถูกแม่สร้างขึ้นแต่เกิดจากแม่  ผมยังคงพยายามรักษาแนวคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเรื่องการเกิดจากเอาไว้ แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นของกรีกและคนต่างชาติที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และไม่ได้ตามพระคัมภีร์

     แต่แนวคิดเรื่องของการเกิดมาจากนั้น จะเต็มไปด้วยคำถามทางปรัชญาและทางศาสนศาสตร์ อย่างเช่นในกรณีที่คนหนึ่งเกิดมาจากอีกคนหนึ่ง  คนที่เกิดมาจะมาทีหลังคนที่แหล่งกำเนิดที่เขาเกิดมาจาก  ในแง่ของมนุษย์นั้นแม่จะดำรงอยู่ก่อนเด็กทารก  เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะยอมรับการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ พระบุตรก็ยังมาเป็นที่สองในแง่ที่ว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา  แล้วก็ยังความหมายว่าพระองค์ไม่ได้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ในความหมายเดียวกับที่พระบิดาทรงดำรงอยู่นิรันดร์  ไม่ว่าจะทรงมาบังเกิดหรือจะทรงถูกสร้างขึ้น พระบุตรก็ทรงมีจุดเริ่มต้น  สิ่งนี้นำไปสู่ปัญหาที่ว่าพระบุตรไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดาอย่างแท้จริง เพราะการดำรงอยู่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับพระบิดา แม้กระทั่งในแง่ของการเกิดมาจาก พระบิดาก็ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของพระบุตร

     คำพูดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ว่า “ความสว่างจากความสว่าง” คือความสว่างเกิดมาจากความสว่างนั้น ใช้เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตร  แต่มันเป็นคำกล่าวที่ทำลายจุดยืนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเองในเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ของพระบิดากับพระบุตร เพราะเห็นชัดเจนว่าความสว่างที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากับดวงอาทิตย์ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดของมัน  ดังนั้นแม้แต่การเปรียบเทียบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเราก็ไม่ได้สนับสนุนความเท่าเทียมร่วมกันของพระบิดากับพระบุตร เว้นแต่ว่าเราจะพูดในแง่ของเนื้อแท้ที่ไม่ใช่บุคคล ในแง่ที่ว่าความสว่างมีเนื้อแท้ร่วมกับแหล่งกำเนิดของความสว่าง เหมือนที่เด็กทารกมีเนื้อแท้ร่วมกับมารดา

     แม้เมื่อยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมก็ตระหนักดีถึงจุดอ่อนในคำกล่าวของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเช่น “พระเจ้าจากพระเจ้า ความสว่างจากความสว่าง”[7]จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าองค์หนึ่งจะมาจากพระเจ้าอีกองค์หนึ่งได้?  นี่จะหมายความว่าการดำรงอยู่ขององค์หนึ่งขึ้นอยู่กับอีกองค์หนึ่ง  แนวคิดของ “การมาบังเกิด” หมายถึงความเป็นรองหรือการพึ่งพา (ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความด้อยกว่า) เพราะองค์หนึ่งต้องพึ่งพาอีกองค์หนึ่งในการดำรงอยู่ของพระองค์  ถ้าแม่ของคุณตัดสินใจไม่ให้คุณเกิด คุณก็จะไม่ได้เกิดและคุณจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้  การเกิดของคุณขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพ่อแม่คุณ  ยอห์นพูดถึงการเกิดว่า “ไม่ได้เกิดจากเลือด หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์ (ยอห์น1:13มนุษย์เราเกิดมาจากความประสงค์ของเนื้อหนัง  พระบุตรไม่สามารถมาบังเกิดได้เว้นแต่จะมาจากพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งในกรณีนี้พระเยซูไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดาในแง่ของพระประสงค์  คำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เปิดโอกาสให้เราถกเถียงในเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ของพระบุตรกับพระบิดา

     ผมอธิบายทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจที่มาของคำสอนเดิมเหล่านี้  ผมกำลังเริ่มเห็นความจริงโดยพระคุณของพระเจ้า แต่ก็ยังเห็นต้นไม้เดินไปมาเหมือนคน  ผมยังคงพยายามรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ได้ถูกดัดแปลง  แต่เราต้องเข้าใจว่าการรักษาความเชื่อในตรีเอกานุภาพไว้นั้นต้องแลกกับความสูญเสียฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก  ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอ้างเหตุผลสนับสนุนการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์ เราก็จะรับโทษทัณฑ์สูง เพราะมันจะหมายความว่าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เพราะว่ามนุษย์จริงๆจะไม่ดำรงอยู่ก่อนในความหมายอย่างที่อ้างถึงพระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  และถ้าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์จริงๆหรือไม่ได้เป็นมนุษย์เลย รากฐานของความรอดของเราก็ได้ถูกทำลายไป เพราะ “โดยการเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรม” (โรม 5:19)  นั่นเป็นการเชื่อฟังของ “มนุษย์คนเดียว” มากกว่าจะเป็นการเชื่อฟังของพระเจ้า (หรือเป็นการเชื่อฟังของผู้เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ที่เป็นรากฐานของความรอดของเรา  เพราะว่าการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวคืออาดัมทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป[8] ดังนั้นคนเป็นอันมากจะถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรมโดยการเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์  สิ่งที่ต้องสูญเสียของการอ้างเหตุผลสนับสนุนเรื่องการดำรงอยู่ก่อนของพระคริสต์คือการปล่อยให้ความรอดของเราสูญเปล่า

     พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ใช่มนุษย์ที่แท้จริง  ไม่มีมนุษย์ที่แท้จริงคนไหนที่มีส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้า หรือทั้งหมดเป็นมนุษย์และทั้งหมดเป็นพระเจ้า หรือเป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งและพระเจ้าครึ่งหนึ่ง  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะกำหนดพระคริสต์ตามแนวทางแบบนั้น เพราะความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่เคยยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์อย่างแท้จริง  และด้วยเหตุนี้บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะมีปัญหากับความรอดของพวกเขาเอง

     คุณไม่สามารถจะมีสามพระองค์ที่เท่าเทียมกันและดำรงอยู่ด้วยกันตลอดนิรันดร์กันได้หากหนึ่งพระองค์ในนั้นเป็นพระบุตรของอีกพระองค์หนึ่ง  ถึงแม้คุณจะบอกว่าพระบุตรไม่ได้ถูกสร้างแต่ความจริงก็ยังคงมีอยู่ว่าความสว่างไม่ได้เท่ากับแหล่งกำเนิดของความสว่างที่ความสว่างออกมาจาก  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีความเท่าเทียมกันน้อยกว่าอีก เพราะพระองค์ออกมาจากทั้งพระบิดาและพระบุตรตามหลักคำสอนของทางฝั่งตะวันตก หรือเฉพาะพระบิดาตามหลักคำสอนของออร์โธดอกซ์[9]  ผมจะไม่คุ้ยหาข้อโต้เถียงที่เหลวไหลเหล่านี้  คุณอาจไม่เชี่ยวชาญในศาสนศาสตร์เพียงพอที่จะเข้าใจความสับสนของรากฐานทางปรัชญาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีพื้นฐานของปรัชญา ไม่มีมีพื้นฐานพระคำของพระเจ้า  ปัญหาของผมก็คือว่าผมคุ้นกับทั้งสองอย่าง และบางครั้งก็จะสับสนอันหนึ่งกับอีกอันหนึ่ง  บางทีถ้าคุณไม่รู้หลักปรัชญาอะไรเลยก็จะดีกว่า คุณจะได้อ่านพระคัมภีร์และยอมรับพระคัมภีร์อย่างที่ปรากฏ

เหตุผลที่คุณหลงผิด

     เราได้ดูมัทธิว 22:29 (จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้)

     เยชูวาตอบพวกเขาว่า “สาเหตุที่ท่านหลงผิดก็เพราะท่านไม่รู้ทั้งทานัคและฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[10]

     พระเยซูตรัสตอบ​​ว่า “พวกท่านผิดแล้วเพราะพวกท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ฉบับNIV)

ἀποκριθεὶς δὲ ὁ Ἰησοῦς εἶπεν αὐτοῖς· πλανᾶσθε μὴ εἰδότες τὰς γραφὰς μηδὲ τὴν δύναμιν τοῦ θεοῦ·

 

     พระเยซูบอกพวกสะดูสีว่าพวกเขาได้ “หลงผิด”  ในพจนานุกรมภาษากรีกมาตรฐานฉบับต่างๆนั้นคำว่า “πλανάω” (planaō)หมายถึง “นอกลู่นอกทาง” “ไปผิดทาง หรือหันเหไป”, “ซัดเซไป”, “สำคัญผิด”, หรือ “หลอกตัวเอง”  คำแปลว่า “พวกท่านผิดแล้ว”ยังอ่อนไปแต่พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์แปลว่า “ท่านหลงผิด” ที่ยังคงรักษาความแรงของคำไว้

     พระเยซูยังทรงใช้คำว่า “รู้”(οἶδα,oida) ซึ่งพจนานุกรมภาษากรีกฉบับอาร์น-กิงกริช[11]ให้คำนิยามไว้ว่า “คุ้นเคยอย่างสนิทสนม”, “มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด”, “เข้าใจ”

ปัญหาของพวกสะดูสีก็คือพวกเขาไม่ “รู้” พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เมื่อผมพิจารณาดูบรรดาบรรพบุรุษและบาทหลวงของคริสตจักรในยุคแรกๆ ผมจึงตระหนักว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ  เรามีงานเขียนมากมายของบรรดาบรรพบุรุษก่อนการประชุมข้อเชื่อแห่งไนเซีย[12] ซึ่งเป็นหนังสือรวมงานเขียนของบรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ก่อนสภาสังคายนาแห่งไนเซียครั้งแรกในปี ค.ศ. 325 นอกจากนี้ก็ยังมีงานเขียนชุดหลังจากสภาสังคายนาแห่งไนเซีย[13]ที่เขียนขึ้นหลังการประชุมข้อเชื่อแห่งไนเซียด้วย

     หนังสือรวมงานเขียนทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงจำนวนของผู้เขียนที่ค่อนข้างน้อย  ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาสอนและความลึกซึ้งในความเข้าใจพระคัมภีร์ของพวกเขา  และในบรรดาบาทหลวงสองสามร้อยคนที่อยู่ในการประชุมสภาแห่งไนเซียนั้นมีกี่คนที่รู้พระคัมภีร์จริงๆ?

     แม้แต่ออกัสตินผู้เป็นบาทหลวงแห่งฮิปโป[14]ในแอฟริกาเหนือที่มาภายหลังการประชุมสภาแห่งไนเซียหนึ่งศตวรรษและเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในคริสตจักรคริสเตียน ก็ไม่รู้ภาษากรีกเลย  ออกัสตินสามารถใช้ภาษาละตินเพียงภาษาเดียวเท่านั้นซึ่งก็เหมือนๆกับบรรดาบรรพบุรุษชาวละตินทั้งหลาย คือบรรดาบรรพบุรุษของคริสตจักรที่พูดภาษาละติน  การที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก เขาต้องพึ่งการแปลภาษาละติน  หากไม่มีความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ต้นฉบับก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่งานเขียนส่วนใหญ่ของเขาจึงมีลักษณะในทางปรัชญา  ผมได้รับประโยชน์จากงานเขียนของเขาบางอย่าง โดยเฉพาะ “คำประกาศ” ของเขา และเขาก็มีแนวคิดที่ดีอยู่บ้าง แต่หลายๆแนวคิดถูกพัฒนาในกรอบของปรัชญาและไม่ใช่การอธิบายพระคัมภีร์ที่แท้จริง

           บรรพบุรุษชาวกรีกชุ่มโชกในปรัชญากรีก เพราะในยุคนั้นผู้มีการศึกษาทุกคนได้รับการศึกษาตามรากฐานของวรรณกรรมและปรัชญากรีก  บรรดาบรรพบุรุษที่พูดภาษากรีกสามารถตรวจสอบพระคัมภีร์ภาษากรีกได้ดีกว่าออกัสติน  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเห็นความเข้าใจที่ลึกมากจากงานเขียนมากมายของพวกเขา  งานเขียนส่วนใหญ่ของพวกเขามาจากสิ่งที่พวกเขาบันทึกหรือคำเทศนาของพวกเขาที่ถูกเก็บรักษาไว้และบางอย่างก็เป็นตัวอย่างที่ดีของงานเขียน  แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก  ปัญหาที่แท้จริงก็คือในที่ประชุมแห่งไนเซียมีหลายร้อยคนมาร่วมประชุมกันเพื่อตัดสินใจเรื่องหลักคำสอน โดยที่พวกเขามีความเข้าใจพระคัมภีร์เพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น

     ความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็อีกเรื่องหนึ่ง  นี่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องใช้เวลาใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า  เมื่อผมได้ฟังคำเทศนาของผู้ร่วมงานบางคน ผมมักจะเห็นว่าเป็นคำเทศนาที่ตื้นๆ  ยิ่งคุณเข้าใจพระคัมภีร์ตื้นมากเท่าไร คำเทศนาของคุณก็จะตื้นมากเท่านั้น และการเสริมสร้างพี่น้องก็จะยิ่งได้ผลน้อยลงเท่านั้น

     เมื่อไม่นานมานี้มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งขอให้ผมฟังเทปคำเทศนาของเขา  ผมถามเขาว่าทำไมจะต้องเป็นเทปนี้ด้วย  เขาบอกว่า “นี่เป็นหนึ่งในคำเทศนาที่ดีที่สุดของผม”  ผมฟังคำเทศนานั้นแล้วหัวใจแทบฝ่อ ผมพูดกับตัวเองว่า “โธ่ถัง!  นี่หรือผู้ร่วมงานที่ผมได้ฝึกอบรมมา การตีความพระคัมภีร์ของเขาทั้งหมดก็ผิด”  หลังจากนั้นเขาก็ถามผมว่า “อาจารย์คิดยังไงกับคำเทศนาของผม?”  ผมพูดว่า “เมื่อผมมีเวลา ผมจะบอกคุณ”  ผมไม่รู้ว่าจะบอกเขายังไงดี เพราะผมไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง  ผมพยายามถ่วงเวลาแต่เขาก็ยังเซ้าซี้ผม  ถ้าเขาสังเกตดีๆก็จะรู้ได้จากการลังเลของผมที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำเทศนาของเขา ซึ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่มีอะไรจะพูดอีก  ถ้ามันเป็นคำเทศนาที่ดีผมก็คงจะพูดไปแล้ว  แต่เขากลับตามเซ้าซี้ ผมจึงจำเป็นต้องบอกความจริงกับเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันทำให้เขาหดหู่และท้อแท้ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะหลีกเลี่ยง  ผมจึงต้องคิดวิธีที่จะหนุนใจเขาอีกครั้ง

     ปัญหาก็คือ เขาไม่รู้พระคัมภีร์แม้ว่าจะผ่านการฝึกอบรมทั้งหมดนี้แล้ว  การที่คำเทศนาของเขาไม่มีพลัง (มีเพียงไม่กี่คำเทศนาเท่านั้นที่มีพลัง) ไม่ใช่ปัญหาหลัก มันไม่ใช่คำสอนที่ถูกต้องด้วยซ้ำ  ดังที่พระเยซูตรัสกับพวกสะดูสีว่า “ท่านหลงผิด” (ฉบับ CJB)หรือ “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว” (ฉบับ ESV) หรือ “พวกท่านสำคัญผิดแล้ว” (ฉบับ NASB) หรือ “พวกท่านผิดแล้ว” (ฉบับ NIV)[15] ผู้ร่วมงานท่านนี้หลอกตัวเองที่คิดเอาว่าคำเทศนาของเขาดี  หลักการพื้นฐานนั้นผิด ผมจึงต้องอธิบายกับเขาทีละประเด็นว่า เขาพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่พระคัมภีร์สอน

ไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า

     ชีวิตของผู้ร่วมงานท่านนี้ไม่มีอะไรที่เลวร้าย  เขาเป็นพี่น้องที่น่ารักมาก  แต่เขาไม่ได้มีฤทธิ์เดชเช่นเดียวกับพวกสะดูสี  คุณอาจจะเป็นคนที่ดี แต่คุณมีฤทธิ์เดชหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  นี่เป็นคนละอย่างกัน  ในโลกนี้มีคนที่ดีๆมากมายและในหมู่คนเหล่านี้ก็ยังมีคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ซึ่งเป็นคนที่ดีกว่าและช่วยเหลือเกื้อกูลมากกว่าคริสเตียนส่วนใหญ่มาก  มีบางครั้งเมื่อผมกำลังนั่งอยู่ริมถนนเพราะหายใจไม่ออกหรือเพราะปวดข้อ ก็จะมีคนเข้ามาช่วย  คนอะไรใจดีอย่างนี้!  มีครั้งหนึ่งในแคนาดา ผมหยุดรถอยู่ข้างทาง แล้วก็มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์หยุดถามผมว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม?  รถของคุณเสียหรือเปล่า?” ผมบอกพวกเขาว่า “เปล่าครับ ผมแค่หยุดพักสักประเดี๋ยว”

     การเป็นคริสเตียนหรือผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ใช่เรื่องของการเป็นคนดี  การเป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เราจะต้องมีฤทธิ์เดชด้วย  เมื่อผมดูคำเทศนาและชีวิตของพี่น้องคนนี้ผมก็เห็นว่าทั้งสองด้านนี้มีความเกี่ยวข้องกัน  คำเทศนาของเขาผิดพลาดและชีวิตของเขาไม่มีฤทธิ์เดช

     ต่อให้คุณรู้หลักการของฤทธิ์เดชอยู่บ้าง แต่คุณก็อาจยังขาดฤทธิ์เดช  ผมได้พูดไปเยอะเกี่ยวกับหลักการของฤทธิ์เดชทางความอ่อนแอ  ผมได้เทศนาในเรื่องนี้  หัวข้อนี้ได้ตีพิมพ์เป็นจุลสารเล่มเล็ก  แต่คุณจะทำสำเร็จหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  และแม้ว่าคุณจะเข้าใจหลักการของการทำงานในทางกลับกัน คือหลักการที่ฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณมาจากความอ่อนแอ ที่อาจไม่แตกต่างกับคุณมากนักในทางปฏิบัติ  แม้ว่าคุณจะเข้าใจหลักคำสอนได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพมาเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว นั่นจะหมายความว่าคุณจะได้รับฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณโดยอัตโนมัติไหม?  ไม่ใช่เลย! การมีหลักคำสอนที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญแต่ยังไม่เพียงพอ  คริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่นั้นเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่จงดูปัญหาที่มีสิ  ชาวโครินธ์มีปัญหาไม่รู้จบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความเย่อหยิ่งฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ทั้งๆที่ความจริงแล้วพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  พวกเขาคิดว่าการพูดภาษาแปลกๆทำให้พวกเขาเป็นคริสเตียนที่วิเศษ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันทำให้พวกเขาทะนงตัว และดังนั้นจึงเป็นคริสเตียนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน  พวกเขาสนใจในปัญญาทางโลก เปาโลจึงต้องบอกพวกเขาว่าปัญญาเช่นนั้นเป็นความโง่เขลาสำหรับพระเจ้า  เพราะความเขลาของพระเจ้าตามที่ปัญญาของโลกเห็นเช่นนั้น ก็ยังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์(1 โครินธ์ 1:25)  ภาพของพระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนเป็นเรื่องโง่เขลาในสายตาของมนุษย์ เพราะมันเป็นภาพของความอ่อนแอและการดูแคลนปัญญาของมนุษย์และความคิดของมนุษย์

     คริสตจักรทั้งเจ็ดในวิวรณ์บทที่ 2 และ 3 เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว แต่ในนั้นมีห้าคริสตจักรที่ใช้การไม่ได้และมีหนึ่งคริสตจักรที่ถูกอธิบายว่าตายแล้ว  การถือรักษาหลักคำสอนว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไม่ใช่คำตอบของปัญหา  เราจำเป็นต้องมีหลักคำสอนที่ถูกต้อง แต่หลักคำสอนที่ถูกต้องก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีชีวิตที่ถูกต้อง

มีชาวมุสลิมมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในโลก  และพวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  ขอโทษที่ต้องพูดว่า ผมยังไม่เคยเห็นมุสลิมสักคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง  การจะพบคนฝ่ายวิญญาณสักคนในหมู่ชาวคริสเตียนก็ยากอยู่แล้ว แต่ที่จะพบสักคนหนึ่งในหมู่ชาวมุสลิมนั้นก็ยากยิ่งกว่า  เมื่อผมอ่านหนังสือหรือวรรณกรรมของพวกเขาก็ยากที่จะพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณในนั้น  ถ้าคุณจะพบสิ่งใดในฝ่ายวิญญาณมันก็คงจะเป็นในหมู่ชนซูฟี[16] ซึ่งเป็นนิกายมุสลิมที่เน้นเรื่องเร้นลับและเรื่องทางจิตวิญญาณ  แต่พวกเขามักจะสับสนระหว่างทั้งสองและลงเอยด้วยความเชื่อในเรื่องเร้นลับมากกว่าในเรื่องจิตวิญญาณ

การกันพระยาห์เวห์ออกไป

       พระเจ้าทรงให้ภาพของลูกแกะเมษโปดกในวิวรณ์กับเรา  ผมได้สังเกตว่าลูกแกะเมษโปดกเป็นยาแก้พิษของพระเจ้าให้กับความเป็นเนื้อหนัง  คราวก่อนเราได้เห็นว่าความเป็นเนื้อหนังสามารถทำสิ่งที่ร้ายแรงสุดๆ  ความเป็นเนื้อหนังสามารถใช้ข่าวสารอันยอดเยี่ยมของพระกิตติคุณมาบิดเบือนให้กลายเป็นความหายนะในการให้เชื่อในพระเจ้าหลายองค์  มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังตีความทุกสิ่งในทางเนื้อหนัง  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้รับเอาพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์และยกพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้า ประกาศให้พระองค์เท่าเทียมกับพระบิดาในทุกด้าน คือทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง  เรายกพระเยซูขึ้นในลักษณะที่ว่าผลักไสพระบิดาคือพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง  เราสร้างพระเจ้าองค์หนึ่งจากพระเยซูผู้ที่เหนือกว่าพระยาห์เวห์  ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นในภาษาและคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ใครตายเพื่อเราหรือ?  ก็พระเยซูไงล่ะ!  ใครกันหรือที่พิสูจน์ให้เห็นว่ารักเรา?  ก็พระเยซู! บทบาทสำคัญของพระบิดาก็คือส่งพระบุตรมา แต่พระบุตรทรงสมัครพระทัยมา ดังนั้นจึงไม่สำคัญเลยที่พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรมา  พระเยซูยังทรงเหนือกว่าพระยาห์เวห์ด้วยเหตุผลที่ว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแต่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์

     ยิ่งไปกว่านั้นพระยาห์เวห์ยังถูกให้ภาพว่าทรงเป็นพระเจ้าที่ฉุนเฉียวและพิโรธในขณะที่พระบุตรของพระองค์ทรงช่วยชีวิตเรา  พระเยซูทรงลบล้างพระอาชญาให้เราดยพระโลหิตของพระองค์   “ลบล้างพระอาชญา” เป็นคำสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์[17]ที่เน้นย้ำถึงการระงับพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งในกรณีนี้ระงับโดยพระโลหิตของพระเยซู  1 ยอห์น 2:2 กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาเพราะบาปของเรา​​ (ฉบับESV) พระคัมภีร์บางฉบับชอบใช้คำว่า “การไถ่โทษ” ซึ่งเน้นในแง่ของการแก้ไขความผิดด้วยการชดใช้หนี้บาปคุณจะสังเกตเห็นว่าผมไม่ได้เทศนาเกี่ยวกับการลบล้างพระอาชญาและพระพิโรธของพระเจ้า

     เห็นได้ชัดว่าพระบุตรทรงเหนือกว่าพระบิดาในความเชื่อตรีเอกานุภาพ  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ น่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัว ในขณะที่พระเยซูทรงอบอุ่น ทรงรักและทรงปกป้อง  พระเยซูทรงลบล้างพระพิโรธของพระเจ้าด้วยพระโลหิตของพระองค์  คุณคงนึกถึงคำเทศนาอันโด่งดังเรื่อง “คนบาปที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ” ของโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด[18] ซึ่งเป็นนักเทศน์ชั้นแนวหน้าของอเมริกาในศตวรรษที่18  คำเทศนาของเขาเกี่ยวกับไฟนรก ทำให้คนจำนวนมากหันมาหาพระเจ้าด้วยความกลัวอย่างมาก  พวกเขาหนีจากพระพิโรธของพระเจ้าไปหาพระเยซู  คำเทศนาแบบนี้สร้างการแบ่งแยกระหว่างพระบิดากับพระบุตรโดยบอกว่าทั้งสองพระองค์มีอุปนิสัยที่ต่างกัน  มาร์กิโอนคนนอกศาสนาคนสำคัญแห่งศตวรรษที่สอง[19]กล่าวในแบบที่รุนแรงกว่าแต่คล้ายกันว่าพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมไม่ใช่พระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่  มาร์กิโอนไม่ชอบพระยาห์เวห์ ผู้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิม ที่เขาเห็นว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์ใหม่ที่เต็มด้วยความรัก

          ในความคิดของเรานั้น ผู้ที่ช่วยเราให้รอดไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่จะเป็นพระเยซูที่ช่วยเราให้รอดแม้จะมีข้อเท็จจริงว่าชื่อ “เยซู” หมายถึง “พระยาห์เวห์ช่วยให้รอด”[20]  ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้สร้างพระเจ้าผู้ที่เหนือกว่าพระยาห์เวห์!  ผมขนลุกเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผมได้สอนไปเมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ แม้ว่าผมจะไม่ได้ไปไกลถึงขนาดของผู้เชื่อนิกายคาลวิน[21]บางคนที่มีคำสอนของพวกเขา  ว่า “คนบาปที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ” เหล่าคนบาปจะมีความฝังใจแบบไหนกับพระเจ้าจากคำสอนแบบนั้น?  นั่นจะทำให้พวกเขาหนีจากพระเจ้าและวิ่งไปหาพระคริสต์!  พระเยซูทรงเป็นศิลาของเรา เป็นผู้เลี้ยงของเรา เป็นทุกอย่างของเรา  เราไม่ต้องการพระยาห์เวห์พระบิดาของเรา เพราะผู้ที่เราต้องการก็คือพระคริสต์  แม้ว่าคุณจะพูดให้ดูเบาลงในความเชื่อตรีเอกานุภาพ มันก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่า เราได้สร้างพระเจ้าที่แตกต่างไปจากพระยาห์เวห์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นผู้ที่เหนือกว่าพระยาห์เวห์  และตรงนี้เราจะเห็นการให้พระคริสต์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นรูปเคารพ เพราะพระองค์ได้มาแทนที่พระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์  เราอาจจะให้ตำแหน่งตามมารยาทกับพระบิดาในคริสตจักรของเราและในคำสอนของเรา แต่พระองค์ไม่ได้มีบทบาทแท้จริง  นี่จึงไม่มีอะไรเหลือให้พระองค์ทำ เพราะพระคริสต์ทำทุกสิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ

 

พระเยซูและพระที่นั่งในวิวรณ์

     แต่วิวรณ์ให้ภาพที่ต่างกันมาก  ในที่สุดเมื่อผมอ่านวิวรณ์อย่างถูกต้อง ผมก็เริ่มเห็นว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็สลายไปทีละอย่างๆ  อย่างที่ผมพูดไว้คราวก่อนนั้น ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับว่าพระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์หรือไม่  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่สรุปพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม  และผมก็แปลกใจที่พบว่าพระเยซูไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์  ผมงุนงงพอๆกับข้อเท็จจริงที่ว่า เปาโลไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการอธิษฐานกับพระเยซูเลย  และจดหมายฉบับอื่นๆในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นกัน  ถ้าไม่พบการนมัสการพระเยซูหรือการอธิษฐานกับพระเยซูในจดหมายฉบับอื่นๆของพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นก็ย่อมจะพบในวิวรณ์แน่นอน  แต่สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่เราพบก็คือ “สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้น ก็ทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระเมษโปดก” (วิวรณ์5:8 ฉบับ NIV)  ตรงนี้ไม่มีการนมัสการที่เกี่ยวข้องกับพระเมษโปดก มีก็แต่พระเมษโปดกอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งตรงกลาง  ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพมาก่อนอย่างผมต้องตกตะลึง

           อีกตัวอย่างหนึ่งอยู่ในคำกรีกว่า “พระที่นั่ง” (θρόνοςthronos) ซึ่งดูคล้ายกับคำภาษาอังกฤษพอสมควร  นี่แหละที่สถิติในพระคัมภีร์จึงมีความสำคัญ (เรามีสองโครงการที่กำลังทำอยู่ ในการรวบรวมสถิติในพระคัมภีร์ให้ครบสมบูรณ์ โครงการหนึ่งรวบรวมโดยเรย์มอนและโรซ่า ซวน และอีกโครงการหนึ่งรวบรวมโดยเจมส์ โฮ[22]กับทีมของเขา)  สถิติในพระคัมภีร์มีความสำคัญเพราะนั่นทำให้พระคัมภีร์สามารถพูดเอง  ขั้นตอนทางสถิตินั้นเป็นข้อเท็จจริงและลดความเสี่ยงในการตีความตามความเห็นส่วนตัว โดยลดความเป็นไปได้ในการอ่านให้เป็นตามความคิดของเราเองที่ไม่มีในตัวบท

     ให้เรามาพิจารณาบางสถิติดู  คำว่า “thronos” มีปรากฏ 62 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดย 47 ครั้งอยู่ในวิวรณ์ และ 15 ครั้งอยู่ในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่รวมกัน  เล่มต่อมาที่ปรากฏบ่อยครั้งสูงสุดรองลงมาคือมัทธิวซึ่งมีการอ้างอิงถึงห้าครั้ง  เมื่อมองแวบเดียวเราก็สามารถจะเห็นสถานการณ์ทางสถิติได้  ถ้าคุณกำลังใช้โปรแกรมไบเบิ้ลเวิคส์[23] คุณจะสามารถแสดงสถิติแบบเป็นกราฟได้  แท่งแผนภูมิจะเป็นเส้นยาวตรงวิวรณ์และเล่มอื่นๆจะเป็นเส้นสั้นๆ  สิ่งนี้ได้บอกเราว่าใจความสำคัญของวิวรณ์ก็คือพระที่นั่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจ และอำนาจปกครองของพระเจ้าในปัจจุบันและตลอดไปเป็นนิตย์  พระเจ้าทรงควบคุมอยู่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกใบนี้

     ถ้าคุณค้นหาคำว่า “บนพระที่นั่ง” (ἐπί + θρόνος) ในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของ “ἐπὶ τῷ θρόνῳ” คุณจะพบว่าผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งนั้นก็คือพระเจ้าเสมอ  เราจะพบการอ้างอิงส่วนใหญ่นี้ในวิวรณ์  ถ้าคุณจะค้นหากรณีที่พระเมษโปดกประทับอยู่บนพระที่นั่งตรงใจกลาง คุณจะหาไม่พบเลย  พระเยซูประทับบนพระที่นั่งของพระองค์เอง ไม่ใช่ที่พระที่นั่งใหญ่ที่สุด  นอกจากนี้ก็ยังมีอีก24 ที่นั่งสำหรับพวกผู้อาวุโส 24 คนซึ่งแต่ละคนมีพื้นที่สิทธิอำนาจของตนเอง  แต่สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น คือพระองค์ผู้ที่เคยเป็น ผู้ทรงเป็น และผู้ที่จะเสด็จมา  นั่นคือความหมายของชื่อ “ยาห์เวห์”  ชื่อ “ยาห์เวห์” นั้นแต่เดิมเป็นการบอกลักษณะไม่ใช่ชื่อ ที่สำแดงว่าพระเจ้าคือองค์ที่ดำรงอยู่นิรันดร์  ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น

     ในความพยายามจะช่วยกู้หลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่เหลืออยู่ ผมจึงค้นหาทุกๆที่ที่กล่าวถึงการประทับบนพระที่นั่งนั้นของพระเมษโปดก แต่ก็ไม่พบเลย  ที่ผมสามารถหาได้คือหนึ่งตัวอย่างที่พระเมษโปดกถูกกล่าวถึงว่า “ผู้ทรงอยู่ท่ามกลางพระที่นั่งนั้น” (วิวรณ์ 7:17 ฉบับ ESV)[24] ตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร  แต่เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้และโดยพระคุณของพระเจ้า ผมคิดว่าตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่ามันหมายถึงอะไร  ถ้อยคำนี้เป็นไปตามคำภาษากรีกว่า “μέσος” (mesos, ตรงกลาง) ซึ่งได้ถูกแปลไว้ว่า “อยู่ท่ามกลาง)”  ในภาษากรีก “อยู่ท่ามกลางพระที่นั่ง” ก็คือ μέσον τοῦ θρόνου(วิวรณ์ 7:17)

     ถ้าคุณค้นดูพจนานุกรมภาษากรีก เช่นของอาร์น-กิงกริช หรือเธเยอร์[25] “μέσος” อาจหมายถึง “ตรงกลาง” “ระหว่าง” “ข้างใน” หรือ “ในหมู่”  เราสามารถตัด “ในหมู่” และ “ระหว่าง” ออกไปได้ เพราะฟังดูไม่เข้ากับบริบทของพระที่นั่งซึ่งทำให้เราเหลือ “ข้างใน” หรือ “ตรงกลาง”  ถ้าคุณวาดภาพพระที่นั่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณจะเห็นอะไร? พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่งหรือเหนือพระที่นั่ง ดังที่บางครั้งได้แปลไว้ (ที่จริงมีคำบุพบทอื่นอีกที่ใช้กันทั่วไปมากกว่าเพื่อแสดงแนวคิดเหล่านี้)  พระเมษโปดกไม่ได้อยู่บนพระที่นั่งหรือเหนือพระที่นั่ง แต่อยู่กลางของพระที่นั่ง หรืออยู่ท่ามกลางพระที่นั่ง  นั่นหมายถึงอะไรหรือ?

       ถ้าเราเข้าใจว่า “พระที่นั่ง” เป็นฤทธิ์อำนาจ สิทธิอำนาจและการปกครองของพระยาห์เวห์ ฉะนั้นพระเมษโปดกก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของฤทธิ์อำนาจนั้น  พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่ดำเนินการหรือผู้กำกับการ หรือเป็นผู้ที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของฤทธิ์อำนาจนั้น  นั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าแก่นแท้ของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์รวมกันอยู่ในพระเมษโปดก ผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติงานและหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์  พระเมษโปดกจึงเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ฤทธิ์อำนาจและการปกครองของพระเจ้า  นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องจำไว้ว่าพระเมษโปดกในที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงลูกแกะเมษโปดกธรรมดาแต่เป็นลูกแกะเมษโปดกถวายบูชาที่ถูกฆ่า

พระทัยของลูกแกะเมษโปดก

       มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังไม่สามารถทำงานของพระเจ้าให้สำเร็จได้  ความกังวลของผมก็คือว่าเราหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหนังมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้  เราต้องหายาถอนพิษจากความคิดทางเนื้อหนังที่อยู่ในเราเสีย  ในที่สุดแล้วเราอาจมีหลักคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะไม่บรรลุผลสำเร็จเลยเว้นแต่เราจะมาเป็นคนฝ่ายวิญญาณโดยพระเมตตาของพระเจ้า  ผมขอย้ำอีกครั้งว่าลูกแกะเมษโปดกที่อยู่กลางพระที่นั่งเป็นหลักการทำงานของฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง  ถ้าคุณเอาลูกแกะเมษโปดกกับความเป็นเนื้อหนังไว้ด้วยกัน ทั้งสองอำนาจจะไม่ลงรอยกันเป็นอันขาด  หนึ่งในนั้นจะต้องเข้าไปในชีวิตของคุณ  องค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงบอกวิธีง่ายๆด้วยพระปัญญาของพระองค์ที่เราจะเข้าใจว่า  สิ่งที่เราต้องการในชีวิตของเราก็คือชีวิตของพระเมษโปดก หรือดังที่เปาโลกล่าวไว้ นั่นคือพระทัยของพระคริสต์ ซึ่งก็คือความคิดของพระเมษโปดก

     เมื่อผมตรวจสอบพระคัมภีร์ ผมจึงได้ประจักษ์ชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่า พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเป็นคำสอนเกี่ยวกับลูกแกะเมษโปดก (Lamb) แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่า “ลูกแกะ” (lamb)  คำว่า “ลูกแกะ” ใช้กับพระเยซู 28 ครั้ง หรือ 4 x 7 ครั้งในวิวรณ์เพียงเล่มเดียว  นอกจากนี้คำว่า “ลูกแกะ” ยังใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายที่เลียนแบบลูกแกะเมษโปดก

เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดและตรึกตรองดู คุณจะเห็นพระทัยของลูกแกะเมษโปดกในทุกที่ตั้งแต่ต้นจนจบ  คุณสามารถเริ่มต้นกับ “ผู้เป็นสุข” ที่องค์ผู้เป็นเจ้าพูดถึงคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความอ่อนสุภาพและใจบริสุทธิ์  ใจบริสุทธิ์นั้นตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง  ลูกแกะเมษโปดกจะตรงกันข้ามกับความเป็นเนื้อหนัง  ถ้าคุณใคร่ครวญถึงคุณสมบัติอื่นๆ เช่นว่า การเป็นคนยากจนฝ่ายวิญญาณ[26]คุณจะเห็นว่าแต่ละอย่างนั้นให้ภาพคุณสมบัติของลูกแกะเมษโปดก

     พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านว่าเราเป็นใคร” เปรโตรตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (มัทธิว 16:15-16)  ในพระคัมภีร์นั้น “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นชื่อเรียกของพระคริสต์ผู้เป็นพระเมสสิยาห์  พระเยซูทรงบอกเปโตรในสิ่งที่เปโตรรู้เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ถึงความหมายที่กว้างไกลของความจริงนี้ที่ขอบเขตครอบคลุมถึงคริสตจักร ราชอาณาจักร แดนคนตาย สวรรค์และโลก  แต่หลังจากให้เปโตรเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่ของบุตรมนุษย์ ในสองสามข้อถัดมา พระเยซูก็ทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้อง “ทรงทุกข์ทรมานหลายประการจากน้ำมือของพวกผู้อาวุโส ​​เหล่ามหาปุโรหิต และบรรดา​​ธรรมาจารย์ และพระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามพระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชนม์” (ข้อ 21 ฉบับ NIV)  สิ่งนี้ตรงข้ามกับความเข้าใจของชาวยิวเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์อย่างสิ้นเชิง  เปโตรท้วงพระเยซูว่า “สิ่งนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับพระองค์แน่!” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน  เจ้าเป็นสิ่งกีดขวางเราไว้”  เปโตรไม่เข้าใจว่าพระเยซูเป็นลูกแกะเมษโปดก และเขาไม่เข้าใจความคิดของลูกแกะเมษโปดก  ในความคิดแบบเนื้อหนังนั้นสิ่งร้ายเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นกับพระเยซูเป็นอันขาด  แต่มันจะต้องเกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกแกะทั้งหลาย

     คุณลองคิดถึงลูกแกะดู มันมีชีวิตอยู่เพื่อตายแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบูชาบนแท่นบูชา หรือเป็นอาหารให้คุณกิน  เนื้อสัตว์หลักๆสำหรับคนในตะวันออกกลางก็คือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะ ไม่ใช่เนื้อวัวหรือเนื้อไก่  ผู้มาเยือนตะวันออกกลางจำนวนมากได้เจอสิ่งนี้ด้วยตัวเอง  และพวกเขาจะกินเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะกันจนเอียน!  บางคนจะมองหาเนื้อไก่  แต่ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้มีเนื้อไก่หรือเนื้อวัวให้คุณกิน  เนื้อเพียงอย่างเดียวที่กินกันคือเนื้อลูกแกะหรือเนื้อแกะ

     คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดกได้ทุกที่ในพระคัมภีร์ใหม่ หลักการของความเป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร  สิ่งนี้มีให้เห็นแม้ในคำอุปมาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก  ถ้าคุณได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยง ก็อย่าตรงดิ่งไปยังโต๊ะอันมีเกียรติของแขกสำคัญ (ลูกา 14:7-11)  ในประเทศอังกฤษจะมี “โต๊ะของแขกผู้ใหญ่” ในงานเลี้ยงของโรงเรียน ครูใหญ่และบรรดาครูทั้งหลายจะนั่งที่โต๊ะของแขกผู้ใหญ่ จากนั้นก็เป็นโต๊ะของตำแหน่งที่ลดหลั่นลงไป  ถัดจากโต๊ะของแขกผู้ใหญ่ก็เป็นโต๊ะของคนระดับสูง แล้วก็ระดับต่ำลงมา  คนที่ไม่สำคัญทั้งหลายจะนั่งท้ายสุดของห้องงานเลี้ยง  พระเยซูบอกเราไม่ให้ตรงรี่ไปที่โต๊ะอันมีเกียรติ แม้เราจะคิดว่าเราจะคู่ควรกับที่นั่งตรงนั้นก็ตาม แต่ให้เราตรงไปที่นั่งต่ำสุด[27]

       พระเยซูไม่ได้กำลังสอนจรรยามารยาทที่ดีกับเรา แต่กำลังสอนสิ่งที่เกี่ยวกับความคิดของลูกแกะเมษโปดก นั่นก็คือพระทัยของพระคริสต์  ถ้าคุณดูฟีลิปปี 2:5-8 คุณจะไม่เห็นอะไรที่มาจากพันธกิจของพระเยซู  ไม่มีการกล่าวถึงคำสอนของพระองค์ การอัศจรรย์ของพระองค์ หรือการรักษาโรคของพระองค์  มีเพียงสิ่งเดียวที่กล่าวถึงก็คือพระองค์ทรงลงไปต่ำลงและต่ำลงในการเชื่อฟังพระบิดาอย่างทั้งหมดและไปจนถึงความตายบนกางเขน  คุณจะไม่สามารถลงไปต่ำกว่านี้ได้อีกแล้ว  พระเยซูเป็นเหมือนน้ำที่ไหลไปสู่จุดต่ำสุด  พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะนำคุณไปในทิศทางเดียวกันนี้  ถ้าคุณยกตัวเองขึ้น น้ำก็จะไหลไปจากคุณ  ถ้าคุณยกย่องตัวเอง พระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็จะหายไปจากคุณ  การที่จะมีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คุณจะต้องลงไปสู่จุดต่ำสุด

     นี่อาจไม่มีอัครทูตคนใดที่เข้าใจหลักการนี้ได้ดีเท่าเปาโล  หลักการของลูกแกะเมษโปดกจะเห็นได้ในจดหมายของเขาทุกฉบับ  เปาโลกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า (โรม 8:36 ฉบับ NIV)  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพระเยซู มันจึงเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน  เปาโลตายทุกวัน (1 โครินธ์ 15:31)[28]  เราจะต้องมีจิตใจและท่าทีแบบเดียวกับพระคริสต์ (ฟีลิปปี2:5)[29] เมื่อเราลงไปที่จุดต่ำสุดเหมือนพระเยซู นั่นแหละองค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงยกคุณขึ้น  ถ้าหากคุณสามารถเข้าใจหลักการนี้ได้ คุณก็จะรู้เคล็ดลับของฤทธิ์เดชของลูกแกะเมษโปดก

“     สำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์และการตายก็ได้กำไร(ฟีลิปปี 1:21)เมื่อยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าเปาโลหมายถึงอะไร ความหมายเดียวที่ผมคิดได้จากคำกล่าวนี้ด้วยความเข้าใจพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพของผมก็คือ ทั้งชีวิตผมมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลกำลังพูดในบริบทนี้  เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์นั้นจริงแน่นอน แต่ว่าเป็นพระคริสต์แบบไหน?  หากคุณเข้าใจว่าพระคริสต์เป็นพระคริสต์ที่ทรงพระสิริ เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ และองค์เจ้านายเหนือบรรดาเจ้านาย  นั่นเป็นแนวคิดถึงพระคริสต์อย่างผู้พิชิตมันก็เข้ากับความคิดของเราได้ดีเพราะตอนนี้เราสามารถจะมีชีวิตที่เป็นพี่น้องกับกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์!  นั่นก็คือพระคริสต์แบบที่เราพบในหนังสือคริสเตียนที่แพร่หลายอยู่ในอเมริกาเหนือ  เราเป็นพี่น้องของกษัตริย์!  มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังจะยึดถือคำกล่าวเช่น สำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และบิดเบือนให้เป็นข้อความที่สอดคล้องกับมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง

     ฟีลิปปีบทที่ 2 ไม่ได้ให้ภาพพระเยซูว่าเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ แต่เป็นผู้ที่ถ่อมพระองค์ที่กางเขน  แนวความคิดของคุณเกี่ยวกับพระคริสต์จะควบคุมวิธีที่คุณดำเนินชีวิตและวิธีที่คุณมองชีวิตในฝ่ายวิญญาณ  คุณจะมองว่าพระคริสต์ทรงพระสิริพระคริสต์ผู้พิชิต หรือจะมองว่าพระองค์เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า  ตรงนี้หลักคำสอนจะมีผลทันทีกับวิธีคิดและวิธีดำเนินชีวิตของคุณ

           ในอเมริกาเหนือ ส่วนใหญ่แล้วผมเห็นว่าพระคริสต์เป็นผู้พิชิต  เมื่อเราอ่านวิวรณ์ เราไม่ต้องการจะพูดถึงลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าแต่จะพูดถึง “กษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์” ซึ่งเป็นคำที่หาพบยากในวิวรณ์ (มีปรากฏสองครั้งเมื่อเทียบกับ 28 ครั้งที่พูดถึงพระเยซูว่าเป็น “พระเมษโปดก”)  เราไม่พบความเชื่อมต่อกัน  พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์ก็เพียงเพราะพระองค์คือลูกแกะเมษโปดก  และถ้าพระองค์ไม่ใช่ลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่เป็นกษัตริย์เหนือบรรดากษัตริย์  ถ้าพระคริสต์เป็นเป้าหมายและแรงจูงใจของชีวิตคุณ แล้วพระคริสต์แบบไหนหรือที่เรากำลังพูดถึง?

     เปาโลกล่าวว่า สำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์และการตายก็ได้กำไร เดี๋ยวก่อน ความตายคือกำไรหรือ?  ความตายหมายถึงการสูญเสียทุกสิ่งไม่ใช่หรือ?  ถ้าคุณสูญเสียแขนหรือขา คุณก็ยังมีชีวิตอยู่  แต่ความตายจะหมายถึงการสูญเสียทุกสิ่ง

     แต่สำหรับเปาโลแล้ว การสูญเสียทั้งหมดก็คือการได้ทั้งหมด  และเปาโลหวังได้อะไรหรือ?  เขาต้องการจะได้พระคริสต์ (ฟีลิปปี 3:8)[30]  ดังนั้นพระคริสต์จึงกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของผมถึงขนาดที่ตอนนี้ผมพูดได้ว่า “พระเยซูเป็นของผม” เหมือนว่าชื่อของผมติดเขียนอยู่บนพระองค์อย่างนั้นหรือ?  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เปาโลหมายถึงอย่างแน่นอน  ในบริบทของฟีลิปปีนั้น การได้พระคริสต์ก็คือการเป็นเหมือนพระองค์อย่างสมบูรณ์และตายกับพระองค์  เมื่อเราฟื้นขึ้นจากความตาย เราจะเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างสมบูรณ์และเราจะได้พระคริสต์  “เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3:2)

     มนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังต้องการจะเป็นเจ้าของพระคริสต์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของเขา  ความรักแบบนี้น่ากลัวที่คิดในแง่จะครอบครองใครสักคน  มีพ่อแม่ชาวจีนหลายคนมองว่าลูกๆเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพวกเขา  นี่เป็นความคิดแบบเนื้อหนัง ไม่ใช่ความคิดของลูกแกะเมษโปดก  ลูกแกะเมษโปดกเป็นผู้ที่ให้ตัวเองอย่างทั้งหมด  เราจะเห็นท่าทีนี้อีกครั้งในคำสอนของพระเยซูในลูกา 14:12-14 คือการให้โดยไม่แสวงหาสิ่งใดตอบแทน  เมื่อมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังให้ ก็เป็นการลงทุนเพื่อได้กำไรในอนาคต แต่คนฝ่ายวิญญาณให้และไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น โดยไม่ให้มือขวาของเขารู้ว่ามือซ้ายของเขากำลังทำอะไร  ความคิดของลูกแกะเมษโปดกจะมีกระจายอยู่ทั่วพระคัมภีร์

เมื่อข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้ากลับเข้มแข็ง

       พระคริสต์คือรูปเหมือน[31]ของพระเจ้า เป็นรูปเหมือนของพระยาห์เวห์ พระบิดาทรงเป็นเช่นไร พระเมษโปดกก็จะเป็นเช่นนั้น  นี่แหละที่ศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแก้ไม่ตกเพราะจะเห็นความแตกต่างระหว่างพระเจ้าพระบิดากับพระเจ้าพระบุตร  พระบิดาทรงเข้มงวดแต่พระบุตรมีความรัก  พระบิดาเป็นผู้ส่งพระบุตรมา แต่พระบุตรคือผู้ที่สละชีวิต  ความจริงในพระคัมภีร์มีอยู่ว่า พระยาห์เวห์พระบิดาทรงเป็นอย่างไรพระบุตรก็ทรงเป็นอย่างนั้น  แม้ว่าพระยาห์เวห์จะเป็นผู้ที่ประทับบนพระที่นั่ง แต่คุณก็อาจพูดได้ว่าพระเมษโปดกประทับบนพระที่นั่งเช่นกันเพราะทั้งสองพระองค์มีพระลักษณะที่เหมือนกัน  ในแง่นี้พระเมษโปดกจึงถือครองพระยาห์เวห์และพระยาห์เวห์จึงถือครองพระเมษโปดกเพราะพระลักษณะของทั้งสองพระองค์นั้นเหมือนกัน  เราไม่จำเป็นจะต้องถกเถียงเรื่องความเป็นพระเจ้าและการดำรงอยู่ก่อน  สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ที่ว่าเราดำรงอยู่ก่อนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเรามีลักษณะเหมือนกับพระเมษโปดกหรือไม่  ดังนั้นเมื่อผมได้พระคริสต์ผมก็ได้พระยาห์เวห์ด้วย เพราะพระคริสต์เป็นรูปเหมือนที่สมบูรณ์แบบของพระยาห์เวห์  และเมื่อผมมาเป็นเหมือนพระคริสต์ผมก็มาเป็นเหมือนพระยาห์เวห์  คำสอนที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั้นสอดคล้องกับคำสอนของพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์

     เราไม่ต้องโต้แย้งกันว่าใครเป็นใหญ่กว่าใครและใครเล็กน้อยกว่าใคร เพราะในความคิดของลูกแกะเมษโปดกแล้ว ผู้เล็กน้อยที่สุดก็คือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด และผู้เป็นคนท้ายก็คือผู้เป็นคนต้น  สิ่งนี้นำเราไปสู่หลักการปฏิบัติที่สำคัญ  เราบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่ที่สุดและเราเป็นผู้เล็กน้อยที่สุด แต่ให้จำไว้ว่าระบบและวิธีคิดของพระเจ้าก็คือผู้เล็กน้อยที่สุดคือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด  เพื่อจะซื่อตรงต่อคำสอนของพระองค์เอง พระยาห์เวห์จะต้องเป็นผู้เล็กน้อยสุดเพื่อจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่สุด  พระเยซูต้องเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดเพื่อจะเป็นผู้เป็นใหญ่ที่สุด และคนท้ายจะเป็นคนต้น  นั่นคือเหตุที่พระเยซูจึงทรงเป็น “คนต้นและคนท้าย”[32] (วิวรณ์ 1:17) ซึ่งแตกต่างจาก “คนท้ายและมาเป็นคนต้น”  คนต้นและคนท้ายไม่ได้เกิดต่อเนื่องกันแต่เกิดในเวลาเดียวกัน  คุณจะเป็นใหญ่ที่สุดเมื่อคุณเป็นคนเล็กน้อยที่สุด  ถ้าคุณทำให้ตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด คุณก็จะเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุด

  เมื่อคุณเข้าใจหลักการนี้ซึ่งทำงานอยู่ในพระเยซูเช่นเดียวกับในพระยาห์เวห์ คุณจะตระหนักว่าพระองค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดประทับบนพระที่นั่ง ทรงเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในขณะเดียวกัน  มีการกล่าวสองครั้งว่า พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย แทนที่จะเป็นพระเมษโปดก (วิวรณ์ 7:17,21:4)[33]  พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งทรงใช้เวลาเสด็จมาหาคุณผู้ที่ไม่สำคัญอะไร เพื่อจะทรงเช็ดน้ำตาของคุณ  สาธุการแด่พระเจ้า!  นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนเราเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเรานั้นก็ดำเนินอยู่แล้วในสวรรค์  การดำรงอยู่ก่อนและคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่อื่นๆไม่สำคัญเลย  คุณและผมไม่ได้ดำรงอยู่ก่อน แต่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนก็เสด็จมาเช็ดน้ำตาของคุณ

     เราจะเห็นหลักการที่ทำงานพร้อมกันนี้ใน 2โครินธ์ 12:10 ที่ว่าเพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อนั้นข้าพเจ้าก็​​เข้มแข็ง” เปาโลไม่ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยอ่อนแอ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนมาเข้มแข็ง”  ตามความคิดแบบเนื้อหนังของเรา เราคิดว่าเราสามารถเอาชนะความอ่อนแอของเราได้ด้วยความมุมานะและความตั้งใจของเราที่จะเข้มแข็ง  แต่หลักการฝ่ายวิญญาณก็คือ ผมเข้มแข็งเมื่อผมอ่อนแอ  นี่คือหลักการที่ทำงานไปพร้อมๆกันและก็ยังเป็นจริงเช่นกันในทางกลับกันคือ ทันทีที่คุณพยายามเข้มแข็งคุณจะอ่อนแอ  แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการฝ่ายวิญญาณ คุณจะชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของคุณ เพราะนั่นเป็นเวลาที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะถูกสำแดงให้เห็นในตัวคุณ

     เวลาที่ผมไปสอนแบบนี้ บางครั้งผมจะรู้สึกอ่อนล้าที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการสอนครั้งก่อน ผมจะขอบคุณองค์ผู้เป็นเจ้าและพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพระองค์เข้ามาด้วยความอ่อนแอและเหนื่อยล้า ขอทรงสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เถิด”  ผมไม่อยากรอจนผมแข็งแรง สดชื่น และมีกำลังขึ้นแล้วจึงค่อยมาสอน  ผมยินดีที่จะคลานขึ้นนั่งบนเก้าอี้นี้แล้วพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่นี่แล้ว ขอทรงรับช่วงต่อเถิด”  และองค์ผู้เป็นเจ้าก็ไม่ทรงทำให้ผมผิดหวัง  พระองค์ได้ทรงสอนหลักการทำงานไปพร้อมๆกันของความอ่อนแอและฤทธิ์เดชกับผมมาเป็นเวลานาน

     ยี่สิบปีที่แล้วเมื่อผมแข็งแรงกว่านี้มาก มีครั้งหนึ่งผมรู้สึกอ่อนแอมากช่วงใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะเทศนาในการประชุมใหญ่ที่มหาวิทยาลัยเวสเทอร์นออนแทริโอ[34] (ในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอ)  ก่อนหน้านี้ผมมีตารางที่แน่นมากจึงเหนื่อยมากจนผมไม่สามารถลุกจากเตียงได้  ผมพยายามแล้วพยายามอีก แต่ก็ลุกไม่ขึ้น  ผมพยายามลุกขึ้นนั่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของผม ทีมผู้จัดประชุมได้จัดให้ผมพักที่โรงแรมในมหาวิทยาลัย ในช่วงบ่ายผู้นำของนักศึกษามาเยี่ยมผมและพูดคุยกับผมถึงการประชุมใหญ่ในช่วงค่ำ  ทุกคนที่จะมาการประชุมนี้ก็คาดหวังว่าผมจะเทศน์ในประชุมนี้ ฉะนั้นทีมผู้จัดประชุมจึงเริ่มกังวลเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมไม่สามารถลุกจากเตียงได้ แม้จะพยายามจนสุดกำลังแล้วก็ตาม  พวกเขายืนอยู่รอบเตียงของผมและดูว่าจะทำอย่างไรดี  การประชุมก็ได้ประกาศไปแล้ว และหลายคนก็กำลังจะมากัน  ทีมผู้จัดประชุมวิตกมาก แต่ผมพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้จักพระเจ้าของผมดี  ขอคุณแค่อธิษฐานเผื่อผม  ผมจะไปที่นั่นในตอนค่ำ”  พวกเขาดูจะกังขาในเรื่องนี้

       เมื่อถึงเวลาประชุม พวกเขาก็มาเยี่ยมผมอีก  พวกเขาต่างมีสีหน้าวิตกเพราะในนาทีสุดท้ายเช่นนี้พวกเขาจะหานักเทศน์ที่ไหนมาแทนได้ทัน?  ผมพูดกับพวกเขาว่า “คุณคอยดูฤทธิ์เดชขององค์ผู้เป็นเจ้าเถิด”  แล้วตอนนั้นเองพวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อผมยืนขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเดินตรงไปยังห้องประชุมเพื่อเทศนา  ผมเทศนาจบได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย  อะไรคือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีความมั่นใจหรือ?  ด้วยตัวของผมทางกายแล้ว ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่ผมมีความมั่นใจว่าในความอ่อนแอของผมนั้น ฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้าจะสำแดงออกมาในเวลาที่เหมาะสม  เห็นได้ชัดว่าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ผมนอนอยู่บนเตียงจนถึงเวลาประชุม  ด้วยสาเหตุนี้ผมจึงลุกขึ้นไม่ได้ไม่ว่าผมจะพยายามสักแค่ไหน  มันเหมือนกับว่าฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้ากำลังรั้งผมไว้และไม่ว่าผมจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็เอาชนะไม่ได้  เรื่องราวทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์เพราะพอผมกลับถึงบ้าน ผมก็สลบไปเลยและหลับไปทั้งคืน  ผมหมดเรี่ยวหมดแรงไปเลยจากการเที่ยวตระเวนที่ยาวนานไปในภาคตะวันตกของแคนาดา  แต่การรู้หลักการที่ฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้าจะมีอย่างเต็มขนาดในความอ่อนแอนั้นทำให้ผมมีสันติสุขอย่างแท้จริง  ผมไม่สงสัยเลยว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะประทานกำลังให้ผมทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้ผมทำในเวลาที่เหมาะสม

     คุณจะเห็นหลักการของลูกแกะเมษโปดก ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญมากของชีวิตได้ทั่วพระคัมภีร์ใหม่แม้แต่ในที่ที่คุณไม่คาดคิด  พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นอาหารของชีวิต (ยอห์น 6:35,48) แต่พระองค์ยังตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา...” (ยอห์น 6:54,56)  อาหารเกี่ยวอะไรกับเนื้อและเลือด?  ถ้าคุณไม่ได้เห็นลูกแกะเมษโปดกในยอห์นบทที่ 6 ก็จะไม่สามารถเข้าใจความเชื่อมต่อกันของอาหารกับเนื้อและเลือดได้  มีหลายคนสังเกตถึงความเชื่อมต่อกันระหว่างยอห์นบทที่ 6 กับพิธีมหาสนิท  ในเทศกาลปัศกาผู้คนได้กินเนื้อของลูกแกะปัศกา  และพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าจะทรงให้ชีวิตของพระองค์ “เพื่อชีวิตของโลกนี้” (ยอห์น 6:51)[35] คุณจะเห็นลูกแกะเมษโปดกอยู่ทุกที่ในพระคัมภีร์

       ความอ่อนแอและความเข้มแข็งอาจเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่การเชื่อมต่อไม่ได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติในแง่ว่าอันหนึ่งจะไม่ทำให้เกิดอีกอันหนึ่งอย่างอัตโนมัติ  ถ้าคุณอ่อนแอคุณก็จะไม่ได้เข้มแข็งอย่างอัตโนมัติ  เปาโลกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมลง แต่สภาพภายในของเรากำลังได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกวัน” (2โครินธ์ 4:16ฉบับNASB)  สภาพภายในของคุณได้รับการเปลี่ยนใหม่หมายความว่าคุณจะแข็งแรงขึ้นในฝ่ายวิญญาณเมื่อคุณอ่อนแอลงในฝ่ายร่างกาย  แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติในเรื่องนี้  ร่างกายของเราทุกคนจะอ่อนแอลงเมื่อเราแก่ตัวลง  กายภายนอกจะเสื่อมโทรมลง แต่กายภายในจะไม่แข็งแรงขึ้นทุกวันอย่างอัตโนมัติ ไม่มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติ  เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนก็คงกลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณกันมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาหรือเธอแก่ตัวลงเรื่อยๆ  ไม่เช่นนั้นผู้ที่อายุ 80 ปีในคริสตจักรก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากที่สุดและเราก็คงจะนั่งอยู่แทบเท้าของผู้อาวุโสเหล่านั้นขณะที่พวกเขาอธิบายพระคำของพระเจ้ากับเรา  ถ้าการเชื่อมต่อกันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ แม้แต่ผู้ไม่เป็นคริสเตียนก็จะเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาแก่ตัวลง  ไม่มีการเชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติทั้งกับคริสเตียนหรือกับผู้ไม่เป็นคริสเตียน

     ลูกแกะเมษโปดกอยู่กลางพระที่นั่งตามหลักการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ถ้าความคิดของลูกแกะเมษโปดกร่วมกับชีวิตของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้เป็นจริงในชีวิตของคุณ ประสบการณ์จากความอ่อนแอไปสู่ความเข้มแข็งก็จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ  เมื่อตอนที่ผมนอนอยู่บนเตียงในลอนดอน จังหวัดออนแทริโอนั้น ผมรู้ว่าผมจะต้องยอมให้ชีวิตของลูกแกะเมษโปดกเป็นศูนย์กลางของชีวิตผม  เพราะสำหรับผมแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก  สิ่งนี้จะต้องเป็นหลักการสำคัญของชีวิตผม  เมื่อชีวิตของลูกแกะเมษโปดกทำงานอยู่ในผม ทุกสิ่งก็เป็นไปได้  ผู้นำนักศึกษาดูสภาพของผมแล้วเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะฟื้นตัวทันเวลาประชุม  ในท้ายที่สุดพวกเขาอาจเรียนรู้มากขึ้นจากการสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมบนเตียงมากกว่าการได้ยินคำเทศนาของผมหลังจากนั้น เพราะพวกเขาได้เห็นคำเทศนาที่มีชีวิตกับตาของพวกเขาเอง  สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็กลับกลายเป็นไปได้  เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องประชุมเพื่อจะเทศนานั้นดูยังกับว่าสุขภาพของผมสมบูรณ์ดี  นี่สร้างความแปลกประหลาดใจที่เห็นได้จากสีหน้าของพวกเขา

     เมื่อคุณแก่ตัวลงเรื่อยๆ และร่างกายของคุณก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ คุณจะใช้การได้มากขึ้นในฝ่ายวิญญาณ  แต่นั่นจะไม่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ  คุณจะต้องดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  นั่นคือสาเหตุที่เราจึงต้องการพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์มาสถิตอยู่ในเรา  พระวิญญาณเองไม่ใช่อำนาจชักจูงภายนอกบางอย่าง แต่เป็นการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์เองในชีวิตของเรา

ตัวอย่างในชีวิตจริง

       ครั้งก่อนผมแบ่งปันกับพวกคุณถึงประสบการณ์ของพวกเราที่ชิเซิลเฮิร์สท์ในมณฑลเค้นท์  ผมไม่ได้บอกพวกคุณว่าหลังจากประสบการณ์นั้นก็ได้เกิดการปะทุฝ่ายวิญญาณขึ้นในคริสตจักร  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระวิญญาณของพระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในชีวิตของคุณและเข้ามาในคริสตจักรด้วย คริสตจักรเกิดการ “ปะทุ” ในแง่ที่เราเคยมีสมาชิกราว 60 คนในคริสตจักรซึ่งส่วนใหญ่ก็เข้าร่วมการประชุมนี้ แต่เมื่อเรากลับไปลอนดอน จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ละอาทิตย์ จาก 60 เป็น 80 เป็น 100 เป็น 120  ต่อมาไม่นานเราต้องหาห้องประชุมที่ใหญ่ขึ้นเพราะเราใช้ห้องนมัสการเล็กๆของวายเอ็มซีเอ ซึ่งแค่ 60 คนก็แน่นห้องแล้ว  เราจึงต้องรีบมองหาที่อื่นเพราะมีคนที่ต้องยืนนมัสการอยู่ด้านนอก  เราได้ห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในแถวนั้นแต่ไม่นานที่นั่นก็คับแคบลงอีก เพราะในที่สุดเราก็มีหลายร้อยคน  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในสองสามเดือนหลังจากที่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เข้ามาในชีวิตของเราและสถิตอยู่ด้วยกับเรา  พระองค์สถิตอยู่ด้วยในชีวิตของผู้คนเหล่านั้นนานเท่าใดหลังจากนั้น ก็มีแต่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้

     เคล็ดลับของฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะพบในชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ทำงานโดยพระวิญญาณของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ทฤษฎีแต่เป็นสิ่งที่ต้องมีประสบการณ์  ถ้าคริสตจักรที่คุณนำนั้นไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยหรือกำลังจะสูญเปล่าด้วยซ้ำ คุณอาจจะพอใจเพียงเพื่อรักษาสภาพที่เป็นอยู่และเกาะติดกับคนที่เข้าร่วมคริสตจักรอยู่แล้ว  สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับคริสตจักรลอนดอนของเราก็คือ เราไม่ได้มีการประกาศ หรือเผยแพร่ หรือแจกใบปลิวเลย  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น แต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย  คนใหม่ๆต่างหลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักรโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง   ทุกวันอาทิตย์คริสตจักรจะแน่นขนัดและยังล้นออกมานอกห้องประชุมอีกด้วย ในที่สุดเราก็ได้ห้องประชุมใหญ่ที่สุดที่หาได้ในสถานที่นั้นซึ่งสามารถรองรับได้ประมาณสามหรือสี่ร้อยคน  เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทำงาน ผู้คนจะเข้ามาคริสตจักรโดยที่คุณไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง  เราต้องดำเนินชีวิตที่มีพระวิญญาณและมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก  เพราะสำหรับผม การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์

     ผมกำลังตริตรองอยู่ว่าผมควรจะแบ่งปันสิ่งต่อไปนี้จากประสบการณ์ของตัวผมเองหรือไม่  แต่ผมได้ตรวจสอบกับองค์ผู้เป็นเจ้าแล้วว่าสามารถแบ่งปันสิ่งนี้ได้

     ก่อนที่จะมารับใช้ในลิเวอร์พูล ผมได้ทำการประกาศเยอะมาก โดยเคาะประตูตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็ในเคมบริดจ์เพื่อเป็นพยานกับผู้คน  เวลาส่วนใหญ่ของผมใช้ไปกับการศึกษาพระคำของพระเจ้า ขลุกอยู่กับพระคำและผมทำสิ่งนี้มานานหลายปีมาก  ผมจะไปหาที่เงียบสงบที่ทินเดลเฮาซ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์[36]ซึ่งเป็นศูนย์ของการค้นคว้าพระคัมภีร์  ที่นี่เองผมได้พบปะกับหลายคนที่ดีมากรวมถึงเจมส์ ดันน์และศิษยาภิบาลไดอิทเทอร์[37]ที่กำลังทำปริญญาเอกที่นั่น  มันเป็นช่วงเวลาของการสงบนิ่งและการศึกษาพระคำของพระเจ้า

     หลังจากนั้นผมก็ไปลิเวอร์พูลเพื่อเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่นั่น ซึ่งสวนกับความชอบของผมมาก  ผมไม่มีความปรารถนาที่จะไปลิเวอร์พูลเลย เพราะมันเป็นเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในชีวิต  แล้วองค์ผู้เป็นเจ้าทรงส่งผมมาที่ไหนนี่?  มาเมืองที่น่ากลัวและสกปรกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตนี่นะ!  ตอนนี้ลิเวอร์พูลสะอาดขึ้น แต่เมื่อหลายปีก่อนเป็นเมืองที่เต็มด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพของอากาศเหมือนทุกวันนี้  และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมโรคหอบหืด

       นี่เป็นงานศิษยาภิบาลงานแรกของผมและเป็นการรับใช้คนกลุ่มเล็กๆ  คำว่า “กลุ่ม” ก็ไม่ใช่คำที่ถูกนักเพราะมีเพียงแค่ห้าหรือหกคนในคริสตจักร  นี่เป็นกระจุกคนที่น่าสงสารที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน  สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นลงรอยกันก็คือการเชิญผมไปที่นั่น  พวกเขาเชิญผมมารับใช้ที่นั่นเพราะสิ้นหวังแล้วจริงๆ

นอกจากนี้แล้วยังมีความตกใจอีกหลายอย่างที่รอผมอยู่ในลิเวอร์พูล  เมื่อพวกเขาพาผมไปดูอาคารคริสตจักรที่อยู่ในย่านของคนจีนซึ่งดูเหมือนกับ “แท่งบางๆ” ในกำแพงในแง่ที่ว่าเป็นตึกทั้งแถว และคริสตจักรข่าวประเสริฐ[38] (ตามที่เรียกกัน) ก็เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆของตึกแถว  เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวคริสตจักรผมก็ต้องตกใจ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนจะสกปรกอย่างนี้เลยในชีวิตและผมก็ไม่ได้พูดเกินความจริงด้วย  ผนังซึ่งควรจะเป็นสีขาวแต่มันกลับเป็นสีเหลืองคล้ำที่เยิ้มด้วยคราบน้ำมันหนาเตอะจากการทำอาหารซึ่งไม่รู้ว่าทำมานานแค่ไหนแล้ว  การทำอาหารจีนนั้นต้องใช้กระทะใบใหญ่ๆและน้ำมันเยอะๆ และเมื่อคุณใช้ไฟแรงๆควันก็จะลอยเป็นลำขึ้นไป มีรอยคราบน้ำมันไหลย้อยเป็นทางลงมาถึงด้านล่าง  ผมคิดว่า “นี่คริสตจักรหรือ?”  เราน่าจะประชุมกันบนถนนข้างนอกจะดีกว่าอีก!  แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังตามมา ผมไปที่ด้านหลังของคริสตจักรและมองดูในห้องส้วม  โอ้โห! ถ้าคุณเห็นว่าห้องส้วมในประเทศจีนที่ว่าแย่แล้ว คุณน่าจะลองอันนี้ดู  ผมเกือบจะอาเจียนอยู่แล้ว  โถชักโครกเหล่านี้เป็นสีเหลืองส้มเขรอะตั้งแต่บนยันล่าง  ผมมองดูโถหนึ่งแล้วก็มองดูอันต่อมาแล้วก็อันต่อมา มันเหมือนกันหมดเลย  ผนังห้องส้วมก็น่าขยะแขยงไม่แพ้กัน  ผมคิดว่า “คริสตจักรแบบไหนกันนี่?”  นั่นคือสิ่งที่ผมประสบเมื่อเริ่มต้นงานศิษยาภิบาลของผม

     ผมพาผู้ร่วมงานจากลอนดอนมาที่ลิเวอร์พูลกับผมด้วย  เหตุผลเดียวที่ผมพาเขามาด้วยเพื่อเป็นผู้ร่วมงานของผมก็เพราะไม่มีใครต้องการชายที่น่าสงสารคนนี้  คริสตจักรจีนในลอนดอนปฏิบัติกับเขาในฐานะเป็นคนรับใช้ของศิษยาภิบาล  เขาถูกใช้ให้ไปทำธุระสารพัด ผมคิดว่าเขาถูกปฏิบัติอย่างน่าอดสูมากกว่า  เมื่อเขาได้ยินว่าผมจะไปลิเวอร์พูล เขาก็ถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้  ผมพูดกับเขาว่า “คุณอยากไปกับผมไหม?” และเขาตอบว่า “อยากสิ!”  เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะถูกต้อง ผมจึงต้องพูดภาษาอังกฤษแบบเดียวกับเขา จนสุดท้ายเกือบเป็นผลให้ผมพูดภาษาอังกฤษอย่างไม่ถูกต้องไปด้วย!  ถ้าผมใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง เขาก็จะไม่เข้าใจผม ผมจึงต้องพูดแบบเดียวกับเขา  ในที่สุดเราก็เข้าใจกันได้ดีด้วยภาษาอังกฤษ  เขามาจากฮ่องกงและตอนนั้นผมก็พูดภาษากวางตุ้งไม่ได้ แต่เราก็สื่อสารกันรู้เรื่อง  เขาเป็นพี่น้องที่ดีและถ่อมใจ  เขาเทศนาและนำศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้ ผมจึงถามเขาว่าทำอะไรได้บ้าง?  สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ผมสามารถไปเยี่ยมเยียนได้”  ผมบอกเขาว่าได้เลย  เขาจะไปเยี่ยมเยียนย่านร้านอาหารจานร้อน[39]ของคนจีนและพูดคุยกับผู้คนที่นั่น  ดังนั้นจึงเป็นพันธกิจที่ดีสำหรับเขา

     เรากำลังมองดูสถานที่สกปรกแห่งนี้ในลิเวอร์พูลแล้วก็มองหน้ากัน  พี่น้องคนนี้เป็นคนสะอาดมากโดยนิสัย  ผมพูดกับเขาว่า “เราจะทำอย่างไรดี?” เขาบอกว่า “ผมว่าเราต้องขัดล้างที่นี้”  ผมพูดว่า “คุณพูดถูก  และดูแล้วก็ต้องเป็นคุณกับผมใช่ไหม?”  เราไม่อยากจะดึงคนอื่นเข้ามาทำเรื่องนี้  ตอนนั้น เฮเลนต้องอยู่กับบ้านเพื่อดูแลลูกที่ยังเล็ก ผมจึงไม่ได้ให้เธอมาทำด้วย ที่จริงผมไม่ได้เอ่ยอะไรถึงสถานที่ที่สกปรกนี้กับเธอเลยเพราะเกรงว่าจะทำให้เธออยากกลับไปลอนดอน  ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะลงมือทำงาน  ผมบอกกับพี่น้องผู้นี้ว่า “เจมส์ คุณล้างผนังด้านนอกได้ไหม?”  ผมตั้งใจจะล้างห้องส้วม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำเลยสมัยเด็กๆ ในเมื่อผมมีคนรับใช้ถึงสองคนคอยดูแลผม  ความคิดว่าจะคุกเข่าทำความสะอาดห้องส้วมที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่ในหัวของผมเลยในสมัยก่อน  จริงๆแล้วผมไม่สามารถกำจัดสิ่งสกปรกออกไปได้ด้วยซ้ำ  ผมพยายามใช้น้ำยาหลายอย่างแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร นอกจากทำให้รอยสกปรกมันจางลงไปบ้าง  มีทางเลือกเดียวก็คือต้องใช้ฝอยขัด  นี่ก็คืองานอภิบาลงานแรกของผม  ผมคุกเข่าทำความสะอาดห้องส้วมสกปรกๆด้วยฝอยขัด  แค่ทำความสะอาดห้องเดียวก็ใช้เวลาอยู่นานโข  เจมส์ถามว่า “จะให้ผมช่วยไหม?”  ผมบอกว่า “ไม่ต้องหรอก คุณช่วยทำความสะอาดผนังด้านนอกก็พอ”

     ที่ผมแบ่งปันสิ่งนี้กับพวกคุณผมไม่ได้ต้องการให้คุณคิดว่าผมเป็นคนดี  ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น  อันที่จริงผมต้องต่อสู้ในเรื่องนี้  แต่ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ผมเรียนรู้หัวใจของผู้รับใช้ ซึ่งเป็นหัวใจของลูกแกะเมษโปดกที่กล่าวไว้ว่า “บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ” (มัทธิว 20:28)  นั่นเป็นบทเรียนแรกที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสอนผมว่า “นี่เป็นงานอภิบาลงานแรกของเจ้าใช่ไหม?  ถ้าเช่นนั้นก็จงเริ่มจากตรงนี้ โดยเริ่มกับห้องส้วมเหล่านี้แหละ”  ผมต้องการการฝึกฝนในแบบนี้เพื่อจะเรียนรู้หัวใจของลูกแกะเมษโปดก

     เมื่อมีคนเข้ามาประชุมที่คริสตจักรพวกเขาก็พูดกันว่า “ที่นี่ดูสว่างขึ้นและสะอาดขึ้นมากเลย!” พวกเขามองเข้าไปในห้องส้วมแล้วคิดว่าเป็นโถส้วมใหม่หมด  สถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากเดิมมากภายในอาทิตย์เดียว  แต่องค์ผู้เป็นเจ้าก็ยังประทานถ้อยคำให้แก่พวกเขาด้วยว่า “ชีวิตของพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนเช่นกัน”  และนั่นก็คือสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ  องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาตลอดห้าปีกว่า  เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในลิเวอร์พูลเหมือนที่ได้เห็นในลอนดอน ที่ผู้คนเริ่มเข้ามาร่วมประชุมมากขึ้นและไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็เต็ม        

     สถานที่ประชุมมีขนาดเล็กมาก และก็เต็มแน่นแล้วด้วยคนสี่สิบกว่าคน  ภายในระยะเวลาแค่18เดือนกว่า เราก็ต้องมองหาสถานที่ประชุมที่ใหญ่ขึ้น  เราเช่าสถานที่ของคริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ลที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเป็นคริสตจักรแองกลิคัน[40]แบบสมัยใหม่ไม่ใช่แบบโบราณ  มีเก้าอี้ที่ย้ายได้ไม่ใช่ม้านั่งยาวๆ  มีพรมแดงปูตรงกลางจากประตูทางเข้าไปจนถึงธรรมาสน์โดยมีเก้าอี้อยู่ทั้งสองฟาก  คริสตจักรแห่งนี้สามารถรองรับคนได้จำนวนมาก และเราก็มีคนเพิ่มมากขึ้นๆ  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ชีวิตของผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยฤทธิ์อำนาจจากพระคำของพระเจ้า

     วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเทศนาที่คริสตจักรเซนต์ไมเคิ้ล และมีผู้คนนั่งอยู่ทั้งสองฟากของพรมแดง  ผมเห็นคนหนึ่งนั่งอยู่ในแถวที่สองหรือสามที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน  มีคนใหม่เข้ามาตลอดเวลาโดยการชักนำของพระวิญญาณของพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  แต่ขณะที่ผมกำลังเทศนาอยู่  ทันใดนั้นชายคนนี้ก็พลุ่งจากเก้าอี้เหมือนถูกผลักอย่างแรงแล้วก็ล้มหน้าคว่ำบนพรมแดงตรงกลาง  ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่บ่อยๆ  สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ถ้าคุณตกจากเก้าอี้ คุณก็จะถลาล้มไปทางเก้าอี้ด้านหน้า  แต่เขากลับล้มลงมาบนพรมแดง  สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ากำลังทำงาน  ชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้ว่าพรมจะบางมากก็ตาม  เขาล้มหน้าคว่ำลงบนพรมโดยไม่ได้เอามือยันไว้เลย  เขาแค่ล้มลงไป!  เขาถูกผลักด้วยพลังอย่างหนึ่งและพลุ่งลงตรงนั้น  เขานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นและที่ประชุมก็พากันตกตะลึง  พี่น้องผู้ชายสองสามคนมาช่วยพาเขาไปด้านหลังห้องประชุมและพวกเขาก็แจ้งให้ทราบในภายหลังว่าชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  คุณจะล้มหน้าคว่ำลงไปด้วยแรงขนาดนั้นโดยไม่เจ็บตัวได้อย่างไร?  ผมคิดว่าองค์ผู้เป็นเจ้ากำลังสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์  ผมไม่รู้ว่าคนนี้มาจากไหนและผมไม่เคยเห็นเขาอีกเลย  ดูเหมือนเขาแค่ผ่านมาลิเวอร์พูล

     เมื่อคุณเผลอหลับบนเก้าอี้ หัวของคุณจะผงก เหมือนที่บางคนผงกหัวเมื่อคุณเทศนา!  ในที่สุดก็หยุดผงกและคางจะตกมาเกยกับหน้าอก  แต่คุณจะไม่ล้มไปข้างหน้า  ผมใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง  พลังแบบไหนหนอที่จะผลักชายกลางคนผู้นี้ให้ตกจากเก้าอี้และหน้าคว่ำลงบนพื้นโดยไม่เจ็บตัวเลย?  ผมคิดว่าคริสตจักรเริ่มจะเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานท่ามกลางพวกเรา โดยที่ไม่ต้องพูดถึงการรักษาโรคและเรื่องทำนองนั้น  แต่ประเด็นของผมก็คือ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากการล้างห้องส้วม  เมื่อคุณเรียนรู้หัวใจและความคิดของลูกแกะเมษโปดก คุณก็จะเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

     วันก่อนมีผู้ร่วมงานบางคนมาบอกผมว่า พวกเขารู้สึกผิดหวังที่พันธกิจของพวกเขาดูเหมือนจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย  ดูเหมือนพวกเขาไม่มีพลังและไม่มีอะไรสำเร็จเลย  แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักการที่ผมกำลังแบ่งปันกับคุณในบทนี้ คุณจะมีประสบการณ์กับเคล็ดลับของพลังสำหรับตัวคุณเอง หลักการนี้ไม่เคยล้มเหลว

     ผมอยากจะแบ่งปันหลักการขั้นพื้นฐานบางอย่างในฝ่ายวิญญาณกับคุณในรูปแบบของประเด็น ผมจะไม่อธิบายในรายละเอียดเนื่องจากเวลาจำกัด  เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักการพื้นฐาน นั่นก็คือคนฝ่ายเนื้อหนังจะไม่สามารถสร้างคริสตจักรของพระเจ้าได้  หากคริสตจักรภายใต้การดูแลของพวกคุณไม่ได้ถูกเสริมสร้างขึ้น คุณควรต้องถามตัวคุณเองว่าเป็นเพราะคุณเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังหรือไม่  จงให้องค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้คุณเห็นความคิดทางเนื้อหนังของคุณ

     คุณสามารถจะดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกได้สำเร็จโดยการสถิตอยู่ของพระวิญญาณไหม?  ภาพของลูกแกะเมษโปดกเป็นภาพที่สวยงาม ลูกแกะเมษโปดกเป็นสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เมื่อคุณมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก ผู้คนจะเห็นความชอบธรรมของพระเจ้าในคุณไม่ว่าคุณจะเปิดปากของคุณหรือไม่ก็ตาม  ที่สำคัญที่สุดก็คือเหล่าวิญญาณชั่วจะดูคุณออก  สิ่งนี้สำคัญเพราะเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับเนื้อและเลือด เหตุผลหนึ่งที่ผู้ร่วมประชุมของคุณไม่ก้าวหน้าไปไหน ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณขาดฤทธิ์อำนาจที่จะต่อสู้กับเหล่าอำนาจและเหล่าศักดิเทพที่ดักซุ่มอยู่  เปาโลกล่าวว่า “เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ (เอเฟซัส 6:12 ฉบับNIV)  คุณจะไม่ชนะการต่อสู้นี้ถ้าคุณไม่มีชีวิตของลูกแกะเมษโปดก

     ผมได้แบ่งปันกับคุณเรื่องที่ผมถูกเรียกให้ไปขับผีเมื่อสองสามปีก่อน  มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนถูกผีเข้าสิง  คริสเตียนบางคนไม่สามารถขับผีออกได้ พวกเขาจึงมาตามหาผม  แค่ถามคำถามเธอสองสามคำถามผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอถูกผีที่มีฤทธิ์มากเข้าสิง  ผมไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่รู้จักผม แต่ว่าผีจำผมได้ทันที  ผีรู้ว่าผู้รับใช้ขององค์ผู้เป็นเจ้าคนนี้มีฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้เป็นเจ้า  ในขณะที่คนอื่นๆไม่สามารถขับผีนี้ออกได้ อันที่จริงผีหัวเราะเยาะพวกเขา แต่ผีไม่ได้หัวเราะเยาะเมื่อผมเดินเข้าไป  สิ่งต่อมาที่ผมรู้ก็คือ หญิงผู้นี้หมอบลงที่แทบเท้าของผม  ที่จริงเป็นผีที่กำลังทำเช่นนี้

     เมื่อพวกผีเห็นพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก พวกมันตกใจมากและร้องตะโกนว่า พระบุตรของพระเจ้า พระองค์ต้องการอะไรจากเราหรือ?พระองค์ทรงมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนถึงกำหนดเวลาหรือ?” (มัทธิว 8:29)  หญิงผู้นี้กำลังหมอบตรงแทบเท้าของผม ผมจึงพูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้เถอะ ผมจะได้พูดคุยกับคุณได้?”

หลักการของฤทธิ์อำนาจฝ่ายวิญญาณ

     ในพันธกิจรับใช้ของคุณ คุณกำลังรับมือกับเหล่าวิญญาณที่มีพลังอำนาจ  น่าเสียดายที่ผู้ร่วมงานหลายคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้  และวิญญาณเหล่านี้สามารถจะรัดพันธกิจรับใช้ของคุณให้สิ้นสุดลงได้  คุณจะเห็นสิ่งต่างๆเกิดขึ้นที่คุณไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในคริสตจักรของคุณซึ่งรวมถึงความผิดบาปที่ทำไป เหล่าวิญญาณชั่วกำลังสนุกกันใหญ่ในคริสตจักรของคุณ  แต่เมื่อคุณมีวิญญาณของลูกแกะเมษโปดก ศัตรูก็จะจำคุณได้และถอยหนี  ในที่สุดผมก็ขับผีออกจากหญิงคนนี้และเป็นผลให้ทั้งครอบครัวของเธอได้รับความรอด  พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นคริสเตียนรวมทั้งสามีของเธอ  แต่เมื่อเธอได้มาหาองค์ผู้เป็นเจ้า สามีและลูกสาวจึงมาเชื่อด้วย  ตอนนี้ลูกสาวก็อยู่ในคริสตจักรมอนทรีออลของเรา  งานของพระเจ้าจะก้าวหน้าก็เมื่อชีวิตของคุณเป็นช่องทางให้ชีวิตและฤทธิ์อำนาจของลูกแกะเมษโปดกทำงานผ่านชีวิตของคุณ

     ลูกแกะเมษโปดกทรงมีพลังอำนาจมาก  วิวรณ์ 5:6 กล่าวว่าพระเยซูผู้เป็นลูกแกะเมษโปดกมีเขาเจ็ดเขา  เขาเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเขาของสัตว์ตามคำ แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่สมบูรณ์ขององค์ผู้เป็นเจ้า  แต่เราได้เห็นแล้วว่าความเข้มแข็งและความอ่อนแอนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันและควบคู่กัน  ในวิวรณ์ 5:6[41] ข้อเดียวกันนี้กล่าวว่าลูกแกะเมษโปดกมีตาเจ็ดดวง  ดวงตาเหล่านี้ไม่ใช่ดวงตาจริงๆ  ดวงตาเหล่านี้หมายความเพียงว่าพระเยซูทรงมีพระวิญญาณอย่างเต็มบริบูรณ์โดยพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า (วิวรณ์ 3:1)[42] คือพระวิญญาณที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า  คุณสามารถจะเข้าใจได้ว่าอะไรคือพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าก็โดยดูที่อิสยาห์ 11:2[43]ซึ่งพูดถึงพระปัญญา ความเข้าใจ ความรู้ ความยำเกรงพระเจ้าและอื่นๆ  ลูกแกะเมษโปดกอาจจะอ่อนแอแต่พระองค์ก็ไม่ได้โง่เขลาทรงเพียบพร้อมด้วยพระปัญญาและฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นของพระเจ้า

     อีกหลักการหนึ่งของชีวิตฝ่ายวิญญาณคือ ถ้าคุณมุ่งไปที่ความเป็นฝ่ายวิญญาณ มันจะหนีคุณไป  แต่ถ้าคุณมุ่งไปที่ลูกแกะเมษโปดก ความเป็นฝ่ายวิญญาณก็จะมาหาคุณ  จงอย่าพยายามทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายวิญญาณ  ขอเพียงคุณยอมจำนนชีวิตของคุณให้กับชีวิตของลูกแกะเมษโปดก  ความเป็นฝ่ายวิญญาณไม่ใช่สิ่งลี้ลับที่คุณได้มาด้วยการหายใจลึกๆและการใคร่ครวญภาวนา  คุณจงอย่าให้การเป็นฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย  ถ้าคุณพยายามที่จะทำเช่นนั้นคุณจะไม่มีวันสำเร็จ  แต่เมื่อคุณติดตามลูกแกะเมษโปดก คุณจะกลายเป็นฝ่ายวิญญาณโดยแทบไม่รู้ตัว

     สิ่งนี้นำเรามาถึงจุดที่สำคัญคือ คนฝ่ายวิญญาณไม่ได้ตระหนักว่าตนเองเป็นฝ่ายวิญญาณ  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ได้มุ่งไปที่การเป็นฝ่ายวิญญาณมาเป็นตัวเป้าหมาย  นอกจากนี้ยังหมายความว่า ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณ นั่นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณไม่ได้เป็น เราจะเห็นหลักการของการกลับกันนี้อีกครั้ง  มนุษย์ฝ่ายวิญญาณมุ่งความสนใจไปที่ลูกแกะเมษโปดกและลืมนึกถึงตัวของเขาเอง เพราะสำหรับเขาแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  ถ้าสำหรับคุณแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ความสนใจของคุณก็จะมุ่งไปที่พระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะเมษโปดก ความจดจ่อไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ  ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ผมกังวลมากเท่ากับการคิดถึงตัวเองอย่างไม่จบสิ้นเกี่ยวกับ “ฉัน ของฉัน และตัวฉัน” และตลอดถึงการต่อสู้ภายในทั้งปวง  การครุ่นคิดถึงตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้นไม่ได้ส่งเสริมความเป็นฝ่ายวิญญาณ  ให้เราลืมนึกถึงตัวเองและมุ่งความสนใจไปที่ลูกแกะเมษโปดก “โดยเพ่งมองที่พระเยซูผู้เริ่มต้นของความเชื่อและผู้​​ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์” (ฮีบรู 12:2)

     ความคิดของลูกแกะเมษโปดกไม่ได้มองหาใครสักคนที่จะมารับใช้คุณ แต่มองหาใครสักคนที่คุณจะได้รับใช้  ทุกวันคุณสามารถถามตัวคุณเองว่า “วันนี้ฉันจะรับใช้ใครได้บ้าง?  วันนี้มีอะไรที่ฉันจะทำให้ใครสักคนได้บ้าง?”  คงไม่มีอะไรจะช่วยให้ตัวคุณออกมาจากความน่าเวทนาที่เอาแต่คิดถึงตัวเองได้ดีเท่ากับการเสาะหาโอกาสที่จะรับใช้ ที่จะให้บางอย่าง ที่จะทำบางอย่างให้บางคน  คุณจะ ต้องคิด ใคร่ครวญ และอธิษฐานว่าองค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงนำคุณให้ไปหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ  อาจเป็นใครสักคนที่คุณสามารถจะโทรหาและพูดคุยกับเขา หรือใครสักคนที่คุณสามารถจะช่วยเหลือและหนุนน้ำใจ  คริสตจักรจะได้รับการเสริมสร้างขึ้นด้วยความรักและความห่วงใยต่อกัน  คริสตจักรของคุณจะไม่หยุดอยู่กับที่ถ้าคุณเป็นตัวอย่างในการเอาใจใส่ต่อกันและกัน  ผู้คนจะเข้ามาและเห็นว่าคริสตจักรของคุณแตกต่างจากที่อื่น  เหมือนที่มีคนมากมายพูดถึงคริสตจักรมอนทรีออลเมื่อหลายปีก่อน  แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรมอนทรีออลไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ผมเสียใจที่ต้องพูดเช่นนี้  ในอดีตจะมีผู้คนมาเยี่ยมเยียนเราและเห็นสิ่งที่แตกต่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ว่า “เป็นได้อย่างไรที่ทุกคนจะดูแลเอาใจใส่อย่างนั้น และกระตือรือร้นที่จะรับใช้คนที่พวกเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ”  นั่นคือความคิดของลูกแกะเมษโปดก  พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ และให้ชีวิตของพระองค์กับคนจำนวนมาก

     หัวใจสำคัญของการเป็นฝ่ายวิญญาณสรุปไว้ในลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า  ทุกหลักการของฤทธิ์อำนาจฝ่ายวิญญาณมุ่งไปที่ความเข้าใจและการดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า  ผมไม่มีเคล็ดลับในฤทธิ์อำนาจอื่นใดนอกจากว่า สำหรับผมแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ นั่นก็คือมีชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า

     สิ่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นคนดีเลย  คริสเตียนจำนวนมากไม่ได้เข้าใจสิ่งนี้  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนที่ดีเพราะพวกเขาเป็นคนดี  และคนฝ่ายเนื้อหนังก็สามารถเป็นคนดีได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขามีและเขามักจะมีแรงจูงใจแฝงที่จะเป็นคนดี  และถ้าเขาต้องการจะได้บางสิ่งบางอย่างจากคุณ เขาก็รู้วิธีที่จะทำดีกับคุณโดยที่คุณจะไม่เห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของเขาเหมือนอย่างคนที่มีสองบุคลิก[44]  ลูกแกะเมษโปดกเป็นสัญลักษณ์และหัวใจสำคัญของความบริสุทธิ์ซึ่งตรงข้ามกันเลยกับความเป็นเนื้อหนัง

     วิวรณ์ 6:16 ได้พูดถึง “ความพิโรธของลูกแกะเมษโปดก”[45]ลูกแกะเมษโปดกทรงโกรธกริ้วต่อบาป  เมื่อพระเยซูทรงโกรธกริ้ว พระองค์อาจจะไม่เป็นคนที่ดีนัก  พระองค์ทรงไล่พ่อค้าออกจากพระวิหารและคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน (ยอห์น 2:13-16; มัทธิว 21:12-13)  ในมัทธิวบทที่23พระองค์ตรัสย้ำว่า “วิบัติแก่​​เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด!”  ลูกแกะเมษโปดกไม่กลัวที่จะพูดความจริงเมื่อพระองค์จำเป็นต้องพูด  จงอย่าเป็นคนที่อะลุ้มอล่วยกับความอธรรม  จงพูดความจริงเมื่อคุณต้องพูด แต่จงพูดด้วยความรักเสมอตามที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ทำได้

     เราดำเนินชีวิตของลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่าได้ขนาดไหน ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็จะถูกสำแดงในเราได้ขนาดนั้น  ถ้าคุณนำมาปฏิบัติน้อย คุณก็จะได้รับพลังน้อย  ยิ่งลูกแกะเมษโปดกทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตของคุณมากเท่าใด พระองค์ก็ทรงจะควบคุมชีวิตของคุณมากเท่านั้น และฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ก็จะถูกสำแดงมากขึ้นเท่านั้น  ไม่ได้มีข้อจำกัดใดๆในเรื่องนี้เลย  ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักการชีวิตของลูกแกะเมษโปดก  ไม่มีความท้าทายใดที่จะใหญ่เกินไป  เมื่อผมเผชิญกับความท้าทายที่จะอธิษฐานเพื่อรักษาโรค ผมจะทำถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ผมทำ  นี่ไม่ใช่สิ่งที่บางครั้งก็ทำสำเร็จหรือบางครั้งก็ไม่สำเร็จ  ถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าได้ทรงสั่งให้ผมทำ ก็จะไม่มีสักกรณีที่คนที่นั้นจะไม่หายเมื่อผมอธิษฐานรักษาโรค  ผมไม่กล้าทำในสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงอนุญาต แต่ผมจะทำสิ่งที่องค์ผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้ผมทำโดยไม่สงสัย ผมพูดด้วยความมั่นใจจริงๆว่ามันไม่เคยล้มเหลว

     ช่วงท้ายนี้ ผมหวังว่าผมได้ให้ข้อสรุปบางประเด็นที่คุณจะสามารถใคร่ครวญในเรื่องนี้ได้ ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเคล็ดลับและหัวใจสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณในความแตกต่างและซับซ้อนนั้นจะกระจ่างชัดในลูกแกะเมษโปดก นั่นก็คือเคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ได้บอกเราว่า พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งในโลกและพระองค์จะทรงทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ  วิธีดำเนินการ[46] วิธีการทำงานของพระองค์ก็คือผ่านทางลูกแกะเมษโปดก ซึ่งเป็นลูกแกะเมษโปดกที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นและมีชัยทุกอย่าง  ความอ่อนแอและความเข้มแข็งมักจะไปด้วยกันเสมอ ไม่ใช่อันหนึ่งตามหลังอีกอันหนึ่งแต่ไปด้วยกันเสมอ  มันไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ คุณจึงจำเป็นต้องนำมาปฏิบัติอย่างตั้งใจ เมื่อใดที่คุณไม่ได้นำมาปฏิบัติ ความจดจ่อของคุณจะไปที่อื่น  ฮีบรู 12:2 กล่าวไว้ว่าเราจะต้อง “เพ่งมองที่พระเยซู”  นาทีที่คุณไม่จดจ่อ คุณจะจมน้ำเหมือนกับที่เปโตรจมลงเมื่อเขาเดินบนน้ำไปหาพระเยซู  มันต้องมีความจดจ่อกับความตั้งใจ  เปาโลกล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่รู้สิ่งใดเลยเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในหมู่พวกท่าน เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และ​​ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1โครินธ์ 2:2)  เปาโลต้องการรู้แต่เพียงเรื่องลูกแกะเมษโปดกที่ถูกตรึงกางเขน ลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า  นั่นคือเคล็ดลับของชีวิตเปาโล

     เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ ให้คุณจดจ่อกับองค์ผู้เป็นเจ้าเสียใหม่ แล้วคุณจะพบพลังอำนาจอีกครั้ง มันไม่ใช่ความพยายามทางจิต  ความจดจ่อไม่ได้เป็นการกระทำของจิต แต่เป็นสิ่งที่มาจากใจ  เมื่อใจจดจ่อ ใจก็ยังคงจดจ่ออยู่แม้ว่าความคิดของคุณจะกำลังทำอย่างอื่นก็ตาม  คุณไม่ต้องกังวลว่าความคิดของคุณไม่ได้ตั้งใจจดจ่ออยู่กับองค์ผู้เป็นเจ้าเสมอไป  เพราะใจจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้ให้คุณไปทางทิศที่ถูกเสมอ ไม่ว่าคุณจะหันมันไปทางไหน เข็มของมันก็ยังคงชี้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง  ความคิดของคุณอาจเปลี่ยนไปมาและเข็มทิศอาจหมุนไปมา  แต่เข็มของใจจะยังคงชี้ไปที่พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก  มันเป็นความสวยงามที่บทสุดท้ายของวิวรณ์มีคำว่า “พระเจ้าและลูกแกะเมษโปดก” ถึงสองครั้ง ซึ่งเป็นการรวมกันของทั้งสอง  และนี่นำเราไปสู่จุดสำคัญสูงสุดของวิวรณ์



[1]มาระโก 8:22-26พระองค์กับพวกสาวกจึงไปยังเมืองเบธไซดามีบางคนพาคนตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์และทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงสัมผัสคนนั้น  พระองค์จึงทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้านเมื่อทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของคนนั้นและวางพระหัตถ์บนตัวเขาแล้วพระองค์ตรัสถามว่า“ท่านเห็นอะไรบ้างหรือไม่?”  คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่า“ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา”พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาของเขาอีกแล้วเขาก็เพ่งดูและตาก็หายเป็นปกติมองเห็นสิ่งต่างๆชัดเจน  พระองค์จึงตรัสสั่งให้คนนั้นกลับไปที่บ้านของตนเองและทรงกำชับว่า“อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น”

[2]Theology (เทววิทยา) หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า (ผู้แปล)

[3]Gnosticismความเชื่อในช่วงศตวรรษที่1 ของคริสเตียนที่ยอมรับด้านมืดบางอย่างเข้ามารวมอยู่ในความรู้คือเชื่อว่าความรู้ที่ปิดซ่อนอยู่จะนำไปสู่ความรอด (ผู้แปล)

[4]Philo of Alexandria นักปรัชญายิวที่ได้พยายามผสมผสานปรัชญากรีกกับปรัชญายิวเข้าด้วยกัน

[5]หรือ “คนที่ไม่มีศาสนา”

[6]Eisegesisคือการตีความเกินจากตัวบท

[7]คำกล่าวนี้มาจากหลักข้อเชื่อไนซีนที่มีทั้งหมด26 ข้อ หลักข้อเชื่อไนซีนฉบับแปลภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันมี3ฉบับคือของศาสนจักคาทอลิกของสภาคริสตจักรในประเทศไทยและของคริสตจักรแองกลิกันในประเทศไทย) ผู้แปลนำมาอ้างอิง 5 ข้อจากทั้ง3ฉบับดังนี้

  ข้อ1เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว(หรือพระเจ้าหนึ่งเดียว หรือพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว) 

  ข้อ3เชื่อในพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียว (หรือหนึ่งเดียว) ของพระเจ้า  

  ข้อทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า (หรือทรงเป็นพระเจ้ากำเนิดมาจากพระเจ้า) 

  ข้อแสงสว่างจากแสงสว่าง (หรือเป็นองค์ความสว่างจากความสว่าง หรือเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง) 

  ข้อพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ (หรือทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้)

[8]รม 5:19 “เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไรคนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น”

[9]Orthodox

[10]Complete Jewish Bible; และ Tanakhคือพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูของชาวยิว

[11]Arndt-Gingrich lexicon

[12]Ante-Nicene Fathers(อย่าสับสนคำ ante ที่หมายถึง “ก่อน” กับ antiที่หมายถึง “ต้าน”) 

[13]First Council of NicaeaCouncil of Nicaea

[14]Augustine, bishop of Hippo

[15]Complete Jewish Bible; English Standard Version; New American Standard Bible; New International Version

[16]Sufis คือนิกายที่แตกมาจากนิกายชีอะห์ ที่พยายามจะนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์จากศาสนามาสัมพันธ์กับชีวิตภายใน

[17]Evangel­icalism คือขบวนการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระคริสต์ ที่เกิดจากการฟื้นฟูของกลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาและหลายกลุ่มนิกายในศตวรรษที่ 18 และ 19 ในยุโรปและอเมริกา ที่ให้เน้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์ โดยการรับการยกโทษบาปจากพระคริสต์และบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ  ผู้ร่วมฟื้นฟูที่สำคัญมี จอร์จ ไวท์ฟิลด์, จอห์น เวสเล่ย์, และโจนาธาน เอ็ดเวิร์ด (ข้อมูลจากเว็บไซด์ของคริเตียนอีแวนเจลิคอลกลุ่มต่างๆ-ผู้แปล)

[18]Sinners in the Hands of an Angry God”by Jonathan Edwards (นักปรัชญาและศาสนศาสตร์ ค.ศ. 1703-1758)

[19]Marcion

[20]Jesus”มาจากชื่อฮีบรูว่า “יְהוֹשֻׁעַ” (“เยโฮชูวา หรือ “โยชูวา” หรือภายหลังเป็น “เยชูวา”แปลว่า “พระยาห์เวห์เป็นความรอด”)

[21]Calvinist

[22]Raymond & Rosa Suen; James Ho

[23]BibleWorks เป็นโปรแกรมค้นคว้าพระคัมภีร์

[24]วิวรณ์7:17เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขาและจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิตและพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย”

[25]Arndt-Gingrich or Thayer

[26]มัทธิว 5:3“คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุขเพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย”

[27]ลูกา14:10 “ฉะนั้นเมื่อท่านได้รับเชิญจงไปนั่งในที่ต่ำก่อนเพื่อที่ว่าเมื่อเจ้าภาพมาพูดกับท่านว่าเพื่อนเอ๋ยเชิญไปนั่งในที่อันมีเกียรติเถิดเมื่อนั้นท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าทุกคนที่ร่วมนั่งรับประทานนั้น”

[28]1 ครินธ์ 15:31“พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าตายทุกวันข้าพเจ้าขอยืนยันโดยความภูมิใจในพวกท่านที่ข้าพเจ้ามีในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” 

[29]ฟีลิปปี2:5จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์”

[30]ฟีลิปปี3:8 “ข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุนเพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าเพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่างและถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร” 

[31] หรือ “พระฉายา”

[32] หรือ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” หรือ “ผู้เป็นคนแรกและผู้เป็นคนสุดท้าย” (“I am the first and the last Rev 1:17 NAU)

[33]วิวรณ์7:17เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขาและจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิตและพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย”

[34]University of Western Ontario ในประเทศแคนาดา

[35]ยอห์น6:51 “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ถ้าใครกินอาหารนี้คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา”

[36]Tyndale House of Cambridge

[37]James DunnPastor Dieter

[38]The Gospel Church

[39]fish and chips shops

[40]St Michael Church; Anglican Church

[41]วิวรณ์ 5:และระหว่างพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นและท่ามกลางพวกผู้อาวุโสข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกทรงยืนอยู่เหมือนดังถูกปลงพระชนม์แล้วพระองค์ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีดวงตาเจ็ดดวงซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลกแล้ว”

[42]วิวรณ์3:1“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่าพระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าและทรงมีดาวเจ็ดดวงนั้นตรัสดังนี้ว่า เรารู้จักความประพฤติของเจ้าคือเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่แต่ว่าเจ้าตายแล้ว

[43]อิสยาห์ 11:2และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงอยู่บนท่านคือพระวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจพระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพพระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์ (ฉบับมาตรฐาน2011)

[44]DrJekyll and MrHyde นิยายวิทยาศาสตร์เขียนโดย Robert Louis Stevenson เรื่องของคนที่มีสองบุคลิกอยู่ในคนคนเดียวกัน

[45]วิวรณ์ 6:16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่าจงล้มทับเราเถิดจงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งและจากพระพิโรธของพระเมษโปดก”

[46]modus operandi  วลีจากภาษาลาตินที่หมายถึง “method of operation