พิมพ์
หมวด: The Only Perfect Man
ฮิต: 2331

pdf pic

 

 

 

 

 

มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ

เพียงผู้เดียว

พระสิริของพระเจ้าที่ปรากฏ

บนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์

อีริค เอช เอช ชาง

เรียบเรียงและแก้ไขให้สมบูรณ์โดย

เบนท์ลี่ ซี เอฟ ชาน

 intro 1

 

 

ถวายแด่พระเยซูคริสต์

องค์เจ้านายและพระผู้ช่วยให้รอด

พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและ

ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

(กาลาเทีย 2:20)

คำนำ

บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงของพระเจ้าด้วยสุจริตใจและด้วยใจจริง และแสวงหาความเชื่อครั้งเดียวเป็นพอที่ส่งต่อให้บรรดาธรรมิกชนก็จะพบได้ในหนังสือเล่มนี้ ทุกบทและทุกหน้าของหนังสือเล่มนี้จะนำให้ผู้อ่านได้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และปรุโปร่งถึงความเชื่อถือเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ของผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ และผู้ที่สนับสนุนความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์มาก่อน ความจดจ่อมากที่สุดนั้นอยู่กับตัวพระคัมภีร์เองที่หนังสือเล่มนี้ยึดถือเป็นสิทธิอำนาจเดียวและสิทธิอำนาจสูงสุดในเรื่องของความเชื่อและหลักคำสอน

ผู้เขียนไม่ได้มาจากกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมาก่อน ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่ได้เชื่อในตรีเอกานุภาพส่วนใหญ่ แต่ผู้เขียนเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกของความเชื่อในตรีเอกานุภาพมานานหลายทศวรรษ ที่แม้แต่ส่วนลึกในใจของการคิดอย่างผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่วันหนึ่งท่านก็ตาสว่างและได้เห็นความจริงว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในพระคัมภีร์ และตั้งแต่นั้นมาท่านก็ต้องการที่จะหันกลับจากคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ท่านได้ทำการประกาศเผยแพร่ในหนังสือหลายเล่ม ในคำบรรยายและในการอบรมของคริสตจักรของท่านมานานปี

ผมรู้จักกับ อีริค เอช เอช ชาง ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้และเฮเลนภรรยาของท่านมากว่าหนึ่งในสามของศตวรรษ ผมพบกับท่านครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 1977 ประมาณ 35 ปีต่อมา ในวันคริสต์มาสปี 2012 ผมก็ได้พูดกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย อีริค ชาง เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งครู และเป็นศิษยาภิบาลของผม ท่านเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณและเป็นผู้ให้คำปรึกษาของผม ท่านเป็นผู้ที่ชี้นำผมมาหาพระเจ้าพระบิดาและมาหาพระเยซู พระบุตรและพระเมษโปดกของพระเจ้า

อีริค ชาง ได้รับใช้พระเจ้าอย่างทุ่มเทมานานกว่าครึ่งศตวรรษ และก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตในเดือนมกราคม 2013 ท่านได้เขียนหนังสือเล่มนี้ ท่านกับผมได้เตรียมการล่วงหน้าโดยให้ผมเป็นผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เมื่องานเขียนเสร็จสิ้นลง แต่ถ้าท่านต้องจากโลกนี้ไปก่อนที่งานเขียนจะเสร็จ ผมก็จะเขียนให้เสร็จ และก็เป็นจริงในอย่างหลัง

ไม่กี่วันหลังจากท่านเสียชีวิต เฮเลนก็ขอให้ผมดึงแฟ้มข้อมูลต้นฉบับจากคอมพิวเตอร์ของท่าน บันทึกบางส่วนของท่านเป็นแบบย่อ บางส่วนก็เป็นแบบขยายความแล้ว และบางส่วนก็อยู่ระหว่างการขยายความซึ่งหมายความว่าผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเขียนในปริมาณที่มากพอควร ผมรู้สึกกลัว แต่ก็ยินดีรับความท้าทายที่จะทำให้งานเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์

ผมเชื่อว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ถือได้ว่าบันทึกต้นฉบับของอีริค ชาง “เสร็จสมบูรณ์” แล้ว เมื่อถูกส่งมาถึงมือของผมแม้ว่าจะมีบางส่วนที่ขาดหายไป ทั้งนี้ก็เพราะกำหนดเวลาของพระเจ้าในชีวิตของคนๆหนึ่งและในการล่วงลับไปของเขานั้น จะก่อผลดีแก่คนที่รักพระองค์

แม้ว่าสิ่งที่ท่านคิดจะเขียนยังมีอีกมาก แต่สิ่งที่ท่านได้กล่าวไว้แล้วในหนังสือเล่มนี้และในหนังสือ “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว”[1] เล่มก่อนหน้านี้ของท่าน ก็น่าจะเกินพอที่จะทำให้ท่านพ้นจากความรับผิดชอบของท่านต่อโลกนี้ ในการประกาศพระยาห์เวห์ว่าเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว และส่งต่อความรับผิดชอบให้กับผู้ที่อ่าน ในหนังสือสองเล่มนี้เราจะเห็นการยึดมั่นของท่านต่อความจริง การยอมจำนนของท่านต่อสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ ความเป็นห่วงของท่านต่อคริสตจักรในฐานะของผู้เลี้ยง และความรักของท่านต่อพระเจ้าพระบิดา และต่อพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์

บทบาทของผมในหนังสือเล่มนี้

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่หนังสือเล่มหนึ่งจะเสร็จสมบูรณ์โดยคนอื่นหลังจากที่ผู้เขียนเดิมเสียชีวิตไป ดังตัวอย่างเช่น ศาสนศาสตร์ของพระคัมภีร์ใหม่[2] หนังสือทางวิชาการที่เขียนโดยจอร์จ สเตร็คเกอร์[3]ก่อน แล้วจึง “แก้ไขเรียบเรียงและทำเสร็จสมบูรณ์” โดย ฟรีดริช ฮอร์น[4]

ผมแจ้งไว้บนปกหนังสือเช่นเดียวกันว่า อีริค เอช เอช ชาง เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้แต่เพียงผู้เดียว และหนังสือเล่มนี้ได้รับการ “แก้ไขและเสร็จสมบูรณ์” โดยบุคคลอื่น ผมระบุว่าผมเป็นผู้เขียนคนที่สองในการลงทะเบียนของหนังสือนี้เพราะผมรับผิดชอบเนื้อหา 35% ของหนังสือเล่มนี้ในแง่ของข้อมูล และ 65% ของการเรียบเรียงในแง่ของสำนวนการเขียน

ผมพยายามใช้สำนวนภาษาแบบง่ายๆในหนังสือเล่มนี้ ถึงแม้ผมจะชื่นชอบภาษาอังกฤษแบบอังกฤษพอๆกับภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แต่หนังสือเล่มนี้ก็ใช้การสะกดคำและเครื่องหมายวรรคตอนแบบอเมริกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผมคุ้นเคยกับรูปแบบของอเมริกันมากกว่า ผมลดการเขียนแยกระหว่างอัญประกาศคู่และอัญประกาศเดี่ยวให้สอดคล้องกับหนังสือสมัยปัจจุบัน ยกเว้นเพื่อจุดประสงค์ของคำอ้างอิงที่ซ้อนกัน และผมก็ไม่ลังเลใจที่จะใช้คำย่อ

มันฟังดูเหมือนความคิดแบบคร่ำครึที่จะบอกว่า ผมขอเป็นผู้รับผิดชอบต่อข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ แต่ในกรณีนี้ถูกต้องและเป็นธรรมแล้วที่ความรับผิดชอบจะตกอยู่กับผม

ผู้ที่พระเจ้าทรงชอบพระทัยยิ่งนัก

หนังสือเล่มนี้เขียนออกมาจากหัวใจของผู้เลี้ยงโดยคนของพระเจ้า แม้ว่าจะได้รับการอบรมพระคัมภีร์จากหลายสถาบันการศึกษาก็ตาม (สถาบันอบรมพระคัมภีร์, วิทยาลัยพระคัมภีร์ลอนดอน, มหาวิทยาลัยลอนดอน) อาจารย์อีริคก็ไม่ได้เป็นนักศาสนศาสตร์ผู้มีความรู้ที่ขาดประสบการณ์จริง   แต่เป็นคนของพระเจ้าแท้ที่ผมสามารถเป็นพยานได้ ท่านเป็นผู้ที่ติดตามพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน และมีประสบการณ์กับการอัศจรรย์ของอัครทูตที่เล่าให้ฟังในหนังสือ “มารู้จักพระเจ้าได้อย่างไร” ของท่าน ในปี 1977 ผมกับซิลเวียภรรยาของผม ได้ใช้เวลาหนึ่งเดือนกับท่านในประเทศอิสราเอลพร้อมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่อิสราเอลนี่เองผมรู้สึกประทับใจกับการแสดงความรักของท่านที่เห็นประจักษ์ชัดต่อชาวยิว ชาวคริสเตียน และชาวมุสลิม (โดยเฉพาะต่อกลุ่มอาลี ฮุสเซน แห่งไคโร)[5]

ผู้อ่านที่รัก ผมอธิษฐานว่า คุณจะได้รับพระพรจากหนังสือเล่มนี้ และที่พระสิริของพระยาห์เวห์พระเจ้าจะทอแสงผ่านทางคุณในพระเยซูพระเมสสิยาห์ ที่จะนำชีวิตและความสว่างไปสู่คนที่อยู่รอบตัวคุณ ขอพระเจ้าพระบิดาของเราผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงพอพระทัยที่จะใช้หนังสือเล่มนี้ให้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพระองค์เองและพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียวที่เคยมีชีวิตอยู่

คำขอบคุณ

ขอขอบคุณเฮเลน ชาง เป็นพิเศษสำหรับมิตรภาพและกำลังใจ ขอบคุณซิลเวียในความรักของคุณมาตลอดหลายสิบปีและความช่วยเหลือในการทำต้นฉบับ ขอบคุณแอ็กเนสและลีเซน ในการค้นคว้าเกี่ยวกับ “ในพระคริสต์”อย่างละเอียด ขอบคุณวินสตันที่ช่วยพิสูจน์อักษร ขอบคุณคริสที่ให้คำแนะนำที่ดีมาตลอดหลายปี  ขอบคุณเพื่อนผู้ร่วมดูแลคริสตจักรในภูมิภาคต่างๆ สำหรับมิตรภาพและการนำด้วยความใส่ใจ ขอบคุณเฟลิเซียที่ให้คำแนะนำดีๆสองอย่างกับหนังสือเล่มนี้ ขอบคุณผู้ที่แปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาจีน ไทย อินโดนีเซีย และภาษาอื่นๆ  ขอขอบคุณโรเบิร์ตจากแคนาดากับเดบบี้จากอเมริกา ที่เป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่ได้นำผมมารู้จักพระองค์

 การมีส่วนร่วมในการทำหนังสือ พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว และ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว[6] ทำให้ผมได้รับสิทธิพิเศษที่ดีมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ขยายวงกว้าง อันมีวิลเลี่ยม และเอลีนอร์ แม็คโดนัลด์, แอนโทนี่ และบาร์บาร่า บัซซาร์ด, แดน และชารอน กิลล์, เกร็ก ดูเบิล, บรูซ ลียอง, จอห์น ไรคาร์ท, แม็กซิม รูซีค, เทรซี่ จีโอวิช, คลาร์ก แบร์ฟุต และอีกหลายๆท่าน  เพื่อนที่ดีเหล่านี้ ผมขอกล่าวว่า ขอบคุณสำหรับมิตรภาพของพวกท่าน และการประกาศเป็นส่วนตัวของพวกท่านให้กับพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียวนี้

เบนท์ลี่ ชาน

มอนทรีออล,  แคนาดา

1กรกฎาคม2014, แก้ไขใหม่18 กรกฎาคม2017

biblicalmonotheism@gmail.com

บทนำ

ในหนังสือเล่มนี้เราจะพิจารณาบางประเด็นที่สำคัญมากที่สุด และเป็นที่ถกเถียงกันมากจากการที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพให้ภาพว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการนำเสนอของเราโดยรวมในแง่ของการนำเสนอข้อมูลจากพระคัมภีร์ที่ตรงประเด็นนี้ จะกระตุ้นให้คริสเตียนในทุกที่ได้เห็นถึงสิทธิอำนาจสูงสุดของพระคัมภีร์ ที่ได้รับการดลใจซึ่งใช้ในการประเมินความจริงของหลักคำสอนหนึ่งหลักคำสอนใด

หนังสือ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว เล่มนี้เป็นผลต่อเนื่องแต่ก็เสริมกันกับหนังสือเล่มก่อนหน้านี้ของผมที่ชื่อ พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว[7] (ในฉบับภาษาอังกฤษ บางครั้งจะใช้คำย่อว่า TOPM และ TOTG ตามลำดับ) นอกจากชื่อหนังสือที่คล้ายคลึงกันอย่างเด่นชัดแล้ว ก็ยังมีหลายจุดที่มีความคล้ายคลึงกันและมีความแตกต่างกัน ที่เชื่อมโยงหนังสือทั้งสองเล่มนี้

ประการแรก พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว และ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว เขียนจากมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ ซึ่งไม่ใช่จากมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เราใช้คำ “ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์” ในความหมายที่แท้จริงของการเชื่อในพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับการเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายๆองค์ที่มีหลายพระองค์เป็นพระเจ้า การศึกษาของเราจากพระคัมภีร์ได้นำเรามาสู่ข้อสรุปที่หนักแน่นว่ามีพระเจ้าเดียวและเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่พระองค์ทรงเป็นบุคคลๆเดียว ที่พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ ที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ เราเชื่อมั่นเหมือนที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูไม่ใช่พระเจ้าพระบุตร (คำเรียกที่ไม่เคยมีปรากฏในพระคัมภีร์เลย) พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า พระเยซูทรงเป็นพระฉายาที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า พระเยซูทรงกระทำการด้วยสิทธิอำนาจทั้งสิ้นของพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจเต็มที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า

ประการที่สอง ขณะที่หนังสือเล่มแรก พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว มีศูนย์กลางอยู่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว ส่วนหนังสือเล่มที่สองนี้ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว จะมีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าและมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียวที่เคยมีชีวิตอยู่

ประการที่สาม พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว และ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว มีความเชื่อมโยงกัน และในทำนองเดียวกันพระยาห์เวห์กับพระเยซู ก็มีความเชื่อมโยงกันด้วยความจริงตามพระคัมภีร์ว่า พระยาห์เวห์ พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียวสถิตอยู่ใน (“ตั้งพลับพลาอยู่” ใน) พระเยซูผู้เป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งเป็นพระวิหารที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า (ข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ได้กำหนดให้เราต้องรับมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่า พระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพคือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนนั้น ได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงเป็นเหตุให้พระเยซูทรงมีทั้งธรรมชาติของพระเจ้าและธรรมชาติของมนุษย์) อารัมภบทของยอห์น (ยอห์น 1:1-18) กล่าวว่า พระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระคำ ได้เสด็จเข้ามาในโลกมาสถิตอยู่ในพระเยซู   ข้อ 14 (“พระวาทะได้มาเป็นเนื้อหนังและได้ทรงตั้งพลับพลาอยู่ท่ามกลางเรา”)[8] สอดคล้องกับความจริงที่ว่า พระกายของพระเยซูเป็นพระวิหารที่พระเจ้าสถิตอยู่ (ยอห์น 2:19) ที่จะพูดถึงในบทที่ 3 ของหนังสือเล่มนี้ แท้จริงแล้วพระเยซูตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ว่า “พระบิดาทรงอยู่ในเรา” (ยอห์น 14:10)

ประการที่สี่ เนื่องจาก “มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว” ได้จัดพิมพ์หลัง “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” หลายคนอาจคิดว่าจะต้องอ่านหนังสือเล่มก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเริ่มอ่านเล่มปัจจุบัน แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น “มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว” เป็นหนังสือที่สมบูรณ์อยู่ในตัวซึ่งสามารถแยกอ่านกับ “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” ได้ ถ้าคุณตั้งใจจะอ่านหนังสือทั้งสองเล่ม คุณสามารถจะอ่านเล่มใดเล่มหนึ่งก่อนก็ได้ เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” หรือลืมเนื้อหาไปแล้วนั้น ในหนังสือเล่มนี้ผมจะอ้างอิงถึงบางบทของหนังสือเล่มก่อนหน้าเป็นบางครั้งสำหรับข้อมูลความเป็นมา คุณสามารถดูฉบับพิมพ์ของ “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” ได้จาก Amazon.com หรือฉบับ PDF ที่ http://christiandc.org

ประการที่ห้า มีการนำเอาสาระสำคัญจากหนังสือ “พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” มารวมกับหนังสือ “มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว” เนื่องจากการพิจารณาเรื่องความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพในหนังสือเล่มก่อนหน้า จะมีความต่อเนื่องกันดีใน “มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว” นี่เป็นสิ่งจำเป็นในการขจัดอุปสรรคตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ปิดกั้นความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว

หมายเหตุ

w บางครั้งผมจะระบุว่าให้ข้ามบางช่วงบางตอนไปได้เนื่องจากลักษณะทางเทคนิค โดยไม่ได้ลดการลื่นไหลในการอ่าน ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ไม่ต้องการจะอ่านรายละเอียดทางเทคนิค

w เชิงอรรถส่วนใหญ่อาจจะอ่านข้ามได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะให้การตีความที่เป็นประโยชน์ หรือข้อมูลในพระคัมภีร์

w ภาคผนวกก็อาจอ่านข้ามได้ แม้ว่าภาคผนวกสุดท้ายจะมีข้อมูลที่สำคัญ

w ตัวย่อ BDAG[9] หมายถึงพจนานุกรมพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก-อังกฤษและวรรณกรรมคริสเตียนอื่นๆในสมัยแรก การอ้างอิงทั้งหมดจากฉบับ BDAG นำมาจากฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 แต่ก็สามารถพบการอ้างอิงเหล่านี้ได้ในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 แม้บางครั้งจะอยู่ในหมวดที่ต่างกัน

w HALOT[10] หมายถึงพจนานุกรมพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูและภาษาอาราเมค เราค้นหาข้อมูลจาก HALOT และ BDAG เพราะพจนานุกรมทั้งสองฉบับนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุดสำหรับคำฮีบรูในพระคัมภีร์และคำกรีกในพระคัมภีร์ตามลำดับ

คำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อ:

วิธีที่ผมมองพระคำของพระเจ้า

ในการศึกษาเรื่องพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียวนี้ มันจะถูกต้องก็เมื่อผู้อ่านได้ความเข้าใจวิธีที่ผู้เขียนท่านนี้มองพระคัมภีร์ทั้งเล่มอย่างไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระคัมภีร์ใหม่

มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับพระคัมภีร์ แต่ผู้เขียนเหล่านั้นไม่ค่อยจะชี้ให้เห็นชัดๆว่าพวกเขามองพระคัมภีร์อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว พระคัมภีร์เป็นเอกสารโบราณทางศาสนาที่อาจถือว่ามีคุณค่าบ้างหรือมีคุณค่ามากที่จะศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณไหม? แล้วพระคัมภีร์เป็นชุดเอกสารโบราณที่มีคุณค่ามากสำหรับการทำความเข้าใจบรรดาประชาชาติโบราณทางตะวันออกใกล้ โดยเฉพาะอิสราเอลหรือไม่ รวมถึงอิทธิพลอย่างมากมายที่พระคัมภีร์มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอารยธรรมตะวันตกไหม?

ในเมื่อเป็นเอกสารโบราณเกี่ยวกับศาสนาและประวัติศาสตร์ แล้วพระคัมภีร์มีสิทธิอำนาจอะไรที่จะให้เรารักษาความเชื่อของเราในปัจจุบันนี้หรือ? มุมมองพระคัมภีร์ที่ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ก็จะเป็นเพียงความสนใจในทางวิชาการสำหรับเราเสียมากกว่า และไม่น่าจะมีความมุ่งหมายใดๆในการกำหนดความเชื่อของเราและวิธีที่เราดำเนินชีวิต

ผมอยากจะกล่าวให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ผมมองพระคัมภีร์ ผมกลับมองว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า ผมไม่ได้หมายความว่าพระคัมภีร์เป็นงานเขียนเล่มหนึ่งตามคำบอกที่พระเจ้าทรงมอบให้เป็นส่วนๆกับผู้เขียน ที่ในระหว่างการเขียนตามคำบอกก็ทำงานเหมือนหุ่นยนต์หรือเครื่องบันทึกเสียงที่บันทึกโดยไม่คิดอะไร แต่ตรงกันข้าม ผมเชื่อว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ทุกคนสามารถจะเรียกได้ว่าเป็นนักเทศน์ หรือผู้เผยพระวจนะที่ได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า และเป็นผู้ที่แสดงถ้อยคำของพระเจ้าอีกครั้งจากใจและความคิดของเขาเองด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดจากอุปนิสัยของเขาและตัวตนที่แท้จริงของเขา

สิ่งนี้ยืนยันได้จากข้อเท็จจริงที่หนังสือเล่มต่างๆในพระคัมภีร์ รวมทั้งจดหมายฉบับต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่ ที่ผู้เขียนแต่ละคนต่างก็มีสำนวนภาษาเฉพาะของพวกเขาหรือแม้แต่ความสามารถทางด้านภาษาของพวกเขา ตัวอย่างเช่น มาตรฐานภาษากรีกของยากอบนั้นอยู่ในระดับสูง ทั้งภาษากรีกของตัวเขาเองหรือของผู้ทำหน้าที่คัดลอก (คำสมัยใหม่เทียบได้กับเลขานุการ) ซึ่งผิดกับภาษากรีกของวิวรณ์ที่ “แข็งๆ” มันจะไม่มีความต่างกันทางด้านภาษาหรือสำนวนโวหารเช่นนั้น ถ้าเนื้อหาของจดหมายฉบับต่างๆ ได้ให้กับผู้เขียนแบบคำต่อคำตามคำบอกของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นนักเทศน์ที่เทศนามามากในตลอดชีวิตของผม ผมมีความเข้าใจอย่างริบหรี่ในสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์หมายถึง เมื่อเขากล่าวว่าถ้อยคำที่เขาได้รับจากพระเจ้าเป็นเหมือนไฟไหม้อัดอยู่ในกระดูกของเขา (เยเรมีย์ 20:9) นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่น่าจะมาจากปากของผู้ที่เป็นแค่ “คนจดชวเลข” พระวจนะของพระเจ้า

คนของพระเจ้าที่สอนพระคำของพระเจ้าให้กับผม

ผมมองพระคัมภีร์ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะมีความจงรักภักดีต่อหลักข้อเชื่อของบางนิกายแต่อย่างใด แต่เพราะนับตั้งแต่วันที่ผมเริ่มมีประสบการณ์กับพระเจ้า ผมได้มารู้จักพระองค์ว่าทรงเป็น “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (คำที่ใช้ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่) วันสำคัญนั้นนับย้อนหลังไปหกทศวรรษในวันคริสต์มาสปี 1953 ในประเทศจีนที่มีการปลดแอก เมื่อผมกำลังครุ่นคิดถึงคำเชิญให้ไปทานของว่างที่บ้านของคนหนึ่ง ผมยังไม่ได้ตกลงใจที่จะไปบ้านของคริสเตียนคนนั้นเพราะผมถือว่าตัวเองไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้เชื่อเรื่องพระเจ้า ผมมาถึงบ้านนี้สายเพราะลังเลอยู่นานและเห็นว่าคนส่วนใหญ่กำลังจะกลับกันแล้ว จะมีเหลืออยู่แค่สองคน คือชายอายุไม่ถึง 40 ที่มีใบหน้าอ่อนโยน หล่อเหลาและเกลี้ยงเกลา กับหญิงผมสีเทาวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ที่เชิญผมมา เธอใช้บ้านของเธอเป็นที่จัดงานปาร์ตี้คริสต์มาสเล็กๆ

ผมจะไม่เล่าเหตุการณ์อื่นในเย็นวันนั้น ช่วงที่หญิงคนนั้นยังคงเงียบสงบ และเฮนรี่ ชอย[11]ชายที่อายุน้อยกว่าได้พูดเรื่องพระเจ้าและพระเยซูคริสต์กับผม นอกจากจะบอกว่าก่อนที่วันนั้นจะผ่านพ้นไป ผมก็ได้มี “ประสบการณ์บนถนนดามัสกัส” กับตัวของผมเอง[12] ที่เรียกกันเมื่อเปาโลพบกับพระเยซูในกิจการ 9

ภายในหนึ่งปีที่ผมมีประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมนั้น เฮนรี่ได้มาเป็นครูสอนพระคัมภีร์ใหม่ของผม โดยเฉพาะพระกิตติคุณยอห์นที่เขาทำให้น่าสนใจในแบบที่ผมไม่เคยได้ยินจากใครมาก่อน เขาถูกจับกุมนอกบ้านของเขาในคืนวันหนึ่งและไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขาอีกเลย เพื่อนๆทุกคนรู้จักเฮนรี่ดีว่า เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือแสดงความสนใจแต่อย่างใด

ผมพูดได้เลยว่านี่คือคนของพระเจ้าที่ร้อนรน “เพื่อพระเจ้าและเพื่อพระคริสต์ของเขา” เฮนรี่เป็นนักเคมีวิจัย และเขาใช้รายได้จากการทำงานเป็นทุนของเขาเองในการประกาศและสั่งสอนตามหมู่บ้านใกล้เคียงในมหานครเซี่ยงไฮ้ เขาถูกจับกุมเพราะเหตุนี้ไหม? ในชั่วชีวิตนี้เราอาจไม่มีวันรู้

การได้ยินเสียงของพระเจ้าในพระคำของพระเจ้า: พระบัญญัติอันดับแรก

การศึกษาพระคัมภีร์ไม่เหมือนกับการศึกษาวิชาอื่น เพราะโดยพื้นฐานแล้วพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หรือวรรณคดี แต่ที่สำคัญอันดับแรกและสำคัญที่สุดคือเป็นพระคำของพระเจ้า บางครั้งพระเจ้าก็ตรัสผ่านฉากหลังของประวัติศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์ แต่เราจะศึกษาพระคัมภีร์แบบเดียวกับที่เราศึกษาประวัติศาสตร์ หรือวรรณคดี หรือวิชาอื่นไม่ได้ ถ้าจุดมุ่งหมายของเราคือการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระคำของพระเจ้า แต่ถ้าการได้ยินพระ สุรเสียงของพระเจ้าไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเราแล้ว เราก็จะศึกษาพระคัมภีร์เหมือนเป็นวิชาหนึ่งในเชิงวิชาการ

ถ้าเช่นนั้นเราจะต้องทำอะไรหรือ จึงจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเมื่อเราอ่านพระคำของพระองค์? เราต้องเริ่มที่จุดเริ่มต้นด้วยพระบัญญัติอันดับแรกของพระเจ้า ที่มีความสำคัญจนธรรมาจารย์นำมาถามพระเยซูว่า ในบรรดาพระบัญญัติทั้งหลาย ข้อใดสำคัญเป็นอันดับแรก พระเยซูตรัสตอบว่า

พระ​บัญ​ญัติ​ข้อ​แรกสุดก็​คือ “จง​ฟัง​เถิด โอ ชน​อิส​รา​เอล ​​องค์​พระ​ผู้​เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของ​เรา ​องค์​พระ​ผู้​เป็นเจ้าทรงเป็น​พระ​เจ้า​องค์​เดียว และพวก​ท่าน​จง​รัก​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​เจ้าของท่าน​ด้วย​สุด​ใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุดจิต​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​ของ​ท่านและ​ด้วย​สุด​กำ​ลัง​ของ​ท่าน” นี่คือพระบัญญัติข้อแรก และ​พระ​บัญ​ญัติข้อ​ที่​​สอง​ก็คือ “พวกท่านจง​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตัวพวกท่านเอง” ไม่​มี​พระ​บัญ​ญัติ​อื่น​ที่​สำ​คัญ​ยิ่ง​กว่า​พระ​บัญ​ญัติ​เหล่า​นี้” (าระโ 12:29-31 ฉบับนิวคิงเจมส์)

เมื่อเราทำตามพระบัญญัติสองข้อสำคัญคือรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน เราจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระคัมภีร์ สิ่งที่เราคิดมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นเพียงแค่เรื่องราว เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เป็นบทกวี และสุภาษิตนั้น ตอนนี้กลายเป็นช่องทางที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับเรา สิ่งที่เราคิดว่าเป็นงานเขียนโบราณที่หมดความเกี่ยวข้องกับเราในปัจจุบันนี้ ในเวลานี้กลายเป็นถ้อยคำที่มีชีวิตที่พูดกับใจของเรา พระเจ้าที่เราได้อ่านเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์นั้น บัดนี้เป็นพระเจ้าที่ทรงสามารถเข้าไปถึงที่ลึกที่สุดของความคิดของเราด้วยถ้อยคำของพระองค์ ตอนนี้เราคงเข้าใจแล้วว่าทำไมพระองค์จึงถูกเรียกว่า “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่

แต่ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อแรก เราก็จะไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คริสเตียนจำนวนมากพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับการสอนให้รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดทั้งหมดของพวกเขา เราจะเป็นสาวกของพระเยซูอย่างมีความหมายได้อย่างไรหากเราไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนเราเกี่ยวกับการรักพระเจ้า? ผลที่ตามมาจากความล้มเหลวนี้ในชีวิตของเราและในคริสตจักรก็ประจักษ์ชัดให้ทุกคนได้เห็น มีผู้นำคริสเตียนบางคนบอกผมว่าหลังจากรับใช้ในพันธกิจมา 20 หรือ 30 ปี พวกเขายังคงไม่มีพลังฝ่ายวิญญาณในการทำพันธกิจที่พวกเขาได้ทุ่มเทให้สำเร็จได้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็แทบจะไม่มีให้เห็นในคริสตจักรทุกวันนี้ก็เพราะคริสตจักรได้ทอดทิ้งพระบัญญัติสำคัญข้อแรกนี้

เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น เราได้ปฏิเสธความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว จากพระบัญญัติสำคัญข้อแรกที่เป็นหัวใจสำคัญในชีวิตฝ่ายวิญญาณของชนอิสราเอลที่กล่าวไว้ในชามา[13]ว่า

      “จง​ฟัง​เถิด โอ ชน​อิส​รา​เอล องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ​องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง​เป็น​หนึ่งเดียว ท่าน​จง​รักองค์พระผู้เป็นเจ้า​​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ด้วย​สุด​จิต​สุด​ใจ​และ​สุด​กำลัง​ของ​ท่าน” (ฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5, “องค์พระผู้เป็นเจ้าคำตรงตัวคือพระยาห์เวห์)[14]

ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ถ้าเรากลับมาที่พระบัญญัติข้อแรก เราจะมีประสบการณ์กับพระสัญญาจากพระเจ้าที่เป็นจริงว่า “เราจะชดเชยปีเดือน ที่ตั๊กแตนวัยบินได้กินเสียให้แก่พวกเจ้า และที่ตั๊กแตนวัยกระโดด ตั๊กแตนตัวอ่อน และตั๊กแตนวัยเดินได้กิน” (โยเอล 2:25) แล้วเราจะมีความชื่นชมยินดีที่รู้จักพระองค์ผู้ที่เราเรียกว่า “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

ประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นกับการเข้าใจพระคำของพระเจ้า

ผมยังจำเรื่องจากสมัยเรียนในลอนดอนที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผม ขณะเมื่ออาจารย์สอนภาษาฮีบรูของผมกำลังพูดคุยกับผมถึงตัวบทที่ยากในพระคัมภีร์ฮีบรู เขาหยุดชะงักแล้วพูดขึ้นมาว่า “ผมสงสัยว่า ในที่สุดแล้วมีพระเจ้าจริงหรือเปล่า” ผมอึ้งกับคำกล่าวนั้นเพราะมันยากที่จะเข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีใครที่สามารถอุทิศทั้งชีวิตเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูโดยไม่ได้เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ที่เป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์นั้น เขาให้ความสนใจพระคัมภีร์ว่าเป็นแค่วรรณกรรมอย่างนั้นหรือ?

ผมก็กำลังดูตัวบทที่พูดคุยกันเมื่ออาจารย์ของผมเอ่ยถ้อยคำที่น่าตกใจนั้น ผมมองดูเขาและเห็นว่าเขากำลังจ้องไปบนเพดาน มองไปยังสวรรค์ในขณะที่พูดอย่างครุ่นคิดอยู่ลึกๆ เขาเป็นนักวิชา การมีชื่อเสียงที่ได้ตีพิมพ์หนังสือและบทความมากมายในหัวข้อที่เชี่ยวชาญเฉพาะเกี่ยวกับพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู แล้วทำไมตอนนี้เขาจึงฉุกคิดอย่างปัจจุบันทันด่วนขึ้นมาว่ามีพระเจ้าจริงไหม? หลังจากครุ่นคิดไม่กี่นาที เขาก็หันกลับมาดูข้อความตอนนั้นที่อยู่ตรงหน้าเราและต่อมาไม่นานการเรียนก็ยุติลง แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นทิ้งความฝังใจลึกๆไว้กับผม นี่คือนักวิชาการผู้มีวิชาความรู้สูงมีชื่อเสียงท่านหนึ่งในแวดวงของการศึกษาพระคัมภีร์ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ลงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นเลยว่าพระเจ้ามีอยู่จริง

เขาไม่ได้เป็นคนเดียวในคณะศาสนศาสตร์ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า อาจารย์ท่านอื่นๆบางคนก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเพราะเห็นชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริง แต่พวกเขาก็ยังคงสอนพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่แบบเป็นวิชาทางวิชาการ โดยที่พระเจ้าเป็นหัวข้อหนึ่งในหลายหัวข้อ พวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เพราะพวกเขาถือว่าพระคัมภีร์เป็นผลพวงของระเบียบสังคมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และพบการสนับสนุนมุมมองนี้โดยชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของมนุษย์ในหน้าต่างๆของพระคัมภีร์ที่เรามีในปัจจุบัน รวมทั้งการแก้ไขดัดแปลงข้อความพระคัมภีร์ที่ทำโดยเจตนาหรือโดยข้อผิดพลาดในการคัดลอก การศึกษาในเชิงวิชาการที่น่าเหนื่อยหน่ายนี้เอง พระเจ้าจึงหายไปจากสายตา เป็นที่ทราบกันว่า คริสเตียนจำนวนมากที่เชื่อถือพระคัมภีร์ ได้เข้าศึกษาทางศาสนศาสตร์ด้วยจุดมุ่งหมายในการเตรียมพร้อมสำหรับพันธกิจของคริสตจักร แต่สูญเสียนิมิตของพวกเขาและแม้แต่ความเชื่อของพวกเขาไปก็เพราะพวกเขาขาดประสบการณ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

วิธีที่เราอ่านพระคัมภีร์จะขึ้นอยู่กับว่า เรามีประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่ คนที่ รู้จักพระเจ้าจะ “ได้ยิน” คำของพระองค์ในทางที่แตกต่างกันเลยจากคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อผมพูดถึงการรู้จักพระเจ้าผมก็หมายความเหมือนที่เปาโลหมายถึงเมื่อเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ” (2 ทิโมธี 1:12) มีหลายคนเชื่อในพระเจ้าด้วยความเข้าใจที่คลุมเครืออยู่บ้าง แต่การเชื่อแบบนั้นไม่ได้มาแทนที่การรู้จักพระเจ้า ความเชื่อที่ไม่ได้ฝังแน่นในประสบการณ์กับพระเจ้า นั้นไม่ช้าไม่นานก็จะแคบลง จะดันทุรัง และจะเป็นปรปักษ์กับผู้ที่ไม่ได้มีมุมมองเช่นนั้น แต่ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจะไม่ประพฤติตัวในลักษณะนี้

ที่ผมกล่าวถึงทั้งหมดนี้ก็เพราะมีความสำคัญต่อการเข้าใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นการอธิบายพระคัมภีร์อย่างละเอียด ผมเชื่อในพระคัมภีร์ ว่าเป็นพระคำของพระเจ้าไม่เพียงแค่เป็นคำสอนเรื่องความเชื่อ แต่เป็นการดำเนินชีวิตตามคำสอนนั้น และพบว่าพระคัมภีร์ “ทำงาน” ผ่านทางกระบวนการนี้ที่ผมรู้ว่ามันเป็นความจริง  

พระเยซูตรัสกับพวกพ้องชาวยิวของพระองค์ว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดเอาเอง” (ยอห์น 7:17) และผมได้พบจริงๆว่าพระคำของพระเจ้าเป็นความจริง

มันไม่ได้หมายความว่าเราจะมองข้ามการศึกษาเชิงวิชาการ หรือจะโยนการศึกษาพระคัมภีร์และการตีความที่ถูกต้องทิ้งไปเสีย เราแน่ใจได้เลยว่าพระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติกับการศึกษาพระคัมภีร์ที่ทำแบบลวกๆ เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของความเป็นเลิศ ดังนั้นแม้ว่าเราจะยังไม่ได้บรรลุถึงความเป็นเลิศในระดับสูงเฉพาะทาง แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะอธิบายพระคำของพระเจ้าให้เข้าใจชัดเจน

ข้อสังเกตเบื้องต้น

ประการแรก ชื่อหนังสือเล่มนี้ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียว เป็นการระบุว่าพระเยซูตามพระคัมภีร์นั้นเป็นมนุษย์ ทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริงเหมือนกับมนุษย์ทุกคนในโลก พระองค์ไม่ได้เป็น “มนุษย์ที่เป็นเทพเจ้า” หรือ “มนุษย์ที่มาเป็นพระเจ้า” ดังที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพสันนิษฐานไว้  หากเคยมีบุคคลดังกล่าวที่เป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ คนๆนั้นจะไม่ใช่มนุษย์จริงๆ “เหล่ามนุษย์ที่เป็นเทพ” หรือ “พระต่างๆ” (เปรียบเทียบ “พระมาก” ใน 1 โครินธ์ 8:5)[15] มีอยู่มากมายในตำนานเทพเจ้ากรีกที่คริสเตียนยุคแรกๆที่อาศัยอยู่ในสังคมของคนนอกศาสนาคุ้นเคยกันดี พันธกิจในหมู่คนต่างชาติของบารนาบัสและเปาโลนั้น ทั้งสองถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระซุสและพระเฮอร์เมส (กิจการ 14:12) จนชาวลิคาโอเนียพากันนมัสการท่านทั้งสองถึงขนาดเตรียมเครื่องถวายบูชาแก่ท่านทั้งสอง   แต่บารนาบัสกับเปาโลร้องว่า “ท่านทั้งหลาย ทำไมจึงทำเช่นนี้? เราก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย” (ข้อ 15)[16]

พระเยซูที่เราเห็นพระองค์ในพระคัมภีร์ใหม่ ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน เหมือนที่เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่ “มีสภาพเหมือน” อย่างเรา (ยากอบ 5:17)[17] เนื่องจากพระองค์ทรงมีสภาพอย่างเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์จึงทรง “เคยถูกทดลองเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮีบรู 4:15)

แต่การมีสภาพอย่างเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเหมือนกับเราในทุกอย่าง สิ่งนี้นำเรามาถึงประเด็นต่อไป

ประการที่สอง พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ความสมบูรณ์แบบของพระองค์ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างอัตโนมัติด้วยฐานะ “พระเจ้าพระบุตร” ผู้เป็นพระเจ้าพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพ แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเรียนรู้ผ่านความทุกข์ทรมานและสำเร็จผลโดยที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในพระองค์

ประการที่สาม พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียวที่เคยมีชีวิตอยู่ ในบรรดามนุษย์ทั้งหมดที่เคยมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่การล้มลงในบาปของอาดัมและเอวาก็ “ไม่มีใครที่ชอบธรรมแม้แต่คนเดียว” (โรม 3:10) ในที่สุดก็มีผู้หนึ่งแต่เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นเมื่อพระเยซูเสด็จมา

เนื่องจากในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้ใดที่ปราศจากบาปนอกจากพระเยซู ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นมนุษย์ที่ผิดธรรมดา ผู้เป็นหนึ่งเดียว ผู้ทรงเกียรติ เป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ได้ไปถึงจุดสูงสุด ในจุดสูงที่สุดของพระประสงค์นิรันดร์ของพระยาห์เวห์สำหรับมนุษย์ การเน้นย้ำความจริงที่โดดเด่นนี้จึงมีความเหมาะสมในบางบริบทที่จะใช้อักษรตัวใหญ่ว่า “Man” (“มนุษย์”) เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริงแต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์

ในการแปลบางฉบับของพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู (ที่เรียกกันว่าพระคัมภีร์เดิม) ก็มีไม่กี่คนที่ถูกกล่าวถึงว่า “ดีพร้อม” (สมบูรณ์แบบ) แต่ในกรณีดังกล่าวคำภาษาฮีบรูจะแปลอย่างเหมาะสมมากกว่าว่า “ไม่มีที่ติ” ที่แปลในพระคัมภีร์บางฉบับ ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนนอกจากพระเยซูที่มีความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ความดีพร้อมที่คนชอบธรรมไม่กี่คนในพระคัมภีร์เดิมมีนั้น ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่เป็นความสมบูรณ์แบบโดยเทียบเคียง หรือไร้ที่ติเมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อเราพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเพียงผู้เดียวนั้น เรากำลังพูดถึงความไม่มีบาปอย่างแท้จริงของพระองค์ พูดถึงความสมบูรณ์แบบที่สมบูรณ์อย่างไม่มีข้อแย้ง พูดถึงผลสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง  มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบผู้นี้เป็นความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเคยกระทำมาในพระคริสต์ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนจะเคยบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบที่แท้จริงได้ เว้นแต่พระเจ้าจะทรงช่วยเขาผู้นั้นทุกขณะในชีวิตของเขา สิ่งนี้สำเร็จในกรณีของพระเยซูด้วยเพราะพระองค์ทรงดำเนินชีวิตทุกๆขณะของพระองค์บนโลกนี้ด้วยการเชื่อฟังพระบิดาพระยาห์เวห์ของพระองค์อย่างสมบูรณ์

ประการที่สี่ เนื่องจากความสมบูรณ์แบบของพระองค์ พระเยซูจึงทรงได้รับการยกย่องสูงสุดในจักรวาลรองจากพระเจ้าเอง พระเยซูประทับอยู่ที่ “เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ทำให้พระองค์ทรงเป็นอันดับสองรองจากพระยาห์เวห์ในการสร้างทั้งหมด พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์และมอบฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นให้กับพระองค์ ดังนั้นพระเยซูจึงทรงทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของพระเจ้าที่มองเห็นได้ ด้วยเหตุนี้ชื่อย่อยของหนังสือเล่มนี้จึงมีว่า “พระสิริของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์” (2 โครินธ์ 4:6) ใครที่เห็นพระพักตร์ของพระเยซูก็จะเห็นพระสิริของพระเจ้า

เขียนจากมุมมองของสนามรบ

การศึกษาในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลงานของผู้ที่มีชีวิตและทำงานอยู่ในโลกของวิชาการ แม้ว่าท่านจะคุ้นเคยกับแวดวงวิชาการ แต่นี่เป็นผลงานของผู้รับใช้และผู้นำของกลุ่มคริสตจักรที่ค่อนข้างใหญ่  พันธกิจของคริสตจักรสากลก็คือการปฏิบัติตามสิ่งที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ” (มัทธิว 24:14) การขยายอาณาจักรของพระเจ้าในโลกที่เหล่าเทพผู้ครองที่มีฤทธิ์เป็นปรปักษ์กับพระองค์นั้น ย่อมหมายถึงว่าภารกิจของเราจะไม่ชนะได้อย่างง่ายดาย แต่จะเป็นการต่อสู้อย่างเต็มกำลัง (2 ทิโมธี 4:7) เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่สำนวนจากภาษาของการแข่งขันกีฬาเหมือนที่จัดขึ้นในเมืองโครินธ์ แต่เป็นความทุกข์ยากอย่างแท้จริงและการเฉียดความตายที่เห็นได้จากสิ่งที่เปาโลประสบด้วยตัวเอง (2 โครินธ์ 11:23)

สิ่งที่หมายถึงก็คือ หนังสือเล่มนี้เขียนจากจุดที่ได้เปรียบจากสนามรบ แทนที่จะเขียนจากหอคอยทางวิชาการ ในทางกลับกันนั้นมันก็หมายความว่า เราไม่สามารถจะศึกษาเรื่องนี้ด้วยทัศนคติที่ได้แต่มองโดยไม่ข้องเกี่ยวเหมือนที่นักวิชาการบางคนอาจชอบทำเช่นนั้น แต่ด้วยจิตวิสัยที่เอาตัวเข้าไปร่วมในการต่อสู้กระทั่ง “จวบจนวันตาย” (วิวรณ์ 2:10; มัทธิว 24:13; มาระโก 13:13)[18] บางครั้งการเอาตัวเข้าไปร่วมอาจทำให้เกิดการแสดงออกแบบรุนแรง และกระทั่งอารมณ์อันดุเดือดที่มากกว่าถ้อยคำอันสุขุมและใจเย็นอย่างของผู้ที่มองดูเรื่องนี้อยู่ห่างๆ ลองพิจารณาดูความโกรธของพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่พ่อค้าและคนรับแลกเงินออกจากพระวิหาร (ยอห์น 2:15)[19]

ความจริงแล้ว มีน้อยคนที่จะมองแบบตนไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญต่างๆที่ได้พิจารณากันในการศึกษานี้ เพราะมีบางเรื่องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทางจิตใจมากพอๆกับเรื่องของความเชื่อที่พิจารณาอยู่นี้

ถึงกระนั้นเมื่อต้องตีความพระคัมภีร์ตอนต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมีใจเป็นกลางเพื่อจะทำให้เราศึกษาพระคัมภีร์ตอนเหล่านั้นด้วยความรอบคอบและความถูกต้อง และด้วยความรอบรู้ทางวิชาการที่เรามี โดยไม่ยอมให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเชื่อของเรามาบิดเบือนความเข้าใจของเรากับสิ่งที่พระคัมภีร์กำลังบอกเรา

การใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่

ในหนังสือเล่มนี้คำว่า “พระคัมภีร์”[20] ฉบับภาษาอังกฤษจะขึ้นต้นด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งในรูปของคำคุณศัพท์ว่า “เกี่ยวกับพระคัมภีร์”[21] ไม่ใช่เพราะเป็น “การบูชาพระคัมภีร์” แต่เพื่อจะเน้นว่าพระคัมภีร์ (เดิมและใหม่) เป็นพระคำของพระเจ้า (ไม่ใช่โดยการเขียนตามคำบอก แต่โดยการดลใจ, 2 ทิโมธี 3:16) เป็นอำนาจเด็ดขาดและสูงสุดสำหรับความเชื่อและหลักข้อเชื่อของเรา ความล้มเหลวในการทำตามหลักการฝ่ายวิญญาณอย่างถึงที่สุดนี้ ได้ส่งผลให้คริสตจักรตกในความผิดพลาดร้ายแรง

ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษ บางครั้งสรรพนามที่กล่าวถึงพระเจ้าจะขึ้นต้นด้วยอักษรตัว พิมพ์ใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพราะความยำเกรงเท่านั้น แต่เพื่อให้สรรพนามที่กล่าวถึงพระองค์แตกต่างจากสรรพนามที่กล่าวถึงผู้อื่นภายในประโยคเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ประโยคต่อไปนี้จะเข้าใจได้ยากถ้าคำสรรพนามที่กล่าวถึงพระเจ้าไม่ได้ใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่

Now in putting everything in subjection to him, he left nothing outside his control. At present, we do not yet see everything in subjection to him (Heb.2:8, ESV)

บัดนี้ การให้​​ทุก​สิ่งอยู่​ใต้​อำนาจ​ของ​เขา​นั้น เขาไม่​ได้ให้​สิ่ง​ใด​เลย​ที่​ไม่​อยู่​ใต้​อำนาจ​ของ​เขา แต่ในขณะ​นี้​เรา​ยัง​ไม่​เห็น​ว่า​ทุก​สิ่ง​อยู่​ใต้​อำ​นาจ​ของ​เขา (ฮีบรู 2:8  ​ฉบับ ESV)

ถ้าเราใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ที่คำ “he ซึ่งหมายถึงพระเจ้าโดยที่สรรพนามอื่นๆทั้งหมดหมายถึงพระคริสต์ ความหมายก็จะชัดเจน[22]

Now in putting everything in subjection to him, He (God) left nothing outside his control. At present, we do not yet see every­thing in subject­ion to him.

บัดนี้ การให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขานั้น พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ได้ให้​​สิ่งใดเลยที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ในขณะนี้เรายังไม่เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา

เปาโลกล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ถึงการให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์ว่า:

For God has put all things in subjection under his feet.” But when it says, all things are put in subjection,it is plain that he is ex­cepted who put all things in subjection under him. (1Cor.15:27, ESV)

เพราะว่า “พระเจ้าได้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์แล้ว” แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า “ได้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจนั้น” มันก็ชัดเจนว่ายกเว้นพระองค์ ผู้ทรงให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระองค์ (1 โครินธ์ 15:27 ฉบับ ESV)

ความหมายของประโยคย่อยที่เป็นอักษรตัวเอนจะชัดเจนถ้าเราใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่กับ “he[23] (หมายถึงพระเจ้า) ที่จริงแล้วเพื่อความชัดเจน ฉบับ NIV ทำมากกว่านั้นคือตีความประโยคโดยใส่คำว่า “พระเจ้า” และ “พระคริสต์” ในคำกล่าวของเปาโลดังนี้ “ไม่รวมถึงพระเจ้าเองผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์” [24]

กระบวนการ: เรื่องที่มีความสำคัญมากๆ

การศึกษาว่าความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้พัฒนาขึ้นมาอย่างไร จะเผยให้เห็นว่ามันเริ่มต้นด้วยการที่คนต่างชาตินมัสการพระเยซู เพราะคนต่างชาติในยุคแรกมีใจเอนเอียงที่จะนมัสการมนุษย์เป็นพระเจ้าของพวกเขานั้น เห็นได้จากการนมัสการบารนาบัสเป็นพระซุสและนมัสการเปาโลเป็นพระเฮอร์เมส (กิจการ 14:12)

เนื่องจากการนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้าของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ได้ยึดอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่หลักข้อเชื่อไนเซียและอีกสองสามหลักข้อเชื่อของ “คริสเตียน” ที่เกิดขึ้นตามมาในยุคแรกๆจึงไม่ได้อ้างอิงพระคัมภีร์สักข้อมาสนับสนุนข้อเชื่อของพวกเขา พูดย่อๆก็คือ หลักความเชื่อเหล่านี้เป็นข้อเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยสิทธิอำนาจของมนุษย์และไม่ใช่ด้วยสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้า ไม่มีความพยายามแม้แต่จะปิดบังความจริงข้อนี้เลย บรรดาผู้นำของคริสตจักรที่เรียกว่า “บาทหลวง” และ “บิชอป” ก็ได้ยกระดับตนเองขึ้นเป็นผู้มีอำนาจที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า ให้อำนาจสูงสุดในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักคำสอนที่ต้องทำตามและคำสาปแช่ง[25]ผู้มีมุมมองที่แตกต่างไปจากนี้

จนเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนาขึ้นโดยการยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว[26]เป็นรากฐานหลักคำสอนสำหรับคริสตจักร และปฏิเสธอำนาจของคริสตจักรคาทอลิกและได้มีการเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ในกระบวนการประเมินหลักคำสอนและการปฏิบัติ แต่ปัญหาของคริสตจักรโปรแตส แตนท์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปศาสนาก็คือว่า ในทางปฏิบัติแล้วได้รับเอาหลักความเชื่อของคริสตจักรคาทอลิกมาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความแตกต่างอย่างแท้จริงในศาสนศาสตร์ โดยเฉพาะศาสนศาสตร์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ระหว่างคริสตจักรคาทอลิกกับคริสตจักรโปรแตสแตนท์  

      ความภักดีอย่างแรงกล้าต่อข้อเชื่อของคริสตจักรในคริสตจักรคาทอลิกรวมทั้งคริสตจักรโปรแตสแตนท์นั้นจะปรากฏให้เห็น เมื่อใดก็ตามที่มีความพยายามอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะโดยบรรดานักวิชาการของคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์ที่จะประเมินหลักคำสอนบนพื้นฐานของความถูกต้องของหลักคำสอนกับพระคัมภีร์เท่านั้น ตามความเป็นจริงแล้ว หลักการที่พระคัมภีร์เท่านั้นมีสิทธิอำนาจได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของคริสตจักรเพื่อให้พระคัมภีร์สอดคล้องกับข้อเชื่อของคริสตจักร โดยเฉพาะกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ตามกระบวนการแล้วพวกเขาเริ่มต้นด้วยความเชื่อในตรีเอกานุภาพ และไม่ได้เริ่มต้นด้วยพระคัมภีร์ ในช่วงที่ศึกษาเรื่องนี้เราจะตรวจสอบความพยายามเหล่านี้

ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพสามารถอ่านพระคัมภีร์ที่นอกเหนือจากมุมมองเดียวที่พวกเขาเคยรู้จักได้อย่างไร?

      มันเคยเป็นไปได้หรือสำหรับพวกเราที่มาจากพื้นหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่ถูกกำหนดว่าถ้าไม่ยอมรับหลักความเชื่อของคริสตจักรก็จะรับบัพติศมาไม่ได้นั้น จะอ่านพระคัมภีร์โดยไม่ได้อ่านจากมุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งเป็นมุมมองเดียวเท่านั้นที่เรารู้จัก?  เราจะสามารถอ่านพระคัมภีร์อย่างที่เขียนไว้แรกเริ่มโดยไม่มีอะไรเจือปน[27]ได้อย่างไร ถ้าตั้งแต่แรกเราถูกกำหนดให้ต้องอ่านผ่านปริซึมหักเหของหลักความเชื่อของศตวรรษที่สี่และห้า? หลักความเชื่อเหล่านี้ถูกกำหนดไว้โดยไม่มีการอ้างถึงพระคัมภีร์อย่างชัดเจนแต่อย่างใด (ที่สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ถูกแทนที่โดยบรรดาผู้นำคริสตจักรที่เขียนหลักความเชื่อเหล่านี้ขึ้น) และกำหนดให้คริสตชนทุกคนเชื่อ “ความเป็นพระเจ้า”[28] ในสามองค์บุคคล คำว่า “ความเป็นพระเจ้า” เป็นคำแปลกที่เราไม่ค่อยเข้าใจนักและต่อมาก็พบว่าไม่มีใครเข้าใจเช่นกัน แต่ตั้งแต่เริ่มแรกเราก็ถูกสอนว่าพระเจ้าบุตร พระองค์ที่สองในพระเจ้ารวมคือพระเยซูคริสต์ได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์

คริสเตียนส่วนใหญ่เริ่มต้นชีวิตคริสเตียนของพวกเขาภายใต้การเลี้ยงดูของคริสตจักรที่พวกเขาเข้าร่วม ซึ่งตอนนี้พวกเขาทำกิจกรรมต่างๆและร่วมการนมัสการในหลายรูปแบบ คริสเตียนบางคนโดยเฉพาะชาวคาทอลิกที่ไม่มีพระคัมภีร์เป็นของตนเองก็ยิ่งไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เลย แม้ในหลายปีหลังจากที่พวกเขากลับใจเชื่อ ซึ่งก็หมายความว่าคริสตจักรได้กลายเป็นผู้มีอำนาจในฝ่ายวิญญาณแต่เพียงผู้เดียวของพวกเขา

แต่ถึงแม้ในหมู่ชาวอีแวนเจลิคอล[29] ที่อ้างการยึดถือพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าและเป็นอำนาจสูงสุดในทุกเรื่องของความเชื่อและหลักคำสอน ในความเป็นจริงแล้วเขายึดถือพระคัมภีร์แบบผู้ที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ และไม่รู้วิธีการอ่านพระคัมภีร์อย่างอื่นนอกจากวิธีการอ่านแบบของความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูเมื่อมาเป็นคริสตชน

นั่นคือวิธีที่ผมอ่านพระคัมภีร์ตลอดชีวิตคริสเตียนส่วนใหญ่ของผม เริ่มจากอายุ 19 และมาถึง 70 ปี ไม่ว่าผมจะประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน นำการศึกษาพระคัมภีร์ หรือสร้างผู้นำที่จะอภิบาลคริสตจักร ผมจะรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำให้ผู้ฟังของผมรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แล้วเช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะอ่านพระคัมภีร์และยอมให้พระคัมภีร์พูดเอง ในเมื่อเราใส่ความเชื่อที่ฝังหัวจนเคยชินแล้ว?

กรอบความคิดของผมที่ฝังอยู่ในความเชื่อในตรีเอกานุภาพยังมีอิทธิพลกับวิธีที่ผมอ่านพระคัมภีร์เดิม สิ่งนี้ซับซ้อนโดยข้อเท็จจริงที่ว่า พระคัมภีร์เดิมไม่มีร่องรอยหรือหลักฐานของบุคคลที่เรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร” ผู้ที่เป็นศูนย์กลางของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ปัญหานี้ถูกปัดเป่าอย่างน้อยก็ทางจิตวิทยาโดยคิดเอาเองว่ากรณีส่วนใหญ่ของคำว่า “the Lord” ในพระคัมภีร์เดิม (เป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ว่า “LORD”)[30] นั้นหมายถึงพระเยซูผู้ทรงดำรงอยู่ก่อน แต่ถ้า “LORD” หมายถึงพระเยซู แล้วจะเอาพระบิดาไว้ตรงไหนในพระคัมภีร์เดิม?

ความหมายของคำตามพระคัมภีร์

กับความหมายของคำตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

เพราะเหตุที่หลักคำสอนของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้เปลี่ยนแปลงความหมายของคำสำคัญในพระคัมภีร์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะชี้แจงความหมายของคำเหล่านี้บางส่วนตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เช่น นั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ตอนนี้เราจะดูคำว่า พระเจ้า องค์ผู้เป็นเจ้า พระบิดา พระเยซู และพระบุตรของพระเจ้า เราจะพิจารณาคำเหล่านี้เพียงคร่าวๆ แค่พอที่จะเน้นจุดของการเบี่ยงเบนระหว่างความหมายของคำเหล่านี้ตามพระคัมภีร์กับความหมายตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

พระเจ้า

      ตั้งแต่ต้น เราจะต้องพิจารณาบุคคลที่เป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์ซึ่งก็คือพระเจ้า คำว่า “พระเจ้า” ของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพหมายถึงพระเจ้าในตรีเอกภาพ คือพระเจ้าที่ประกอบด้วยสามองค์บุคคลที่มี “แก่นแท้” เดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของการมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า (ซึ่งมาจากความคิดและความเชื่อในพระเจ้าหลายๆองค์ของกรีก) หรือว่าพระเจ้าในสามพระภาคที่สามพระองค์ทรงมีแก่นแท้เดียวกันนั้นไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ พระเจ้าเดียวและเพียงองค์เดียวของพระคัมภีร์มีชื่อว่า “ยาห์เวห์” ซึ่งเป็นชื่อที่มีปรากฏเกือบ 7,000 ครั้งในพระคัมภีร์ ในทางตรงกันข้ามที่เด่นชัดก็คือ พระเจ้าของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะไม่มีชื่อเลย! แม้ว่าผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนจะเทียบให้พระยาห์เวห์เท่ากับพระเจ้าพระบิดา แต่ความจริงก็ยังคงเป็นว่า “พระเจ้าพระบิดา” เป็นเพียงหนึ่งในสามพระองค์ใน “ความเป็นพระเจ้า”

      บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพยอมรับกันอย่างกว้างขวาง (ดูพจนานุกรมพระคัมภีร์หรือศาสนศาสตร์ระบบเล่มใดก็ได้) ว่าคำ “ตรีเอกานุภาพ” ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์ อย่างไรก็ดีคำว่า “ตรีเอกานุภาพ” ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำอธิบายถึงพระเจ้าในสามพระภาคที่ไม่ได้มีอยู่ (ไม่ได้มีอยู่ คือในแง่ที่ไม่มีในพระคัมภีร์) ลักษณะที่เป็นสามพระภาคของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนี้เป็นเหตุให้คริสเตียนบางคนอธิษฐานกับพระบิดา บางคนอธิษฐานกับพระเยซู และคนอื่นๆโดยเฉพาะที่มาจากแวดวงคาริสเมติกจะอธิษฐานกับพระวิญญาณ

      แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นบุคคลเดียว ไม่ใช่สามบุคคล และพระองค์ก็มีชื่อที่แน่นอน แต่ในเชิงปฏิบัติแล้วพระนามนั้นได้สูญหายไปจากชาวคริสเตียน คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์เป็นใคร แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินถึง “พระเยโฮวาห์” ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ถูกต้องของพระนามที่พวกเขาเชื่อมโยงกับกลุ่มที่เรียกว่า “พยานพระยะโฮวา” ทำให้พวกเขามีความรู้สึกในแง่ลบกับชื่อ “พระเยโฮวาห์” และต่อมาถึง “พระยาห์เวห์” ชื่อพระยาห์เวห์ได้ถูกกำจัดทิ้งไป (ยกเว้นในทางวิชาการ) แม้ว่าชื่อนี้จะมีปรากฏในเกือบทุกหน้าของพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู (ที่คริสเตียนเรียกว่า “พระคัมภีร์เดิม”) อันที่จริงโดยเฉลี่ยแล้วหกหรือเจ็ดครั้งต่อหน้า

      พระคัมภีร์ใหม่ก็เหมือนกับพระคัมภีร์เดิมที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างเคร่งครัด ความจริงนี้บรรดานักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ทุกคนต่างทราบกันดี แต่เพราะความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างแท้จริงนั้นไม่ลงรอยกับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจึงพยายามที่จะหลบเลี่ยงเรื่องนี้โดยการเปลี่ยนความหมายของคำ “พระเจ้า” เพื่อให้พระเจ้าเป็น “แก่นสารเดียว” หรือ “แก่นแท้เดียว” มากกว่าเป็น “บุคคลเดียว” แม้ว่าจะไม่มีคำว่า “แก่นสารเดียว” (หรือแนวคิดนี้) ในพระคัมภีร์

การขจัดพระนามของพระยาห์เวห์

      การค่อยๆหายไปของ “ยาห์เวห์” พระนามเฉพาะของพระเจ้า ได้เริ่มต้นในหมู่ชาวยิวหลังจากถูกเนรเทศ (พวกที่มีชีวิตอยู่หลังกลับจากการเนรเทศในบาบิโลน) ที่รู้สึกว่าเป็นความยำเกรงที่จะอ้างถึงพระยาห์เวห์ว่า “พระยาห์เวห์” แต่เป็น “อาโดนาย” (คำฮีบรูสำหรับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” หรือ “องค์ผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์”)[31] ที่สำคัญมากที่สุดคือวิธีปฏิบัติที่ไม่ยอมออกเสียงพระนาม “ยาห์เวห์” นั้นไม่นานก็สะท้อนให้เห็นในการแปลจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูมาเป็นภาษากรีกที่รู้จักกันในชื่อ “เซปทัวจินต์”[32] (มาจากคำลาตินแปลว่า “เจ็ดสิบ”) ที่มักจะเรียกสั้นๆว่า LXX ซึ่งเป็นเลข 70 ของอักษรโรมันเนื่องจากตามธรรมเนียมการแปลที่ทำโดยผู้แปล 70 หรือ 72 คน LXX ไม่ใช่ “การแปลโดยคณะกรรมการ” อย่างที่เราอาจเข้าใจคำนั้นในปัจจุบัน แต่เป็นการรวมงานแปลที่แตกต่างกันอย่างมากที่ทำในช่วงสองศตวรรษและเสร็จสิ้นศตวรรษกว่าๆก่อนพระคริสต์

      สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉบับ LXX แปลคำ “ยาห์เวห์” เป็น “คูริออส” (องค์ผู้เป็นเจ้า) คำกรีกที่เทียบเท่ากับ “อาโดนาย” (องค์ผู้เป็นเจ้า)[33] หรือพูดอีกอย่างก็คือ “ยาห์เวห์” ชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของพระเจ้าได้ถูกแทนที่ด้วยคำเรียกที่อธิบายลักษณะว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” (“คูริออส” เป็นคำที่ใช้กับมนุษย์ด้วย)

      แม้จะมีการแปลคำ “ยาห์เวห์” ผิดไป ชาวยิวที่พูดภาษากรีกก็มีข้อได้เปรียบที่รู้ว่า “คูริออส” ในหลายๆบริบทนั้นหมายถึงพระยาห์เวห์ นั่นต้องยกความดีให้มรดกทางศาสนายิวของพวกเขา แต่เราไม่สามารถจะพูดแบบเดียวกันกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว (คนต่างชาติ) เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า “คูริออส” (องค์ผู้เป็นเจ้า) มักจะใช้แทนคำว่า “พระยาห์เวห์”[34]

      เนื่องจากคนต่างชาติไม่รู้ความจริงข้อนี้ ดังนั้นภายในสามศตวรรษหลังจากยุคสมัยของพระเยซู คำเรียก “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ที่ใช้กับพระเจ้าก็ถูกผสมรวมกับคำเรียก “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ที่ใช้กับพระเยซูผู้ซึ่งเวลานั้นได้ถูกประกาศว่าเป็น “พระเจ้าพระบุตร” ชื่อเรียกของความเชื่อในตรีเอกานุภาพซึ่งไม่พบที่ใดในพระคัมภีร์ ตั้งแต่กลางศตวรรษที่สองเป็นต้นมา คริสตจักรต่างชาติได้กลายเป็นพวกที่ไม่ใช่ชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ พระนาม “ยาห์เวห์” จึงได้หายไปจากคริสตจักร

      ที่สำคัญเมื่อขจัดพระนามพระยาห์เวห์ คริสตจักรก็เข้าสู่ภาวะเสื่อมลงในฝ่ายวิญญาณที่ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ในศตวรรษที่สี่ คอนสแตนตินจักรพรรดิโรมันก็ได้ตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นประมุขตัวจริงของคริสตจักรคริสเตียน โดยมีจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อทำให้จักรวรรดิของท่านมีเสถียรภาพ สิ่งนี้ช่วยเร่งให้คริสตจักรเสื่อมถอยลงในฝ่ายวิญญาณ และหลังจากนั้นไม่นาน พระสันตะปาปาแห่ง ศาสนจักรก็ทำหน้าที่เหมือนกับจักรพรรดิของโรมัน คริสตจักรได้ถูกโลกดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง

      การขจัดพระนามพระยาห์เวห์ออกไป ได้เริ่มขึ้นหลังการถูกเนรเทศด้วยการปฏิเสธที่จะออกเสียงพระนามนั้นเพราะกลัวว่าจะใช้ไปในทางที่ผิดแบบไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะจะเป็นการละเมิดพระบัญญัติข้อที่สาม (“ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด”)[35] ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครแน่ใจได้จริงๆว่าเดิมทีพระนาม (YHWH) นั้นออกเสียงอย่างไร แม้ว่าสารานุกรมยูเดคา[36] 22 เล่มที่เชื่อถือได้จะกล่าวว่าการออกเสียงเดิมคือ “ยาห์เวห์” และมันก็ไม่เคยหายไป

      ในที่สุดแล้วมันสำคัญกับสมัยปัจจุบันนี้ไหมว่า พระนามของพระองค์ออกเสียงอย่างไรกันแน่? พระเจ้าไม่ได้มองเข้าไปในใจของเรา เพื่อดูว่าเราร้องทูลพระองค์และร้องออกพระนามของพระองค์อย่างจริงใจหรอกหรือ? แม้ว่าเราจะรู้ว่าพยัญชนะสี่ตัว (YHWH)[37] แต่เดิมออกเสียงอย่างไร แต่เรารู้แน่ชัดไหมว่าจะเน้นเสียงที่พยางค์แรกหรือพยางค์ที่สอง? (การเน้นจะอยู่ที่พยางค์ตัวแรกเพราะ “Yah” เป็นรูปสั้นของ “Yahweh” เพราะฉะนั้นการเน้นเสียงจึงน่าจะเป็น “YAHweh” มากกว่า “YahWEH”)

      การขจัดพระนามพระยาห์เวห์ไปเกือบหมด ได้เปิดโอกาสให้ความเชื่อในตรีเอกานุภาพสร้างความเชื่อที่ผิดของตน ความเชื่อที่ผิดเหล่านี้จะอ่อนกำลังและตายไปถ้าเรากลับมาใช้พระนามของพระองค์ดังเดิม และแท้จริงพระคัมภีร์ก็กล่าวว่า พระนามของพระยาห์เวห์จะต้องถูกประกาศออกไป ไม่ใช่ถูกระงับไว้

ฉลยธรรมบัญญัติ 32:3 เพราะข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์ โอ จงบอกกล่าวความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา! (ฉบับ NJB)[38]

สยาห์ 12:4 จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงประกาศพระนามของพระองค์! จงป่าวประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย จงประกาศว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูน” (ฉบับ HCSB)[39]

      ชาวยิวลังเลที่จะเปล่งพระนาม “พระยาห์เวห์” ก็เป็นการอธิบายว่าทำไม “พระยาห์เวห์” จึงไม่ ได้ถูกนำมาใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่เขียนขึ้นเริ่มแรกสำหรับชาวยิว เนื่องจากพวกเขาได้ระงับการเปล่งพระนามของพระเจ้า พวกเขาจะหลีกหนีผู้ประกาศข่าวประเสริฐคนใดที่เปล่งพระนามและนี่จะเป็นการปิดประตูของการประกาศข่าวประเสริฐ คริสตจักรทั้งหลายที่เปาโลเขียนถึงนั้นประกอบด้วยผู้เชื่อชาวยิวเป็นส่วนใหญ่แม้ว่าบางคริสตจักรจะมีชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ที่เป็นคนต่างชาติ และเนื่องจากเปาโลยึดหลักการประกาศข่าวประเสริฐ “กับชาวยิวก่อน” เขาจึงไม่เสี่ยงที่จะทำให้คนยิวหันจากข่าวประเสริฐด้วยการเปล่งพระนามของพระยาห์เวห์ อย่างไรก็ดี ความลังเลที่จะเปล่งพระนามของพระยาห์เวห์ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงในทางปฏิบัติเพราะชาวยิวรู้ว่าคำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า” ในหลายบริบทนั้นหมายถึงพระยาห์เวห์

องค์ผู้เป็นเจ้า

      เมื่อพระกิตติคุณและจดหมายฉบับต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นราวๆ 150 ปีหลังจากพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก (LXX) เสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นฉบับ LXX ได้กลายเป็นที่ยึดถือและแพร่หลายอย่างกว้างขวางในโลกของคนที่พูดภาษากรีก ภาษากรีกกลายเป็นภาษากลางหรือภาษา สากลของโลกโรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า เหมือนที่ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาของการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่บรรดาผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่มักจะไม่ได้อ้างอิงข้อความพระคัมภีร์เดิมจากพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรูแต่จะอ้างอิงจากฉบับ LXX ซึ่งเป็นฉบับภาษากรีกที่แปลมาจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พระคัมภีร์ใหม่ซึ่งมาถึงเราเป็นภาษากรีก จะอ้างอิงพระคัมภีร์จากฉบับภาษากรีก LXX

      คำว่า kyrios (Lord) ในข้อต่างๆของฉบับ LXX ซึ่งอ้างถึงในพระคัมภีร์ใหม่ จะหมายถึงพระยาห์เวห์ในกรณีส่วนใหญ่ การที่ “Yahweh” (ยาห์เวห์) ถูกเรียกว่า “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า) ในฉบับ LXX (และในข้อความพระคัมภีร์ใหม่ที่อ้างอิงฉบับ LXX) นั้นไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้เชื่อชาวยิวในยุคแรกๆสับสน เพราะเขารู้ว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” เป็นการอ้างอิงถึง “พระยาห์เวห์” ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ด้วยว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” เป็นคำกว้างๆที่อาจหมายถึงบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์ เมื่อเปโตร บอกกับฝูงชนในเยรูซาเล็มว่าพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูให้เป็น “ทั้งองค์ผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์” (กิจการ 2:36)[40] นั่นคือ พระเยซูทรงได้รับการเชิดชูว่าเป็น “พระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้า” เมื่อพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งบรรดาผู้เชื่อชาวยิวไม่ได้สับสนระหว่าง “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซู กับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ใช้กับพระยาห์เวห์พระเจ้า

      แต่สถานการณ์กลับแย่ลงเมื่อหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ตกอยู่ในมือของคนต่างชาติ เพราะพวกเขาไม่สามารถจะแยกความแตกต่างระหว่าง “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ใช้กับพระยาห์เวห์กับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซู การใช้ปนกันและความสับสนนี้เข้ากับความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้อย่างที่สุด และทำให้เกิดจุดเริ่มต้นของความเชื่อในตรีเอกานุภาพในช่วงศตวรรษแรกๆของคริสตจักรของคนต่างชาติ

      คำว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” ในพระคัมภีร์ใหม่อาจหมายถึงพระยาห์เวห์ พระเยซู หรือทั้งพระยาห์เวห์หรือพระเยซู หรือบุคคลที่มีตำแหน่งสูง ความหมายที่แปรเปลี่ยนนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากความไม่ใส่ใจหรือความตั้งใจสับสนเกี่ยวกับบุคคลแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่าในงานของความรอดนั้น พระเยซูทรงทำหน้าที่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างสมบูรณ์กับพระยาห์เวห์พระบิดาของพระองค์ ผู้ทรงทำให้ความรอดของมวลมนุษย์เป็นผลสำเร็จในและทางพระเยซูคริสต์ ในงานของความรอดนี้ พระเจ้ากับพระเยซูไม่สามารถแยกจากกันได้ นั่นคือเหตุที่ในหลายๆกรณี เราจึงไม่จำเป็นต้องมองหาความแตกต่างที่ชัดเจนในการใช้คำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ยกตัวอย่างเช่น “องค์ผู้เป็นเจ้า” อาจจะหมายถึงพระเจ้าหรือหมายถึงพระเยซูในข้อต่างๆ เช่น 1 โครินธ์ 16:7 (“ถ้าองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบ”) 1 โครินธ์ 16:10 (“ทำงานขององค์ผู้เป็นเจ้า”) และฟีลิปปี 4:4 (“จงชื่นชมยินดีในองค์ผู้เป็นเจ้า”)

      ในทางกลับกันก็มีหลายตัวอย่างของ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่แยกความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพระเจ้ากับพระเยซู ตัวอย่างเช่น 1 โครินธ์ 6:14 “และพระเจ้าทรงชุบให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาใหม่” ที่ “องค์ผู้เป็นเจ้า” สามารถหมายถึงพระเยซูเท่านั้น ความแตกต่างระหว่าง “พระเจ้า” กับ “พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า”[41] นั้นมักจะถูกกำหนดโดยการอ้างอิงที่ชัดเจนว่าเป็นคนละคนกัน (เช่น “จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า” (โรม 1:7, 1 โครินธ์ 1:3, 2 โครินธ์ 1:2, กาลาเทีย 1:3, เอเฟซัส 1:2, ฟีลิปปี 1:2, 2 เธสะโลนิกา 1:2, ฟีเลโมน 1:3 )

      บางครั้งก็ไม่ได้ชัดเจนในทันทีว่าใครเป็น “องค์ผู้เป็นเจ้า” ที่กำลังกล่าวถึง แต่การตรวจสอบตัวบทจะทำให้หมดความสงสัยได้ เช่นเดียวกับกรณีของ “องค์ผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” ในข้อความต่อไปนี้

7 แต่เราบอกถึงพระปัญญาของพระเจ้าที่ล้ำลึกและซ่อนไว้ ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ก่อนเริ่มยุค เพื่อศักดิ์ศรีของเรา 8ไม่มีผู้ปกครองใดๆของยุคนี้เข้าใจเรื่องพระปัญญานี้ เพราะหากเข้าใจ พวกเขาก็คงไม่เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไปตรึงกางเขน (1 ครินธ์ 2:7-8 ฉบับ ESV)

      

      “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” หมายถึงใคร? เนื่องจากไม่มีการกล่าวถึงพระเยซูในข้อก่อนหน้านี้ (ข้อ 7) หรือข้อที่ตามมา (ข้อ 9) และเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระเจ้าในทั้งสองข้อ เราจะถือว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” เป็นการอ้างอิงถึงพระเจ้าอย่างที่หลายๆคนได้ทำหรือไม่? แต่การพิเคราะห์อย่างละเอียดแสดงให้เห็นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” หมายถึงพระเยซู ไม่ได้หมายถึงพระเจ้า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ

  1. ในข้อ 2 เปาโลพูดถึง “พระเยซูคริสต์” ว่าเป็นผู้ที่ “ถูกตรึง” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในข้อ 8 ด้วย ดังนั้นตัวบริบทอย่างเดียวจึงยืนยันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” ในข้อ 8หมายถึงพระเยซู
  2. ยากอบ 2:1 พูดถึง “พระเยซูคริสตเจ้า  องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ[42]
    1. เนื่องจากพระเจ้าทรงอมตะ (โรม1:23, 1 ทิโมธี1:17)[43]และไม่สามารถจะตายได้ ดังนั้น “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” จึงสามารถหมายถึงได้แต่เพียงพระเยซูเท่านั้น ผู้ที่ต้องตายและได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อมวลมนุษย์

      ข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อนี้น่าจะเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” ใน 1 ครินธ์ 2:8 หมายถึงพระเยซู แต่เราหยิบยกมาทั้งสามข้อเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะหาดูว่า “องค์​​ผู้เป็นเจ้า” หมายถึงใคร ถ้าเรายินดีที่จะไปตามขั้นตอนของการตีความที่ถูกต้อง

      คริสตจักรในปัจจุบันนี้จะใช้คำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” อย่างไม่เลือกเจาะจงกับพระเจ้าและกับพระเยซูแบบรวมกันทั้งสอง นี่ตอบรับกับวัตถุประสงค์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เพราะบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ต้องการให้แยกความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพระเยซู สำหรับคริสตจักรที่เชื่อในตรีเอกานุภาพแล้ว การอ้างถึงพระเยซูว่าเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าก็เท่ากับบอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น การเรียกพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” คือการยอมรับพระองค์เป็นเจ้านายของชีวิตเรา มันไม่ได้เป็นการยืนยันการเป็นพระเจ้าของพระองค์

      ในพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะในจดหมายของเปาโล ที่มักจะตั้งใจแยกความแตกต่างระหว่าง “พระเจ้า” กับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” เสมอ เจมส์ ดี จี ดันน์[44] กล่าวถึงข้อเท็จจริงสำคัญที่ไม่น่าจะไปได้ดีกับบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพว่า

ในพระคัมภีร์หลายๆตอนเราจะเห็นเปาโลใช้รูปแบบว่าพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา ลักษณะที่โดดเด่นก็คือ เปาโลพูดถึงพระเจ้าไม่เพียงว่าเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ แต่เป็น พระเจ้า..ของพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา แม้ว่าเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า พระเยซูก็ทรงยอมรับพระเจ้าไม่ใช่แค่ว่าเป็นพระบิดาของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าของพระองค์ด้วย ตรงนี้เป็นที่ชัดเจนว่าคำเรียก “คูริออส” (“องค์ผู้เป็นเจ้า” หรือ “Lord”) ไม่ได้เป็นวิธีที่ระบุว่าพระเยซูทรงเป็นคนเดียวกับพระเจ้ามากเท่าไร แต่เป็นวิธีที่แยกพระเยซูให้แตกต่างจากพระเจ้า (คริสเตียนสมัยแรกนมัสการพระเยซูหรือไม่?[45] หน้า 110, การเน้นของดันน์)

      ปัจจุบันนี้ยังมีปัญหาที่คำ “ผู้เป็นเจ้า (Lord)” กลายเป็นคำโบราณที่ไม่ได้ใช้งานในชีวิต ประจำวันอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยคำเช่น “หัวหน้า” “เจ้านาย” “ซีอีโอ”[46] และอื่นๆ

      เนื่องจากคริสตจักรในปัจจุบันใช้คำ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ปนกัน ดังนั้นในหนังสือเล่มนี้จึงใช้คำเรียกนี้เท่าที่จำเป็นจนกว่าเราจะมาศึกษาการใช้ “องค์ผู้เป็นเจ้า” กับพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่

      ในหนังสือการมอบทั้งหมด![47] ผมได้อธิบายเฉลยธรรมบัญญัติ 6:5 อย่างละเอียด (“ท่านจงรักองค์ผู้เป็นเจ้า [ยาห์เวห์] พระเจ้าของท่านด้วยสุดใจและด้วยสุดจิต และด้วยสุดกำลังของท่าน”) จากมุมมองของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ที่ให้พระเยซูเป็นเป้าหมายของการมอบของเรามาแทนที่พระยาห์เวห์ ตอนนี้ผมตระหนักว่านั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบาปที่ร้ายแรง แต่ผมทำได้แต่เพียงทูลวิงวอนเหมือนกับเปาโลว่าผมทำไปเพราะความไม่รู้ และด้วยเหตุนี้จึงหวังใจว่าจะได้รับพระเมตตา (1 ทิโมธี 1:13) มีคนหลายพันคนทั่วโลกได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หรือได้รับการสอนเป็นหลักสูตรพระคัมภีร์ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้ยินถ้อยคำของหนังสือเล่มปัจจุบันนี้

พระบิดา

ชาวอิสราเอลถือว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกเขาดังที่ได้เห็นในข้อต่างๆ เช่น อิสยาห์ 63:16 (“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นพระบิดาของพวกข้าพระองค์”)[48] และอิสยาห์ 64:8 (แต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของเรา) ในพระคัมภีร์เดิมมีเก้าคนที่ชื่ออาบียาห์[49] ซึ่งหมายความว่า “พระบิดาของฉันคือยาห์ (เวห์)” (“ยาห์” เป็นคำย่อของ “ยาห์เวห์”)

      แต่สำหรับบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแล้ว พระบิดาเป็นเพียงพระองค์แรกในตรีเอกานุภาพ เช่นเดียวกับ “บิดา” ที่ไม่ใช่ชื่อเฉพาะแต่เป็นคำที่นิยามความสัมพันธ์ของคนนั้นกับบุตรชายของเขาเอง ดังนั้นในความเชื่อตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดาจึงไม่มีชื่อ แต่ได้ถูกนิยามให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพ ซึ่งก็คือพระเจ้าพระบุตรผู้ที่กลับมีชื่อ ชื่อของพระองค์ “เยซู” เป็นชื่อของคนธรรมดาที่พบได้ทั่วไปในอิสราเอลในสมัยของพระคัมภีร์ใหม่

พระเยซู

      บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพกล่าวว่าพระเยซู “ไม่ใช่แค่” เป็นมนุษย์แต่เป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ ราวกับว่าพระเยซูจะถูกลดเกียรติลงเมื่อเราบอกว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ในข้อเชื่อของความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้น ไม่มีใครอื่นแม้แต่พระเจ้าพระบิดา หรือพระเจ้าพระวิญญาณที่เป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์นอกจากพระเยซู นี่ทำให้พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ไม่มีใครเหมือน

      การยืนยันของความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และมนุษย์อย่างสมบูรณ์นั้น ในที่สุดแล้วจะหมายความว่าพระองค์ไม่ใช่ทั้งพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ใช่มนุษย์อย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเป็นพระเจ้า 100% และมนุษย์ 100% ในเวลาเดียวกัน เมื่อเราทำให้พระเยซูเป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ 100% เรากำลังสร้างบุคคลที่ไม่ได้มีอยู่จริงเพื่อให้เข้ากับหลักคำสอนของเรา ทำเช่นนี้โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงหรือหลักเหตุผลทั่วไป แล้วเสนอคำกล่าวที่ผิด เหลวไหล และไม่ตรงตามพระคัมภีร์อย่างชัดเจน ความเท็จอาจจะฟังดูน่าเชื่อถือพอที่จะหลอกลวงผู้คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นเป็นความจริง บรรดาพระเทียมเท็จได้รับการนมัสการในหลายศาสนา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พระเหล่านั้นเป็นจริง

      มีความหมายโดยนัยที่แยบยลในหลักคำสอนที่พระเจ้ามาเป็นมนุษย์ และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นอันตราย โดยที่เรากำลังทำให้พระเยซูเป็นมากกว่าพระเจ้าไหม? ในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเจ้าพระบิดาเป็น “แค่” พระเจ้า แต่ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าบวกมนุษย์ เราไม่สามารถจะลดค่าของมนุษย์ให้เป็นศูนย์โดยไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเพิ่มให้กับพระเจ้าได้ ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เป็นสุดยอดและเป็นยอดสุดของการทรงสร้างของพระเจ้า – การสร้างที่ทรงเห็นว่า “ดียิ่งนัก” ในสายพระเนตรของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:31)

      ถึงแม้ว่าเราจะยืนยันว่ามนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลย ความจริงก็ยังมีอยู่ว่าบุคคลที่เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์จะดึงความสนใจและดึงดูดใจมนุษย์ได้มากกว่าผู้ที่เป็น “แค่” พระเจ้าเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องง่ายที่ใจเราจะสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นมนุษย์มากกว่าที่จะสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ สิ่งนี้ช่วยอธิบายให้เห็นความดึงดูดใจอย่างมากในการสร้างพระเยซูเป็น “พระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์” ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพและอิทธิพลของความเข้าใจผิด

      องค์ประกอบที่เป็นมนุษย์นี่แหละ เป็นเหตุผลให้มารีย์มารดาของพระเยซูเป็นที่ดึงดูดใจอย่างมากกับผู้เชื่อคาทอลิกที่เคารพบูชาเธอ ในขณะที่พระเยซูของความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีพร้อมทั้งความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์ ส่วนมารีย์เป็นมนุษย์แท้ๆและด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นที่น่าดึงดูดใจของชาวคาทอลิกส่วนใหญ่มากกว่าพระเยซู ความเป็นที่ดึงดูดของเธอยิ่งเพิ่มขึ้นด้วยสถานะของเธอตามความเชื่อของนิกายโรมันคาทอลิกในฐานะที่เป็น “พระมารดาของพระเจ้า” ทำให้ในสายตาของผู้ศรัทธาต่อเธอที่ไม่มีใครเทียบได้ เชื่อมั่นว่าเธอสามารถจะโน้มน้าวพระเจ้าได้ นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะพบรูปปั้นของมารีย์ในคริสตจักรคาทอลิกส่วนใหญ่ และคริสตจักรหลายแห่งก็ทุ่มเทให้กับเธอ เช่น มหาวิหารในมอนทรีออลที่เรียกว่า “มารีย์ราชินีแห่งโลก” ความจริงที่มารีย์เป็น “แค่” มนุษย์และไม่ใช่พระเจ้า ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้ศรัทธาเธอและยังบูชาเธอด้วย

      แต่ถ้าเรายึดถือมุมมองของพระคัมภีร์ว่า พระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ เป็นมนุษย์ 100% นี่จะกระตุ้นให้ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพออกมาคัดค้านว่าเรากำลังลดระดับพระเยซูให้เป็น “แค่” มนุษย์   แต่มนุษย์ทุกคนบนพื้นโลกเป็น “แค่” มนุษย์ชายหรือหญิง แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกสร้างตาม “พระฉายาของพระเจ้า” แต่สำหรับพระเยซูที่ทรงเป็น “แค่” มนุษย์นั้น เป็นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้สูงสุดทรงพอพระทัยอย่างยิ่งที่จะเชิดชูพระองค์เหนือฟ้าสวรรค์[50] และให้พระเยซูประทับอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ทำให้พระเยซูทรงเป็นรองจากพระยาห์เวห์เท่านั้นในจักรวาลนี้ ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงทรงได้รับการ “สวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติ” (ฮีบรู 2:7)[51] แต่พระเยซูของความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะรับการสวมมงกุฎ นั่นคือรับศักดิ์ศรีและเกียรตินี้ได้อย่างไร ในเมื่อทรงเป็นพระเจ้าที่พระองค์ทรงมีศักดิ์ศรีนี้ตั้งแต่นิรันดร์กาลอยู่ตลอดเวลา?

พระบุตรของพระเจ้า

      สำหรับคริสเตียนส่วนใหญ่แล้วคำเรียก “พระบุตรของพระเจ้า” มีความหมายอย่างไรหรือ? ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ดี เราเน้นคำ “พระเจ้า” เราจึงอ่านคำว่า “พระบุตรของพระเจ้า” เป็น “พระเจ้าพระบุตร” ตาของเรามองเห็น “พระบุตรของพระเจ้า” แต่ใจที่เชื่อในตรีเอกานุภาพของเราถูกฝึกให้มองว่าเป็น “พระเจ้าพระบุตร” ความจริงที่ว่าใจอันชาญฉลาดและมีการศึกษาของเราสามารถจะกลับเอาคำหลังมาไว้เป็นคำหน้าได้ง่ายๆนั้น แสดงให้เห็นถึงแรงอิทธิพลของข้อผิดพลาดที่น่ากลัว

      ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพรู้สึกถูกบังคับให้กลับคำว่า “พระบุตรของพระเจ้า” มาเป็น “พระเจ้าพระบุตร” ที่ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพวกเขาอาจไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถแก้ต่าง “พระบุตรของพระเจ้า” ว่าเป็นคำเรียกพระเจ้าได้ เพราะถ้า “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นคำเรียกพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ใครจะต้องกลับคำให้เป็น “พระเจ้าพระบุตร” ตั้งแต่แรก

      อันที่จริง ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนปฏิเสธคำอ้างที่ว่า “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นคำเรียกพระเจ้าโดยปกติวิสัย แม้เมื่อจะหมายถึงพระคริสต์ก็ตาม ตัวอย่างเช่น เจมส์ สตอล์กเกอร์ ผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพ หลังจากตรวจสอบความหมายต่างๆของ “พระบุตรของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์แล้ว เขากล่าวต่อไปว่า “เมื่อคำเรียกมีขอบเขตการนำไปใช้เช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ไม่สามารถสรุปได้จากข้อเท็จจริงเพียงว่ามันถูกนำไปใช้กับพระองค์” (สารานุกรมพระคัมภีร์ฉบับ ISBE, ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, พระบุตรของพระเจ้า, The)

      แต่แม้ว่าเราจะอธิบายข้อผิดพลาดนี้เกี่ยวกับ “พระบุตรของพระเจ้า” คริสเตียนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ว่า “พระบุตรของพระเจ้า” หมายถึงอะไรในพระคัมภีร์ คำเรียก “พระบุตรของพระเจ้า” ที่ใช้กับพระเยซูก็เพียงแค่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม (“พระเมสสิยาห์” เป็นคำภาษาฮีบรู และ “พระคริสต์” เป็นคำภาษากรีกสำหรับ “ผู้ถูกเจิม”) ความจริงพื้นฐานนี้เป็นที่ยอมรับโดยหลายแหล่งอ้างอิงของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เช่น ปทานุกรมคำศัพท์ ศาสนศาสตร์จากพระคัมภีร์ของเวสมินส์เตอร์[52] ซึ่งกล่าวว่า “พระบุตรของพระเจ้าเป็นคำที่มีความ หมายเหมือนกันกับพระเมสสิยาห์” และให้ตัวอย่างที่เหมือนกันนี้อีกเช่น การยอมรับของเปโตรว่า พระคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (มัทธิว 16:16)[53] และการยอมรับของนายร้อยที่คล้ายกันในมาระโก 15:39)[54] ซึ่ง “ควรเข้าใจว่าเป็นการยอมรับการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระเยซู” (หน้า 478)

      เราจะพบคำเรียก “พระบุตรของพระเจ้า” และ “พระคริสต์” (พระเมสสิยาห์) ที่อยู่ติดกันจากตัวอย่างในมัทธิว 26:63 ที่มหาปุโรหิตกล่าวกับพระเยซูว่า “เราให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่

      พระเยซูทรงนิ่งอยู่ต่อหน้าพวกหัวหน้าผู้พิพากษาที่ต้องการให้พระองค์ตรัสยอมรับผิด ด้วยเหตุนี้มหาปุโรหิตจึงเรียกพระนามของ “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” บังคับให้พระเยซูปฏิญาณว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่ มันคงเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะถ้าจะสรุปว่ามหาปุโรหิตกำลังพยายามบังคับให้พระเยซูยอมรับจริงๆว่าพระองค์เป็น “พระเจ้าพระบุตร” ไม่เพียงเพราะว่าคำที่มหาปุโรหิตใช้นั้นไม่ใช่ “พระเจ้าพระบุตร” แต่เป็น “พระบุตรของพระเจ้า” แต่ยังเป็นเพราะชาวยิวโดยรวมก็ไม่เคยเชื่อว่าพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) เป็นพระเจ้า อันที่จริงชาวยิวคิดว่ามนุษย์เต็มตัวอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมาอาจเป็นพระคริสต์ (ลูกา 3:15)[55] แต่วิธีการตามแบบฉบับของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพแล้ว จะตีความเกินจากถ้อยคำของมหาปุโรหิตในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะถามเลย นั่นคือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระบุตร พระองค์ที่สองในตรีเอกานุภาพหรือไม่

      คำ “พระคริสต์และพระบุตรของพระเจ้า” ที่อยู่ติดกันยังพบในยอห์น 20:31 ด้วย

...แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตร

ของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์

      ยอห์นกำลังขอให้ผู้อ่านของเขาเชื่อว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า คำเรียกทั้งสองคำนี้เหมือนกัน คำเรียก “พระบุตรของพระเจ้า” เทียบเท่ากับ “พระเมสสิยาห์” (mashiah, מָשִׁיחַ) กษัตริย์และพระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอลและของโลกที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ การที่สวมแว่นตาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพทำให้เราอ่านยอห์น เหมือนเขาอยากให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็น “พระเจ้าพระบุตร” แต่กลับตรงกันข้ามกันที่ยอห์นไม่ได้ขอให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ให้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ การอ้างอิงจากพระคัมภีร์เดิมเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ชาวยิวโดยรวมไม่เคยตั้งตาคอยพระเมสสิยาห์ที่เป็นพระเจ้า[56] เอ็น ที ไร้ท์ก็กล่าวในแบบเดียวกัน[57]

      สองคำเรียกที่เทียบเท่ากัน คือพระคริสต์และพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งปรากฏพร้อมกันหลายครั้งในพระกิตติคุณ นอกจากข้อที่เราได้อ้างถึงแล้ว ก็มีข้อต่อไปนี้ (ทั้งหมดจากฉบับ ESV)

มัทธิว 16:16 ซีโมนเปโตรทูล​​ว่า พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

มาระโก 1:1 จุดเริ่มต้นข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์​​​ พระบุตรของพระเจ้า

ลูกา 4:41 แล้วผี​ก็​ออก​จาก​ตัว​ของ​หลาย​คน​และ​ร้อง​ว่า “ท่าน​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า!” แต่​พระ​องค์​ทรง​กล่าวห้าม​ไม่ให้พวก​มัน​พูด เพราะพวก​มัน​รู้​ว่า​พระ​องค์​เป็น​พระ​คริสต์

อห์ 11:27 “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้า​พระ​องค์​เชื่อ​ว่า​พระ​องค์​เป็น​พระ​คริสต์ ​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า​ที่​เสด็จ​มา​ใน​โลก”

      ในพระคัมภีร์ใหม่ “พระคริสต์” (พระเมสสิยาห์) และ “พระบุตรของพระเจ้า” มักจะปรากฏพร้อมกัน เป็นคำเรียกที่มีความหมายเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะสองคำเรียกนี้กล่าวถึงคนเดียวและบุคคลเดียวกันในสดุดีบทที่ 2 ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของพระคัมภีร์เดิมในความเหมือนกัน ตอนนี้เราจะอ้างอิงสดุดี 2 เต็มบทเนื่องจากมีความสำคัญ จงสังเกตการอ้างอิงอย่างต่อเนื่องถึงพระเมสสิยาห์ (กษัตริย์ที่รับการเจิม) หรือการอ้างอิงถึงพระบุตรของพระเจ้า

1 เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ? ทำไมชาวประเทศทั้งหลายคิดลมๆแล้งๆ? 2 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองปรึกษากัน ต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์ กล่าวว่า 3 “ให้เราหักโซ่ตรวนและสลัดเครื่องจำจองของเขาให้พ้นจากเราเถิด” 4 พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล องค์เจ้านายทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น 5 แล้วตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยความกริ้ว และด้วยความเดือดดาลก็ทรงทำให้เขาหวาดกลัว ตรัสว่า 6 “เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” 7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงกฎเกณฑ์ของพระยาห์เวห์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดจนแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ” 10 เพราะฉะนั้น กษัตริย์ทั้งหลายเอ๋ย จงฉลาดเถิด บรรดาผู้ปกครองแห่งแผ่นดินโลกเอ๋ย จงรับคำเตือนเถิด 11 จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยำเกรงและจงเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น 12 จงจุมพิตพระบุตร หาไม่พระองค์จะกริ้ว และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เพราะความกริ้วของพระองค์จุดให้ลุกได้รวดเร็ว ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข (สดุดี 2:1-12[58] ฉบับมาตรฐาน 2011, โดยใช้ “พระยาห์เวห์” ตามต้นฉบับเดิมภาษาฮีบรู)

      ข้อ 7 พูดถึงพระบุตรของพระยาห์เวห์ (“เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว”) นี่เป็นข้อสำคัญที่กำหนดการเรียกพระเมสสิยาห์ว่า “พระบุตรของพระเจ้า” และเนื่องจาก “พระเมสสิยาห์” เป็นผู้ที่ถูกเจิม ดังนั้น “ผู้รับการเจิมของพระองค์” ในข้อ 2 และ “กษัตริย์ของเรา” ในข้อ 6 จึงหมายถึงพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงตั้ง “บนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” ที่พระเมสสิยาห์จะปกครองซึ่งไม่เฉพาะเหนืออิสราเอลเท่านั้น แต่เหนือ “บรรดาประชาชาติ” จนตลอด “แผ่นดินโลก” (ข้อ 8) พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในพระนามของพระยาห์เวห์ ในฐานะตัวแทนของพระยาห์เวห์ และโดยทางพระองค์นั้นประชากรจะ “ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยำเกรง” (ข้อ 11) ข้อสุดท้าย (ข้อ 12) ยังมีการอ้างอิงถึงพระบุตรว่า “จงจุมพิตพระบุตร หาไม่พระองค์จะกริ้ว... ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข” การจุมพิตกษัตริย์เป็นการแสดงออกถึงความยำเกรงและยอมจำนนต่อพระองค์

      พระคัมภีร์ใหม่กล่าวเช่นเดียวกันว่าพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) เสด็จมาในพระนามของพระเจ้า “เรามาในพระนามพระบิดาของเรา” (ยอห์น 5:43) และ “สิ่งที่เราทำในพระนามพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:25)

       พระบุตรของพระเจ้า ผู้เป็นทายาทคนสุดท้ายจากราชบัลลังก์ของดาวิด จะไม่เพียงเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลเท่านั้น แต่จะปกครองเหนือทุกชาติในโลกด้วย ในตำแหน่งที่สูงส่งนี้ซึ่งสูงที่สุดในแผ่นดินโลก ที่พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ได้รับการแต่งตั้งจากพระยาห์เวห์ พระเมสสิยาห์จะทรงปกครองบรรดาประชาชาติบนแผ่นดินโลก ในโลกที่พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่รู้จักในทุกถิ่นอาศัย พระคริสต์จะเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ในการจัดการทุกเรื่องกับประชาชาติ การนำสันติสุขมาสู่แผ่นดินโลก และสร้างความโปรดปรานท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ดังที่เหล่าทูตสวรรค์ประกาศไว้นานมาแล้วเมื่อพระองค์ประสูติ

      เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่ชาวยิวได้เฝ้ารอด้วยความหวังอย่างใจจดจ่อในการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้ทรงพระสิริ ผู้ที่จะปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกกดขี่ที่พวกเขาต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้บรรดาประชาชาติของต่างชาติในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พระเมสสิยาห์ของพวกเขาจะเป็นเหมือนโมเสสที่จะสอนความจริงของพระยาห์เวห์ให้กับพวกเขา และนำพวกเขาในทางของพระยาห์เวห์พระเจ้า

      ความท้าทายสำหรับชาวยิวก็คือว่า พวกเขาไม่มีวิธีง่ายๆที่จะระบุได้ว่าเป็นพระเมสสิยาห์เมื่อพระองค์เสด็จมา เพราะพระคัมภีร์ของพวกเขาไม่ได้สอนพวกเขาให้คาดหวังการมาของมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า แต่คาดหวังในการมาของ “ผู้เผยพระวจนะอย่างเรา” นั่นก็คือ ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับโมเสสว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะ​​ให้ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15 ฉบับนิวเยรูซาเล็ม; อ้างโดยสเทเฟนในกิจการ 7:37[59])


[1] The Only True God

[2] Theology of the New Testament

[3] Georg Strecker

[4] Friedrich Horn

[5] Ali Hussein of Cairo

[6] The Only True God and The Only Perfect Man

[7] Eric H.H. Chang, The Only True God: A Study of Biblical Monotheism, CreateSpace, 2017, Charleston, North Carolina, ISBN 978-1532898204 (ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2009 โดย Xlibris, ISBN 978-14363-89471, Library of Congress number 2008911119 สามารถดาวน์โหลดหหนังสือเล่มนี้ได้จาก http://christiandc.org

[8] the Word became flesh and tabernacled among us ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลยอห์น 1:14 ว่า พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา” (ผู้แปล)

[9] A Greek-English Lexicon of the New Testament and Other Early Christian Literature (Bauer, Danker, et al)

[10] Hebrew and Aramaic Lexicon of the Old Testament

[11] Henry Choi

[12] ประสบการณ์นี้และประสบการณ์อื่นๆกับพระเจ้าที่ผมได้พบในช่วงปีที่เป็นคริสเตียนไม่นานได้บอกเล่าไว้ในหนังสือ “มารู้จักพระเจ้าได้อย่างไร” (How I Have Come to Know God, 2017, CreateSpace, Charleston, North Carolina, ISBN 978-1534995772) คุณสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ออนไลน์ได้ที่ http://christiandc.org และฉบับภาษาไทยอ่านได้ที่ http://www.totgthailand.co.th

[13] Shema เป็นคำฮีบรูซึ่งหมายถึง “จงฟัง” ที่ชาวยิวยกมาจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9

[14] ฉบับมาตรฐาน2011 แปลเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5ว่า“โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเรา  ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน” (ผู้แปล)

[15] 1 ครินธ์ 8:5 ถึงแม้จะมีพระมากในสวรรค์และในแผ่นดินโลกที่เขาเรียกว่าพระเจ้า(มีพระมากและเจ้ามากก็จริง)” ฉบับ 1971

[16] พจนานุกรมภาษากรีกฉบับ BDAG กำหนดความหมายคำ homoiopathē ในข้อนี้ว่า “มีสภาพเดียวกัน” (the same nature)

[17] ยากอบ 5:17 “เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนอย่างเรา ท่านอธิษฐานอย่างจริงจังขอไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินถึงสามปีกับหกเดือน”

[18] วิวรณ์ 2:10 “อย่า​กลัว​การ​ทน​ทุกข์​ที่​เจ้า​จะ​ได้​รับ​นั้น นี่​แน่ะ มาร​จะ​ขัง​พวก​เจ้า​บาง​คน​ไว้​ใน​คุก​เพื่อ​ทด​ลอง​พวก​เจ้า และ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​รับ​ความ​ยาก​ลำ​บาก​ถึง​สิบ​วัน แต่​เจ้า​จง​ซื่อสัตย์​จวบ​จน​วัน​ตาย และ​เรา​จะ​มอบ​มง​กุฎ​แห่ง​ชีวิต​ให้​แก่​เจ้า”

[19] ยอห์น 2:15 “พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นพร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและทรงคว่ำโต๊ะของบรรดาคนรับแลกเงิน”

[20] Bible และ Scripture” พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลเหมือนกันว่า “พระคัมภีร์” (ผู้แปล)

[21] Biblical และ Scriptural

[22] พระคัมภีร์ภาษาไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปล he ว่า “พระเจ้า” ส่วนฉบับอื่นๆใช้คำว่า “พระองค์” ขณะที่กล่าวถึงอีกผู้หนึ่งว่า “เขา” ด้วยคำเดียวกันคือ him ที่อยู่ในรูปกรรมของประโยค (ผู้แปล)

[23] ฉบับภาษาไทยแปลคำนี้ว่า “พระเจ้า หรือ องค์พระเจ้า” ใน 1 โครินธ์ 15:27 “เพราะว่าพระองค์ทรงปราบสิ่งสารพัดลงใต้พระบาทของพระองค์แล้วแต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงปราบสิ่งสารพัดลงนั้นก็เป็นที่ทราบชัดว่า ยกเว้นองค์พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์” (ฉบับ 1971) ผู้แปล

[24] 1 โครินธ์ 15:27 “เพราะพระองค์ได้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ที่ว่าทุกสิ่งอยู่ใต้พระองค์นี้ เป็นที่ชัดเจนว่า ไม่รวมถึงพระเจ้าเอง ผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

[25] Anathema (อนา-ธมา)

[26] sola Scriptura

[27] “อย่างที่เป็นอยู่โดยไม่ได้แต่งเติม” หรือหมายความว่า “อ่านพระคัมภีร์อย่างที่พระคัมภีร์เขียน” (ผู้แปล)

[28] Godhead

[29] Evangelicals นิกายหนึ่งของคริสเตียนในนิกายโปรแตสแตนท์ที่เกิดขึ้นจากการฟื้นฟูศาสนาของกลุ่มเคลื่อนไหวหลายนิกายในศตวรรษที่ 18 และ 19 ในยุโรปและอเมริกา ที่เน้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์ การรับการยกโทษบาปจากพระคริสต์ และการบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ (ข้อมูลจากเว็บไซด์ของคริสเตียนอีแวนเจลิคอลกลุ่มต่างๆ)

[30] พระคัมภีร์ภาษาไทยเกือบทุกฉบับจะแปลว่า “พระเจ้า” (ผู้แปล)

[31] Lord” หรือ “my Lord

[32] Septuagint พระคัมภีร์เดิมภาษากรีกที่แปลจากพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู มาจากคำลาตินว่า Septuaginta

[33] Kuriosและ Adonai หมายถึง“องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord)  ผู้แปล

[34] พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ให้คำ “Lord” เป็นอักษรตัวใหญ่ที่พิมพ์ขนาดเล็กว่า “LORD” ในขณะที่ต้นฉบับภาษาฮีบรูคือคำ “YHWH” หรือ “Yahwehในประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์นั้น แบบแผนนี้เป็นกลไกการพิมพ์ที่ค่อนข้างทันสมัย แต่พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ทำตามเสียทั้งหมด (เช่น ไม่ได้ใช้โดยพระคัมภีร์ฉบับเจนีวา 1599 หรือในพระคัมภีร์ฉบับศึกษาฉบับออร์โธดอกซ์สมัยนิยม) เราเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่หนังสือเล่มนี้จะต้องให้ “Lord” เป็นอักษรตัวใหญ่ที่พิมพ์ขนาดเล็กว่า “LORD” ยกเว้นว่าเมื่ออ้างอิงจากพระคัมภีร์ที่ใช้อักษรตัวใหญ่ดังกล่าว มันมักจะถูกต้องกว่าที่จะกลับมาใช้ชื่อ “ยาห์เวห์” ในคำอ้างถึงของพระคัมภีร์หรือชี้ให้เห็นว่าคำเดิมในฉบับภาษาฮีบรูคือ “YHWH” มีพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษไม่กี่ฉบับที่ยังคงชื่อ “Yahweh” ไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย (ฉบับ NJB, WEB, LEB) หรือคงไว้บางครั้ง (ฉบับ HCSB) ฉบับ ASV ใช้ “เยโฮวาห์” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

[35] อพยพ 20:7 “ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะผู้ที่ใช้พระนามของพระองค์ไปในทางที่ผิดนั้น พระยาห์เวห์จะทรงเอาโทษ”

[36] Encyclopedia Judaica  

[37] Tetragram­maton (YHWH) คือ อักษรทั้ง 4 (yod, he, vav, he) ของภาษาฮีบรูที่หมายถึงพระเจ้าพระยาห์เวห์ (ผู้แปล)

[38] Deuteronomy 32:3  For I shall proclaim the name of Yahweh. Oh, tell the greatness of our God! (New Jerusalem Bible)

[39] Isaiah 12:4  Give thanks to Yahweh; proclaim His name! Cele­brate His works among  the peoples. Declare that His name is exalted  (Holman Christian Standard Bible)

[40] กิจการ 2:36 “เพราะฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้น ให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์”

[41] พระค้มภีร์ภาษาไทยบางฉบับใช้คำว่า “พระเยซูเจ้า หรือ พระเยซูคริสตเจ้า” (ผู้แปล)

[42] ยากอบ 2:1 ด้วยเหตุที่ท่านมีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิรินั้น จงอย่าลำเอียง” (ฉบับ 1971)

[43] 1 ทิโมธี 1:17 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้เป็นองค์อมตะ และไม่ทรงปรากฏแก่ตา ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ขอพระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

[44] James D.G. Dunn (นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ของยุคปัจจุบัน-ผู้แปล)

[45] Did the First Christians Worship Jesus? เขียนโดย เจมส์ ดี จี ดันน์

[46] CEO” หรือ “ประธานกรรมการบริหาร” (ผู้แปล)

[47] Totally Committed: The Importance of Commitment in Biblical Teaching (การมอบทั้งหมด: ความสำคัญของการมอบตามคำสอนของพระคัมภีร์), ตีพิมพ์ครั้งแรกโดย Guardian Books ฉบับตีพิมพ์ใหม่ปี 2016 ซึ่งกลับมาใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าว่าเป็นเป้าหมายในการมอบของเรานี้ สามารถหาได้จาก Amazon.com

[48] อิสยาห์ 63:16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นพระบิดาของพวกข้าพระองค์ พระนามของพระองค์คือพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์แต่โบราณ”

[49] Abijah

[50] ฮีบรู 7:26 “มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับพวกเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งหลาย และอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์”

[51] ฮีบรู 2:7 พระองค์ทรงทำให้เขาต่ำกว่าเหล่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่ง และพระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติให้​​เขา”

[52] West­minster Theo­logical Wordbook of the Bible

[53] ัทธิว 16:15-16 แล้วพระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?ซีโมนเปโตรทูลตอบว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

[54] มาระโก 15:39 ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์ เมื่อได้ยินพระองค์ร้องเสียงดัง และเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร จึงกล่าวว่า ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ

[55] ลูกา 3:15 ส่วนคนทั้งหลายนั้นกำลังรอคอย และครุ่นคิดเรื่องยอห์นว่า ท่านเป็นพระคริสต์ผู้นั้นหรือไม่”

[56] สารานุกรมพระคัมภีร์ฉบับ ISBE (ฉบับแก้ไข, เล่ม 3, Messiah): “ฮักกัยและเศคาริยาห์รวมทั้งพวกรับบีที่นับถือศาสนายิวเข้าใจว่าพระเมสสิยาห์เป็นมนุษย์ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่พระเจ้า ‘ทรงเจิมไว้’ และประทานความสามารถที่เกินธรรมดาให้ก็ตาม”

[57] เอ็น ที ไรท์กล่าวว่า “‘พระเมสสิยาห์’ หรือ ‘พระคริสต์’ ไม่ได้หมายถึง ‘ผู้ที่เป็นพระเจ้าหรือพระเป็นเจ้าองห์หนึ่ง’ มันเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากที่จะใช้คำนี้เป็นชวเลขสำหรับพระนามของพระเจ้าหรือการเป็นพระเจ้าของพระเยซู มันค่อนข้างง่ายที่จะโต้แย้งว่าพระเยซู (เช่นเดียวกับชาวยิวในศตวรรษแรกๆอีกหลายคน) เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (ดู JVG, บทที่ 11) มันยากกว่ามากและแตกต่างกันมากที่จะโต้แย้งว่าพระองค์ทรงคิดว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลเดียวกันกับพระเจ้าของอิสราเอล” (The Incarnation, หน้า 52, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด)

[58] ต้นฉบับภาษาอังกฤษอ้างอิงจากฉบับ ESV

[59] กิจการ 7:37 โมเสสคนนี้แหละที่กล่าวกับชนชาติอิสราเอลว่า พระเจ้าจะประทานผู้เผยพระวจนะผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อท่านทั้งหลาย จากพี่น้องของพวกท่าน เหมือนอย่างข้าพเจ้า