พิมพ์
หมวด: The Only True God
ฮิต: 3201

pdf pic

บทที่ 14

 

ch1 1

 

พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณในวิวรณ์

 

 

     เรากำลังมาถึงช่วงท้ายของการศึกษาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ในบทต่างๆนั้นเราได้ดูจากปฐมกาล ดูจากเล่มที่เหลือของหมวดพระบัญญัติ พระกิตติคุณยอห์น และอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์  บทนี้เราจะดูเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวในวิวรณ์  คริสเตียนส่วนใหญ่จะคิดว่าวิวรณ์เป็นหนังสือคำพยากรณ์และเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย  แต่เราจะไม่มองวิวรณ์จากแง่มุมนั้น เพราะความสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย

     วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์นี้ เป็นการเปิดเผยจากพระเจ้าที่พระองค์ประทานแก่พระเยซูคริสต์  ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการเปิดเผยถึงการนมัสการพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียว  หรือพูดได้ว่าวิวรณ์เป็นหนังสือที่เปิดเผยถึงความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวได้อย่างดีเยี่ยม  ในหนังสือนี้ผมเห็นพระปัญญาและการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า เพราะภาพนิมิตในสวรรค์บอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่าวันหนึ่งคริสตจักรจะตกต่ำลงสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ ซึ่งกรณีเฉพาะก็คือความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

     วิวรณ์ยังเผยลึกขึ้นในเรื่องของประสบการณ์ทางฝ่ายวิญญาณด้วย และในบริบทของภาพนิมิตในสวรรค์ของยอห์นก็เป็นเช่นนั้น  วิวรณ์ไม่ได้นำเสนอข้อเชื่ออย่างมีแบบแผน ซึ่งต่างจากจดหมายของเปาโลที่มีไปถึงชาวโรม  แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เผยให้เห็นภาพนิมิตต่างๆในสวรรค์แบบปะติดปะต่อทีละฉากๆให้อัครทูตยอห์นได้เห็น  วิวรณ์เป็นหนังสือที่มาจากประสบการณ์การใช้ชีวิตของยอห์น

     เมื่ออ่านวิวรณ์ เราต้องต่อสู้กับปัญหาความเป็นฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง  ยอห์นแสดงให้เราเห็นภาพนิมิตฝ่ายวิญญาณและถ้อยคำเผยพระวจนะ  แต่สิ่งที่ปิดกั้นการมองเห็นของเราจากภาพนิมิตเหล่านั้นก็คือม่านของเนื้อหนังที่บังตาของเราไว้  คุณจะสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณให้กับคนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?  สิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยวิญญาณ (1 โครินธ์ 2:14)[1]  คุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วยปัญญาฝ่ายเนื้อหนังของคุณได้  ผมได้พคนมากมายที่มีความรู้และเฉลียวฉลาดในยุคของผมที่ฝ่ายวิญญาณทึบ  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาจากสติปัญญาของมนุษย์  คนบางคนอาจมีปริญญาขั้นสูงหลายใบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณได้เช่นเดียวกับเด็ก  ถ้าสิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ  แล้วเราจะเข้าถึงพระกิตติคุณยอห์นหรือความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้อย่างไร?

     เรื่องที่น่าเศร้าอย่างมากก็คือว่า ความจริงนิรันดร์ได้ตกอยู่ในมือของคริสตจักรที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และไม่นานความจริงก็ถูกบิดเบือนจนไม่อาจจำได้  พระเจ้าได้เสาะหาที่จะให้มีคนฝ่ายวิญญาณในโลกนี้ ซึ่งก็คือคนของพระเจ้า แต่กลับกลายเป็นว่า คนของพระเจ้าเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  ในพระคัมภีร์เดิมเราจะเห็นเรื่องน่าเศร้าของอิสราเอลกับความหายนะครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดจากเนื้อหนังของมนุษย์

เรื่องราวที่น่าเศร้าของอิสราเอล

     เมื่อพระเจ้าทรงเลือกชนอิสราเอลนั้น พระองค์ต้องทนกับรูปแบบของบาปแบบไม่จบไม่สิ้น ที่ประชากรของพระเจ้าละทิ้งพระองค์และไปไหว้รูปเคารพ ก่อนหน้านี้เมื่อพระองค์ได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองบนภูเขาซีนาย ชาวอิสราเอลก็ห่างเหินจากพระองค์แล้ว

เมื่อประชาชนเห็นฟ้าร้องและฟ้าแลบ ได้ยินเสียงแตร และเห็นภูเขาเป็นควัน ได้ยินเสียงฟ้าคำรนและก็ยืนอยู่แต่ไกล พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว  พวกเขายืนอยู่ห่างๆและกล่าวกับโมเสสว่า “จงพูดกับเราเอง แล้วเราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราเลย ไม่เช่นนั้นเราจะตาย” (อพยพ 20:18-19 ฉบับ NIV)

     ความเหินห่างจากพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์ทำอยู่นั้น ในไม่ช้าก็เป็นการบ่นว่าอย่างเต็มขั้น  ประชากรของพระเจ้าผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือก และทรงพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆนั้น ไม่หยุดบ่นว่าพระองค์ตลอดการเดินทาง 40 ปีผ่านถิ่นทุรกันดาร  การบ่นว่ามุ่งเป้าไปที่พระเจ้าเป็นหลัก แต่ก็เกือบทำให้โมเสสหัวเสียไปด้วย  แค่นั้นดูเหมือนยังไม่พอ เพราะท้ายที่สุดเมื่อชาวอิสราเอลได้ข้ามเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาก็เปลี่ยนแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้กลายเป็นแผ่นดินแห่งการไหว้รูปเคารพ

     นอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  พวกเขาต้องการให้กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาปกครองพวกเขาเหมือนกับชาติทั้งหลายที่อยู่รอบๆพวกเขา  อิสราเอลขาดกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ ชาติอื่นๆก็จะพูดว่า “ใครเป็นกษัตริย์ของพวกท่าน?  พวกท่านไม่มีสักองค์ด้วยซ้ำ!” สำหรับชาวอิสราเอลแล้ว มันเป็นเรื่องน่าอับอายระดับชาติ ที่พระเจ้าองค์เจ้านายทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  ในที่สุดพวกเขาก็เลือกแบบอย่างมนุษย์ที่ดูน่าภาคภูมิมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขา คือซาอูล ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผย สูงใหญ่น่าประทับใจ ศีรษะและไหล่ก็สูงเหนือคนทั้งหลาย  ถ้าคุณมองไปที่ฝูงชนอิสราเอล คุณจะเห็นศีรษะของคนหนึ่งสูงเด่นเหนือคนอื่นๆ  นั่นคือซาอูลที่กิริยาท่าทางน่าประทับใจ มาเป็นผู้ปกครองอย่างที่ประชาชนต้องการเลย  เขามีท่วงท่าและความสง่างามของกษัตริย์ที่คนจีนเรียกว่าท่วงทีของเสือ[2]  แต่คุณสมบัติฝ่ายวิญญาณของซาอูลล่ะ?  ก็ไม่ต้องสนใจถามนั้นหรอกเพราะตอนนี้เรากำลังพูดถึงกษัตริย์กันอยู่

     ถ้าจะพูดตามภาษาของการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแล้ว ซาอูลได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย  ประชาชนเลือกเขาเข้ามาและเลือกพระเจ้าออกไป  ผู้เผยพระวจนะซามูเอลที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณเพียงคนเดียวจากทั้งหมดก็โกรธในเรื่องนี้ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงฟังทุกสิ่งที่ประชาชน​​พูดกับเจ้าเพราะ​​พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่พวกเขาได้ปฏิเสธเรา ไม่ต้องการให้เราเป็นกษัตริย์ของพวกเขา(1ซามูเอล8:7 ฉบับ NIV)  พระเจ้าทรงถูกประชากรของพระองค์เองปฏิเสธหรือ?  มีอะไรที่เป็นไปได้อีกบ้าง?  และจากนั้นไม่นานก็มีความหายนะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ  ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมีกษัตริย์ที่ดีเพียงสามพระองค์เท่านั้น

     รูปเคารพเพิ่มทวีขึ้นทุกแห่งหน ใต้ต้นไม้ทุกต้นและบนเนินเขาทุกลูก  เมื่อคุณเข้าไปในบ้านไหนก็จะเจอรูปเคารพอยู่ในนั้น เหมือนที่เราเข้าไปในบ้านของคนจีนนั่นแหละ  พระเจ้าทรงเหลืออดแล้วจึงมีการพิพากษาโทษ  ชาวบาบิโลนก็เผาพระวิหารจนราบเรียบแล้วกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย  เจ็ดศตวรรษต่อมาพวกเขาจึงซมซานกลับมาจากการถูกเนรเทศแบบคนที่มีแผลเป็นและเจียมตัว  คราวนี้พวกเขาได้ตัดสินใจนมัสการพระเจ้าองค์เดียวและเพียงผู้เดียวเท่านั้น พวกเขาต้องใช้เวลานานหลายศตวรรษกว่าจะเรียนบทเรียนนี้  แต่เมื่อพวกเขาสำนึกตัวได้ ก็มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน

     จากช่วงของมาลาคี (ราว 444 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อให้จำวันเวลาได้ง่าย) จนถึงช่วงของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นไม่มีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลเลย  พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับประชากรของพระองค์แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ตาม  แค่นั้นยังไม่ดีพอสำหรับพระเจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาในช่วงสี่ศตวรรษครึ่ง ซึ่งก็เกือบครึ่งสหัสวรรษ[3]จนมาถึงช่วงสมัยของพระคริสต์  พระเจ้าทรงนิ่งเงียบ เพราะพระองค์ไม่ตรัสกับผู้ที่ได้ปฏิเสธพระองค์ให้เป็นกษัตริย์

เรื่องราวที่น่าเศร้าของคริสตจักร

     แล้วคริสตจักรล่ะ?  เมื่อมองย้อนดูคริสตจักรเมื่อ 1,600 หรือ 1,700 ปีที่ผ่านมา เราเห็นเรื่องราวคล้ายๆกัน  ก่อนหน้านี้พระเยซูได้ทรงให้ถ้อยคำที่อัศจรรย์เรื่องความรอดนิรันดร์  พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเปิดยุคแห่งพระคุณ และบรรดาคนของพระเจ้าก็มีประสบการณ์กับความหวังใหม่  แต่ภายในเวลาไม่กี่ศตวรรษหลังจากที่พระเยซูได้ประกาศถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์คริสตจักรก็ตกต่ำลง  และในวิวรณ์บทที่ 2 และ 3 มีห้าคริสตจักรจากเจ็ดคริสตจักรในแคว้นเอเชียได้ถูกองค์ผู้เป็นเจ้าติเตียนเรื่องความบาปและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา  มีหนึ่งคริสตจักรที่ถูกประกาศว่าได้ตายแล้ว ดังที่กล่าวว่า “เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว(วิวรณ์ 3:1ฉบับNIV)  คริสตจักรตายสนิทหรือ?  นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณสันหลังวาบ

     ผมทำได้แค่ถอนหายใจ เมื่อผมมองไปที่ภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สำหรับผม  ผมถามองค์ผู้เป็นเจ้าว่าทำไมผมจึงต้องสอนสิ่งทั้งหมดนี้?  ใครจะมายอมรับเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนี้?  หลังจากที่ดูประวัติศาสตร์ทางฝ่ายวิญญาณของคริสตจักร แล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่า ผมน่าจะเก็บกระเป๋าไปปลีกวิเวกอยู่ในป่าสักแห่งที่ห่างจากโลกภายนอก เพื่อจะได้สัมพันธ์สนิทกับองค์ผู้เป็นเจ้าจะดีเสียกว่า  ผมจะสอนสิ่งทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?  เมื่อสองพันปีที่แล้วพระเจ้าได้ประทานความจริงที่อัศจรรย์และนิรันดร์ให้กับโลก  ความจริงที่อัศจรรย์นี้ได้ตกอยู่ในความดูแลของคริสตจักร แต่เมื่อถึงศตวรรษที่สี่หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้น พวกเขาก็ได้บิดเบือนความจริงเสีย

     ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงได้มีหลักคำสอนว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งพระองค์แต่เป็นสาม พระองค์เป็นสามที่รวมเป็นหนึ่ง หรือหนึ่งรวมอยู่ในสามในเกมเล่นคำที่เหลวไหลที่เรากำลังเล่นอยู่  ทั้งหมดนี้เป็นสูตรและกำหนดโดยบรรดาผู้นำคริสตจักรฝ่ายเนื้อหนัง  คนเหล่านี้เป็นใครกันหรือ?  ขอรายชื่อของพวกเขาให้ผมหน่อย  ให้เรามาตรวจสอบชีวิตคริสเตียนของพวกเขากันดูที  พวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม?  คุณแค่ดูหลักคำสอนของพวกเขาก็จะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณ  คริสตจักรได้ตกอยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังที่กำหนดคำสอนตามที่พวกเขาพอใจ โดยไม่ให้ข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของพวกเขา  ไม่มีการอ้างอิงพระคัมภีร์สักข้อในหลักข้อเชื่อไนซีน[4] และหลักข้อเชื่ออื่นๆอีกมากมาย

     ในหลักข้อเชื่อเหล่านี้ บรรดาผู้นำคริสตจักรจะทำหน้าที่ของสังฆราชในการตัดสินใจเหมือนกับพระสันตะปาปาที่ทำหน้าที่ของสังฆราชในเรื่องต่างๆ เช่น ความเชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของพระแม่มารีย์[5]  มีการกล่าวกันว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอด้วยอำนาจในตำแหน่ง คือเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอเมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพระสันตะปาปา  แต่ทันทีที่ก้าวลงจากเก้าอี้ การเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอก็สิ้นสุดลง  เก้าอี้ตัวนี้ช่างวิเศษจริงๆ!  เราขอยืมไปใช้สักสองสามวันจะได้ไหม?  แต่เรื่องเหลวไหลแบบนี้แหละที่ได้ให้ในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

     ผมเปิดดูทีวีเช้านี้ มีนักเทศน์ชาวอเมริกันกำลังยืนเทศน์อยู่ในคริสตจักร และเขาเทศน์อะไรจากพระคัมภีร์หรือ?  ก็เทศน์เรื่องวิธีที่จะมั่งคั่งและรุ่งเรือง!  เมื่อพระคำของพระเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาก็สามารถบิดเบือนถ้อยคำได้มากโดยไม่มีขีดจำกัด  เมื่อกล้องถ่ายไปรอบๆโบสถ์ ผมเห็นคนแน่นไปหมด  คริสเตียนจำนวนมากอยากร่ำรวย  และนักเทศน์คนนี้ก็เทศน์เรื่องนี้อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า และผู้คนก็ฟังไม่เคยเบื่อ

     ใจของผมหนักอึ้ง เพราะผมกำลังเผชิญปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเอาชนะในความเป็นเนื้อหนังของเราเอง และความเป็นเนื้อหนังของคริสตจักรได้  นักเทศน์ทางโทรทัศน์เหล่านั้นล้วนเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  เมื่อคุณเปิดทีวีช่องของคริสเตียนก็จะเห็นศาสนาจารย์ท่านนี้ท่านนั้นพูดแต่เรื่องเงินๆทองๆ และเงินทองที่มากขึ้น  นั่นเป็นวิธีที่เขาได้คนเข้ามาในคริสตจักร  นั่นเป็นวิธีที่เขาขยายคริสตจักรของเขา  นั่นเป็นวิธีที่เขาได้เงินถวายมากขึ้นเพื่อใช้ในการออกอากาศคำเทศนาของเขาเพื่อจะบอกผู้คนมากขึ้นเกี่ยวกับการหาเงินทอง  ถ้าคุณออกอากาศคำเทศนาแบบนี้ในประเทศจีน ทุกคนจะฟังคุณเพราะเงินทองกลายมาเป็นสิ่งเลื่อมใสได้เร็วมากในประเทศจีน  ปัญหาที่เอาชนะไม่ได้สักที!

     พวกเราที่เป็นคริสเตียนต้องตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการ ก็เหมือนที่ชาวอิสราเอลต้องการเลือกกษัตริย์ของพวกเขาเอง  และคริสตจักรได้ตัดสินใจที่จะนมัสการพระเยซู เราจัดให้พระองค์อยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า และทำให้พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าทุกประการ  นั่นคือสิ่งที่เราได้ทำในความเชื่อตรีเอกานุภาพ  แล้วผมได้ทำอะไรในห้าสิบปีที่ผ่านมา?  ดีที่ผมได้เห็นความจริงในที่สุด แต่ในหลายปีที่ผ่านมาที่ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพล่ะ?

     เราตัดสินใจว่าเราต้องการจะนมัสการใคร โดยไม่คำนึงว่าพระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร  เมื่อมองย้อนกลับไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมไม่รู้วิธีที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเท่าเทียมพระเจ้าทุกประการได้อย่างไร  แต่ผมได้สอนความเชื่อในตรีเอกานุภาพและตีความพระคัมภีร์ผิดมาเป็นเวลาห้าสิบปี  เราได้ตัดสินใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และในทางปฏิบัติจริงนั้นเราก็ให้พระเยซูมีความสำคัญกว่าพระยาห์เวห์ด้วยซ้ำ เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้องด้วยเลย

     พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระผู้สร้างเดียวในพระคัมภีร์ แต่เราได้ทำให้พระเยซูเป็นพระผู้สร้างหลักในความเชื่อตรีเอกานุภาพ  ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์  เราใช้ยอห์น 1:3 อย่างผิดๆกับพระเยซู (“สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์” ฉบับ NIV)  ตอนนี้พระเยซูเป็นพระผู้สร้าง  เช่นนั้นแล้วจะมีบทบาทอะไรเหลือไว้ให้พระบิดาหรือ?  ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบิดาไม่สามารถจะเป็นพระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นจึงน่าเป็นไปได้ว่าพระบิดาคือพระยาห์เวห์  แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้พระยาห์เวห์เป็นพระผู้สร้างอันดับสอง ที่สร้างจักรวาลโดยมีพระเยซูทรงให้ความช่วยเหลือ  ตอนนี้พระเยซูเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นบทบาทของพระยาห์เวห์ในฐานะพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงลดน้อยลง  พระเยซูจึงเป็นพระเจ้าที่ทรงกระทำทุกสิ่ง  พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ประทานพระองค์เองเพื่อเรา  พระองค์เป็นผู้พิพากษาและกษัตริย์ที่จะเสด็จมา  ฉะนั้นแล้วจะมีอะไรเหลือไว้ให้พระยาห์เวห์?  ก็ไม่เหลืออะไรจริงๆ

     แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลึกลับ ผู้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพล่ะ?  บรรดาผู้เชื่อแบบคาริสแมติกจะนมัสการพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โดยหลักๆแล้วก็ด้วยเหตุผลในทางเนื้อหนัง  คุณต้องร่วมนมัสการกับความเชื่อแบบคาริสแมติกจึงจะเห็นสภาพของความเป็นเนื้อหนังที่เน้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นแหล่งของความมั่งคั่งและความเป็นอยู่ที่ดี  เมื่อมีการรักษาโรค เราก็จะเห็นคนโยนไม้ค้ำยันทิ้งหรือลุกขึ้นจากรถเข็น  เขาจะกระโดดโลดเต้นและทุกคนจะร้องตะโกน “ฮาเลลูยา” เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรักษาเราและทำให้เราร่ำรวย

     เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง แต่เราก็ประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  เรากำลังพูดถึงความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแบบไหนหรือ?  ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเพียงอย่างเดียวที่มีในพระคัมภีร์ก็คือ พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเดียวและเพียงองค์เดียวเท่านั้น และไม่มีใครอื่นที่ได้รับการนมัสการ  แต่ตอนนี้เรามีถึงสามพระองค์  เรานมัสการทั้งสามพระองค์หรือแค่สองพระองค์ (เนื่องจากมีคนจำนวนมากไม่ได้นมัสการพระวิญญาณ)  นี่คือมหันตภัยโดยแท้

     บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่าศึกนี้คุ้มค่าที่จะต่อสู้หรือไม่  หลังจากที่ได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไปสี่เดือน ผมขอบอกพวกคุณตรงๆว่าผมรู้สึกเหนื่อยมาก  หลังจากการสอนแต่ละครั้งผมต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นตัว  สิ่งทั้งหมดที่ทำไปเพื่ออะไร?  คุณให้ความจริงนิรันดร์นี้ไว้ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังพวกเขาก็จะทำลายมันและบิดเบือนมันจนจำเค้าเดิมไม่ได้  คำอธิบายให้เห็นอย่างละเอียดของผมที่ได้รับโดยพระคุณของพระเจ้านี้จะทำให้มันดีขึ้นไหม?  ผมไม่ทราบ  แต่อย่างที่เปาโลกล่าวว่า สิ่งที่ต้องการจากผู้รับใช้ก็คือความสัตย์ซื่อ  สิ่งที่ผมทำได้ก็คือสัตย์ซื่อ  ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ผมเก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของผมเป็นส่วนใหญ่  ผมไม่ได้ออกไปข้างนอกหรือไปห้างสรรพสินค้า  ผมใช้ชีวิตของผมเพื่อจะทำบทต่างๆนี้ให้เสร็จโดยพระคุณของพระเจ้าเพื่อว่าในที่สุดผมจะพูดได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า มันเสร็จแล้ว เวลาของข้าพระองค์หมดแล้ว  ส่วนที่เหลืออยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าคนทั้งหลายจะทำอะไรกับคำสอนนี้  แต่ข้าพระองค์ได้ทำทุกอย่างที่ข้าพระองค์สามารถทำได้เพื่อจะส่งต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้กับข้าพระองค์  พวกเขาจะทำอะไรกับคำสอนหลังจากนั้น ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าพระองค์แล้ว”

เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียว

     ผมไม่ได้ปิดหูปิดตากับความจริงที่ว่าผู้ที่ประกาศความจริงมักเป็นคนกลุ่มน้อยเสมอ  ประชาชาติที่พระเจ้าทรงเรียกออกมานั้น  ในที่สุดเวลาก็มาถึงเมื่อเหลือผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียวในชาติ  บนภูเขาคารเมลนั้น เอลียาห์เผชิญหน้ากับกองทัพผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลและพระอาเช-ราห์ 850 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 18:19)[6]  มีผู้เผยพระวจนะแท้ของพระยาห์เวห์เพียงคนเดียวในประชาชาติที่พระองค์ได้ทรงเรียกออกมา  ดีที่ยังมี 7,000 คนไม่ยอมคุกเข่าต่อพระบาอัล (1 พงศ์กษัตริย์ 19:18)[7] แต่ในจำนวนนี้ไม่มีใครเป็นผู้เผยพระวจนะเลย  ถ้าจะใช้คำสมัยใหม่ พวกเขาก็คือ “ฆราวาส” (หรือบุคคลทั่วไป) และแน่นอนว่าเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 7,000 คนที่สัตย์ซื่อเหล่านี้ แต่ไม่มีใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเอลียาห์บนภูเขาคารเมล  โดยพระคุณของพระเจ้า เขามีสาวกที่โดดเด่นชื่อเอลีชาและอาจมีคนอื่นอีกสองสามคนที่โดดเด่นน้อยกว่า  แต่ในช่วงที่เด็ดเดี่ยวนั้น เอลียาห์อยู่เพียงลำพังบนภูเขา เป็นคนเดียวที่พูดความจริงของพระเจ้า 

     เมื่อพูดถึงความจริงของพระเจ้า ความหมายของหลายข้อชัดเจนสมบูรณ์สำหรับผม หลังจากที่ผมออกมาจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่นั้น ผมสอนพระคัมภีร์แบบผิดๆ เพราะผมสอนตามการแปลความสิ่งต่างๆของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ตอนนี้ผมสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่เคยเห็นการแปลความอย่างอื่นที่ชัดเจนสมบูรณ์และกระจ่างแจ้งอยู่ตรงหน้าผม  คนฝ่ายเนื้อหนังจะบิดเบือนความจริง ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาชั่วร้าย แต่เพราะพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง  นี่เป็นปัญหาไม่ใช่แค่กับบรรดาผู้นำคริสตจักร แต่กับทั้งคริสตจักร

     พระเยซูถูกถามว่า ถ้าชายคนหนึ่งตายโดยที่ยังไม่มีบุตร และน้องชายของเขาก็แต่งงานกับหญิงม่ายตามบทบัญญัติเพื่อจะมีบุตรไว้สืบตระกูลให้กับพี่ชายที่ตายแล้ว และถ้าเขาเองก็ตายโดยที่ยังไม่มีบุตรกับเธอ และก็เป็นอย่างนี้กับพี่น้องทั้งเจ็ดคน เธอจะเป็นภรรยาของใครในสวรรค์?  พระเยซูตรัสตอบว่าพวกสะดูสีไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า (มัทธิว 22:29เปรียบเทียบมาระโก 12:24)

พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ฉบับ NIV)

ἀποκριθεὶς δὲ ὁ Ἰησοῦς εἶπεν αὐτοῖς· πλανᾶσθε μὴ εἰδότες τὰς γραφὰς μηδὲ τὴν δύναμιν τοῦ θεοῦ·

 

     จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว” แปลจากคำกรีกว่า πλανάω (planaō)พวกสะดูสีหลงผิดเพราะพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า  พวกเขาเป็นผู้นำศาสนาที่เติบโตมากับพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก แต่พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์  นั่นจึงเป็นผลให้พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า  คำว่า “รู้” ที่พูดถึงนี้ไม่ได้หมายถึงการรู้จากความรู้ แต่เป็นการรู้จากประสบการณ์  คนฝ่ายเนื้อหนังสามารถจะอ่านพระคัมภีร์จากสติปัญญาได้ แต่ไม่รู้พระคัมภีร์จากประสบการณ์  พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา  มีคนน้อยมากที่รู้จักพระเจ้าจากประสบการณ์  เอลียาห์เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น แต่จะพูดถึงคนอิสราเอลในแบบเดียวกันไม่ได้

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์

     บทนี้ผมจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างย่อๆ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง  พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าองค์ที่สามในตรีเอกภาพ  แต่เป็นพระยาห์เวห์เอง

     พวกอัครทูตเป็นผู้ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ แต่พวกเขาเองไม่ได้มีต้นฉบับของพระคัมภีร์ใหม่ที่จะสามารถอ้างถึงได้  แล้วพวกเขาสามารถสอนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และเรื่องอื่นๆได้อย่างไร?  พวกเขามีพระคัมภีร์เดิม แต่พระคัมภีร์เดิมพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแง่ของหลักคำสอนน้อยมาก

     คำตอบง่ายๆก็คือ พวกอัครทูตสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณจากประสบการณ์ของพวกเขาเองกับพระเจ้าและฤทธิ์เดชของพระองค์  พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์เพราะพวกเขามีประสบการณ์กับพระคัมภีร์ด้วยตัวของพวกเขาเอง  พระคัมภีร์เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิต ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎี  คุณต้องดำเนินชีวิตตามนั้นคุณจึงจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้  ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามนั้น คุณจะไม่เข้าใจพระคัมภีร์แล้วยังอาจแปลความผิดๆอีกด้วย

     เมื่อผมมองย้อนประสบการณ์ของผมเอง ผมนึกถึงประสบการณ์พิเศษครั้งหนึ่งที่เกี่ยวกับพระวิญญาณ  ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกคุณมาก่อน แต่คราวนี้ผมจะวิเคราะห์มากขึ้นอีกหน่อย ผมจำประสบการณ์ที่เรามีได้อย่างติดตาในชิเซิลเฮิร์สท์[8]ในช่วงที่ผมศึกษาอยู่  ชิเซิลเฮิร์สท์เป็นเมืองเล็กๆหรือหมู่บ้านในเคนท์ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของอังกฤษ  ถ้าขับรถก็หนึ่งชั่วโมงจากทางใต้ของลอนดอน  คริสตจักรลอนดอนของเราได้จัดค่ายอีสเตอร์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์  มีประมาณหกสิบคนมาร่วมค่ายนี้

     ทุกวันนี้ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของค่ายได้  การประชุมวันสุดท้ายของค่ายเพิ่งจะเริ่มขึ้น  เรานั่งลงและกำลังจะเริ่มร้องเพลงชีวิตคริสเตียน ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อย่างน่าเกรงขามขององค์ผู้เป็นเจ้า  มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายอย่างไร  ถ้าคุณไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน คุณก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร  ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ได้ดี เพราะเราเองก็มีประสบการณ์อย่างวันเพ็นเทคอสต์ด้วย  ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า  เรากำลังพยายามร้องบทเพลงชีวิตคริสเตียนนี้อยู่ แล้วจู่ๆการร้องของเราก็อึ้งไป  ทุกอย่างหยุดนิ่งและมีแต่ความเงียบ

     เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นี้ ผมเห็นได้ว่าอย่างแรก ไม่มีความรู้สึกกลัวหรือตัวสั่น  ไม่มีใครมีอาการขนลุกซู่หรือขนลุกขนพอง  เมื่อตอนเป็นเด็กเราเคยเล่าเรื่องผีหลอกให้กลัวกัน  โยบกล่าวว่า “วิญญาณดวงหนึ่งผ่านหน้าข้าไป และข้าขนลุกซู่” (โยบ 4:15 ฉบับ NIV) แต่การประชุมที่ชิเซิลเฮิร์สท์ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวหรือน่าตกใจกลัว มีแต่ความรู้สึกตื่นตะลึงกับการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า  คุณจะอธิบายความเกรงขามนี้อย่างไร?  มันเหมือนกับความรู้สึกเต็มตื้นเมื่อคุณเห็นดวงอาทิตย์ตกดินพร้อมกับเมฆตระหง่านงดงาม และแสงทองของดวงอาทิตย์ยามตกดินให้คุณได้สัมผัสสวรรค์แวบหนึ่ง  บางครั้งผมจะมองดูผู้คนที่ยืนอึ้งตรงหน้าอาทิตย์ตกดินที่น่าตื่นตะลึง  แต่แม้นั่นจะเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ตื่นตะลึงอย่างมากที่เราทั้งหกสิบคนมีประสบการณ์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์

     ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มสารภาพบาปของพวกเขา  ไม่มีใครนำประชุมอีกต่อไป  หลังจากประกาศชื่อเพลงชีวิตคริสเตียนแล้ว ก็หายไปเลยจากสายตาสองสามชั่วโมงต่อมา  เขาไม่ได้พยายามจะนำอะไรเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงควบคุมสถานที่แห่งนั้น  คนข้างๆผมน้ำตาไหลอาบแก้มของเขา ตรงมุมห้องมีบางคนกำลังสารภาพบาปของเขาออกมาดังๆ  แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อีกคนก็ยืนขึ้นสารภาพบาปของเขา และเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ  ความสำนึกอันทรงพลังของการสถิตอยู่ที่เต็มด้วยความบริสุทธิ์นี้ ทำให้ผู้คนพากันสารภาพบาปของพวกเขาทันทีโดยไม่มีใครกระตุ้น  มีความสำนึกตัวถึงความไม่สะอาดและความเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง และทุกคนก็ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดต่อการสถิตอยู่เต็มด้วยความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

     สิ่งนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  เป็นเวลานานเท่าไรผมก็ไม่รู้จริงๆ เพราะทุกคนลืมเรื่องเวลากันหมด  คุณเหมือนจะอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา  เราไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนและเราก็ไม่สนใจ  เมื่อคุณอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา ใครล่ะจะสนใจเรื่องเวลา?  การประชุมได้เริ่มขึ้นเก้าโมงครึ่งหลังอาหารเช้าและหลังจากการหาไข่อีสเตอร์  ทุกคนกำลังสนุกสนานวิ่งหาไข่อีสเตอร์กันจ้าละหวั่น  เราเข้ามาในห้องประชุมด้วยเสียงหัวเราะและนั่งลงเปิดหนังสือเพลงชีวิตคริสเตียน  เราไม่ได้ถูกเร้าใจในจิตวิญญาณด้วยเสียงดนตรีนมัสการหรือการใคร่ครวญเงียบๆ  เรานั่งลงได้แค่สองสามนาที ผู้นำประชุมก็พูดว่า “ให้เราร้องเพลงนี้ด้วยกัน”  แล้วการสถิตอยู่ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็เข้ามาอยู่ท่ามกลางเรา!  ไม่ได้มีการเตรียมการในทางจิตวิทยาแต่อย่างใด ถึงกระนั้นเราก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา

     ผมจำได้เลาๆว่ามีเสียงเคาะประตู  เจ้าหน้าที่ค่ายกำลังแจ้งคนที่อยู่ใกล้ประตูว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว พี่น้องชายที่อยู่ใกล้ประตูได้พูดขอบคุณแล้วก็ปิดประตู  แต่ไม่มีใครคิดถึงอาหารกลางวันกันเลย  ณ เวลานั้นการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้าน่าจะผ่านไปประมาณสามชั่วโมงแล้ว เพราะเวลาอาหารกลางวันคือเที่ยงครึ่ง  ไม่มีใครสนใจอาหารกลางวันเมื่อมีการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า  มันไม่ใช่การสถิตอยู่แบบชั่วแวบเดียวของพระองค์ แต่เป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า  ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วการประชุมสิ้นสุดลงตอนไหน แต่น่าจะราวๆบ่ายสองโมง  เรายังคงอยู่แบบนั้นสี่หรือห้าชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  เมื่อทุกสิ่งจบลงก็มีความรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริง  หลังจากการสารภาพบาป ก็มีการสรรเสริญและรู้สึกได้ถึงความรัก ความยินดี และสันติสุข ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณ!

     แต่ประสบการณ์นั้นทำให้ทุกคนเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม?  น่าเสียดายที่ไม่ใช่  ประสบการณ์แบบนั้นไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณเสมอไป  มันขึ้นกับว่าคุณทำอย่างไรกับมัน  คนฝ่ายเนื้อหนังอาจชื่นชอบประสบการณ์นี้ แต่ในไม่ช้าเขาก็หวนกลับไปสู่ความเป็นเนื้อหนังของเขา  แต่สำหรับผมแล้ว ประสบการณ์นั้นแตะใจและความคิดของผม และนำผมให้มีความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้นกับพระเจ้า

     เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นั้น ผมก็ตระหนักว่า ผมไม่ได้รับรู้ถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สามของตรีเอกภาพ  มีแต่เพียงการรับรู้ถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว

พระวิญญาณของพระเยซู

     แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร?  คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” มีปรากฏราวๆ 90 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  จาก 90 ครั้งนี้มีปรากฏ 41 ครั้งในกิจการและ 13 ครั้งในลูกา  ลูกาและกิจการเขียนโดยคนเดียวกันคือลูกา  โดยรวมแล้วมีปรากฏทั้งหมด 54 ครั้งเฉพาะในลูกากับกิจการ  จำนวนนี้คิดเป็น 60% ของการปรากฏทั้งหมดของ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในพระคัมภีร์ใหม่  คำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เป็นคำศัพท์เฉพาะของลูกา (ผู้เขียนกิจการด้วย)  ในเล่มอื่นๆทั้งหมดของพระคัมภีร์ใหม่มีคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏน้อยครั้งมากและไม่มีปรากฏในวิวรณ์แม้แต่ครั้งเดียว

     เหตุใดลูกาซึ่งน่าจะเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในบรรดาผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จึงเลือกใช้คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์”?  เราได้เห็นแล้วว่าการสถิตอยู่ของพระเจ้าจะมาพร้อมๆกับความสำนึกอันทรงพลังถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์  นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกาจึงใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของคนต่างชาติ ที่แนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้ถูกปนเปื้อน  คนต่างชาติคิดในแง่ของพระต่างๆมากกว่าในแง่ของพระเจ้า  ลูกาแนะนำคำว่า “บริสุทธิ์” เพื่อแยกแยะพระเจ้าที่แท้จริงจากบรรดาพระที่ไม่บริสุทธิ์ของคนต่างชาติ  ถ้าคุณอ่านตำนานเทพเจ้าของกรีก คุณจะรู้ว่าพระต่างๆของกรีกสามารถเป็นฝ่ายเนื้อหนังได้เหมือนกับมนุษย์และบางครั้งก็เป็นฝ่ายเนื้อหนังมากยิ่งกว่า  พระเหล่านั้นยังน่าสะอิดสะเอียนจนคุณคิดสงสัยว่า จะมีใครมานมัสการพระเหล่านั้นได้อย่างไร  นอกจากนี้พระเหล่านี้ยังถูกคนฝ่ายเนื้อหนังเรียกใช้ตามจุดประสงค์ทางเนื้อหนังของพวกเขาเอง  ถ้าคุณออกรบ คุณก็จะนมัสการพระหรือเทพเจ้าแห่งสงคราม  ถ้าคุณอยากมีลูก คุณก็จะนมัสการพระหรือเจ้าแม่แห่งความอุดมสมบูรณ์  สิ่งที่พระเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือความไม่บริสุทธิ์ของพระเหล่านั้น  ดังนั้นหากจะประกาศความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่แท้จริงให้กับคนต่างชาติ  เราจะต้องอธิบายกับพวกเขาว่า พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์

     พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซูหรือพระวิญญาณของพระคริสต์ด้วย  คำเรียกทั้งสองนี้จะพบน้อย แต่ละคำเรียกมีปรากฏอย่างละสองครั้ง ทั้งหมดรวมเป็นสี่ครั้ง (กิจการ 16:7, โรม 8:9, ฟีลิปปี 1:19, และ 1 เปโตร 1:11)[9]  แล้วทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซู?  คำนี้ไม่ใช่ไม่คุ้นกับคนในพระคัมภีร์เดิม  ในพระคัมภีร์เดิมนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทำงานอย่างชัดแจ้งแล้วในบางคน  ตัวอย่างหนึ่งก็คือ โมเสสผู้ที่เต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือผู้ที่ทำหน้าที่โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ  ในความเป็นจริงแล้ว โมเสสทำหน้าที่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจนถึงขนาดที่สามารถพูดได้ว่า พระวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณของโมเสส  ในกันดารวิถี 11:17  พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

และเราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น แล้วเราจะเอาวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนเจ้า มาใส่บนคนเหล่านั้น และพวกเขาจะแบกภาระของประชาชนเหล่านั้นร่วมกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกภาระไว้คนเดียว (กันดารวิถี 11:17ฉบับ ESV)

     โมเสสทำงานหนักเกินไปและแบกภาระตามลำพัง  ดังนั้นพระเจ้าจึงเอาวิญญาณที่อยู่บนโมเสสและใส่บนพวกผู้ใหญ่ที่จะช่วยโมเสสแบ่งเบางานของเขา  ข้อ 25 กล่าวว่า

แล้วพระเจ้าเสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับเขา แล้วทรงเอาพระวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น และทันทีที่พระวิญญาณมาอยู่บนพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เผยพระวจนะ  แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำต่อไปอีก (กันดารวิถี 11:25 ฉบับ ESV)

     พวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นได้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ แต่ไม่ได้รักษาพลังแห่งการเผยพระวจนะของพวกเขาไว้  บทบาทหลักของพวกเขาก็คือแบ่งเบาภาระงานบางอย่างของโมเสส  ในข้อ 17 จงสังเกตคำว่า “เราจะเอาวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนเจ้า”  เราคงคาดหวังให้พระเจ้าตรัสในทำนองนี้ว่า “เราจะให้วิญญาณของเรากับพวกผู้ใหญ่เหมือนที่เราได้ให้วิญญาณของเรากับเจ้า”  ในการพูดถึงพระวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้หมายถึงวิญญาณมนุษย์ของโมเสสเอง เพราะคงไม่มีใครจะพูดถึงวิญญาณมนุษย์ของคนคนหนึ่งว่าอยู่ “บนเขา”  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็คือ ทรงเอาพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสสมาใส่บนผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน  พระเจ้าทรงเอาพระวิญญาณของโมเสสจากโมเสส (คือพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส) แล้วใส่บนผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน เพื่อพวกเขาจะได้มีพระวิญญาณองค์เดียวร่วมกัน

     พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์กับผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคนโดยตรง  พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขารู้ว่าพระวิญญาณที่ใส่บนพวกเขานั้นคือพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส เพื่อให้สิทธิอำนาจของพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับตัวโมเสส  ตรงนี้เราเห็นพระปัญญาที่น่าทึ่งของพระเจ้า  พระเจ้าทรงทำสิ่งที่น่าประหลาดใจนี้เพื่อไม่ให้พวกผู้ใหญ่คิดอย่างนี้ว่า “เมื่อโมเสสได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ ดังนั้นเราก็ได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์เช่นกัน และนั่นทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับโมเสส”  พระเจ้าทรงตั้งโครงสร้างของผู้นำไว้อย่างเป็นระเบียบ และพระองค์ไม่ทรงต้องการจะสร้างกลุ่มผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนที่มีฐานะเทียบเท่าโมเสส  ปัญหามีมากพอแล้วในอิสราเอลจึงไม่ควรต้องมาจัดการกับผู้นำที่แตกแยก

     ในพระคัมภีร์เดิมมีคนของพระเจ้าน้อยมาก  หนึ่งในนั้นคือเอลียาห์  พระคัมภีร์พูดถึง “วิญญาณของเอลียาห์” ซึ่งนี่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ของเอลียาห์เอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า และพระวิญญาณนี้อยู่บนเขา  จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้

เมื่อพวกเขาข้ามไปแล้ว เอลียาห์ก็พูดกับเอลีชาว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้ก็จงขอเถิด ก่อนที่เราจะถูกรับไปจากท่าน”  เอลีชาได้ตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับวิญญาณ[10]ของท่านสองเท่า”  และเอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก แต่ถ้าท่านเห็นเราถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้”  ขณะที่ท่านทั้งสองกำลังเดินสนทนากันไป ทันใดนั้นก็มีรถรบเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงปรากฏขึ้นและ​​ได้แยกเขาทั้งสองจากกัน และเอลียาห์ก็​​ถูกพายุหมุนหอบขึ้นสู่สวรรค์  เอลีชาเห็นดังนั้นก็ร้องว่า “พ่อของข้า!พ่อของข้า!รถรบและพลม้าของอิสราเอล!” และเอลีชาก็ไม่​​เห็นท่านอีก​ แล้วเขาก็จับเสื้อของเขาฉีกออก  เขาหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมา และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน  แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำ กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์ตอนนี้สถิตอยู่ที่ไหน?”  เมื่อเขาฟาด​​น้ำ น้ำก็แยกไปทางซ้ายทางขวาและเอลีชาก็เดินข้ามไปพวกผู้เผยพระวจนะจากเมืองเยรีโคซึ่งเฝ้าดูอยู่ก็พูดว่า “วิญญาณของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา”  แล้วผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น​​ก็มาพบเขา แล้วกราบลงถึงดินตรงหน้าเขา (2พงศ์กษัตริย์ 2:9-15 ฉบับ NIV)

     เอลีชาขอวิญญาณของเอลียาห์ “สองเท่า”  เขาไม่ได้ผยองที่ต้องการวิญญาณของเอลียาห์สองเท่าให้มากเท่ากับเอลียาห์  เขากำลังขอจริงๆว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบุตรหัวปีของท่าน”[11]เพราะบุตรหัวปีจะได้รับมรดกเป็นสองเท่าจากบิดา  ในการแบ่งมรดกนั้นบุตรชายแต่ละคนจะได้รับคนละหนึ่งส่วน แต่บุตรชายหัวปีจะได้รับสองส่วน  เรื่องของมรดกนั้น (ในกรณีนี้คือมรดกทางฝ่ายจิตวิญญาณ) เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าเอลียาห์มีสาวกจำนวนมากที่เรียกว่า “บรรดาบุตรของผู้เผยพระวจนะ” ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏสี่ครั้งในบทนี้เพียงบทเดียว (2พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2)  เอลีชาซึ่งใกล้ชิดเอลียาห์ที่สุดได้ขอส่วนแบ่งสองเท่า แต่เอลียาห์บอกว่าคำขอนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระยาห์เวห์ที่จะประทานให้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  เอลีชาได้รับสิ่งที่เขาขอ และเมื่อเขาฟาดเสื้อคลุมของเอลียาห์ลงที่น้ำในแม่น้ำจอร์แดน  แม่น้ำก็แยกออกจากกัน

     จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า พระวิญญาณของพระเยซูก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่เต็มอยู่ในพระเยซู  นี่คล้ายกับกรณีของโมเสสกับพวกผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน ที่พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์โดยตรงจากพระองค์เอง แต่ผ่านทางพระเยซูซึ่ง พระเยซูทรงเป็นช่องทางที่พระวิญญาณมาถึงเรา  พระวิญญาณของพระเยซูก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) เช่นเดียวกับวิญญาณของโมเสสที่ไม่ใช่วิญญาณของเขาเอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (และในทำนองเดียวกันกับวิญญาณของเอลียาห์)  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ถูกส่งมาถึงเราทางพระเยซู  เมื่อพระเยซูทรงอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงเต็มด้วยความบริบูรณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือการสถิตอยู่ของพระเจ้าเต็มอยู่ในพระกายของพระองค์  พระยาห์เวห์ประทับอยู่ในพระกายของพระเยซูจนถึงขนาดที่พระยาห์เวห์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับพระเยซู “อย่างไม่จำกัด” (ยอห์น 3:34[12] ซึ่งบริบทนี้พูดถึงพระเยซู)  พระเยซูเต็มไปด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์อย่างบริบูรณ์โดยที่พระวิญญาณไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังเหล่าสาวกจนกระทั่งหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์  ทำไมจึงไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้กับพวกเขาก่อนหน้านี้?  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “อย่างไม่จำกัด” หมายถึงไม่มีขีดจำกัด  ทั้งหมดของพระยาห์เวห์และความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ทั้งหมดของพระองค์สถิตอยู่ในพระกายของพระเยซู  สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับใครอื่นเลย แม้แต่กับโมเสสหรือเอลียาห์

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระวิญญาณของพระเจ้า

     เปาโลกล่าวว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้า ในลักษณะเดียวกับที่วิญญาณของมนุษย์เกี่ยวข้องกับมนุษย์

เพราะในบรรดามนุษย์นั้นมีใครบ้างที่รู้ความคิดของมนุษย์ เว้นแต่วิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในตัวเขา?  ในทำนองเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ความคิดของพระเจ้า เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้า  เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด (1 โครินธ์ 2:11-12 ฉบับ NIV)

     วิญญาณที่เรามีเป็น “ศักยภาพ” ที่น่าทึ่งหากเราอยากจะใช้คำนั้น  วิญญาณของเราไม่ได้เป็นอีกคนหนึ่งในตัวเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงเป็นผู้ป่วยจิตเภทที่มีสองคนอยู่ภายในตัวเรา  วิญญาณที่อยู่ภายในเราก็คือตัวตนของเรานั่นเอง

     ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นอีกบุคคลที่แยกต่างหากจากพระเจ้า  พระวิญญาณเป็นวิญญาณของพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณเป็นวิญญาณของเรา  และเมื่อเราพูดถึงพระวิญญาณเราจะพูดว่า “มัน (it)”[13] หรือว่า “พระองค์ (he)”?  เราก็คงไม่พูดว่า “มัน” ในแง่ของนามธรรมเพราะวิญญาณเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้น  วิญญาณของผมก็คือตัวผม  เพราะเหตุนี้ผมก็จะไม่พูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “มัน” หรือ “อำนาจชักจูง”  วิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถจะตรวจสอบตัวเองได้ นั่นคือวิญญาณของมนุษย์มีความสามารถที่จะค้นหาตัวเองได้  ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ให้ทุกคนสำรวจตัวเองที่สำรับขององค์ผู้เป็นเจ้า (1 โครินธ์ 11:28)  เปาโลไม่ได้บอกว่ามนุษย์มีบุคลิกภาพที่แยกในคนเดียวกัน โดยที่ส่วนหนึ่งตรวจสอบอีกส่วนหนึ่ง  วิญญาณของมนุษย์ก็ตรวจสอบตัวมนุษย์เอง ในทำนองเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือส่วนของพระเจ้าที่สำรวจสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า (1 โครินธ์2:10)[14]

     เปาโลบอกเราว่าวิญญาณสามารถดำรงอยู่เป็นตัวตนที่แยกจากร่างกาย และทำงานอย่างอิสระภายนอกร่างกาย

แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่แต่วิญญาณ[15]ของข้าพเจ้าก็อยู่​​เสมือนว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินคนที่ทำอย่างนั้น​  เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าและวิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับฤทธิอำนาจของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจะต้องมอบคนนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อวิญญาณของเขาจะได้รับความ​​รอดในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า (1โครินธ์ 5:3-5ESV)

     เปาโลกำลังประกาศการลงวินัยกับคนที่ได้ทำบาปอย่างร้ายแรง  เปาโลไม่ได้อยู่ในเมืองโครินธ์ในเวลานั้น แต่เขาสั่งผู้ที่อยู่ในคริสตจักรโครินธ์ให้ดำเนินการลงวินัย  เปาโลหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย”?  บางครั้งเราจะพูดว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย” แบบไม่คิดอะไรมาก  แต่เปาโลหมายถึงอย่างนั้นแบบจริงจังเพราะ “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมกับฤทธิอำนาจของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

     สมมุติว่าผมอยู่ในประเทศแคนาดาและผมคิดถึงคุณ  ผมก็สามารถจดจ่ออยู่กับคุณจนวิญญาณของผมอยู่กับคุณด้วยจริงๆตามนั้น  ผมอาจไม่ทราบว่าคุณกำลังอยู่ในห้องของคุณหรือว่าคุณกำลังเดินอยู่บนท้องถนน สถานการณ์ภายนอกนั้นไม่สำคัญ แต่มีวิญญาณพบกับวิญญาณจริง  เมื่อผมยังเป็นคริสเตียนอ่อนหัดนั้น บางครั้งผมจะรู้สึกอย่างมากว่า มีคนกำลังอธิษฐานเผื่อผมเหมือนว่าเขาคนนั้นอยู่กับผมด้วย  ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาทูลวิงวอนองค์ผู้เป็นเจ้าเพื่อผม  ผมมีประสบการณ์แบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งและผมก็รู้ด้วยว่าใครกำลังอธิษฐานเผื่อผมอยู่  ผมไม่เคยอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้  หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกเลย ผมสันนิษฐานว่าผู้ที่อธิษฐานเผื่อผมได้เสียชีวิตแล้ว  ผมกำลังหมายถึงเฮนรี่ ชอย[16] คนของพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ได้ช่วยผมอย่างมากในฝ่ายวิญญาณ  มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าเขากำลังอธิษฐานเผื่อผมและผมก็รู้ว่าต้องเป็นเขา  แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นอีกเลย  เหตุนี้ผมจึงสรุปว่าเขาได้เสียชีวิตแล้วในค่ายแรงงานสักแห่ง  ดังนั้นเมื่อเปาโล กล่าวว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย” นั้นเขาอยู่จริงๆในโครินธ์ด้วยฤทธิอำนาจของพระเยซู

     นี่เป็นอีกกรณีที่เป็นไปได้ของการแยกกายและวิญญาณ

ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ ซึ่งเมื่อสิบสี่ปีก่อนได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม จะไปโดยมีกายหรือ​​ไม่มี​​กาย​ ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้  ข้าพเจ้ารู้ว่าชายคนนี้ถูกรับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ จะไปโดยมีกายหรือไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้ (2 โครินธ์ 12:2-3ฉบับ ESV)

     เปาโลกล่าวสองครั้งว่า “โดยมีกายหรือไม่มีกาย” เพื่อเน้นว่าชายในพระคริสต์ผู้นี้อาจถูกรับเข้าไปสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ หรือวิญญาณโดยไม่มีกาย  เปาโลพูดถึงการแยกกายและวิญญาณโดยที่วิญญาณทำหน้าที่อย่างมีอิสระจากกาย  ในทำนองเดียวกันกับในวิวรณ์ที่ยอห์นพูดถึงการถูกนำด้วยพระวิญญาณ (วิวรณ์ 21:10 เปรียบเทียบวิวรณ์1:10, 4:2)[17]

     พระยาห์เวห์ก็ทรงสามารถส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปเช่นกัน และเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงส่งการสถิตอยู่ของพระองค์ออกไปด้วย  พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกภาพ หรือเป็นอีกพระองค์หนึ่งต่างหากที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์พระองค์เอง  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เรียกพระวิญญาณว่า “มัน (it)” เพราะนั่นจะเป็นการพูดถึงพระเจ้าว่า “มัน” ซึ่งใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท  แต่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24)[18] และองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (2โครินธ์3:17)[19] เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระยาห์เวห์เอง  ฉะนั้นการเต็มด้วยพระวิญญาณก็คือการเต็มด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์  ในวันเพ็นเทคอสต์นั้น พระยาห์เวห์เสด็จลงมาและทำให้ทุกคนในห้องชั้นบนเต็มล้น  มันน่าอัศจรรย์ไม่ใช่หรือที่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระองค์ที่สามในตรีเอกภาพหรือเป็นร่างเงา แต่เป็นพระยาห์เวห์เองที่สถิตอยู่ในเรา?

     สิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์นั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ  เราได้เห็นว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่คริสตจักรของพระคริสต์ หรือคริสตจักรของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โรม 16:16 กล่าวถึง “คริสตจักรของพระคริสต์” แต่เป็นการกล่าวถึงกลุ่มที่ประชุมกันในท้องถิ่น  แต่คริสตจักรสากลนั้นเรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่นกิจการ 20:281 โครินธ์ 1:2)[20]  นอกจากนี้ยังมี “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่น 1 โครินธ์ 11:161 เธสะโลนิกา 2:14) แต่คริสตจักรเหล่านี้เป็นที่ประชุมของผู้เชื่อในท้องถิ่น  ด้วยเหตุที่คริสตจักรเป็น “คริสตจักรของพระเจ้า” คุณจึงคาดหวังว่าพระเจ้าเองจะสถิตอยู่ในคริสตจักรโดยพระวิญญาณของพระองค์

     สิ่งนี้ให้ความเข้าใจกับเราเรื่องของประทานจากพระวิญญาณที่สรุปไว้ใน 1 โครินธ์บทที่ 12และ 14 ได้ดีขึ้น  พระเจ้าทรงจัดสรรของประทาน​​ต่างๆตามชอบพระทัยของพระองค์โดยพระวิญญาณของพระองค์เอง (1 โครินธ์ 12:11)[21]  พระวิญญาณเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าในคริสตจักร  นั่นเป็นคริสตจักรขององค์ผู้เป็นเจ้าเองและพระองค์ทรงจัดสรรของประทานต่างๆตามที่พระองค์ทรงเห็นควร  คุณอาจได้รับของประทานอย่างหนึ่งและผมอาจได้รับอีกอย่างหนึ่ง  บางคนได้รับของประทานสองหรือสามอย่าง  ดูเหมือนว่าอัครทูตเปาโลจะมีของประทานฝ่ายวิญญาณทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้

 

บัพติศมาในพระนามเดียวนั้น

           ให้เราพิจารณาเรื่องบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร  และพระวิญญาณบริสุทธิ์

18พระเยซูเสด็จมาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกได้มอบให้แก่เราแล้ว  19ฉะนั้นจงไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้พวกเขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:18-19ฉบับNIV)

     สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกได้มอบให้แก่พระเยซูแล้ว  คำว่า “ฉะนั้น ในข้อต่อมาชี้ชัดว่า พระเยซูกำลังจะอธิบายว่าพระองค์จะทรงทำอะไรกับสิทธิอำนาจนั้น  แต่ว่าใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระองค์ตั้งแต่แรก?  ผู้ที่ให้สิทธิอำนาจพระองค์ก็คือพระยาห์เวห์  พระเยซูกำลังบอกว่าโดยสิทธิอำนาจที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้พระองค์นั้น เราต้องบัพติศมาในนามเดียวของพระบิดาและของพระบุตรและของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มีอะไรในคำกล่าวนี้ที่เข้าใจยากหรือ?  เรื่องนี้ชัดเจนและตรงไปตรงมาจากมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  มันง่ายเสียจนไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย  พระเยซูไม่ได้ทรงกระทำในนามของพระองค์เอง แต่กระทำในนามที่ได้ให้สิทธิอำนาจกับพระองค์  พระองค์กระทำในนามนั้นและเราบัพติศมาในนามนั้น

     สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระคัมภีร์ใหม่เคยพูดถึงใครไหมว่าได้ทำสิ่งใด “ในพระนามของพระวิญญาณ”?  ไม่มีคำดังกล่าวว่า “ในพระนามของพระวิญญาณ” เพราะว่า “พระวิญญาณของพระเจ้า” นั้นไม่ได้เป็นพระนามหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงพระวิญญาณตรงตามคำ  ในทำนองเดียวกัน “วิญญาณของมนุษย์” ก็ไม่ได้เป็นชื่อหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงตัวมนุษย์เองตรงตามคำ “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ได้เป็นพระนามหนึ่ง แต่เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์นั่นเอง

     คำประกาศการบัพติศมาในมัทธิว 28:19 ไม่ได้พูดว่า “ในพระนามของพระเยซู” เพราะพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งต่างๆในพระนามของพระองค์เอง  นี่เป็นสิ่งที่บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพดูเหมือนจะไม่เคยเข้าใจ  ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนและอย่างเด็ดขาดว่า พระเยซูไม่เคยกระทำการใดๆในนามของพระองค์เอง  คุณจะไม่พบพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวที่กล่าวว่าพระเยซูทรงกระทำการใดๆในนามของพระองค์เอง  ไม่มีบันทึกไว้เช่นนั้นเลย  เรากระทำการในนามของพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง

     เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ในพระนามของพระบิดา” (พระยาห์เวห์) ในมัทธิว 28:19 พระองค์ไม่ได้กำลังพูดถึงพระนามที่แยกสำหรับพระเยซูหรือพระวิญญาณ  เราได้เห็นว่า ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในพระนามของพระวิญญาณ  และก็ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในพระนามของพระเยซูก่อนหนังสือกิจการ  ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มไม่มีตัวอย่างว่ามีผู้ใดกระทำสิ่งใด “ในพระนามของพระเยซู”  นี่รวมถึงพระเยซูเอง  เพราะพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและ​​ท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้ามีผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่าน​​จะยอมรับเขา” (ยอห์น 5:43 ฉบับ NIV)

พระเยซูไม่เคยมาในนามหรือสิทธิอำนาจของพระองค์เอง แต่มาในนามของพระบิดาเท่านั้น ซึ่งก็คือในพระนามของพระยาห์เวห์ (สำหรับพระเยซู พระบิดาของพระองค์คือพระยาห์เวห์เสมอ)  ในทางกลับกัน คนฝ่ายเนื้อหนังจะต้อนรับผู้ที่มาในนามของพวกเขาเอง ซึ่งอาจเป็นดาราเพลงร็อคที่ยิ่งใหญ่ แต่จะไม่ต้อนรับผู้ที่มาในนามของพระยาห์เวห์  พระเยซูตรัสด้วยว่า “การอัศจรรย์ต่างๆที่เราทำในพระนามพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้กับเรา” (ยอห์น 10:25ฉบับ NIV)  และยิ่งกว่านั้น พระราชกิจต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำในพระนามของพระบิดาก็เป็นพยานว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (ข้อ 24)  ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระเจ้า พระเยซูจึงไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง  ถ้าผมทำสิ่งใดในนาม หรือในสิทธิ หรือในอำนาจของผมเอง ผมก็จะไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระเจ้า

     ยอห์น 12:13 กล่าวว่า “พวกเขา​​ถือทางอินทผลัม​​และออกไปรับเสด็จพระองค์ โห่ร้องว่า โฮซันนา!พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์​​ผู้เป็นเจ้า จงได้รับพระพร! กษัตริย์แห่งอิสราเอล จงได้รับพระพร!’” (ฉบับ NIV)  การโห่ร้องอย่างยินดีว่า “พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์​​ผู้เป็นเจ้า จงได้รับพระพร” ได้ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 21:9, มาระโก 11:9, ลูกา19:38, ยอห์น 12:13)  นี่เป็นถ้อยคำที่ยกอ้างจากสดุดี 118:26[22] ในต้นฉบับภาษาฮีบรูที่คำว่า “องค์​​ผู้เป็นเจ้า” หมายถึงพระยาห์เวห์

     ถ้าพระเยซูไม่เคยเสด็จมาในพระนามของพระองค์เอง หรือกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แล้วพระองค์จะทรงให้บัพติศมากับใครๆในพระนามของพระองค์เองได้อย่างไร? สุดท้ายแล้วเราจะรับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา นั่นก็คือพระยาห์เวห์ ซึ่งหมายความว่าเรามาอยู่ในความครอบครองของพระยาห์เวห์ และมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระเจ้า

     ในหนังสือกิจการ เหล่าสาวกได้ให้บัพติศมาคนทั้งหลายในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 8:12)  นี่ขัดแย้งกับคำสอนและการปฏิบัติของพระเยซูเองไหม?  ก็ไม่เลย  ให้เราดูแผ่นภาพลูกโซ่ของอำนาจที่เราดูมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง

TG14 1

ภาพที่ 7

 

     ให้เราสังเกตตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “LORD” (ยาห์เวห์) อักษรขึ้นต้นตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “Lord” (พระคริสต์) และอักษรขึ้นต้นตัวพิมพ์เล็กว่า “lord” (สามี/ผู้นำ)  ในทั้งสามกรณีนี้ใช้คำภาษากรีกคำเดียวกันว่า κύριος (kuriosLord)  คำกล่าวของพระเยซูในมัทธิว 28จึงสามารถเข้าใจได้ว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นได้ทรงมอบให้แก่เราแล้ว  ด้วยสิทธิอำนาจนั้น จงให้บัพติศมาในพระนามของพระบิดา”  ในพระนามของพระยาห์เวห์ เราจึงได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์ (เปรียบเทียบโรม 6:3, กาลาเทีย 3:27)[23] พระวิญญาณเป็นผู้ที่ให้เราเข้าในพระคริสต์ที่ “เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน” (1 โครินธ์ 12:13)  พระวิญญาณมีส่วนในการบัพติศมา แต่เราไม่ได้บัพติศมาในพระนามของพระวิญญาณ  คำกล่าวถึงบัพติศมาในมัทธิว 28 ไม่มีบัพติศมาในพระนามของพระเยซู  แต่ในกิจการมีบัพติศมาในพระนามของพระเยซู (เช่นกิจการ 10:48) นั่นก็คือบัพติศมาภายใต้สิทธิอำนาจของพระเยซู

     แผ่นภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยโครงสร้างของใบโคลเวอร์[24]ที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้   ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นจะบัพติศมาในสามพระนาม ในขณะที่มัทธิว 28:19  มีเพียงพระนามเดียว

 

 TG14 2

ภาพที่ 8

 

     ตามแผ่นภาพที่ 7 ถ้าคุณกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระคริสต์ในลูกโซ่ของอำนาจ สุดท้ายแล้วคุณก็กระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์  เมื่อพระเยซูทรงทำทุกสิ่งในนามของพระยาห์เวห์ เราก็ทำทุกสิ่งในนามของพระเยซู และผลสุดท้ายก็ทำในนามของพระยาห์เวห์  ไม่มีความสับสนเลยในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  ในกรณีของสามีภรรยา สามีสามารถกระทำการในนามของพระเยซูเพราะเขาอยู่ในสายของอำนาจ  ภรรยาสามารถกระทำการในนามของสามีของเธอ เพราะเธออยู่ภายใต้เขาและมีสิทธิอำนาจที่จะกระทำการในนามของเขา  เช่นเดียวกันกับในพระคัมภีร์เดิม คนใดคนหนึ่งไม่เพียงสามารถกระทำการในนามของพระเจ้า แต่ยังสามารถกระทำการในนามของเจ้านายของเขา หรือในนามของกษัตริย์ด้วย (เอสเธอร์ 8:8-10)

     ทางด้านขวาของแผ่นภาพที่ 9 เป็นลูกโซ่ของอำนาจในพันธกิจของคริสตจักร  ถ้าเราย้ายลูกโซ่นี้ไปตรงวงที่เรียกว่า “สามี/ผู้นำ” เราสามารถเห็นได้ว่าเหล่าอัครทูตอยู่ภายใต้พระคริสต์โดยตรง  และสุดท้ายก็กระทำการในนามของพระยาห์เวห์ (พระเจ้า)  ผู้เผยพระวจนะหรือผู้สอนสามารถกระทำการในนามของอัครทูต ถ้าอัครทูตนั้นเป็นผู้ที่ส่งเขาออกไป  ถ้าเปาโลส่งทิโมธีออกไป ทิโมธีก็สามารถจะกระทำการในนามของเปาโลได้  นี่ไม่ใช่ข้อตกลงส่วนตัวระหว่างเปาโลกับทิโมธี แต่เป็นส่วนของโครงสร้างทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้  ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อพระเยซูทรงกระทำการในนามของ “LORD” (พระยาห์เวห์) บรรดาผู้นำของคริสตจักรก็กระทำการในนามของพระคริสต์ และภรรยาก็กระทำการในนามของสามีเธอ

TG14 3

             

ภาพที่9

     ผมนึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผมคิดว่าในเจนีวา  เจ้าของร้านอาหารจีนร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจร้านอาหารของเขา  เขามาจากประเทศจีนหรือฮ่องกง  วันหนึ่งเขาได้เจอกับสาวสวยจากประเทศจีนและแต่งงานกับเธอ  มีวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเขากลายเป็นคนล้มละลายเพราะภรรยาสาวของเขาได้กระทำการในนามของเขาเพื่อกวาดเงินในบัญชีธนาคารของเขาไปจนเรียบ  เธอหายตัวไปและเขาไม่เคยพบเธออีกเลย และเงินก็ไม่ได้คืนมา

     คุณต้องแน่ใจว่าคุณให้คนที่ถูกต้องแล้วมากระทำการในนามของคุณ  ผมแน่ใจว่าพระเยซูทรงเป็นห่วงว่าใครเป็นผู้ที่กระทำการในนามของพระองค์  บุตรชายเจ็ดคนของเส-วาพยายามขับผีออกในพระนามของพระเยซู ผีร้ายจึงพูดกับพวกเขาว่า “พระเยซู​​ข้าก็รู้จัก และเปาโลข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นใคร?”  แล้วผีนั้นก็กระโดดเข้าโจมตีบรรดาบุตรของเส-วาอย่างดุเดือด (กิจการ 19:13-16)

พระเยซูไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง

         ผมขอย้ำจุดสำคัญนี้ว่า คุณจะไม่เข้าใจพระเยซูจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าพระองค์ไม่เคยกระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง  พระองค์เสด็จมาในนามของ “LORD” นั่นก็คือ ในนามของพระยาห์เวห์   ในนามของพระยาห์เวห์นี่แหละที่พระเยซูทรงกระทำราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ ทรงสอนคำสอนทั้งสิ้นของพระองค์ และตรัสคำตรัสทั้งสิ้นของพระองค์  เราได้เอาคุณลักษณะที่สวยงามนี้ไปจากพระเยซู เพราะเราต้องการให้พระองค์กระทำการในนามของพระองค์เอง

     วิวรณ์ 1:1 กล่าวว่า “นี่คือการเปิดเผยของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าประทานแก่พระองค์เพื่อ​ ให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า  พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสำแดงแก่ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์” (ฉบับ NIV)

     เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมพบว่าศาสนศาสตร์ของวิวรณ์ค่อนข้างจะลึกลับ  หนังสือทั้งเล่มเป็น “การเปิดเผยของพระเยซูคริสต์” ไม่ใช่การเปิดเผยที่พระเยซูประทาน แต่เป็นการเปิดเผยที่ “พระเจ้าประทานแก่พระองค์” นั่นก็คือพระเยซูคริสต์  หนังสือวิวรณ์นี้เป็นการเปิดเผยเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่การเปิดเผยที่มาจากพระองค์  พระเยซูไม่เคยกระทำการสิ่งใดในนามหรือในสิทธิอำนาจของพระองค์เอง  การเปิดเผยที่พระเยซูประทานแก่ยอห์นเป็นสิ่งที่พระเยซูเองทรงได้รับจากพระยาห์เวห์  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจุดประสงค์ที่จะแสดงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ซึ่งรวมถึงยอห์น ได้เห็นว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นในไม่ช้า

     ตรงนี้เราเห็นพระคริสต์ทรงอยู่ใต้บัญชาพระยาห์เวห์แม้กระทั่งในเรื่องของการเปิดเผย คือพระคริสต์ทรงได้รับการเปิดเผยจากพระยาห์เวห์ และมาเป็นผู้ส่งต่อการเปิดเผยนี้ให้กับยอห์น ดังที่เราจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในวิวรณ์

พระยาห์เวห์ในวิวรณ์

  ยอห์นเขียนว่า “จากข้าพเจ้ายอห์น ถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย ขอ​​พระคุณและสันติสุขจงมีแก่พวกท่านจากพระองค์ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และ​​ผู้จะเสด็จมาและจาก​​วิญญาณทั้งเจ็ดหน้าพระที่นั่งของพระองค์” (วิวรณ์ 1:4ฉบับ NIV)  นี่เป็นการถอดความที่น่า สนใจจากอพยพ 3:14 (“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”)  พระคุณและสันติสุขมาจากพระองค์ “ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และ​​ผู้จะเสด็จมา” ซึ่งเป็นการอ้างอิงที่หมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” หรือ “เราจะเป็นผู้ซึ่งเราจะเป็น”  นอกจากนี้ยังเป็นการถอดความที่ยอดเยี่ยมซึ่งเผยให้เห็นความหมายของพระนามของพระยาห์เวห์  มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของพระยาห์เวห์  ข้ออ้างอิงที่เกี่ยวข้องกันนี้คือสดุดี 90:2 มีว่า “ก่อนที่ภูเขาจะเกิดขึ้น ก่อนที่พระองค์จะทรงให้แผ่นดินโลกและภิภพเกิดขึ้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” (ฉบับ NIV)

     สี่ข้อต่อมาในวิวรณ์  มีการกล่าวซ้ำถึงสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของพระยาห์เวห์ว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และผู้จะเสด็จมา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (วิวรณ์ 1:8 ฉบับ NIV)

     รอยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีให้เห็นทุกที่ในวิวรณ์  นี่เป็นการเปิดเผยที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพระเยซูเพื่อให้กับยอห์น  เราได้เห็นอีกที่พระเยซูทรงเป็นช่องทางของการเปิดเผยนี้

พระเยซูในวิวรณ์

     พระเยซูถูกอธิบายถึงอย่างไรในวิวรณ์?  เราก็เหมือนกับชาวอิสราเอลที่ต้องการจะได้คนที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมดมาเป็นกษัตริย์และผู้ปกครองของเรา  ในกรณีของพระเยซูนั้น เราต้องการยกย่องพระองค์ให้เทียบเท่ากับพระเจ้า  แต่มีภาพแบบนั้นของพระเยซูในวิวรณ์ไหม?  ก็ไม่มีอย่างแน่นอน  แต่เราก็พบว่า วิวรณ์พูดถึงพระองค์ว่าเป็นผู้ปกครองเหนือ​​กษัตริย์ทั้งหลายของโลก (วิวรณ์ 1:5)  นั่นเป็นคำเรียกที่สูงสุดในโลกของมนุษย์  พระองค์ก็ทรงถูกเรียกว่า “เจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และ​​กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ในวิวรณ์ 17:14 (เปรียบเทียบวิวรณ์19:16)[25]  นี่ไม่ใช่คำเรียกพระเจ้า เพราะว่าทั้งอารทาเซอร์ซีสและเนบูคัดเนสซาร์ก็ถูกเรียกว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” (เอสรา 7:12, ดานิเอล 2:37)[26]  คำเรียกนี้ที่ใช้กับพระเยซู วิวรณ์ 1:5 ได้อธิบายว่าเป็น “ผู้ทรงปกครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก”  ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูในลักษณะต่อไปนี้

พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวอย่างขนแกะ ขาวอย่างหิมะ และพระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างไฟลุกโชน  พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ที่แวววาวในเตาหลอม และพระสุรเสียงของพระองค์เหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกราก  พระองค์ทรงถือดาวเจ็ดดวงในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์  ส่วนพระพักตร์ของพระองค์เหมือนดวงอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้า (วิวรณ์ 1:14-16 ฉบับ NIV)

     นี่ไม่ใช่ภาพของพระเจ้า  เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้ในตอนนี้ นอกจากจะสังเกตว่าพระพักตร์ของพระองค์เหมือน “ดวงอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้า” และ “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวอย่างขนแกะ” น่าเป็นไปได้ว่าคงเหมือนแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากพระเศียรของพระองค์  แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างน่าเกรงขามนี้ไม่ได้มีเฉพาะในพระเยซู เพราะเราเห็นลักษณะที่คล้ายกันของทูตสวรรค์ในวิวรณ์ 10:1 ว่า “แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มีรุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าเหมือนดวงอาทิตย์ และขาเหมือนเสาเพลิง (ฉบับ NIV)

     วิวรณ์ 1:14-16 ที่อ้างข้างต้นดูเหมือนจะอธิบายถึงพระเยซูในรูปแบบที่ได้รับเกียรติ แต่ลักษณะที่น่าเกรงขามของพระองค์ ก็คล้ายกันกับของทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง (วิวรณ์ 10:1) หลายบทต่อมา ยอห์นกล่าวว่า “หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และ​​แผ่นดินโลกก็สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์” (วิวรณ์ 18:1ฉบับ ESV)  ทูตสวรรค์องค์นี้จะต้องส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ เพราะทั้งโลก “สว่างไสวด้วยรัศมีของท่าน”  เจมส์ ดันน์[27] (ซึ่งผมรู้จักเป็นส่วนตัว) ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเดียวกันนี้ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ของเขากับพระคัมภีร์ตอนนี้  เขาบอกว่าภาษาแบบนี้ที่เกี่ยวกับพวกทูตสวรรค์ ผู้เชื่อในศาสนายิวต่างคุ้นเคยกันดี  คำอธิบายของยอห์นเกี่ยวกับพระเยซูในวิวรณ์นั้น ไม่ใช่รัศมีของความเป็นพระเจ้า แต่เป็นรัศมีของทูตสวรรค์ ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราอาจจะคิด  

พระวิญญาณในวิวรณ์

     ดังที่เราได้เห็นว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ไม่เคยถูกกล่าวถึงในวิวรณ์เลย  คำว่า “พระวิญญาณ” มีปรากฏเก้าครั้งพร้อมกับ “โดยพระวิญญาณ” ที่ปรากฏสี่ครั้ง (เช่น ยอห์นถูกนำโดยพระวิญญาณ, วิวรณ์ 17:321:10)  เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏสี่ครั้งของคำ “โดยพระวิญญาณ” เพื่อดูว่าคำเหล่านี้อ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีเลย  การอ้างถึง “พระวิญญาณ” (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ทั้งเก้าครั้งนั้นทั้งหมดมีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะในภาษากรีก (πνεῦμα τ) ในทาง กลับกันที่การปรากฏสี่ครั้งของ “โดยพระวิญญาณ” ไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ นั่นก็คือ ทั้งสี่ครั้งนี้ภาษากรีกไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่รวมทั้งสี่ครั้งนี้ไว้เป็นการอ้างอิงถึง “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในวิวรณ์

     ผมสังเกตเห็นด้วยว่า การอ้างอิงถึงพระวิญญาณทุกครั้งในวิวรณ์นั้นเกี่ยวข้องกับคริสตจักร  ใน ทางกลับกัน เมื่อวิวรณ์ไม่ได้กำลังพูดถึงคริสตจักร ก็ไม่มีการอ้างถึงพระวิญญาณเช่นกัน  นี่จึงอธิบายได้ว่า ทำไมการอ้างอิงถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่สามบทแรกของวิวรณ์

พระเยซูได้รับการนมัสการในวิวรณ์ไหม?

     อีกอย่างที่น่าสังเกตเกี่ยวกับวิวรณ์ก็คือ ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นถึงการไหว้รูปเคารพในการทำให้พระคริสต์มาเป็นพระเจ้า โดยที่พระองค์ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าทรงเป็น และไม่เคยปรารถนาจะเป็น  เนื่องจากวิวรณ์มีจุดสำคัญอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ผมจึงได้ตรวจสอบคำภาษากรีกของคำว่า “นมัสการ” (προσκυνέωproskuneō) คำนี้มีปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยปรากฏ 24 ครั้ง (40%ในวิวรณ์  เมื่อผมตรวจดูการปรากฏทั้ง 24 ครั้งในวิวรณ์  ผมต้องแปลกใจที่ไม่มีการอ้างถึงพระคริสต์เลยแม้แต่ครั้งเดียว  จุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระยาห์เวห์แต่ผู้เดียว และไม่ใช่พระคริสต์หรือใครอีก  นั่นน่าแปลกใจเพราะ 24 ครั้งเป็นตัวเลขที่มาก

     พระนาม “พระเยซู” มีปรากฏเพียง 14 ครั้งในวิวรณ์ ซึ่งก็น่าแปลกใจเมื่อเห็นว่าคำ “พระเยซู” มีปรากฏถึง 917 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  คำว่า “พระคริสต์” มีปรากฏมากกว่า 500 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่มีปรากฏแค่ 7 ครั้งในวิวรณ์  นี่หมายความว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่บุคคลที่เป็นศูนย์กลางของวิวรณ์ใช่หรือไม่?

     คำ προσκυνέω(proskuneō) นี้โดยพื้นฐานแล้วหมายถึง “การคุกเข่า”  คำนี้สามารถใช้ในความ หมายที่อ่อนน้อม (การคุกเข่าโดยไม่ได้นมัสการ) หรือในความหมายที่จดจ่อแน่วแน่ (การนมัสการ)  ตัวอย่างของความหมายที่อ่อนน้อมจะพบได้ในวิวรณ์ 3:9 ที่ว่า “เราจะทำให้บรรดาผู้ที่เป็นธรรมศาลาของซาตาน ผู้ที่อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทำให้พวกเขามาหมอบลงแทบเท้าของเจ้า และยอมรับว่าเรารักเจ้า” (ฉบับ NIV)  สิ่งที่เราเห็นตรงนี้ไม่ใช่การนมัสการแต่เป็นการนอบน้อมและหมอบอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้เชื่อ

     สิ่งนี้ทำให้เราได้ข้อสังเกตที่สำคัญต่อไปนี้คือ ในวิวรณ์นั้น proskuneō ไม่เคยใช้กับการอ้างอิงถึงพระคริสต์ ไม่ว่าจะในความหมายที่อ่อนน้อมหรือในความหมายที่จดจ่อแน่วแน่

     proskuneōคำเดียวกันนี้มีใช้สองครั้งในการหมอบลงต่อหน้าทูตสวรรค์ที่กำลังเปิดเผยสิ่งต่างๆแก่ยอห์น  ยอห์นหมอบลงตรงหน้าทูตสวรรค์องค์นั้น แต่ทูตสวรรค์นั้นได้หยุดเขาไว้ทันที

ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด!  เพราะคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ” (วิวรณ์ 19:10ฉบับ NIV)

ข้าพเจ้ายอห์น เป็นผู้ได้ยินและได้เห็นสิ่งเหล่านี้  และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หมอบลงเพื่อนมัสการที่แทบเท้าของทูตสวรรค์ผู้แสดงสิ่งเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้า แต่ทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าทำอย่างนั้น!  เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและพี่น้องของท่าน คือพวกผู้เผยพระวจนะและทุกคนที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้  จงนมัสการพระเจ้าเถิด!” (วิวรณ์ 22:8-9ฉบับ NIV)

     ในวิวรณ์ 1:17  ยอห์นทรุดตัวลงแทบพระบาทของพระเยซูเมื่อเขาเห็นพระเยซู  คราวนี้คำที่ใช้ไม่ใช่ προσκυνέω (proskuneōแต่เป็น πίπτω (piptōทรุดตัวลง)

เมื่อข้าพเจ้าเห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบพระบาทของพระองค์ราวกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” (วิวรณ์ 1:17ฉบับ NIV)

     เราอ่าน “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” ให้เป็นพระเจ้าไปหมด  ในอิสยาห์ 44:6 และ 48:12[28]กล่าว ถึงพระเจ้า แต่เราเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่ายังมีวิธีอื่นที่จะทำความเข้าใจ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” จากพระคัมภีร์และมีไม่น้อยจากคำสอนของพระเยซูเองที่ว่า “ถ้าผู้ใดต้องการจะ​​เป็นคนต้น ​ผู้นั้นก็ต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน(มาระโก 9:35 ฉบับ NIV) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า คนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น และ​​​คนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย” (มัทธิว 20:16)

     หนังสือวิวรณ์ให้ภาพของผู้เลี้ยงแกะและลูกแกะกับเรา  ในอิสราเอลผู้เลี้ยงแกะจะเป็น “คนต้น” เพราะเขาจะนำฝูงแกะไปข้างหน้า  ที่เขาเป็น “คนสุดท้าย” ด้วยนั้นหมายถึงการที่ผู้เลี้ยงแกะมองเหลียวหลังดูว่ามีแกะตัวไหนบ้างที่พลัดหลงอยู่ข้างหลัง  พวกคนนำทางบนภูเขาก็ทำอย่างเดียวกันกับนักปีนเขา  พวกเขาจะนำทางคุณขึ้นไปบนเขา แต่พวกเขาก็ยังมองเหลียวหลังดูว่า มีใครถูกทิ้งอยู่ข้างหลังหรือไม่  ภาพของผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอลนั้นสวยงามมาก แต่เราก็ยังคงอ่านเกินจากตัวบทให้เป็นพระเจ้าอยู่ในนั้น

     พระเจ้าดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาลหรือ “จากนิรันดร์กาลที่ผ่านมาจนถึงนิรันดร์กาลในอนาคต (จากสดุดี 90:2 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[29]  นี่จึงไม่มีต้นหรือปลายในนิรันดร์กาล  เมื่อพระเจ้าพูดถึงต้นและปลายนั้นมันเกี่ยวข้องกับประชากรของพระองค์  พระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นและผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ทรงเป็นคนต้นและคนสุดท้ายในชีวิตของเรา  พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีผู้นำหน้าเราไปและทรงเป็นผู้พยุงเราขึ้นเมื่อเราตามหลัง  ทำไมเราจึงอ่านทุกสิ่งให้เป็นพระเจ้าไปหมด และพลาดภาพที่สวยงามที่พระเจ้าทรงเป็นในความเกี่ยวข้องกับเรา?

     เนื่องจากการปรากฏทั้ง 24 ครั้งของ προσκυνέω (proskuneō) ในวิวรณ์ไม่มีการใช้คำนี้กับพระคริสต์ และเมื่อไม่มีการอ้างถึงการนมัสการพระคริสต์ ผมจึงตรวจสอบคำ πίπτω (piptō, “ทรุดตัวลง”)  เราได้เห็นคำนี้แล้วในวิวรณ์ 1:17 (ἔπεσα, กาลกริยาแอริสต์[30]ของ πίπτω)  ในวิวรณ์ 5:8 ก็ใช้คำนี้กับพระเยซูด้วย

และเมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็ทรุดตัวลง(ἔπεσα, กาลกริยาแอริสต์ของ πίπτωเบื้องหน้าพระเมษโปดก แต่ละคนต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชน (วิวรณ์ 5:8ฉบับ NIV)  

     สิ่งมีชีวิตกับเหล่าผู้อาวุโส “ทรุดตัวลง” เบื้องหน้าพระเมษโปดก  พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ไม่มีฉบับใดแปลคำนี้ว่า “นมัสการ” เลย

     มีเพียงตัวอย่างเดียวที่คล้ายกับในวิวรณ์  ในกรณีนี้พระเมษโปดกไม่ได้อยู่เพียงลำพังแต่ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น

13แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นร้องว่า “ขอให้คำสดุดี พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพจงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์!”14สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ก็ร้องว่า “อาเมน” และพวกผู้อาวุโสก็ทรุดตัวลงและนมัสการ (วิวรณ์ 5:13-14ฉบับ NIV)

     พระคัมภีร์สองตอนคือวิวรณ์ 5:8 และวิวรณ์ 5:13-14ที่เราเพิ่งอ้างอิง เป็นแค่สองตัวอย่างเท่านั้นในวิวรณ์ที่ใกล้เคียงกับการนมัสการพระเยซูมากที่สุด  ในวิวรณ์ 5:8 สิ่งมีชีวิตทรุดตัวลงต่อพระเยซูแต่ไม่มีการนมัสการ  ในวิวรณ์5:14 ถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้มีคำกรีกสองคำที่เราได้พูดถึงคือ πίπτω (“ทรุดตัวลง”) และ προσκυνέω (“นมัสการ”)  ในครั้งนี้มีการนมัสการเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะมุ่งไปที่พระองค์ “ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น” ซึ่งก็คือมุ่งไปที่พระเจ้าเป็นสำคัญ  คำว่า προσκυνέωที่ปรากฏในวิวรณ์นี้จะอ้างอิงถึงพระเจ้าเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น  มันไม่เคยใช้กับพระเยซูเลยยกเว้นในพระคัมภีร์ตอนนี้ (วิวรณ์ 5:13-14) แต่แม้ว่าจะใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ตอนนี้ ผู้ที่เป็นจุดศูนย์กลางของการนมัสการก็ไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์  ผมได้ค้นหาข้ออ้างอิงอื่นๆที่อาจจะบอกถึงการนมัสการพระเยซูแต่ก็ไม่มีอีกเลย

     การใช้คำ πίπτωกับ προσκυνέω ด้วยกันนั้นยังพบในวิวรณ์ 7:11 (ดูที่ขีดเส้นใต้) แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพระเยซู

11ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้าลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า 12ร้องว่า “อาเมน! ขอให้คำสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ เดชานุภาพ และกำลัง จงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน!” (วิวรณ์ 7:11-12 ฉบับ NIV)

     ตรงนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้า แต่ไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก  เราได้เห็นแล้วว่าคำ προσκυνέω(proskuneō) ไม่เคยใช้กับพระเมษโปดกนอกจากข้อยกเว้นที่อาจเป็นได้ในวิวรณ์ 5:14(แต่ในกรณีนี้พระเมษโปดกปรากฏพร้อมกับพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์)  

     การใช้คำ πίπτωกับ προσκυνέω ด้วยกันยังพบอีกในพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้ (ดูที่ขีดเส้นใต้)

16และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งในที่นั่งของตนต่อหน้าพระเจ้า ก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการพระเจ้า17และทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงเป็นอยู่และผู้​​เคยเป็นอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณ​​พระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์และได้ทรงเริ่มครอบครองแล้ว(วิวรณ์11:16-17ฉบับ NIV)

     ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนขอบพระคุณพระองค์ “ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้เคยเป็นอยู่” ซึ่งเป็นการอ้างอิงที่ชัดเจนถึงพระยาห์เวห์ (อพยพ 3:14)[31] พวกเขาซบหน้าลงและนมัสการพระเจ้า  เราได้เห็นอีกครั้งว่าไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก

     พระคัมภีร์ตอนสุดท้ายที่มีทั้งคำ πίπτω และ προσκυνέω ก็คือวิวรณ์ 19:4-6 (ดูที่ขีดเส้นใต้) ที่ไม่ได้กล่าวถึงพระเมษโปดกเลย

4ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ทรุดตัวลงกราบและนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง  และพวกเขาร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา!” 5แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จงสรรเสริญพระเจ้าของเราเถิด!” 6จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า “ฮาเลลูยา!  เพราะพระเจ้าองค์เจ้านายผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดของเรา ทรงครอบครองอยู่”  (วิวรณ์ 194-6 ฉบับ NIV)

     เมื่อผมยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมเคยคิดว่าบุคคลที่เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระเยซู  แต่ที่เราเห็นมันกลับเป็นว่า พระองค์ไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์ด้วยซ้ำ  ผมสามารถหาได้เพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่ใกล้เคียงและในกรณีนี้คำว่า πίπτω (piptō, ทรุดตัวลง) เกี่ยวข้องกับการยกย่องเทิดทูนพระเมษโปดก (วิวรณ์ 514)  แต่นั่นอยู่ในบริบทของการนมัสการพระยาห์เวห์  วิวรณ์บทที่ 4 และ 6 มุ่งเน้นไปที่การนมัสการพระยาห์เวห์  และในระหว่างสองบทนี้คือวิวรณ์ 5:8 ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ท่ามกลางการนมัสการพระยาห์เวห์ทั้งหมดนั้น แต่ก็มีเพียงหนึ่งตัวอย่างของการเทิดทูนยกย่องพระเมษโปดก

     ที่ไม่มีการนมัสการพระเยซูในวิวรณ์นั้นยิ่งทำให้ต้องแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อทราบความจริงว่ามีการกล่าวถึงพระเมษโปดกถึง 28 ครั้งในวิวรณ์ (4x7)แต่กระนั้นก็ไม่มีตัวอย่างที่พระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์กลางโดยตรงของการนมัสการ แม้จะมีตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การนมัสการพระเยซูโดยตรง เพราะพระองค์ทรงรับการนมัสการร่วมกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์)

ลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า

     ในวิวรณ์ คำว่า “ลูกแกะ”[32] ได้ใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายผู้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เลียนแบบลูกแกะเมษโปดกองค์จริง ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ดังนี้ “แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มันมีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค” (วิวรณ์ 13:11ฉบับ NIV)  คำกรีกของ “ลูกแกะ” ตรงนี้คือ “ἀρνίον  นอกจากวิวรณ์แล้วเราจะพบคำนี้เฉพาะในยอห์น 21:15 ที่ปรากฏในรูปของพหูพจน์ (ἀρνία)

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?” เขาทูลว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา” (ยอห์น 21:15ฉบับ NIV)

     ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราในข้อ 15 ซึ่งต่างกับที่พระองค์ตรัสถึงสองครั้งในข้อ 16 และ 17 ว่า “จงดูแลแกะของเรา”[33]?  พระองค์กำลังตรัสกับเปโตรว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเรา แต่จงเลี้ยงดูลูกแกะตัวน้อยของเราเป็นพิเศษ  คุณจะคุ้นกับภาพของผู้เลี้ยงแกะที่อุ้มลูกแกะตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขา  ผู้เลี้ยงแกะจะอุ้มแกะโตได้ยาก แต่จะสามารถอุ้มลูกแกะตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขาได้

     เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง “ลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป”  เขาใช้คำต่างกันคือใช้คำἀμνός” (amnos, ลูกแกะ) กับ “พระเมษโปดก”

วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!” (ยอห์น 1:29ฉบับ NIV)

เมื่อเขามองเห็นพระเยซูกำลังเสด็จผ่านไป เขาจึงพูดว่า “จงดูลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า!” (ยอห์น 1:36ฉบับ NIV)

     ἀμνός(amnos) ตรงนี้หมายถึง “ลูกแกะ” ในขณะที่อีกคำหนึ่ง ἀρνίον(arnion) บอกถึงสิ่งที่เล็กที่หมายถึง “ลูกแกะตัวน้อย”  วิวรณ์ใช้คำหลังและไม่ใช้คำแรกเมื่อกล่าวถึงพระเยซู  คำแรก (ἀμνόςamnos) ใช้ในกิจการ 8:32 ซึ่งเป็นคำอ้างอิงจากอิสยาห์ 53:7

ขันทีกำลังอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ที่กล่าวว่า “ท่านถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่าและเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขน ท่านก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน” (กิจการ 8:32ฉบับ NIV)

ท่านถูกกดขี่ข่มเหงและทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยปริปาก ท่านถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน ท่านจึงไม่ได้ปริปากของท่าน (อิสยาห์ 53:7ฉบับ NIV)

     “ἀμνός(amnos) คำเดียวกันนี้ก็ใช้ใน 1 เปโตร 1:19 กับพระเยซูผู้เป็นลูกแกะที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิ หรือจุดด่างพร้อย (เปรียบเทียบ 1 โครินธ์ 5:7 ซึ่งพูดถึง “ปัสกา” นั่นก็คือลูกแกะปัสกา)

     ดังนั้นเหตุใดวิวรณ์จึงใช้คำอื่นสำหรับ “ลูกแกะ” (ἀρνίον, arnion) เพื่ออ้างถึงพระเยซู?  และเหตุใดลูกแกะเมษโปดก (Lamb) จึงเป็นภาพที่สำคัญที่สุดของพระเยซูในวิวรณ์จนคำ “ลูกแกะเมษโปดก” มีปรากฏถึง 28 ครั้งในวิวรณ์?

     เรานึกภาพออกไหมที่พระเยซูทรงเป็นลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า?  ลูกแกะที่ใช้เป็นเครื่องบูชารวมทั้งลูกแกะปัสกาจะมีอายุหนึ่งปี ดังนั้นจึงยังเล็กมาก  ทำไมลูกแกะจึงมาเป็นภาพของพระเยซูในวิวรณ์?  มันไม่ใช่ภาพที่ดึงดูดใจผู้คนอย่างแน่นอน  เราต้องการวีรบุรุษสงคราม คนที่สง่าผ่าเผยอย่างกษัตริย์ซาอูลที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมด

     และปรากฏว่าสิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ (วิวรณ์ 5:5) ก็เป็นลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่าเช่นกัน (ข้อ 6)  ลูกแกะเป็นสัตว์ที่เป็นพิษเป็นภัยน้อยที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เราคุ้นเคย  สัตว์อีกชนิดที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนอย่างลูกแกะก็อาจเป็นกระต่าย  แม้แต่หมีโคอาลา[34]ก็อาจข่วนคุณได้ถ้าคุณไม่ระวัง  แต่ลูกแกะไม่สามารถจะข่วนคุณหรือกัดคุณได้  ทำไมพระคัมภีร์จึงจบด้วยภาพของลูกแกะนี้?  ทำไมการเปิดเผยของพระคัมภีร์จึงสรุปลงด้วยภาพของลูกแกะตัวเล็กๆที่ช่วยตัวเองไม่ได้?

     พระเมษโปดกไม่ได้เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์เลย  มีเพียงครั้งเดียวในวิวรณ์ที่พระเมษโปดกอาจเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการ และในตัวอย่างนั้นพระเมษโปดกอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์  พระเมษโปดกไม่ได้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เพราะตำแหน่งนั้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าผู้ถูกกล่าวถึง 12 ครั้งว่าประทับบนพระที่นั่งนั้น  พระเยซูทรงมีพระที่นั่งของพระองค์เอง แม้พระองค์จะมีพระที่นั่งของพระองค์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ตาม  ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งที่เป็นศูนย์กลางจะเป็นพระยาห์เวห์เสมอ

     ในวิวรณ์นี้ ผมเห็นพระปัญญาของพระเจ้าผู้ทรงเห็นล่วงหน้าถึงความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่จะมีต่อมาและทรงตั้งพระทัยให้ภาพของพระเยซูเป็นลูกแกะพระเมษโปดกกับเรา ยิ่งกว่านั้นพระวิญญาณไม่ได้มีส่วนสำคัญในวิวรณ์นอกจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักร เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทำงานในคริสตจักร

     หลักการฝ่ายวิญญาณยืนยันภาพของพระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกที่พบได้ใน 2 โครินธ์ 12:9

แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพราะฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ”  ฉะนั้นข้าพเจ้าจะอวดความอ่อนแอของข้าพเจ้าด้วยความยินดีอย่างมาก เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้าพเจ้า (2 โครินธ์ 12:9ฉบับ NIV)

     นี่คือคำตอบของพระเจ้าต่อคำวิงวอนของเปาโลสามครั้ง เพื่อให้เอาหนามออกจากเนื้อของเขา  หลังจากนั้นเปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ในทำนองเดียวกันเราก็อ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้ท่าน” (2โครินธ์ 13:4ฉบับ NIV)

     ในฉบับภาษาอังกฤษ เราจะสังเกตเห็นรูปไวยากรณ์ที่เป็นกาลในอดีตว่าพระเยซู “ได้ทรงถูกตรึงตายในความอ่อนแอ” แล้วจึงเป็นรูปของกาลปัจจุบันว่า “กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า[35] เปาโลจึงใช้หลักการเดียวกันนี้กับเราว่า “ในทำนองเดียวกัน เราก็อ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้ท่าน

     เราได้เห็นแล้วว่า พระเยซูไม่ได้ทรงทำสิ่งใดในนามของพระองค์เองเลย  นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้าใจศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่[36]  การที่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เองนั้นเป็นความจริงในช่วงพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ และยังคงเป็นความจริงมาจนทุกวันนี้  แม้จนบัดนี้พระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์และไม่ได้กระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง  เคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอยู่ที่การเป็นลูกแกะซึ่งเป็นสัตว์ที่อ่อนแอเป็นพิเศษ  แม้แต่แกะที่โตเต็มวัยก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะจากหมาป่า  พระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกจึงเป็นภาพของความอ่อนแอที่สุด  และเราจะเข้าใจประเด็นของความอ่อนแอที่สุดของพระองค์ได้อย่างชัดเจนจากคำที่เปาโลกล่าวว่า พระเยซูก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์เท่านั้น แม้จนถึงขณะนี้ที่คำกล่าวอยู่ในรูปกริยาของกาลปัจจุบัน  พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกแกะเท่านั้นแต่ทรงเป็นลูกแกะตัวน้อย  ลูกแกะที่ถูกฆ่าโดยการตรึงตายบนกางเขน แต่ตอนนี้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  พระคัมภีร์ได้ให้ภาพของพระคริสต์กับเราที่พระองค์ไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับพระเจ้าได้เลย 

     ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำลายพระกิตติคุณ  ในอดีตที่ผ่านมาผมมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยการประกาศพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่ตรงข้ามกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง  เมื่อผมยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ  ผมไม่รู้จริงๆว่ามีภาพของลูกแกะน้อยที่อ่อนแอที่สุด  มันตรงข้ามกับความคิดของคนฝ่ายเนื้อหนัง  นั่นเป็นเหตุที่ผมไม่สามารถเข้าใจภาพนี้ และเรื่องที่จะยอมรับก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย  แต่ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆในทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น

     พระองค์เป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้นในโลกนี้  เราจะอ่อนแอเช่นเดียวกับพระเยซู แต่มีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  คนฝ่ายเนื้อหนังจะรับสิ่งนี้ได้ยาก  คริสเตียนทั้งหลายต้องการพระคริสต์ที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มด้วยรัศมีและความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พระคริสต์ที่อ่อนแอและไม่มีฤทธิ์อำนาจ และมีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว  ยิ่งกว่านั้นทรงเป็นพระคริสต์ผู้ไม่ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง แต่ทรงทำทุกสิ่งในนามของพระยาห์เวห์  เมื่อเราทำสิ่งใดในนามของพระเยซูอย่างที่ควรทำหากเราเป็นสาวกของพระองค์ เราจะตระหนักว่าเรากำลังกระทำในนามของพระองค์ผู้ที่ไม่เคยกระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง แต่กระทำในนามของพระบิดา

     ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวถูกแสดงให้เห็นอย่างมากในวิวรณ์  ในภาพนิมิตของยอห์นในสวรรค์จะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ได้รับการนมัสการเหนือสิ่งอื่นใด  พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกพูดถึงว่าประทับบนพระที่นั่งตรงใจกลาง  แม้เราเองจะนั่งบนที่นั่งของเราเช่นเดียวกับพวกผู้อาวุโสที่นั่งบนที่นั่งของพวกเขา ตรงนี้เรากำลังพูดถึงพระที่นั่งที่สำคัญที่สุดซึ่งอยู่ตรงใจกลางที่พระยาห์เวห์ประทับอยู่  บรรดาธรรมิกชนจะนั่งร่วมกับพระเยซู และเราจะนั่งบนพระที่นั่งของพระเยซู[37]  พระเยซูถูกจัดให้ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า[38] แต่จุดศูนย์รวมของการนมัสการคือพระยาห์เวห์เสมอและผู้เดียวเท่านั้น

ยืนหยัดเพื่อความจริง

     เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย  ในยุคของเนื้อหนังนี้เรากำลังรับใช้พี่น้องที่รักในคริสตจักร  คนในคริสตจักรส่วนใหญ่เป็นคนฝ่ายเนื้อหนังเหมือนกับพวกเรา และพวกเขาก็ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับพวกเรา  ถ้าเราจะมีอะไรดีกว่าพี่น้องในคริสตจักรอยู่บ้าง ความแตกต่างจะอยู่ที่ระดับไหน ไม่ใช่แบบไหน  เพื่อจะเข้าใจความจริงของพระเจ้า เราจะต้องทูลวิงวอนต่อพระองค์ให้เอาความเป็นเนื้อหนังและความเป็นแบบโลกของเราออกไป

     แม้เราจะไม่คู่ควรและอยู่ในเนื้อหนัง  บางทีเราอาจได้รับสิทธิพิเศษที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังในช่วงอายุของเราเหมือนเอลียาห์ในช่วงอายุของเขา  การยืนหยัดอยู่เพียงลำพังไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าอิจฉาและมีใครอยากจะอยู่ และเราอาจจะเป็นคนสุดท้ายในบรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ในยุคนี้เหมือนเอลียาห์ในยุคของเขา  ในวันข้างหน้าพวกคุณบางคนอาจเจอกับสถานการณ์ที่คุณจะต้องยืนหยัดอยู่เพียงลำพังเหมือนเอลียาห์

     ลูกของยุคนี้ฉลาดกว่าลูกของความสว่างในหลายๆด้าน (ลูกา 16:8)[39]  พวกขามักจะมองเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนกว่าเรา  สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเราก็คือ การที่เราจะไม่เป็นทั้งคนฝ่ายเนื้อหนังหรือคนฝ่ายวิญญาณ และดังนั้นผลสุดท้ายเราจึงไม่เป็นอะไรสักอย่าง  ดังนั้นเราควรต้องตัดสินใจ  ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังไปให้สุดทาง  ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็เป็นฝ่ายวิญญาณไปให้สุดทาง  แต่ถ้าคุณจะอยู่แบบกึ่งๆกลางๆ คุณก็จะลงเอยด้วยการไม่เป็นอะไรสักอย่าง  ถ้าคุณอยากจะรักโลก ก็ไปกินและดื่มเถิด และพรุ่งนี้คุณก็จะตาย (1 โครินธ์ 15:32)  มิฉะนั้นก็ออกไปให้สุดแล้วเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงขององค์ผู้เป็นเจ้า

     เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงวรรณกรรมจีนที่ผมเคยอ่านอยู่  ผมไม่ใช่ผู้รอบรู้ภาษาจีนแต่ผมก็ชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกของจีน  งานเขียนพวกนี้เข้าใจยากแต่ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาศึกษามัน  ผมขอบอกก่อนว่าสิ่งที่ผมได้ร่ำเรียนมาส่วนใหญ่นั้นผมได้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว  แต่ผมก็ยังชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกเป็นครั้งคราว เพราะลูกของโลกนี้มักจะฉลาดกว่าลูกของความสว่าง และบางคนก็มีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม

     ผมจะยกจากท่อนที่ผมได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ที่เขียนโดย “หันยุ่ย”[40]ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ปลายราชวงศ์ถังและต้นของราชวงศ์ซ่ง  เขาเขียน “โบ๋หยี ซ่ง” โดยที่ “โบ๋หยี” เป็นชื่อของบุคคลผู้หนึ่งและ “ซ่ง” หมายถึง “คำยกย่อง” ดังนั้นจึงหมายถึง “คำยกย่องโบ๋หยี”  ในคำประพันธ์นี้ “หันยุ่ย” กล่าวว่ามีเพียงไม่กี่คนในโลกที่กล้ายืนหยัดเพื่อความจริง  คนส่วนใหญ่จะขี้ขลาดเกินไปและห่วงถึงประโยชน์ของพวกเขาเองมากกว่าจะยืนหยัดเพื่อความจริง

     “หันยุ่ย”เองเป็นคนกล้าหาญมาก  ครั้งหนึ่งเขาได้เขียนถึงฮ่องเต้เพื่อขอไม่ให้พระองค์ยอมรับพระทนต์ของพระพุทธเจ้า[41]ที่จะนำเข้ามาในพระราชวัง  นี่เป็นคำขอที่กล้าหาญเพราะฮ่องเต้ได้ตัดสินพระทัยแล้วที่จะนำสัญลักษณ์ชิ้นนี้ของพุทธศาสนาเข้ามาในพระราชวัง  แต่ “หันยุ่ย” ก็คัดค้านอย่างเด็ดขาดที่จะยอมให้พุทธศาสนาได้เข้ามาเติบโตในประเทศจีน และที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่จะเข้าไปในพระราชวังของฮ่องเต้  ผมชื่นชมความกล้าที่เกินใครของเขาจริงๆ

     ต่อไปนี้เป็นคำประพันธ์ของ “หันยุ่ย”

     ในคำยกย่องโบ๋หยี

ปราชญ์ทั้งหลายที่ยืนหยัดแต่ลำพังและกระทำการอย่างเอกเทศ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่จะปฏิบัติตามหลักของความชอบธรรม โดยไม่คำนึงถึงสายตาของคนอื่นๆ คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในหนทางนั้นและรู้จักตัวเองอย่างชัดเจน  มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะถูกครอบครัวคัดค้านก็ตาม มีเพียงแค่คนเดียวในทั้งจักรวรรดิที่สามารถเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะถูกบ้านเมืองหรืออำเภอคัดค้าน  มีเพียงแค่คนเดียวในร้อยปีหรือในพันปีที่จะเดินหน้าอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากคนทั้งโลกก็ตาม

     ต่อไปนี้คือคำแปลประโยคต่อประโยคของผม

     เขากล้าที่จะยืนหยัดเพียงลำพัง

และทำการอย่างเอกเทศ

แน่วแน่ในความชอบธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ในสิ่งอื่น

เขาไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นชอบด้วย หรือไม่เห็นชอบ

          คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น

ผู้เชื่อในหนทางที่ถูกต้อง

ด้วยความแน่วแน่

เขายังรู้จักตัวเขาเอง  

 และเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับเขา

เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย

  คนเช่นนี้หาได้ยาก

  ถ้าหากมีสถานการณ์ที่ทั้งประเทศหรือทั้งมณฑล

หรือทั้งจังหวัดยืนขึ้นต่อต้านเขา

  มีใครบ้างกล้าทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สงสัยเลย?

  ในทั่วใต้ฟ้าสวรรค์ทั้งหมด คนแบบนี้ไม่มีใครเหมือนในโลกทั้งใบ

  ถ้าคนทั้งโลกไม่ยอมรับเขา

  เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินในความจริงต่อไปโดยไม่ลังเล

  ในร้อยหรือในพันปี

   อาจมีคนเดียวเท่านั้น

     นี่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ยอดเยี่ยม!  เนื่องจากความเป็นเนื้อหนังของเรา เราจึงต้องการการยอมรับจากคนอื่นๆในยุคสมัยนี้และยืนอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่  แต่ไม่ใช่เอลียาห์  บทกวียกย่องโบ๋หยีของหันยุ่ยน่าจะใช้กับเอลียาห์ได้  ในหนึ่งพันปีมีคนแบบเดียวกับเอลียาห์เพียงแค่คนเดียว  ดังนั้นปราชญ์อย่างหันยุ่ยจึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่เยี่ยมยอดทั้งในคำประพันธ์นี้และในคำประพันธ์อีกจำนวนมาก  ผมให้คุณดูเฉพาะคำประพันธ์ท่อนแรก  ผมเว้นท่อนที่สองเพราะในส่วนนั้น หันยุ่ยหาแบบอย่างมาเป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายประเด็นสำคัญของเขาไม่ได้แม้แต่ตัวอย่างเดียว เขาเลยเลือกตัวอย่างที่ค่อนข้างแย่จากชีวิตของโบ๋หยีที่ชื่อของเขาอยู่ใน “คำยกย่องโบ๋หยี”  ผมข้ามตัวอย่างนั้นเพราะมันไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี  แต่ผมไม่ตำหนิหันยุ่ยที่ยกตัวอย่างไม่ดีเพราะเขาไม่ได้มีเอลียาห์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง  เขาไม่สามารถนึกถึงตัวอย่างดีๆในช่วงห้าพันปีของประวัติศาสตร์จีน  ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่หันยุ่ยคิดขึ้นมาได้ก็คือตัวอย่างของโบ๋หยี

     ผมอธิษฐานขอพระเจ้าโปรดประทานพระพรแก่พวกคุณ และพระองค์จะทรงพอพระทัยที่จะประทานความกล้าหาญให้คุณที่จะเป็นเหมือนคนที่ในพันปีจะมีสักคนหนึ่ง คนที่จะยืนหยัดต่อต้านการต่อต้านคนทั้งโลก และยืนหยัดจนกว่าชีวิตจะหาไม่

     ผมหวังว่ารากฐานของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้ถูกวางออกมาให้คุณได้เห็นอย่างชัดเจนและคุณได้เข้าใจอย่างถ่องแท้  เราจำเป็นต้องคิดและทบทวนใหม่บางประเด็น และในที่สุดจะเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นพระองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งตามในวิวรณ์ และเห็นความงดงามของพระเยซูที่ฤทธิ์อำนาจไม่ได้อยู่ในพระกำลังของพระองค์เอง แต่อยู่ในฤทธิ์อำนาจของผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดซึ่งทำงานผ่านผู้ที่เต็มใจจะอ่อนแอ  นี่เป็นหลักการที่ผมหวังจะปฏิบัติตามเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ผ่านทางผม  ยิ่งผมอ่อนแอเท่าไร ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น  ผมต้องด้อยลง พระองค์ต้องใหญ่ขึ้น  เมื่อคุณนำหลักการที่ควบคุมชีวิตของพระเยซูมาปฏิบัติใช้กับตัวคุณเอง คุณจะเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นรอบๆตัวคุณ  ขอพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติผ่านทางชีวิตของพวกคุณด้วยเถิด



[1]1 โครินธ์ 2:14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ แต่มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ (ฉบับไทยคิงเจมส์)

[2]คำภาษาจีนคือ “虎步” (หูปู้)

[3] พันปี

[4]Nicene Creed

[5]Immaculate Conception of Mary

[6]1พงศ์กษัตริย์18:19เพราะฉะนั้นขอทรงสั่งให้รวบรวมชนอิสราเอลทั้งสิ้นมาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมลทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล450คนกับผู้เผยพระวจนะของพระอาเช-ราห์400คนนั้น ผู้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”

[7]1พงศ์กษัตริย์19:18แต่เราจะเหลือ7,000คนไว้ในอิสราเอล คือทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัลและไม่ได้จูบพระนั้น”

[8]Chislehurstหมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน

[9] โรม8:9ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้วท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนังแต่อยู่ในพระวิญญาณใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์”

[10]พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลว่า “​ฤทธิ์เดช​”หรือ “ฤทธิ์อำนาจ” (ผู้แปล)

[11]“ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี”(ฉบับ1971)-ผู้แปล

[12]ยอห์น3:34“เพราะ​​ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาย่อมกล่าวพระดำรัสของพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณโดยไม่จำกัด”

[13]คำว่า “วิญญาณ” หรือ “พระวิญญาณ” ในภาษากรีก เป็นคำนามที่ไม่มีเพศ (neuter)สรรพนามที่ใช้คือ “มัน” หรือ “it” (ผู้แปล)

[14]1โครินธ์ 2:10พระเจ้า​​​ได้สำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ  เพราะ​​พระวิญญาณ​​หยั่งรู้ทุกสิ่งแม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า

[15]ฉบับภาษาอังกฤษคือ “spirit” และภาษากรีกคือ “πνεῦμα” ที่แปลว่า “วิญญาณ” ฉบับภาษาไทยบางฉบับแปลว่า “ใจ” (ผู้แปล)

[16]Henry Choi

[17]วิวรณ์21:10แล้วท่านนำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์คือเยรูซาเล็ม”

[18]ยอห์น4:24 “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณและคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

[19]2ครินธ์3:17“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหนเสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น

[20]กิจการ 20:28“จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์” 

[21]1โครินธ์ 12:11พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์

[22]สดุดี118:26ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์จงได้รับพระพร” (ฉบับมาตรฐาน2011)

[23]โรม 6:3“ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์”

[24]Clover leaf คือใบของต้นโคลเวอร์ที่ปกติจะมีใบ3 แฉก

[25]วิวรณ์ 17:14 “พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย

[26]เอสรา 7:12“อารทาเซอร์ซีสกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย”

[27]James Dunnนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน

[28]อิสยาห์44:พระยาห์เวห์พระมหากษัตริย์ของอิสราเอลและพระผู้ไถ่ของเขาพระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “เราเป็นเบื้องต้นและเราเป็นเบื้องปลายนอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้าอื่น” (ฉบับมาตรฐาน2011)

[29]Complete Jewish Bible

[30]aoristคือกาลกริยาในไวยากรณ์ภาษากรีก เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดจุดหนึ่งในอดีตกาล (ผู้แปล)

[31]อพยพ3:14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า“ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่าพระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย(ฉบับมาตรฐาน2011)

[32] พระคัมภีร์ไทยใช้ “พระเมษโปดก”(Lamb) กับพระเยซู เป็นคำเดียวกับ “ลูกแกะ”(lamb) จาก avrni,on คำกรีกเดียวกัน (ผู้แปล)

[33] “feed my lambsกับ feed my sheep” คำว่า lamb ภาษากรีกคือ avrni,onคำว่า sheep ภาษากรีกคือ πρβατ(ยอห์น21:16พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า“ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ยท่านรักเราหรือ?”เขาทูลตอบ​​ว่า“ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์”พระองค์ตรัสกับเขาว่า“จงดูแลแกะของเราเถิด”-ผู้แปล

[34]koala

[35] “He was crucified in weakness,yet he lives by Gods power

[36]New Testament Christ­ologyหรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่”

[37] วิวรณ์ 3:21คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์

[38]1ปโตร 3:22พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

[39]ลูกา 16:8“แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง

[40]Hanyu(韩愈) ผู้เขียน BoyiSong(伯夷颂)

[41]หรือ “ฟันของพระพุทธเจ้า” (ผู้แปล)