พิมพ์
หมวด: The Only Perfect Man
ฮิต: 987

pdf pic

 

ภาคผนวก 9

 

สิ่งที่ไฟโลสอน

และทำไมจึงไม่สามารถนำมาใช้สนับสนุน

ความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้

 

 

      าคผนวกนี้ต่อเนื่องมาจากการพิเคราะห์ของเราที่เริ่มต้นในบทที่ 3 เกี่ยวกับไฟโลและคำสอนของเขา มันค่อนข้างเป็นรายละเอียด ดังนั้นผู้อ่านส่วนใหญ่อาจอยากอ่านข้ามไป ภาคผนวกนี้ประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่า บรรดานักวิชาการที่เชี่ยวชาญในเรื่องของไฟโล ต่างก็ทราบว่า logos (โลกอส) ของไฟโลนั้นไม่ใช่บุคคลจริง นี่จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคลที่เป็นพระเจ้าเลย ดังนั้นจึงไม่มีมูลฐานในการใช้ logos ของไฟโลตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพในการตีความ “พระวาทะ” ในคำขึ้นต้นของยอห์น

      ส่วนที่สองเป็นการรวบรวมคำกล่าวของไฟโลเองเกี่ยวกับ logos (“พระวาทะ หรือ พระวจนะ”) คำกล่าวเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่า สิ่งที่ไฟโลหมายถึงจริงๆเกี่ยวกับ logos และแสดงให้เห็นว่า logos ของเขาซึ่งบางครั้งเรียกว่า “พระเจ้าองค์ที่สอง” นั้นไม่ใช่บุคคลจริงๆ นี่จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคลที่เป็นพระเจ้าเลย ดังนั้น logos ของไฟโลจึงไม่ได้ช่วยการตีความ “พระวาทะ” ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ในคำขึ้นต้นของยอห์น

 

 

Logos ที่ไฟโลหมายถึง

      ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึง คู่มือสรุปงานเขียนของไฟโลของเคนเน็ธ สเก็นท์[1] ในหน้า 58-62 สเก็นท์อธิบายในเจ็ดประเด็น ภายใต้เจ็ดหัวข้อ ในสิ่งที่ไฟโลหมายถึง logos ต่อไปนี้คือเจ็ดหัวข้อที่อ้างอิงแบบคำต่อคำ

 

 

      1. logos เป็นอานุภาพของคำสั่งของพระเจ้าในโลก

        2. logos เป็นรูปเหมือนของพระเจ้า

      3. logos เป็นเครื่องมือในการสร้าง

      4. logos เป็นที่บรรจุของโลกแห่งความคิด

      5. logos เป็นตัวเชื่อม/อุปกรณ์ของการสร้าง

      6. logos เป็นสิ่งนำทางจิตวิญญาณไปถึงพระเจ้า

      7. logos: เป็นพระเจ้าองค์ที่สองหรือ?

 

      หกข้อแรกไม่ได้มีประโยชน์โดยตรงกับการตีความยอห์น 1:1 ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพแม้จะมีความเกี่ยวข้องกันบ้าง มีเฉพาะข้อที่ 7 ที่เสนอสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์ เครื่องหมายคำถามในข้อที่ 7 เป็นของสเก็นท์ ดังนั้นเขาพูดอะไรในข้อที่ 7 หรือเกี่ยวกับ “พระเจ้าองค์ที่สอง”? เดี๋ยวเราจะอ้างอิงการพิเคราะห์ของเขาทั้งหมดในข้อที่ 7 (เว้นไม่กี่ประโยคช่วงท้ายๆเนื่องจากลักษณะทางเทคนิค) จากคำอธิบายของสเก็นท์เกี่ยวกับ logos ที่ไฟโลหมายถึง เราจะเห็นว่าไฟโลไม่ได้เสนออะไรที่มีประโยชน์กับความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ความจริงแล้วข้อเสนอของไฟโลสามารถใช้ต่อต้านการใช้ตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพมากกว่า

 

[เริ่มต้นข้อเจ็ดของสเก็นท์ (หน้า 61-62)]

 

      ไฟโลสามารถกล่าวถึง logos ไว้ค่อนข้างน่าตกใจว่าเป็น “พระเจ้าองค์ที่สอง”:

 

“เราคือพระเจ้าองค์นั้น[2] ที่ปรากฏกับเจ้าในที่ประทับของพระเจ้า” [ปฐมกาล 31:13] … จงตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนหากว่ามีพระเจ้าสององค์ในสิ่งที่กล่าว ... เพราะในความจริงแล้ว พระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีมากมายหลายองค์ที่คนทั้งหลายเรียกอย่างไม่ถูกต้องว่า “พระเจ้าทั้งหลาย” ดังนั้นคำศักดิ์สิทธิ์ [logos] ในกรณีนี้จึงได้เปิดเผยว่าใครคือพระเจ้าที่แท้จริงจากคำนำหน้านามเหล่านั้น มันระบุไว้ในที่เดียวว่า “เราคือพระเจ้าองค์นั้น” แต่ในอีกกรณีหนึ่งชี้ให้เห็นว่า เราไม่ควรเรียกว่าพระเจ้าโดยไม่ได้รวมคำนำหน้านามด้วย: “ที่ปรากฏกับเจ้าในที่ประทับ” ที่ไม่ใช่ “ของพระเจ้าองค์นั้น” แต่มีเพียงแค่ “ของพระเจ้า”[3] ตรงนี้เรียกพระวาทะ [logos] ที่เก่าแก่ที่สุดของพระเจ้าว่า “พระเจ้า”[4] (Somn. 1: 227-230)

 

      ในข้อความตอนนี้ ไฟโลพูดถึงความผิดพลาดหลายอย่างของเจ้าผู้ครองและตัวแทนของพระเจ้า คือ the logos สำหรับเขา คนที่ไม่มีสติปัญญาจะไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้โดยไม่ได้รับรู้บ้างว่าพระองค์มีร่างกายและเป็นเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย คนเหล่านี้เข้าใจพระเจ้าโดยการที่พระองค์มีร่างกายและเป็นเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย คนเหล่านี้เข้าใจพระเจ้าโดยทางทูตสวรรค์หรือผู้สื่อสารของพระองค์ คือพระวาทะ (logos) ของพระองค์

      ความแตกต่างระหว่างพระเจ้า ผู้ซึ่งแก่นแท้ของพระองค์นั้นไม่อาจรู้ได้ กับ logos นี้ที่มีความ สำคัญสำหรับไฟโล เมื่อเขากำลังพูดอย่างไม่แน่ชัดนั้น เขาสามารถพูดถึง logos นั้นเหมือนกับว่ามันเป็นเพียงเหตุผลในการกระทำการของพระเจ้า (เช่น Opif 36) แต่เมื่อเขากำลังพูดในแบบปรัชญาเชิงเทคนิค เขาแสดงให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างพระเจ้ากับเหตุผลของพระองค์ (logos)

      สำหรับหัวหน้าผู้สื่อสารหลักของพระองค์ [=หัวหน้าทูตสวรรค์] และวาทะที่เก่าแก่ที่สุด [logos] พระบิดาผู้ทรงให้กำเนิดแก่ทุกสิ่ง ได้ประทานของประทานพิเศษเพื่อจะยึดตามขอบเขตและแยกสิ่งที่มีขึ้นจากผู้ที่ได้สร้างขึ้น และ logos เดียวกันนี้เป็นผู้อ้อนวอนอย่างแน่วแน่ต่อสิ่งที่เป็นอมตะ เพื่อสิ่งที่ต้องตายที่แปรปรวน และทูตของผู้ปกครองต่อเรื่องนี้ และเขาก็ชื่นชมยินดีในของประทานและบอกเราถึงเรื่องราวทั้งหมดด้วยความภาคภูมิใจเมื่อเขาพูดว่า “ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงกลางระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับท่าน” ไม่ได้ถูกสร้างเหมือนพระเจ้าและไม่ได้ถูกสร้างเหมือนท่าน ข้าพเจ้าอยู่ระหว่างสุดขั้วเหล่านี้ (Her. 205-206)

      ในข้อความตอนนี้ ไฟโลจัดให้ logos อยู่ในฝั่งที่ถูกสร้างขึ้นจากการสร้าง ในที่สุดแล้วการเปรียบ เทียบของไฟโลกับคำสอนสืบทอดที่ยึดหลักปรัชญานั้น เขาชี้ให้เราเห็น logos ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างเป็นอิสระจากพระเจ้า แต่เราไม่ควรเข้าใจว่ามันเป็นบุคคลเช่นกัน

 

[เว้น 7 ประโยค]

 

เพราะสำหรับไฟโลแล้ว การมีเพียงองค์เดียว เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากพระเจ้า มันดูเหมือนว่าเราจะต้องพิจารณา logos ว่ามีตัวตน, แม้ว่าจะไม่ใช่เฉพาะบุคคล

 

[จบการพิเคราะห์ของสเก็นท์]

 

      บทความทางวิชาการ “ไฟโล, ยูเดียส”[5]จากสารานุกรมพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานนานาชาติ[6] กล่าวว่าความไหลลื่นในภาษาของไฟโลทำให้เกิดคำเช่น “พระเจ้าองค์ที่สอง” ซึ่งมักจะเป็นที่เข้าใจผิด

 

ในขณะที่ไฟโลคิดในมุมมองทางวัฒนธรรม ที่คล้ายกับลักษณะของผู้เขียนพระกิตติคุณสี่เล่ม ดังนั้นสองความแตกต่างอย่างมากจึงส่งผลต่อหลักคำสอนของเขา ในด้านหนึ่งมันเป็นการคาดการณ์ ไม่ใช่หลักจรรยาส่วนบุคคล ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการกำหนดลักษณะของผู้ไกล่เกลี่ยของเขา [the Logos] ในตัวของมันเอง ซึ่งไม่แน่นอนในลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงความคิดที่คลุมเครือและไม่แน่นอนจริงๆ ...

 

[ความคิดของไฟโลคือ] การผสมผสานที่แปลกของปรัชญาและศาสนา ความเป็นเหตุเป็นผลและหลักธรรมทางศาสนา หลักการใช้ปัญญาแบบกรีกและความเชื่อเรื่องลึกลับทางศาสนาที่มืดมนของชาวตะวันออก(ตะวันออกกลาง)

 

      ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวเกี่ยวกับไฟโลโดยยูซีเบียสแห่งซีเซเรีย[7] โดยมีคำอธิบายของผมอยู่ในวงเล็บ ที่รวมคำกล่าวนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า แม้แต่คริสตจักรในยุคแรก ไฟโลก็เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นชาวยิวผู้เคร่งครัดในศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว

 

ผมจะเสนอบุคคลผู้หนึ่ง [ไฟโล] ซึ่งเป็นชาวฮีบรู ที่เป็นผู้ตีความความหมายของพระคัมภีร์ให้คุณ เขาเป็นคนที่รับการถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับธรรมเนียมและกฎหมายของประเทศของเขา และได้เรียนรู้หลักคำสอนจากบรรดาครูที่มีความรู้ คนผู้นี้แหละคือไฟโล จงฟังเขาเถิด และฟังว่าเขาตีความพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร

 

แล้วเหตุใดเขาจึงใช้ถ้อยคำว่า “เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามรูปเหมือน[8]ของพระเจ้า” ราวกับว่าเขากำลังพูดถึง [รูปเหมือนของ] พระเจ้าองค์อื่น และไม่ได้ [กำลังพูด] ถึงการสร้าง [มนุษย์] ให้เหมือนพระองค์เอง? ถ้อยคำนี้ถูกใช้ด้วยความงดงามและสติปัญญาที่ยอดเยี่ยม เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งใดที่ต้องตาย [เช่น มนุษย์] จะถูกสร้างให้เหมือนพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้เป็นพระบิดาของจักรวาล มีแต่อาจถูกสร้างให้เหมือนพระเจ้าองค์ที่สอง ซึ่งเป็นพระวาทะของอีกองค์หนึ่งเท่านั้น [เช่น พระวาทะของพระเจ้า] ...

 

นี่คือสิ่งที่ผมต้องการอ้างอิงจากหนังสือเล่มแรก เกี่ยวกับคำถามและคำตอบของไฟโล (ยูซีเบียส, เรื่องการเห็นการณ์ไกลของพระเจ้า, ส่วน I, P.E. 7.21.336b -337a, แปลโดย ซี ดี ยอนช์[9])

 

ผู้ที่เป็นนักวิชาการต่างทราบว่า Logos ของไฟโลไม่ใช่บุคคล

      ส่วนที่ตัดตอนมาจากสารานุกรมคาทอลิกต่อไปนี้กล่าวว่า (i) Logos ของไฟโลเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับโลก; (ii) ไฟโลเรียก Logos ว่า “พระเจ้า” ในสามแห่ง; (iii) ไฟโลกล่าวว่าคำว่า “พระเจ้า” ตามที่ใช้กับ Logos นั้นมักเข้าใจกันผิด; (iv) ไฟโลไม่ถือว่า Logos เป็นบุคคล แต่เป็นแนวความคิดและพลังอำนาจ

 

... Logos เป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้าและโลก; ที่พระเจ้าได้ใช้สร้างโลกและควบคุมมัน อีกทั้งโดย Logos นี้มนุษย์ก็รู้จักพระเจ้าและอธิษฐานกับพระองค์ (“De Cherub, 125; “Quis rerum divin. haeres sit, 205-06.) ในสามตอนนั้น Logos ถูกเรียกว่าพระเจ้า (“Leg. Alleg, III, 207; “De Somniis, I, 229; “In Gen., II, 62, อ้างโดยยูซีเบียส, “Praep. Ev., VII, 13); แต่ดังที่ไฟโลเองอธิบายหนึ่งในข้อความเหล่านี้ (De Somniis) มันเป็นชื่อเรียกที่ไม่เหมาะสมและมีการใช้อย่างไม่ถูกต้อง และเขาใช้มันเพียงเพราะเขาถูกชักนำโดยคัมภีร์ศาสนาที่เขาให้ข้อสังเกต ยิ่งกว่านั้น ไฟโลไม่ถือว่า Logos เป็นบุคคล มันเป็นแนวคิด เป็นพลังอำนาจ และแม้ว่าบางครั้งจะถูกเข้าใจว่าเหมือนกับทูตสวรรค์ของพระคัมภีร์ นี่เป็นการทำให้มีตัวตนที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ (สารานุกรมคาทอลิกThe Logos”)

 

      ผู้เชี่ยวชาญอีกสองแห่งคือ สารานุกรมพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานนานาชาติ และสารานุกรมยูเดคา เห็นพ้องกับสารานุกรมคาทอลิก[10]ว่า logos ของไฟโลไม่ใช่บุคคล ให้ดูข้อความที่ตัดตอนมาสี่ข้อต่อไปนี้ โดยข้อสุดท้ายที่แสดงให้เห็นว่า logos ของไฟโลไม่ใช่บุคคล แม้จะมีการอธิบายถึง logos ของกลุ่มนอสติกในยุคแรกว่า “มีตัวตน”[11] (เทียบเท่าใกล้เคียงกับ “บุคคล”) ในข้อความที่ตัดตอนต่อไปนี้ ตัวอักษรเอนเป็นของผม

 

ไฟโลใช้คำ logos หรือ logos อันศักดิ์สิทธิ์กับพระคัมภีร์เอง เช่น ธรรมบัญญัติ ตามความเข้าใจของไฟโลแล้ว logos ไม่ได้เป็นบุคคล และไม่เป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ แม้จะถูกเข้าใจว่าคล้ายกันกับทูตสวรรค์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ (Mig. 174, ฯลฯ) บางครั้งมันเหมือนกับปัญญามากกว่า (I LA 65, ฯลฯ) เนื่องจากเป็นถ้อยคำที่ครอบคลุมมากที่สุดของความคิดและความคิดเห็นของพระเจ้า ซึ่งในทางกลับกันจะคล้ายกับธรรมบัญญัติ หรือโทราห์ (สารานุกรมยูเดคา, พิมพ์ครั้งที่ 2, เล่ม 13, หน้า 174-175)

 

เรื่องปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบกับโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้น ไฟโลเสนอลำดับของสาเหตุโดยตรง ซึ่งสาเหตุหลักๆ คือ Logos ที่บอกในหลายวิธีว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นการสำแดงสูงสุดในลักษณะการดำเนินการของพระเจ้า และเป็นข้อบัญญัติทางคุณธรรม (สารานุกรมยูเดคา, พิมพ์ครั้งที่ 2, เล่ม 13, หน้า 88)

 

หลังจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ Logos ของเขาได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นกลุ่มความคิดของพระเจ้า และเป็นที่เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นบุคคลอย่างชัดเจน แต่เป็นความคิดของพระเจ้า ซึ่งจะแสดงออกตามลำดับเหตุผลของจักรวาลที่มองเห็นได้ (สารานุกรม ISBE,“ Logos,” ส่วนที่ 3, หัวข้อย่อย “ไฟโล”)

 

บางคำอธิบายของความเชื่อแบบนอสติก ที่หลักคำสอนบอกถึงตัวตนที่เป็น logos นั้น ก็ระบุช่วงเวลาต้นกำเนิดของความเชื่อแบบนอสติกก่อนยอห์น (สารานุกรมยูเดคา, พิมพ์ครั้งที่ 2, เล่ม 13, หน้า 175)

 

คำพูดของไฟโลเอง

      ส่วนที่เหลือของภาคผนวกนี้ประกอบด้วยคำอ้างอิงโดยตรงของไฟโลในหัวข้อต่างๆ ซึ่งนำมาจากงานเขียนของไฟโล เป็นคำแปลงานเขียนของไฟโลโดย ซี ดี ยอนช์[12] ต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ ได้ถูกตีพิมพ์ซ้ำในปี 1993 โดยสำนักพิมพ์เฮ็นด์ริคสัน[13] ข้อพระคัมภีร์ในวงเล็บใส่โดยยอนช์ และไม่ได้เป็นส่วนของคำเดิมของไฟโล

      คำอ้างอิงถูกจัดกลุ่มในสามหัวข้อเพื่อแสดงว่าไฟโล (i) เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวและเพียงองค์เดียวเท่านั้น; (ii) ไม่เชื่อว่า Logos ของพระเจ้าจะเป็นบุคคลที่เป็นพระเจ้าจริง; (iii) พูดถึง “พระเจ้าองค์ที่สอง” ว่าเป็นคำพูด ความคิด หรือความตั้งใจที่มาจากผู้ที่เป็นพระเจ้า สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการอ่านคำอ้างอิงทั้งหมด ต่อไปนี้จะเป็นสามตัวอย่างคำอ้างอิงที่จะเห็นถึงประเด็นต่างๆ (i), (ii) และ (iii) ตามลำดับ (จงสังเกตตัวหนา)

 

“ดังนั้นจะต้องมีผู้ปกครองและเจ้านายในจักรวาลด้วย และพระองค์จะต้องเป็นผู้ปกครองและเจ้านายแท้จริง เป็นพระเจ้าองค์เดียวแท้จริง ที่จะถูกกล่าวถึงว่า ‘สิ่งทั้งปวงเป็นของพระองค์’” เกี่ยวกับคาอินและการเกิดของเขา[14] ตอนที่ 2, XXIV (77)

 

“พระเจ้าถูกแสดงให้เห็นในพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งว่า ‘อับราฮัมรักษากฎเกณฑ์ทั้งหมดของเรา’ [ปฐมกาล 26:5] และธรรมบัญญัติก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่กำชับให้รู้ว่าอะไรถูก และห้ามในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่เขาเป็นพยานเมื่อเขากล่าวว่า ‘เขาได้รับธรรมบัญญัติจากถ้อยคำของพระองค์’ [เฉลยธรรมบัญญัติ 33:4] ดังนั้นหากพระวจนะ (Logos) ของพระเจ้าคือธรรมบัญญัติ และหากคนชอบธรรมทำตามธรรมบัญญัติแล้ว ก็แน่นอนว่า เขาจะประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้าด้วย” การย้ายถิ่นฐานของอับราฮัม[15], XXIII (130)

 

“ทำไมเขาจึงพูดราวกับว่าเป็นพระเจ้าอื่น โดยพูดว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระเจ้า และไม่ได้พูดว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์เอง? (ปฐมกาล 9:6) ประโยคที่เป็นปริศนานี้เป็นคำตรัสที่มาจากพระเจ้าอย่างเหมาะสมและไม่มีความเท็จใดๆ เพราะไม่มีสิ่งที่ต้องตายใดที่จะถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกับพระบิดาผู้สูงสุดของจักรวาล จะมีก็แต่ตามรูปแบบของพระเจ้าองค์ที่สอง ผู้เป็นพระวาทะของพระเจ้าสูงสุด; เนื่องจากเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จิตวิญญาณที่สามารถคิดอย่างมีเหตุผลของมนุษย์ ควรมีลักษณะของพระวาทะของพระเจ้า เนื่องจากในพระวจนะแรกของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงอยู่เหนือธรรมชาติที่มีเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่พระองค์ผู้ที่อยู่เหนือพระวาทะก็ดำรงตำแหน่งของพระองค์ในความเหนือกว่าที่ดีกว่าและเป็นเอกเทศที่สุดและสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะสามารถแสดงความเหมือนพระองค์ให้เห็นในตัวเขาเองได้อย่างไร?” คำถามและคำตอบเกี่ยวกับปฐมกาล,[16] II (62)

 

      ข้อความอ้างอิงทั้งสามนี้แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่มีมูลบทกับมุมมองว่ายอห์นได้รับแรงดลใจจาก logos ของไฟโลในการใช้ logos (“พระวาทะ)” ในยอห์น 1:1 (“พระวาทะ”) เพื่อเป็นการอ้างอิงถึงพระเจ้าองค์ที่สองคือพระเยซูคริสต์ ในทางตรงกันข้าม เมื่อไฟโลพูดถึง “คำของพระเจ้า” ก็มักจะหมายถึงคำหรือคำสอนที่ออกมาจากพระเจ้า ตัวอย่างเช่น ข้อความอ้างอิงที่สองข้างต้นบอกว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือธรรมบัญญัติ” นั้นไม่ได้หมายถึงบุคคลที่เป็นพระเจ้าที่เรียกว่า “พระวาทะ”

      สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านคำอ้างอิงของไฟโลมากขึ้น เราจึงรวมคำกล่าวเพิ่มเติมจากไฟโล ในสามตอนต่อไปนี้ซึ่งสอดคล้องกับสามลำดับเหมือนกับ (i), (ii), (iii) ที่กล่าวถึงแล้ว

 

1. ความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวของไฟโล และความเชื่อในพระเจ้าว่าเป็นพระผู้สร้างเพียงผู้เดียว

 

“ดังนั้นพระเจ้าทรงดำรงอยู่ตามความเป็นหนึ่งเดียวและเอกภาพ หรือเราควรจะพูดว่า ความเป็นหนึ่งเดียวนั้นดำรงอยู่ตามพระเจ้าองค์เดียว เพราะจำนวนทั้งหมดล่าสุดกว่าโลกเช่นเดียวกับเวลา แต่พระเจ้าทรงมีอายุมากกว่าโลกและเป็นผู้สร้างของโลก” การตีความเชิงเปรียบเทียบ[17] II, I (3) (หน้า 63)

 

“นั่นบอกผมว่า ในพระเจ้าองค์เดียวที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่นั้น มีพลังอำนาจสูงสุดและสำคัญที่สุดสองประการคือความดีและสิทธิอำนาจ และโดยความดีของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสิ่งและโดยอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงปกครองทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา” เหล่าเครูบ[18] ตอนที่ 1, ทรงเครื่อง (27) (หน้า 120)

 

“ดังนั้นจะต้องมีผู้ปกครองและเจ้านายในจักรวาลด้วย และพระองค์จะต้องเป็นผู้ปกครองและเจ้านายอย่างแท้จริง ผู้เป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ที่สมควรจะพูดถึงว่า ‘ทุกสิ่งเป็นของพระองค์’” เกี่ยวกับคาอินและการเกิดของเขา[19] ตอนที่ 2, XXIV (77) (หน้า 129)

   

 

 

“ดังนั้น เมื่อวิญญาณที่รักพระเจ้า พยายามที่จะรู้สิ่งที่พระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่ตามเนื้อแท้ของพระองค์ มันเป็นการให้ความสนใจในประเด็นของการสืบค้นที่คลุมเครือและมืดมน ซึ่งประโยชน์มากสุดที่เกิดขึ้นคือการเข้าใจว่าพระเจ้าโดยตามเนื้อแท้ของพระองค์แล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามไม่สามารถจะเข้าใจพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ และที่จะตระหนักด้วยว่าจะไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้” ลูกหลานของคาอินและการถูกเนรเทศของเขา,[20] V (14) (หน้า 186)

 

“เขา [อับราฮัม] ถูกมอบหมายมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเพียงองค์เดียว และทำทางชีวิตทั้งชีวิตของเขาให้ตรงไป โดยใช้ความจริงและถนนหลวงที่แท้จริง ถนนของกษัตริย์เพียงองค์เดียวผู้ปกครองทุกสิ่ง” เกี่ยวกับมนุษย์ยักษ์[21] XIV (64) (หน้า 216)

 

“…พระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงรอบรู้” เกี่ยวกับงานชาวไร่ของโนอาห์,[22] IX (38) (หน้า 264)

 

“เพราะการได้ยินเป็นการมีเวลาว่างที่จะให้ความสนใจกับอะไรก็ได้ นอกจากคำพูดนั้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งบอกถึงคุณธรรมของพระเจ้าองค์เดียวและเพียงองค์เดียวในลักษณะที่เหมาะสม” การเทียบเคียงด้วยการศึกษาเบื้องต้น,[23] XX (113) (หน้า 419)

 

“ด้วยเหตุนี้ ผมเข้าใจว่า เมื่อโมเสสกำลังพูดเชิงปรัชญาถึงการสร้างโลก ในขณะที่เขาอธิบายสิ่งอื่นว่าได้ถูกสร้างโดยพระเจ้าเพียงลำพัง เขากล่าวถึงว่าลำพังมนุษย์เองถูกพระองค์สร้างร่วมกับผู้ช่วยอื่นๆ เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘พระเจ้าตรัสว่า ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา’ คำพูดว่า ‘ให้เราสร้าง’ นี้บ่งชี้ถึงผู้สร้างที่มีมากกว่าหนึ่ง

 

“เพราะฉะนั้น ตรงนี้พระบิดากำลังสนทนากับพลังอำนาจของพระองค์เอง ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบ หมายงานการสร้างส่วนที่ต้องตายของวิญญาณของเรา โดยเลียนแบบความช่ำชองของพระองค์เองในขณะที่พระองค์กำลังทำส่วนที่มีวิจารณญาณภายในเรา โดยคิดถูกต้องว่าส่วนที่สำคัญภายในจิตวิญญาณควรเป็นงานของผู้ปกครองทุกสิ่ง แต่ส่วนที่จะต้องคงอยู่ใต้บังคับบัญชานั้นควรทำโดยผู้ที่ยอมอยู่ใต้พระองค์

 

“และพระองค์ทรงสร้างเราด้วยพลังอำนาจซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระองค์ ไม่ใช่เพียงด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไว้ แต่ยังเพราะวิญญาณลำพังของมนุษย์เองได้ถูกกำหนดให้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความดีและความชั่ว และที่จะเลือกหนึ่งในสองอย่างนั้น เพราะไม่สามารถจะรับเอาทั้งสองอย่างได้ ดังนั้นพระองค์จึงดำริว่า จำเป็นจะต้องมอบหมายบ่อเกิดแห่งความชั่วให้กับคนงานอื่นมากกว่าที่จะเป็นพระองค์เอง แต่จะทรงสงวนพงศ์พันธุ์แห่งความดีไว้สำหรับพระองค์เองแต่ผู้เดียว

 

“เรื่องที่หลังจากโมเสสได้กล่าวคำตรัสนี้ของพระเจ้าไปแล้วว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์’ เหมือนว่ากำลังตรัสกับหลายๆคน เหมือนว่าพระองค์กำลังตรัสเพียงคนเดียวว่า ‘พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นผู้สร้างเดียวของมนุษย์ที่แท้ ผู้ซึ่งมีพระทัยบริสุทธิ์ที่สุด แต่มีคนงานมากกว่าหนึ่งที่เป็นผู้สร้างสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ที่ประกอบด้วยการสัมผัสรับรู้ภายนอก ด้วยเหตุนี้ มนุษย์แท้โดยเฉพาะจึงถูกพูดถึงด้วยคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ เพราะสิ่งที่โมเสสพูดก็คือ “พระเจ้าองค์นั้นทรงสร้างมนุษย์คนนั้นขึ้นมา”[24] กล่าวคือ เขาทำให้เหตุผลนั้นสูญพันธุ์และไม่มีการเพิ่มเติมทั้งสิ้น แต่เขาพูดถึงมนุษย์โดยทั่วไปโดยไม่เพิ่มคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ เพราะคำกล่าวว่า “ให้เราสร้างมนุษย์” แสดงว่าเขาหมายถึงการถูกประกอบไปด้วยธรรมชาติที่ไม่มีเหตุผลและมีเหตุผล” การหนีและการค้นหา,[25] XIII (68) ถึง XIV (72) (หน้า 435)

 

[พระเจ้า ด้วย ‘กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์’ คือ ธรรมบัญญัติ] ได้เชื้อเชิญมนุษย์ให้ถวายเกียรติพระเจ้าผู้เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ ตามความเป็นจริงแล้วไม่มีความจำเป็นเลยที่ตัวพระองค์เองจะได้รับการถวายเกียรติ เพราะการที่พระองค์มีทุกอย่างเพียงพอสำหรับพระองค์เอง พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องมีคนอื่น แต่พระองค์ได้ทรงทำเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงต้องการที่จะนำเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ ที่ก่อนนี้เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายที่ไร้หนทาง ไปสู่ถนนที่พวกเขาจะไม่หลงทาง ดังนั้นโดยการติดตามธรรมชาติ ก็อาจพบสิ่งที่ดีที่สุดและการลงเอยของทุกสิ่ง กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าผู้เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสมบูรณ์แบบอันดับแรกและที่สุดของสิ่งดีทั้งสิ้น ซึ่งพระพรพิเศษทั้งสิ้นจะถูกเทลงบนโลกจากพระองค์ผู้เป็นบ่อน้ำพุ” บัญญัติ 10 ประการตามพระคัมภีร์,[26] XVI (81) (หน้า 692)

 

“และมีคนต่างชาติบางคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเพียงองค์เดียว จึงสมควรถูกลงโทษด้วยการลงโทษที่รุนแรงที่สุด ที่ได้ละทิ้งสิ่งสำคัญที่สุดคือความยำเกรงและความบริสุทธิ์ และได้เลือกความมืด แทนที่จะเลือกความสว่างที่เจิดจ้าที่สุด” ธรรมบัญญัติพิเศษ,[27] I, IX (54) (หน้า 710)

 

“…ผู้ที่เป็นเจ้าผู้ครองโลกองค์เดียวแต่เพียงผู้เดียว” เกี่ยวกับชีวิตของโมเสส,[28] I, LI (284) (หน้า 641)

 

 “พระเจ้าเพียงองค์เดียวและทรงพระชนม์อยู่อย่างแท้จริง” ธรรมบัญญัติพิเศษ, I, LVII (313) (หน้า 743)

 

“พระเจ้าองค์เดียวและทรงพระชนม์อยู่อย่างแท้จริง” ธรรมบัญญัติพิเศษ, I, LX (331) (หน้า 745)

 

“พระเจ้าเพียงองค์เดียวที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่เพียงผู้เดียว” ธรรมบัญญัติพิเศษ, II, XLVI (255) (หน้า 780)

 

“พระเจ้าองค์เดียวที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่” ธรรมบัญญัติพิเศษ, III, XXII (125) (หน้า 798)

 

“พระเจ้าองค์เดียวที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ ผู้เป็นพระผู้สร้างและพระบิดาของจักรวาล?” เกี่ยวกับคุณธรรม, X (64) (หน้า 850)

 

“ผู้ปกครองที่เที่ยงแท้และเพียงผู้เดียว องค์บริสุทธิ์ที่สุด” เกี่ยวกับคุณธรรม, XX (123) (หน้า 888)

 

“การมองดูธรรมชาติของผู้ที่เป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว” เกี่ยวกับคุณธรรม, XXVII (162) (หน้า 893)

 

“พระผู้สร้างที่แท้จริงองค์เดียวของทั้งโลก” คำถามและคำตอบเกี่ยวกับปฐมกาล,[29] I (34) (หน้า 1082)

 

“ไม่มีสิ่งที่ดำรงอยู่ใดๆจะเทียบเท่ากับการถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครอง และเจ้าผู้ครอง และกษัตริย์องค์เดียว” เรื่องราวเกี่ยวกับโลก,[30] I (หน้า 1132)

 

“ผู้เป็นต้นเหตุแห่งสิ่งทั้งหลาย, พระเจ้าผู้ไม่ได้ถูกสร้าง, พระผู้สร้างแห่งจักรวาล” เรื่องราวเกี่ยวกับโลก, I (หน้า 1132)

 

“พระเจ้าทรงเป็นทั้งพระบิดา และพระผู้สร้าง และเจ้าผู้ครอง ตามความเป็นจริงและความจริงของทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และในทั้งโลก” เรื่องราวเกี่ยวกับโลก, VII (หน้า 1136)

 

 

2. พระวจนะของพระเจ้าในคำสอนของไฟโล

 

“เพราะท่านจะพบว่า พระเจ้าทรงเป็นต้นเหตุของมัน[โลก] ที่พระองค์ทรงสร้างมันขึ้นที่มีสี่องค์ ประกอบ ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง และท่านจะพบว่าสิ่งที่ถูกสร้างแสดงให้เห็นถึงความดีของพระผู้สร้าง” เกี่ยวกับคาอินและการเกิดของเขา, ตอนที่ 2, XXXV (127) (หน้า 134)

 

“ธรรมบัญญัติเรียกถ้อยคำและเหตุผลของพระเจ้า เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘เจ้าอย่าหันเหไปจากพระวจนะซึ่งเราบัญชาเจ้าในวันนี้ ไม่หันไปทางขวามือหรือทางซ้าย’ เพื่อให้เห็นได้ชัดที่สุดว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นเหมือนกับถนนหลวง” ลูกหลานของคาอินและการถูกเนรเทศของเขา, XXX (102) (หน้า 197)

 

“ในทุกกรณีนั้น พระเจ้าได้ถูกแสดงให้เห็นในพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งว่า ‘อับราฮัมรักษากฎเกณฑ์ทั้งหมดของเรา’ [ปฐมกาล 26:5] และธรรมบัญญัติก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่กำชับให้รู้ว่าอะไรถูก และห้ามในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่เขาเป็นพยานเมื่อเขากล่าวว่า ‘เขาได้รับธรรมบัญญัติจากพระวจนะของพระองค์’ [เฉลยธรรมบัญญัติ 33:4] ดังนั้น ถ้าพระดำรัสของพระเจ้าคือธรรมบัญญัติ และถ้าคนชอบธรรมทำตามธรรมบัญญัติแล้ว แน่นอนที่สุดว่า เขาก็กระทำตามพระวจนะของพระเจ้าด้วย” การย้ายถิ่นฐานของอับราฮัม, XXIII (130) (357)

 

[หมายเหตุ: ไฟโลเทียบ “ธรรมบัญญัติ” = “พระวจนะของพระเจ้า” = “พระดำรัสของพระเจ้า” ไม่มีข้อเสนอแนะใดๆว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นบุคคลที่เป็นพระเจ้าหรือมีตัวตน]

 

“พลังอำนาจของพระองค์ที่กล่าวพระวจนะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของพลังสร้างสรรค์ของพระองค์ ตามที่พระผู้สร้างได้ทรงสร้างโลกด้วยพระวจนะ” การหนีและการค้นหา, XVIII (95) (หน้า 438)

 

“เพราะมีข้อความในพระวจนะของพระเจ้า [เลวีนิติ 26:3] ว่า สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามคำบัญชาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์จะโปรยฝนลงมาตามฤดู และแผ่นดินก็จะเกิดพืชผลทุกชนิดอย่างอุดมสมบูรณ์” เกี่ยวกับรางวัลและการลงโทษ,[31] XVII (101) (หน้า 885)

 

“ด้วยเหตุที่พระเจ้าผู้ไม่ได้ถูกสร้างทรงเหนือกว่าสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด ดังนั้นคำของพระเจ้าผู้ไม่ได้ถูกสร้างก็ไปเร็วกว่าคำของการสร้างเช่นกัน และดำเนินการด้วยความฉับไวที่เหนือกว่าในหมู่เมฆ ในเรื่องราวที่พระเจ้าตรัสอย่างเปิดเผยว่า ‘ตอนนี้เจ้าจะเห็น เพราะคำของเราจะเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างทันที’ [กันดารวิถี 11:23, LXX]เกี่ยวกับการเกิดของอาเบลและการถวายเครื่องบูชาของเขาและของคาอินพี่ชายของเขา,[32] (66) (หน้า 147)

 

“เพราะคนที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าสวรรค์ มองดูมานา พระคำของพระเจ้าจากสวรรค์ อาหารที่ไม่เสื่อมสลายของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารแห่งการใคร่ครวญ แต่คนอื่นๆจับจ้องอยู่ที่กระเทียมและหัวหอม อาหารที่ทำให้ตาเจ็บปวด และทำให้มีปัญหาในการมองเห็นและทำให้มนุษย์ต้องกระพริบตา” ใครคือผู้สืบมรดกสรรพสิ่งแห่งสวรรค์?[33] XV (79) (หน้า 378)

 

“พลังแห่งความเมตตาของพระเจ้าก็คือที่คลุมหีบ และเขาเรียกมันว่าพระที่นั่งกรุณา ภาพของพลังที่สร้างสรรค์ และภาพของพลังของกษัตริย์ก็คือเครูบที่มีปีกซึ่งตั้งอยู่บนนั้น” การหนีและการค้นหา, XIX (100) (หน้า 438)

 

“แต่พระวจนะของพระเจ้าซึ่งอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในลักษณะใดๆ เพราะมันไม่เหมือนกับสิ่งใดๆที่อยู่ภายใต้การสัมผัสรับรู้ภายนอก แต่เป็นภาพของพระเจ้าในเรื่องจุดมุ่งหมายทั้งหมดของปัญญาที่เก่าแก่ที่สุดในทั้งโลก และอยู่ใกล้ชิดที่สุดกับพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่ดำรงอยู่จริงโดยไม่มีการแบ่งแยก หรือระยะห่างที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสอง เพราะมีกล่าวไว้ว่า ‘เราจะพูดกับเจ้าจากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบทั้งสอง’ [อพยพ 25: 22] ดังนั้นจะว่าไปแล้ว พระวจนะก็เหมือนคนของรถรบแห่งพลังอำนาจ และผู้ที่เปล่งคำออกมาก็คือผู้ขับขี่ ผู้นำทางคนของรถรบถึงวิธีดำเนินการโดยมุ่งหมายที่จะชี้นำจักรวาลอย่างเหมาะสม” การหนีและการค้นหา, XIX (101) (หน้า 438)

 

“พวกเขาได้ทิ้งความเชื่อมโยงกันทั้งหมดด้วยความภูมิใจ และเชื่อมโยงตัวเองด้วยการโน้มน้าวตามธรรมบัญญัติ โดยเลือกที่จะมาเป็นส่วนของฝูงแกะที่อุทิศแด่พระเจ้า ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นผู้นำ ตามที่พระนามของพระองค์แสดงให้เห็น เพราะมันหมายถึงการดูแลอภิบาลของพระเจ้า” เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ,[34] XIX (114) (หน้า 464)

 

“แต่ในขณะที่พระองค์ทรงดูแลฝูงแกะของพระองค์เอง สิ่งดีทุกอย่างจะได้มอบให้กับแกะที่เชื่อฟังทันทีและผู้ที่ไม่ขัดขืนพระประสงค์ของพระองค์ และในบทเพลงสดุดีเราจะพบบทเพลงที่มีถ้อยคำเหล่านี้ ‘พระเจ้าเป็นพระผู้เลี้ยงของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่ขาดสิ่งใดเลย’ [สดุดี 23:1] เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ, XX (115)

 

“ดังนั้น ใจที่มีพระผู้เลี้ยงเป็นกษัตริย์ มีพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเป็นผู้สอน” เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ, XX (116) (หน้า 464)

 

“แต่ผู้ที่ประพฤติด้วยปัญญาก็กลับมายังที่เดิม โดยพบว่าส่วนหลักและจุดสิ้นสุดของการลบล้างคือพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งผู้ที่ได้รับการแก้ไขก็ยังไม่บรรลุถึงจุดสูงสุดดังกล่าว ที่จะเข้าใจไปถึงแก่นแท้ของพระเจ้า แต่จะมองเห็นพระองค์ได้แต่ไกล หรือผมควรจะพูดว่า เขาไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นพระองค์ได้แต่ไกล เขาเพียงแต่มองเห็นข้อเท็จจริงนี้ ว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และความเข้าใจใดๆของเขาเกี่ยวกับพระองค์ก็ห่างไปไกลมากจากสติปัญญาของมนุษย์ทั้งหมด …เขามาถึงสถานที่นั้น และเงยหน้าขึ้นมองด้วยตาของเขา เขาเห็นสถานที่ซึ่งเขาได้มา ซึ่งเป็นหนทางที่ไกลมากจากพระเจ้า ผู้ซึ่งอาจไม่ถูกออกชื่อหรือถูกพูดถึง และผู้ที่ไม่อาจเข้าใจได้ในทุกด้าน” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา,[35] XI (1.66 และ 1.67) (หน้า 491)

 

[หมายเหตุ: ตรงนี้ไฟโลกล่าวว่า การทำงานของพระวจนะของพระเจ้า (การเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้า, รูปเหมือนของพระเจ้า) คือการเผยแว่บเดียวของพระเจ้าผู้ที่ “อยู่ไกลมาก” ผู้ที่ “อยู่ห่างไกลมากจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด” และ “ผู้ที่ไม่อาจเข้าใจได้ในทุกด้าน”]

 

“พระวจนะของพระเจ้าที่เป็นสื่อกลาง... เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ลดตัวลงมาสู่การสัมผัสรับรู้ภายนอก ทรงส่งคำตรัสหรือทูตสวรรค์ของพระองค์เองเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่รักคุณธรรม แต่ทั้งสองรับใช้เหมือนแพทย์ที่รักษาโรคฝ่ายวิญญาณ และพยายามที่จะรักษาพวกเขาให้หาย ให้คำเสนอแนะที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเช่นธรรมบัญญัติที่ศักดิ์สิทธิ์ และเชิญชวนคนทั้งหลายให้ทำตามคำพร่ำสอนเหล่านั้น และเหมือนกับผู้ฝึกสอนนักปล้ำสู้ที่ปลูกฝังความเข้มแข็ง พลัง และความแข็งแกร่งที่ไม่อาจต้านทานได้ในลูกศิษย์ของพวกเขา ดังนั้นจึงสมควรอย่างมากเมื่อเขาได้มาถึงการสัมผัสรับรู้ภายนอก เขาแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พบกับพระเจ้าอีกต่อไป แต่จะพบเพียงแต่พระวจนะของพระเจ้า” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา, XII (1.68 ถึง 1.70) (หน้า 491)

 

“เพราะดูเหมือนว่า มีสองวิหารที่เป็นของพระเจ้า; วิหารหนึ่งอยู่ในโลกนี้ ซึ่งมหาปุโรหิตเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระบุตรหัวปีของพระองค์เอง อีกวิหารหนึ่งคือจิตวิญญาณที่สามารถคิดอย่างมีเหตุผล ปุโรหิตซึ่งเป็นมนุษย์ที่แท้จริง…” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา, XXXVII (1.215) (หน้า 508)

 

“และพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเหมือนกับแม่น้ำ ที่หลั่งไหลออกมาจากสติปัญญา เหมือนออกมาจากบ่อน้ำพุ เพื่อที่จะทดน้ำและทำให้หน่อจากฟ้าและสวรรค์เกิดผล และปลูกจิตวิญญาณเหล่านั้นเหมือนดั่งคุณธรรมความรัก เหมือนว่าจิตวิญญาณเหล่านั้นเป็นสวรรค์” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา, XXXVI (2.243) (หน้า 536)

 

“‘แม่น้ำของพระเจ้าเต็มไปด้วยน้ำ’ [สดุดี 65:10] และมันไม่สมเหตุสมผลที่จะเรียกชื่อเช่นนั้นกับแม่น้ำสายใดๆที่ไหลอยู่บนแผ่นดินโลก แต่ดูเหมือนว่าตรงนี้ผู้เขียนสดุดีกำลังพูดถึงพระวจนะของพระเจ้า...” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา, XXXVII (2.245) (หน้า 536)

 

“เพราะโดยความจริงแล้ว กระแสที่ต่อเนื่องของพระวจนะของพระเจ้า ที่ดำเนินการอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยความรวดเร็วและความสม่ำเสมอนั้น แพร่กระจายไปทั่วทุกสิ่ง ให้ความสุขกับทุกคน” เกี่ยวกับความฝัน ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา, XXXVII (2.247) (หน้า 537)

 

3. “พระเจ้าองค์ที่สอง”

 

“ทำไมเขาจึงพูดเหมือนกับว่าเป็นพระเจ้าอื่น โดยพูดว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามรูปเหมือนของพระเจ้า และไม่ได้พูดว่าพระองค์สร้างเขาตามอย่างของพระองค์เอง? (ปฐมกาล 9:6) ประโยคศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นประโยคที่เปล่งออกมาโดยพระเจ้าอย่างเหมาะสมมากและไม่มีความเท็จใดๆ เพราะไม่มีสิ่งที่ต้องตายใดที่จะสามารถถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกับพระบิดาผู้สูงสุดของจักรวาล มีแต่ตามรูปแบบของพระเจ้าองค์ที่สองผู้เป็นพระวจนะของพระเจ้า; เนื่องจากเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จิตวิญญาณที่สามารถคิดอย่างมีเหตุผลของมนุษย์นี้ควรมีลักษณะของพระวจนะของพระเจ้า เนื่องจากในพระวาทะแรกของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงอยู่เหนือธรรมชาติที่มีเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่พระองค์ผู้ทรงอยู่เหนือกว่าพระวจนะก็อยู่ในสถานะเหนือกว่าที่ดีกว่าและเป็นเอกเทศที่สุด และสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะสามารถแสดงความเหมือนพระองค์ให้เห็นได้ในตัวเขาเองได้อย่างไร?” คำถามและคำตอบเกี่ยวกับปฐมกาล, II (62) (หน้า 1095)

 

      หมายเหตุ: ไฟโลกำลังบอกว่ามนุษย์คนนั้นเป็นรูปเหมือนของรูปเหมือน ของ “รูปแบบ” หรือ “ลักษณะ” นั่นคือ รูปเหมือนของพระวจนะของพระเจ้า จงเปรียบเทียบ:

 

“และเหตุผลของพระเจ้าที่มองไม่เห็น ที่จะเข้าใจได้ก็ด้วยสติปัญญาเท่านั้น ที่เขาเรียกว่ารูปเหมือนของพระเจ้า และรูปเหมือนของรูปเหมือนนี้ก็คือความสว่างนั้น ที่จะเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปเหมือนของเหตุผลของพระเจ้า…” เกี่ยวกับการทรงสร้าง,[36] VIII (30) (หน้า 20)

 

“พระวจนะของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยคำสั่ง และเป็นแพทย์ของความเจ็บป่วยของจิตวิญญาณ” คำถามและคำตอบเกี่ยวกับปฐมกาล, III (28) (หน้า 1116)

 

“พระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะทำสิ่งดี ไม่เฉพาะแต่กับคนที่มีคุณธรรม แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้พระวจนะของพระเจ้า ควรกำกับดูแลไม่เพียงแต่จิตวิญญาณของเขาเท่านั้น แต่ร่างกายของเขาด้วย เหมือนว่าพระวจนะได้มาเป็นแพทย์ของจิตวิญญาณ” คำถามและคำตอบเกี่ยวกับปฐมกาล, III (51) (หน้า 1127)

 


[1] Kenneth Schenck’s A Brief Guide to Philo

[2] I am the God who appeared to you in the place of god

[3] of the God; “of god

[4] god

[5] Philo, Judaeus

[6] ISBE (International Standard Bible Encyclopedia)

[7] Eusebius of Caesarea

[8] หรือ “ตามพระฉายาของพระเจ้า” (ผู้แปล)

[9] Eusebius, On Providence; C.D. Yonge

[10] ISBE; Encyclopedia Judaica; Catholic Encyclopedia

[11] hypostasis

[12] The Works of Philo; C.D. Yonge

[13] Hendrickson Publishers

[14] Of Cain and his Birth

[15] On the Migrat­ion of Abraham

[16] Questions and Answers on Genesis

[17] Allegorical Interpretation

[18] The Cherubim

[19] Of Cain and his Birth

[20] On the Posterity of Cain and his Exile

[21] On the Giants

[22] Concerning Noah’s Work as a Planter

[23] On Mating with the Preliminary Stu­dies

[24] The God made the man;’

[25] On Flight and Flying

[26] The Decalogue

[27] The Special Laws

[28] On the Life of Moses

[29] Questions and Answers on Genesis

[30] A Treatise Con­cern­ing the World

[31] On Rewards and Punishments

[32] On the Birth of Abel and the Sacrifices Offered by Him and His Brother Cain

[33] Who is the Heir of Divine Things?

[34] On the Change of Names

[35] On Dreams, that They are God-Sent

[36] On the Creation