บทที่ 14
พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณในวิวรณ์
เรากำลังมาถึงช่วงท้ายของการศึกษาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ในบทต่างๆนั้นเราได้ดูจากปฐมกาล ดูจากเล่มที่เหลือของหมวดพระบัญญัติ พระกิตติคุณยอห์น และอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์ บทนี้เราจะดูเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวในวิวรณ์ คริสเตียนส่วนใหญ่จะคิดว่าวิวรณ์เป็นหนังสือคำพยากรณ์และเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย แต่เราจะไม่มองวิวรณ์จากแง่มุมนั้น เพราะความสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย
วิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์นี้ เป็นการเปิดเผยจากพระเจ้าที่พระองค์ประทานแก่พระเยซูคริสต์ ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการเปิดเผยถึงการนมัสการพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียว หรือพูดได้ว่าวิวรณ์เป็นหนังสือที่เปิดเผยถึงความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวได้อย่างดีเยี่ยม ในหนังสือนี้ผมเห็นพระปัญญาและการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า เพราะภาพนิมิตในสวรรค์บอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่าวันหนึ่งคริสตจักรจะตกต่ำลงสู่ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ ซึ่งกรณีเฉพาะก็คือความเชื่อในตรีเอกานุภาพ
วิวรณ์ยังเผยลึกขึ้นในเรื่องของประสบการณ์ทางฝ่ายวิญญาณด้วย และในบริบทของภาพนิมิตในสวรรค์ของยอห์นก็เป็นเช่นนั้น วิวรณ์ไม่ได้นำเสนอข้อเชื่ออย่างมีแบบแผน ซึ่งต่างจากจดหมายของเปาโลที่มีไปถึงชาวโรม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เผยให้เห็นภาพนิมิตต่างๆในสวรรค์แบบปะติดปะต่อทีละฉากๆให้อัครทูตยอห์นได้เห็น วิวรณ์เป็นหนังสือที่มาจากประสบการณ์การใช้ชีวิตของยอห์น
เมื่ออ่านวิวรณ์ เราต้องต่อสู้กับปัญหาความเป็นฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง ยอห์นแสดงให้เราเห็นภาพนิมิตฝ่ายวิญญาณและถ้อยคำเผยพระวจนะ แต่สิ่งที่ปิดกั้นการมองเห็นของเราจากภาพนิมิตเหล่านั้นก็คือม่านของเนื้อหนังที่บังตาของเราไว้ คุณจะสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณให้กับคนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? สิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยวิญญาณ (1 โครินธ์ 2:14)[1] คุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วยปัญญาฝ่ายเนื้อหนังของคุณได้ ผมได้พคนมากมายที่มีความรู้และเฉลียวฉลาดในยุคของผมที่ฝ่ายวิญญาณทึบ ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาจากสติปัญญาของมนุษย์ คนบางคนอาจมีปริญญาขั้นสูงหลายใบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณได้เช่นเดียวกับเด็ก ถ้าสิ่งฝ่ายวิญญาณต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ แล้วเราจะเข้าถึงพระกิตติคุณยอห์นหรือความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้อย่างไร?
เรื่องที่น่าเศร้าอย่างมากก็คือว่า ความจริงนิรันดร์ได้ตกอยู่ในมือของคริสตจักรที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และไม่นานความจริงก็ถูกบิดเบือนจนไม่อาจจำได้ พระเจ้าได้เสาะหาที่จะให้มีคนฝ่ายวิญญาณในโลกนี้ ซึ่งก็คือคนของพระเจ้า แต่กลับกลายเป็นว่า คนของพระเจ้าเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง ในพระคัมภีร์เดิมเราจะเห็นเรื่องน่าเศร้าของอิสราเอลกับความหายนะครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดจากเนื้อหนังของมนุษย์
เรื่องราวที่น่าเศร้าของอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าทรงเลือกชนอิสราเอลนั้น พระองค์ต้องทนกับรูปแบบของบาปแบบไม่จบไม่สิ้น ที่ประชากรของพระเจ้าละทิ้งพระองค์และไปไหว้รูปเคารพ ก่อนหน้านี้เมื่อพระองค์ได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองบนภูเขาซีนาย ชาวอิสราเอลก็ห่างเหินจากพระองค์แล้ว
เมื่อประชาชนเห็นฟ้าร้องและฟ้าแลบ ได้ยินเสียงแตร และเห็นภูเขาเป็นควัน ได้ยินเสียงฟ้าคำรนและก็ยืนอยู่แต่ไกล พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว พวกเขายืนอยู่ห่างๆและกล่าวกับโมเสสว่า “จงพูดกับเราเอง แล้วเราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราเลย ไม่เช่นนั้นเราจะตาย” (อพยพ 20:18-19 ฉบับ NIV)
ความเหินห่างจากพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์ทำอยู่นั้น ในไม่ช้าก็เป็นการบ่นว่าอย่างเต็มขั้น ประชากรของพระเจ้าผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือก และทรงพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆนั้น ไม่หยุดบ่นว่าพระองค์ตลอดการเดินทาง 40 ปีผ่านถิ่นทุรกันดาร การบ่นว่ามุ่งเป้าไปที่พระเจ้าเป็นหลัก แต่ก็เกือบทำให้โมเสสหัวเสียไปด้วย แค่นั้นดูเหมือนยังไม่พอ เพราะท้ายที่สุดเมื่อชาวอิสราเอลได้ข้ามเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาก็เปลี่ยนแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้กลายเป็นแผ่นดินแห่งการไหว้รูปเคารพ
นอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พวกเขาต้องการให้กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาปกครองพวกเขาเหมือนกับชาติทั้งหลายที่อยู่รอบๆพวกเขา อิสราเอลขาดกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ ชาติอื่นๆก็จะพูดว่า “ใครเป็นกษัตริย์ของพวกท่าน? พวกท่านไม่มีสักองค์ด้วยซ้ำ!” สำหรับชาวอิสราเอลแล้ว มันเป็นเรื่องน่าอับอายระดับชาติ ที่พระเจ้าองค์เจ้านายทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็เลือกแบบอย่างมนุษย์ที่ดูน่าภาคภูมิมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขา คือซาอูล ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผย สูงใหญ่น่าประทับใจ ศีรษะและไหล่ก็สูงเหนือคนทั้งหลาย ถ้าคุณมองไปที่ฝูงชนอิสราเอล คุณจะเห็นศีรษะของคนหนึ่งสูงเด่นเหนือคนอื่นๆ นั่นคือซาอูลที่กิริยาท่าทางน่าประทับใจ มาเป็นผู้ปกครองอย่างที่ประชาชนต้องการเลย เขามีท่วงท่าและความสง่างามของกษัตริย์ที่คนจีนเรียกว่าท่วงทีของเสือ[2] แต่คุณสมบัติฝ่ายวิญญาณของซาอูลล่ะ? ก็ไม่ต้องสนใจถามนั้นหรอกเพราะตอนนี้เรากำลังพูดถึงกษัตริย์กันอยู่
ถ้าจะพูดตามภาษาของการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแล้ว ซาอูลได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย ประชาชนเลือกเขาเข้ามาและเลือกพระเจ้าออกไป ผู้เผยพระวจนะซามูเอลที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณเพียงคนเดียวจากทั้งหมดก็โกรธในเรื่องนี้ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงฟังทุกสิ่งที่ประชาชนพูดกับเจ้าเพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่พวกเขาได้ปฏิเสธเรา ไม่ต้องการให้เราเป็นกษัตริย์ของพวกเขา”(1ซามูเอล8:7 ฉบับ NIV) พระเจ้าทรงถูกประชากรของพระองค์เองปฏิเสธหรือ? มีอะไรที่เป็นไปได้อีกบ้าง? และจากนั้นไม่นานก็มีความหายนะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมีกษัตริย์ที่ดีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
รูปเคารพเพิ่มทวีขึ้นทุกแห่งหน ใต้ต้นไม้ทุกต้นและบนเนินเขาทุกลูก เมื่อคุณเข้าไปในบ้านไหนก็จะเจอรูปเคารพอยู่ในนั้น เหมือนที่เราเข้าไปในบ้านของคนจีนนั่นแหละ พระเจ้าทรงเหลืออดแล้วจึงมีการพิพากษาโทษ ชาวบาบิโลนก็เผาพระวิหารจนราบเรียบแล้วกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย เจ็ดศตวรรษต่อมาพวกเขาจึงซมซานกลับมาจากการถูกเนรเทศแบบคนที่มีแผลเป็นและเจียมตัว คราวนี้พวกเขาได้ตัดสินใจนมัสการพระเจ้าองค์เดียวและเพียงผู้เดียวเท่านั้น พวกเขาต้องใช้เวลานานหลายศตวรรษกว่าจะเรียนบทเรียนนี้ แต่เมื่อพวกเขาสำนึกตัวได้ ก็มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน
จากช่วงของมาลาคี (ราว 444 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อให้จำวันเวลาได้ง่าย) จนถึงช่วงของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นไม่มีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลเลย พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับประชากรของพระองค์แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ตาม แค่นั้นยังไม่ดีพอสำหรับพระเจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาในช่วงสี่ศตวรรษครึ่ง ซึ่งก็เกือบครึ่งสหัสวรรษ[3]จนมาถึงช่วงสมัยของพระคริสต์ พระเจ้าทรงนิ่งเงียบ เพราะพระองค์ไม่ตรัสกับผู้ที่ได้ปฏิเสธพระองค์ให้เป็นกษัตริย์
เรื่องราวที่น่าเศร้าของคริสตจักร
แล้วคริสตจักรล่ะ? เมื่อมองย้อนดูคริสตจักรเมื่อ 1,600 หรือ 1,700 ปีที่ผ่านมา เราเห็นเรื่องราวคล้ายๆกัน ก่อนหน้านี้พระเยซูได้ทรงให้ถ้อยคำที่อัศจรรย์เรื่องความรอดนิรันดร์ พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเปิดยุคแห่งพระคุณ และบรรดาคนของพระเจ้าก็มีประสบการณ์กับความหวังใหม่ แต่ภายในเวลาไม่กี่ศตวรรษหลังจากที่พระเยซูได้ประกาศถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์คริสตจักรก็ตกต่ำลง และในวิวรณ์บทที่ 2 และ 3 มีห้าคริสตจักรจากเจ็ดคริสตจักรในแคว้นเอเชียได้ถูกองค์ผู้เป็นเจ้าติเตียนเรื่องความบาปและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา มีหนึ่งคริสตจักรที่ถูกประกาศว่าได้ตายแล้ว ดังที่กล่าวว่า “เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว”(วิวรณ์ 3:1ฉบับNIV) คริสตจักรตายสนิทหรือ? นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณสันหลังวาบ
ผมทำได้แค่ถอนหายใจ เมื่อผมมองไปที่ภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สำหรับผม ผมถามองค์ผู้เป็นเจ้าว่าทำไมผมจึงต้องสอนสิ่งทั้งหมดนี้? ใครจะมายอมรับเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนี้? หลังจากที่ดูประวัติศาสตร์ทางฝ่ายวิญญาณของคริสตจักร แล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่า ผมน่าจะเก็บกระเป๋าไปปลีกวิเวกอยู่ในป่าสักแห่งที่ห่างจากโลกภายนอก เพื่อจะได้สัมพันธ์สนิทกับองค์ผู้เป็นเจ้าจะดีเสียกว่า ผมจะสอนสิ่งทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร? เมื่อสองพันปีที่แล้วพระเจ้าได้ประทานความจริงที่อัศจรรย์และนิรันดร์ให้กับโลก ความจริงที่อัศจรรย์นี้ได้ตกอยู่ในความดูแลของคริสตจักร แต่เมื่อถึงศตวรรษที่สี่หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้น พวกเขาก็ได้บิดเบือนความจริงเสีย
ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงได้มีหลักคำสอนว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งพระองค์แต่เป็นสาม พระองค์เป็นสามที่รวมเป็นหนึ่ง หรือหนึ่งรวมอยู่ในสามในเกมเล่นคำที่เหลวไหลที่เรากำลังเล่นอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นสูตรและกำหนดโดยบรรดาผู้นำคริสตจักรฝ่ายเนื้อหนัง คนเหล่านี้เป็นใครกันหรือ? ขอรายชื่อของพวกเขาให้ผมหน่อย ให้เรามาตรวจสอบชีวิตคริสเตียนของพวกเขากันดูที พวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม? คุณแค่ดูหลักคำสอนของพวกเขาก็จะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรได้ตกอยู่ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังที่กำหนดคำสอนตามที่พวกเขาพอใจ โดยไม่ให้ข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของพวกเขา ไม่มีการอ้างอิงพระคัมภีร์สักข้อในหลักข้อเชื่อไนซีน[4] และหลักข้อเชื่ออื่นๆอีกมากมาย
ในหลักข้อเชื่อเหล่านี้ บรรดาผู้นำคริสตจักรจะทำหน้าที่ของสังฆราชในการตัดสินใจเหมือนกับพระสันตะปาปาที่ทำหน้าที่ของสังฆราชในเรื่องต่างๆ เช่น ความเชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากบาปของพระแม่มารีย์[5] มีการกล่าวกันว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอด้วยอำนาจในตำแหน่ง คือเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอเมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพระสันตะปาปา แต่ทันทีที่ก้าวลงจากเก้าอี้ การเป็นผู้ที่ทำถูกเสมอก็สิ้นสุดลง เก้าอี้ตัวนี้ช่างวิเศษจริงๆ! เราขอยืมไปใช้สักสองสามวันจะได้ไหม? แต่เรื่องเหลวไหลแบบนี้แหละที่ได้ให้ในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผมเปิดดูทีวีเช้านี้ มีนักเทศน์ชาวอเมริกันกำลังยืนเทศน์อยู่ในคริสตจักร และเขาเทศน์อะไรจากพระคัมภีร์หรือ? ก็เทศน์เรื่องวิธีที่จะมั่งคั่งและรุ่งเรือง! เมื่อพระคำของพระเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาก็สามารถบิดเบือนถ้อยคำได้มากโดยไม่มีขีดจำกัด เมื่อกล้องถ่ายไปรอบๆโบสถ์ ผมเห็นคนแน่นไปหมด คริสเตียนจำนวนมากอยากร่ำรวย และนักเทศน์คนนี้ก็เทศน์เรื่องนี้อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า และผู้คนก็ฟังไม่เคยเบื่อ
ใจของผมหนักอึ้ง เพราะผมกำลังเผชิญปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะเอาชนะในความเป็นเนื้อหนังของเราเอง และความเป็นเนื้อหนังของคริสตจักรได้ นักเทศน์ทางโทรทัศน์เหล่านั้นล้วนเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง เมื่อคุณเปิดทีวีช่องของคริสเตียนก็จะเห็นศาสนาจารย์ท่านนี้ท่านนั้นพูดแต่เรื่องเงินๆทองๆ และเงินทองที่มากขึ้น นั่นเป็นวิธีที่เขาได้คนเข้ามาในคริสตจักร นั่นเป็นวิธีที่เขาขยายคริสตจักรของเขา นั่นเป็นวิธีที่เขาได้เงินถวายมากขึ้นเพื่อใช้ในการออกอากาศคำเทศนาของเขาเพื่อจะบอกผู้คนมากขึ้นเกี่ยวกับการหาเงินทอง ถ้าคุณออกอากาศคำเทศนาแบบนี้ในประเทศจีน ทุกคนจะฟังคุณเพราะเงินทองกลายมาเป็นสิ่งเลื่อมใสได้เร็วมากในประเทศจีน ปัญหาที่เอาชนะไม่ได้สักที!
พวกเราที่เป็นคริสเตียนต้องตัดสินใจเลือกผู้ที่เราต้องการจะนมัสการ ก็เหมือนที่ชาวอิสราเอลต้องการเลือกกษัตริย์ของพวกเขาเอง และคริสตจักรได้ตัดสินใจที่จะนมัสการพระเยซู เราจัดให้พระองค์อยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า และทำให้พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าทุกประการ นั่นคือสิ่งที่เราได้ทำในความเชื่อตรีเอกานุภาพ แล้วผมได้ทำอะไรในห้าสิบปีที่ผ่านมา? ดีที่ผมได้เห็นความจริงในที่สุด แต่ในหลายปีที่ผ่านมาที่ผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพล่ะ?
เราตัดสินใจว่าเราต้องการจะนมัสการใคร โดยไม่คำนึงว่าพระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร เมื่อมองย้อนกลับไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือหลักฐานของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่รู้วิธีที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเท่าเทียมพระเจ้าทุกประการได้อย่างไร แต่ผมได้สอนความเชื่อในตรีเอกานุภาพและตีความพระคัมภีร์ผิดมาเป็นเวลาห้าสิบปี เราได้ตัดสินใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และในทางปฏิบัติจริงนั้นเราก็ให้พระเยซูมีความสำคัญกว่าพระยาห์เวห์ด้วยซ้ำ เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้องด้วยเลย
พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระผู้สร้างเดียวในพระคัมภีร์ แต่เราได้ทำให้พระเยซูเป็นพระผู้สร้างหลักในความเชื่อตรีเอกานุภาพ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ เราใช้ยอห์น 1:3 อย่างผิดๆกับพระเยซู (“สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์” ฉบับ NIV) ตอนนี้พระเยซูเป็นพระผู้สร้าง เช่นนั้นแล้วจะมีบทบาทอะไรเหลือไว้ให้พระบิดาหรือ? ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระบิดาไม่สามารถจะเป็นพระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นจึงน่าเป็นไปได้ว่าพระบิดาคือพระยาห์เวห์ แต่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำให้พระยาห์เวห์เป็นพระผู้สร้างอันดับสอง ที่สร้างจักรวาลโดยมีพระเยซูทรงให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พระเยซูเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นบทบาทของพระยาห์เวห์ในฐานะพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงลดน้อยลง พระเยซูจึงเป็นพระเจ้าที่ทรงกระทำทุกสิ่ง พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ประทานพระองค์เองเพื่อเรา พระองค์เป็นผู้พิพากษาและกษัตริย์ที่จะเสด็จมา ฉะนั้นแล้วจะมีอะไรเหลือไว้ให้พระยาห์เวห์? ก็ไม่เหลืออะไรจริงๆ
แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลึกลับ ผู้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกานุภาพล่ะ? บรรดาผู้เชื่อแบบคาริสแมติกจะนมัสการพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โดยหลักๆแล้วก็ด้วยเหตุผลในทางเนื้อหนัง คุณต้องร่วมนมัสการกับความเชื่อแบบคาริสแมติกจึงจะเห็นสภาพของความเป็นเนื้อหนังที่เน้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นแหล่งของความมั่งคั่งและความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อมีการรักษาโรค เราก็จะเห็นคนโยนไม้ค้ำยันทิ้งหรือลุกขึ้นจากรถเข็น เขาจะกระโดดโลดเต้นและทุกคนจะร้องตะโกน “ฮาเลลูยา” เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรักษาเราและทำให้เราร่ำรวย
เราได้ผลักไสพระยาห์เวห์ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง แต่เราก็ประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เรากำลังพูดถึงความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแบบไหนหรือ? ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเพียงอย่างเดียวที่มีในพระคัมภีร์ก็คือ พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าเดียวและเพียงองค์เดียวเท่านั้น และไม่มีใครอื่นที่ได้รับการนมัสการ แต่ตอนนี้เรามีถึงสามพระองค์ เรานมัสการทั้งสามพระองค์หรือแค่สองพระองค์ (เนื่องจากมีคนจำนวนมากไม่ได้นมัสการพระวิญญาณ) นี่คือมหันตภัยโดยแท้
บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่าศึกนี้คุ้มค่าที่จะต่อสู้หรือไม่ หลังจากที่ได้สอนเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวไปสี่เดือน ผมขอบอกพวกคุณตรงๆว่าผมรู้สึกเหนื่อยมาก หลังจากการสอนแต่ละครั้งผมต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นตัว สิ่งทั้งหมดที่ทำไปเพื่ออะไร? คุณให้ความจริงนิรันดร์นี้ไว้ในมือของคนฝ่ายเนื้อหนังพวกเขาก็จะทำลายมันและบิดเบือนมันจนจำเค้าเดิมไม่ได้ คำอธิบายให้เห็นอย่างละเอียดของผมที่ได้รับโดยพระคุณของพระเจ้านี้จะทำให้มันดีขึ้นไหม? ผมไม่ทราบ แต่อย่างที่เปาโลกล่าวว่า สิ่งที่ต้องการจากผู้รับใช้ก็คือความสัตย์ซื่อ สิ่งที่ผมทำได้ก็คือสัตย์ซื่อ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ผมเก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของผมเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ได้ออกไปข้างนอกหรือไปห้างสรรพสินค้า ผมใช้ชีวิตของผมเพื่อจะทำบทต่างๆนี้ให้เสร็จโดยพระคุณของพระเจ้าเพื่อว่าในที่สุดผมจะพูดได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า มันเสร็จแล้ว เวลาของข้าพระองค์หมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าคนทั้งหลายจะทำอะไรกับคำสอนนี้ แต่ข้าพระองค์ได้ทำทุกอย่างที่ข้าพระองค์สามารถทำได้เพื่อจะส่งต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้กับข้าพระองค์ พวกเขาจะทำอะไรกับคำสอนหลังจากนั้น ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าพระองค์แล้ว”
เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียว
ผมไม่ได้ปิดหูปิดตากับความจริงที่ว่าผู้ที่ประกาศความจริงมักเป็นคนกลุ่มน้อยเสมอ ประชาชาติที่พระเจ้าทรงเรียกออกมานั้น ในที่สุดเวลาก็มาถึงเมื่อเหลือผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียวในชาติ บนภูเขาคารเมลนั้น เอลียาห์เผชิญหน้ากับกองทัพผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลและพระอาเช-ราห์ 850 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 18:19)[6] มีผู้เผยพระวจนะแท้ของพระยาห์เวห์เพียงคนเดียวในประชาชาติที่พระองค์ได้ทรงเรียกออกมา ดีที่ยังมี 7,000 คนไม่ยอมคุกเข่าต่อพระบาอัล (1 พงศ์กษัตริย์ 19:18)[7] แต่ในจำนวนนี้ไม่มีใครเป็นผู้เผยพระวจนะเลย ถ้าจะใช้คำสมัยใหม่ พวกเขาก็คือ “ฆราวาส” (หรือบุคคลทั่วไป) และแน่นอนว่าเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 7,000 คนที่สัตย์ซื่อเหล่านี้ แต่ไม่มีใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเอลียาห์บนภูเขาคารเมล โดยพระคุณของพระเจ้า เขามีสาวกที่โดดเด่นชื่อเอลีชาและอาจมีคนอื่นอีกสองสามคนที่โดดเด่นน้อยกว่า แต่ในช่วงที่เด็ดเดี่ยวนั้น เอลียาห์อยู่เพียงลำพังบนภูเขา เป็นคนเดียวที่พูดความจริงของพระเจ้า
เมื่อพูดถึงความจริงของพระเจ้า ความหมายของหลายข้อชัดเจนสมบูรณ์สำหรับผม หลังจากที่ผมออกมาจากความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่นั้น ผมสอนพระคัมภีร์แบบผิดๆ เพราะผมสอนตามการแปลความสิ่งต่างๆของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตอนนี้ผมสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่เคยเห็นการแปลความอย่างอื่นที่ชัดเจนสมบูรณ์และกระจ่างแจ้งอยู่ตรงหน้าผม คนฝ่ายเนื้อหนังจะบิดเบือนความจริง ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาชั่วร้าย แต่เพราะพวกเขาเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง นี่เป็นปัญหาไม่ใช่แค่กับบรรดาผู้นำคริสตจักร แต่กับทั้งคริสตจักร
พระเยซูถูกถามว่า ถ้าชายคนหนึ่งตายโดยที่ยังไม่มีบุตร และน้องชายของเขาก็แต่งงานกับหญิงม่ายตามบทบัญญัติเพื่อจะมีบุตรไว้สืบตระกูลให้กับพี่ชายที่ตายแล้ว และถ้าเขาเองก็ตายโดยที่ยังไม่มีบุตรกับเธอ และก็เป็นอย่างนี้กับพี่น้องทั้งเจ็ดคน เธอจะเป็นภรรยาของใครในสวรรค์? พระเยซูตรัสตอบว่าพวกสะดูสีไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า (มัทธิว 22:29เปรียบเทียบมาระโก 12:24)
พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ฉบับ NIV)
ἀποκριθεὶς δὲ ὁ Ἰησοῦς εἶπεν αὐτοῖς· πλανᾶσθε μὴ εἰδότες τὰς γραφὰς μηδὲ τὴν δύναμιν τοῦ θεοῦ·
จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว” แปลจากคำกรีกว่า πλανάω (planaō)พวกสะดูสีหลงผิดเพราะพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้นำศาสนาที่เติบโตมากับพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก แต่พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์ นั่นจึงเป็นผลให้พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า คำว่า “รู้” ที่พูดถึงนี้ไม่ได้หมายถึงการรู้จากความรู้ แต่เป็นการรู้จากประสบการณ์ คนฝ่ายเนื้อหนังสามารถจะอ่านพระคัมภีร์จากสติปัญญาได้ แต่ไม่รู้พระคัมภีร์จากประสบการณ์ พวกเขาไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา มีคนน้อยมากที่รู้จักพระเจ้าจากประสบการณ์ เอลียาห์เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น แต่จะพูดถึงคนอิสราเอลในแบบเดียวกันไม่ได้
พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์
บทนี้ผมจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างย่อๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าองค์ที่สามในตรีเอกภาพ แต่เป็นพระยาห์เวห์เอง
พวกอัครทูตเป็นผู้ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ แต่พวกเขาเองไม่ได้มีต้นฉบับของพระคัมภีร์ใหม่ที่จะสามารถอ้างถึงได้ แล้วพวกเขาสามารถสอนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และเรื่องอื่นๆได้อย่างไร? พวกเขามีพระคัมภีร์เดิม แต่พระคัมภีร์เดิมพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแง่ของหลักคำสอนน้อยมาก
คำตอบง่ายๆก็คือ พวกอัครทูตสอนสิ่งฝ่ายวิญญาณจากประสบการณ์ของพวกเขาเองกับพระเจ้าและฤทธิ์เดชของพระองค์ พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์เพราะพวกเขามีประสบการณ์กับพระคัมภีร์ด้วยตัวของพวกเขาเอง พระคัมภีร์เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิต ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎี คุณต้องดำเนินชีวิตตามนั้นคุณจึงจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้ ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามนั้น คุณจะไม่เข้าใจพระคัมภีร์แล้วยังอาจแปลความผิดๆอีกด้วย
เมื่อผมมองย้อนประสบการณ์ของผมเอง ผมนึกถึงประสบการณ์พิเศษครั้งหนึ่งที่เกี่ยวกับพระวิญญาณ ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกคุณมาก่อน แต่คราวนี้ผมจะวิเคราะห์มากขึ้นอีกหน่อย ผมจำประสบการณ์ที่เรามีได้อย่างติดตาในชิเซิลเฮิร์สท์[8]ในช่วงที่ผมศึกษาอยู่ ชิเซิลเฮิร์สท์เป็นเมืองเล็กๆหรือหมู่บ้านในเคนท์ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของอังกฤษ ถ้าขับรถก็หนึ่งชั่วโมงจากทางใต้ของลอนดอน คริสตจักรลอนดอนของเราได้จัดค่ายอีสเตอร์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์ มีประมาณหกสิบคนมาร่วมค่ายนี้
ทุกวันนี้ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของค่ายได้ การประชุมวันสุดท้ายของค่ายเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรานั่งลงและกำลังจะเริ่มร้องเพลงชีวิตคริสเตียน ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อย่างน่าเกรงขามขององค์ผู้เป็นเจ้า มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายอย่างไร ถ้าคุณไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน คุณก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ได้ดี เพราะเราเองก็มีประสบการณ์อย่างวันเพ็นเทคอสต์ด้วย ทันใดนั้นเราทุกคนก็รู้สึกถึงการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า เรากำลังพยายามร้องบทเพลงชีวิตคริสเตียนนี้อยู่ แล้วจู่ๆการร้องของเราก็อึ้งไป ทุกอย่างหยุดนิ่งและมีแต่ความเงียบ
เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นี้ ผมเห็นได้ว่าอย่างแรก ไม่มีความรู้สึกกลัวหรือตัวสั่น ไม่มีใครมีอาการขนลุกซู่หรือขนลุกขนพอง เมื่อตอนเป็นเด็กเราเคยเล่าเรื่องผีหลอกให้กลัวกัน โยบกล่าวว่า “วิญญาณดวงหนึ่งผ่านหน้าข้าไป และข้าขนลุกซู่” (โยบ 4:15 ฉบับ NIV) แต่การประชุมที่ชิเซิลเฮิร์สท์ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวหรือน่าตกใจกลัว มีแต่ความรู้สึกตื่นตะลึงกับการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า คุณจะอธิบายความเกรงขามนี้อย่างไร? มันเหมือนกับความรู้สึกเต็มตื้นเมื่อคุณเห็นดวงอาทิตย์ตกดินพร้อมกับเมฆตระหง่านงดงาม และแสงทองของดวงอาทิตย์ยามตกดินให้คุณได้สัมผัสสวรรค์แวบหนึ่ง บางครั้งผมจะมองดูผู้คนที่ยืนอึ้งตรงหน้าอาทิตย์ตกดินที่น่าตื่นตะลึง แต่แม้นั่นจะเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ตื่นตะลึงอย่างมากที่เราทั้งหกสิบคนมีประสบการณ์ที่ชิเซิลเฮิร์สท์
ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มสารภาพบาปของพวกเขา ไม่มีใครนำประชุมอีกต่อไป หลังจากประกาศชื่อเพลงชีวิตคริสเตียนแล้ว ก็หายไปเลยจากสายตาสองสามชั่วโมงต่อมา เขาไม่ได้พยายามจะนำอะไรเพราะเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงควบคุมสถานที่แห่งนั้น คนข้างๆผมน้ำตาไหลอาบแก้มของเขา ตรงมุมห้องมีบางคนกำลังสารภาพบาปของเขาออกมาดังๆ แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อีกคนก็ยืนขึ้นสารภาพบาปของเขา และเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความสำนึกอันทรงพลังของการสถิตอยู่ที่เต็มด้วยความบริสุทธิ์นี้ ทำให้ผู้คนพากันสารภาพบาปของพวกเขาทันทีโดยไม่มีใครกระตุ้น มีความสำนึกตัวถึงความไม่สะอาดและความเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง และทุกคนก็ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดต่อการสถิตอยู่เต็มด้วยความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
สิ่งนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานเท่าไรผมก็ไม่รู้จริงๆ เพราะทุกคนลืมเรื่องเวลากันหมด คุณเหมือนจะอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา เราไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนและเราก็ไม่สนใจ เมื่อคุณอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา ใครล่ะจะสนใจเรื่องเวลา? การประชุมได้เริ่มขึ้นเก้าโมงครึ่งหลังอาหารเช้าและหลังจากการหาไข่อีสเตอร์ ทุกคนกำลังสนุกสนานวิ่งหาไข่อีสเตอร์กันจ้าละหวั่น เราเข้ามาในห้องประชุมด้วยเสียงหัวเราะและนั่งลงเปิดหนังสือเพลงชีวิตคริสเตียน เราไม่ได้ถูกเร้าใจในจิตวิญญาณด้วยเสียงดนตรีนมัสการหรือการใคร่ครวญเงียบๆ เรานั่งลงได้แค่สองสามนาที ผู้นำประชุมก็พูดว่า “ให้เราร้องเพลงนี้ด้วยกัน” แล้วการสถิตอยู่ขององค์ผู้เป็นเจ้าก็เข้ามาอยู่ท่ามกลางเรา! ไม่ได้มีการเตรียมการในทางจิตวิทยาแต่อย่างใด ถึงกระนั้นเราก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงที่ไร้กาลเวลา
ผมจำได้เลาๆว่ามีเสียงเคาะประตู เจ้าหน้าที่ค่ายกำลังแจ้งคนที่อยู่ใกล้ประตูว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว พี่น้องชายที่อยู่ใกล้ประตูได้พูดขอบคุณแล้วก็ปิดประตู แต่ไม่มีใครคิดถึงอาหารกลางวันกันเลย ณ เวลานั้นการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้าน่าจะผ่านไปประมาณสามชั่วโมงแล้ว เพราะเวลาอาหารกลางวันคือเที่ยงครึ่ง ไม่มีใครสนใจอาหารกลางวันเมื่อมีการสถิตอยู่อันทรงพลังของพระเจ้า มันไม่ใช่การสถิตอยู่แบบชั่วแวบเดียวของพระองค์ แต่เป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วการประชุมสิ้นสุดลงตอนไหน แต่น่าจะราวๆบ่ายสองโมง เรายังคงอยู่แบบนั้นสี่หรือห้าชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เมื่อทุกสิ่งจบลงก็มีความรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริง หลังจากการสารภาพบาป ก็มีการสรรเสริญและรู้สึกได้ถึงความรัก ความยินดี และสันติสุข ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณ!
แต่ประสบการณ์นั้นทำให้ทุกคนเป็นคนฝ่ายวิญญาณไหม? น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ประสบการณ์แบบนั้นไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนฝ่ายวิญญาณเสมอไป มันขึ้นกับว่าคุณทำอย่างไรกับมัน คนฝ่ายเนื้อหนังอาจชื่นชอบประสบการณ์นี้ แต่ในไม่ช้าเขาก็หวนกลับไปสู่ความเป็นเนื้อหนังของเขา แต่สำหรับผมแล้ว ประสบการณ์นั้นแตะใจและความคิดของผม และนำผมให้มีความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้นกับพระเจ้า
เมื่อผมวิเคราะห์ประสบการณ์นั้น ผมก็ตระหนักว่า ผมไม่ได้รับรู้ถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ที่สองหรือพระองค์ที่สามของตรีเอกภาพ มีแต่เพียงการรับรู้ถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว
พระวิญญาณของพระเยซู
แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร? คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” มีปรากฏราวๆ 90 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ จาก 90 ครั้งนี้มีปรากฏ 41 ครั้งในกิจการและ 13 ครั้งในลูกา ลูกาและกิจการเขียนโดยคนเดียวกันคือลูกา โดยรวมแล้วมีปรากฏทั้งหมด 54 ครั้งเฉพาะในลูกากับกิจการ จำนวนนี้คิดเป็น 60% ของการปรากฏทั้งหมดของ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในพระคัมภีร์ใหม่ คำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เป็นคำศัพท์เฉพาะของลูกา (ผู้เขียนกิจการด้วย) ในเล่มอื่นๆทั้งหมดของพระคัมภีร์ใหม่มีคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏน้อยครั้งมากและไม่มีปรากฏในวิวรณ์แม้แต่ครั้งเดียว
เหตุใดลูกาซึ่งน่าจะเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในบรรดาผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จึงเลือกใช้คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์”? เราได้เห็นแล้วว่าการสถิตอยู่ของพระเจ้าจะมาพร้อมๆกับความสำนึกอันทรงพลังถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกาจึงใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของคนต่างชาติ ที่แนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้ถูกปนเปื้อน คนต่างชาติคิดในแง่ของพระต่างๆมากกว่าในแง่ของพระเจ้า ลูกาแนะนำคำว่า “บริสุทธิ์” เพื่อแยกแยะพระเจ้าที่แท้จริงจากบรรดาพระที่ไม่บริสุทธิ์ของคนต่างชาติ ถ้าคุณอ่านตำนานเทพเจ้าของกรีก คุณจะรู้ว่าพระต่างๆของกรีกสามารถเป็นฝ่ายเนื้อหนังได้เหมือนกับมนุษย์และบางครั้งก็เป็นฝ่ายเนื้อหนังมากยิ่งกว่า พระเหล่านั้นยังน่าสะอิดสะเอียนจนคุณคิดสงสัยว่า จะมีใครมานมัสการพระเหล่านั้นได้อย่างไร นอกจากนี้พระเหล่านี้ยังถูกคนฝ่ายเนื้อหนังเรียกใช้ตามจุดประสงค์ทางเนื้อหนังของพวกเขาเอง ถ้าคุณออกรบ คุณก็จะนมัสการพระหรือเทพเจ้าแห่งสงคราม ถ้าคุณอยากมีลูก คุณก็จะนมัสการพระหรือเจ้าแม่แห่งความอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่พระเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือความไม่บริสุทธิ์ของพระเหล่านั้น ดังนั้นหากจะประกาศความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่แท้จริงให้กับคนต่างชาติ เราจะต้องอธิบายกับพวกเขาว่า พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซูหรือพระวิญญาณของพระคริสต์ด้วย คำเรียกทั้งสองนี้จะพบน้อย แต่ละคำเรียกมีปรากฏอย่างละสองครั้ง ทั้งหมดรวมเป็นสี่ครั้ง (กิจการ 16:7, โรม 8:9, ฟีลิปปี 1:19, และ 1 เปโตร 1:11)[9] แล้วทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถูกเรียกว่าพระวิญญาณของพระเยซู? คำนี้ไม่ใช่ไม่คุ้นกับคนในพระคัมภีร์เดิม ในพระคัมภีร์เดิมนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทำงานอย่างชัดแจ้งแล้วในบางคน ตัวอย่างหนึ่งก็คือ โมเสสผู้ที่เต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือผู้ที่ทำหน้าที่โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ ในความเป็นจริงแล้ว โมเสสทำหน้าที่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจนถึงขนาดที่สามารถพูดได้ว่า พระวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณของโมเสส ในกันดารวิถี 11:17 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
และเราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น แล้วเราจะเอาวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนเจ้า มาใส่บนคนเหล่านั้น และพวกเขาจะแบกภาระของประชาชนเหล่านั้นร่วมกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกภาระไว้คนเดียว (กันดารวิถี 11:17ฉบับ ESV)
โมเสสทำงานหนักเกินไปและแบกภาระตามลำพัง ดังนั้นพระเจ้าจึงเอาวิญญาณที่อยู่บนโมเสสและใส่บนพวกผู้ใหญ่ที่จะช่วยโมเสสแบ่งเบางานของเขา ข้อ 25 กล่าวว่า
แล้วพระเจ้าเสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับเขา แล้วทรงเอาพระวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น และทันทีที่พระวิญญาณมาอยู่บนพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เผยพระวจนะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำต่อไปอีก (กันดารวิถี 11:25 ฉบับ ESV)
พวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นได้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ แต่ไม่ได้รักษาพลังแห่งการเผยพระวจนะของพวกเขาไว้ บทบาทหลักของพวกเขาก็คือแบ่งเบาภาระงานบางอย่างของโมเสส ในข้อ 17 จงสังเกตคำว่า “เราจะเอาวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีอยู่บนเจ้า” เราคงคาดหวังให้พระเจ้าตรัสในทำนองนี้ว่า “เราจะให้วิญญาณของเรากับพวกผู้ใหญ่เหมือนที่เราได้ให้วิญญาณของเรากับเจ้า” ในการพูดถึงพระวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้หมายถึงวิญญาณมนุษย์ของโมเสสเอง เพราะคงไม่มีใครจะพูดถึงวิญญาณมนุษย์ของคนคนหนึ่งว่าอยู่ “บนเขา” สิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็คือ ทรงเอาพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสสมาใส่บนผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน พระเจ้าทรงเอาพระวิญญาณของโมเสสจากโมเสส (คือพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส) แล้วใส่บนผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน เพื่อพวกเขาจะได้มีพระวิญญาณองค์เดียวร่วมกัน
พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์กับผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคนโดยตรง พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขารู้ว่าพระวิญญาณที่ใส่บนพวกเขานั้นคือพระวิญญาณที่อยู่บนโมเสส เพื่อให้สิทธิอำนาจของพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับตัวโมเสส ตรงนี้เราเห็นพระปัญญาที่น่าทึ่งของพระเจ้า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่น่าประหลาดใจนี้เพื่อไม่ให้พวกผู้ใหญ่คิดอย่างนี้ว่า “เมื่อโมเสสได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์ ดังนั้นเราก็ได้รับพระวิญญาณโดยตรงจากพระยาห์เวห์เช่นกัน และนั่นทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับโมเสส” พระเจ้าทรงตั้งโครงสร้างของผู้นำไว้อย่างเป็นระเบียบ และพระองค์ไม่ทรงต้องการจะสร้างกลุ่มผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนที่มีฐานะเทียบเท่าโมเสส ปัญหามีมากพอแล้วในอิสราเอลจึงไม่ควรต้องมาจัดการกับผู้นำที่แตกแยก
ในพระคัมภีร์เดิมมีคนของพระเจ้าน้อยมาก หนึ่งในนั้นคือเอลียาห์ พระคัมภีร์พูดถึง “วิญญาณของเอลียาห์” ซึ่งนี่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ของเอลียาห์เอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า และพระวิญญาณนี้อยู่บนเขา จงสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้
เมื่อพวกเขาข้ามไปแล้ว เอลียาห์ก็พูดกับเอลีชาว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้ก็จงขอเถิด ก่อนที่เราจะถูกรับไปจากท่าน” เอลีชาได้ตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับวิญญาณ[10]ของท่านสองเท่า” และเอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก แต่ถ้าท่านเห็นเราถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้” ขณะที่ท่านทั้งสองกำลังเดินสนทนากันไป ทันใดนั้นก็มีรถรบเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงปรากฏขึ้นและได้แยกเขาทั้งสองจากกัน และเอลียาห์ก็ถูกพายุหมุนหอบขึ้นสู่สวรรค์ เอลีชาเห็นดังนั้นก็ร้องว่า “พ่อของข้า!พ่อของข้า!รถรบและพลม้าของอิสราเอล!” และเอลีชาก็ไม่เห็นท่านอีก แล้วเขาก็จับเสื้อของเขาฉีกออก เขาหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมา และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำ กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์ตอนนี้สถิตอยู่ที่ไหน?” เมื่อเขาฟาดน้ำ น้ำก็แยกไปทางซ้ายทางขวาและเอลีชาก็เดินข้ามไปพวกผู้เผยพระวจนะจากเมืองเยรีโคซึ่งเฝ้าดูอยู่ก็พูดว่า “วิญญาณของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” แล้วผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นก็มาพบเขา แล้วกราบลงถึงดินตรงหน้าเขา (2พงศ์กษัตริย์ 2:9-15 ฉบับ NIV)
เอลีชาขอวิญญาณของเอลียาห์ “สองเท่า” เขาไม่ได้ผยองที่ต้องการวิญญาณของเอลียาห์สองเท่าให้มากเท่ากับเอลียาห์ เขากำลังขอจริงๆว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบุตรหัวปีของท่าน”[11]เพราะบุตรหัวปีจะได้รับมรดกเป็นสองเท่าจากบิดา ในการแบ่งมรดกนั้นบุตรชายแต่ละคนจะได้รับคนละหนึ่งส่วน แต่บุตรชายหัวปีจะได้รับสองส่วน เรื่องของมรดกนั้น (ในกรณีนี้คือมรดกทางฝ่ายจิตวิญญาณ) เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าเอลียาห์มีสาวกจำนวนมากที่เรียกว่า “บรรดาบุตรของผู้เผยพระวจนะ” ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏสี่ครั้งในบทนี้เพียงบทเดียว (2พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2) เอลีชาซึ่งใกล้ชิดเอลียาห์ที่สุดได้ขอส่วนแบ่งสองเท่า แต่เอลียาห์บอกว่าคำขอนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระยาห์เวห์ที่จะประทานให้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ เอลีชาได้รับสิ่งที่เขาขอ และเมื่อเขาฟาดเสื้อคลุมของเอลียาห์ลงที่น้ำในแม่น้ำจอร์แดน แม่น้ำก็แยกออกจากกัน
จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า พระวิญญาณของพระเยซูก็คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่เต็มอยู่ในพระเยซู นี่คล้ายกับกรณีของโมเสสกับพวกผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคน ที่พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์โดยตรงจากพระองค์เอง แต่ผ่านทางพระเยซูซึ่ง พระเยซูทรงเป็นช่องทางที่พระวิญญาณมาถึงเรา พระวิญญาณของพระเยซูก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า (พระยาห์เวห์) เช่นเดียวกับวิญญาณของโมเสสที่ไม่ใช่วิญญาณของเขาเอง แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า (และในทำนองเดียวกันกับวิญญาณของเอลียาห์) พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ถูกส่งมาถึงเราทางพระเยซู เมื่อพระเยซูทรงอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงเต็มด้วยความบริบูรณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือการสถิตอยู่ของพระเจ้าเต็มอยู่ในพระกายของพระองค์ พระยาห์เวห์ประทับอยู่ในพระกายของพระเยซูจนถึงขนาดที่พระยาห์เวห์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับพระเยซู “อย่างไม่จำกัด” (ยอห์น 3:34[12] ซึ่งบริบทนี้พูดถึงพระเยซู) พระเยซูเต็มไปด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์อย่างบริบูรณ์โดยที่พระวิญญาณไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังเหล่าสาวกจนกระทั่งหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ ทำไมจึงไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้กับพวกเขาก่อนหน้านี้? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “อย่างไม่จำกัด” หมายถึงไม่มีขีดจำกัด ทั้งหมดของพระยาห์เวห์และความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ทั้งหมดของพระองค์สถิตอยู่ในพระกายของพระเยซู สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับใครอื่นเลย แม้แต่กับโมเสสหรือเอลียาห์
พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระวิญญาณของพระเจ้า
เปาโลกล่าวว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้า ในลักษณะเดียวกับที่วิญญาณของมนุษย์เกี่ยวข้องกับมนุษย์
เพราะในบรรดามนุษย์นั้นมีใครบ้างที่รู้ความคิดของมนุษย์ เว้นแต่วิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในตัวเขา? ในทำนองเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ความคิดของพระเจ้า เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้า เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด (1 โครินธ์ 2:11-12 ฉบับ NIV)
วิญญาณที่เรามีเป็น “ศักยภาพ” ที่น่าทึ่งหากเราอยากจะใช้คำนั้น วิญญาณของเราไม่ได้เป็นอีกคนหนึ่งในตัวเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงเป็นผู้ป่วยจิตเภทที่มีสองคนอยู่ภายในตัวเรา วิญญาณที่อยู่ภายในเราก็คือตัวตนของเรานั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นอีกบุคคลที่แยกต่างหากจากพระเจ้า พระวิญญาณเป็นวิญญาณของพระเจ้าเหมือนที่วิญญาณเป็นวิญญาณของเรา และเมื่อเราพูดถึงพระวิญญาณเราจะพูดว่า “มัน (it)”[13] หรือว่า “พระองค์ (he)”? เราก็คงไม่พูดว่า “มัน” ในแง่ของนามธรรมเพราะวิญญาณเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้น วิญญาณของผมก็คือตัวผม เพราะเหตุนี้ผมก็จะไม่พูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “มัน” หรือ “อำนาจชักจูง” วิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถจะตรวจสอบตัวเองได้ นั่นคือวิญญาณของมนุษย์มีความสามารถที่จะค้นหาตัวเองได้ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ให้ทุกคนสำรวจตัวเองที่สำรับขององค์ผู้เป็นเจ้า (1 โครินธ์ 11:28) เปาโลไม่ได้บอกว่ามนุษย์มีบุคลิกภาพที่แยกในคนเดียวกัน โดยที่ส่วนหนึ่งตรวจสอบอีกส่วนหนึ่ง วิญญาณของมนุษย์ก็ตรวจสอบตัวมนุษย์เอง ในทำนองเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือส่วนของพระเจ้าที่สำรวจสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า (1 โครินธ์2:10)[14]
เปาโลบอกเราว่าวิญญาณสามารถดำรงอยู่เป็นตัวตนที่แยกจากร่างกาย และทำงานอย่างอิสระภายนอกร่างกาย
แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่แต่วิญญาณ[15]ของข้าพเจ้าก็อยู่เสมือนว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินคนที่ทำอย่างนั้น เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าและวิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับฤทธิอำนาจของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจะต้องมอบคนนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อวิญญาณของเขาจะได้รับความรอดในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า (1โครินธ์ 5:3-5ESV)
เปาโลกำลังประกาศการลงวินัยกับคนที่ได้ทำบาปอย่างร้ายแรง เปาโลไม่ได้อยู่ในเมืองโครินธ์ในเวลานั้น แต่เขาสั่งผู้ที่อยู่ในคริสตจักรโครินธ์ให้ดำเนินการลงวินัย เปาโลหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย”? บางครั้งเราจะพูดว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย” แบบไม่คิดอะไรมาก แต่เปาโลหมายถึงอย่างนั้นแบบจริงจังเพราะ “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมกับฤทธิอำนาจของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
สมมุติว่าผมอยู่ในประเทศแคนาดาและผมคิดถึงคุณ ผมก็สามารถจดจ่ออยู่กับคุณจนวิญญาณของผมอยู่กับคุณด้วยจริงๆตามนั้น ผมอาจไม่ทราบว่าคุณกำลังอยู่ในห้องของคุณหรือว่าคุณกำลังเดินอยู่บนท้องถนน สถานการณ์ภายนอกนั้นไม่สำคัญ แต่มีวิญญาณพบกับวิญญาณจริง เมื่อผมยังเป็นคริสเตียนอ่อนหัดนั้น บางครั้งผมจะรู้สึกอย่างมากว่า มีคนกำลังอธิษฐานเผื่อผมเหมือนว่าเขาคนนั้นอยู่กับผมด้วย ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาทูลวิงวอนองค์ผู้เป็นเจ้าเพื่อผม ผมมีประสบการณ์แบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งและผมก็รู้ด้วยว่าใครกำลังอธิษฐานเผื่อผมอยู่ ผมไม่เคยอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกเลย ผมสันนิษฐานว่าผู้ที่อธิษฐานเผื่อผมได้เสียชีวิตแล้ว ผมกำลังหมายถึงเฮนรี่ ชอย[16] คนของพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ได้ช่วยผมอย่างมากในฝ่ายวิญญาณ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าเขากำลังอธิษฐานเผื่อผมและผมก็รู้ว่าต้องเป็นเขา แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นอีกเลย เหตุนี้ผมจึงสรุปว่าเขาได้เสียชีวิตแล้วในค่ายแรงงานสักแห่ง ดังนั้นเมื่อเปาโล กล่าวว่า “วิญญาณของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย” นั้นเขาอยู่จริงๆในโครินธ์ด้วยฤทธิอำนาจของพระเยซู
นี่เป็นอีกกรณีที่เป็นไปได้ของการแยกกายและวิญญาณ
ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ ซึ่งเมื่อสิบสี่ปีก่อนได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม จะไปโดยมีกายหรือไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้ ข้าพเจ้ารู้ว่าชายคนนี้ถูกรับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ จะไปโดยมีกายหรือไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้ (2 โครินธ์ 12:2-3ฉบับ ESV)
เปาโลกล่าวสองครั้งว่า “โดยมีกายหรือไม่มีกาย” เพื่อเน้นว่าชายในพระคริสต์ผู้นี้อาจถูกรับเข้าไปสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ หรือวิญญาณโดยไม่มีกาย เปาโลพูดถึงการแยกกายและวิญญาณโดยที่วิญญาณทำหน้าที่อย่างมีอิสระจากกาย ในทำนองเดียวกันกับในวิวรณ์ที่ยอห์นพูดถึงการถูกนำด้วยพระวิญญาณ (วิวรณ์ 21:10 เปรียบเทียบวิวรณ์1:10, 4:2)[17]
พระยาห์เวห์ก็ทรงสามารถส่งพระวิญญาณของพระองค์ออกไปเช่นกัน และเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงส่งการสถิตอยู่ของพระองค์ออกไปด้วย พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระองค์ที่สามในตรีเอกภาพ หรือเป็นอีกพระองค์หนึ่งต่างหากที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณก็คือพระยาห์เวห์พระองค์เอง ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เรียกพระวิญญาณว่า “มัน (it)” เพราะนั่นจะเป็นการพูดถึงพระเจ้าว่า “มัน” ซึ่งใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาท แต่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24)[18] และองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (2โครินธ์3:17)[19] เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระยาห์เวห์เอง ฉะนั้นการเต็มด้วยพระวิญญาณก็คือการเต็มด้วยการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ ในวันเพ็นเทคอสต์นั้น พระยาห์เวห์เสด็จลงมาและทำให้ทุกคนในห้องชั้นบนเต็มล้น มันน่าอัศจรรย์ไม่ใช่หรือที่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระองค์ที่สามในตรีเอกภาพหรือเป็นร่างเงา แต่เป็นพระยาห์เวห์เองที่สถิตอยู่ในเรา?
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์นั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ เราได้เห็นว่าคริสตจักรถูกเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่คริสตจักรของพระคริสต์ หรือคริสตจักรของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โรม 16:16 กล่าวถึง “คริสตจักรของพระคริสต์” แต่เป็นการกล่าวถึงกลุ่มที่ประชุมกันในท้องถิ่น แต่คริสตจักรสากลนั้นเรียกว่า “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่นกิจการ 20:28, 1 โครินธ์ 1:2)[20] นอกจากนี้ยังมี “คริสตจักรของพระเจ้า” (เช่น 1 โครินธ์ 11:16, 1 เธสะโลนิกา 2:14) แต่คริสตจักรเหล่านี้เป็นที่ประชุมของผู้เชื่อในท้องถิ่น ด้วยเหตุที่คริสตจักรเป็น “คริสตจักรของพระเจ้า” คุณจึงคาดหวังว่าพระเจ้าเองจะสถิตอยู่ในคริสตจักรโดยพระวิญญาณของพระองค์
สิ่งนี้ให้ความเข้าใจกับเราเรื่องของประทานจากพระวิญญาณที่สรุปไว้ใน 1 โครินธ์บทที่ 12และ 14 ได้ดีขึ้น พระเจ้าทรงจัดสรรของประทานต่างๆตามชอบพระทัยของพระองค์โดยพระวิญญาณของพระองค์เอง (1 โครินธ์ 12:11)[21] พระวิญญาณเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าในคริสตจักร นั่นเป็นคริสตจักรขององค์ผู้เป็นเจ้าเองและพระองค์ทรงจัดสรรของประทานต่างๆตามที่พระองค์ทรงเห็นควร คุณอาจได้รับของประทานอย่างหนึ่งและผมอาจได้รับอีกอย่างหนึ่ง บางคนได้รับของประทานสองหรือสามอย่าง ดูเหมือนว่าอัครทูตเปาโลจะมีของประทานฝ่ายวิญญาณทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้
บัพติศมาในพระนามเดียวนั้น
ให้เราพิจารณาเรื่องบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
18พระเยซูเสด็จมาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกได้มอบให้แก่เราแล้ว 19ฉะนั้นจงไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้พวกเขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:18-19ฉบับNIV)
สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกได้มอบให้แก่พระเยซูแล้ว คำว่า “ฉะนั้น” ในข้อต่อมาชี้ชัดว่า พระเยซูกำลังจะอธิบายว่าพระองค์จะทรงทำอะไรกับสิทธิอำนาจนั้น แต่ว่าใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระองค์ตั้งแต่แรก? ผู้ที่ให้สิทธิอำนาจพระองค์ก็คือพระยาห์เวห์ พระเยซูกำลังบอกว่าโดยสิทธิอำนาจที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้พระองค์นั้น เราต้องบัพติศมาในนามเดียวของพระบิดาและของพระบุตรและของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอะไรในคำกล่าวนี้ที่เข้าใจยากหรือ? เรื่องนี้ชัดเจนและตรงไปตรงมาจากมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว มันง่ายเสียจนไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย พระเยซูไม่ได้ทรงกระทำในนามของพระองค์เอง แต่กระทำในนามที่ได้ให้สิทธิอำนาจกับพระองค์ พระองค์กระทำในนามนั้นและเราบัพติศมาในนามนั้น
สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระคัมภีร์ใหม่เคยพูดถึงใครไหมว่าได้ทำสิ่งใด “ในพระนามของพระวิญญาณ”? ไม่มีคำดังกล่าวว่า “ในพระนามของพระวิญญาณ” เพราะว่า “พระวิญญาณของพระเจ้า” นั้นไม่ได้เป็นพระนามหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงพระวิญญาณตรงตามคำ ในทำนองเดียวกัน “วิญญาณของมนุษย์” ก็ไม่ได้เป็นชื่อหนึ่งแต่เป็นการบอกถึงตัวมนุษย์เองตรงตามคำ “พระวิญญาณของพระเจ้า” ไม่ได้เป็นพระนามหนึ่ง แต่เป็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์นั่นเอง
คำประกาศการบัพติศมาในมัทธิว 28:19 ไม่ได้พูดว่า “ในพระนามของพระเยซู” เพราะพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งต่างๆในพระนามของพระองค์เอง นี่เป็นสิ่งที่บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพดูเหมือนจะไม่เคยเข้าใจ ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนและอย่างเด็ดขาดว่า พระเยซูไม่เคยกระทำการใดๆในนามของพระองค์เอง คุณจะไม่พบพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวที่กล่าวว่าพระเยซูทรงกระทำการใดๆในนามของพระองค์เอง ไม่มีบันทึกไว้เช่นนั้นเลย เรากระทำการในนามของพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ในพระนามของพระบิดา” (พระยาห์เวห์) ในมัทธิว 28:19 พระองค์ไม่ได้กำลังพูดถึงพระนามที่แยกสำหรับพระเยซูหรือพระวิญญาณ เราได้เห็นว่า ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในพระนามของพระวิญญาณ และก็ไม่มีบันทึกว่ามีใครกระทำสิ่งใดในพระนามของพระเยซูก่อนหนังสือกิจการ ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มไม่มีตัวอย่างว่ามีผู้ใดกระทำสิ่งใด “ในพระนามของพระเยซู” นี่รวมถึงพระเยซูเอง เพราะพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้ามีผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านจะยอมรับเขา” (ยอห์น 5:43 ฉบับ NIV)
พระเยซูไม่เคยมาในนามหรือสิทธิอำนาจของพระองค์เอง แต่มาในนามของพระบิดาเท่านั้น ซึ่งก็คือในพระนามของพระยาห์เวห์ (สำหรับพระเยซู พระบิดาของพระองค์คือพระยาห์เวห์เสมอ) ในทางกลับกัน คนฝ่ายเนื้อหนังจะต้อนรับผู้ที่มาในนามของพวกเขาเอง ซึ่งอาจเป็นดาราเพลงร็อคที่ยิ่งใหญ่ แต่จะไม่ต้อนรับผู้ที่มาในนามของพระยาห์เวห์ พระเยซูตรัสด้วยว่า “การอัศจรรย์ต่างๆที่เราทำในพระนามพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้กับเรา” (ยอห์น 10:25ฉบับ NIV) และยิ่งกว่านั้น พระราชกิจต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำในพระนามของพระบิดาก็เป็นพยานว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (ข้อ 24) ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระเจ้า พระเยซูจึงไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง ถ้าผมทำสิ่งใดในนาม หรือในสิทธิ หรือในอำนาจของผมเอง ผมก็จะไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระเจ้า
ยอห์น 12:13 กล่าวว่า “พวกเขาถือทางอินทผลัมและออกไปรับเสด็จพระองค์ โห่ร้องว่า ‘โฮซันนา!พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์ผู้เป็นเจ้า จงได้รับพระพร! กษัตริย์แห่งอิสราเอล จงได้รับพระพร!’” (ฉบับ NIV) การโห่ร้องอย่างยินดีว่า “พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์ผู้เป็นเจ้า จงได้รับพระพร” ได้ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 21:9, มาระโก 11:9, ลูกา19:38, ยอห์น 12:13) นี่เป็นถ้อยคำที่ยกอ้างจากสดุดี 118:26[22] ในต้นฉบับภาษาฮีบรูที่คำว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” หมายถึงพระยาห์เวห์
ถ้าพระเยซูไม่เคยเสด็จมาในพระนามของพระองค์เอง หรือกระทำสิ่งใดในพระนามของพระองค์เอง แล้วพระองค์จะทรงให้บัพติศมากับใครๆในพระนามของพระองค์เองได้อย่างไร? สุดท้ายแล้วเราจะรับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา นั่นก็คือพระยาห์เวห์ ซึ่งหมายความว่าเรามาอยู่ในความครอบครองของพระยาห์เวห์ และมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระเจ้า
ในหนังสือกิจการ เหล่าสาวกได้ให้บัพติศมาคนทั้งหลายในพระนามของพระเยซู (เช่น กิจการ 8:12) นี่ขัดแย้งกับคำสอนและการปฏิบัติของพระเยซูเองไหม? ก็ไม่เลย ให้เราดูแผ่นภาพลูกโซ่ของอำนาจที่เราดูมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ภาพที่ 7
ให้เราสังเกตตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “LORD” (ยาห์เวห์) อักษรขึ้นต้นตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “Lord” (พระคริสต์) และอักษรขึ้นต้นตัวพิมพ์เล็กว่า “lord” (สามี/ผู้นำ) ในทั้งสามกรณีนี้ใช้คำภาษากรีกคำเดียวกันว่า κύριος (kurios, Lord) คำกล่าวของพระเยซูในมัทธิว 28จึงสามารถเข้าใจได้ว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นได้ทรงมอบให้แก่เราแล้ว ด้วยสิทธิอำนาจนั้น จงให้บัพติศมาในพระนามของพระบิดา” ในพระนามของพระยาห์เวห์ เราจึงได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์ (เปรียบเทียบโรม 6:3, กาลาเทีย 3:27)[23] พระวิญญาณเป็นผู้ที่ให้เราเข้าในพระคริสต์ที่ “เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน” (1 โครินธ์ 12:13) พระวิญญาณมีส่วนในการบัพติศมา แต่เราไม่ได้บัพติศมาในพระนามของพระวิญญาณ คำกล่าวถึงบัพติศมาในมัทธิว 28 ไม่มีบัพติศมาในพระนามของพระเยซู แต่ในกิจการมีบัพติศมาในพระนามของพระเยซู (เช่นกิจการ 10:48) นั่นก็คือบัพติศมาภายใต้สิทธิอำนาจของพระเยซู
แผ่นภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นความเชื่อในตรีเอกานุภาพด้วยโครงสร้างของใบโคลเวอร์[24]ที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้ ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นจะบัพติศมาในสามพระนาม ในขณะที่มัทธิว 28:19 มีเพียงพระนามเดียว
ภาพที่ 8
ตามแผ่นภาพที่ 7 ถ้าคุณกระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระคริสต์ในลูกโซ่ของอำนาจ สุดท้ายแล้วคุณก็กระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระยาห์เวห์ เมื่อพระเยซูทรงทำทุกสิ่งในนามของพระยาห์เวห์ เราก็ทำทุกสิ่งในนามของพระเยซู และผลสุดท้ายก็ทำในนามของพระยาห์เวห์ ไม่มีความสับสนเลยในความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ในกรณีของสามีภรรยา สามีสามารถกระทำการในนามของพระเยซูเพราะเขาอยู่ในสายของอำนาจ ภรรยาสามารถกระทำการในนามของสามีของเธอ เพราะเธออยู่ภายใต้เขาและมีสิทธิอำนาจที่จะกระทำการในนามของเขา เช่นเดียวกันกับในพระคัมภีร์เดิม คนใดคนหนึ่งไม่เพียงสามารถกระทำการในนามของพระเจ้า แต่ยังสามารถกระทำการในนามของเจ้านายของเขา หรือในนามของกษัตริย์ด้วย (เอสเธอร์ 8:8-10)
ทางด้านขวาของแผ่นภาพที่ 9 เป็นลูกโซ่ของอำนาจในพันธกิจของคริสตจักร ถ้าเราย้ายลูกโซ่นี้ไปตรงวงที่เรียกว่า “สามี/ผู้นำ” เราสามารถเห็นได้ว่าเหล่าอัครทูตอยู่ภายใต้พระคริสต์โดยตรง และสุดท้ายก็กระทำการในนามของพระยาห์เวห์ (พระเจ้า) ผู้เผยพระวจนะหรือผู้สอนสามารถกระทำการในนามของอัครทูต ถ้าอัครทูตนั้นเป็นผู้ที่ส่งเขาออกไป ถ้าเปาโลส่งทิโมธีออกไป ทิโมธีก็สามารถจะกระทำการในนามของเปาโลได้ นี่ไม่ใช่ข้อตกลงส่วนตัวระหว่างเปาโลกับทิโมธี แต่เป็นส่วนของโครงสร้างทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อพระเยซูทรงกระทำการในนามของ “LORD” (พระยาห์เวห์) บรรดาผู้นำของคริสตจักรก็กระทำการในนามของพระคริสต์ และภรรยาก็กระทำการในนามของสามีเธอ
ภาพที่9
ผมนึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผมคิดว่าในเจนีวา เจ้าของร้านอาหารจีนร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจร้านอาหารของเขา เขามาจากประเทศจีนหรือฮ่องกง วันหนึ่งเขาได้เจอกับสาวสวยจากประเทศจีนและแต่งงานกับเธอ มีวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเขากลายเป็นคนล้มละลายเพราะภรรยาสาวของเขาได้กระทำการในนามของเขาเพื่อกวาดเงินในบัญชีธนาคารของเขาไปจนเรียบ เธอหายตัวไปและเขาไม่เคยพบเธออีกเลย และเงินก็ไม่ได้คืนมา
คุณต้องแน่ใจว่าคุณให้คนที่ถูกต้องแล้วมากระทำการในนามของคุณ ผมแน่ใจว่าพระเยซูทรงเป็นห่วงว่าใครเป็นผู้ที่กระทำการในนามของพระองค์ บุตรชายเจ็ดคนของเส-วาพยายามขับผีออกในพระนามของพระเยซู ผีร้ายจึงพูดกับพวกเขาว่า “พระเยซูข้าก็รู้จัก และเปาโลข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นใคร?” แล้วผีนั้นก็กระโดดเข้าโจมตีบรรดาบุตรของเส-วาอย่างดุเดือด (กิจการ 19:13-16)
พระเยซูไม่เคยกระทำการในนามของพระองค์เอง
ผมขอย้ำจุดสำคัญนี้ว่า คุณจะไม่เข้าใจพระเยซูจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าพระองค์ไม่เคยกระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง พระองค์เสด็จมาในนามของ “LORD” นั่นก็คือ ในนามของพระยาห์เวห์ ในนามของพระยาห์เวห์นี่แหละที่พระเยซูทรงกระทำราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ ทรงสอนคำสอนทั้งสิ้นของพระองค์ และตรัสคำตรัสทั้งสิ้นของพระองค์ เราได้เอาคุณลักษณะที่สวยงามนี้ไปจากพระเยซู เพราะเราต้องการให้พระองค์กระทำการในนามของพระองค์เอง
วิวรณ์ 1:1 กล่าวว่า “นี่คือการเปิดเผยของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าประทานแก่พระองค์เพื่อ ให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสำแดงแก่ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์” (ฉบับ NIV)
เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมพบว่าศาสนศาสตร์ของวิวรณ์ค่อนข้างจะลึกลับ หนังสือทั้งเล่มเป็น “การเปิดเผยของพระเยซูคริสต์” ไม่ใช่การเปิดเผยที่พระเยซูประทาน แต่เป็นการเปิดเผยที่ “พระเจ้าประทานแก่พระองค์” นั่นก็คือพระเยซูคริสต์ หนังสือวิวรณ์นี้เป็นการเปิดเผยเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่การเปิดเผยที่มาจากพระองค์ พระเยซูไม่เคยกระทำการสิ่งใดในนามหรือในสิทธิอำนาจของพระองค์เอง การเปิดเผยที่พระเยซูประทานแก่ยอห์นเป็นสิ่งที่พระเยซูเองทรงได้รับจากพระยาห์เวห์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจุดประสงค์ที่จะแสดงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ซึ่งรวมถึงยอห์น ได้เห็นว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นในไม่ช้า
ตรงนี้เราเห็นพระคริสต์ทรงอยู่ใต้บัญชาพระยาห์เวห์แม้กระทั่งในเรื่องของการเปิดเผย คือพระคริสต์ทรงได้รับการเปิดเผยจากพระยาห์เวห์ และมาเป็นผู้ส่งต่อการเปิดเผยนี้ให้กับยอห์น ดังที่เราจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในวิวรณ์
พระยาห์เวห์ในวิวรณ์
ยอห์นเขียนว่า “จากข้าพเจ้ายอห์น ถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย ขอพระคุณและสันติสุขจงมีแก่พวกท่านจากพระองค์ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และผู้จะเสด็จมาและจากวิญญาณทั้งเจ็ดหน้าพระที่นั่งของพระองค์” (วิวรณ์ 1:4ฉบับ NIV) นี่เป็นการถอดความที่น่า สนใจจากอพยพ 3:14 (“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”) พระคุณและสันติสุขมาจากพระองค์ “ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และผู้จะเสด็จมา” ซึ่งเป็นการอ้างอิงที่หมายถึง “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” หรือ “เราจะเป็นผู้ซึ่งเราจะเป็น” นอกจากนี้ยังเป็นการถอดความที่ยอดเยี่ยมซึ่งเผยให้เห็นความหมายของพระนามของพระยาห์เวห์ มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของพระยาห์เวห์ ข้ออ้างอิงที่เกี่ยวข้องกันนี้คือสดุดี 90:2 มีว่า “ก่อนที่ภูเขาจะเกิดขึ้น ก่อนที่พระองค์จะทรงให้แผ่นดินโลกและภิภพเกิดขึ้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” (ฉบับ NIV)
สี่ข้อต่อมาในวิวรณ์ มีการกล่าวซ้ำถึงสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของพระยาห์เวห์ว่า “องค์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงเป็นอยู่ในอดีต และผู้จะเสด็จมา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (วิวรณ์ 1:8 ฉบับ NIV)
รอยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีให้เห็นทุกที่ในวิวรณ์ นี่เป็นการเปิดเผยที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพระเยซูเพื่อให้กับยอห์น เราได้เห็นอีกที่พระเยซูทรงเป็นช่องทางของการเปิดเผยนี้
พระเยซูในวิวรณ์
พระเยซูถูกอธิบายถึงอย่างไรในวิวรณ์? เราก็เหมือนกับชาวอิสราเอลที่ต้องการจะได้คนที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมดมาเป็นกษัตริย์และผู้ปกครองของเรา ในกรณีของพระเยซูนั้น เราต้องการยกย่องพระองค์ให้เทียบเท่ากับพระเจ้า แต่มีภาพแบบนั้นของพระเยซูในวิวรณ์ไหม? ก็ไม่มีอย่างแน่นอน แต่เราก็พบว่า วิวรณ์พูดถึงพระองค์ว่าเป็นผู้ปกครองเหนือกษัตริย์ทั้งหลายของโลก (วิวรณ์ 1:5) นั่นเป็นคำเรียกที่สูงสุดในโลกของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงถูกเรียกว่า “เจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” ในวิวรณ์ 17:14 (เปรียบเทียบวิวรณ์19:16)[25] นี่ไม่ใช่คำเรียกพระเจ้า เพราะว่าทั้งอารทาเซอร์ซีสและเนบูคัดเนสซาร์ก็ถูกเรียกว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย” (เอสรา 7:12, ดานิเอล 2:37)[26] คำเรียกนี้ที่ใช้กับพระเยซู วิวรณ์ 1:5 ได้อธิบายว่าเป็น “ผู้ทรงปกครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก” ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูในลักษณะต่อไปนี้
พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวอย่างขนแกะ ขาวอย่างหิมะ และพระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างไฟลุกโชน พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ที่แวววาวในเตาหลอม และพระสุรเสียงของพระองค์เหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกราก พระองค์ทรงถือดาวเจ็ดดวงในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ส่วนพระพักตร์ของพระองค์เหมือนดวงอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้า (วิวรณ์ 1:14-16 ฉบับ NIV)
นี่ไม่ใช่ภาพของพระเจ้า เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้ในตอนนี้ นอกจากจะสังเกตว่าพระพักตร์ของพระองค์เหมือน “ดวงอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้า” และ “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวอย่างขนแกะ” น่าเป็นไปได้ว่าคงเหมือนแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากพระเศียรของพระองค์ แต่ลักษณะที่ปรากฏอย่างน่าเกรงขามนี้ไม่ได้มีเฉพาะในพระเยซู เพราะเราเห็นลักษณะที่คล้ายกันของทูตสวรรค์ในวิวรณ์ 10:1 ว่า “แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มีรุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าเหมือนดวงอาทิตย์ และขาเหมือนเสาเพลิง” (ฉบับ NIV)
วิวรณ์ 1:14-16 ที่อ้างข้างต้นดูเหมือนจะอธิบายถึงพระเยซูในรูปแบบที่ได้รับเกียรติ แต่ลักษณะที่น่าเกรงขามของพระองค์ ก็คล้ายกันกับของทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง (วิวรณ์ 10:1) หลายบทต่อมา ยอห์นกล่าวว่า “หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และแผ่นดินโลกก็สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์” (วิวรณ์ 18:1ฉบับ ESV) ทูตสวรรค์องค์นี้จะต้องส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ เพราะทั้งโลก “สว่างไสวด้วยรัศมีของท่าน” เจมส์ ดันน์[27] (ซึ่งผมรู้จักเป็นส่วนตัว) ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเดียวกันนี้ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ของเขากับพระคัมภีร์ตอนนี้ เขาบอกว่าภาษาแบบนี้ที่เกี่ยวกับพวกทูตสวรรค์ ผู้เชื่อในศาสนายิวต่างคุ้นเคยกันดี คำอธิบายของยอห์นเกี่ยวกับพระเยซูในวิวรณ์นั้น ไม่ใช่รัศมีของความเป็นพระเจ้า แต่เป็นรัศมีของทูตสวรรค์ ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราอาจจะคิด
พระวิญญาณในวิวรณ์
ดังที่เราได้เห็นว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ไม่เคยถูกกล่าวถึงในวิวรณ์เลย คำว่า “พระวิญญาณ” มีปรากฏเก้าครั้งพร้อมกับ “โดยพระวิญญาณ” ที่ปรากฏสี่ครั้ง (เช่น ยอห์นถูกนำโดยพระวิญญาณ, วิวรณ์ 17:3, 21:10) เมื่อผมตรวจสอบการปรากฏสี่ครั้งของคำ “โดยพระวิญญาณ” เพื่อดูว่าคำเหล่านี้อ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีเลย การอ้างถึง “พระวิญญาณ” (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ทั้งเก้าครั้งนั้นทั้งหมดมีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะในภาษากรีก (πνεῦμα τὸ) ในทาง กลับกันที่การปรากฏสี่ครั้งของ “โดยพระวิญญาณ” ไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ นั่นก็คือ ทั้งสี่ครั้งนี้ภาษากรีกไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่รวมทั้งสี่ครั้งนี้ไว้เป็นการอ้างอิงถึง “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ในวิวรณ์
ผมสังเกตเห็นด้วยว่า การอ้างอิงถึงพระวิญญาณทุกครั้งในวิวรณ์นั้นเกี่ยวข้องกับคริสตจักร ใน ทางกลับกัน เมื่อวิวรณ์ไม่ได้กำลังพูดถึงคริสตจักร ก็ไม่มีการอ้างถึงพระวิญญาณเช่นกัน นี่จึงอธิบายได้ว่า ทำไมการอ้างอิงถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่สามบทแรกของวิวรณ์
พระเยซูได้รับการนมัสการในวิวรณ์ไหม?
อีกอย่างที่น่าสังเกตเกี่ยวกับวิวรณ์ก็คือ ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้ทรงเล็งเห็นถึงการไหว้รูปเคารพในการทำให้พระคริสต์มาเป็นพระเจ้า โดยที่พระองค์ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าทรงเป็น และไม่เคยปรารถนาจะเป็น เนื่องจากวิวรณ์มีจุดสำคัญอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ผมจึงได้ตรวจสอบคำภาษากรีกของคำว่า “นมัสการ” (προσκυνέω, proskuneō) คำนี้มีปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยปรากฏ 24 ครั้ง (40%) ในวิวรณ์ เมื่อผมตรวจดูการปรากฏทั้ง 24 ครั้งในวิวรณ์ ผมต้องแปลกใจที่ไม่มีการอ้างถึงพระคริสต์เลยแม้แต่ครั้งเดียว จุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระยาห์เวห์แต่ผู้เดียว และไม่ใช่พระคริสต์หรือใครอีก นั่นน่าแปลกใจเพราะ 24 ครั้งเป็นตัวเลขที่มาก
พระนาม “พระเยซู” มีปรากฏเพียง 14 ครั้งในวิวรณ์ ซึ่งก็น่าแปลกใจเมื่อเห็นว่าคำ “พระเยซู” มีปรากฏถึง 917 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “พระคริสต์” มีปรากฏมากกว่า 500 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่มีปรากฏแค่ 7 ครั้งในวิวรณ์ นี่หมายความว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่บุคคลที่เป็นศูนย์กลางของวิวรณ์ใช่หรือไม่?
คำ προσκυνέω(proskuneō) นี้โดยพื้นฐานแล้วหมายถึง “การคุกเข่า” คำนี้สามารถใช้ในความ หมายที่อ่อนน้อม (การคุกเข่าโดยไม่ได้นมัสการ) หรือในความหมายที่จดจ่อแน่วแน่ (การนมัสการ) ตัวอย่างของความหมายที่อ่อนน้อมจะพบได้ในวิวรณ์ 3:9 ที่ว่า “เราจะทำให้บรรดาผู้ที่เป็นธรรมศาลาของซาตาน ผู้ที่อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทำให้พวกเขามาหมอบลงแทบเท้าของเจ้า และยอมรับว่าเรารักเจ้า” (ฉบับ NIV) สิ่งที่เราเห็นตรงนี้ไม่ใช่การนมัสการแต่เป็นการนอบน้อมและหมอบอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้เชื่อ
สิ่งนี้ทำให้เราได้ข้อสังเกตที่สำคัญต่อไปนี้คือ ในวิวรณ์นั้น proskuneō ไม่เคยใช้กับการอ้างอิงถึงพระคริสต์ ไม่ว่าจะในความหมายที่อ่อนน้อมหรือในความหมายที่จดจ่อแน่วแน่
proskuneōคำเดียวกันนี้มีใช้สองครั้งในการหมอบลงต่อหน้าทูตสวรรค์ที่กำลังเปิดเผยสิ่งต่างๆแก่ยอห์น ยอห์นหมอบลงตรงหน้าทูตสวรรค์องค์นั้น แต่ทูตสวรรค์นั้นได้หยุดเขาไว้ทันที
ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด! เพราะคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ” (วิวรณ์ 19:10ฉบับ NIV)
ข้าพเจ้ายอห์น เป็นผู้ได้ยินและได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หมอบลงเพื่อนมัสการที่แทบเท้าของทูตสวรรค์ผู้แสดงสิ่งเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้า แต่ทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าทำอย่างนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและพี่น้องของท่าน คือพวกผู้เผยพระวจนะและทุกคนที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด!” (วิวรณ์ 22:8-9ฉบับ NIV)
ในวิวรณ์ 1:17 ยอห์นทรุดตัวลงแทบพระบาทของพระเยซูเมื่อเขาเห็นพระเยซู คราวนี้คำที่ใช้ไม่ใช่ προσκυνέω (proskuneō) แต่เป็น πίπτω (piptōทรุดตัวลง)
เมื่อข้าพเจ้าเห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบพระบาทของพระองค์ราวกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” (วิวรณ์ 1:17ฉบับ NIV)
เราอ่าน “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” ให้เป็นพระเจ้าไปหมด ในอิสยาห์ 44:6 และ 48:12[28]กล่าว ถึงพระเจ้า แต่เราเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่ายังมีวิธีอื่นที่จะทำความเข้าใจ “เบื้องต้นและเบื้องปลาย” จากพระคัมภีร์และมีไม่น้อยจากคำสอนของพระเยซูเองที่ว่า “ถ้าผู้ใดต้องการจะเป็นคนต้น ผู้นั้นก็ต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน”(มาระโก 9:35 ฉบับ NIV) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า “คนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น และคนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย” (มัทธิว 20:16)
หนังสือวิวรณ์ให้ภาพของผู้เลี้ยงแกะและลูกแกะกับเรา ในอิสราเอลผู้เลี้ยงแกะจะเป็น “คนต้น” เพราะเขาจะนำฝูงแกะไปข้างหน้า ที่เขาเป็น “คนสุดท้าย” ด้วยนั้นหมายถึงการที่ผู้เลี้ยงแกะมองเหลียวหลังดูว่ามีแกะตัวไหนบ้างที่พลัดหลงอยู่ข้างหลัง พวกคนนำทางบนภูเขาก็ทำอย่างเดียวกันกับนักปีนเขา พวกเขาจะนำทางคุณขึ้นไปบนเขา แต่พวกเขาก็ยังมองเหลียวหลังดูว่า มีใครถูกทิ้งอยู่ข้างหลังหรือไม่ ภาพของผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอลนั้นสวยงามมาก แต่เราก็ยังคงอ่านเกินจากตัวบทให้เป็นพระเจ้าอยู่ในนั้น
พระเจ้าดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาลหรือ “จากนิรันดร์กาลที่ผ่านมาจนถึงนิรันดร์กาลในอนาคต” (จากสดุดี 90:2 พระคัมภีร์ยิวฉบับสมบูรณ์)[29] นี่จึงไม่มีต้นหรือปลายในนิรันดร์กาล เมื่อพระเจ้าพูดถึงต้นและปลายนั้นมันเกี่ยวข้องกับประชากรของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นและผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ทรงเป็นคนต้นและคนสุดท้ายในชีวิตของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีผู้นำหน้าเราไปและทรงเป็นผู้พยุงเราขึ้นเมื่อเราตามหลัง ทำไมเราจึงอ่านทุกสิ่งให้เป็นพระเจ้าไปหมด และพลาดภาพที่สวยงามที่พระเจ้าทรงเป็นในความเกี่ยวข้องกับเรา?
เนื่องจากการปรากฏทั้ง 24 ครั้งของ προσκυνέω (proskuneō) ในวิวรณ์ไม่มีการใช้คำนี้กับพระคริสต์ และเมื่อไม่มีการอ้างถึงการนมัสการพระคริสต์ ผมจึงตรวจสอบคำ πίπτω (piptō, “ทรุดตัวลง”) เราได้เห็นคำนี้แล้วในวิวรณ์ 1:17 (ἔπεσα, กาลกริยาแอริสต์[30]ของ πίπτω) ในวิวรณ์ 5:8 ก็ใช้คำนี้กับพระเยซูด้วย
และเมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็ทรุดตัวลง(ἔπεσα, กาลกริยาแอริสต์ของ πίπτω) เบื้องหน้าพระเมษโปดก แต่ละคนต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชน (วิวรณ์ 5:8ฉบับ NIV)
สิ่งมีชีวิตกับเหล่าผู้อาวุโส “ทรุดตัวลง” เบื้องหน้าพระเมษโปดก พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ไม่มีฉบับใดแปลคำนี้ว่า “นมัสการ” เลย
มีเพียงตัวอย่างเดียวที่คล้ายกับในวิวรณ์ ในกรณีนี้พระเมษโปดกไม่ได้อยู่เพียงลำพังแต่ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น
13แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นร้องว่า “ขอให้คำสดุดี พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพจงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์!”14สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ก็ร้องว่า “อาเมน” และพวกผู้อาวุโสก็ทรุดตัวลงและนมัสการ (วิวรณ์ 5:13-14ฉบับ NIV)
พระคัมภีร์สองตอนคือวิวรณ์ 5:8 และวิวรณ์ 5:13-14ที่เราเพิ่งอ้างอิง เป็นแค่สองตัวอย่างเท่านั้นในวิวรณ์ที่ใกล้เคียงกับการนมัสการพระเยซูมากที่สุด ในวิวรณ์ 5:8 สิ่งมีชีวิตทรุดตัวลงต่อพระเยซูแต่ไม่มีการนมัสการ ในวิวรณ์5:14 ถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้มีคำกรีกสองคำที่เราได้พูดถึงคือ πίπτω (“ทรุดตัวลง”) และ προσκυνέω (“นมัสการ”) ในครั้งนี้มีการนมัสการเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะมุ่งไปที่พระองค์ “ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น” ซึ่งก็คือมุ่งไปที่พระเจ้าเป็นสำคัญ คำว่า προσκυνέωที่ปรากฏในวิวรณ์นี้จะอ้างอิงถึงพระเจ้าเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น มันไม่เคยใช้กับพระเยซูเลยยกเว้นในพระคัมภีร์ตอนนี้ (วิวรณ์ 5:13-14) แต่แม้ว่าจะใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ตอนนี้ ผู้ที่เป็นจุดศูนย์กลางของการนมัสการก็ไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ผมได้ค้นหาข้ออ้างอิงอื่นๆที่อาจจะบอกถึงการนมัสการพระเยซูแต่ก็ไม่มีอีกเลย
การใช้คำ πίπτωกับ προσκυνέω ด้วยกันนั้นยังพบในวิวรณ์ 7:11 (ดูที่ขีดเส้นใต้) แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพระเยซู
11ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้าลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า 12ร้องว่า “อาเมน! ขอให้คำสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ เดชานุภาพ และกำลัง จงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน!” (วิวรณ์ 7:11-12 ฉบับ NIV)
ตรงนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้า แต่ไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก เราได้เห็นแล้วว่าคำ προσκυνέω(proskuneō) ไม่เคยใช้กับพระเมษโปดกนอกจากข้อยกเว้นที่อาจเป็นได้ในวิวรณ์ 5:14(แต่ในกรณีนี้พระเมษโปดกปรากฏพร้อมกับพระเจ้าผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์)
การใช้คำ πίπτωกับ προσκυνέω ด้วยกันยังพบอีกในพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้ (ดูที่ขีดเส้นใต้)
16และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งในที่นั่งของตนต่อหน้าพระเจ้า ก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการพระเจ้า17และทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงเป็นอยู่และผู้เคยเป็นอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์และได้ทรงเริ่มครอบครองแล้ว(วิวรณ์11:16-17ฉบับ NIV)
ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนขอบพระคุณพระองค์ “ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้เคยเป็นอยู่” ซึ่งเป็นการอ้างอิงที่ชัดเจนถึงพระยาห์เวห์ (อพยพ 3:14)[31] พวกเขาซบหน้าลงและนมัสการพระเจ้า เราได้เห็นอีกครั้งว่าไม่มีการกล่าวถึงพระเมษโปดก
พระคัมภีร์ตอนสุดท้ายที่มีทั้งคำ πίπτω และ προσκυνέω ก็คือวิวรณ์ 19:4-6 (ดูที่ขีดเส้นใต้) ที่ไม่ได้กล่าวถึงพระเมษโปดกเลย
4ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ทรุดตัวลงกราบและนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และพวกเขาร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา!” 5แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จงสรรเสริญพระเจ้าของเราเถิด!” 6จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า “ฮาเลลูยา! เพราะพระเจ้าองค์เจ้านายผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดของเรา ทรงครอบครองอยู่” (วิวรณ์ 19: 4-6 ฉบับ NIV)
เมื่อผมยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมเคยคิดว่าบุคคลที่เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์คือพระเยซู แต่ที่เราเห็นมันกลับเป็นว่า พระองค์ไม่ได้รับการนมัสการในวิวรณ์ด้วยซ้ำ ผมสามารถหาได้เพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่ใกล้เคียงและในกรณีนี้คำว่า πίπτω (piptō, ทรุดตัวลง) เกี่ยวข้องกับการยกย่องเทิดทูนพระเมษโปดก (วิวรณ์ 5: 14) แต่นั่นอยู่ในบริบทของการนมัสการพระยาห์เวห์ วิวรณ์บทที่ 4 และ 6 มุ่งเน้นไปที่การนมัสการพระยาห์เวห์ และในระหว่างสองบทนี้คือวิวรณ์ 5:8 ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ท่ามกลางการนมัสการพระยาห์เวห์ทั้งหมดนั้น แต่ก็มีเพียงหนึ่งตัวอย่างของการเทิดทูนยกย่องพระเมษโปดก
ที่ไม่มีการนมัสการพระเยซูในวิวรณ์นั้นยิ่งทำให้ต้องแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อทราบความจริงว่ามีการกล่าวถึงพระเมษโปดกถึง 28 ครั้งในวิวรณ์ (4x7)แต่กระนั้นก็ไม่มีตัวอย่างที่พระเยซูทรงเป็นจุดศูนย์กลางโดยตรงของการนมัสการ แม้จะมีตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การนมัสการพระเยซูโดยตรง เพราะพระองค์ทรงรับการนมัสการร่วมกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์)
ลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่า
ในวิวรณ์ คำว่า “ลูกแกะ”[32] ได้ใช้ครั้งหนึ่งกับสัตว์ร้ายผู้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เลียนแบบลูกแกะเมษโปดกองค์จริง ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ดังนี้ “แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มันมีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค” (วิวรณ์ 13:11ฉบับ NIV) คำกรีกของ “ลูกแกะ” ตรงนี้คือ “ἀρνίον” นอกจากวิวรณ์แล้วเราจะพบคำนี้เฉพาะในยอห์น 21:15 ที่ปรากฏในรูปของพหูพจน์ (ἀρνία)
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?” เขาทูลว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา” (ยอห์น 21:15ฉบับ NIV)
ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา”ในข้อ 15 ซึ่งต่างกับที่พระองค์ตรัสถึงสองครั้งในข้อ 16 และ 17 ว่า “จงดูแลแกะของเรา”[33]? พระองค์กำลังตรัสกับเปโตรว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเรา แต่จงเลี้ยงดูลูกแกะตัวน้อยของเราเป็นพิเศษ” คุณจะคุ้นกับภาพของผู้เลี้ยงแกะที่อุ้มลูกแกะตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะอุ้มแกะโตได้ยาก แต่จะสามารถอุ้มลูกแกะตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขาได้
เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง “ลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป” เขาใช้คำต่างกันคือใช้คำ“ἀμνός” (amnos, ลูกแกะ) กับ “พระเมษโปดก”
วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!” (ยอห์น 1:29ฉบับ NIV)
เมื่อเขามองเห็นพระเยซูกำลังเสด็จผ่านไป เขาจึงพูดว่า “จงดูลูกแกะเมษโปดกของพระเจ้า!” (ยอห์น 1:36ฉบับ NIV)
“ἀμνός”(amnos) ตรงนี้หมายถึง “ลูกแกะ” ในขณะที่อีกคำหนึ่ง “ἀρνίον”(arnion) บอกถึงสิ่งที่เล็กที่หมายถึง “ลูกแกะตัวน้อย” วิวรณ์ใช้คำหลังและไม่ใช้คำแรกเมื่อกล่าวถึงพระเยซู คำแรก (ἀμνός, amnos) ใช้ในกิจการ 8:32 ซึ่งเป็นคำอ้างอิงจากอิสยาห์ 53:7
ขันทีกำลังอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ที่กล่าวว่า “ท่านถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่าและเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขน ท่านก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน” (กิจการ 8:32ฉบับ NIV)
ท่านถูกกดขี่ข่มเหงและทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยปริปาก ท่านถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน ท่านจึงไม่ได้ปริปากของท่าน (อิสยาห์ 53:7ฉบับ NIV)
“ἀμνός”(amnos) คำเดียวกันนี้ก็ใช้ใน 1 เปโตร 1:19 กับพระเยซูผู้เป็นลูกแกะที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิ หรือจุดด่างพร้อย (เปรียบเทียบ 1 โครินธ์ 5:7 ซึ่งพูดถึง “ปัสกา” นั่นก็คือลูกแกะปัสกา)
ดังนั้นเหตุใดวิวรณ์จึงใช้คำอื่นสำหรับ “ลูกแกะ” (ἀρνίον, arnion) เพื่ออ้างถึงพระเยซู? และเหตุใดลูกแกะเมษโปดก (Lamb) จึงเป็นภาพที่สำคัญที่สุดของพระเยซูในวิวรณ์จนคำ “ลูกแกะเมษโปดก” มีปรากฏถึง 28 ครั้งในวิวรณ์?
เรานึกภาพออกไหมที่พระเยซูทรงเป็นลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า? ลูกแกะที่ใช้เป็นเครื่องบูชารวมทั้งลูกแกะปัสกาจะมีอายุหนึ่งปี ดังนั้นจึงยังเล็กมาก ทำไมลูกแกะจึงมาเป็นภาพของพระเยซูในวิวรณ์? มันไม่ใช่ภาพที่ดึงดูดใจผู้คนอย่างแน่นอน เราต้องการวีรบุรุษสงคราม คนที่สง่าผ่าเผยอย่างกษัตริย์ซาอูลที่สูงเด่นกว่าใครทั้งหมด
และปรากฏว่าสิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ (วิวรณ์ 5:5) ก็เป็นลูกแกะเมษโปดกที่ถูกฆ่าเช่นกัน (ข้อ 6) ลูกแกะเป็นสัตว์ที่เป็นพิษเป็นภัยน้อยที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เราคุ้นเคย สัตว์อีกชนิดที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนอย่างลูกแกะก็อาจเป็นกระต่าย แม้แต่หมีโคอาลา[34]ก็อาจข่วนคุณได้ถ้าคุณไม่ระวัง แต่ลูกแกะไม่สามารถจะข่วนคุณหรือกัดคุณได้ ทำไมพระคัมภีร์จึงจบด้วยภาพของลูกแกะนี้? ทำไมการเปิดเผยของพระคัมภีร์จึงสรุปลงด้วยภาพของลูกแกะตัวเล็กๆที่ช่วยตัวเองไม่ได้?
พระเมษโปดกไม่ได้เป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการในวิวรณ์เลย มีเพียงครั้งเดียวในวิวรณ์ที่พระเมษโปดกอาจเป็นจุดศูนย์รวมของการนมัสการ และในตัวอย่างนั้นพระเมษโปดกอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ พระเมษโปดกไม่ได้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เพราะตำแหน่งนั้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าผู้ถูกกล่าวถึง 12 ครั้งว่าประทับบนพระที่นั่งนั้น พระเยซูทรงมีพระที่นั่งของพระองค์เอง แม้พระองค์จะมีพระที่นั่งของพระองค์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ตาม ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งที่เป็นศูนย์กลางจะเป็นพระยาห์เวห์เสมอ
ในวิวรณ์นี้ ผมเห็นพระปัญญาของพระเจ้าผู้ทรงเห็นล่วงหน้าถึงความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่จะมีต่อมาและทรงตั้งพระทัยให้ภาพของพระเยซูเป็นลูกแกะพระเมษโปดกกับเรา ยิ่งกว่านั้นพระวิญญาณไม่ได้มีส่วนสำคัญในวิวรณ์นอกจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักร เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทำงานในคริสตจักร
หลักการฝ่ายวิญญาณยืนยันภาพของพระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกที่พบได้ใน 2 โครินธ์ 12:9
แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพราะฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจะอวดความอ่อนแอของข้าพเจ้าด้วยความยินดีอย่างมาก เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้าพเจ้า (2 โครินธ์ 12:9ฉบับ NIV)
นี่คือคำตอบของพระเจ้าต่อคำวิงวอนของเปาโลสามครั้ง เพื่อให้เอาหนามออกจากเนื้อของเขา หลังจากนั้นเปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันเราก็อ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้ท่าน” (2โครินธ์ 13:4ฉบับ NIV)
ในฉบับภาษาอังกฤษ เราจะสังเกตเห็นรูปไวยากรณ์ที่เป็นกาลในอดีตว่าพระเยซู “ได้ทรงถูกตรึงตายในความอ่อนแอ” แล้วจึงเป็นรูปของกาลปัจจุบันว่า “กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”[35] เปาโลจึงใช้หลักการเดียวกันนี้กับเราว่า “ในทำนองเดียวกัน เราก็อ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้ท่าน”
เราได้เห็นแล้วว่า พระเยซูไม่ได้ทรงทำสิ่งใดในนามของพระองค์เองเลย นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้าใจศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่[36] การที่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เองนั้นเป็นความจริงในช่วงพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ และยังคงเป็นความจริงมาจนทุกวันนี้ แม้จนบัดนี้พระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์และไม่ได้กระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง เคล็ดลับของฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอยู่ที่การเป็นลูกแกะซึ่งเป็นสัตว์ที่อ่อนแอเป็นพิเศษ แม้แต่แกะที่โตเต็มวัยก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะจากหมาป่า พระเยซูที่เป็นลูกแกะเมษโปดกจึงเป็นภาพของความอ่อนแอที่สุด และเราจะเข้าใจประเด็นของความอ่อนแอที่สุดของพระองค์ได้อย่างชัดเจนจากคำที่เปาโลกล่าวว่า พระเยซูก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์เท่านั้น แม้จนถึงขณะนี้ที่คำกล่าวอยู่ในรูปกริยาของกาลปัจจุบัน พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกแกะเท่านั้นแต่ทรงเป็นลูกแกะตัวน้อย ลูกแกะที่ถูกฆ่าโดยการตรึงตายบนกางเขน แต่ตอนนี้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้ให้ภาพของพระคริสต์กับเราที่พระองค์ไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับพระเจ้าได้เลย
ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำลายพระกิตติคุณ ในอดีตที่ผ่านมาผมมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยการประกาศพระคริสต์ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่ตรงข้ามกับพระคริสต์ตามพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง เมื่อผมยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่รู้จริงๆว่ามีภาพของลูกแกะน้อยที่อ่อนแอที่สุด มันตรงข้ามกับความคิดของคนฝ่ายเนื้อหนัง นั่นเป็นเหตุที่ผมไม่สามารถเข้าใจภาพนี้ และเรื่องที่จะยอมรับก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆในทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น
พระองค์เป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้นในโลกนี้ เราจะอ่อนแอเช่นเดียวกับพระเยซู แต่มีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คนฝ่ายเนื้อหนังจะรับสิ่งนี้ได้ยาก คริสเตียนทั้งหลายต้องการพระคริสต์ที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มด้วยรัศมีและความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พระคริสต์ที่อ่อนแอและไม่มีฤทธิ์อำนาจ และมีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว ยิ่งกว่านั้นทรงเป็นพระคริสต์ผู้ไม่ทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง แต่ทรงทำทุกสิ่งในนามของพระยาห์เวห์ เมื่อเราทำสิ่งใดในนามของพระเยซูอย่างที่ควรทำหากเราเป็นสาวกของพระองค์ เราจะตระหนักว่าเรากำลังกระทำในนามของพระองค์ผู้ที่ไม่เคยกระทำสิ่งใดในนามของพระองค์เอง แต่กระทำในนามของพระบิดา
ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวถูกแสดงให้เห็นอย่างมากในวิวรณ์ ในภาพนิมิตของยอห์นในสวรรค์จะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ได้รับการนมัสการเหนือสิ่งอื่นใด พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกพูดถึงว่าประทับบนพระที่นั่งตรงใจกลาง แม้เราเองจะนั่งบนที่นั่งของเราเช่นเดียวกับพวกผู้อาวุโสที่นั่งบนที่นั่งของพวกเขา ตรงนี้เรากำลังพูดถึงพระที่นั่งที่สำคัญที่สุดซึ่งอยู่ตรงใจกลางที่พระยาห์เวห์ประทับอยู่ บรรดาธรรมิกชนจะนั่งร่วมกับพระเยซู และเราจะนั่งบนพระที่นั่งของพระเยซู[37] พระเยซูถูกจัดให้ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า[38] แต่จุดศูนย์รวมของการนมัสการคือพระยาห์เวห์เสมอและผู้เดียวเท่านั้น
ยืนหยัดเพื่อความจริง
เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย ในยุคของเนื้อหนังนี้เรากำลังรับใช้พี่น้องที่รักในคริสตจักร คนในคริสตจักรส่วนใหญ่เป็นคนฝ่ายเนื้อหนังเหมือนกับพวกเรา และพวกเขาก็ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับพวกเรา ถ้าเราจะมีอะไรดีกว่าพี่น้องในคริสตจักรอยู่บ้าง ความแตกต่างจะอยู่ที่ระดับไหน ไม่ใช่แบบไหน เพื่อจะเข้าใจความจริงของพระเจ้า เราจะต้องทูลวิงวอนต่อพระองค์ให้เอาความเป็นเนื้อหนังและความเป็นแบบโลกของเราออกไป
แม้เราจะไม่คู่ควรและอยู่ในเนื้อหนัง บางทีเราอาจได้รับสิทธิพิเศษที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังในช่วงอายุของเราเหมือนเอลียาห์ในช่วงอายุของเขา การยืนหยัดอยู่เพียงลำพังไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าอิจฉาและมีใครอยากจะอยู่ และเราอาจจะเป็นคนสุดท้ายในบรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ในยุคนี้เหมือนเอลียาห์ในยุคของเขา ในวันข้างหน้าพวกคุณบางคนอาจเจอกับสถานการณ์ที่คุณจะต้องยืนหยัดอยู่เพียงลำพังเหมือนเอลียาห์
ลูกของยุคนี้ฉลาดกว่าลูกของความสว่างในหลายๆด้าน (ลูกา 16:8)[39] พวกเขามักจะมองเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนกว่าเรา สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเราก็คือ การที่เราจะไม่เป็นทั้งคนฝ่ายเนื้อหนังหรือคนฝ่ายวิญญาณ และดังนั้นผลสุดท้ายเราจึงไม่เป็นอะไรสักอย่าง ดังนั้นเราควรต้องตัดสินใจ ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังไปให้สุดทาง ถ้าคุณอยากเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็เป็นฝ่ายวิญญาณไปให้สุดทาง แต่ถ้าคุณจะอยู่แบบกึ่งๆกลางๆ คุณก็จะลงเอยด้วยการไม่เป็นอะไรสักอย่าง ถ้าคุณอยากจะรักโลก ก็ไปกินและดื่มเถิด และพรุ่งนี้คุณก็จะตาย (1 โครินธ์ 15:32) มิฉะนั้นก็ออกไปให้สุดแล้วเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงขององค์ผู้เป็นเจ้า
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงวรรณกรรมจีนที่ผมเคยอ่านอยู่ ผมไม่ใช่ผู้รอบรู้ภาษาจีนแต่ผมก็ชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกของจีน งานเขียนพวกนี้เข้าใจยากแต่ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาศึกษามัน ผมขอบอกก่อนว่าสิ่งที่ผมได้ร่ำเรียนมาส่วนใหญ่นั้นผมได้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังชอบอ่านงานเขียนคลาสสิกเป็นครั้งคราว เพราะลูกของโลกนี้มักจะฉลาดกว่าลูกของความสว่าง และบางคนก็มีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม
ผมจะยกจากท่อนที่ผมได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ที่เขียนโดย “หันยุ่ย”[40]ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ปลายราชวงศ์ถังและต้นของราชวงศ์ซ่ง เขาเขียน “โบ๋หยี ซ่ง” โดยที่ “โบ๋หยี” เป็นชื่อของบุคคลผู้หนึ่งและ “ซ่ง” หมายถึง “คำยกย่อง” ดังนั้นจึงหมายถึง “คำยกย่องโบ๋หยี” ในคำประพันธ์นี้ “หันยุ่ย” กล่าวว่ามีเพียงไม่กี่คนในโลกที่กล้ายืนหยัดเพื่อความจริง คนส่วนใหญ่จะขี้ขลาดเกินไปและห่วงถึงประโยชน์ของพวกเขาเองมากกว่าจะยืนหยัดเพื่อความจริง
“หันยุ่ย”เองเป็นคนกล้าหาญมาก ครั้งหนึ่งเขาได้เขียนถึงฮ่องเต้เพื่อขอไม่ให้พระองค์ยอมรับพระทนต์ของพระพุทธเจ้า[41]ที่จะนำเข้ามาในพระราชวัง นี่เป็นคำขอที่กล้าหาญเพราะฮ่องเต้ได้ตัดสินพระทัยแล้วที่จะนำสัญลักษณ์ชิ้นนี้ของพุทธศาสนาเข้ามาในพระราชวัง แต่ “หันยุ่ย” ก็คัดค้านอย่างเด็ดขาดที่จะยอมให้พุทธศาสนาได้เข้ามาเติบโตในประเทศจีน และที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่จะเข้าไปในพระราชวังของฮ่องเต้ ผมชื่นชมความกล้าที่เกินใครของเขาจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นคำประพันธ์ของ “หันยุ่ย”
ในคำยกย่องโบ๋หยี
ปราชญ์ทั้งหลายที่ยืนหยัดแต่ลำพังและกระทำการอย่างเอกเทศ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่จะปฏิบัติตามหลักของความชอบธรรม โดยไม่คำนึงถึงสายตาของคนอื่นๆ คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในหนทางนั้นและรู้จักตัวเองอย่างชัดเจน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะถูกครอบครัวคัดค้านก็ตาม มีเพียงแค่คนเดียวในทั้งจักรวรรดิที่สามารถเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะถูกบ้านเมืองหรืออำเภอคัดค้าน มีเพียงแค่คนเดียวในร้อยปีหรือในพันปีที่จะเดินหน้าอย่างไม่ลดละ และไม่ถูกความสงสัยมารุมเร้า แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากคนทั้งโลกก็ตาม
ต่อไปนี้คือคำแปลประโยคต่อประโยคของผม
เขากล้าที่จะยืนหยัดเพียงลำพัง
และทำการอย่างเอกเทศ
แน่วแน่ในความชอบธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ในสิ่งอื่น
เขาไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นชอบด้วย หรือไม่เห็นชอบ
คนเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่น
ผู้เชื่อในหนทางที่ถูกต้อง
ด้วยความแน่วแน่
เขายังรู้จักตัวเขาเอง
และเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับเขา
เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย
คนเช่นนี้หาได้ยาก
ถ้าหากมีสถานการณ์ที่ทั้งประเทศหรือทั้งมณฑล
หรือทั้งจังหวัดยืนขึ้นต่อต้านเขา
มีใครบ้างกล้าทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สงสัยเลย?
ในทั่วใต้ฟ้าสวรรค์ทั้งหมด คนแบบนี้ไม่มีใครเหมือนในโลกทั้งใบ
ถ้าคนทั้งโลกไม่ยอมรับเขา
เขาก็ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินในความจริงต่อไปโดยไม่ลังเล
ในร้อยหรือในพันปี
อาจมีคนเดียวเท่านั้น
นี่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ยอดเยี่ยม! เนื่องจากความเป็นเนื้อหนังของเรา เราจึงต้องการการยอมรับจากคนอื่นๆในยุคสมัยนี้และยืนอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่เอลียาห์ บทกวียกย่องโบ๋หยีของหันยุ่ยน่าจะใช้กับเอลียาห์ได้ ในหนึ่งพันปีมีคนแบบเดียวกับเอลียาห์เพียงแค่คนเดียว ดังนั้นปราชญ์อย่างหันยุ่ยจึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่เยี่ยมยอดทั้งในคำประพันธ์นี้และในคำประพันธ์อีกจำนวนมาก ผมให้คุณดูเฉพาะคำประพันธ์ท่อนแรก ผมเว้นท่อนที่สองเพราะในส่วนนั้น หันยุ่ยหาแบบอย่างมาเป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายประเด็นสำคัญของเขาไม่ได้แม้แต่ตัวอย่างเดียว เขาเลยเลือกตัวอย่างที่ค่อนข้างแย่จากชีวิตของโบ๋หยีที่ชื่อของเขาอยู่ใน “คำยกย่องโบ๋หยี” ผมข้ามตัวอย่างนั้นเพราะมันไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ผมไม่ตำหนิหันยุ่ยที่ยกตัวอย่างไม่ดีเพราะเขาไม่ได้มีเอลียาห์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง เขาไม่สามารถนึกถึงตัวอย่างดีๆในช่วงห้าพันปีของประวัติศาสตร์จีน ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่หันยุ่ยคิดขึ้นมาได้ก็คือตัวอย่างของโบ๋หยี
ผมอธิษฐานขอพระเจ้าโปรดประทานพระพรแก่พวกคุณ และพระองค์จะทรงพอพระทัยที่จะประทานความกล้าหาญให้คุณที่จะเป็นเหมือนคนที่ในพันปีจะมีสักคนหนึ่ง คนที่จะยืนหยัดต่อต้านการต่อต้านคนทั้งโลก และยืนหยัดจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ผมหวังว่ารากฐานของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้ถูกวางออกมาให้คุณได้เห็นอย่างชัดเจนและคุณได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องคิดและทบทวนใหม่บางประเด็น และในที่สุดจะเห็นว่าพระยาห์เวห์เป็นพระองค์ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งตามในวิวรณ์ และเห็นความงดงามของพระเยซูที่ฤทธิ์อำนาจไม่ได้อยู่ในพระกำลังของพระองค์เอง แต่อยู่ในฤทธิ์อำนาจของผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดซึ่งทำงานผ่านผู้ที่เต็มใจจะอ่อนแอ นี่เป็นหลักการที่ผมหวังจะปฏิบัติตามเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ผ่านทางผม ยิ่งผมอ่อนแอเท่าไร ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผมต้องด้อยลง พระองค์ต้องใหญ่ขึ้น เมื่อคุณนำหลักการที่ควบคุมชีวิตของพระเยซูมาปฏิบัติใช้กับตัวคุณเอง คุณจะเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นรอบๆตัวคุณ ขอพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติผ่านทางชีวิตของพวกคุณด้วยเถิด
[1]1 โครินธ์ 2:14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ แต่มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ (ฉบับไทยคิงเจมส์)
[2]คำภาษาจีนคือ “虎步” (หูปู้)
[3] พันปี
[4]Nicene Creed
[5]Immaculate Conception of Mary
[6]1พงศ์กษัตริย์18:19“เพราะฉะนั้นขอทรงสั่งให้รวบรวมชนอิสราเอลทั้งสิ้นมาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมลทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล450คนกับผู้เผยพระวจนะของพระอาเช-ราห์400คนนั้น ผู้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”
[7]1พงศ์กษัตริย์19:18“แต่เราจะเหลือ7,000คนไว้ในอิสราเอล คือทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัลและไม่ได้จูบพระนั้น”
[8]Chislehurstหมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน
[9] โรม8:9“ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้วท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนังแต่อยู่ในพระวิญญาณใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์”
[10]พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลว่า “ฤทธิ์เดช”หรือ “ฤทธิ์อำนาจ” (ผู้แปล)
[11]“ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี”(ฉบับ1971)-ผู้แปล
[12]ยอห์น3:34“เพราะผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาย่อมกล่าวพระดำรัสของพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณโดยไม่จำกัด”
[13]คำว่า “วิญญาณ” หรือ “พระวิญญาณ” ในภาษากรีก เป็นคำนามที่ไม่มีเพศ (neuter)สรรพนามที่ใช้คือ “มัน” หรือ “it” (ผู้แปล)
[14]1โครินธ์ 2:10“พระเจ้าได้สำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า”
[15]ฉบับภาษาอังกฤษคือ “spirit” และภาษากรีกคือ “πνεῦμα” ที่แปลว่า “วิญญาณ” ฉบับภาษาไทยบางฉบับแปลว่า “ใจ” (ผู้แปล)
[16]Henry Choi
[17]วิวรณ์21:10“แล้วท่านนำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์คือเยรูซาเล็ม”
[18]ยอห์น4:24 “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณและคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
[19]2โครินธ์3:17“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหนเสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
[20]กิจการ 20:28“จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์”
[21]1โครินธ์ 12:11พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์
[22]สดุดี118:26“ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์จงได้รับพระพร” (ฉบับมาตรฐาน2011)
[23]โรม 6:3“ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์”
[24]Clover leaf คือใบของต้นโคลเวอร์ที่ปกติจะมีใบ3 แฉก
[25]วิวรณ์ 17:14 “พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย”
[26]เอสรา 7:12“อารทาเซอร์ซีสกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย”
[27]James Dunnนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน
[28]อิสยาห์44:6 “พระยาห์เวห์พระมหากษัตริย์ของอิสราเอลและพระผู้ไถ่ของเขาพระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “เราเป็นเบื้องต้นและเราเป็นเบื้องปลายนอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้าอื่น” (ฉบับมาตรฐาน2011)
[29]Complete Jewish Bible
[30]aoristคือกาลกริยาในไวยากรณ์ภาษากรีก เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดจุดหนึ่งในอดีตกาล (ผู้แปล)
[31]อพยพ3:14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า“ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’”(ฉบับมาตรฐาน2011)
[32] พระคัมภีร์ไทยใช้ “พระเมษโปดก”(Lamb) กับพระเยซู เป็นคำเดียวกับ “ลูกแกะ”(lamb) จาก avrni,on คำกรีกเดียวกัน (ผู้แปล)
[33] “feed my lambsกับ feed my sheep” คำว่า lamb ภาษากรีกคือ avrni,onคำว่า sheep ภาษากรีกคือ πρόβατά(ยอห์น21:16พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า“ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ยท่านรักเราหรือ?”เขาทูลตอบว่า“ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์”พระองค์ตรัสกับเขาว่า“จงดูแลแกะของเราเถิด”) -ผู้แปล
[34]koala
[35] “He was crucified in weakness,yet he lives by God’s power”
[36]New Testament Christologyหรือ “การศึกษาเกี่ยวกับองค์พระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่”
[37] วิวรณ์ 3:21คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์
[38]1เปโตร 3:22พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
[39]ลูกา 16:8“แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง”
[40]Hanyu(韩愈) ผู้เขียน BoyiSong(伯夷颂)
[41]หรือ “ฟันของพระพุทธเจ้า” (ผู้แปล)