บทที่ 10
ยอห์น 1:18 พระบุตรองค์เดียว
หรือว่า พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา?
พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษเห็นไม่เหมือนกันเกี่ยวกับยอห์น 1:18
พระคัมภีร์สมัยใหม่สองฉบับ คือฉบับอิงลิชแสตนดาร์ด (ESV) และฉบับโฮลแมนคริสเตียนแสตนดาร์ด (HCSB) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ให้คำแปลยอห์น 1:18 ที่ขัดแย้งกัน
ฉบับ ESV:[1] ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดา ได้ทรงสำแดงพระองค์ให้ประจักษ์แล้ว
ฉบับ HCSB:[2] ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวและเพียงผู้เดียว พระองค์ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดา ได้ทรงเปิดเผยพระองค์แล้ว
ฉบับไหนที่แปลได้ถูกต้อง ฉบับ ESV หรือว่าฉบับ HCSB? ฉบับ ESV แปลว่า “พระเจ้าองค์เดียว” ซึ่งเป็นการแปลตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ทำให้พระเยซูเป็นพระเจ้าองค์เดียว ในขณะที่ฉบับ HCSB แปลว่า “พระบุตรองค์เดียวและเพียงผู้เดียว” ซึ่งไม่ได้แปลตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่ทำให้พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
สองฉบับนี้เป็นตัวแทนของสองค่าย ค่ายหนึ่งประกอบด้วยฉบับ HCSB, CJB, KJV, NJB, RSV, REB[3] ซึ่งชอบที่จะใช้ “พระบุตรองค์เดียว” ที่ไม่ได้ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ หรือรูปแบบที่ต่างกัน เช่น “พระบุตรองค์เดียวและเพียงผู้เดียว” ส่วนอีกค่ายหนึ่งประกอบด้วยฉบับ ESV, NASB, NIV, NET[4] ซึ่งชอบที่จะใช้ “พระเจ้าองค์เดียว” ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ หรือใช้รูปแบบที่ต่างกัน เช่น “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”
ในค่ายที่ใช้ “พระเจ้าองค์เดียว” (ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ) มีความแตกต่างเพิ่มเติมระหว่าง “พระเจ้าองค์เดียว” กับ “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” ตามที่เห็นได้ในฉบับ ESV เทียบกับ NASB (เพิ่มตัวเอน) ดังนี้
ฉบับ ESV: ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดา ได้ทรงสำแดงพระองค์ให้ประจักษ์แล้ว
ฉบับ NASB: ไม่มีใครเห็นพระเจ้าในเวลาใดเลย พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา ผู้ทรงอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงอธิบายพระองค์แล้ว
การแปลของฉบับ ESV มีปัญหาทั้งในด้านหลักเหตุผลและศาสนศาสตร์ การแปลว่า “พระเจ้าองค์เดียว” นั้นเราหมายถึงอะไรหรือ? ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว ก็จะต้องมองไม่เห็นพระเยซูในความหมายที่เห็นเป็นรูปธรรม เพราะข้อนี้กล่าวว่า “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย” ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว นั่นก็จะเป็นการตัดพระบิดาออกจากการเป็นพระเจ้า ซึ่งจะเป็นข้อสรุปที่เป็นการหมิ่นประมาทแม้กระทั่งกับบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ และยังจะขัดแย้งกับยอห์น 17:3 ที่กล่าวว่า พระบิดาทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวอีกด้วย
หลักฐานภายนอก
ทั้งสองค่ายนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นสองแบบจากตัวบทภาษากรีก ที่นำมาใช้ในการแปลข้อนี้ ระหว่างฉบับไบแซนไทน์กับฉบับอเล็กซานเดรีย พูดให้ง่ายก็คือ การแปลว่า “พระบุตรองค์เดียว” นั้นยึดจากตัวบทฉบับไบแซนไทน์ (ที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวบทของฉบับภาษากรีกส่วนใหญ่[5]) ซึ่งเป็นตัวบทที่ได้รับการรับรองมากที่สุด (การสนับสนุนตัวบท) ในบรรดาต้นฉบับภาษากรีกทั้งหมดที่รู้จักกัน ในทางกลับกัน “พระเจ้าองค์เดียว” นั้นยึดจากตัวบทฉบับอเล็กซานเดรียที่แสดงด้วยต้นฉบับซึ่งแม้ว่าจะมีน้อยกว่า แต่โดยทั่วไปแล้วจะเก่าแก่กว่าและมักจะให้น้ำหนักมากกว่าในฉบับ UBS5 และ NA28
บรรทัดฐานของต้นฉบับสมัยแรกมีความสมเหตุสมผล แต่โดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้คำนึงถึงความจริงที่ว่า แม้แต่ต้นฉบับในสมัยแรกก็อาจมีข้อผิดพลาดได้ (เช่น การตีความภาษาอาราเมคอย่างผิดๆ ดังที่เราจะได้เห็น) การตีความพระคัมภีร์ใหม่ที่เชื่อถือได้นั้น จะคำนึงถึงทั้งฉบับที่ใช้ตัวบทของฉบับภาษากรีกส่วนใหญ่ และตัวบทของฉบับภาษากรีกที่นำมาจากต้นฉบับโบราณของฉบับ UBS5 / NA28 ผนวกกับการประเมินที่มีหลักการ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องของการเลือกฉบับหนึ่งเพื่อจะตัดอีกฉบับหนึ่งออกไป
ตัวบทภาษากรีกที่เป็นรากฐานการแปล “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” คือพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกฉบับเนสเซิ่ล-อลันด์ (NA27/NA28) และพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกฉบับสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS4/UBS5)[7]
ในคู่มืออธิบายตัวบทพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2)[8] ที่ใช้คู่กับฉบับ UBS4 อธิบายในหน้า 169-170 ว่า ต้นฉบับปาปิรัส P66 และ P75 มีอิทธิพลต่อ “เสียงส่วนใหญ่” ของคณะกรรมการบรรณาธิการที่เป็นนักวิชาการห้าคนของ UBS ที่ชอบใช้ “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”
แต่หนึ่งในห้านั้นคืออัลเลน วิกเกร็น[9] ผู้มีชื่อเสียงด้านภาษากรีกและผู้เชี่ยวชาญด้านต้นฉบับพระคัมภีร์ใหม่ ได้บันทึกคำคัดค้านของเขาเกี่ยวกับการตัดสินใจของคณะกรรมการในหมายเหตุที่รวมอยู่ในคู่มืออธิบาย ซึ่งเขากล่าวว่า monogenēs theos (พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา) “อาจเป็นข้อผิดพลาดในการคัดลอกแต่เดิม (สมัยแรกๆ) ในต้นฉบับดั้งเดิมของฉบับอเล็กซานเดรีย” ต้นฉบับดั้งเดิมที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซู และต่อมาได้รับชัยชนะที่การประชุมสังคายนาแห่งไนเซีย
วิกเกร็นกล่าวเสริมว่า “อย่างน้อยการตัดสินใจแบบ D จะดีกว่า” เมื่อตัวบทในฉบับ UBS4 ถูกจัดประเภทเป็น {D} นั่นก็หมายความว่า “มีข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับการอ่านที่เลือกไว้แล้วสำหรับตัวบท” อันที่จริงมีข้อสงสัยเล็กน้อยกับการอ่านนี้ในฉบับ UBS4 และ UBS5 ที่จัดเป็นประเภท {B} นั้นบ่งชี้ว่าหลักฐานต้นฉบับสนับสนุน monogenēs theos (“พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”)[10] แต่ก็ไม่ได้ท่วมท้น
สมาชิกคณะกรรมการอีกคนหนึ่งชื่อมัทธิว แบล็ค[11] ซึ่งในหนังสือของเขาที่ชื่อ การทำความเข้าใจพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มและกิจการในภาษาอาราเมค[12] ได้อ้างถึงการประเมินของนักวิชาการภาษาอาราเมคอีกคนหนึ่งโดยได้รับการเห็นชอบว่า
....หนึ่งในข้อสังเกตที่สำคัญมากที่สุดของเบอร์นีย์[13] เกี่ยวกับลักษณะนี้ [การอ่านภาษาอาราเมคอย่างผิดๆ] ก็คือว่า monogenēs theos ที่ถกเถียงกันในยอห์น 1:18 นั้น แปล yehidh ‘elaha อย่างผิดๆว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”[14] (หน้า 11)
พูดอีกอย่างก็คือ ผู้คัดลอกบางคนในสมัยแรกๆได้อ่าน “ผู้เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า” (“the only begotten of God”) อย่างผิดๆว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” (“the only begotten God”)! นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่การตัดสินใจของ “เสียงส่วนใหญ่” ของคณะกรรมการห้าคน ได้ส่งผลให้พระคัมภีร์หลายล้านเล่มถูกตีพิมพ์ว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” แทนที่จะเป็น “ผู้เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า” ผู้อ่านพระคัมภีร์ส่วนใหญ่จะไม่ทราบเรื่องราวเบื้องหลังของการอ่านนี้
หลักฐานภายใน
นี่คือสถานการณ์ในตอนนี้ คือที่หลักฐานต้นฉบับยอห์น 1:18 ถูกแบ่งระหว่าง “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” กับ “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” ความแตกต่างนี้ เห็นได้จากความเห็นที่ไม่เป็นเอกฉันท์ในคณะกรรมการของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS)[15] ดังนั้นจึงมีระดับ {B} ของความไม่แน่นอนที่เข้าข้าง “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” อีกทั้งยังมีความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์กระแสหลัก ที่บางฉบับก็จะอ่านตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (ฉบับ ESV, NASB, NIV, NET) และบางฉบับจะไม่อ่านตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ (ฉบับ HCSB, CJB, KJV, NJB, RSV, REB) ด้วยเหตุนี้หลักฐานต้นฉบับโดยตัวของมันเอง จึงไม่ได้แก้ไขปัญหา แล้วหลักฐานภายในล่ะ?
ในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “monogenēs” (“คนเดียว” หรือ “หนึ่งเดียว” ฉบับ BDAG)[16] ถูกใช้กับพระเยซูเฉพาะในการเขียนของยอห์นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นแล้ว ห้าตัวอย่างของ monogenēs ในการเขียนของยอห์นทั้งหมดจะอ้างถึงพระเยซู และไม่ได้อ้างถึงคนอื่น
ดังนั้นเราจึงต้องมุ่งเน้นไปที่เฉพาะการเขียนของยอห์นเพื่อการวิเคราะห์ของเรา ต่อไปนี้เป็นสี่ข้อในพระคัมภีร์ใหม่ที่นอกจากยอห์น 1:18 ซึ่งใช้ monogenēs กับพระเยซู (ข้อทั้งหมดมาจากฉบับ NASB)[17]
ยอห์น 1:14 และพระวาทะมาเป็นเนื้อหนังและประทับอยู่ท่ามกลางเรา และเราได้เห็นพระสิริของพระองค์ ดังพระสิริของผู้เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
ยอห์น 3:16 เพราะพระเจ้าทรงรักโลกนี้อย่างมาก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมาของพระองค์ เพื่อใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 3:18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ผู้ที่ไม่วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมาของพระเจ้า
1 ยอห์น 4:9 แต่ความรักของพระเจ้านี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่เรา ที่พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมาของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยพระบุตร
เราตั้งข้อสังเกตบางประการ
• สามข้อสุดท้ายที่ให้ไว้นี้ อยู่นอกคำขึ้นต้นของยอห์น และทั้งสามข้อได้พูดถึง “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ monogenēs ถูกใช้กับพระเยซูที่นอกจากคำขึ้นต้นนี้แล้ว มันก็จะหมายถึงพระองค์ว่าเป็นพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา และไม่เคยหมายถึงพระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา
• ยอห์น 1:14 ข้อแรกในสี่ข้อนี้ไม่มีทั้ง “พระบุตร” หรือ “พระเจ้า” ดังนั้นตามจุดประสงค์ของเราแล้ว จึงถือว่าเป็นหลักฐานที่ “เป็นกลาง” ในการตัดสินใจระหว่าง “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” กับ “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”
• ถ้าเราอ่านยอห์น 1:18 ที่ถกเถียงกันว่าเป็น “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” (การอ่านตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ) มันก็จะขัดแย้งกับข้ออื่นๆทั้งหมดในงานเขียนของยอห์นที่พูดถึง “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” ความจริงก็คือคำพูดว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” ไม่ได้มีปรากฏที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ใหม่ที่นอกจากยอห์น 1:18 ที่ถกเถียงกัน ทำไมยอห์นจึงขัดแย้งกับตัวเองโดยใช้ “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” อย่างคงเส้นคงวา มายกเว้นก็แต่ในยอห์น 1:18? ถ้าเราแยกข้อนี้ออกจากการเขียนส่วนที่เหลือของยอห์น โดยให้ข้อนี้กล่าวว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” มันก็จะไม่เหมือนกับที่อื่นๆในพระกิตติคุณยอห์นหรือแม้แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจะต้องจำไว้ว่ายอห์นใช้ monogenēs กับพระเยซูด้วยการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะเขาไม่ได้นำไปใช้กับใครอีก
• แต่ถ้าเราอ่านยอห์น 1:18 ให้เป็น “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” ทั้งห้าข้อก็จะสอดคล้องกัน
• ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในห้าข้อนี้ มีเฉพาะยอห์น 1:18 เท่านั้นที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับตัวบท อีกสี่ข้อไม่มีปัญหาเกี่ยวกับตัวบทและไม่มีคำอธิบายใดๆในเชิงอรรถเชิงวิเคราะห์ของฉบับ UBS5
ถึงอย่างนั้น บางคนอาจโต้แย้งว่าเป็นหลักของการวิจารณ์ตัวบท ที่ในเมื่อ “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” ดูจะอ่านเข้าใจยากกว่า “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา” มันจึงเป็นไปได้มากว่า การอ่านอย่างแรกได้เปลี่ยนมาเป็นการอ่านอย่างหลัง เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากนี้ นั่นก็อาจเป็นได้ แต่ความจริงก็ยังคงอยู่ที่ปัญหาเกี่ยวกับตัวบทยอห์น 1:18 ที่ไม่เป็นกลางในหลักคำสอน ซึ่งแตกต่างจากข้ออื่นๆที่เป็นกลางในหลักคำสอนแม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับตัวบท ตัวอย่างคือยอห์น 1:19 แค่ข้อถัดมา มีความแตกต่างของตัวบทในคำพูดว่า “พวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็ม” แต่เป็นกลางในหลักคำสอน
อิทธิพลของหลักคำสอนเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากกระบวนการยกพระเยซูขึ้นเป็นพระเจ้าได้เริ่มขึ้นก่อน ค.ศ. 200 ถ้า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” ถูกกำหนด ให้อ่านแบบนั้นจริงๆในต้นฉบับสมัยแรกๆ ที่แพร่หลายกันแล้วราวๆ ค.ศ. 200 แล้วพวกผู้นำคริสตจักรของคนต่างชาติซึ่งในเวลานั้นก็ได้ยกพระเยซูขึ้นเป็นพระเจ้าแล้ว จะไม่รับรองโดยเร็วหรือ? แต่ความจริงยังคงมีอยู่ว่า ตัวบทส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์ใหม่ก็ใช้ “พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา”
นั่นเป็นเหตุผลที่อัลเลน วิกเกร็น ซึ่งเราได้อ้างอิงถึงจึงกล่าวว่า การอ่าน “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” อาจเป็น “ข้อผิดพลาดในการคัดลอกในต้นฉบับดั้งเดิมของฉบับอเล็กซานเดรีย” ในยุคแรก นั่นเป็นผลมาจากอิทธิพลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพในยุคแรก
- ในหนังสือของเจมส์ เอฟ แมคแกร็ธ[18] ที่ชื่อ พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว: ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวของคริสเตียนยุคแรกในบริบทของชาวยิว[19] ได้ให้ความเห็นที่โดดเด่นบางอย่างเกี่ยวกับยอห์น 1:18 ซึ่งรวมถึงข้อสังเกตว่าต้นฉบับปาปิรัส P66 และ P75 (บางคนเห็นว่าเป็นการโน้มนำในการเข้าข้าง “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา”) มีหลักฐานที่เป็นอิทธิพลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตัวอย่างเช่น ทั้งฉบับปาปิรัส P66 และ P75 ลบคำว่า “พระเจ้า” ออกจากยอห์น 5:44 เพื่อหลีกเลี่ยงการบอกว่าพระบิดาคือ “พระเจ้าแต่องค์เดียว” ตอนนี้พระบิดาเป็นแค่ “องค์เดียว” จึงทำให้เป็นไปได้ที่จะนับรวมพระเยซูเป็นพระเจ้าได้ ฉบับปาปิรัส P66 เพิ่ม “the” (นี้) กับคำ “God” (พระเจ้า) ในยอห์น 10:33 เพื่อทำให้พระเยซูเป็น “พระเจ้าองค์นั้น” (theGod) แทนที่จะเป็น “พระ” (g) ในความหมายที่ลดลงของสดุดี 82:6 (“เจ้าทั้งหลายเป็นพระ)[20] นี่คือข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือของแมคแกร็ธ
การรับรองต้นฉบับปาปิรัสสองฉบับของพระกิตติคุณในยุคแรกของฉบับอเล็กซานเดรีย ที่รู้จักกันว่า P66 และ P75 มักจะให้น้ำหนักมากกว่าที่ควรเป็น จริงๆแล้ว P75 เป็นต้นฉบับแรกๆอย่างมาก แต่มักจะให้การอ่านซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าด้อยกว่า และในบางกรณีแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่มีเจตนาเพิ่มเติมหรือแก้ไข สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สองต้นฉบับนี้พร้อมใจกันที่จะทิ้งคำ “พระเจ้า” ในยอห์น 5:44 ซึ่งนักวิชาการเกือบทั้งหมดเห็นว่าเป็นส่วนของต้นฉบับเดิม บีสลีย์ เมอร์เรย์[21] มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็อาจเป็นได้พอๆกันที่พวกผู้คัดลอกต้นฉบับเหล่านี้มีปัญหาในการกล่าวถึงพระบิดาว่าเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว เนื่องจาก “โลกอส” ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น “พระเจ้า” ความสำคัญอีกอย่างก็คือ P66 เพิ่มคำนำหน้านามที่เฉพาะเจาะจงหน้าคำ “พระเจ้า” ในยอห์น 10:33 ดังนั้นจึงมีข้อบ่งชี้ว่า ผู้ที่คัดลอกต้นฉบับเหล่านี้มีมุมมองทางศาสนศาสตร์ที่เจาะจง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการคัดลอกของพวกเขา ทั้งสองต้นฉบับนี้ยังคงการอ่านที่ด้อยกว่าอย่างมาก... (หน้า 65, เว้นเชิงอรรถ)
ฟีลิป ดับบลิว คอมฟอร์ท กล่าวในคู่มืออธิบายตัวบทตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพอย่างแรงกล้าของเขาที่ชื่อ คู่มืออธิบายเกี่ยวกับต้นฉบับและตัวบทของพระคัมภีร์ใหม่[22] ในหน้า 248 ว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” เป็นการอ่านที่เป็นไปได้สำหรับยอห์น 1:18 เพื่อให้สอดคล้องกับส่วนที่เหลือในคำขึ้นต้นของยอห์นในการสนับสนุนการเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ และนั่นก็เป็นภาพสะท้อนของยอห์น 1:1 และเป็นบทสรุปที่เหมาะสมกับคำขึ้นต้น แต่ข้อโต้แย้งนี้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เพียงเพราะการให้ข้อสรุปที่ชี้นำ (โดยสันนิษฐานความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ขณะที่พยายามโต้แย้ง) แต่ยังเป็นเพราะหลักฐานสามารถโต้แย้งในทางตรงกันข้ามได้พอกัน โดยการเปิดเเผยแรงจูงใจที่ชัดเจนแบบตรีเอกานุภาพในการอ่านยอห์น 1:18 ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถจะมองข้ามได้เนื่องจากการยกพระเยซูขึ้นเป็นพระเจ้าในคริสตจักรยุคแรก
บาร์ต ดี แอร์แมน (การอ้างอิงพระเยซูผิดๆ, หน้า 162)[23] กล่าวว่าถ้อยคำเดิมของยอห์น 1:18 เป็นไปได้มากที่จะเป็น “พระบุตรองค์เดียว” มากกว่า “พระเจ้าองค์เดียว” เพราะการเปลี่ยนจาก “พระบุตรองค์เดียว” มาเป็น “พระเจ้าองค์เดียว”[24] นั้น เป็นการอธิบายที่พอฟังได้จากการคง “องค์เดียว” ไว้ในทั้งสองคำ ประเด็นก็คือว่า หากผู้คัดลอกได้เปลี่ยน “พระบุตรองค์เดียว” ที่ไม่เป็นปัญหา ให้เป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ที่เป็นปัญหาด้วยเหตุผลของหลักคำสอน (เป็นปัญหาเพราะนั่นจะไม่รวมพระบิดาว่าเป็นพระเจ้า) ผู้คัดลอกก็ได้เผยการเปลี่ยนแปลงของเขาเองและความพยายามที่ไม่สำเร็จของเขาเอง โดยการหลบหลีกหรือลืมที่จะลบคำประกอบ “องค์เดียว”
ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่อาจเป็นหลักฐานภายนอกหรือภายใน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ พระคัมภีร์เช่นฉบับ CJB, KJV, HCSB, NJB, RSV, และ REB ได้เลือกที่จะแปลยอห์น 1:18 ในแบบที่ไม่ใช่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพแม้ว่าฉบับเหล่านี้จะมีความโอนเอียงไปทางความเชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่บ้าง แต่ในทางตรงกันข้าม ฉบับ ESV ให้การอ่านยอห์น 1:18 เป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแม้จะมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นก็ตาม มันทำให้ยอห์นขัดแย้งในตัวเองและบอกเป็นนัยว่าพระเยซูทรงเป็น “พระเจ้าแต่องค์เดียว” ที่กันพระเจ้าพระบิดาออกไป
พจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับเธเยอร์[25] เกี่ยวกับ monogenēs ปฏิเสธการอ่านยอห์น 1:18 ว่า “พระเจ้าองค์เดียวที่บังเกิดมา” เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของยอห์น และอาจได้รับแรงจูงใจจากหลักคำสอน
การอ่าน monogenēs theos (โดยไม่มีคำนำหน้านามหน้าคำ monogenēs) ในยอห์น 1:18 ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยน้ำหนักเพียงน้อยนิดจากหลักฐานโบราณ...เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นกับแนวคิดและการพูดของยอห์น (ยอห์น 3:16, 18; 1 ยอห์น 4:9)[26] เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องและแข็งกร้าว ดูเหมือนว่าเป็นจุดเริ่มของความกระตือรือร้นที่ดันทุรัง ซึ่งเริ่มต้นไม่นานหลังจากสมัยแรกๆของคริสตจักร
[1] ESV: No one has ever seen God; the only God, who is at the Father’s side, he has made him known.
[2] HCSB: No one has ever seen God. The One and Only Son - the One who is at the Father’s side - He has revealed Him
[3] Holman Christian Standard Bible (HCSB), Complete Jewish Bible (CJB), King James Version (KJV), New Jerusalem Bible (NJB), Revised Standard Version (RSV), Revised English Bible (REB)
[4] English Standard Version (ESV), New American Standard Bible (NASB), New International Version (NIV), New English Translation (NET)
[5] Majority Text
[6] UBS5 The Greek New Testament, 5th edition (พระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล พิมพ์ครั้งที่ 5) NA28 Novum Testamentum Graece (Nestle-Aland), 28th edition (พระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับเนสเซิ่ล-อลันด์ พิมพ์ครั้งที่ 28)
[7] Novum Testamentum Graece (NA27/NA28); United Bible Societies Greek NT (UBS4/UBS5)
[8] A Textual Commentary on the Greek NT (2nd edition)
[9] Allen Wikgren
[10] (the only begotten God)
[11] Matthew Black
[12] An Aramaic Approach to the Gospels and Acts
[13] Burney
[14] “the only begotten God”
[15] United Bible Societies
[16] “only begotten” หรือ “only” หรือ “unique”
[17] John 1:14 And the Word became flesh, and dwelt among us, and we beheld His glory, glory as of the only begotten from the Father, full of grace and truth.
John 3:16 For God so loved the world, that He gave His only begotten Son, that whoever believes in Him shall not perish, but have eternal life.
John 3:18 He who believes in Him is not judged; he who does not believe has been judged already, because he has not believed in the name of the only begotten Son of God.
1 John 4:9 By this the love of God was manifested in us, that God has sent His only begotten Son into the world so that we might live through Him.
[18] James F. McGrath
[19] The Only True God: Early Christian Monotheism in Its Jewish Context
[20] สดุดี 82:6 เราได้กล่าวว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นพระ เป็นบุตรองค์ผู้สูงสุด เจ้าทุกคนนั่นแหละ”
[21] Beasley-Murray
[22] Philip Wesley Comfort; A Commentary of the Manuscripts and Text of the New Testament
[23] Bart D. Ehrman (Misquoting Jesus, p.162)
[24] “unique Son” to “unique God” หรือแปลว่า “พระบุตรหนึ่งเดียว” มาเป็น “พระเจ้าหนึ่งเดียว” (ผู้แปล)
[25] Thayer’s Greek-English lexicon
[26] ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”
1 ยอห์น 4:9 “พระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร”